Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว  (อ่าน 45047 ครั้ง)

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ


Just Love รักนะครับ

"ทำไมมึงพูดกับคุณเพราะจังวะ”
“หืม..ก็พูดอย่างนี้มาตั้งนานแล้ววะ มึงมีปัญหา” มันถามกลับ
“เฮ้ย ไม่มีๆ” รีบปฏิเสธเสียงหลง ที่สงสัยก็แค่เวลาพวกมันสองคนคุยกัน
บรรยากาศมันไม่เหมือนเวลามึงคุยกับพวกกูนี่หว่า “งั้นมึงก็รู้จักกับมันนานแล้วสิ” 
“ตั้งแต่เกิด...ไม่สิ ก่อนกูเกิดแล้วมั้ง”




Just Love รักนะครับ
ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ตอนที่ 3
ตอนที่ 4
ตอนที่ 5
ตอนที่ 6
ตอนที่ 7
ตอนที่ 8
ตอนที่ 9
ตอนที่ 10
ตอนที่ 11
ตอนที่ 12
ตอนที่ 13
ตอนที่ 14
ตอนที่ 15
ตอนที่ 16
ตอนที่ 17
ตอนที่ 18
ตอนที่ 19
ตอนที่ 20
ตอนที่ 21
ตอนที่ 22
ตอนที่ 23
ตอนที่ 24
ตอนพิเศษ 1
ตอนพิเศษ 2


สวัสดีค่ะ
เรื่องนี้เป็นนิยายอีกเรื่องที่เราแต่งไว้
เคยลงในเวปเด็กดีมาแล้วค่ะ
อยากแบ่งปันให้กับคนในเล้าเป็ดที่เราได้เข้ามาอ่านบ่อยๆ บ้าง
ฝากด้วยนะคะ *แจกกอด*
 :กอด1:
Lavender's blue

งานเขียน
[เรื่องสั้น] เรา (จบในตอน)
[เรื่องสั้น] At the beginning of the end ❆ (จบในตอน)
★ Lucky! ดีกว่านี้ไม่มีแล้ว ★ จบแล้ว
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-01-2016 21:21:21 โดย Wendy »

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 1) 19-12-2558
«ตอบ #1 เมื่อ19-12-2015 19:56:57 »

 :กอด1:

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 1) 19-12-2558
«ตอบ #2 เมื่อ19-12-2015 20:02:21 »


Just Love รักนะครับ
 



1
 



“ซันๆ ตื่นหรือยัง”

 
เสียงที่คุ้นเคยดังผ่านโทรศัพท์เครื่องเล็กในมือ แม่โทรมาหาเขาแต่เช้า เออ...ความจริงก็ไม่เช้าเท่าไหร่แค่เข็มสั้นชี้ไปเกือบๆ เลขสิบเอ็ดและเข็มยาวก็อยู่ใกล้ๆ กันเอง ยังไม่ตื่นดีเลยได้แต่ทำเสียงอืออาตอบไปตามเรื่อง แม่คงรู้จึงพูดต่อไป
 
“เมื่อวานแม่ไปเจอของกินที่ซันๆ ชอบเลยฝากไปกับน้าอรนะ ลูกอย่าลืมไปเอาของล่ะ”

“คร้าบบบ” แม่ฝากขนมมาให้ เย็นๆ ไปร้านน้าอร ทวนคำพูดในใจ

“ของซันๆ ถุงสีแดงนะ แล้วของเดือนถุงสีเขียว เอาไปให้เดือนด้วยล่ะ”

 “อ่า ได้ครับๆ” ขนมสองถุง สีแดงของเขา สีเขียวของเดือน โอเค

 “แล้วก็ตื่นได้แล้วลูก หาข้าวกินเสียล่ะ อีกสองอาทิตย์เจอกันนะ”

 “ครับ คิดถึงแม่กับป๊านะ สวัสดีครับ”
 

ปล่อยให้แม่วางสายไปจากนั้นบิดขี้เกียจแล้วหาวปากกว้าง เตียงขนาดคิงไซด์ทำให้เขาบิดตัวกลิ้งไปมาได้อย่างเต็มที่ เหลือบมานาฬิกาบนผนังแล้วจึงลุกขึ้นไปจัดการตัวเอง
 



วันนี้เป็นวันอาทิตย์ แน่นนอนอยู่แล้วว่าเป็นวันหยุด ชายหนุ่มจึงปล่อยตัวตามสบาย ไม่ได้รีบตื่นไปเรียนเหมือนอย่างวันอื่นของสัปดาห์ ขนาดวันเสาร์เขาก็มีเรียนด้วย
 
...ใช่สิ ปีสามแล้วพวกเธอจะทำตัวตามสบาย เหลวไหลได้ยังไง ถ้ายังเสียงดังอีกฉันจะนัดวันอาทิตย์ด้วยดีไหม...

เสียงโวยวายของเหล่านักศึกษาที่เพิ่งขึ้นปีสามได้หมาดๆ เงียบลงทันทีที่ ‘เจ้ใหญ่’ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์เอ็ดเสียงดังซึ่งอาจารย์ไม่ได้ชื่อเจ้ใหญ่แต่นั่นเป็นรหัสลับที่นักศึกษาใช้เรียกกันลับหลัง
 

วันนี้พิเศษอีกอย่างนอกจากจะเป็นวันหยุดพักผ่อนที่จะหมดไปกับการเล่นเกมกับพรรคพวกในโลกออนไลน์แล้ว ตอนเย็นต้องไปร้านน้าอรเพื่อไปเอาขนมที่แม่ฝากมาด้วย


มหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่นี้ห่างจากจังหวัดบ้านเกิดของเขาประมาณ 300 กิโลเมตร ซึ่งทำให้เขาเดินทางกลับบ้านได้สะดวกและบ่อยตามความต้องการของมารดาที่เคารพ ช่วงแรกตอนปีหนึ่งแม่แทบจะให้กลับบ้านทุกอาทิตย์ แต่ตอนนี้แม่ของเขาเก่งเรื่องเทคโนโลยีขึ้นเยอะ ไลน์ เฟสบุค เฟสไทม์ ใช้เป็นหมดแล้ว มาตรการกลับบ้านอาทิตย์เว้นอาทิตย์จึงเหลือแค่เดือนละครั้ง หรือบางทีถ้ายุ่งมาก ก็สองเดือนครั้งยังพอไหว
 

ป๊าก็จะบ่นแม่ (ด้วยเสียงกระซิบกับเขา) ว่า ...ซันๆ เป็นผู้ชายก็ไปใช้ชีวิตแบบลูกผู้ชายให้เต็มที่เลยก็ได้ ป๊าไม่ว่าไรหรอก ของแบบนี้... คราวหนึ่งแม่ได้ยิน ป๊ากับลูกชายถึงต้องทำงานบ้านกันเองไปหลายวัน
 





“หมูกระเทียมพิเศษเหมือนเดิม ด่วนเลยนะเจ้ หิวมากวันนี้”

ร้านอาหารตามสั่งไม่ไกลจากหอพักมีลูกค้าประปราย เขาเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะประจำ ครู่หนึ่งก็ได้หมูทอดกระเทียมราดข้าวร้อนๆ มารับประทาน กำลังชั่งใจระหว่างจะราดน้ำปลาพริกหรือซอสพริกก็มีมือปริศนามาผลักหัว หันไปกำลังจะอ้าปากด่า เจ้าของมือกลับด่าออกมาก่อนซะงั้น


“สัตว์”
         
“เชี่ยกาย!”

คนที่มาทำร้ายร่างกายเป็นเพื่อนร่วมคณะและบังเอิญอยู่หอพักเดียวกัน ไอ้กายไม่สนใจคำสบถนั่งลงข้างๆ ซดน้ำโค้กที่เพิ่งสั่งมาไปอึกใหญ่
 
“มึงตบหัวกู ด่ากู แล้วยังมีหน้ามาแดกน้ำกูอีกนะสัตว์”
 
“นิดหน่อยน่าไอ้ซัน แบ่งเพื่อนกินไม่ได้หรือไงวะ” 
 
กะเพราไข่ดาวของไอ้กายมาเสิร์ฟ พร้อมกับน้ำเก็กฮวยสีเหลือสวยในแก้วทรงสูง ไม่รอให้มันพูดอะไร เขาคว้ามาซดอึกๆ แก้แค้น
 
“อร่อยไหมมึง” มันถามพร้อมกับยักคิ้วให้
 
“มาก!!” คิดว่าเขาจะรู้สึกอะไรไหม ฝันไปเถอะ 


ทานข้าวกันไปจนหมดจาน คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยชวน


“มึง ไปดูน้องที่สโมฯ หน่อยสิวะ เป็นประธานชมรมบอลห่าไร ไม่เคยโผล่หัวไปดู”

“อันนั้นมันปีที่แล้ว ปีนี้กูเป็นแค่อดีตเว้ย” แก้ไขคำพูดของเพื่อน ประธานชมรมน่ะเป็นตอนปีสอง

“นั่นแหละ ใครๆ เค้าก็ไปมึงอย่าอู้ เสียชื่อหมด” ไอ้กายไม่สนใจ มันยังคงพยายามชวนต่อไป เหตุที่มันสนใจขนาดนี้เพราะปีที่แล้วมันเป็นรองประธานฯ

“อู้ของมึงคือแค่กูไม่ได้ไปอาทิตย์ที่แล้วเนี่ยนะ”


อาทิตย์ก่อนก็คือเพิ่งเปิดเทอม เขาคุยกับพวกปีสองที่ขึ้นมาดูแลชมรมต่อไปตั้งแต่ก่อนปิดเทอมแล้ว จึงไม่เข้ามาดูปีสองแนะนำชมรมแก่นักศึกษาปีหนึ่ง เอาไว้ค่อยมาดูวันจริงตอนคัดเลือกนักกีฬาทีเดียว


“ไม่รู้เว้ย รู้แต่ว่าวันนี้มึงต้องไปกับกู”
 
“เออๆ เดี๋ยวกูไปเอง ต้องไปธุระต่ออีกนิดหน่อย" ใช่ว่าจะไม่อยากดู แต่เพราะว่าอยากให้น้องปีสองได้ทำงานเองบ้างจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ในเมื่อวันนี้เพื่อนเอ่ยชวนจึงตอบตกลง
 



.

.

.
 


เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นเรื่อยๆ จากที่จับใจความไม่ได้ ค่อยชัดเจนขึ้น เมื่อเขาขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาใกล้สนาม จอดรถและเดินตามมา เสียงที่ว่าก็ยังดังไม่หยุด

กายยืนรออยู่แล้วหน้าประตูทางเข้า พยักหน้าให้แล้วเดินเข้าไปพร้อมกัน
 


“เฮ้ย ไอ้พวกปีหนึ่งนะ วิ่งให้มันเร็วๆ หน่อยสิวะ นี่เล่นบอลนะเว้ยไม่ได้มาเดินชอปปิ้ง!!!”

“ถ้ามึงทำกันได้แค่นี้ อย่าไปบอกใครว่าเรียนคณะวิทยาฯ นะเว้ย กูอาย!!”

“เอ้าเหนื่อย ลงไปวิ่งไม่ถึงสิบนาทีเหนื่อยแล้ว บอลเล่น เก้าสิบนาทีนะเว้ย พวกมึงรู้กันหรือเปล่าเนี่ย!!”
 

เสียงตะโกนนั้นดังมาจากแสตนด์ไม่ไกลจากทางเข้า บนนั้นมีนักศึกษาพวกรุ่นน้องปีสองทั้งหญิงและชายนั่งกันอยู่ร่วมสามสิบชีวิต พวกที่แหกปากตะโกนจนเหนื่อยหันมากินน้ำจากกระติกแล้วเหลือบตาเห็นไอ้กายกับเขาเข้าพอดี


“พี่กาย!!”


“พี่ซัน!!”


คนที่นั่งอยู่บนแสตนด์หันขวับ ไอ้กาย ยกนิ้วกลางแจกก่อนที่น้องๆ จะเข้ามารุมคนเพิ่งมาถึง

“ชู่ว์ เงียบๆ สิวะ” ไอ้กายบอกพวกรุ่นน้องที่ยังส่งเสียงไม่เลิก


“เป็นชู้ก็ต้องเงียบๆ อยู่แล้วพี่ เสียงดังเดี๋ยวผัวมันแม่งจับได้“ ไอ้แมนประธานชมรมคนปัจจุบันเล่นมุก ที่ทำเอาทุกคนสตั้นไปหนึ่งวินาทีก่อนจะพร้อมใจกัน...
 


“เหี้ย!!!”
 

“ไอ้ห่าแมน กูหมายถึงกูจะมาดูเงียบๆ ไม่ให้เด็กๆ มันรู้เว้ย” ไอ้กายโวยวาย เอื้อมมือไปตบหัวไอ้เด็กกวนตีน
 
“ผมล้อเล่นน่าพี่ก็ จริงจังไปได้ มานั่งทางนี้ดีกว่าพี่ มืดๆ หน่อย น้องมันจะได้ไม่เห็น” ว่าแล้วเดินนำไปทางฝั่งซ้ายของแสตนด์ห่างจากแสงไฟ คนอื่นก็พากันตามมาบ้าง หลังจากเปิดเทอมไปอาทิตย์กว่าเพิ่งจะเข้ามาดูชมรม น้องคงมีอะไรอยากปรึกษาเยอะบ้างเป็นธรรมดา
 
“เป็นไงมึง ไหวไหม” เมื่อนั่งกันเรียบร้อย เขาถึงได้มีโอกาสถามตามหน้าที่พี่ปีแก่ที่ดี

“ก็ดีว่ะพี่ แต่ด๋อยชะมัด ให้วิ่งนิดๆ หน่อยๆ ก็ดูท่าไม่ไหวซะแล้ว” ไอ้แมนบ่น

“แหมทำมาบ่นนะมึง ทีรุ่นพวกมึงกูให้สก็อตจัมพ์แค่ห้าสิบยังไม่ถึงครึ่งก็แข้งขาอ่อนกันหมด” ไอ้กายรำลึกความหลัง พร้อมดูถูกไอ้แมนนิดๆ ไอ้แมนกำลังจะต่อปากต่อคำ แต่ก็ต้องเงียบไปเพราะเขาชิงพูดขึ้นมาก่อน ขืนปล่อยให้ไอ้แมนได้พูด คืนนี้คงไม่ได้กลับกันพอดี

“เออ ก็อย่างนี้แหละมึง วันแรกๆ น้องมันก็ยังไม่เคย ต้องค่อยซ้อมไปทีละนิด ใจเย็น แต่อย่าเข้าไปใจดีใกล้ชิดมากล่ะ เดี๋ยวเหลิง ให้ทำอะไรไม่ฟัง”

“ครับพี่ ถ้าพี่ซันมาดูทุกวันก็ดี ให้คำแนะนำดีกว่าพี่กายเยอะเลย” เสียงไอ้แมนตอนท้ายเบาเสียงลง แต่ก็ไม่ลอดหูไอ้กายไปได้

“ทำไม กูไม่ดีตรงไหนวะ วันแรกถ้าพวกมึงไม่มีกูจะรอดไหมไอ้ห่า พอไอ้ซันมารีบเข้าไปอ้อนนะมึง เดี๋ยวพ่อถีบ” มันพูดว่า เดี๋ยว แต่ตอนนี้ขายื่นออกมาแล้ว

“ก็ทำไมพี่กายไม่พูดดีๆ แบบพี่ซันบ้างเล่า ทำตัวไม่มีความน่าเชื่อถือเอง”

“โห ไอ้แมนมึงว่ากูเหรอ กูพี่รหัสมึงนะเว้ย” ไอ้กายตบหัวไอ้แมนไปเน้นๆ
         


“พอหรือยังพวกมึง” เพิ่มระดับเสียงขึ้นนิดหน่อย ไอ้สองตัวที่กำลังจะตีกันจึงค่อยชะงัก


“ไอ้แมนขอโทษไอ้กาย” ไอ้แมนอ้าปากหวอ  ตกใจ สงสัยไม่เคยเจอเขาในมาดดุมานาน จนต้องพูดย้ำ “เดี๋ยวนี้”

“...ขอโทษครับพี่กาย” ไอ้แมนยกมือไหว้ ไอ้กายรับไหว้พร้อมทั้งส่งยิ้มกวนๆ ให้

“ส่วนมึงกาย...”

“อะไรเล่า กูไม่ได้ทำไรผิดนะเว้ย” ไอ้กายรีบโวยวาย

“มึงก็หยุดทำตัวเล่นๆ ได้แล้ว น้องมันต้องการความช่วยเหลือมึงก็ทำตัวให้น่าเชื่อถืออย่างที่น้องมันว่าบ้างเถอะ กูรู้มึงรักและห่วงน้องมันมาก ช่วยกันดูแลน้องสิวะ”

ตอนพูดกับกายเขาพูดแค่ให้มันและไอ้แมนเท่านั้นที่ได้ยิน คนอื่นจึงทยอยกลับไปนั่งส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจน้องปีหนึ่งตามประสาชมรมฟุตบอลต่อไป
 
“เออ กูจะพยายามละกัน” กายรับคำ เขาปล่อยมันไว้กับไอ้แมนแล้วเดินเข้าไปหาน้องปีสองที่เหลือ




“เป็นไงกันบ้าง เหนื่อยไหมวันนี้”

“เหนื่อยมากพี่ซัน ทำไมเป็นปีสองมันเหนื่อยขนาดนี้” น้องชมพู่ ผู้จัดการชมรมฟุตบอลคนหนึ่งบ่นออดแอด

“ผมอยากจะกลับไปเป็นเด็กปีหนึ่งอีกรอบจังพี่ ที่ว่าเหนื่อยตอนนั้นกับตอนนี้คนละเรื่องเล้ย” น้องผู้ชายหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย

“โอ้ย วันนี้ไม่เหนื่อยค่ะคุณพี่ แค่พี่ซันมา หัวใจและร่างกายของกิ๊ฟซี่ก็กระชุ่มกระชวยแข็งแรงราวกับได้กลับไปเป็นเด็กปีหนึ่งหน้าใสคนเดิมอีกครั้ง” กิ๊ฟซี่ สาวสวยหัวหน้าฝ่ายกองเชียร์และสันทนาการประจำทีมพูดขึ้นแล้วลุกขึ้นทำท่าจะโผมากอด

“น้อยๆ หน่อย อีกีบ สงสารพี่ซันบ้างเถ้อะ” ขอบคุณแมนที่เดินกลับมาบล็อคเพื่อนตัวเองได้ทัน เพราะเขาน่ะสุภาพบุรุษเกินกว่าจะปฏิเสธสาวๆ ได้ ทั้งสาวจริงและสาวเกือบจริงก็เถอะ
 

“...ทีนี้เราก็ได้รู้แล้วว่า การเป็นพี่มันเหนื่อยมากแค่ไหน พี่ก็หวังว่าน้องๆ จะเอาความรู้สึกนี้ส่งผ่านไปให้น้องปีหนึ่งกันนะครับ ช่วยดูแลน้องๆ ให้เหมือนกับที่พี่ได้ดูแลเรามา แม้ตอนแรกน้องอาจไม่เข้าใจ ต่อต้าน บางคนอาจเกลียดเราไปเลย แต่ทุกคนก็รู้แล้วว่าสักวันน้องมันก็ต้องเข้าใจแล้วว่าที่เราทำให้มันทุกวันนี้ ที่ยอมเป็นผู้ร้ายมากกว่าเป็นพระเอก มันแสดงว่าเรารักน้องมากแค่ไหน มีอะไรก็มาบอก ถามพี่ปีแก่ๆ กันได้ตลอดนะ” 
 

ส่งยิ้มกว้างให้น้องอีกครั้งหลังพูดจบ เห็นหลายคนแอบน้ำตาซึม


การรับน้อง นอกจากจะให้ปีหนึ่งใกล้ชิดรักกันแล้ว ที่สำคัญยังทำให้เด็กปีสองได้รู้จักและเข้าใจถึงการเป็นพี่อีกด้วย บางคนอาจเข้าใจ บางคนอาจไม่เข้าใจกับการรับน้องของชมรมของเรา แต่เขาคิดว่าถ้าไม่ได้เข้ามาลองทำความรู้จัก มันก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจอะไรได้
 

กำลังซึ้งกันสักพัก



“ไอ้ห่าซัน กูมาดูน้องเป็นอาทิตย์น้องมันยังไม่เห็นค่ากูขนาดนี้ มึงมาไม่ถึงยี่สิบนาที มึงแย่งคะแนนกูไปหมดเลย ใจร้ายที่สุดดดดดดดดด”


คนที่ทำลายบรรยากาศได้ขนาดนี้ มีแค่คนเดียว ไม่ใช่คนอื่นไกล
 

ไอ้กายนี่แหละ
 

ทุกคนหัวเราะกันออกมาเบาๆ บรรยากาศเริงร่าขึ้นทันตา นั่งดูน้องปีหนึ่งที่พวกน้องปีสองคุมให้ซ้อมกีฬาจนเกือบๆ สองทุ่ม ถึงได้กลับออกมา ขับมอเตอร์ไซด์ไปที่ร้านอิงอร ขนมหวาน เพื่อไปรับของฝากจากแม่ตามบัญชา
         






น้าอิงอรเป็นน้องสาวแท้ๆ ของแม่ที่มาเปิดร้านขายขนมเบเกอรี่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู่ หากมีเวลาว่างเขาก็มาช่วยงานที่ร้านนี้ประจำ พนักงานในร้านจึงคุ้นหน้ายิ้มแย้มทักทายกันอย่างยินดี
 
“สุดหล่อมาแล้ว!” น้าอรร้องทักเมื่อเขาเดินยิ้มร่าเข้าไปหา
 
“สวัสดีครับสาวสวย” ยกมือไหว้พร้อมกับเอ่ยแซว น้าอรยิ้มกว้าง
         
“แม่เราฝากขนมมาให้แหนะ อ้อ แม่คงบอกเราแล้วล่ะสิถึงได้โผล่มา ไม่งั้นก็ไม่มาหาน้าหรอกใช่ไหม” จากที่ยิ้มกว้างอยู่ดีๆ ทำไมน้าถึงเข้าโหมดงอนไปแล้ว
 
“โธ่ น้าก็รู้ว่าเปิดเทอมอาทิตย์แรก ซันยุ่งจะตาย ไหนจะรับน้อง ไหนจะลงทะเบียน ย้ายตารางเรียน ติดต่ออาจารย์สารพัด แล้วยังจะ..” เขารีบแก้ตัว กำลังจะร่ายยาวถึงกิจกรรมที่ผ่านมาในหนึ่งอาทิตย์ที่เปิดเรียนก็โดนขัดขึ้นมาก่อน
 
“จ้ะ พอเถอะจ้ะ ฉันรู้หรอกว่าหลานฉันฮอตแค่ไหน”
 
“ฮ่าๆ สาธุ สมพรปากนะครับสุดสวย” น้าเดินเข้าไปหยิบถุงกระดาษสีแดงและสีเขียวออกมาให้
 
“ของซันๆ สีแดง ของเดือนสีเขียวนะ” 


น้าล้อเลียนเสียงและท่าทางของพี่สาวที่มักจะพูดย้ำกับน้องเสมอราวกับกลัวว่าคนฟังจะลืมเรื่องที่เธอบอกไม่กี่นาทีหลังจากที่ตัวเองพูดจบ อดหัวเราะไม่ได้กับท่าทางนั้น แม่น่ะเป็นห่วงเรื่องของลูกๆ เสมอแหละ โดยเฉพาะของกิน

ของที่ฝากมาคงไม่พ้นพวกขนมขบเคี้ยวจำพวกกล้วยอบน้ำผึ้ง ลูกพลับแห้ง คุกกี้ ช็อกโกแลต อัลมอนด์อบ และที่สำคัญของโปรดของเขา เมล็ดทานตะวันอบเนย
       
   
กอดลาน้าอรและสวัสดีพี่ๆ ในร้านแล้วก็ขับรถออกไป มองนาฬิกา สามทุ่มกว่า คิดคำนวณเวลาในใจ หาเอาของไปให้เดือนตอนนี้น่าจะทัน แต่เพื่อความแน่นอนเลยต้องโทรไปถามก่อน


สัญญาณรอสายดังไม่เกินสี่ครั้งคนปลายสายก็รับด้วยเสียงทุ้มแหบอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง


"เดือน แม่เค้าฝากของมาให้ ตัวเองอยู่ไหน ที่คณะ? ออกมาแล้วตอนนี้อยู่ร้านน้าอร อีกห้านาทีถึง ออกมารอเลย เจอกัน"
   


-------------------------------------
[19/12/58]
ฝากซันๆ ด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
 :กอด1:
Lavender’s blue

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 2) 20-12-2558
«ตอบ #3 เมื่อ20-12-2015 08:34:58 »

Just Love รักนะครับ




2



ภายในสิบนาทีเขาก็ขับมอเตอร์ไซด์มาถึงคณะศิลปกรรมศาสตร์ ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาในตอนกลางวัน ยามนี้กิ่งก้านใหญ่น้อยบดบังแสงจากเสาไฟหลายต้นส่งผลให้อาคารสี่ชั้นรูปร่างแปลกตาเป็นเงาตะคุ่มในความมืด


ชายรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งยืนอยู่ใต้แสงไฟ ผมยาวระต้นคอบดบังใบหน้า มือซ้ายซุกอยู่ในกางเกงขายาวตัวหลวม เอียงหัวไปทางเดียวกันนิดๆ ควันบุหรี่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไม่ไกล


ถึงแม้ไม่เห็นหน้าก็รู้ว่านี่คือคนที่นัดมาเจอ ยี่สิบปีที่รู้จักกันมา แค่เห็นข้างหลังก็ยังจำได้ แสงสีแดงริบหรี่ร่วงลงพื้น ร่างนั้นขยับเท้าเพื่อขยี้ปลายบุหรี่ แล้วจึงหันมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้

“สูบอีกแล้ว” เอ่ยทักไปด้วยเสียงอ่อนใจ บอกตัวเองหลายครั้งว่าไม่อยากยุ่งเรื่องของคนตรงหน้าแต่ก็อดไม่ได้ทุกที

“นิดหน่อยน่า...ตัวแรก” เดือนเกาท้ายทอย เส้นผมสีดำขยับไล้กรอบหน้า

“ลดๆ หน่อยก็ดีนะ” ยืนถุงกระดาษสีเขียวให้ มือขาวซีดก็ยื่นมารับ แสงไฟสีขาวสะท้อนให้เห็นรอยแดงแถวข้อมือ มองจนเจ้าของรู้ตัวขยับหนีให้พ้นสายตา เขาเลื่อนสายตาขึ้นมาสบตากับคนตรงหน้าไม่ได้พูดอะไร เดือนทำเสียงงึมงำในคอ กำลังจะอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง ก็มีเสียงตะโกนแทรกเข้ามาก่อน



“เชี่ยคุณ หมดเวลาพักแล้วเว้ย มาช่วยงานเลยไอ้เฉื่อย ถ้าคืนนี้ยังไม่ขึ้นรูปนะ กูจะเอาดินเหนียวยัดปากมึง” เสียงนั้นแหลมสูงเกินกว่าจะเป็นเสียงผู้ชาย

“เออๆ อีกแปบหนึ่งคร้าบคุณนาย คุยกับซันก่อน” เดือนตะโกนตอบไป ก่อนจะได้ยินเสียงกรี๊ดไม่นานเจ้าของเสียงก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหา


“ซัน สวัสดีจ๊ะ” หญิงสาวเจ้าของเสียงเมื่อครู่นั่นเอง รู้สึกว่าจะชื่อ ฝัน

“สวัสดีครับ”  เขาทักทายกลับ

“ไอ้คุณ ไม่บอกนะยะว่าซันจะมา ปล่อยให้เราพูดเอะอะเสียงดังไปได้” เธอว่าพลางเอื้อมมือไปตบหลังเพื่อนคุณเสียงดังป้าบ

“ไอ้ฝัน เจ็บนะเว้ย ตีมาได้ นี่มือหรือตีนวะ” คนถูกตีบ่น

“นี่..แบ่งเพื่อนกินละกัน ทำงานกันดึกหรือครับ” ยื่นถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ที่แวะซื้อก่อนเข้ามาในมหาวิทยาลัยให้เดือน แล้วจึงหันไปคุยกับฝัน

“คงดึกจ๊ะซัน สนใจมาอยู่เป็นเพื่อนกันป่าวคะ” เธอบิดมือไปมา เดือนทำปากขมุบขมิบเลียนเสียงอยู่ข้างๆ หันไปมองหน้าเดือนเป็นเชิงถาม เดือนก็ยักไหล่ให้ ท่าทางแบบนี้แปลว่า ‘แล้วแต่’

“งั้น...คงอยู่เป็นเพื่อนสักพักละกันนะ” ฝันร้องวี้ดออกมาคว้าถุงของกินแล้ววิ่งกลับเข้าไปในตัวอาคาร ปล่อยให้เขาและเดือนหัวเราะกันกับท่าทางตลกของเธอ

“ยัยนี่ประสาท” เดือนพูดเสียงเบาเมื่อเราออกเดินไปตามทางที่ฝันเดินนำเข้ามาก่อนแล้ว

“ตลกดีนะ” ท่าทางจะเป็นคนอารมณ์ดี ทำให้คนข้างๆ เขายิ้มและหัวเราะได้บ่อยก็ดีแล้ว

“แล้วนี่คือว่าง? เช็คเรทติ้งหรือไงซัน” เดือนยักคิ้วเผล็บ ลูกตุ้มเหล็กสีเงินบนคิ้วซ้ายสะท้อนแสงเข้าตา

“งั้นมั้ง” เจ้าตัวอารมณ์ดีเอ่ยแซวจนเขาต้องตอบไปด้วยเสียงกรัวหัวเราะ




กลิ่นโคลน กลิ่นสี เสียงเครื่องจักร และเสียงเพลงตีกันยุ่งไปหมด เมื่อเดินเข้ามาในห้องทำงานขนาดใหญ่ หลายคนส่งเสียงทักทายเกรียวกราว

“อ้าวซัน ดีเว้ย”

“กำลังหิวพอดี ปาท่องโก๋อร่อยมาก”

“มึงแวะมาบ่อยๆ ดิวะซัน กูคงลาภปากไปหลายวัน”

“ให้มันน้อยๆ หน่อย เกรงใจซันมั่งพวกเอ็ง” เดือนพูดกับเพื่อนตนเองขณะเดินมาถึงโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่ลึกคนละฝากประตู

“มึงจะทำไมไอ้คุณ ซันเค้ายังไม่เห็นจะเดือดร้อนเลย”

“เปล๊า” เดือนยักไหล่ คนต่างคณะได้แต่นั่งยิ้ม ปล่อยให้ทุกคนทำงานกันไป แซวกันไปเรื่อย





“ทำอะไรน่ะ” เขาถามเมื่อเห็นเดือนขยับตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ และหยิบก่อนดินเหนียวสีเทาเข้มทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์มาวางบนแท่นกลมแบน

“ปั้นดินเหนียว” เดือนทำหน้ายุ่ง สองมือตบเบาๆ ไปตามก้อนดิน

“ปั้นทำอะไร” เดือนไม่ตอบแต่ค่อยๆ หมุนแท่นนั้นด้วยมือขวา มือซ้ายประคองแล้วใช้มือขวากวักน้ำในถังที่วางอยู่บนพื้นข้างแท่นพรมใส่ก้อนดินเหนียว จากรูปสี่เหลี่ยมทรงลูกบาศก์กลายเป็นก้อนกลม


คนปั้นใช้ปลายนิ้วซ้ายกดลงไปด้านบน มือขวายังคงหมุนแท่นอย่างต่อเนื่องให้ความเร็วคงที่ ก้อนดินกลมเปลี่ยนรูปไปเกิดรูตรงกลางก่อนจะขยายใหญ่ขึ้น จนตอนนี้ก้อนเดินเหนียวทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์มีลักษณะคล้ายแก้วกาแฟอ้วนป้อมไม่มีหู


“นี่ไง เดาได้ยังว่าจะทำอะไร”


เดือนหันมายักคิ้วให้ ผมยาวปรกตาทำให้เจ้าตัวต้องคอยเอียงคอเพื่อให้กลุ่มผมหลบพ้นสายตาให้มองเห็นภาพตรงหน้าชัดๆ เขาหันซ้ายหันขวา ก้มลงไปหยิบยางเส้นเล็กที่หล่นอยู่ขึ้นมา ลุกขึ้นไปยืนด้านหลังของคนทำงาน เพราะเดือนนั่งอยู่เขาจึงต้องก้มตัวลง รวบผมสีดำสนิทยาวระต้นคอนั้น


“เออ ขอบคุณ เค้ากำลังจะบอกพอดี”

เหงื่อผุดเต็มใบหน้า โต๊ะทำงานของเดือนอยู่ใกล้เตาเผาที่กำลังทำงาน ปล่อยไอร้อนกระจายทั่วบริเวณ เขาหยิบทิชชู่วางบนโต๊ะเช็ดเหงื่อให้ร่างที่ก้มหน้าก้มตาขึ้นรูปงานปั้นต่อไป


“เฮ้ย เบาๆ หน่อยดิ หน้าหงายแล้วเนี่ย” เดือนบ่นอุบเมื่อเขากดมือหนักไปจนใบหน้าเกลี้ยงแหงนเงย


“ฮะฮะ   กินน้ำหน่อยไหม” หัวเราะกลบเกลื่อนแทนคำขอโทษ เดือนส่ายหัว



“คู่นั้นนะ สนใจชาวบ้านบ้างดิเว้ย” เสียงโห่แซวตามมาติดๆ

“พวกเอ็งอย่าแซวไอ้คุณมันมาก ไม่เห็นหรือไงพอซันมา มันทำงานเร็วขึ้นเยอะ” ฝันเจ้าเก่าบอกให้เพื่อนสงบปากสงบคำ

“ก็งี้แหละ ผู้ปกครองมาคุมนี่หว่า ฮ่าๆ”

“อยากมีคนซับเหงื่อให้จุงเบย” ถ้อยคำหยอกล้อคงไม่จบลงง่ายๆ ถ้าไม่มีประโยคนี้ของเขา



“แซวมากๆ นี่  ระวังเข้าตัวนะครับ”



เงิบ!!



ได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอจากเดือน กลายเป็นว่าคนอื่นชะงักกันหมด เขาไม่เคยสนใจเรื่องที่มีคนเอ่ยแซวเขากับเดือน แต่พอถึงตาเขาสวนกลับทีไร ทุกคนถึงกับพูดไม่ออกเงิบกันถ้วนหน้าแบบนี้ เลยชอบที่จะนิ่งๆ ยิ้มๆ ไปตามเรื่องมากกว่า


“กูว่าแล้วว่าทำไมไอ้คุณถึงอยู่ ไม่กล้าหือเลยวะ”

“เออๆ จริง ซันแม่งโหดแท้ เห็นเงียบๆ ยิ้มๆ แบบนี้”

“พวงเอ็งหุบปาก แล้วทำงานต่อได้แล้วย่ะ ข้าจะคุยกับซันแปบดิ” ฝันบอกให้เพื่อนๆ เลิกแซว แล้วเดินมาที่โต๊ะ



“ครับฝัน?”

“เรามีเรื่องรบกวนซันหน่อยน่ะ ไม่รู้ว่าคุณบอกหรือยังนะ” ฝันหันไปมองหน้า เดือนเป็นเชิงถามพอส่ายหน้าตอบ เธอก็ตบไหล่เดือนไปทีหนึ่ง แอบเห็นคนถูกตีคิ้วกระตุก

“พอดีว่าเดือนหน้า จะมีงานแสดงละครของน้องปีหนึ่ง”

“อ๋อ ครับ คงไม่ได้ให้เรามาเป็นพระเอกใช่ไหม” พูดติดตลก

“เปล่าๆ เราไม่รบกวนซันขนาดนั้นหรอก แต่ความจริงก็อยากได้อยู่นะ ซันสนใจจะ—“

“ฝัน!” เดือนเรียกชื่อเพื่อนที่ทำท่าจะออกทะเลไปไกลเสียงหนัก

“เอ้อ ถึงไหนละ มีงานแสดงละครใช่ไหม เราจะขอยืมเสื้อชอปวิทยาฯ หน่อย” ฝันกลับเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว พูดพลางพยักหน้าหงึกหงักกับตัวเอง

“อ้อ แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะเปื้อนจะเลอะนะ เดี๋ยวให้คุณดูแลให้อย่างดีเลย อีกอย่างใช้แสดงตอนเย็นจ้า ซันคงไม่ได้ใช้หรอกใช่ไหม” เธอพูดจบก็เอียงหน้า ส่งสายตาขอแกมบังคับมาให้


“ถ้าตอนเย็นก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ”


“ซันใจดีที่สุด” ฝันบอกขอบใจแล้วกลับไปทำงานต่อ


“ตัวไปยืมของเพื่อนให้อีกสักสองตัวดิ” เดือนบอกเมื่อลับหลังฝันไปแล้ว

“หืม? ไม่เอาเสื้อคนอื่น จะเอากี่ตัว เค้ามี 3 พอไหม” 

“ถ้างั้นก็ยืมหมดนั่นแหละ”

“อย่าเอาไปเละล่ะ”


“เออน่า ไม่เปื้อนหรอก เชื่อเค้าสิ” ขออย่างเดียวกลัวเสื้อเลอะ คณะนี้ยิ่งทำอะไรกันแผลงๆ อยู่เรื่อย



ยังจำได้ตอนปีหนึ่งช่วงรับน้อง เดือนผื่นขึ้นทั้งตัวจากการทำกิจกรรมที่มีทั้งแป้ง ทั้งไข่ น้ำ และสีต่างๆ ตอนไปโรงพยาบาล ขนาดพยาบาลยังนิ่วหน้าใส่ แม่บ้านมองตาเขียวโทษฐานที่ทำให้พื้นที่เพิ่งเช็ดไปเลอะอีกรอบ


“ตัวยังไม่กลับหรือ จะสี่ทุ่มกว่าแล้วนะ” เดือนบอกเวลา

“เออ งั้นกลับก่อนละ น้ำเต้าหู้ก็กินด้วยล่ะ เดี๋ยวปวดท้องอีกนะ”

“คร้าบๆ พ่อคร้าบ รีบกลับเถอะ” ลากเสียงยาวล้อเลียน

“แล้วก็...” เขาลังเล ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยออกไปดีไหม

“ว่า?” รอยยิ้มของเดือนวันนี้ทำให้เขาลองถาม

“อีกสองอาทิตย์ กลับบ้านด้วยกันไหม” รอยยิ้มกว้างเมื่อครู่หายไป ใบหน้านั้นกลับมาราบเรียบ อีกครั้ง


“...คงไม่ว่างหรอก ต้องอยู่ดูน้องซ้อมละคร ฝากบอกที่บ้านด้วยละกันนะ”

“ได้ๆ แม่น้องฝากมาบอกว่าคิดถึง” คนตรงข้ามหลบสายตาแล้วออกเดินนำ


“อือ ไปได้ละ”


เขาเดินตามมาพลางครุ่นคิด ตลอดสองปีที่ได้เรียนที่นี่ เขากลับบ้านเฉลี่ยแล้วแทบจะเดือนละสองสามครั้ง ในทางกลับกัน เดือนกลับบ้านอย่างมากแค่เทอมละครั้ง



เอาเถอะ ชวนบ่อยๆ อาจมีสักครั้งที่เดือนกลับด้วยกันก็ได้






มอเตอร์ไซด์แล่นออกไปตามแสงไฟบนถนน ได้แต่หวังว่าเดือนคงจะทำงานให้เสร็จเสียคืนนี้ ไม่โดนฝันเอาดินเหนียวกรอกปากอย่างที่ขู่ไว้ละกัน



----------------------------------
[20.12.58]
เป็นเรื่องที่ออกจะเอื่อยเฉื่อยสักหน่อยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ❤
Lavender’s blue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-12-2015 08:39:36 โดย Wendy »

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 3) 21-12-2558
«ตอบ #4 เมื่อ21-12-2015 22:51:33 »

Just Love รักนะครับ





3





“ซันว่าสีน้ำเงินกับสีเขียวใบไหนสวยกว่ากัน”



เสียงหวานใสของแพงสาวน้อยน่าตาจิ้มลิ้มกำลังเอียงคอทำหน้าตาน่ารักพลางยื่นกระเป๋าสองใบสองสีมาข้างหน้าให้เขาช่วยตัดสินใจ ใบหน้ารูปไข่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มยาวสยายถึงกลางหลัง ดวงตากลมโตสีอ่อน ริมฝีปากมันวาวด้วยสีชมพูใส เธอยกประเป๋าสลับซ้ายขวาเอียงตัวไปมาอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ 


อ่า...แพงเป็น...เรียกว่า แฟน? ยังหรอกนะ ถ้าจะให้ตั้งสถานะให้คนตรงหน้าในความรู้สึกของเขา เอาเป็นว่า เธอเป็น ‘คนคุยๆ กันอยู่’ ก็แล้วกัน อย่างที่เรียกกันว่า กิ๊ก ละมั้งมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนน่ะ ใช่เลย 


“สวยทั้งคู่ครับ แพงชอบสีไหนมากกว่ากันล่ะ”  เธอถามเป็นรอบที่สอง และเขาก็ตอบคำถามเป็นรอบที่สองแล้วเช่นกัน

“แพงชอบสีชมพู”

“ฮะฮะ งั้นก็เอาสีชมพูสิ”  สีที่สามนี่ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกเลย แต่ก็เอาเถอะ ส่งยิ้มให้เธอ คนน่ารักทำอะไรก็น่ารักอยู่แล้ว ไม่ว่ากัน ลอบระบายลมหายใจด้วยความเบื่อ

“ซันเบื่อแล้วหรือ แพงไม่ซื้อแล้วดีกว่า ซันอยากไปดูอะไรล่ะไปกันเถอะ” แพงจับอารมณ์ของเขาได้เร็วเสมอ แค่เริ่มเบื่อกับการตอบคำถามเธอรอบที่สาม เธอก็เปลี่ยนเรื่อง หันมายิ้มน่ารักให้แล้ว จับมือเขาออกเดินต่อไป


ไม่ได้เอาแต่ใจตนเองจนน่าเบื่อ หรือคอยเอาใจเขาจนน่ารำคาญ เพราะแบบนี้ละมั้ง...แพงถึงเป็นคนที่คิดว่าถ้าจะเป็นแฟนกัน...เป็นแพงก็ดีนะ



“ซันกินเค้กกันไหม” เวลามาเที่ยวด้วยกัน เธอมักจะถามถึงความต้องการของเขาเสมอ ไม่ทึกทักลากไปไหนๆ แบบ ‘คนที่คุยๆ กัน’ หลายคนเคยทำ



“ไอติมไหม ร้อนๆ อย่างนี้ สตอเบอร์รี่ที่แพงชอบเนอะ” เห็นว่าเธอโดนขัดใจไปแล้วจากร้านกระเป๋าเลยเอ่ยปากเอาใจ แพงไม่ตอบยิ้มกว้างและดวงตาเป็นประกายก็บอกความพอใจได้เป็นอย่างดี 









หลังจากแยกกันกับแพงแล้ว เขากลับมาถึงห้องพัก ขณะที่กำลังจัดขนมทานเล่นเข้าตู้เย็น โทรศัพท์ที่ตั้งด้วยเสียงเฉพาะก็ดังขึ้น

‘ซันๆ ทำอะไรอยู่จ้ะ’

“เพิ่งกลับมาถึงห้องครับ ไปข้างนอกมา”

‘แหม ไปเที่ยวกับสาวๆ ล่ะซิ แม่เห็นรูปนะ คนนี้ชื่อแพงหรือ” ติดตามทุกความเคลื่อนไหวแบบนี้แหละแม่ของเขา

“ครับ ไปเดินเที่ยวด้วยกันมา”  ไม่เคยมีความลับกับแม่อยู่แล้ว ท่านถามมาก็ตอบตรงๆ เสมอ

‘หน้าตาก็น่ารักดีนะแม่ว่า’

“นิสัยก็ดีด้วยนะแม่”  แอบโฆษณาทำคะแนนให้นิด


‘จ้าๆ สุดหล่อ นี่แล้วช่วงนี้ได้เจอเดือนบ้างไหมลูก’ หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันแล้วสักพักแม่ก็ถามถึงเดือน หรือนี่จะเป็นจุดประสงค์ที่โทรหาเขา?


“ไม่ได้เจอเลยแม่” มหาวิทยาลัยออกจะกว้าง คณะของเขากับเดือนใช่ว่าจะใกล้กันเสียเมื่อไหร่ ถ้าไม่ตั้งใจไปหา ทั้งสองคนก็แทบจะเดินสวนกันนับครั้งได้

‘เห็นแม่น้องบ่นๆ ว่าช่วงนี้เดือนไม่ค่อยสบาย ซันๆ แวะไปดูหน่อยสิ’


“อากาศเปลี่ยนก็อย่างนี้แหละแม่ เดี๋ยวก็หาย” เดือนไม่ได้เช่าหอพักอยู่คนเดียวอย่างเขา แต่อยู่กับเพื่อนประมาณเจ็ดแปดคนเช่าบ้านหลังใหญ่พักอยู่ด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าหากป่วยขึ้นมาเพื่อนๆ ก็ช่วยดูแลกันอยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้เป็นห่วง


“แม่ขนมที่ฝากมาคราวนี้รสชาติแปลกๆ เปลี่ยนร้านเหรอ”


ชวนคุยเรื่องอื่นอย่างไม่สนใจกระทั่งดวงอาทิตย์ลับฟ้า แม่ก็ย้ำให้เขาแวะไปดูเดือนอีกครั้งยอมรับปากแม่จึงวางสายไป


อากาศตอนหัวค่ำเย็นสบายกว่าตอนกลางวัน เอาเถอะ ออกไปดูก็ได้ ขยับตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจ คว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซค์
 




.

.

.





บ้านไม้สองชั้นสีขาวหลังเก่าตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้ บรรยากาศยามค่ำที่มีแสงสลัวยิ่งทำให้ตัวบ้านดูหม่นหมองลงไปอีก หลังคาสังกะสีขึ้นสนิมหลายแห่งไม่ต่างจากรางน้ำฝนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดยามต้องลม บานหน้าต่างด้านหน้าถูกตีปิดตาย ประตูไม้บานสีถลอกเปิดแง้มไว้เล็กน้อย เสียงเพลงดังแผ่วๆ แทรกออกมาจับใจความไม่ได้จากตัวบ้าน แสงสีเหลืองนวลส่องออกมาจากกระจกขุ่นเหนือประตู
 


เขาจอดมอเตอร์ไซด์ไว้นอกรั้วเก่า เดินผ่านประตูรั้วหน้าบ้านที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่งอย่างไม่กังวลเรื่องความปลอดภัย ไม่กี่ก้าวก็ถึงประตูหน้า กลิ่นควันบุหรี่ลอยเข้ามากระทบ เปิดประตูออก มองผ่านม่านควันที่ลอยอ้อยอิ่งเข้าไป


ชายหญิงหลายคนนั่งจิบเครื่องดื่ม พลางสูบบุหรี่ พูดคุยกันด้วยท่าทางแนบชิดท่ามกลางแสงไฟหรี่สลัวและเสียงเพลงคลอเบาๆ มีบ้างที่เหลือบตามองคนแปลกหน้าแต่ก็ผละไปอย่างไม่สนใจ มองหาใบหน้าที่พอจะเคยคุ้นจากกลุ่มคนเหล่านั้นแต่ก็ไม่พบ ระหว่างที่เขากำลังชั่งใจว่าจะเดินขึ้นไปดูที่ชั้นสองดีหรือไม่ ก็มีเสียงทักขึ้นมา



“ซัน?” หันไปตามเสียงเรียกก็เจอกับคนที่มาหา เดือนนั่นเอง “ไปคุยกันข้างนอกเถอะ” เดือนเข้ามากระซิบข้างหูแล้วเดินนำออกมา


“เห็นว่าไม่สบายเค้าเลยมาดู แต่ตัวท่าทางก็ไม่เห็นเป็นไร หายดีแล้ว?” เขาพูดขึ้นเมื่อเราออกมายืนที่หน้าบ้าน พ่นลมหายใจแรงเพื่อขับไล่กลิ่นควันบุหรี่ที่สูดเข้าไป แล้วต้องย่นจมูกเมื่อทราบว่ากลิ่นฉุนนั้นติดตัวมาด้วย


“ไม่ได้ป่วยหรอกน่า สบายดี” เดือนทำหน้ายุ่ง ยกมือปัดยุงไปมา กลิ่นบุหรี่ยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก สายลมโชยพัดผ่านคราวนี้กลิ่นดูจะบางเบาลงไป


“เดือนย้ายออกมาเถอะ อยู่ที่นี่...” แม้จะบอกเดือนทุกครั้งที่เขามาบ้านหลังนี้ แต่คำตอบก็ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยน


“เค้าก็บอกตัวหลายรอบแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ ไม่ต้องพูดแล้ว” เดือนตอบเสียงเรียบ แสงไฟน้อยเหลือเกินทำให้มองไม่เห็นหน้าตาขงคนพูด แต่ถ้าให้เดาเดือนก็คงตีหน้านิ่งเรียบเฉยเหมือนน้ำเสียงนั่นแหละ แม้จะรู้ว่าถ้าพูดเรื่องนี้ทีไรคนตรงหน้าจะไม่พอใจแต่ก็ยังอดไม่ได้ทุกที


“ดื้อ” เขาว่าเข้าให้  ไอ้บ้านหลังนี้ไม่เห็นจะน่าอยู่ตรงไหน มากี่ครั้งก็เห็นคนในบ้านดื่มเหล้า สูบบุหรี่กันคลุ้ง ห้องไฟสลัวเมื่อครู่ที่เดินเข้าไป ยังเห็นว่ารกรื้อไปทุกแห่ง เสื้อผ้า ข้าวของวางกองกันมั่วไปหมด เดือนทนอยู่เข้าไปได้ไง สกปรกแย่
   

แสงจากไฟถนนที่อยู่มุมรั้วส่องให้เห็นเพียงการแต่งกายของอีกฝ่ายรางๆ  กวาดตามองการแต่งกายของคนตรงหน้าแล้วส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่ชอบใจ


ผมระบ่าเมื่อตอนต้นเทอมที่เจอกันครั้งล่าสุดยาวขึ้นกว่าเดิมจนเจ้าตัวใช้ดินสอมวนไว้ได้แล้ว เสื้อยืดสีดำตัวโคร่งที่ใส่อยู่คอกว้างเสียจนเห็นกระดูกไหปลาร้าชัด เดือนผอมลงอีกแล้ว กางเกงขาสั้นที่สวมอยู่ก็สั้นเสียจนถูกเสื้อคลุมทับไว้หมด ดูผาดๆ อาจเข้าใจว่าไม่ใส่กางเกงด้วยซ้ำ


เดือนคงรับรู้ว่าเขาไม่พอใจเรื่องการแต่งกายเท่าไหร่จึงขยับขาไปมา สายตาประสานกันอยู่นั้นดวงตาสีเข้มเปล่งประกายท้าทายชั่วแวบหนึ่ง เมื่อกะพริบตาก็หายไป ระหว่างที่ความเงียบเข้ามายืดพื้นที่การสนทนา ประตูบ้านก็เปิดออกพร้อมกับเสียงทุ้มห้าว



“คุณมาอยู่ตรงนี้นี่เอง พี่ตามหาตั้งนาน” แม้จะอยู่ในที่แสงน้อยเขายังเห็นว่าผู้พูดเป็นผู้ชายผิวคล้ำรูปร่างสูงใหญ่ กายนั้นเดินตรงมาที่เดือน คว้าเอวไปกอดไว้แน่นพร้อมซุกหน้าลงมาที่ซอกคอขาว


เดือนผลักคนตัวโตออกแล้วเอ็ดเสียงดัง ชายแปลกหน้าจึงสังเกตเห็นว่ามีเขายื่นอยู่ตรงนั้นอีกคน เราประสานสายตากัน สักพักหมอนั่นก็ยักไหล่แล้วพูดกับเดือนใกล้จนริมฝีปากหนาชิดกับปากของอีกฝ่าย


“พี่รออยู่นะ”


กดแนบกับกลีบปากบาง เดือนหันหน้าหนี ชายหนุ่มก้มลงงับแก้มสีซีดแล้วก็เดินกลับเข้าไป


ทิ้งไว้ซึ่งความเงียบระหว่างเราสองคนอีกครั้งซึ่งครั้งนี้มวลอากาศกลับข้นหนักจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง เขาไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรจึงได้แต่ยืนนิ่ง หวังว่าเดือนอาจทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ไปเสีย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เป็นพยานในรู้เห็นในเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย


แต่จะให้พูดว่า ชิน หรือ ยังไงก็ไม่ใช่คำนี้แน่ๆ




เดือนยังคงยื่นเฉย แสงไฟริมรั้วส่องไปไม่ถึงใบหน้าของกันและกัน เดือนจะทำหน้าอย่างไรออกมาในรูปแบบไหน เขินอายจากภาษากายของชายหนุ่มเมื่อครู่ หรืออาจโมโหที่เขาเข้ามาขัดจังหวะหรือเปล่า เขาไม่ทราบ



“เออ...งั้นเดือนก็ดูแลดีๆ ตัวเองละกัน เค้าไปล่ะ” เป็นเขาที่ทนไม่ไหว เอ่ยลาคนที่นิ่งเงียบ หากเป็นปกติคงเข้าไปขยี้หัวอีกฝ่ายจนเจ้าตัวร้องห้ามเสียงหลงจนพอใจก่อนจะกลับ แต่วันนี้...มันไม่ปกติแล้วล่ะ



จนติดเครื่องมอเตอร์ไซด์ เดือนที่เดินตามมาตอบรับเบาๆ แค่ “อื้อ”  คล้ายมีเสียงสะอื้นดังลอดออกมาแผ่วๆ หรือเปล่า ไม่นานก็มีแต่เสียงเครื่องยนต์และเสียงลมฉวัดเฉวียดตามเขาไปทุกที่จนถึงที่พัก   





.

.

.




ประตูเปิดออก ร่างที่เพิ่งก้าวเข้ามาถูกรวบไปกอดรัดเสียแน่นตามมาด้วยเสียงประตูล็อกดังกริ๊ก



สองแขนขาวซีดยกขึ้น เสื้อยืดสีดำถูกดึงออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วลิ้นร้อนๆ ก็สัมผัสกับแผ่นอกขาวทันที สองมือหนาลูบไล้ร่างกายของคนที่ยื่นนิ่งไม่ต่อต้านการจาบจ้วง ไม่ขัดขืนแต่ก็ไม่ร่วมมือ 



“คุณ” เสียงแหบพร่ากระซิบกับขมับทำให้ดวงตาสีดำวาวราวกับเม็ดลำไยลืมขึ้น ใบหน้านั้นแดงปลั่งด้วยแรงอารมณ์ที่คุกกรุ่นอยู่ภายใน เจ้าตัวไล้มือซีดขงตนเองไปตามเค้าหน้ากายสูงใหญ่ คว้าปลายคางของใบหน้าที่กำลังซุกไซร้ลำคอของตนให้ขึ้นมาสบตา



“เดือน เรียกว่า เดือน ที” เอ่ยออกไปด้วยเสียงเบาหวิวทว่ามันดังเหลือเกินในยามที่ร่างกายทั้งสองบดเบียดจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันอยู่ในตอนนี้
 


แววตางุนงงผ่านเข้ามาในดวงตาเสี้ยววินาที แล้วหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อร่างเล็กเริ่มเป็นฝ่ายปลุกเร้าความต้องการของตนเอง มือเล็กลูบไล้แผ่นอกแกร่ง กล้ามท้อง ลูบผ่านขอบกางเกงอ้อยอิ่ง แผ่วเบา รางกับจะยั่วเย้า ร่างสูงใหญ่รวบเอวบาง ก้าวไปอีกสามก้าวจึงล้มลงบนเตียง



มือซีดดึงดินสอที่ม้วนผมออก เส้นผมสีเดียวกับดวงตาแผ่สยายคลุมหมอน เมื่อคนที่กำลังถอดเสื้อออกโน้มตัวขึ้นคร่อม คว้ามือขาวมาวางไว้ที่กลางลำตัว กระซิบเสียงพร่า



“ช่วยพี่ถอดหน่อยนะ เดือน”



ราวกับคำนั้นเป็นสวิตช์เปิดเครื่องจักร ร่างข้างใต้มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว สองมือรีบเร่งดึงกางเกงของอีกฝ่ายลงระหว่างนั้นก็เข้าประชิดประกบริมฝีปาก แลกลิ้นดูดดื่ม






“ถุง!” เสียงเข้ม


“ไม่ได้หรือ” กระซิบเสียงพร่าพร้อมปลุกปั่น


“ไม่! ถ้าไม่ก็พอ”  เสียงนั้นเด็ดขาดชัดเจนและมั่นคง ราวกับว่าห้วงอารมณ์เร้าร้อนที่ร่วมกันก่อไม่ได้มีผลกับการควบคุมสติของร่างข้างใต้แต่อย่างใด



ข้อมือขาวปัดมือหนาให้พ้นจากตัว กำลังจะดันร่างให้ลุกขึ้น ร่างสูงใหญ่ก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสตางค์ในกางเกงที่ถูกถอดทิ้งไว้ข้างเตียงขึ้นมา คว้ามือเล็ก



“งั้นก็...ใส่ให้ด้วยสิ แบบไม่ใช้มือน่ะ” เมื่อร่างตรงหน้ายังนิ่ง จึงพูดต่อ “นะครับ..เดือน” ทอดเสียงท้ายอ่อนยาว



ความมืดคืบคลานเข้าปกคลุมดวงตาทั้งสองข้าง ร่างกายถูกกลืนกินทีละน้อย ทีละน้อย ทั้งๆ ที่ถูกกกกอดแต่ร่างกายกลับหนาวเหน็บ ท่ามกลางความดำมืด แสงสีขาวส่องกะพริบจากจุดเล็กค่อยขยายใหญ่ขึ้น ที่ปลายทางของอุโมงค์แว่วเสียงกระซิบที่กระชากร่างขึ้นมาด้วยแรงมหาศาล แจ่มจ้า บางเบา


‘เดือน’

















“เดือน”


มือหนายังคงลูบไล้ร่างกายไม่หยุด เสียงห้าวกระซิบเรียกชื่อซ้ำๆ ร่างso7j’ขยับตัวลุกขึ้นคว้าเสื้อผ้าที่ถูกถอดไปทั่วขึ้นสวม พูดขึ้นโดยไม่หันไปมองหน้า


“พอเถอะ เรียกว่า ‘คุณ’ อย่างเดิมได้แล้ว ถ้าจะนอนต่อก็ตามสบาย”


เอื้อมมือมาที่ลูกบิดประตูแล้วชะงักอย่างนึกขึ้นได้ กลับไปมองคนที่นอนนิ่งบนเตียงอีกครั้งก่อนออกจากห้องไป
 





“คนชื่อเดือนน่ะ พี่ไม่รู้จักหรอกนะ อย่าเผลอไปเรียกเข้าล่ะ” 


----------------------------------------------
[21.12.58]
*กอดเดือน*
 :กอด1:
Lavender’s blue
   

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 4) 22-12-2558
«ตอบ #5 เมื่อ22-12-2015 21:27:59 »


Just Love รักนะครับ





4






“ตาเดือน ออกมาจากบ้านหลังนั้นเดี๋ยวนี้ นี่เป็นคำสั่ง เข้าใจไหม!!”



เสียงแม่น้อง แม่ของเดือนดังสนั่นทันทีที่ประตูห้องพักปิดลง


แม่ของเขาและแม่น้องมาเยี่ยมแบบไม่บอกล่วงหน้า สงสัยกะมาเซอร์ไพรซ์ลูกๆ ผลปรากฏว่า โดนลูกเซอร์ไพรซ์แทนสังเกตจากท่าทางของแม่ทั้งสองคนแล้วคงจะตกใจกันน่าดู

   

“แม่!!” เดือนเรียกแม่ตัวเองเสียงดัง เดินลงส้นเสียงตึงตังกระแทกตัวนั่งบนโซฟาท่าทางหัวเสีย
   

แม่น้องเดินตามไปยืนประจันหน้า สองมือจับใบหน้าลูกชายพลิกซ้ายขวาไม่สนใจการขัดขืน กวาดสายตาขึ้นลงสำรวจสภาพร่างกายอย่างรวดเร็ว

   

“แค่เห็นแม่ก็ทนไม่ไหวแล้ว เสื้อผ้ากองแกะกะ กลิ่นบุหรี่ ซากขวดเหล้าขวดเบียร์เป็นลังๆ  โอ้ยยยย...เห็นแล้วจะเป็นลม แล้วดูเราสิ จุดแดงๆ ตามตัวนี่มันอะไร ยุงกัดหรือเป็นอีสุกอีใสฮะ  เสื้อผ้านี่ซักกันบ้างหรือเปล่า แล้วเราทำไมเล็บยาว ผมยาวอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่ลูก แม่นึกว่าเป็นพวกขี้ยาที่ไหน ดูเพื่อนแกแต่ละคน โอ้ยยย รับไม่ได้ๆ”

   

แม่น้องวีนแตก พอจบคำว่า ‘รับไม่ได้ๆ’ เธอก็ทำท่าจะเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจนต้องช่วยพยาบาลกันยกใหญ่ ยาดม พิมเสน ยาหอม ถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าถือของแม่เขาเอง ช่างเป็นคนที่เตรียมพร้อมทุกอย่างจริงๆ

   


จากสายตาของเขาสภาพของเดือนก็ไม่ถึงกับเป็นพวกขี้ยาหรอก แค่ติสท์ๆ เซอร์ๆ ตามสไตล์เด็กศิลปกรรมศาสตร์เท่านั้น ถ้าจะผิดก็ผิดที่เดือนเองที่ผอมลงกว่าเดิมมากจนทำให้ดูซูบซีดเข้าไปใหญ่
   


ระหว่างที่พยาบาลนั้น คนต้นเหตุพาหน้างอง้ำขยับเข้าใกล้ ฉวยพัดจากมือเขาไปพัดให้แทน ริมฝีปากบางเม้มโค้งเป็นรูปตัวยูคว่ำ ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดรอดจากริมฝีปากที่เม้มสนิทแม้แต่น้อยทว่าดวงตากลับแฝงด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด

   


“น้องอย่าไปว่าลูกมากนักเลยเธอ ช่วงนี้เดือนทำโปรเจ็คไม่ใช่หรือจะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลบ้านเล่า แค่เวลาจะกินจะนอนยังไม่มีเลย เธอดูสิ ลูกผอมลงไปอีกแล้วนะ”

   

แม่เห็นท่าไม่ดีจึงเป็นฝ่ายไกล่เกลี่ยกับแม่น้องเบาๆ โดยมีเขาพยักหน้าเห็นด้วย ช่วงทำงานส่งแค่เวลาจะนอนยังหาได้ยาก อย่าไปหวังให้ต้องดูแลเรื่องอื่นเลย

   

“แล้วทำไมตาซันถึงทำได้ล่ะ ซันก็ต้องทำงานเหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่รู้แหละยังๆ แม่ก็ไม่อยากให้เดือนอยู่บ้านนั้นแล้ว” แม่น้องหันมาพูดเสียงอ่อน มองหน้าเขาสลับกับเดือน สุดท้ายหันไปมองเดือนตาขวาง ตอนนี้สองแม่ลูกทำหน้าตาแบบเดียวกันไม่ผิด


   
“แล้วแม่จะให้เดือนทำไงละ” เดือนพูดเสียงสะบัด ติดประชด มือยังคงขยับพัดอย่างต่อเนื่อง

   
แม่น้องมองหน้าเดือน ย้ายมามองหน้าเขา หันไปสบตากับแม่ แล้วทั้งคู่ก็พยักหน้าพร้อมกัน ใบหน้าประดับรอยยิ้มกว้าง ไม่พอยังพูดพร้อมกันอีกว่า


   

“ก็ย้ายมาอยู่กับซันๆ ซะสิ”

   

ฮะฮะ...สองคนคงจะเตี๊ยมกันมาแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แค่สบตาก็รู้ใจขนาดนี้ เขาส่ายหัวกับแม่ที่แกล้งตีหน้าซื่อไม่สนใจสายตารู้ทันจากเขาและเดือน
 




แล้วแผนเซอร์ไพรซ์ของแม่ๆ ก็ประสบความสำเร็จ ทั้งเขาและเดือนมองหน้ากันความรู้สึกที่ไม่ต้องอธิบายด้วยคำพูดปรากฏขึ้นในดวงตาสีเข้ม เดือนถึงกับถอนหายใจออกมาเสียงดัง 

    

“ถ้าแม่ๆ บอกว่าจะให้มาอยู่กับซันๆ แต่แรกก็จบแล้ว ทำไมต้องทำอะไรวุ่นวายด้วย” เดือนถามแม่ๆ ทั้งสอง อารมณ์คงเริ่มดีแล้วถึงได้เอ่ยปากถาม

   

“ตอนแรกแม่ก็กะจะมาแค่เยี่ยมพวกลูกๆ เฉยๆ แบบไม่ให้รู้ตัว...” แม่เขาเป็นคนอธิบาย
   

“มาแอบดูพฤติกรรมพวกผมน่ะสิแม่” เขาพูดแทรกขึ้น แม่หันมาซัดไหล่แล้วพูดต่อ

   

“แม่ก็อยากรู้ไงว่ากินอยู่กันอย่างไร ทำอะไรกันบ้างวันๆ น่ะ มาที่ห้องเราก่อนนะซันๆ แม่ยังกลัวว่าเราจะแอบเอาสาวๆ มานอนด้วยเสียอีก”

   

แม่โพล่มาที่ห้องตอนแปดโมงเช้าเกือบเก้าโมง ไขกุญแจห้องเข้ามาเองด้วยกุญแจสำรอง เวลานั้นเขายังไม่ตื่นเพราะเพิ่งเข้านอนตอนหกโมงเช้า
   

แผนการมาสำรวจพฤติกรรมของลูกคราวนี้นับว่าชาญฉลาดเพราะมาแบบไม่บอกล่วงหน้า แต่ช่องโหว่งอย่างหนึ่งของแผนการนี้คือช่วงนี้เป็นช่วงที่ทั้งเขาและเดือนต้องทำงานส่งจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน เรื่องที่แม่คาดว่าจะมาเจอน่ะ ไม่มีทาง 
   
   

“โหแม่ คิดว่าลูกชายเป็นคนยังไงเนี่ย” กอดเอวแม่ออดอ้อน
   
“แม่ก็คิดว่าลูกชายแม่ ฮอตสุดๆ น่ะสิ ในเฟสมีสาวมา สวัสดีพี่ซัน ขอบคุณพี่ซันสุดหล่อ พี่ซันน่ารัก พี่ซันใจดีเต็มไปหมด”

   
ถ้ามีแม่เป็นเพื่อนในเฟสบุคแล้วล่ะก็ อย่าไปคิดมีความลับเชียวนะ พวกแม่นี่ยิ่งกว่าแฟนเก่าเสียอีก อัพเดทตามติดทุกความเคลื่อนไหวไม่มีพลาด

   


แม่ทั้งสองเข้ามาในห้อง พอเห็นเขานอนหลับก็บ่นนิดหน่อยเรื่องห้องรกกับจานที่ไม่ได้ล้าง ทั้งคู่คงเห็นผมเรียบร้อยเป็นเด็กดีที่นอนตื่นสาย ไม่มีเรื่องอะไรให้เป็นห่วง ก็พากันไปยังบ้านเช่าของเดือน ทิ้งเขาให้ทานข้าวเช้าที่แม่ทำมาให้ที่ห้องลำพัง

   

“พอไปบ้านเดือน แม่ก็...” แม่เพื่อหยุดพิจารณาเลือกคำที่จะไม่ทำร้ายความรู้สึกของแม่น้องและเดือนมากนัก แม่น้องก็รีบพูดขึ้นก่อน

   

“แม่น้องก็ตกใจสุดๆ น่ะสิซันๆ เอ้ย ผู้หญิงผู้ชายนอนกันเกลื่อน กลิ่นบุหรี่ กลิ่นเหล้าเหม็นเต็มบ้านไปหมด ยังดีที่ตาเดือนอยู่ชั้นสองไม่มีกลิ่นอะไรให้แม่ปวดหัว แต่ห้องนี่รกมาก แม่น้องว่าบางทีหนูอาจเข้าไปนอนกับเดือน รายนี้ยังจะไม่รู้ตัวเลย”

   


เขาลุ้นเหตุการณ์ตอนที่แม่ๆ ไปหาเดือนมากกว่าตอนที่ทั้งสองคนโผล่มาหาตัวเองเสียอีก สบตากันเดือนยักคิ้วให้ข้างหนึ่ง แปลว่า เหตุการณ์เรียบร้อย ไม่มีเรื่องที่ทำให้สองคุณนายระคายเคือง ฟังจากเรื่องที่แม่เล่าๆ มาพอก็จะทราบเรื่องอยู่ ถ้าเจอ ‘แจ็ตพอต’ เข้าละก็...ไม่อยากจะคิดเลยสิ

   

ต้องสารภาพอีกอย่าง พอแม่ออกจากห้องไป สิ่งแรกที่เขาทำคือรีบกดโทรศัพท์หาเป้าหมายต่อไปทันทีหลังเสียงประตูปิด ลองนึกภาพตามมันคงจะไม่สวยเท่าไหร่ที่ถ้าแม่โพล่ไปบ้านเดือนแล้วเจอเดือนนอนบนเตียงกับ ‘เพื่อน’ ที่เป็นผู้ชายด้วยกัน แต่ไม่สวมเสื้อผ้าใช่ไหมล่ะ

ด้วยความช่วยเหลือจากเขา ‘แจ็คพอต’ เลยไม่แตก โล่งใจไปที

   


เขาตกอยู่ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด ปกปิดความลับของเดือนกับแม่มาตั้งแต่สมัยเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ หลังจากที่เจอ ‘แจ็คพอต’ ด้วยตนเองครั้งแรกที่เอาของไปให้เดือนที่บ้านตอนเช้าอย่างที่แม่ได้พยายามทำนี่แหละ

   

คราวนั้น ‘เพื่อน’ ของเดือนก็ตัวสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้มคล้ายคนที่เจอเมื่อวันก่อนที่แม่ให้แวะไปดูอาการป่วยของเดือน อืม...สงสัยสเป็คของลูกชายเพื่อนแม่คนนี้ คงเป็นพวกดาร์ก ทอลล์ แอนด์แฮนด์ซัม เจ้าตัวอาจเบื่อผิวขาวซีดของตัวเอง แฟนแต่ละคนเลยเป็นคนผิวสีเข้มๆ ทั้งนั้น

   

นั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองไปพักใหญ่ เสียงของแม่ผมก็ดังเข้ามาขัดจังหวะ มืออบอุ่นอ่อนนุ่มของแม่ก็เอื้อมมาจับแขนเขา

   

“...เดือนก็มาอยู่ห้องที่ว่างเลยลูก ซันๆ ไม่ว่าอะไรหรอกใช่ไหมจ๊ะ” ห้องนั้นเป็นห้องทำงานของเขาต่างหากเล่า ไม่ได้ว่างเสียหน่อย คิ้วขมวดกับสิ่งที่ได้ยิน กำลังจะแย้งออกไปอย่างใจคิด แม่ก็จิกแขนเต็มแรง จนต้องพยักหน้าไปแบบแกนๆ แม่ส่งยิ้มหวานมาให้แล้วคลายนิ้วออก แม่จับแขนเขาไว้เพราะรู้ว่าจะปฏิเสธหรือเปล่านะ



เดือนสบตาเขา ดวงตาสีดำสนิทมีคำถามที่แม้ไม่ได้เอ่ยออกมาก็เข้าใจ ..รบกวนหรือเปล่า..มาอยู่ด้วยจะดีเหรอ...พยักหน้าให้เป็นคำตอบ เดือนก็พยักหน้ากลับมา ..ขอบใจนะ...

   

“งั้นก็ไปขนของวันนี้เลย แม่จะได้ช่วยจัด” แม่น้องเห็นท่าทางของเขาและเดือนก็รีบพูดราวกับกลัวว่าถ้าช้าไปอีกนิด ลูกชายของเธอจะเปลี่ยนใจ ไม่ยอมทำตามข้อตกลงเสียอย่างนั้น
 
   

พวกเราก็ช่วยกันย้ายของของเดือนจากบ้านเช่าเข้ามาที่ห้องพักตั้งแต่สิบโมงเช้าจนเกือบห้าโมงเย็นทุกสิ่งทุกอย่างจึงเรียบร้อย

   

ไม่ต้องบอกเลยว่าหูชากับคำบ่นของแม่ๆ กันขนาดไหน เมื่อไปค้นเจอซองบุหรี่เปล่าๆ กระป๋องเบียร์ เสื้อผ้าที่เดือนยังไม่ได้ซักกองอยู่บนเศษอุปกรณ์ทำงานปนกันไปหมด








.

.

.







   

อาหารเย็นอร่อยถูกปากเมื่อได้แม่ครัวที่คุ้นเคยทำให้ทานถึงที่ คืนนี้แม่ก็จะนอนพักที่ห้องก่อนแล้วพรุ่งนี้สายๆ จึงกลับ

   

เขาพลิกตัวกอดเนื้อเย็นๆ ของแม่ทันทีที่แม่ล้มตัวลงนอนข้างๆ สูดกลิ่นแป้งหอมอ่อนที่แม่มักทาประจำก่อนนอน แม่ยกมือขึ้นลูบหัวอย่างตอนที่เขาเป็นเด็ก หลับตาพริ้ม

   

“ซันๆ” แม่พูดขึ้นเมื่อเรานอนกอดกันสักพัก

“ครับแม่” ตาปิดไปแล้วด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการขนของขึ้นลงเกือบทั้งวัน

“ช่วยแม่น้องดูแลเดือนหน่อยนะลูก”

“โธ่แม่ เดือนก็อายุเท่าผมน่า ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก” เดือนเรียนปีสามเท่ากับเขา ไม่ได้อยู่อนุบาลสามเสียเมื่อไหร่

“ซันก็รู้ว่าเดือนไม่ชอบดูแลตัวเอง ชวนเดือนทานข้าวให้ครบทุกมื้อ เตือนให้ซักผ้าบ้าง แบ่งกันกวาดห้องทำความสะอาดห้องเสียบ้าง แม่เห็นวันนี้แล้วเหนื่อยใจ พูดกันดีๆ ล่ะ อย่าทะเลาะกันนะ”

“ไม่ทะเลาะกันหรอกครับ โตแล้วน่าแม่ แล้วเรื่องพูดกันดีๆ นี่ ซันกับเดือนพูดกันเพราะมาก จนโดนล้อว่าเป็นแฟนกันไปทั้งมหา’ลัยแล้วแม่ รู้หรือเปล่า”

   
โอดครวญกึ่งฟ้องแม่ ถึงจะบอกว่าโตแล้ว แต่กับพ่อแม่อย่างไรเสียเราก็ไม่เคยอยากที่จะ ‘โต’ ยิ่งกับเขาแล้วอ้อนได้อ้อนดีเลยล่ะ
   

“ฮะฮะ เป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ ทั้งแม่กับแม่น้องจะได้หายห่วง” แม่พูดติดตลก


“แม่ยังจำเรื่องเจ้าสาวของซันๆ ได้อยู่เลยนะ” แม่เอ่ยแซว


“โหยแม่ ซันโตแล้วเรื่องนี้ขอเถอะคร้าบบบ อย่าล้อเลย” รีบขัดพลางรัดแม่แน่ขึ้น


“ทำไมละ แม่ว่าน่ารักดีนะ เดือนตอนนี้ก็ยังน่ารักใช้ได้นะซันๆ เปลี่ยนใจมารักมาชอบเหมือนตอนเด็กๆ แม่กับป๊าก็ไม่ว่าอะไรหรอก” 
   





พูดเรื่องนี้แล้วอายชะมัด ความทรงจำย้อนกลับไปตอนที่เขากับเดือนยังเป็นละอ่อนอยู่นั้น เขาเข้าใจผิดมาตลอดคิดว่า เดือน...เป็นเด็กผู้หญิง



ใบหน้าหวานใส ดวงตาสีดำเข้มเป็นประกาย แก้มยุ้ยสีชมพูอ่อน ริมฝีปากสีสดภาพถ่ายสีซีดจางไปตามกาลเวลายังยืนยันได้เป็นอย่างดี เดือนในตอนนั้นมองยังไงก็เด็กผู้หญิงชัดๆ


ทั้งแม่น้องเองก็ชอบให้ลูกชายตัวน้อยใส่ชุดสีอ่อน สวมหมวกกันแดดเสมอ ดูแลทะนุถนอมมาก เวลาเขาจะเล่นกับเดือนแรงๆ ทีไรก็โดนห้ามทุกที ต่างจากแม่ของเขาที่ไม่เห็นจะดูแลถนอมขนาดนั้น ปล่อยให้ตากแดดตัวดำคล้ำจนโตเลยทีเดียว



เด็กชายตะวันในชั้นอนุบาลสาม ช่วงนั้นใครๆ ก็ฮิตมีแฟนกัน เขาก็มีบ้างตามแฟชั่น ชวนเดือนที่อยู่ต่างห้องมาเป็นแฟนกัน ทั้งที่ยังไม่ทราบความหมายของคำว่า ‘แฟน‘ ด้วยซ้ำ แค่เข้าใจว่าต้องมาโรงเรียนด้วยกัน กลับด้วยกัน แบ่งขนมกัน เล่นด้วยกันเท่านั้น อย่างนั้นเขาและเดือนก็เป็นแฟนกันตั้งแต่เกิดแล้วล่ะ เราทำทุกอย่างที่ว่ามาด้วยกันตั้งแต่จำความได้



เย็นวันนั้นตอนที่แม่มารับ เขารีบวิ่งไปหาแม่จับมือของเดือนที่เลอะไอศกรีมไปด้วย แล้วพูดกับแม่อย่างมั่นใจว่า


‘ผมกับเดือนเป็นแฟนกันแล้วนะแม่’


แม่น้องที่กำลังเช็ดมือของเดือนอยู่หัวเราะเสียงดังประสานเสียงกับแม่ เขาขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงหัวเราะ เป็นแฟนกันเป็นเรื่องน่าขำตรงไหน

‘แล้วพอโตขึ้นเดือนก็จะเป็นเจ้าสาวของซันด้วย เนอะเดือน’ อันนี้เพิ่งคิดได้ ยังไม่ได้ตกลงกันจึงหันไปถามคนข้างตัว


เดือนพยักหน้าตอบ ส่งยิ้มหวานอวดฟันหลอมาให้
 

‘แม่กับแม่น้องอย่าหัวเราะสิ ซันพูดจริงนะ‘เริ่มไม่พอใจเมื่อทั้งสองคนยังคงหัวเราะทั้งที่เขาจริงจังมากขนาดนี้


‘จ้ะ จริงจ้ะ ว่าแต่ซันๆ รักเดือนหรือจ๊ะ’ แม่น้องอุ้มเดือนขึ้นแล้วก้มลงถามเขาที่ยืนเกาะชายกระโปรงของแม่


‘รักครับ’ ตอบไปด้วยน้ำเสียงฉะฉานเท่าที่เด็กวัยอนุบาลจะทำได้

‘แล้วเดือนล่ะ รักซันๆ หรือเปล่า’ คราวนี้แม่เป็นฝ่ายถามเดือนบ้าง

‘รักครับ’ เดือนตอบอายๆ แก้มแดงจัดจากการที่โดนทั้งลากทั้งวิ่งมา



...ครับหรือ...สะกิดใจจึงดึงกระโปรงแม่แล้วถาม



‘ทำไมเดือนพูดครับล่ะแม่ เป็นผู้หญิงต้องพูด ค่ะ ไม่ใช่เหรอ’


แม่กับแม่น้องหัวเราะกันอีกยก แล้วจึงตอบคำถามที่ทำให้เขาตกใจไปสามวัน


‘ซันๆ เดือนเป็นผู้ชายเหมือนลูกน่ะสิจ๊ะ’



จำไม่ได้ว่าต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าตัวเองแผดเสียงร้องไห้จ้า รู้สึกเสียดายไอศกรีมที่แบ่งให้เดือนทานที่สุด












เป็นความทรงจำที่เมื่อมีโอกาสแม่มักจะเอามาล้อทั้งเขาและเดือนเสมอ



“แม่กับแม่น้องตั้งชื่อให้สองคนคู่กัน ซันๆ กับเดือน ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ดูแลกันด้วยนะลูก”




คำพูดทิ้งท้ายของแม่คืนนั้น
เขาได้ยินตั้งแต่จำความได้
ไม่ได้ตอบรับแต่ขยับตัวกอดแม่แน่นกว่าเดิม


-------------------------------------
[22.12.58]
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
Lavender’s blue
   

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 4) 22-12-2558
«ตอบ #6 เมื่อ23-12-2015 10:33:28 »

หม่นๆดี ชอบ

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 5) 23-12-2558
«ตอบ #7 เมื่อ23-12-2015 15:16:10 »



Just Love รักนะครับ





5






“เฮ้ยๆ ส่งให้ไอ้บอลสิเว้ย ...เออดี อย่างงั้นแหละ”
   
“วิ่ง!! ไอ้ศักดิ์ให้ไวหน่อยเว้ย พ่อมึงจะเสียประตูแล้ว”

“โอ้ยยยย เชี่ย เมื่อกี้ทำอะไร เต้นระบำหรือไงหะ ลูกผ่านหน้าแท้ๆ สกัดไม่ได้”


ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างสนามออกท่าทางสุดมันส์ บ้างลุกยืน บ้างนั่งนิ่ง บ้างก็วิ่งตามลูกกลมๆ ที่กลิ้งบนสนามหญ้าพร้อมตะโกนเสียงดังสุดใจขาดดิ้น เมื่อทีมตนเองได้ลูกก็ดีใจล้นเหลือ ส่งยิ้มหน้าบาน แต่เมื่อทีมเป็นฝ่ายตั้งรับกลับทำหน้าหยิกงอ ตะโกนด่าลูกทีมป่าวๆ ทำให้หลายคนอยู่ใกล้หัวเราะขบขัน ทั้งที่รู้ว่าถูกมอง ถูกหัวเราะกับท่าทางเหล่านั้น เจ้าตัวกลับไม่สนใจ ซ้ำยังคงแสดงอาการนั้นอยู่เนื่องๆ



เมื่อถึงเวลาพักครึ่งนักฟุตบอลต่างพากันนั่งพัก คนที่ยืนส่งเชียร์เมื่อครู่ก็ช่วยส่งน้ำ ส่งผ้า พูดจาเล่นหัวกันอย่างทั่วถึง 
   

“พี่กายเหนื่อยปะ”


“ฮะ มึงว่าอะไรนะไอ้แมน” คงเพราะมัวแต่มองดูเกมอยู่ เลยไม่ได้ยินสิ่งที่รุ่นน้องพูด คนถามจึงพูดซ้ำอีกครั้ง


“ผมถามว่า พี่เหนื่อยไหม”


“หือ ไม่ว่ะ กูไม่ได้ลงไปเตะสักหน่อย ทำไมต้องเหนื่อย” คิ้วหนาขมวดชนกันย่น


“ก็ผมเห็นพี่แหกปากตะโกนตั้งแต่เริ่มเกมยังไม่ได้พักเลยเป็นห่วง” พูดจบก็ขยับตัวออกห่างให้พ้นระยะบาทาที่อีกฝ่ายส่งมาทันทีที่ได้ฟังเหตุผล


“สัส กูส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจเว้ย ไม่ได้เหมือนไอ้ซัน ที่แม่งมาดูแล้วก็นั่งเฉยๆ กูยังนึกว่ามันกลายร่างเป็นเก้าอี้ไปแล้วนะเนี่ย” หนุ่มกายบอกรุ่นน้องก่อนจะหันมาแขวะเพื่อนตัวเองที่มานั่งดูน้องปีหนึ่งและสองซ้อมฟุตบอลด้วยกันตั้งแต่แรก แต่ไม่แสดงตัวตนออกมาสักแอะ


“กูมาดูน้องซ้อม ไม่ได้มาเอะอะโวยวายบ้าพลังเหมือนมึง” เพื่อนรักว่าเข้าให้นิ่มๆ ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อมองนาฬิกา


“อย่างกูเขาเรียกว่าเป็นคนเอ็นเนอร์ไจทิคเว้ย ไม่ได้บ้าพลังพูดให้มันดีๆ หน่อย”


ซันหันไปสนใจเกมในสนาม ไม่สนใจต่อปากต่อคำ   

   
“ทำไม มองหน้ากูเพื่อ” หนุ่มบ้าพลังหันไปหาเรื่องไอ้เด็กรุ่นน้องที่บังเอิญหันมาสบตาเข้าพอดี

   
“ไม่มีไรพี่ ส่งกำลังใจเชียร์ของพี่ไปเถอะ”

   

แล้วเสียงเชียร์จากข้างสนามก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง จนหมดเวลาการแข่งขัน












“โอ้ย แสบคอชะมัด”  คนพูดกุมคอตัวเอง แล้วพยายามส่งเสียงไอค่อกแคก ราวกับว่าตนเผลอกลืนเสียงลงไป พอไอแล้วเสียงจะคืนมาอย่างนั้น
   
   
“ผมว่าแล้ว” คนที่เดินตามมาติดๆ สำทับทันที

   
“ชะไอ้แมน เอ็งอย่ามาทำตัวเป็นแม่ไก่เลียนแบบคนแถวนี้อีกคนได้ไหมวะ” กายหันไปผลักศีรษะรุ่นน้องเบาๆ

   
คงรู้ตัวว่าโดนเพื่อนแขวะเข้าให้อีกรอบ ซันจึงถามคนแขวะ “อะไรมึง”

   
“เออมึงรู้ตัวก็ดี...มึงกลายพันธุ์เป็นแม่ไก่ไปแล้ว ตั้งแต่ที่คุณย้ายไปอยู่กินกับมึงน่ะ” ถึงจะรู้สึกว่าคำ ‘อยู่กิน’ จะกินความหมายลึกซึ้งแต่ซันไม่สนใจถามต่อไปด้วยความสงสัย

   
“แม่ไก่ยังไงวะ”

   
“เอ้า ก็เอาแต่บ่นเช้า บ่นเย็น ห่วงคุณสารพัดไปหมด ทำอย่างกับคุณเป็นเด็กไงเล่า” พักกลืนน้ำลายแล้วก็พูดต่อไปว่า

   
“คุณมันก็อายุเท่าเราไม่ใช่หรือวะ วันนี้มึงรีบกลับหอไปทำกับข้าวให้มันกินอีกหรือไง เห็นมองแต่นาฬิกาอยู่นั่น”

   
“พี่ซันทำกับข้าวเป็นด้วยหรือ” แมนที่ฟังเงียบๆ ถาม


“ช่ายยยย...โคตรอร่อยกูบอกมึงเลย” กายรับรองพร้อมชูนิ้วโป้ง ทำท่ากดไลค์สามรอบ

   
“โห สุดยอดเลยว่ะพี่” รุ่นน้องตาโต ทำหน้าตื่นเต้น

   
“ไม่ขนาดนั้นหรอก” ซันพูดปัด แล้วหันไปพูดกับเพื่อน

   
“เดือนมันเรื่องมาก นั่นไม่กิน นี่ไม่กิน กูเลยต้องเป็นคนทำให้มันกินหรอก แล้วอีกอย่างกูก็จะได้บังคับให้มันกินข้าวให้ตรงเวลาด้วยไง ไม่งั้นกระเพาะกำเริบแล้วเดือนร้อนอีก”

   

ทั้งสามคนมาถึงที่จอดรถข้างสนามกีฬาพอดี กายจึงตัดบท

   

“เออๆ เรื่องของมึงเถอะ ว่าแต่วันนี้ไปก๊งกันหน่อยไหมมึง ไปร้านพี่ช้างสิ กับข้าวอร่อย ห่วงมันมากก็ลากคุณไปด้วยกันเลย ไปไหมไอ้แมน” บอกเพื่อนพร้อมเลือกร้านวางแผนให้เสร็จสรรพ หันไปคว้าคอรุ่นน้องเอ่ยชวน

   
“โหย มีหรือจะปฏิเสธพี่ นึกว่าพี่รหัสจะไม่ชวนซะแล้ว” คนถูกชวนยิ้มรับหน้าตาชื่นบาน

   
“งั้นเดี๋ยวกูกลับหอก่อนละกัน ไว้เจอกันที่ร้าน” ซันพูดแล้วก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไป   

   

“ไปร้านกันเลยไหมพี่” แมนให้มาถามรุ่นพี่
   

“กว่าซันจะมาก็คงชั่วโมงกว่าๆ  ไปหอกูปะ วินนิ่งสักเกม” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ขับมอเตอร์ไซด์นำไปหอพักของตนที่อยู่ด้านหลังมหาวิทยาลัยทางเดียวกับเพื่อนรักที่เพิ่งจากกัน

   

   




“รกมาก”


   
ป้าบ! และ “โอ้ย!!”

   

บรรทัดแรกเป็นคำพูดแรกของไอ้แมนเมื่อมันเดินเข้ามาในห้อง บรรทัดที่สองเป็นเสียงฝ่ามืออันทรงพลังกระทบกับหัวเกรียนๆ ของคนพูดและเสียงที่สามเป็นคำอุทานของไอ้แมน สม! มาห้องพี่รหัสมันแท้ๆ ยังมีน่ามาบ่น

   

“อย่าให้กูเห็นห้องมึงบ้างนะ” คาดโทษเดินไปก้าวกระย่องกระแย่งข้ามข้าวของที่วางไว้ระเกะระกะไปถึงหน้าโทรทัศน์ที่มีที่ว่างพอดีสำหรับคนสองคนนั่งเล่นเกม

   

“วิ่นนิ่งกับกูไหมสาดดดดด!!” ระหว่างที่รอเซ็ตเครื่อง เขาก็ตะโกนเสียงดังจนไอ้เด็กที่นั่งข้างๆ สะดุ้ง

   

“พี่กาย จะตะโกนทำไม”

   

“อุ่นเครื่องไงมึง ฮ่าๆ” เห็นทางหางตาว่าไอ้แมนทำปากขมุบขมิบไม่ออกเสียง บ่นอะไรอีก... โอ้ มาแล้วครับ เรื่องของมันละกัน สาดดดดดดดดด


   
   



   



“อ่อนว่ะสาดดดด”  ฮ่าๆ พี่มันระดับเมพครับน้อง อย่าได้แข่งเชียว ผลการแข่งขันออกมาตามความคาดหมาย ชนะใสๆ ขนมกรุบมาก

   
“เหอะ ผมยังไม่เอาจริงหรอกน่า”  ป้าดดดด...ดูมันเถียง ไอ้อ่อนเอ้ย

   
“โด่ว มึงยอมรับเถอะวะ อยากชนะพี่ยังเร็วไปครับน้อง” ว่าแล้วก็ยักคิ้วให้สองจึก

   

ไอ้แมนไม่ตอบแต่พูดแบบไม่ออกเสียงว่า ‘ปัญญาอ่อน’ ถึงเห็นแต่ไม่ได้ยินกูจะยอมให้มึงละกัน

   

“พี่ซันก็อยู่หอนี้หรือพี่” นั่น แพ้แล้วเปลี่ยนเรื่องเลยนะ

   

“เออ...บนกูนี่แหละ” พูดแล้วชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน ห้องของไอ้ซันอยู่ข้างบนห้องเขาพอดี
   
   

“แล้วคนชื่อ ‘เดือน’ นี่คือแฟนพี่ซันปะ” ไอ้แมนพยักหน้าแล้วก็ถามต่อ เขาถึงกับหัวเราะพรวด แหม...ไม่รู้เลยนะว่าเมื่อกี้แอบฟังพวกเขาพูดทุกคำ

   

“ฮ่าๆ กูอยากจะบอกมึงว่าใช่ว่ะ ฮ่าๆ ชื่อเหมือนผู้หญิงเลยใช่ไหม” หัวเราะไม่หยุด

   
“เป็นผู้ชายหรือพี่” ไอ้แมนทำหน้างง

   
“เออ เพื่อนมันแหละ ชื่อ ‘เดือน’ เพิ่งย้ายมาอยู่กับมันเมื่อเดือนก่อน” อยากให้เจ้าของชื่อมาเห็นหน้าไอ้แมนตอนนี้ชะมัด ทำหน้าเอ๋อได้อีก

   
“อ้าว คนที่ย้ายมาอยู่ไม่ได้ชื่อพี่คุณหรือพี่กาย” พอถึงคำถามนี้เขาหงายหลังหัวเราะ นี่ถ้ามีพื้นที่ให้กลิ้งได้ก็กลิ้งไปแล้ว ขำกลิ้งเลย  ฮ่าๆ

   
“ฮะๆ ไม่ใช่มึงคนแรกหรอกที่งง แรกๆ กูก็โคตรงงเลยวะ” หยุดหัวเราะแล้วจึงตอบคำถาม

   
“จะชื่อคุณ หรือชื่อ เดือน ก็คนเดียวกันนั่นแหละวะ เพื่อนๆ จะเรียกว่าคุณ ส่วนไอ้ซันจะเรียกว่าเดือน” น่าเอาไปเล่าให้ไอ้สองคนนั้นฟังชะมัด

   
“อ๋อ แล้วมึงอย่าเลือกไปเรียกมันว่าเดือนล่ะ ถ้าไม่อยากเจอตีนทั้งจากไอ้ซันกับไอ้คุณ ชื่อ ‘เดือน’ เนี่ย ไอ้คุณให้ไอ้ซันเรียกได้คนเดียวว่ะน้อง” ต้องรีบบอกไอ้แมนก่อนที่มันจะเผลอไปเรียกชื่อเฉพาะของไอ้คุณเข้า เดี๋ยวเป็นเรื่อง

   
“ยุ่งชะมัดเลยนะพี่”

   
“ความจริงมันจะไม่ยุ่งเลยถ้ามึงไม่เลือกแอบฟังพวกกูอะ กูก็จะแนะนำให้มึงรู้จักแค่ว่าเพื่อนไอ้ซันกับกูคนนี้ชื่อ คุณ จบล่ะ”

   
ไอ้คนที่ยุ่งมันคือมึงนั่นแหละไอ้แมน 
   
   

โทรศัพท์ดังขึ้น ไอ้ซันโทรมาบอกว่าจะออกไปแล้ว เขาบอกมันว่าไอ้แมนก็อยู่ที่ห้อง เราเลยออกจากหอไปที่ร้านพร้อมกันทั้งสี่คน

 
.

.

.



   
   
“แมน นี่เพื่อนพี่ ชื่อคุณ เรียนศิลปกรรม รุ่นน้อง ชื่อ แมน” ซันแนะนำผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง ผอมบางที่รวบผมสีดำยาวไว้ด้วยดินสอไม้ให้กับรุ่นน้อง
   
“สวัสดีครับพี่” แมนยกมือไหว้ทักทายแล้วโดนเขาลากตัวไปนั่งโต๊ะด้านใน

   
“เวลาไอ้สองคนนั้นคุยกันมึงอย่าทำหน้าแปลกๆ ล่ะ” กระซิบบอกมันหลังจากได้รับเมนูอาหาร สองคนนั้นยังคงยืนอยู่หน้าร้าน

   
“น่า เดี๋ยวมึงก็รู้ ได้ยินแล้วก็นิ่งๆ อย่าถามมันละกัน ... เอ้า อยากแดกไรมึง น้องรหัส” ไอ้แมนทำหน้งงงไม่หาย เขากระซิบแล้วจึงเปลี่ยนมาพูดเสียงดังเมื่อสองคนที่ตกเป็นหัวข้อในการนินทาเมื่อครู่เดินเข้ามานั่ง

   
“พี่รหัสจะเลี้ยงใช่ไหมครับ งั้นไม่เกรงใจนะพี่”  โอ้โห เห็นเอ๋อๆ แบบนี้ก็ไวใช้ได้นี่หว่า ต่อบทเนียนเลยเว้ย

   
ไอ้แมนสั่งกับแกล้มสองสามอย่าง บอกจุดประสงค์ชัดมากว่าจะแดกยอดข้าวไม่แดกข้าว เขาเลยสั่งเพิ่มอีกอย่าง แหม...ก็ชวนมันมาก๊ง ไม่ได้ชวนใครมากินข้าวเหมือนไอ้คู่ตรงข้าม ว่าแล้วก็เหล่มองสักหน่อย


   
“เดือน” ไอ้ซันพูดเสียงเข้มเมื่อไอ้คุณไม่สนใจเมนูที่มันยื่นให้ เอาแต่นั่งก้มหน้ากดโทรศัพท์

   
“เดือน!! ตัวจะกินอะไร”  หันไปมองหนไอ้แมนที่นั่งข้างๆ กัน มันก็มองมาที่สีหน้าสงสัยเต็มที่ เขาก็ได้แต่พยักพเยิดหน้าให้สังเกตเอาเอง

   
“กินได้หมดแหละ ซันๆ เลือกมาเลย”  ไอ้คุณตอบแบบไม่มองหน้า ก้มหน้าก้มตากดมือถือต่อ

   
“แล้วอย่ามาบ่นทีหลังนะ” ว่าแล้วไอ้ซันก็หันไปสั่งรายการอาหารสามอย่างกับข้าวหนึ่งโถ มันหันหน้ากลับมาเห็นพวกเขาสองคนนั่งจ้องพวกมันตาเป๋งเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

   
“เปล๊า กูก็แค่อยากรู้ว่ามึงจะสั่งอะไรบ้าง แหมกับข้าวที่มึงสั่งไปน่ากินจริงๆ เลยเนอะไอ้แมน กูหิวเลยวะ” 

     
คนฟังส่ายหัว แล้วหันไปหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดช้อนส้อม จานแล้วก็เลื่อนไปวางตรงหน้าคนที่เอาแต่เล่นมือถือ ก่อนจะเช็ดให้ตัวมันเองแล้วหยุด

   
“อ้าว แล้วของกูล่ะ” เห็นมันนั่งนิ่ง จิบน้ำไปนานเลยถามขึ้น

   
“ท้องมึง ปากมึง ทำเองสิวะ” ไอ้ซันตอบ ไม่น่าถามมันเล้ยยยย ใช่สิ ‘กาย’ จะไปสู้ ‘เดือน’ ได้ยังไงเล่า เหอะ ไอ้ดับเบิ้ลแสตนด์ดาด

   
“ถือว่าพี่จะเลี้ยง นี่พี่ จานผมทำให้แล้ว” ไอ้แมนเลื่อนจากที่มีช้อนส้อมวางอยู่ข้างบนมาให้

   
“เออๆ ทำตัวให้สมกับที่กูจะเลี้ยงดีมาก”

   
ร้านนี้เป็นร้านอาหารเล็กๆ ที่เน้นไปทางขายเครื่องดื่มมากกว่าเลยมีเมนูอาหารให้เลือกไม่มาก เจ้าของชื่อช้างครับ แกใจดี สั่งกับข้าว แกก็ให้เยอะ ทำอาหารเร็วด้วย แถมราคาประหยัด สบายกระเป๋า กับแกล้มอร่อย กินเพลินรู้ตัวอีกทีก็เมาหัวทิ่มไปแล้ว

   
   
“ซันๆ สั่งอะไรมาให้เค้าเนี่ย” รอไม่นานอาหารก็มาวางบนโต๊ะ ไอ้คุณโวยวายใหญ่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่าอาหารตรงหน้าเต็มไปด้วยผัก ผักและผัก!!

   
“เมื่อกี้เดือนบอกว่าจะกินอะไร” ซันย้อนเพื่อนทำเสียงเข้มไปอีก

   
“...อะไรก็ได้...แต่ซันๆ ก็รู้เราไม่ชอบผักคะน้า ตัวจะสั่งมาทำไมล่ะ” ไอ้ซันไม่สนใจเสียงโอดครวญ มันเอื้อมมือไปหยิบจานตรงหน้าไอ้คุณ แล้วตักข้าวลงไปสองทัพพี

   
“หมูมะนาว คะน้าหมูกรอบ สองอย่างที่เป็นคะน้า” ซันบอกเมนู

   
“แล้วอีกจานล่ะ”

   
“ต้มแซบกระดูกหมู”

   
พอได้ยินชื่อเมนูสุดท้าย ไอ้คุณค่อยยิ้มออกหน่อย แล้วกับแกล้มของก็มา โอ้ยเด็ด หมูทอดกระเทียม ปีกไก่ทอด  ถั่วทอด แล้วก็ปูอัดของโปรด ว่าแล้วก็น้ำลายส่อ ชนกันเถอะไอ้แมน เอ้า ชน!!


   



หมดค่อนกลม ไอ้แมนลุกไปเข้าห้องน้ำ เหลือแค่เขา ไอ้ซันแล้วก็คุณที่ยังนั่งอยู่ จึงเอ่ยชวนคุณที่พึ่งจะได้รับอนุญาตให้รวบช้อนได้จากคุณผูกรครองที่มาด้วยกันหลังจากจัดการอาหารในจานจนหมด

   
“คุณ สักแก้วไหม” พูดพร้อมชูแก้วของตัวเองที่ไอ้แมนเพิ่งชงให้ก่อนไปเข้าห้องน้ำขึ้น

   
“เอาสิ โซดานะ” จัดการชงให้อย่างไว แล้วส่งข้ามโต๊ะไปให้

   
“แก้วเดียวพอนะ” คุณพ่อบอกเสียงเข้ม อยู่กับเดือนทีไรมันชอบเก๊ก ทำตัวเป็นคุณพ่อทุกที

   
“จะกิน พรุ่งนี้วันเสาร์เค้าว่าง ไม่มีเรียนเหมือนตัวหรอก ฮ่าๆ” ไอ้คุณรับแก้วไปแล้วยกซดทันที


   
“มึงด้วยไหม” หันมาถามเพื่อนตัวเอง
   

“อืม ไม่ต้องเข้มล่ะ”

   

“ช่ายยยสิ นอกจากมึงจะมีเรียนวันเสาร์พร้อมกูแล้วเนี่ย มึงยังจะต้องดูแลไอ้คนที่ซดเอาๆ ด้วยใช่ไหม ฮ่าๆ” คิดเองในใจนะ แต่ไหงมันมีเสียงออกมาด้วยวะ

   
“เออสิ มึงรู้ว่ามีเรียนก็เบาๆ ลงหน่อย เจ้ใหญ่เช็คชื่อนะ” ไอ้ซันรับแก้วไปจิบ แล้วก็เงียบไป

   

   
“โอ๊ะ...” ไอ้แมนที่เดินกลับมาจากห้องน้ำเข้ามานั่งชิดกับเขาที่กำลังยกแก้วขึ้นแนบริมฝีปาก

   
แค่กๆ

   
แอลกอฮอล์ทะลักเข้าปากเข้าจมูกแสบไปหมด น้ำตาไหลเลย

   
“อ้ายสาดดดดดแมน มึงแกล้งกูใช่หมายยยย แค่กๆ” เสียงที่แหบจากการตะโกนเมื่อเย็นผสมกับน้ำเมาและอาการสำลัก ยิ่งทำให้แสบคอมากขึ้น พยายามไอออกมาหลายครั้งก็ยังไม่ดีขึ้น

   
“โทษทีพี่ๆๆๆ มาเช็ดให้” ไอ้แมนขอโทษขอโพย พลางเอากระดาษมาซับน้ำที่หกเลอะตามใบหน้าและลำคอ

   
“นิ่งๆ สิพี่” กระดาษทิชชู่ชุ่มน้ำถูกป้ายลงที่หางตาแผ่วเบา ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายตัวควายๆ อย่างไอ้แมนจะมือเบาได้ขนาดนี้ ขนตามันยาวน่าดึงเล่นชะมัด

   
“ยังแสบตาอยู่ไหมพี่” มือไอ้แมนผละไปจากตัวเขาตอนไหนก็ไม่รู้ จนกระทั่งมันพูดขึ้นนั่นแหละถึงเพิ่งรู้ตัว

   
“เออ ดีขึ้นละ มือมึงเบาดีนะ” อันนี้ก็คิดในใจนะทำมันมันมีเสียงอีกแล้ววะ


   
“กาย มึงเมาแล้ว”

   
ไอ้ซันที่จิบเหล้าอยู่เงียบๆ พูดขึ้น
    
   
“ไม่เมาเว้ย” แค่มึนๆ

   
“เมา”

   
“ยังเว้ย” อะไรกันวะ ทำไมยัดเยียดให้เมาจัง แค่นี้จิ๊บๆ เว้ย

   
“ไม่เมาก็ไม่รู้ทำไงแล้วพี่ซัน ที่หมดไปนี่ของพี่กายคนเดียวเลยนะ” ได้ยินไอ้แมนว่าอะไรกับไอ้ซันไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่ายังไม่เมาเว้ย ไฟที่ร้านมีห้าดวงเขาก็นับได้ห้าดวงนะ

   
“ไฟที่ร้านมีห้าดวงใช่ไหม” พูดเสียงดัง

   
“ใช่พี่” ไอ้แมนตอบ

   
“กูนับได้ห้าดวงเหมือนกัน ยังไม่เมาว่ะ” ว่าแล้วก็ยกต่อ

   
“ฮะๆ พี่ คนไม่เมาที่ไหนเขาจะนับไฟกันเล่า” ไอ้แมนขยับไปชงเล่าเพิ่มให้พี่รหัสมันอีกแก้ว และอีกแก้ว

   

เขาว่าเขานับผิดแล้วล่ะ
ไฟในร้านมีแค่ดวงเดียวเท่านั้นแหละ


นั่นเป็นสติที่เหลือสุดท้ายก่อนทุกอย่างจะพร่าเลือน




.

.

.





โทรศัพท์แผดเสียงลั่น ทำเอาคนที่นอนหลับสบายฝันหวานสะดุ้งตื่นทะลึ่งพรวด

   
“อีกห้านาที ถ้ามึงไม่มาเจ้ใหญ่เรียกพบที่ห้องว่ะ” ไอ้ซันโทรมา พูดแค่นั้นแล้วก็วางสายไป เอาชื่อใครมาอ้าง เอาชื่อเจ้ใหญ่ แค่สองนาทีก็ออกห้องแล้วโว้ย ไอ้ซัน


   
บิดมอเตอร์ไซค์มาอย่างไว วิ่งขึ้นบันไดด้วยความเร็วยิ่งกว่าสัตว์สี่เท้า เพื่อนผู้หญิงหลายคนทำจมูกฟุดฟิดเมื่อเขาเดินผ่าน ขอโทษนะสาวๆ ทั้งกลิ่นเหงื่อกลิ่นละมุดตีกันมั่วไปหมด

   
“ถ้าเธอมาช้ากว่านี้ ได้เจอกับครูตัวต่อตัวแน่ กรวิทย์” เจ้ใหญ่พูดเสียงดังใส่ไมโครโฟนมาจากหน้าชั้น เมื่อเขาเดินเข้าห้องได้ทันเวลา

   
“ขอโทษครับอาจารย์” เราทำผิดก็รู้จักขอโทษ ลูกผู้ชายแมนๆ อยู่แล้ว

   
“ไปนั่งทีได้ เอาล่ะ นักศึกษา เรามาต่อกันเรื่องทฤษฎีการกลายพันธุ์ของชาลล์ดาวินส์ที่อาจารย์ให้งานไปเมื่อสัปดาห์ก่อน....” เจ้ใหญ่เริ่มสอนทันที เขานั่งลงข้างเพื่อนสนิทที่เว้นเก้าอี้ไว้ให้

   
“ขอบใจวะมึง ถ้ามึงไม่โทรมากูยังไม่ตื่นเถอะ” พึมพำขอบใจมันที่โทรปลุก ย่นจมูกเมื่อได้กลิ่นตัวเอง

   
“อืม” 

   
“อ้อ แล้วก็ขอบใจที่เมื่อคืนเอากูมาส่ง...แม่งปวดหัวชะมัด” ไอ้ซันยื่นเครื่องดื่มแก้แฮงค์มาให้ เขาพูดขอบใจอีกรอบ

   
“กูไม่ได้เอามึงไปส่ง”  ไอ้ซันก้มหน้าจดแล็คเชอร์อย่างไม่สะดุดแม้จะต้องตอบคำถามเขาอยู่ก็ตาม

   
“อ้าว งั้นใคร ไอ้แมน?”  ไปกันสี่คน ถ้าไม่ใช่มันก็ต้องเป็นน้องรหัสอยู่แล้ว มันพยักหน้า

   
“เออ นิสัยดี น่ารักสมเป็นน้องรหัสกู” ต้องไปขอบใจมันเสียหน่อย รู้ตัวเองว่าเมาแล้วเรื้อนมาก ไอ้ซันมองหน้าเขาแล้วเลื่อนสายตาลงมาอยู่แถวๆ ต้นคอสักพักมันก็พูด

   
“มึงส่องกระจกยัง”

   
ฮะ ทำไมต้องส่อง คนหล่อยังไงก็หล่ออย่างนั้นไม่เปลี่ยนหรอก มีแต่หล่อขึ้นหล่อขึ้นไม่ว่า

   
ไอ้ซันหันไปยืมกระจกเพื่อนผู้หญิงที่นั่งข้างๆ แล้วยื่นให้

   
“เอ้า ส่องซะ แล้วอย่าเสียงดังล่ะ”


   
รับกระจกมาอย่างงงๆ ส่องดูก็หล่อเหมือนเดิมนี่หว่า นอกจากหัวยุ่งๆ เพราะขับมอเตอร์ไซด์กับตาคล้ำเพราะนอนดึกและเมาแล้วก็ไม่มีอะไรต่าง


ไอ้ซันเงยหน้ามาจากสมุดเล็คเชอร์ เมื่อเห็นว่าเขาพยายามเสริมหล่อด้วยการลูบผมให้เข้าที่เช้าทาง มันทำหน้าเอือมระอาแล้วบอก


“ที่คอน่ะ”


ส่องกระจกอีกครั้ง แล้วเขาก็ได้คำตอบว่าทำไมมันถึงห้ามเสียงดัง





เชร็ดดดดดดดดด
ยุงห่าที่ไหนกัดวะ พ่อจะตามไปกระทืบถึงที่เลยมึง


----------------------------------------
[23.12.58]
ขอบคุณ คุณ B52 ที่มาอยู่เป็นเพื่อนนะคะ 5555   
 :กอด1:
Lavender’s blue   

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 5) 23-12-2558
«ตอบ #8 เมื่อ23-12-2015 15:40:46 »

ริจะกินคนแก่หรือแมน

ออฟไลน์ sentpai

  • เพราะโลกของแต่ละคนนั้นมันไม่เหมือนกัน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 5) 23-12-2558
«ตอบ #9 เมื่อ24-12-2015 03:38:43 »

ติดตามครับ
สนุกดี บรรยากาศของเรื่องเรียบๆดี
ทำให้อ่านได้เรื่อยๆ สนุกดีครับ
#ขออนุญาตถามหน่อยนะครับ ว่าเรื่องนี้จะมีประมาณกี่ตอน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 5) 23-12-2558
« ตอบ #9 เมื่อ: 24-12-2015 03:38:43 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 5) 23-12-2558
«ตอบ #10 เมื่อ24-12-2015 03:48:23 »

เรื่องนี้เราเคยอ่านแล้วที่เด็กดี เราชอบนิยายที่คุณเวนดี้แต่งนะ สนุกดี

ปล.มีเรื่องใหม่รึยังคะตอนนี้

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 5) 23-12-2558
«ตอบ #11 เมื่อ24-12-2015 14:22:10 »

พี่รหัสเสร็จน้องรหัสไปซะล่ะ

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 6) 24-12-2558
«ตอบ #12 เมื่อ24-12-2015 21:17:41 »

Just Love รักนะครับ




6




แม้ดูเหมือนว่าเขาสนิทกับเดือน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เลย ... เดือนแทบจะกลายเป็นใครคนอื่นที่เขาไม่รู้จักซึ่งความจริงข้อนี้เพิ่งจะรู้ตอนที่เดือนย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันนี่แหละ


ใครคนอีกคนที่มาอยู่ในร่างเดือนแสดงตัวตนออกมาทันทีในช่วงบ่ายหลังจากที่แม่ๆ กลับไปแล้ว 


“ซันๆ เค้าออกไปข้างนอกนะ” เดือนบอกอย่างนั้นแล้วตามมาด้วยเสียงประตูปิดดังปัง!


ทิ้งให้เขาที่กำลังนั่งเล่นเกมอยู่กับพรมหน้าโทรทัศน์หันขวับไปมองก็ไม่ทันเสียแล้ว


ไปไหน กับใคร ทำอะไร กลับเมื่อไหร่ จะมาทานข้าวด้วยกันไหม เขาต้องทำกับข้าวเผื่อหรือเปล่า จะกินเหล้าไหม ที่ร้านไหน ให้ไปรับหรือเปล่า



คำถามผุดขึ้นมาในยาวเป็นขบวนรถไฟ ไม่ได้สนใจเกมจนตัวแพ้สีแดงขึ้นเต็มจอ จะว่ายังไงดีล่ะ คือไม่ใช่ว่าจะอยากรู้เพื่อเข้าไปยุ่งวุ่นวายอะไรหรอกนะ แต่ก็อยากรู้เรื่องของอีกฝ่ายไว้บางไหนๆ ก็มาอยู่ห้องด้วยกันแล้ว ฐานะของเราก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ไม่ใช่แค่แปลกหน้าของกันและกันสักหน่อย แค่บอกกล่าวกันบ้างก็พอ


แต่บางทีก็นั่นแหละ เดือนอาจติดนิสัยจากที่อยู่กับคนมากๆ ที่ไม่ค่อยสนใจใครสักเท่าไหร่ก็ได้ ...คิดในทางบวกอย่างน้อยก็บอกว่าจะไปข้างนอกละวะ



เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงเลิกสนใจ กลับไปเล่นเกมต่อ สักทุ่มก็อุ่นกับข้าวที่แม่ๆ ทำเผื่อไว้ ทานเสร็จก็อุ่นกับข้าวเผื่อไว้ให้ลูกชายเพื่อนแม่ที่ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันไว้บนโต๊ะ ควบฝาชีไว้เรียบร้อย กลับไปเล่นเกมต่อ









มองนาฬิกาอีกทีก็ใกล้เวลาห้าทุ่มกว่าๆ พรุ่งนี้มีเรียนเช้าเลยรีบอาบน้ำแล้วเข้านอน กับข้าวบนโต๊ะคงเย็นไปหมดแล้ว ช่างเถอะ ถ้าเดือนกลับมาก็คงอุ่นทานอีกรอบได้



ตอนเช้าตื่นมายังเห็นว่ากับข้าวยังวางไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แสดงว่าเดือนยังไม่กลับหรือ เปิดฝาชี ยกกับข้าวขึ้นดูยังไม่เสีย เลยอุ่นทานตอนเช้า ตอนที่ใส่รองเท้ากำลังจะออกจากห้องก็เห็นรองเท้าแตะคีบคู่สีดำแปลกตาถอดวางไว้ พลิกคว่ำพลิกหงาย เขาจัดรองเท้าคู่นั้นใส่ไว้ในตู้ใกล้ประตู แล้วย้ำกับตัวเองว่าคงต้องหาเวลาคุยกับเดือนเรื่องที่วางรองเท้าสักหน่อย แล้วจึงไปเรียน



เลิกเรียนไปดูน้องๆ ซ้อมบอลกับไอ้กาย ไอ้แมนเข้ามาปรึกษาเรื่องการคุมน้องนิดหน่อย ปีสองทุกคนก็ดูทุ่มเทรักใคร่กับน้องปีหนึ่งดีซึ่งเขาก็ดีใจที่น้องสนิทกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว แน่นอนว่ามันจะเป็นผลดีมากเมื่อเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัย บอกเลยว่าไม่มีเพื่อน เปอร์เซ็นต์ในการเรียนไม่จบสูงสุดมาก ดูอย่างไอ้กายที่เกือบลงทะเบียนเรียนไม่ทันเพราะมัวแต่ทำกิจกรรม โชคดีที่พอเขาลงทะเบียนเรียนของตนเองเสร็จแล้วถาม มันยังไม่ได้ลงเลยจัดการให้เสร็จสรรพ



เขาเปิดประตูเข้ามาห้องพักปิดไฟมืดสนิท สงสัยเดือนออกไปข้างนอกอีกแล้ว วางข้าวถุงที่หิ้วมาเผื่ออีกคนไว้บนโต๊ะกะว่ารอจนหายร้อนแล้วค่อยเอาใส่ตู้เย็น



ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่กินแล้วถูกวางทิ้งไว้ในอ่างล้างชาม คงเป็นฝีมือของคนที่วางรองเท้าไม่เป็นระเบียบอีกแน่  ข้อสองที่จะบอกเดือนคือเรื่องทิ้งขยะ






จนเกือบเที่ยงคืนเดือนก็ไม่กลับมา เขาจึงปิดหนังสือ ปิดไฟ ล้มตัวนอน









   

วันถัดมาก็คล้ายๆ สองวันแรกคือไม่เจออีกคนที่เข้ามาอยู่ในห้องด้วยกันเลย เจอแต่เศษซากขยะและความรกรุงรังไม่เป็นระเบียบของอีกฝ่ายที่ทำให้รู้ว่าที่ห้องนี้ยังมีใครอีกคนอยู่ด้วย




ในที่สุดเขาก็เจอเพื่อนร่วมห้องในวันพุธ เขาไม่ได้ออกไปไหนอยู่ห้องเพราะไม่มีเรียนเช้ากำลังจัดการกับห้องน้ำที่เลอะเทอะพอดีกับที่เดือนกลับมาถึงห้อง



“ไง” เดือนทักเมื่อเห็นเขาโผล่ออกมาจากห้องน้ำ หยุดทักอย่างไม่สนใจคำตอบเดินผ่านตรงไปยังห้องนอนของตน


“คุยกันก่อนสิ”


เดือนหันตัวกลับมา ยืนเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เขานั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะกินข้าว อีกฝ่ายจึงนั่งตรงข้าม ระหว่างเรามีโต๊ะไม้ขนาดสองฟุตครึ่งกั้นอยู่


“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เดือนถามขึ้นเมื่อเขาเงียบ เอาแต่มองคนตรงข้ามนิ่ง


“สองสามวันนี่...ได้กินข้าวครบสามมื้อไหม” เขาคิดว่าเดือนน่าจะเห็นกับข้าวที่ซื้อมาวางไว้บนโต๊ะนะ ทุกครั้งที่กลับมาทำไมกับข้าวยังวางอยู่ที่เดิมก็ไม่รู้


“..ก็ถ้าหิววันละสามครั้งก็คงครบแหละ” เดือนตอบ


“ถ้าหิววันละครั้งล่ะ”


“ก็กินเท่าที่หิว”


“แสดงว่าถ้าวันไหนไม่หิวก็ไม่กิน” เดือนพยักหน้ากับคำพูดนี้ของเขา


“แม่บอกให้กินข้าววันละสามมื้อ” คนอย่างเดือนจะให้บอกตรงๆ ว่าให้ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะจะต่อต้านโดยการทำตรงกันข้ามทันที ต้องค่อยๆ ตะล่อมให้เจ้าตัวรู้สึกและคิดเอง


“บางทีมันก็ลืมน่า...ซัน” ทอดเสียงอ่อนตรงชื่อเขา หวังจะอ้อนล่ะสิ
   

“อืม อย่าเผลอลืมบ่อยจนต้องไปหาหมอนะ” คำว่า ‘หมอ’ ทำให้เดือนรีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เดือนไม่ชอบหมอซึ่งไม่ชอบในที่นี้แปลว่ากลัวนั่นแหละ อย่าไปพูดให้เจ้าตัวได้ยินนะ เพราะจะเถียงทันทีว่า ‘ใครบอกกลัว แค่ไม่ชอบเฉยๆ’


เมื่อเจ้าตัวเริ่มคล้อยตาม เขาก็พูดต่อไป


“เค้าเลยจะชวนตัวกินข้าวด้วยกันจะได้ไม่ลืม ดีไหม”


“...บางทีเค้าก็ต้องทำงานที่สตูฯ กับเพื่อน ไม่ได้กลับห้องนะ” อ้อ แสดงว่าที่หายไปสองสามวันนี่ไปทำงานที่สตูดิโอของคณะ


“ไม่เป็นไร ถ้าวันไหนตัวไม่ว่างก็โทรมาบอกก็ได้ ถ้าเค้าไม่ว่างก็จะโทรไปเตือนตัวเหมือนกัน” แค่โทรเตือนให้ทานข้าวให้ตรงเวลา ไม่ต้องกินข้าวพร้อมกันทุกมื้อก็ได้


“เออ แบบนั้นก็ได้” เดือนยอมตกลง ขีดฆ่าข้อที่สาม กินข้าวให้ตรงเวลาในกระดาษออก


“วันก่อนเค้าเดินเข้าห้องมา แล้วรีบไปหน่อย สะดุดรองเท้าตัวล้มเลย” ชี้มั่วๆ ไปแถวข้อศอก ผิวคล้ำกับสีช้ำๆ มันไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกมั้งนะ


“เอ้า จริงดิ ซุ่มซ่ามว่ะซันๆ” เดือนมองที่ข้อศอกแล้วส่ายหน้าอมยิ้มที่มุมปากกับความซุ่มซ่ามของเขา


นี่!! เดือนเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า คนที่ควรทำท่าเหนื่อยใจแบบนั้นคือเขาไม่ใช่หรือไงเล่า!    


“เออ!! เค้าซุ่มซ่ามก็เลยต้องเก็บของให้เป็นระเบียบคราวหลังตัวเอารองเท้าวางไว้ในตู้ด้วยสิ เดี๋ยวเผลอไปเหยียบแล้วลื่นอีก”


“โอ๋ๆ น้องซันๆ ไม่ต้องกลัวจะล้มนะครับ เดี๋ยวพี่จะเอารองเท้าไปซ่อนไว้อย่างดี ไม่ให้น้องซันๆ ลื่นล้มได้อีกเด็ดขาด” คนตรงหน้าล้อเสียงเล็กเสียงน้อย ...บางทีเราก็ต้องยอมที่จะโกหกเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมหรือความจริงคือประโยชน์ของคนตรงหน้าที่พูดจาล้อเลียนเขาอยู่ตอนนี้ต่างหาก ยอมๆ ไป ไม่ว่ากัน


ขีดฆ่าเรื่องวางรองเท้าให้เป็นระเบียบได้แล้ว เหลืออีกข้อ ทิ้งขยะ


“แล้วอย่างนี้ถ้วยมาม่าที่เราวางไว้ไปไหนแล้วล่ะ ซันๆ เก็บไปทิ้งแล้วหรือ” เดือนเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน ดีเลย เขากำลังคิดว่าจะแต่งเรื่องอะไรตะล่อมคนตรงหน้าพอดี


“ใช่” ตอบสั้นๆ อยากรู้ว่าเดือนจะพูดอะไรต่อ


“คราวหลังจะเก็บไปทิ้งให้สะอาดเลย เดี๋ยวคนแถวนี้ทำหน้าบึ้งอีก” เดือนส่งยิ้มตาหยีมาให้ ...บางทีก็รู้สึกว่าเดือนเหมือนจะรู้ตัวว่าเขาต้องการจะบอกอะไร


“เออดี บางทีเราก็เหนื่อย ไม่มีอารมณ์มาตามเก็บขยะเหมือนกัน”


รอยยิ้มของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามนั้นเลือนไปเล็กน้อยเมื่อเขาบอกความรู้สึกออกไปตรงๆ


“บางทีก็ลืมไปว่าซันๆ เจ้าระเบียบน่ะ” เดือนบอกเบาๆ


“เค้าเป็นภูมิแพ้”


“จริงสินะ ลืมไปเลย เห็นแข็งแรงดี” เดือนนึกขึ้นมาได้


“แล้วเค้าก็อยากรู้ด้วยเวลาตัวออกไปข้างนอก บอกกันบ้างว่าจะไปไหน ทำอะไร กลับกี่โมง รอตัวมาสองวันแล้วเนี่ย” เดือนเริ่มยอมรับฟังความต้องการของเขาแล้วจึงไม่ต้องคิดมุกมาเพื่อตะล่อมบอกความต้องการของตนเองอีก


“หือ ทำไมละ จะโทรไปรายงานแม่หรือไง”


“เฮ้ย ไม่ใช่ ก็ไหนๆ ก็อยู่ห้องด้วยกันแล้ว รู้ไม่ได้หรือ เป็นห่วงน่ะ”


จากที่พูดคุยมองหน้ากันอยู่ พอพูดจบ เดือนก็ก้มหนาลงไม่สบตา พูดอืออารับคำในคอเบาๆ ทำไมเนี่ย เขาจะรู้ไม่ได้หรือไงเล่า


“ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”


“เปล่าๆ บอกได้ แค่ไม่ชินน่ะ” เดือนยกมือขึ้นเกาท้ายทอย


“เดี๋ยวเค้ามีเรียนบ่าย ตัวกินข้าวเที่ยงยัง ออกไปกินด้วยกันไหม” เดือนตกลง เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเราก็เดินลงมาทานข้าวกันที่ร้านใกล้หอพัก เลือกได้ร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำ สั่งอาหารกันคนละจานแล้วก็นั่งรอ



ระหว่างที่รออาหารอยู่นั้น เดือนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดเสียงห้วน ระคายหูแบบที่พวกแม่ๆ ได้ยินแล้วเดือนคงโดนบ่นยาว


‘ไรมึง’
‘เออ กูทำเสร็จแล้ว ส่งแล้ว เมื่อเช้า’
‘ห่าเอ้ย แล้วทำไมมึงไม่ดูดีๆ เล่า เดี๋ยวรอกูแดกข้าวก่อนแล้วจะไปช่วย แค่นี้นะ....เออ ใช่ เชี่ย!!!’ 



ว่าแต่เดือน เขาก็พูดเถอะ คำหยาบน่ะ แค่ต้องระวังไม่ให้แม่ได้ยินเท่านั้นเอง ตอนเด็กๆ มีเพื่อนสอนคำว่า กู กับ มึง ให้รู้จักครั้งแรก เอามาพูดกับเดือน พอแม่ได้ยินเข้าเท่านั้นแหละ โดนลงโทษ แม่ให้เอามือตบปากตัวเอาสิบทีกับบ้วนน้ำยาบ้วนปากเผ็ดๆ อีกสิบรอบ


ดังนั้นคำพูดไพเราะที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเดือนจึงเป็นคำที่แม่ๆ เป็นผู้คัดกรองให้แล้วนั่นเอง พูดอย่างนี้กันมาตั้งแต่เด็กจนติดจนมาถึงปัจจุบัน


“ซันๆ กินแตงกวาด้วย” นั่นพลาดละ ไม่น่าสั่งข้าวผัดเลย


“มันเหม็น” ใครเคยกินข้าวกล่องแล้วเจอแตงกวาเน่าไหม นั่นละ เขาเลยเกลียดแตงกวามาจนถึงทุกวันนี้ แค่เห็นกลิ่นแตงกวาเน่าๆ ในวันนั้นก็ลอยมาเหมือนมาจ่ออยู่ใต้จมูก นี่แอบเขี่ยออกไปชิ้นหนึ่งแล้วนะ เหลือชิ้นเดียวเดือนยังเห็นอีก



“ถ้าไม่กินก็เอามานี่” เดือนคว้าข้อมือเขาที่ถือส้อมจิ้มแตงกวาอยู่แล้วส่งมันเข้าปากตัวเอง เคี้ยวกรวบๆ อย่างอร่อย เห็นแล้วแหยงๆ พิกล


“ทำหน้าแปลกๆ” เดือนถาม

“กินเข้าไปได้ไง”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนิ ทำไมกินช้อนเดียวกันไม่ได้ไง?” เดือนทำหน้ายุ่ง หน้าผากย่น



“ไม่ใช่ หมายถึงแตงกวาน่ะ” กินด้วยท่าทางอร่อยแบบนั้นได้อย่างไร เหม็นจะแย่



“ก็เหมือนกับที่ตัวชอบบังคับให้กินคะน้านั่นแหละ” เดือนว่า ...อ้อ ชักเข้าใจความรู้สึกของเดือนที่ถูกเขาบังคับให้กินคะน้าบ่อยๆ แล้วแฮะ แต่รายนั้นเจ้าตัวแค่บอกว่า คะน้ามันขม ไม่เหมือนเขาที่เจอแตงกวาเน่าเสียหน่อย




.

.

.





หลังจากที่ได้คุยกับเดือนไปหลายวันก่อน รองเท้าก็ไม่รกแล้ว เขากลับห้องก็ไม่เจอถ้วยบะหมี่ทานแล้วหรือเศษขยะทิ้งเกลื่อนนอกถังขยะเลย บางทีเดือนก็ไปกินข้าวพร้อมกับเขาที่คณะบ้าง เขาไปทานกับเดือนที่คณะบ้างถ้ามีโอกาส แล้วทุกเย็นเราก็จะกลับห้องมาทานข้าวพร้อมกัน


บางวันถ้าเกิดอารมณ์ดีๆ ก็ทำกับข้าวทานเอง


“ซันๆ วันนี้เค้าอยากกินแกงเขียวหวาน” เดือนบอกตอนเช้าขณะที่เรากำลังจะออกจากห้องไปมหาวิทยาลัย


“ขนมจีนด้วยไหม” คิดรายการของที่ต้องซื้อในใจ ตอนเย็นหลังเลิกเรียนจะไปซื้อที่ตลาดใกล้ที่พัก


“อยู่แล้ว ใส่หมูนะ หมูเด้งก็ได้ ไม่เอาไก่ เบื่อมากกก” เดือนลากเสียงยาวตรงคำว่ามาก เรากินกับข้าวถุงกันมาหลายวันแล้วซึ่งกับข้าวถุงพวกนั้นก็มีแต่รายการอาหารที่มีไก่เป็นส่วนประกอบให้เลือก เขากำลังจะรอดูว่าเมื่อไหร่เดือนจะลุกมาขันตอนเช้า ตีปีกพับๆ อยู่


“อืม” ว่าแล้วก็ต้องจดสินะว่าต้องซื้ออะไรบ้าง




สลัดไอ้กายที่เกาะติดเพื่อลากเขาไปดูน้องๆ ซ้อมกีฬามาได้โดยบอกมันว่า ไปทานแกงเขียวหวานที่ห้องได้ ถ้าดูน้องซ้อมเสร็จ มันถึงยอมปล่อยตัวออกมา จากนั้นเขาก็ตรงดิ่งไปซื้อของเพิ่มเติม


แกงเขียวหวานที่จะทำนี้เป็นสูตรที่แม่ทำทานเองที่บ้าน ใส่มะเขือยาวแทนที่จะใส่มะเขือเปราะ ใส่หมูเด้งปั้นเป็นก้อนกลมๆ ใส่น้ำตาลมะพร้าว น้ำพริกต้องใช้เจ้าประจำ แม่เอามาใส่ตู้เย็นไว้ให้คราวก่อนที่มาหา พูดแล้วน้ำลายสอ รีบซื้อของแล้วกลับห้องไปทำดีกว่า


ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นกลิ่นหอมๆ ของแกงเขียวหวานก็หอมฟุ้งไปทั้งห้อง 


ตอนที่กำลังซอยพริกเพื่อทำพริกน้ำปลาอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น สงสัยเป็นไอ้กายที่แวะมาเร็ว ทำไมเลิกซ้อมกันไวผิดปกติ เขาคิดพลางเดินไปเปิดประตูโดยไม่มองที่ตาแมว


“อ้าว”


เดือนยืนอยู่หน้าประตู ส่งยิ้มแหย่ๆ มาให้ เคาะประตูทำไมเล่า


“พอดีมีเพื่อนจะมากินด้วยน่ะ ขอโทษที่ไม่ได้บอก” เดือนกระซิบเบาๆ เขาจึงสังเกตว่ามีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่โดนประตูบังไปเกือบครึ่ง อ้อ ‘เพื่อน’ คนที่เจอที่บ้านเช่าคนนั้นเอง


“หวัดดี” เพื่อนของเดือนเอยทักทาย


“สวัสดีครับ”


“คนนี้พี่นนท์ แล้วนี่ซัน”


เดือนพูดแนะนำแค่นั้นแล้วก็เดินนำเข้าห้องไป เขาให้พี่นนท์เดินเข้าไปก่อนแล้วจึงเดินกลับเข้ามาเป็นคนสุดท้ายพร้อมปิดประตูห้อง สองคนนั้นหายเข้าไปในห้องนอนของเดือน เขาจึงกลับไปซอยพริกต่อ
ในใจมีคำถามมากมายแต่ไม่คิดจะถามออกไป
   





“ทานได้แล้วนะ” เคาะประตูเรียก ประตูเปิดผัวะออกมาจนเกือบโดนหน้า ดีนะที่หลบทัน


“โทษทีซัน ไหนแกงเขียวหวานเสร็จแล้วเหรอ ไปกินกันเถอะ” เดือนว่าแล้วก็ลากแขนเขาไปทางครัว ไม่สนใจพี่นนท์ที่เดินตามมาเลยแม้แต่น้อย


“เดี๋ยวไอ้กายก็จะมาทานด้วย”


ระหว่างที่เราสามคนนั่งทานกันอยู่ เขาบอกเดือนเพื่อทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัด จะไม่อึดอัดยังไงไหว ไอ้พี่นนท์ก็เอาแต่จ้องหน้าเดือน ตั้งแต่คำว่าหวัดดีเมื่อครู่ แกก็ไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย เดือนก็ทำเป็นเฉย ไม่สนใจราวกับว่าคนที่มาพร้อมกันเป็นธาตุอากาศ แล้วเขามาเกี่ยวอะไรกับสองคนนี้วะเนี่ย



เสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นไอ้กายชัวร์ ขอบใจมันที่มาตอนนี้ ไม่งั้นแกงเขียวหวานของเขาคงรสชาติแย่ที่สุดเท่าที่เคยทำมาแน่ๆ ให้ตายสิ! มันน่าจะเป็นมื้อที่เขาและเดือนทานข้าวด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย มีความสุข เจริญอาหารสิวะ ไม่ใช่มานั่งเขี่ยมะเขือไปมาในจานแบบนี้ !




“หอมสัสๆ อะไอ้ซัน กูโคตรหิวเลยว่ะ” ไอ้กายมาถึงก็พูดเสียงดังแล้วตรงดิ่งไปที่ครัวก่อนจะร้อง ‘อ้าว’ ออกมาเสียงดัง


“หวัดดีคุณ” ไอ้กายทักทายเดือน ทำหน้าตาสงสัยใคร่รู้ไปยังผู้ชายอีกคนที่นั่งตรงข้ามกับเดือนอย่างออกนอกหน้า เขาจึงดึงมันไปตักอาหาร


“ใครวะมึง” นั่น มันกระซิบถามทันที


“พี่นนท์”


“แฟนคุณเหรอ” จะเล่นมุกว่า ไม่ใช่แฟนกู มันจะเงิบใช่ไหม งั้นก็ผ่านเถอะ


“ไม่รู้ เดือนบอกว่าเพื่อน” ถึงลึกๆ แล้วจะอยากรู้สถานะของ ‘พี่นนท์’ แค่ไหนก็คิดว่าไม่ควรไปถามอยู่ดี ไอ้กายตักพูนจาน เราจึงพากันเดินกลับมาที่โต๊ะ


“อร่อยว่ะไอ้ซัน” ไอ้กายนั่งลงข้างพี่นนท์ ตักแกงเขียวหวานเข้าปากแล้วพูดออกมาทั้งที่ยังเคี้ยวไม่หมด


“เออดิ ฝีมือกูซะอย่าง” ต่อบทสนทนาหวังคลายบรรยากาศน่าอึดอัด   


“กูเพิ่งรู้มึงทำกับข้าวอร่อยก็วันนี้ บอกมาว่าหมดรสดีไปกี่ซอง” ไอ้กายพูดติดตลก ทำให้เดือนขำพรึดออกมา บรรยากาศผ่อนคลายลงนิดหน่อย


“ระดับซันไม่ต้องเพิ่งผงชูรสหรอกน่าไอ้กาย” เดือนพูดแก้ต่างให้ ค่อยสมกับที่เขาทำอาหารให้ทานหน่อย


“อร่อยมาก” พี่นนท์พูดชมบ้าง เขายิ้มรับ


“ขอบคุณพี่ ทานเยอะๆ ไม่ต้องกรงใจ ไอ้กายด้วย”


ไม่นานหม้อแกงเขียวหวานก็ถูกย้ายลงไปอยู่ในอ่างล้างชาม หมดเกลี้ยง พ่อครัวอย่างเขาก็ได้แต่ยิ้มหน้าบานอยู่ในใจ


   

กายมาช่วยล้างจาน ปล่อยให้เดือนกับพี่นนท์อยู่ที่ห้องนั่งเล่น ได้ยินเสียงพี่นนท์พูดอะไรแว่วๆ จับความไม่ได้ ไม่ได้ยินเสียงเดือนตอบเลยสักคำ


“กูเพิ่งรู้ว่ามึงทำอาหารเป็นด้วย” ล้างจานเสร็จกายก็พูดขึ้น

“เออ อยู่คนเดียวกูก็ไม่ทำหรอกว่ะ พอดีเดือนอยากกิน”

ตั้งแต่อยู่หอมาจนตอนนี้ปีสาม ยังไม่เคยทำอาหารทานเองที่หอแบบจริงจังเท่านี้มาก่อน ปกติอยู่คนเดียวแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เจียวไข่ก็พอแล้ว ทำไปก็ขี้เกียจไม่มีคนทานด้วย กลับบ้านไปทำทานกับครอบครัวอร่อยกว่าเยอะ อบอุ่น


“กูต้องไปขอบคุณไอ้คุณสินะ ที่อยากแดกน่ะ” ไอ้กายว่าพลางเดินนำไปห้องนั่งเล่น

แล้วเราก็ต้องชะงัก เมื่อจู่ๆ เดือนก็ตะโกนเสียงดัง



“พี่นี่พูดไม่รู้เรื่องหรือไงว่ะ บอกว่าจบก็จบสิ”


ไอ้กายและเขามองหน้ากัน เราก็หยุดยืนฟังเงียบๆ อยู่ในห้องครัว ไม่ยอมเดินไปต่อ
จะว่าแอบฟังก็ไม่ถูกนะ เดือนตะโกนให้ได้ยินเอง


“........................”


พี่นนท์พูดเสียงเบา แต่เดือนคงโมโหมากตะเบ็งเสียงตอบเต็มที่


“เออ!! ย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว มาเห็นกับตาแล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือไง”


“.......................”



“คนนี้จริงจังที่สุด ขอบคุณพี่มากที่เสียเวลากับผม เชิญเถอะครับ ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันอยู่”


เดือนลดเสียงตะโกนลง แต่ก็ยังดังอยู่ดีถ้าเทียบกับระดับปกติ แล้วก็มีเสียงเปิดและปิดประตู
ไอ้กายโผล่หน้าไป มันบอกว่าสองคนออกไปแล้ว


“โห เวลาไอ้คุณมันโมโหนี่ก็เอาเรื่องนะ”


“อืม อย่าไปมีเรื่องเข้าล่ะ” เห็นเงียบๆ นิ่งๆ แบบนั้น ยามโมโหก็ร้ายเอาเรื่องไม่หยอก


“ไอ้ซัน กูไม่อยากเดาเลยวะ” ไอ้กายทำหน้าลังเลใจ

   
“เดาอะไร”


“ก็เรื่องที่คุณพูดเมื่อกี้ มึงว่าคุณมันหมายถึงใครวะ เป็นมะ---“ ไม่รอให้กายพูดจบประโยค เขาก็ชิงพูดขึ้นก่อน


“ไม่ต้องเดาห่าไรหรอก มันโมโหก็พูดไปเรื่อยแหละ”


ต้องรีบบอกมันก่อนที่มันจะพูดออกมา...เขายังไม่อยากได้ยิน

   



เรื่องบางเรื่องแม้จะรู้อยู่เต็มอกทำเป็นนิ่งเฉยเสียบ้างอาจจะดีกว่าพูดออกมาก็ได้





เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังคำพูดแค่ไม่กี่คำ






อย่างที่แม่เคยบอกเสมอ
สามสิ่งที่ไม่สามารถคืนมาได้คือ เวลา คำพูดและโอกาส







และเขายังไม่พร้อมที่จะเสียทั้งสามสิ่งนี้ไปพร้อมกัน




-----------------------------------------------------
[24.12.58]
คุณ B52 น้องแมนอาจจะโดนคนแก่กินก็ได้นะคะ
คุณ sentpai #ขออนุญาตถามหน่อยนะครับ ว่าเรื่องนี้จะมีประมาณกี่ตอน: มี 24 ตอนค่ะ
คุณ ammchun ขอบคุณค่ะ ดีใจจัง ตอนนี้มีแต่ที่แต่งไม่จบ 5555 เลยเอาที่แต่งจบแล้วมาลงไปพลางๆ *วิ่งหนี*
คุณ Kaemmiizz ใครจะเสร็จใครอันนี้ต้องดูอีกทีค่ะ 555

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
 :กอด1:
Lavender’s blue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2015 23:51:53 โดย Wendy »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 6) 24-12-2558
«ตอบ #13 เมื่อ24-12-2015 22:52:25 »

อึดอัดกับบรรยากาศ แต่น่ารักมากกับวิธีการตะล่อมของซัน

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 6) 24-12-2558
«ตอบ #14 เมื่อ24-12-2015 23:28:07 »

เห้อ!!  หม่นๆหน่วงๆ ผ่านไปเร็วๆเหอะ อยากอ่านฉากสวีทตี้พิ้งบ้าง

ออฟไลน์ sentpai

  • เพราะโลกของแต่ละคนนั้นมันไม่เหมือนกัน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 6) 24-12-2558
«ตอบ #15 เมื่อ24-12-2015 23:54:46 »

ขอบคุณครับ
สนุกดีเรื่องนี้ ตามมาจาก lucky เลยนะครับ
คุณคนแต่งเขียนได้สนุกดีครับ ไม่น่าเบื่อ

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 7) 27-12-2558
«ตอบ #16 เมื่อ27-12-2015 22:42:57 »

Just Love รักนะครับ





7


   

‘ซันๆ ถ้าว่างพาเดือนไปซื้อเสื้อผ้าดีๆ ใส่หน่อยสิ แม่น้องเห็นแต่ละตัวแล้วปวดหัว’

   

แม่น้องแอบโทรศัพท์มาหาเขาในเช้าวันหนึ่ง น้ำเสียงเป็นกังวล สงสัยวันที่ย้ายของแม่น้องคงไปเจอเสื้อสีซีดเต็มไปด้วยรอยขาด กางเกงขาสั้นเหว่งวิ่น ไม่ก็กางเกงขายาวแต่มีรอยปุปะเต็มไปหมดของเดือนเป็นแน่  เสื้อผ้าพวกนั้นแม่น้องคงจะแอบเอาไปทิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย เห็นวันแรกๆ ที่เดือนย้ายเข้ามาทำท่าทางหัวเสีย บ่นพึมพำว่าหาเสื้อผ้าไม่เจอ
 
   

เขารับปาก คิดว่าวันนี้จะพาเดือนไปห้างซื้อเสื้อผ้า แน่ล่ะ มันต้องมีแผนล่อแมวออกจากตะกร้า คิดสำนวนใหม่ขึ้นมาเองเพื่อเดือนโดยเฉพาะ สำนวนไทยมีแต่ล่อเสือออกจากถ้ำใช่ไหมล่ะ เดือนยังห่างไกลจากคำว่าเสือเยอะ เป็นแมวไปก่อนละกัน ตระกูลเดียวกัน

   

“เดือน ตอนบ่ายว่างป่าว ออกไปข้างนอกกัน” ถามคนที่กำลังนอนทำหน้าง่วงๆ ดูโทรทัศน์อยู่ เดือนปรือตาขึ้นมองแล้วถาม

   

“ปายหนายยยยย” เสียงยานคาง ท่าทางเกียจคร้านเหมือนแมวผึ่งแดด

   

“ไปห้าง เค้าอยากซื้อเสื้อผ้าใหม่หน่อย เห็นวันก่อนๆ ตัวก็บ่นเหมือนกันใช่ป่าว” งานนี้เอาความเหมือนเข้าแลก เดือนก็อยากซื้อเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราไปซื้อเสื้อผ้ากันเถอะ ตรรกะแปลกๆ แต่อย่าไปคิดมากเลย

   
แมวดูเหมือนจะให้ความสนใจไม่น้อย เพราะยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองมาที่เขา ท่าทางกระตือรือร้นขึ้นทันตา

   
“ซันๆ อยากซื้อเสื้อผ้าเหรอ”

   
“อืม ก็นะ เหมือนจะอ้วนขึ้นนิดๆ แฮะ” กางเกงเริ่มจะคับชอบกล ตั้งแต่เดือนมาอยู่ด้วยกัน กินข้าวครบสามมื้อไม่พอยังกินหมดจานตลอด บางครั้งก็เติมด้วย บางทีมีของหวานตบท้าย ล้างปาก
   
ซ้ำร้ายชมรมก็ไม่ค่อยได้ไป สงสัยเขาต้องหาเวลาไปออกกำลังกายบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นซิกซ์แพ็คทั้งหลายที่อุตสาห์พากเพียรเพาะมาจะหายไปหมด เสียดายแย่

   
“ที่ห้างแพง ไม่ต้องไปหรอก เรามีที่แนะนำ ถูกด้วย สนป่าว” ท่าทางกระตือรือร้นขนาดนั้น ปฏิเสธไม่ลง ไหนๆ แมวก็ตกหลุมตามแผนพอดีเลยตามใจ











ปริ้นๆ!!


รถมอเตอร์ไซค์ดังลั่นแล้วเลี้ยวเข้ามาจอดอย่างฉวัดเฉวียนจนคนที่อยู่ริมถนนรวมทั้งเขาเงยหน้าขึ้นมอง

“สก็อยพร้อมยังจ๊ะ แว้นซ์พร้อมแว้ววววว”

   
คนขับสวมหมวกกันน็อคเต็มใบสีดำเปิดหน้ากากแล้วตะโกนเสียงดังพร้อมกดแตร เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา รีบสวมหมวกกันน็อคครึ่งใบที่ถือในมือยอมเป็นสก็อย กระโดดขึ้นซ้อนหลังทันที ก่อนจะตกเป็นเป้าสายตามากไปกว่านี้
โธ่ เดือนก็กดแตรมาได้ เขายืนอยู่หน้าร้านขายกับข้าวช่วงเวลาเที่ยง คิดภาพคนในร้านหันมามองกันให้พรึบ เท่านั้นยังไม่พอยังมีหน้าหันมาบอกว่า “จับแน่นๆ หน่อยนะน้องนะ” เป็นทำนองเพลง หัวเราะเสียงดังแล้วจึงออกรถไป

   
แทนที่เดือนจะขับรถออกไปทางชานเมืองซึ่งเป็นทางไปห้างสรรพสินค้า แว้นซ์กลับเร่งเครื่องเข้ามุ่งสู่ใจกลางเมือง ขับผ่านหน้ามหาวิทยาลัยไปสักพักหาที่จอดรถได้แล้วดับเครื่อง

   
“ตลาด?” ถามอย่างไม่แน่ใจเมื่อเห็นว่ารถเข้ามาจอดที่ไหน


   
“แม่นแล่วซันๆ” เด็กแว้นซ์ถอดหมวกกันน็อค ยักคิ้วอีกแล้ว อยากจะซื้อท่าทางกวนๆ นั่นชะมัด
   

เดือนพามาที่ตลาดสด ตลาดเดียวกับที่เขามาซื้อของเพื่อทำกับข้าวนั่นแหละ ตลาดสดนี้มีของขายหลากหลาย ส่วนที่เป็นของสดอย่างผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ อาหารทะเลก็มี ส่วนที่เป็นของแห้งต่างๆ ก็มี หรือจะเป็นส่วนของเครื่องใช้ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าก็มี ตลาดสดใกล้บ้านช่างครบวงจรจริงๆ เป็นสรรพสินค้าเหมือนกันนะ

   
ตอนบ่ายที่มาถึงโซนตลาดที่ขายของสดเงียบเหงาซึ่งไม่แปลกใจเพราะโซนนี้จะครึกครื้นแค่ตอนเช้ากับตอนเย็น ช่วงบ่ายแม่ค้านอนหลับกันเพลิน นานๆ ถึงจะตื่นมาขายของกันที

   
เจ้าถิ่นเดินผ่านโซนของสดอย่างชำนาญ เลาะไปตามทางลัดต่างๆ อย่างรวดเร็ว เขาไม่ทราบมาก่อนว่าเดือนเดินตลาดคล่องขนาดนี้ เห็นท่าทางคุณหนูแบบนั้น คราวหลังพามาซื้อของด้วยท่าจะรุ่ง   

   
“ร้านนี้แหละ” มาหยุดที่ร้านขายเสื้อผ้าร้านหนึ่งตั้งอยู่ในตรอกแคบเล็ก ประตูร้านเป็นรั้วเหล็กเปิดออกเพียงครึ่งเดียว มองเข้าไปในร้านมีเสื้อผ้าวางอยู่เต็มจนเหลือทางเดินพอดีตัว ใกล้ประตูมีอาซิ้มแก่ๆ คนหนึ่งนั่งดูโทรทัศน์พร้อมโบกพัดใบลานไปมา

   
“อาซิ้ม หวัดดีครับ” เดือนกล่าวทักทายเจ้าของร้านเสียงร่าเริง อาซิ้มแกหันมายิ้มให้ ตอบด้วยท่าทางสนิทสนม

   
“อาคุน ไม่เจอกังนานนะ มาซื้อเสื้อป่าว ลื้อเข้ามาเลือกเอาเลย” ว่าแล้วอาซิ้มก็ลดเสียงโทรทัศน์ลงเล็กน้อย กวักมือเรียกแล้วนั่งดูโทรทัศน์ต่อไป

   
“ปะซันๆ ไปเลือกเสื้อผ้ากันเถอะ” พูดแล้วก็เดินนำเข้าไปในร้าน เขาเข้าไปยกมือไหว้สวัสดีอาซิ้มตามคนข้างหน้า

   
“ซันๆ อยากได้เสื้อผ้าแบบไหน” คนถามเดินผ่านกองเสื้อผ้าที่วางซ้อนกันตั้งแต่บนพื้นจดเพดาน เสื้อผ้าเหล่านั้นตั้งเป็นแถวแน่นร้านไปหมด มีเพียงแสงไฟสีขาวที่ห้อยลงมาจากเพดานสามดวงให้ความสว่างเท่านั้น 

   
“เสื้อยืดธรรมดาๆ ก็พอแล้วล่ะ” เขาไม่ได้ตั้งใจมาซื้อ เอาเสื้อยืดไว้ใส่เล่นก็พอ

   
“อืม สีที่ชอบ ขาวเหรอ ลองเปลี่ยนเป็นสีดำไหม” เดือนหยิบเสื้อยืดสีขาวล้วนมาหนึ่งตัว แล้วก็หยิบสีดำขึ้นมาวางข้างกัน

   
“ตัวไหนก็ได้ แล้วแต่เลย” ใส่ออกมาแล้วก็เป็นเสื้อเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะขาวจะดำ เขาไม่เคยสนใจอยู่แล้ว ปกติเรื่องเสื้อผ้าก็เป็นแม่ที่จัดการให้ตลอด

   
“หรือสีเทาดีล่ะ” หยิบสีเทาออกมาวางอีกตัว

   
“อืม สีเทาก็ได้ เลือกตามที่เดือนชอบเลย” จะได้ซื้อไปพร้อมกัน นี่แหละแผนของเขา

   
“หือ ให้เราเลือกเหรอ สีเทานะ”

   
“ได้เลย งั้นก็เอาสีเทาสองตัว เบอร์แอลกับเบอร์เอ็มครับ” ไม่รอให้อีกคนได้ทักท้วงรีบหันไปบอกคนงานที่อาซิ้มให้มายืนบริการใกล้ๆ 

   
“เอ้า เค้าก็ต้องซื้อด้วยเหรอ ไม่ค่อยชอบเสื้อแบบนี้เลย”  เดือนทำท่าจะบอกปฏิเสธเลยชิงพูด

   
“ตัวไม่ต้องซื้อ เค้าซื้อให้ไง เอาไว้ใส่ด้วยกัน” คนถามถึงได้ยอม แล้วส่งยิ้มหน้าบาน สงสัยดีใจได้เสื้อใหม่




   
เลือกเสื้อยืดให้เดือนได้อีกสองสามตัว แล้วก็กางเกงขาสามส่วนสองตัว กางเกงทรงกระบอกขายาวอีกตัวจึงพากันกลับ คราวนี้สก็อยเป็นคนขับ ให้แว้นซ์ไปซ้อนแทน โดยมีข้ออ้างให้เดือนถือถุงเสื้อผ้าไว้

   
   
มาถึงเด็กแว้นซ์ก็รีบไปลองเสื้อผ้าในห้องทันที ท่าทางเห่อมาก เขาไม่รู้ว่าเดือนชอบซื้อของ คราวหลังจะได้ชวนไปตลาดบ่อยๆ

   
“เป็นไงซันๆ ไหวไหม” เขากำลังเซ็ตเครื่องเตรียมเล่นเกม คนขี้เห่อก็ออกห้องมาด้วยชุดใหม่เสื้อยืดสีเทากางเกงสามส่วนสีดำ

   
“เออ  ดูดีนี่”
   

   
“อืม เสื้อร้านอาซิ้มก็เนื้อดี ไม่ร้อนด้วย เค้ามาซื้อไปทำเสื้อขายบ่อยๆ” เสื้อยืดสีเทาพอดีกับช่วงไหล่กว้าง กางเกงสามส่วนขนาดพอดีตัวตัดกับผิวขาวซีด พอได้ยินที่เดือนตอบเขาก็ไม่แปลกใจที่ลูกชายเพื่อนแม่จะสนิทกับอาซิ้มเจ้าของร้านขายเสื้อ แถมที่ซื้อของเมื่อครู่ซิ้มยังลดให้แทบไม่คิดกำไร

   
“ซันๆ ไปลองดูสิ...เผื่ออ้วนขึ้นแล้วใส่เสื้อเบอร์เดิมไม่ได้ทำไง” คำพูดแรกๆ ยังไม่ค่อยสนเท่าไหร่ แต่พอเจอประโยคหลังเท่านั้นแหละ เขากดพักเกมไว้ก่อน แล้วรีบไปลองเสื้อทันที

   
เดือนก็คงรู้วิธีที่จะบอกให้เขาทำตามความต้องการของตนเองได้ พอๆ กับที่เขาวางแผนตะล่อมให้อีกฝ่ายทำตามเขาบอกเหมือนกัน

   

“หล่อมาก...เวลาชมคนอื่นควรจะบอกอย่างนี้ ไม่ใช่แค่  เออ ดูดีนี่ แบบเมื่อกี้
รู้ป่าวซันๆ” 

   

เดือนพูดขึ้นอย่างประชดประชัดพร้อมย่นจมูกเมื่อเขาเดินออกมาด้วยเสื้อยืดสีเทา

   

“คร้าบๆ จะเล่นเกมแล้วคร้าบ” เอาเถอะครับว่ายังไงก็ได้แหละ เกมพร้อมแล้ว ลุยละนะ ย้ากกกกก!!!

   

“ฟุบ พลิกตัว ได้ทัน โอ้โห ไอ้นี่โหดว่ะ”
   
“หมุนซ้าย หมุนขวา เฮ้ย กดยิงไม่ทัน”
   
“ฮ่าๆ ช้าครับน้องครับ พี่มันเสือปืนไว”
   
“บุกเข้าเลย บุกเลย เย้ยยย กูโดนสอย”

   
เกมมันก็มีเสียงประกอบ แต่พากย์เองมันส์กว่าเยอะ นี่พูดเลย ใครติดเกมแล้วไม่เป็นแบบเขาบ้างมีไหมนะ รู้สึกหนักๆ ที่ไหล่ เหลียวไปมอง เดือนมานั่งข้างๆ โดยกดมือลงกับไหล่เพื่อย่อตัว

   
“อยากเล่นป่าว” เห็นจ้องเกม ท่าทางอยากเล่นเลยเอ่ยชวน
   
“ม่ายยยเอา เล่นไม่เป็น” บอกอย่างนั้นแต่ตายังคงมองภาพในจอโทรทัศน์

   
“ไม่ยากๆ มือซ้ายสี่ตัวนี้ก็เดินหน้าซ้ายขวาถอยหลัง มือขวาสามเหลี่ยมก็ยิง สี่เหลี่ยมฟัน วงกลม---“ เขาไม่ทันพูดจบก็โดนขัด

   
“เยอะ จำไม่ได้ เวียนหัว”  เมื่อเห็นว่าคนข้างๆ ไม่สนใจจริงๆ ก็หันไปสนใจเกมต่อ

   
“กองกำลังเสริม กองเสริม มาเร็วเด้” ค่ายจะโดนตีแล้ว คนอื่นอยู่ไหนวะ
   
“ทำไมต้องเล่นไปพูดไป” คนนั่งดูเขาเล่นเกมถามขึ้น ได้ฟังคำถามแล้วเขาชะงักค้าง ไม่รู้จะตอบยังไงเลย

   
“....ไม่งั้นไม่หนุก ไม่มันส์อะ” นั่งเล่นเงียบๆ เขาก็เบื่อบ้าง ต้องมีซาวนด์ประกอบ


   
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง...แล้วทำไงถึงชนะล่ะ” สงสัยเบื่อเหมือนกันเลยแปลงร่างเป็นเจ้าหนูจำไมซะแล้ว

   
“ถ้าบุกทำลายฐานทัพฝ่ายตรงข้ามได้ก็ชนะเลย นี่ไง ต้องเข้ามายืนตรงนี้จนเวลามันหมด”  ตอนนั้นเขาเข้าบุกฐานได้พอดี วางกับดักเตรียมถล่มฝ่ายตรงข้าม จับเวลาเลยได้เลย งานนี้ชนะใสใส

   
เดือนขยับตัวเข้ามาชะโงกดูเครื่องบังคับเกมในมือใกล้จนเบียดไหล่ ปลายจมูกได้กลิ่นเฉพาะตัวที่ทำให้เขาต้องกะพริบตาเรียกสมาธิ   

   
“สหายข้ามาช่วยแล้ว สหายข้ามาช่วยแล้ว” โชคดีที่เกมเปลี่ยนไป เพื่อนเข้ามาช่วยตอนเขาโดนถล่ม เอ้าวิ่งให้ไวหน่อย เร็วฐานเราโดนบุกแล้ว

   
“เวียนหัว” คนข้างๆ บ่นขึ้นเมื่อเกิดการตะลุมบอนในเกม หน้าจอเคลื่อนไหวไปมาซ้ายขวาไม่หยุดนิ่ง

   
“ฮ่าๆ ตัวก็ไปทำอย่างอื่นก็ได้” เวียนหัวก็ไปทำอย่างอื่นหันไปคุยไม่ถึงสามวินาที เขาโดนแทง หมออยู่ไหน ฮิลล์ด่วน!!

   
“ซันอยากกินไรป่าว เดี๋ยวเค้าไปหยิบมาให้” ตอบไปว่าได้หมด เพื่อนร่วมห้องจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว

   


จังหวะนั้นเองโทรศัพท์ของเขาก็มีสายเรียกเข้า ล้วงออกมาจากการะเป๋ากางเกง กดรับแบบไม่ดู เอียงหน้าใช้ไหล่ดันเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กแนบหู สองมือยังคงบังคับเกมต่อไป

   
“คร้าบบบ”
   
“ตอนนี้เลยเหรอ? กำลังเล่นเกมอยู่อ่า ค่ำๆ ได้ไหม งั้นให้เกมนี้จบก่อนก็แล้วกัน ครับ แพง เจอกันครับ”

   
ขนมสองถุงอยู่ในมือตอนที่เดือนเดินออกมา ชะงักนิดหน่อยทำท่าจะเลี่ยงออกไปแต่เมื่อเห็นว่าเขาเพิ่งวางโทรศัพท์ก็เดินเข้ามา

   
“เออเดือน ต้องออกไปข้างนอกอะ” ร้องบอกเดือนโดยไม่ละสายตาออกจากจอโทรทัศน์

   
“ไปไหน” เดือนทิ้งตัวนั่งบนโซฟา ขนมสองถุงนั้นถูกวางไว้ข้างตัว

   
“แพงชวนไปดูหนัง” เกมโอเวอร์จนได้ เขาถอนหายใจด้วยความเซ็ง

   
“ตอนนี้?”

   
“อืม เดี๋ยวก็ไปล่ะ ไปด้วยกันไหม” เดือนถามเขามากกว่าปกติ สงสัยอยากไปด้วยเขาจึงชวนไปด้วยกัน

   
“ไปได้เหรอ”  ทำหน้าดีใจแบบนั้น ไม่ให้ไปก็ใจร้ายแย่ เขามองนาฬิกาแล้วจึงรีบออกห้องทันที







.

.

.



   

“ซัน!!” 

   
แพงร้องทักเมื่อเห็นเขา ส่งยิ้มกว้างน่ารักพร้อมเดินมาใกล้

   
“หวัดดีแพง โทษทีช้าหน่อยนะ”  ช้าไปสิบนาที พอดีกับหนังที่กำลังจะเริ่มเวลาฉาย

   
“อ้าว คุณ หวัดดีจ้า โทษทีนะ พอดีไม่เห็น ซันบังคุณมิดเลย” เดือนส่งยิ้มเบาๆ ให้เป็นการทักทาย สองคนนี้รู้จักกันเพราะเขาเคยพาแพงไปเดินเล่นแล้วบังเอิญเจอเดือนพอดี จึงได้แนะนำให้รู้จักกัน

   
“ไปซื้อตั๋วเลยไหม หนังจะเริ่มแล้ว” เขาพูดขึ้นเมื่อเห็นสองคนมองกันอยู่อย่างนั้นไม่สานต่อบทสนทนา

   
“อื้อ ซันเลือกเลยนะ นี่บัตรส่วนลดจ้า” แพงได้บัตรส่วนลดราคาภาพยนตร์มา เลยชวนดูหนัง วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ไม่งั้นอด ได้ตั๋วราคาพิเศษสามใบแล้วเราสามคนก็เดินเข้าโรงภาพยนตร์

   
เขานั่งตรงกลางระหว่างสองคน ด้านซ้ายเป็นแพง ทางขวาคือเดือน คนท่ามมาด้วยซื้อป๊อบคอนมาทาน เห็นท่าทางกินอย่างจริงจังของเดือนแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าความจริงเรายังไม่ได้ทานข้าวเย็นกันเลย

   
“หิวก็หยิบ” เดือนหันมากระชิบ แล้วภาพยนตร์เริ่มขึ้น










   
“ตอนแรก แพงนึกว่าเป็นหนังรัก ทำไมตอนจบมันเศร้าจัง” หญิงสาวหนึ่งเดียวเดินตาแดงออกมาโรงหนัง บ่นงึมงำ


“อารมณ์เศร้าก็เป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งเหมือนกันนะแพง” เดือนพูดปลอมใจคนฟังยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ


“คุยกับเด็กศิลป์นี่ อ่อนโยนละมุนละไมจังนะ” แพงตอบส่งยิ้มให้อย่างเคย


“หิวกันไหมจ๊ะหนุ่มๆ กินข้าวกันก่อนกลับดีไหม” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ร้านอาหารบุพเฟ่ต์ได้รับการโหวดมากที่สุดคือจากเขาและเดือน ส่วนสลัดของแพงแพ้ย่อยยับ










“แพงดื่มน้ำอะไรดี” เมื่อได้โต๊ะแล้วซันเดินไปตักอาหาร ทิ้งคุณกับฉันไว้ที่โต๊ะ คุณหยิบแก้วสามใบขึ้นมาแล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา


“โค้กจ้า” ส่งยิ้มให้ คุณยิ้มกลับมาแล้วก็เดินไปยังซุ้มเครื่องดื่ม


คุณในสายตาของฉัน คือผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง ตัวผอมซีด ผมยาวเกล้าไว้ด้วยดินสอ ปอยผมที่หล่นระเรื่อยต้นคอนั้นดูมีเสน่ห์มาก ทั้งหน้านิ่งๆ แบบที่เจ้าตัวทำประจำแล้วมันไม่ขัดตาสักนิด ดูกลมกลืนกันไปหมด


มองภายนอกคุณดูหยิ่ง แต่เมื่อได้รู้จักกลับไม่ใช่ ถึงจะดูเงียบๆ แต่ก็มีน้ำใจให้คนรู้จักตลอด นิสัยคล้ายซันมากผิดแต่ซันจะดูร่าเริง แล้วก็ยิ้มง่าย รอยยิ้มมักจะมาพร้อมกับคนนี้เสมอ ไม่ยากเลยที่ใครๆ ก็หลงรักรอยยิ้มอบอุ่น


ซันเลือกตักอาหารที่ทำสำเร็จแล้วมาวางก่อน แล้วชักชวนให้ฉันทาน ขณะรอหม้อน้ำซุป แล้วคุณก็เดินกลับมาในมือถือน้ำโค้กหนึ่งแก้ว มีชายหนุ่มอีกคนเดินตามมาถือแก้วสองใบในมือมาด้วย


“โต๊ะนี้แหละ ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มคนนั้นวางแก้วลง ฉันกล่าวขอบคุณเขา เขาส่งยิ้มให้คุณอย่างจงใจ แล้วเดินจากไป


“คนรู้จัก?” ซันถามขึ้นเมื่อชายหนุ่มแปลกหน้าเดินลับไปแล้ว


“ไม่ เขาช่วยถือมาให้” คุณเลื่อนแก้วน้ำโค้กส่งให้ฉันพร้อมเสียบหลอดดูด ก่อนจะเลื่อนแก้วน้ำชาให้ซันและตัวเอง


“แพงไปตักของก่อนนะ” ของที่ซันตักมามีแต่ทอดๆ ฉันอยากกินผักบ้างจึงเดินไปตักเอง คุณก็เดินตามมาด้วย


“แพงอยากทานอะไรบ้าง ผลไม้รองท้องก่อนไหม” ถามแล้วไม่รอคำตอบตักสับปะรดใส่จานทันที


“ว่าจะไปตักสลัดน่ะ คุณกินไหม” คุณทำหน้าแหยงๆ แล้วส่ายหัวปฏิเสธ แต่ก็ทำท่าจะเดินตามมาด้วย


“ไม่เป็นไรหรอก แพงเดินไปเองได้” ฉันพยายามให้คุณกลับไปนั่งที่ เพราะดูท่าแล้วเจ้าตัวจะไม่ได้อยากตักอะไรเป็นพิเศษ


“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อน” เห็นไหม คุณน่ะ น่ารักจะตาย





กลับมาที่โต๊ะ หม้อสุกี้ก็มาถึงแล้ว ซันใส่ของที่หยิบมาลงไปเรียบร้อย

“ไม่มีเนื้อหรอก แพงไม่ทานใช่ไหม เดือนก็ไม่กินเหมือนกัน” ซันบอกฉันพร้อมรอยยิ้มกว้าง มันคงจะดีถ้าไม่มีประโยคสุดท้าย ...แค่ชื่อเรียกเอง...ทำไมฉันถึงรู้สึกแปลกๆ ในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ไม่รู้ แล้วยังวันนี้ที่ใส่เสื้อแบบเดียวกัน สีเดียวกันอีก


“สุกแล้ว แพงทานเลยนะ” ซันเอื้อมมือมาตักอาหารใส่ถ้วยใบเล็กให้ เมื่อหันจะไปหยิบถ้วยอีกใบ คุณก็คว้าถ้วยของตัวเองไว้แน่น ไม่ยอมให้ซันตัก


“ไม่เอา จะตักเอง”


“เอามาน่า เดี๋ยวก็ไม่กินผักอีก” ซันพูดเสียงเข้ม


“วันนี้กินไปแล้วสองมื้อ ตอนเย็นไม่ต้องก็ได้” คุณต่อรอง ฉันหัวเราะเบาๆ กับคำต่อรองเหมือนเด็กน้อย


“กินไปแล้วสองมื้อ มื้อเย็นก็กินอีกได้ เอามาเร็ว” แล้วถ้วยใบเล็กก็ไปอยู่ในมือซันจนได้
ฉันคงหัวเราะเสียงดังไปนิด ทั้งสองคนถึงได้มองมาที่ฉันเป็นตาเดียว



“...สนิทกันมากๆ เลยเนอะ ซันกับคุณ ดีจัง”



“โธ่ ไม่สนิทยังไงไหวล่ะแพง เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กแล้วยังจะมาเป็นรูมเมทกันอีก” ซันบอก


“เค้าก็ไม่ได้อยากย้ายมาอยู่ด้วยสักหน่อย” คุณเถียง...แทนตัวเองว่าเค้าเหรอ?


“เหอะ ตัวออกมาน่ะดีแล้ว อยู่คนเดียวก็ไม่ดูแลตัวเอง” ซันเรียกคุณว่าตัว...นอกจากเรียกว่าเดือนแล้วน่ะนะ


“อืม ถ้าขุนไม่อ้วนจะฟ้องแม่แน่ซันๆ” ซันๆ งั้นเหรอ?









...สนิทกันมากๆ เลยเนอะซันกับคุณ ดีจัง...






ดีแล้ว...ที่ยังไม่ตกลงใจ
 
ดีแล้ว...ที่ยังเป็นเพื่อนกับซันก่อน

ไม่งั้นคงเสียใจแย่เลยนะเรา





รากฐานของความรักที่มั่นคงก็มาจากคำว่าเพื่อนนี่แหละ

มิตรภาพมันล้ำลึกเสียยิ่งกว่าความสัมพันธ์ใดๆ รวมกันเสียอีก





--------------------------------------------------
[27.12.58]
ซึ้งใจกับคอมเม้นท์มาก :D
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ 
ที่หายไปแอบไปลงเรื่องสั้นมาค่ะ
[เรื่องสั้น] At the beginning of the end ❆(จบในตอน)
ลองเขียนฉากพระนายดูไม่รู้แปลกๆ ไหม
อ่านแล้วรู้สึกยังไงบ้างบอกด้วยนะคะ
*กอด*
Lavender’s blue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2015 23:02:52 โดย Wendy »

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 7) 27-12-2558
«ตอบ #17 เมื่อ28-12-2015 23:14:29 »

ดีแล้วแหละแพงที่ไม่ตกลงปลงใจก่อน ก็มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นล่ะที่ทำเหมือนไม่มีอะไรทั้งๆที่ใครๆก็ก็ดูออก

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 8 ) 29-12-2558
«ตอบ #18 เมื่อ29-12-2015 21:06:01 »


Just Love รักนะครับ



8




“ไอ้ซัน กูลงชื่อให้มึงแล้วนะเว้ย”


เช้านี้เมื่อเดินเข้ามาที่คณะ กายที่นั่งเล่น ชวนคนโน้นคนนี้คุย ป้อสาวไปทั่ว อยู่ใต้ตึกตะโกนเสียงดัง พร้อมโบกไม้โบกมือเรียก

“ลงชื่ออะไรวะ” เดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ เพื่อน หาวและบิดตัวไปมาไล่ความง่วง

“ลงชื่อไปค่ายชมรมไงเล่า บ๊ะ ไอ้นี่ ยังไม่แก่ ลืมซะแล้ว”

“อ๋อ เออ วันเสาร์อาทิตย์นี้ใช่ไหม”

ค่ายที่ว่าคือกิจกรรมค่ายอาสาของชมรมฟุตบอล ที่จัดขึ้นปีละสี่ครั้ง ช่วงกลางเทอมและตอนปิดเทอมทั้งสองภาคเรียน ค่ายกลางเทอมจะเป็นค่ายสั้น ระยะเวลาแค่เสาร์อาทิตย์ ส่วนค่ายปิดเทอมหรือที่เรียกว่าค่ายใหญ่จะประมาณ 2-3 สัปดาห์

“ไปทำอะไรล่ะ”

สองครั้งที่ไปค่ายสั้นส่วนใหญ่เป็นค่ายพัฒนาชุมชน ให้ความรู้ด้านการเกษตรแก่เกษตรกร สร้างห้องน้ำ อาคารเรียนหลังเล็ก ห้องสมุด ทาสีปรับปรุง อาคารต่างๆ บ้างตามความต้องการของชุมชนและศักยภาพของนักศึกษาที่ออกไปช่วยพัฒนาท้องถิ่น

“...ไม่รู้เว้ย ได้ยินว่าจะไปสร้างอาคารมั้ง” รอยยิ้มของไอ้กายจางลงไปนิดเพียงเสี้ยววินาที แล้วจึงกลับมาพูดเสียงดังอีกครั้ง

“เย็นนี้ไปเตะบอลกันไหม ไม่ได้ไปดูน้องๆ หลายวันแล้ว” ปกติไอ้กายจะเป็นคนชวนไปชมรมตลอด คราวนี้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยชวนมันบ้างก็ไม่คิดว่ามันจะปฏิเสธ

“วันนี้กูไม่ว่างว่ะ...นัดสาวไว้แล้ว” ไอ้กายบอกปฏิเสธเสียงเบา ไร้ซึ่งท่าทางทะเล้นอย่างเคยยามที่ได้อวดสาวๆ

“เออๆ ขอให้สนุกละกันมึง กูจะไปเตะบอล ถ้าว่างก็มา” มองนาฬิกาก็ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้วจึงพากันขึ้นอาคารเรียน






.

.

.





“พี่ซัน หวัดดีครับพี่”


ไอ้แมนยิ้มร่าเดินเข้ามาทักทาย เขาถามไถ่เรื่องชมรมหลายอย่าง แมนวันนี้แม้ว่ามันจะพูดเก่งมากกว่าเดิมแต่เขาก็สังเกตได้ว่ามันมองไปทางลานจอดรถบ่อยๆ ราวกับรอใครบางคน



ตามน้ำทำเป็นไม่สนใจท่าทางการรอคอยของมัน ชวนมันคุยบ้าง จนไอ้แมนที่ทนไม่ไหวถึงได้ถามขึ้น

“พี่กายไม่มาเหรอพี่”


“ไม่มา มันนัดสาวไว้” เขายักไหล่กับแววตาเสียดายหน่อยๆ ของมัน ว่าแล้วก็เดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินออกมาเพื่อใส่รองเท้าข้างสนาม โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เดือนโทรมา


‘ซันๆ วันนี้เค้าจะไปกินข้าวกับเพื่อนนะตอนเย็น ตัวไม่ต้องซื้อข้าวให้นะ’
   
“อืม เค้าก็มาเตะบอลเหมือนกัน”
   
‘เออๆ งั้นแค่นี้ละกันนะ’

“ที่ร้านไหน แล้วจะให้ไปรับหรือเปล่า”

‘ที่บ้าน ดูอีกทีละกัน เดี๋ยวโทรบอก’

บ้านที่ว่าคือบ้านเช่า แล้วไอ้ ‘กินข้าว’ ของเดือนเนี่ย คือ กินยอดข้าว ข้าวจริงๆ น่ะไม่ได้กิน ดีที่พรุ่งนี้เขามีเรียนสาย ยังไงคืนนี้ก็ไม่มีปัญหาถ้าต้องไปรับคนขี้เมาดึกดื่น



“พี่ซัน ลงเถอะ”

น้องๆ ตะโกนเสียงดังข้ามสนามบอลมาเมื่อเห็นเขาวางโทรศัพท์จึงลุกขึ้นแล้ววิ่งเหยาะๆ เข้าไปในสนาม เล่นจนฟ้ามืดจึงขอตัวออกมาก่อนพร้อมเสียงหัวใจเต้นแรงและเหงื่อโทรมกาย  ไม่ได้เล่นมาหลายวัน หักโหมเหมือนเก่าจะบาดเจ็บเอาได้







ตอนเดินมาถึงมุมมืดใกล้ลานจอดรถก็เห็นแสงเรื่องจากปลายบุหรี่ มีคนนั่งสูบบุหรี่อยู่ในเงามืดที่แสงไฟฟ้าจากสนามส่องไม่ถึง เดินเข้าไปใกล้ เขาก็จำได้เอ่อยทักออกไปด้วยความแปลกใจ


“กาย มึงไม่เข้าไปล่ะ อยู่ทำอะไรมืดๆ” ไอ้กายที่ยืนหันหลังสะดุ้งสุดตัวเผลอปล่อยบุหรี่ร่วงลงพื้น

“เชี่ยซัน มึงมาเงียบๆ กูตกใจหมด บุหรี่ตกเลย แสรดดด” ไอ้กายโวยวาย

“กูเดินมาของกูปกติ มึงไม่ได้ยินเอง”

“เออ มึงจะกลับแล้วใช่ไหม กูกลับด้วย”

“แล้วมึงมาทำไรตรงนี้ ไม่เข้าไปเตะบอลด้วยกัน” อะไรของมัน ท่าทางแปลกๆ

“กูไม่ได้จะมาเว้ย แค่มาสูบบุหรี่เฉยๆ” มาสูบไกลนะมึง คณะของเขากับสนามกีฬาอยู่คนละฝากถนน ฟังคำแก้ตัวของมันแล้วได้แต่ส่ายหน้า

“แล้วที่มึงนัดสาวไว้ล่ะ” ตอนนี้เพิ่งจะทุ่มกว่าๆ เลิกเรียนตอนห้าโมง พาสาวไปเที่ยวในเซเว่นหรือไงไม่รู้ ถึงได้กลับไวนัก

“เออน่า มึงจะถามไรเยอะแยะ กลับยัง ยุงเยอะชิบ” ไอ้กายไม่ตอบแต่เร่งเขาแทน

เอาวะ เรื่องของมึงละกัน










“วิ่นนิ่งกับกูไหมสาดดดดด” เมื่อขับรถมาถึงหอ ไอ้กายโดดลงไปยืนแล้วถามด้วยท่าทางกวนโอ้ย 

   
“เออ เดี๋ยวกูอาบน้ำก่อน มึงจะกินไรวะ” ดูก็รู้ว่ามันยังไม่ได้กินข้าว เลยชวนกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนแยกย้ายเพื่อจัดการตัวเอง เตรียมพร้อมเล่นเกม

   
ประมาณสองทุ่ม เขาก็เดินลงมาที่ห้องเพื่อนสนิท เคาะห้องเรียก ไม่ถึงอึดใจประตูก็เปิดออกกว้าง –ประตูเปิดออกได้กว้างมากจนสุดบาน เมื่อเห็นสภาพในห้องก็ต้องอุทานออกมาด้วยความงุนงง


   
“กูเข้าห้องผิดป่าววะ” เดินออกไปหน้าประตูเพื่อมองเลขห้องชัดๆ

   
“กวนตีนละมึง จะเข้าไม่เข้า” ไอ้กาย ลากคอเข้ามาแล้วปิดประตูเสียงดัง

   
“เป็นบุญเท้ากูมากที่ได้สัมผัสพื้นห้องมึง”



เขาพูดจริงๆ ไม่ได้ประชด ตั้งแต่วันแรกที่ช่วยกันขนของเข้ามาก็เพิ่งมีวันนี้ที่เห็นห้องมันสะอาดเอี่ยมขนาดนี้ ข้าวของที่ระเกะระกะ วางไม่เป็นระเบียบหายไป เศษขยะเศษขนมจุกจิกของมันที่วางไปทั่วก็ไม่เจอ น่าจะถ่ายรูปบีฟอร์กับอาฟเตอร์ไว้  ไอ้กายเปลี๋ยนไป๋ 

   
“มึงกราบเลยไหมสลัด กูเก็บห้องหน่อยทำประชดว่ะ” ไอ้กายนั่งลงบนพื้นหน้าโทรทัศน์จอใหญ่ที่ซื้อมาเพื่อเล่นเกมโดยเฉพาะ

   
“มึงแน่ใจว่ามึงเก็บเอง” นั่งลงข้างๆ มัน สองมือถือขนมมาด้วยก็ถูกเจ้าของห้องฉกไปอย่างรวดเร็ว

   
“เออดิวะ ทำไมเสียใจที่ไม่ได้มาช่วยกูเรอะ” มันพูดทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวขนมเต็มปาก

   
“ไอ้แมนมาช่วยบ้างไหม” ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามคำถามนี้ออกไป สังเกตจากท่าทางแปลกๆ ของพวกมันแล้วเขาเลยลองโยนหินถามทางดู ซึ่งโดนคำถามนี้เข้าไป มันชะงักไปนิด

   
“ถามทำไม แล้วทำไมห่าเหวไรมันต้องมาช่วยกู”

   
“เปล่า ก็เห็นสนิทกันดี วันนี้มันยังถามถึงมึงเลย”

   
“เฮ้ย นั่นโหลดเสร็จละ มาเลยครับน้องซันครับ พี่พร้อมถล่มน้องแล้ววววว” เป็นอีกครั้งที่มันไม่ตอบคำถาม

ช่างแม่ง วิ่นนิ่งเถอะ แสรดดดดดดด


   






   
เล่นกันไปห้ารอบกำลังขึ้นรอบที่หก เดือนก็โทรมา

   
‘ซานซาน ตัวมารับเค้าหน่อยยยยย’ เสียงยานคางมาเชียว
   
“เออๆ แปบได้ปะ วิ่นนิ่งอยู่  จบเกมก่อน”
   
‘ฮื่อ ด้ายเด้ ...อื้อ ไม่เอาเว้ย พอแล้ว’ เดือนตอบแล้วหันไปคุยกับเพื่อน
   
“เหล้าไม่ต้องกินแล้ว กินน้ำเปล่าเยอะๆ เดี๋ยวไป” บอกเดือนเสียงเข้มแล้วจึงวางสายไป ไอ้กายเล่นทีเผลอ โดนยิงประตูแล้วเว้ย

   

ผลปรากฏว่าเสมอ 3-3 เล่นไปหกเกม ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ คราวหลังค่อยมาแก้มือใหม่ บอกลาไอ้กายแล้วขับมอเตอร์ไซด์ไปรับคนเมา







.

.

.




   
บ้านสีขาวหลังเดิมสลัวอยู่ในความมืด แสงสีส้มยังคงลอดออกมาตามรอยแยกของตัวบ้าน เสียงเพลงดังสนั่นลั่นซอย มีรถยนต์ มอเตอร์ไซด์จอดเต็มหน้าบ้าน เขาดับเครื่องรถ จอดห่างออกมาใต้เสาไฟฟ้าที่ไม่มีรถจอดขวาง แล้วเดินเข้าไป

   
คนเยอะจนแทบเดินไม่ได้ ทันเห็นเพื่อนเดือนที่ชื่อฝันจึงเรียกไว้ ฝันเข้ามาทักแล้วบอกว่าเดือนอยู่ชั้นสอง เขาเกือบสิบนาทีเดินเบียดผู้คนทั้งหลายเพื่อขึ้นบันได

   
การมองหาเดือนไม่ยากเลย ได้ยินเสียงหัวเราะดังขนาดนั้น หันไปตามเสียงก็เจอกลุ่มคนสองสามคนกำลังยืนก้มหน้าพูดคุยพลาง หัวเราะไปพลาง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นเดือนนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว ถือขวดน้ำไว้ในมือ กำลังหัวเราะกับมุกตลกสุดเห่ยเท่าที่เขาเคยได้ยินมา ไม่ขำสักนิด หัวเราะเข้าไปได้ไงนั่น

   
“กลับยัง” ถามเสียงดัง ทุกใบหน้าหันมามองเขาเป็นตาเดียว

   
เดือนหันมาเห็นก็ลุกขึ้น มีหลายมือจะเข้ามาช่วยพยุงแต่เจ้าตัวก็ปัดทิ้งไปอย่างไม่สนใจ

   
“มาช้า” เดือนพูดตัดพ้อแต่ส่งยิ้มกว้างมาให้

   
“อื้อ กลับเหอะ” หันหลังกลับ เดือนก็คว้ามือแล้วเดินนำไป ทิ้งเสียงพึมพำไม่พอใจไว้เบื้องหลัง

   


   



เมื่อออกมานอกบ้านได้ เขาก็เดินนำมายังรถมอเตอร์ไซด์ กลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่คลุ้งจนต้องย่นจมูก

   
“จะรีบไปไหน รอก่อนเด้” เดือนตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ เมื่อถูกทิ้งไว้ให้เดินเอง ไม่ช่วยประคองให้เดินมาพร้อมกัน

   
“ไม่ได้รีบ มารอที่รถ” ว่าแล้วก็สตาร์ทรถรอ ส่ายหน้าแล้วหาวออกมายกใหญ่ ง่วงนิดๆ แล้ว

   
“อื้อ ดีมากๆ แว้นซ์กลับเลย เร็วๆ นะ” เดือนขึ้นมาซ้อน กอดเอวเขาแน่น เกยคางไว้บนไหล่ เขาส่ายหัวกับสภาพดูไม่ได้ของอีกฝ่าย เดือนไม่ค่อยจะกินจนเมามากขนาดนี้อย่างมาก็แค่กึ่มๆ พอหอมปากหอมคอ เขาหยิบหมวกกันน็อคขึ้นสวมให้คนซ้อนแล้วจึงสวมให้ตัวเองเรียบร้อยแล้วเร่งเครื่องออกไปสู่ความมืดยามค่ำคืน


   
“ไวไวเลยซี่ซัน” คนเมาตะโกนบอกข้างหู หมวกกันน็อคกระทบกันดังกึก ไม่พอยังจะเอื้อมมือมาบิดคันเร่งให้ได้ดังต้องการ

   
“เฮ้ย นั่งเฉยๆ น่าเดือน มือกอดเอวเค้านี่ อย่าปล่อยนะ” พูดกำชับเสียงเข้มรับมือกับคนเมา ต้องคอยย้ำ บทจะว่าง่ายก็ฟัง บทจะไม่ฟังก็ยาก 

   
“อยากไปเที่ยวอ่า” สองมือกอดเอวแน่นรู้สึกได้ถึงแรงบีบรัด คนซ้อนขยับเข้ามาพูดใกล้จนหมวกกันน็อคชนกันดังโบ๊ก

   
“คร้าบๆๆ ไปคร้าบ นั่งดีๆ นะ” พอเมาแล้วอารมณ์ติสท์จะแสดงออกอย่างรุนแรง เจ้าตัวจะรบเร้าให้พาไปมหาวิทยาลัย แล้วให้ขับรถวนบนถนนเลียบอ่างเก็บน้ำจนพอใจแล้วค่อยกลับบ้านได้
   

บริเวณอ่างเก็บน้ำของมหาวิทยาลัยมีต้นไม้ปลูกไว้อย่างร่มรื่น ในคืนนี้เงาไม้ส่ายไหวยามลมพัดเป็นจังหวะ ดอกไม้กลางคืนส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ เดือนขยับตัวเพื่อถอดหมวกกันน็อคออก ไม่พอยังพยายามมาถอดหมวกกันน็อคเขาอีก เขาต้องตั้งศีรษะตรงให้อีกคนถอดออกไม่อย่างนั้นรถอาจล้มได้
   

ราตรีที่เงียบสงบนอกจากเสียงธรรมชาติแล้วก็ไร้ซึ่งเสียงอื่นใด รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นรบกวนความเงียบสงบนี้
   

“เฮ้อ หอมชื่นใจจังเล้ยยยยยย” คนซ้อนตะโกนเสียงดัง เสียงก้องสะท้อนไปในอากาศ
   

“ซันๆ ขับช้าหน่อย ดูสิ พระจันทร์สวยนะ” เดือนชี้มือชี้ไม้


เขาละสายตาจากถนนเบื้องหน้าแล้วเงยหน้ามองพระจันทร์เสี้ยวสีเงินยวง ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆ แสงสีเงินสะท้อนกับน้ำในอ่างเก็บน้ำ ส่องแสงระยิบระยับยามผิวน้ำขยับระลอกน้ำน้อยใหญ่แวววาว

จอดรถไว้ใต้ต้นก้ามปูขนาดสามคนโอบ เดือนกระโดดลงจากรถแล้วเดินลงไปนั่งริมฝั่งน้ำ ก่อนจะเอนตัวลงนอนเหยียดบนพื้นหญ้า เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เดินตามมา ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ดอกไม้กลางคืนส่งกลิ่นหอมอ่อนลอยมาตามสายลม

   
“ซันๆ ว่าพระจันทร์สวยไหม” เดือนพูดขึ้น

   
“สวย” คืนนี้พระจันทร์สวยมาก เป็นเสี้ยวโค้งได้รูปพอดี











“อยู่คนเดียวจะเหงาไหมนะ” เดือนพูดขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขาหันกลับมามองหน้าคนพูด แสงจันทร์ส่องกระทบผิวขาวซีดสะท้อนแสงสีเงินยวงนั้นจนดูเป็นสีเดียวกัน


ใบหน้าของเดือนขึ้นสีระเรื่อด้วยฤทธิ์ของน้ำเมา ริมฝีปากยกยิ้มน้อยๆ เมื่อหันมาสบตากับเขา ดวงตาสีดำสนิทวาววับสะท้อนแสงจันทร์


“ไม่เหงาหรอก มีดาวออกเต็มท้องฟ้า” เขาตอบคำถามพลางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอีกครั้ง ถึงจะตอบไปอย่างนั้นแต่ความจริงคืนนี้ไม่มีดาว ท้องฟ้าสีดำสนิทเห็นแต่พระจันทร์เสี้ยวลอยเด่นโดดเดี่ยว



“...งั้นเหรอ” คนข้างตัวว่าเบาๆ แล้วเงียบไป



จิ้งหรีดส่งเสียงร้องระงม นานๆ ทีจึงมีเสียงเครื่องยนต์จากถนนใหญ่แว่วเข้ามาให้ได้ยิน 








“แต่วันนี้เดือนไม่ต้องเหงาหรอก ซันอยู่กับเดือนแล้วไง”      






คงเพราะความเงียบของคนข้างกายบรรยากาศจึงยิ่งวังเวง เขาพูดขึ้นโดยที่ยังคงจ้องมองพระจันทร์เสี้ยวอยู่อย่างนั้น เดือนสะอื้นเสียงเบา แล้วคว้ามือเขาไปแนบแก้มเย็นจัดของตนเอง



“ถ้าพูดช้ากว่านี้โดนโกรธนานแน่ๆ ซันๆ”
 

ริมฝีปากของเดือนที่แนบชิดกับหลังมือของเขาขยับขึ้นลงตามจังหวะการพูด





กลิ่นดอกไม้ราตรีลอยลมมาอีกครั้ง คราวนี้ความเงียบกลายเป็นความสุนทรีขึ้นมาอย่างน่าแปลกใจ












“กลับหรือยัง” เดือนไม่ตอบคำถามแต่พยักหน้าแล้วชูสองแขนขึ้นไปในอากาศ ขยับมือไปมา

“ไม่ไหวมั้ง ตัวไม่ได้เล็กนะ” ให้เขาอุ้มนี่ เดี๋ยวได้ล้มกลิ้งไปทั้งคู่แน่น

“น่านะ” เขาลืมไปว่าพูดกับคนเมาสินะ

“เอ้า หนึ่ง สอง ซั่ม” ออกแรงดึงตัวคนนอนยาวเหยียดขึ้นมา พอทรงตัวได้เดือนก็โผตัวเข้ามากอด

“แปบนะซัน ขอกอดหน่อย” เขายกมือโอบอีกฝ่ายไปพลาง ลูบหลังตบไหล่ไปพลาง

“พลังเต็มแล้ว กลับห้องเถอะ” สักพักเดือนก็คลายตัวออกจากอ้อมกอดแล้วเดินนำกลับไปที่รถ













ล้มตัวลงนอนตอนเข็มนาฬิกาชี้ใกล้เลขสอง ภาพอ่างเก็บน้ำสะท้อนแสงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าไร้ดาวยังคงติดตา

กลิ่นดอกไม้ราตรียังคงหอมกรุ่นในจมูก

แต่ที่หอมกรุ่นอยู่ในใจคือ กลิ่นดินกลิ่นหญ้าที่ติดตัวคนที่กอดกันเมื่อครู่




สงสัยว่าเดือนจะได้กลิ่นอะไรจากตัวเขา....


จะเป็นกลิ่นน้ำยาทำความสะอาดพื้นห้องไอ้กายหรือเปล่า

ถ้าใช่คงต้องชวนเดือนลงไปดูอาการแปลกๆ ของไอ้กายหน่อยแล้ว


-----------------------------------------------------
[29.12.58]
 :man1:
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ <3
Lavender’s blue

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 8 ) 29-12-2558
«ตอบ #19 เมื่อ31-12-2015 07:17:59 »

เมื่อไหร่จะขยับความสัมพันนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 8 ) 29-12-2558
« ตอบ #19 เมื่อ: 31-12-2015 07:17:59 »





ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 9) 01-01-2559
«ตอบ #20 เมื่อ01-01-2016 01:50:28 »


Just Love รักนะครับ






9



   
วันเสาร์เขามีเรียนแค่ช่วงเช้า ตอนบ่ายไปค่ายชมรมกลับวันอาทิตย์ วันศุกร์ค่ำๆ อย่างตอนนี้เลยออกมาซื้อกับข้าวตุนไว้ให้กับอีกคนที่ต้องอยู่ห้องคนเดียวช่วงเสาร์อาทิตย์นี้

   
“มึงจะซื้ออะไรเยอะแยะวะ ไอ้คุณคนเดียวจะแดกหมดเรอะ”


ไอ้กายบ่นออกมาเป็นรอบที่สามเมื่อเห็นเขาซื้อของไม่หยุด ซื้อของเยอะๆ เผื่อให้เดือนเลือกทาน ไอ้เพื่อนคนนี้มันก็ประสาท ขอตามมาเองแท้ๆ บ่นอยู่ได้


“ถ้ามึงเบื่อก็กลับห้อง” พูดโดยไม่หันกลับไปมอง ปล่อยให้เดินตามหลังต้อยๆ


“ไม่เอา กูยังไม่อยากกลับ”


“งั้นก็ไม่ต้องบ่น เอ้า กินนี่จะได้ไม่ต้องพูดมาก” ว่าแล้วก็ยื่นซาลาเปาให้หนึ่งลูก “ถือด้วย” ส่งถุงสองสามถุงให้คนบ่นถือไว้


กายยื่นมือมารับซาลาเปาไปกัดกิน อีกมือก็หิ้วถุงกับข้าวไว้ ค่อยสบายหูขึ้นหน่อย เดินไปหยุดตรงร้านขายผลไม้ ระหว่างที่เลือกส้มเขียวหวานอยู่ ไอ้กายที่กินซาลาเปาหมดแล้วก็พูดขึ้น


“ไอ้ซัน คุณมันชอบกินส้มเหรอ”
   

“ก็ไมเท่าไหร่ แต่ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อย กินวิตามินซีบ้างจะได้ไม่ป่วย” เลือกส้มไปประมาณหนึ่งกิโลก็ส่งให้แม่ค้าคิดเงิน


“ไม่ซื้อฝรั่งล่ะ วิตามินซีสูงกว่าเยอะ” ไอ้กายยื่นมือไปรับถุงส้มแทนจากแม่ค้า ระหว่างที่เขากำลังค้นเศษเหรียญจ่ายเงิน


“มันไม่ชอบ” ได้ฟังเพื่อนกายหมดคำถาม เขาทบทวนรายกายของที่ซื้อมา พลางหยิบกระดาษแผ่นน้อยที่จดไว้มาดู กับข้าวห้าอย่าง ขนมปัง ซาลาเปา ผลไม้ น่าจะพอแล้ว เดี๋ยวต้องกลับไปจดไว้ว่าหุงข้าวตอนก่อนออกจาห้องวันเสาร์ด้วย เผื่อลืม


“มึงอย่างกับแม่บ้านเลยว่ะไอ้ซัน” เพื่อนชะโงกหน้าเข้ามาอ่านกระดาษจดรายการของด้วยแซว “มึงไปแค่วันสองวันไอ้คุณมันจะหาไรแดกไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรือไงวะ”


“ถ้าไม่ซื้อไว้มันก็จะไม่กิน เดี๋ยวมัน---“ พูดไม่ถึงไหนคนถามก็แทรก


“ไม่สบาย ปวดท้อง เดือนร้อนอีก โอเค กูไม่ถามแล้วคร้าบแม่คร้าบ” มันว่าล้อๆ เขาไม่ต่อความ เดินกลับมาที่รถมอเตอร์ไซค์


“กลับไปแล้วกูไปนั่งเล่นห้องมึงก่อนนะ” บอกแค่นั้นแล้วขับรถออกไปก่อน


ช่วงนี้เพื่อนเขาทำตัวแปลกๆ ห้องก็ไม่ค่อยกลับ ชอบมาขลุกอยู่กับเขาจนค่ำมืด พอชวนไปชมรม มันก็ปฏิเสธตลอด แล้วไอ้แมนก็ถามถึงอยู่นั่น พอจะถามว่าพวกมันเป็นอะไรกัน ไอ้กายก็เหมือนรู้หาเรื่องบ่ายเบี่ยงได้ตลอด เอาเถอะ ค่อยๆ ดูกันไป เดี๋ยวถ้ามันทนไม่ได้ก็คายออกมาให้รู้ ไม่ก็เขานี่แหละจะเคลียร์ให้เอง เห็นแล้วหงุดหงิด รำคาญที่ต้องคอยตอบคำถามแปลกๆ ของพวกมันเต็มที



.

.

.




“นี่เดือนตื่นๆ เค้าจะไปแล้วนะ” ยื่นเคาะประตูห้องเดือน เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับเลยถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป เจ้าของห้องนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง แม้ว่านอกห้องเดือนจะไม่ทำของรกเกะกะแล้ว แต่ภายในห้องตนเองยังคงรกเหมือนเดิม เห็นแล้วเหนื่อยใจจริงๆ ก้าวข้ามกระดาษวาดรูป ดินสอ ขวดสีทั้งหลายมาแล้วก็เอื้อมมือไปปลุกคนขี้เซา
   


“จะไปแล้วนะ ตื่นมาฟังก่อน” เดือนส่งเสียงอืออา จะพลิกตัวหลบ เมื่อคืนไม่รู้นอนกี่โมงเขาตื่นมาดื่มน้ำตอนตีสามแสงไฟยังลอดออกมาจากห้องอยู่เลย เด็กคณะนี้เป็นค้างคาวกลับชาติมาเกิดแน่น ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาใกล้บ่ายโมงอยู่แล้วยังไม่ตื่น เขาใช้ความพยายามนิดหน่อยคนนอนหลับสนิทก็ลืมตาขึ้นมา พยักหน้าว่าพร้อมฟังเห็นดังนั้นก็รีบพูด


“กับข้าวน่ะ เค้าแช่แข็งไว้ ตัวจะกินก็อุ่นนะ ขนมปัง ซาลาเปาก็กินได้เลย ส้มบนโต๊ะกินให้ถึงครึ่งที่ซื้อไว้ ถ้ากินหมดเลยได้จะดีมาก ไหนลองทวนสิ” เห็นหน้าตาแล้วไม่รู้ว่าจะได้ยินแล้วเข้าใจหรือเปล่า เลยให้ทวนอีกรอบแบบที่แม่ทำกับเขาบ่อยๆ


“อื้อ ในตู้เย็นอุ่นกินได้ กินส้มให้หมด” เสียงแหบๆ อย่างคนเพิ่งตื่นนอนก็ดังขึ้น พยักหน้าน้อยๆ เมื่อทวนคำสังได้ถูกต้องเดือนก็ทำตาปรือๆ จะนอนต่อ


“โอเค เจอกันวันอาทิตย์ อ้อ แล้วทีหลังหัดใส่เสื้อนอนด้วยสิ เดี๋ยวไม่สบายเอา ไปละนะ”



ว่าจะไม่พูดแล้วก็อดพูดไม่ได้จริงๆ สังเกตหลายครั้งแล้วว่าพออากาศเปลี่ยนทีไร เดือนก็ไม่สบายง่ายๆ ทุกที วันนี้เขาก็ได้ข้อสรุปแล้วเพราะเดือนไม่ชอบใส่เสื้อนอนนี่เอง ผ้าห่มก็ไม่ห่ม


แม่น้องให้เดือนย้ายมาอยู่กับเขาและฝากฝังให้ขุนให้อ้วน พอเห็นเดือนวันนี้รู้สึกเสียใจนิดหน่อย ซี่โครงบานเชียว ไอ้ที่กินๆ ไปนี่เอาไปไว้ที่ไหนหมดว่ะเนี่ย สงสัยคราวหน้าต้องบังคับให้กินข้าวเยอะกว่านี้ จะได้มีเนื้อมีหนังกับเขาบ้าง


เดินคิดเรื่องของเดือนจนลงมาเจอไอ้กายด้านล่างตึกแล้วพากันขี่มอเตอร์ไซค์ออกนอกเมืองไปเพื่อไปยังโรงเรียนหนึ่งในต่างอำเภอซึ่งเป็นสถานที่จัดค่ายชมรม




.


.


.



“(พี่) ซัน (พี่) กาย”


เสียงตะโกนทักทายจากน้องเพื่อนและพี่ชาวค่ายดังต้อนรับเมื่อเขาและกายขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาในเขตโรงเรียน เดินเข้าไปทักทายจนทั่ว ไอ้แมนก็พาไปห้องนอนเพื่อเก็บของ


“ถึงไหนละ กำลังจะก่อกำแพงเหรอ” ตอนเดินเข้าไปทักทาย เห็นว่าหลายคนกำลังกวนปูน บ้างกำลังก่ออิฐ


“ครับพี่ ค่ายนี้มีผู้ชายไม่มากเท่าค่ายก่อน เลยช้าหน่อยครับ” ไอ้แมนตอบเขาแต่ตามองไปทางไอ้กาย เขาจึงหันไปมองมันบ้าง เพิ่งสังเกตว่าตั้งแต่มาถึงนี่เพื่อนสนิทยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ไอ้กายทำเป็นมองซ้ายขวาสำรวจอาคารเรียนที่เราจะอาศัยนอนกันคืนนี้ เห็นได้ชัดว่ามันรู้ว่าทั้งเขาและไอ้แมนต่างมอง มันก็ทำเป็นไม่สนใจ


“มีอะไรก็คุยๆ กันซะ...ไปช่วยพวกนั้นก่อนแล้วกัน” เขาขอตัวออกมา ปล่อยพวกมันไว้ด้วยกัน รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่มันสองคนแปลกไป บางทีอาจทะเลาะกัน บรรยากาศมันแย่ยิ่งกว่าเมื่อก่อนที่สองคนเอาแต่กัดกัน ทะเลาะกันเสียงดังซะอีก คุยๆ กันซะแล้วกลับมาทะเลาะกันอย่างเดิมเถอะ เขาเหงาหูชะมัด


เข้าไปช่วยเพื่อนที่กำลังนั่งพักหลังจากกวนปูนไปแล้วเมื่อครู่ “ไงมึง เหนื่อยเลย” เขาคว้าจอบขึ้นมาช่วยตักปูนที่ผสมแล้วใส่ในถังที่น้องผู้หญิงยืนเรียงแถวส่งปูนต่อๆ กัน


“เออเหนื่อยโคตร กูกวนคนเดียวมาสามบ่อแล้วมึง ไอ้คนอื่นก็หลบไปก่อผนังซะงั้น” คนถูกถามถือโอกาสบ่นให้ฟัง ท่าทางเหนื่อยอ่อน


“เดี๋ยวบ่อนี้หมดกูทำเอง มึงบอกส่วนผสมละกัน”


การกวนปูนด้วยมือนี้ไม่ง่ายเริ่มแรกต้องสร้างบ่อปูนขึ้นมาก่อน วิธีการง่ายๆ คือขุดดินขึ้นมาทำเป็นบ่อขนาดประมาณ 1x2 เมตร จากนั้นก็เริ่มผสมปูน น้ำ ดิน ทราย ตามอัตราส่วน เช่น ปูนหนึ่งถุง หินสิบถัง ทรายแปดถัง น้ำสิบถังเป็นต้น จากนั้นกวนโดยใช้จอบจ้วงไปมาจนปูนผสมกันดีเป็นเนื้อเดียว เวลาที่ใช้ในการกวนปูนประมาณ 5-10 นาทีได้ คนสองกวนโดยยืนคนละฝั่งสลับกันเขี่ยปูนในบ่อไปมา หากต้องการจะให้ปูนผสมเสร็จไวต้องใช้หลายๆ คน การที่เพื่อนเขายืนกวนอยู่ลำพัง แค่ปูนกับน้ำไม่เท่าไหร่ แต่บวกทั้งหิน ทั้งทราย ผสมกันทั้งหมดแล้วหนักมาก กวนยาก ไม่แปลกเลยที่คนทำจะบ่นออกมา


เขากวนปูนไปประมาณ 2 บ่อ ไอ้กายก็เข้ามาช่วย เหลือบมองมันเห็นหน้าตาปกติ ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ก็ค่อยเบาใจ ตอนแรกก็นึกว่าสองคนจะมีเรื่องชกต่อยกันซะอีก


“กูนึกว่าจะต่อยกันปากแตกแล้วซะอีก” พูดออกไปอย่างที่ใจคิด

“เหอะ กูไม่ทำร้ายเด็กหรอกเว้ย ไอ้เด็กบ้านั่น แม่ง” ไอ้กายพูดพลางยักไหล่ ชวนคุยเรื่องค่ายเปลี่ยนเรื่องไม่พูดอะไรต่อเรื่องนี้อีก



อาคารที่พวกเรามาสร้างเป็นอาคารขนาดเล็กประมาณ  6x10 เมตร ไอ้แมนบอกว่าทางโรงเรียนต้องการสร้างเป็นห้องเรียนสำหรับนักเรียนชั้นประถมที่เพิ่มขึ้น โดยรุ่นน้องชมรมปีสองได้มาติดต่อทางโรงเรียนโดยทำเรื่องขอวัสดุและเงินทุนสนับสนุนตั้งแต่ช่วงปิดเทอม พอเปิดเทอมมาอาทิตย์แรกๆ ก็มาช่วยกันปรับหน้าดิน ลงคานทำฐานอาคารไว้เรื่อยจนมาอาทิตย์นี้ก็เปิดรับให้คนในชมรมที่สนใจมาช่วยกันก่อผนัง และปรับภูมิทัศน์ ส่วนอาทิตย์หน้าพวกรุ่นน้องมาทาสีแล้วจึงเสร็จสมบูรณ์


ขณะที่เรากำลังทำงานกันอยู่นั้น ก็มีเด็กๆ นักเรียนหลายคนสนใจ เข้ามาวิ่งเล่น เข้ามาพูดคุยอย่างสนุกสนาน พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนก็ขนอาหาร ทั้งผักผลไม้มาให้ แสดงถึงน้ำใจของชาวบ้านที่ออกมาต้อนรับนักศึกษาเต็มที่


ประมาณหกโมงเย็นถึงเวลากินข้าว ทุกคนต้องไปกินพร้อมกันทั้งเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการดูแลชาวค่ายและเนื่องจากอาหารที่มีจำนวนจำกัดเพราะทำกับข้าวทานกันเองจากของที่ชาวบ้านนำมาให้และที่นำมา อาหารที่ทำส่วนใหญ่จึงไม่พ้นพวกผัดกะหล่ำ แกงจืดสาหร่าย หรือไม่ก็ผัดฟักทองเพราะวัตถุดิบพวกนี้ไม่เน่าเสียง่ายซ้ำยังเก็บได้นาน


เขาจำได้ตอนปีหนึ่งครั้งแรกที่ไปค่ายใหญ่ระยะเวลาประมาณสามสัปดาห์ วันไหนได้กินเนื้อหมูชาวค่ายจะเจริญอาหารกันมาก ทานข้าวเกลี้ยงจาน บางมื้อเป็นแค่ปลากระป๋องที่ปกติเขาไม่ชอบพอได้ทานในค่ายเท่านั้นแหละ รู้เลยว่า สวรรค์ เพราะในค่ายแหล่งโปรตีนหลักมาจาก ‘อัลโป้’ ที่ไม่ใช่อาหารหมา แต่เป็นชื่อที่เรียกกันขำๆ ของโปรตีนเกษตรที่เอามาใส่ในอาหารทดแทนเนื้อสด เรียกว่า อัลโป้ ก็เพราะว่ามันเป็นเม็ดกลมๆ สีส้มแดงคล้ายอาหารเจ้าตูบ เวลารับประทานต้องนำมาแช่น้ำให้อิ่มตัวแล้วค่อยนำไปประกอบอาหารทานได้



“เดี๋ยวประชุมสรุปงานตอนทุ่มครึ่งนะครับ ให้ทุกคนตรงเวลาด้วย” ไอ้แมนประกาศหลังจากทุกคนสวดมนต์ขอบคุณคนทำอาหารเสร็จและเริ่มลงมือทาน





ความสนุกในค่ายมันเริ่มขึ้นตอนกินข้าวนี่แหละ



“อุ้ย ผัดกะล่ำ เอ้ย ผัดกะหล่ำ เอ้ย ถูกแล้ว” นั่นเริ่มแล้ว ใครคนหนึ่งเล่นมุกขึ้นมาระหว่างที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตาทานอาหารอย่างหิวโหย


“น้องปอจ๊ะ พี่ก้องหาหัวใจไม่เจอเลยฝากหัวปลีมากำนันไปก่อนนะจ๊ะ” น้องก้องปีสองพูดแซวรุ่นน้องปีหนึ่งหน้าใสที่นั่งกินข้าวข้างๆ พร้อมตักแกงหัวปลีให้ เสียงโห่แซวก็ตามมา


“เอ้ยๆ พี่กายจ๊ะ” ชาวค่ายกินข้าวเป็นวงกลมบนพื้น วงละหกคน ในหนึ่งวงมีจานข้าวสามใบซึ่งกฎคือข้าวหนึ่งจานต่อคนสองคน วิธีการนี้นอกจากจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ของชาวค่ายแล้วยังช่วยประหยัดน้ำในการล้างทำความสะอาดด้วย


ว่าแล้ววงเขาก็มี ‘น้องกีบ’ หรือที่เรียกตัวเองว่า ‘กิ๊ฟซี่’ เข้าทรุดตัวนั่ง พลางประคองช้อนในมือ เรียกชื่อไอ้กายเสียงหวาน “ลองชิมน้ำกิ๊ฟซี่ เอ้ย น้ำแกงที่กิ๊ฟซี่ทำหน่อยสิคะ อยากรู้ว่าจะถูกปากพี่กายไหม” ยื่นช้อนเข้ามาจ่อปากไอ้กาย เป้าหมายหาทางหนีแต่ถูกเพื่อนจับแขนขาไว้แน่น


“พี่ชิมแล้วจ๊ะน้องกีบในถ้วยก็มี” ไอ้กายพยายามต่อรองแต่อย่าหวังว่าจะสำเร็จ


“ไม่เอาสิคะ ลองชิมนี่ก่อน น่านะ” ว่าแล้วก็จับปากไอ้กายบีบแล้วยัดช้อนลงไป ไอ้กายขัดขืนสำลักเป็นการใหญ่จนหน้าแดงไปหมด แล้วมันก็แก้แค้นโดยการตักพริกในพริกน้ำปลาขึ้นให้กิ๊ฟซี่คืน น้องร้องลั่นหน้าแดงพอๆ กันทั้งคู่ เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนเสียงดัง


“พี่ซันๆ” แล้วก็มีคนเรียกเขา

“ครับ?” ทุกคนหยุดหัวเราะแล้วหันมาสนใจเขากับคนถามแทน


“พี่ซันมีแฟนหรือยังคะ” โลกเข้าสู่โหมดเงียบรู้เลยว่าทุกคนรอคอยคำตอบมาก


“ยังไม่มีครับ”


//กรี๊ดดดดด //ว้าย แกพี่เค้ายังโสด


“ถ้าสนใจจะสมัครต้องทำไงคะ” เสียงโห่แซวตามมาอีกระรอกใหญ่หลังคำถามของคนใจกล้า เขาส่งยิ้มไปก่อนอย่างเคยยังแต่ไม่ทันได้ตอบไอ้คนที่เพิ่งหายสำลักก็ชิงพูดขึ้นก่อน



“ไม่ต้องทำไงครับ เปลี่ยนชื่อเป็นพระจันทร์ให้คู่กับตะวันก็พอ”



ฮิ้ววววววววววววววว เสียงโห่คราวนี้ดังมาจากพวกปีสอง ปีสามและรุ่นพี่ปีแก่ๆ เด็กปีหนึ่งทำหน้างงก่อนจะส่งเสียงถามกันให้วุ่น


“เป็นพระจันทร์ยังไม่ดีพอนะเว้ย ต้อง ‘เดือน’ เท่านั้นว่ะ”


ฮิ้ววววววววววว


“ทำไมอะพี่ ทำไมคะ” น้องๆ ปีหนึ่งยังคงสงสัย


“ก็คนที่ไอ้ซันมันเทคแคร์ดูแลยิ่งกว่าลูกไงเล่า ที่รีบกลับห้องเร็วทุกวันก็เพราะไปทำกับข้าวให้แฟนมันกิน” ไอ้กายรีบป่าวประกาศ เขาไม่ปฏิเสธได้แต่นั่งยิ้มตามน้ำไป


หลายคนทำตาโต แล้วก็อุทาน ‘พี่ซันทำกับข้าวได้ด้วย’



“ยิ่งกว่าแฟน ทำแทนทุกอย่าง”  ไอ้กายร้องออกมาเป็นทำนองล้อเลียนเพลงลูกทุ่งชื่อดัง  ‘ไม่ใช่แฟน ทำแทนไม่ได้’
 


“โธ่ แล้วไหนว่าไม่มีแฟนไงคะ” หลายคนร้องออกมาเสียงดังท่าทางผิดหวัง


“ก็...ไม่ใช่แฟนครับ” เขายังคงยืนยันคำตอบ


“ไม่ใช่แฟนแต่....” เป็นเพื่อนสนิทที่ยังคงปากไวอย่างเคย มันเงียบไปสักพักเพื่อเร้าความสนใจของทุกคน ก่อนจะพูดต่อ “เป็นเมียใช่มะ” แล้วทุกอย่างก็โดนกลบด้วยเสียงโห่ฮากรีดร้องของชาวค่าย เขารู้ว่าพูดปฏิเสธไปอย่างไรก็คงไม่มีใครฟัง ยิ่งแก้ตัวจะหาว่าเป็นความจริงอีกก็ได้แต่ยิ้มไปตามเรื่อง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ



พอนึกถึงคนที่ตกเป็นเป้าของการโห่แซวในครั้งนี้เขาก็เริ่มเป็นห่วงขึ้นมาอีกแล้ว ไม่รู้จะกินข้าวหรือยัง คิดแล้วอดหงุดหงิดในเล็กๆ ไม่ได้ ในค่ายนี้ชาวค่ายทุกคนห้ามใช้โทรศัพท์ซึ่งทางค่ายอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์เฉพาะเวลา 16.00-16.30 เท่านั้น ถ้าขี้เกียจอุ่นกับข้าว ขนมปังกับซาลาเปาก็มี เดือนคงหาทานได้แหละอย่างที่เพื่อนสนิทกรอกหูเสมอ เขาคิดถึงเพื่อนร่วมห้องไปอีกพักก็เห็นว่าไอ้กายยังคงพล่ามเรื่องของเขากับเดือนให้น้องปีหนึ่งฟังไม่หยุดเลยคิดแก้แค้น



“ไอ้แมน” เรียกแมนเบาๆ


“ครับพี่”


“คืนนี้มึงเป็นเวรตอนกี่โมง” ทุกค่ายจะต้องมีเวรยามเฝ้าไว้ตลอดทั้งคืน ทั้งเพื่อป้องกันอันตรายจากคนนอกที่จะเข้ามาและกันคนในออกนอกค่าย จำนวนคนในแต่ละเวรให้อยู่เวรละ 2 คนซึ่งแบ่งเป็น 3 เวร เวรละ 2 ชั่วโมงเริ่มจาก ห้าทุ่มจนถึงตีห้า พอตีห้าคนที่เป็นเวรทำอาหารก็จะลุกขึ้นมาเตรียมอาหาร จนกระทั่งหกโมงชาวค่ายต้องตื่นขึ้นมาเตรียมตัวเพื่อทานข้าวตอนเจ็ดโมงเช้า พอแปดโมงก็เริ่มทำงานต่อไป


“เวรสองน่ะพี่” ช่วงเวรสองคือเวลาตีหนึ่งถึงตีสามเขาถามรายละเอียดต่อไปอีก “คู่กะใครวะ” ไอ้แมนตอบชื่อรุ่นน้องที่เขาพอจะสนิท เลยบอกมันว่าจะขอแลกเวรอยู่แทนน้องคนนั้นกับมันคืนนี้ ไอ้แมนก็ยอมแล้วขอตัวไปคุยกับเพื่อน  เขาจึงเริ่มดำเนินแผนต่อไป


“ไอ้กาย” เรียกแล้วเข้าไปหาเพื่อนที่กำลังดื่มน้ำ “คืนนี้กูเหนื่อยว่ะ เมื่อคืนเตรียมของให้เดือนดึก มึงอยู่เวรแทนกูได้ไหม” ไอ้กายไม่มีเวร มันโชคดีที่ไม่โดนจับชื่อ ด้วยว่าค่ายนี้เป็นค่ายนอนคืนเดียวผู้ชายมีแปดคน สองคนไม่ต้องอยู่เวรเลยจับสลากสุ่มชื่อ ไอ้กายกับเพื่อนที่กวนปูนเมื่อกลางวันไม่ต้องอยู่เวร เขานึกขึ้นได้ว่าทำไมไม่มีใครมาช่วยมันกวนปูนเมื่อบ่าย คืนนี้มันได้นอนทั้งคืนนี่เอง


“แหม ทีอย่างนี้นี่มาพูดว่าเหนื่อยนะไอ้ซัน ตอนมึงเดินซื้อของขาแทบลากไม่บ่นซักคำ” ไอ้กายกระแหนะกระแหน


“มึงจะอยู่ไหม ไม่งั้นกูไปขอคนอื่น” ทำเสียงเบื่อๆ แกล้งทำเป็นรำคาญไปงั้นแหละ เพื่อนสนิทก็ลีลาอยู่ได้ “เออๆ ได้ มึงอยู่กี่โมง” มันถามเวลา “เวรสอง ตีหนึ่งถึงตีสามนะ ขอบใจเว้ย” ตบไหล่ขอบคุณแล้วเดินไปเตรียมตัวรอประชุม


อยากแกล้งเขาดีนัก ขากที่ลอบสังเกตมันกับไอ้แมนยังไม่พูดกันเลย แถมยังนั่งห่างกันคนละฝากอีกต่างหากแม้ว่าจะพยายามหัวเราะ สนุกสนานไปกับมุกตลกของทุกคนก็เถอะ เขาเดาว่าต้องไม่ใช่ทะเลาะกันแบบธรรมดาแล้ว ต้องเกี่ยวอะไรกับรอยแดงๆ บนคอไอ้กายวันที่มันเมาแน่


ขอให้มึงได้ ‘ผัว’ เถอะ ไหนๆ ก็ยัดเหยียดให้กูมี ‘เมีย’ แล้ว สลัดกาย!!






.


.


.





   


“ไอ้ซัน มึง!!”


“โอ้ย! เชี่ยเตะมาได้” เขาสะดุ้งตื่นสุดตัว เพื่อนสนิทมาปลุกด้วยบาทา มองออกไปข้างนอกฟ้ายังไม่สาง


“อะไรมึง” ถามออกไปด้วยความหงุดหงิดเพราะนอนไม่พอซ้ำยังต้องนอนบนพื้นอีก ไอ้กายลากเขาออกมาข้างนอกคงกลัวเสียงดังปลุกคนอื่น


“มึงหลอกกู” ท่าทางมันโมโหแต่ก็ไม่สุดเหมือนโมโหกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง


“หลอกไรวะ” เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนะ


“ทำไมมึงไม่บอกว่ามึงอยู่เวรคู่กับไอ้แมนละวะ มึงก็รู้ว่ากูทะเลาะกับมันอยู่”


“แล้วดีกันยัง” เออ..ก็เพราะมึงทะเลาะกันไง กูเลยช่วยให้พวกมึงได้มีเวลาปรับความเข้าใจกัน ผิดตรงไหนล่ะ


“เหอะ” ไอ้กายตอบมาแค่นั้น ดูเอาจากท่าทางของมันแล้วเขาขอเดาว่า...

“ดีกันแล้วสิ เออ ค่อยดีหน่อย กูรำคาญพวกมึงมาหลายวันละ” ว่าแล้วก็ยังอยากถามอีก มึงจะเป็นผัวหรือเมีย? ได้แต่คิดใจในเขาว่าถามตอนนี้ยังไม่เหมาะเท่าไหร่


“พี่กาย” นั่น ไม่ทันขาดคำ ไอ้แมนก็วิ่งหน้าเริดเข้ามา พอเห็นเขาก็ยิ้มแหยะๆ ให้ มือถือแก้วควันฉุยมาด้วยสองใบ


“ผมเอานมมาให้ครับ อันนี้ของพี่กาย..” ยื่นให้ไอ้กายหนึ่งแก้ว แล้วอีกแก้วหนึ่ง แมนลังเลแล้วก็ยื่นให้ผม “..ของพี่ซันครับ ผมไม่ใส่น้ำตาลนะพี่ กินได้ไหม” ดูก็รู้ว่าเตรียมมาให้แค่ไอ้กาย แต่เขาก็ยังยื่นมือไปรับ


“เออ..ขอบใจ” รับแก้วนมมาแล้วก็เดินหนี ด้วยยืดคติว่า ตอนทะเลาะกันเป็นเรื่องของคนอื่น แต่พอดีกันแล้วเป็นเรื่องของพวกมัน เข้าไปยุ่งจะหาว่าเสือก น่าแปลกพอตอนทะเลาะกันดันลากคนอื่นเข้าไปเกี่ยวทุกที



เช้าวันนั้นเราก็ก่อผนังเสร็จ ตอนบ่ายมีพิธีปิดค่าย ขอบคุณชาวบ้านที่ให้ความร่วมมือและส่งมอบอาคารเรียนให้แก่โรงเรียนแล้วก็ช่วยกันเก็บของ ทำความสะอาดค่าย บ่ายสี่โมงก็ถึงเวลาเดินทางกลับ ขามาไอ้กานซ้อนท้ายแต่ขากลับเขากลับเอง ไอ้กายตัวดีดอดไปกับรถค่ายซะงั้น พอดีกันแล้วคนอื่นก็เป็นคนอื่นจริงๆ ให้ตายสิ








การเดินทางกลับใช้เวลาน้อยกว่าตอนไปมาก ขับรถเองบางครั้งก็บิดเพลินไปบ้าง  พอเครื่องเริ่มร้อนก็ต้องหาที่จอดพักเป็นอย่างนี้ตลอดการเดินทาง เขาแวะซื้อข้าวกล่องใต้ตึกแล้วก็เดินขึ้นห้อง



อากาศร้อนจนเหงื่อหยดเป็นเม็ด เขาอยากจะอาบน้ำก่อนค่อยทานข้าวจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินให้ไว้ขึ้น


ไขประตูจึงพบว่าห้องไม่ได้ล็อค เดือนสะเพร่ามากไม่ล็อคประตูได้ยังไง เปิดประตูก็เจอรองเท้าที่เคยเป็นระเบียบกระจัดกระจายเต็มทางเดิน เขาส่ายหัวไม่ไหวจะบ่นเหนื่อยมากหิวมากค่อยจัดการทีหลัง



รองเท้าอาจจะน้อยไป ตามทางเดินมีกางเกงถอดทิ้งไว้บนพื้น เข้ามาในห้องนั่งเล่นมีเสื้อถูกทอดทิ้งไว้บนโซฟา เขาเดินเก็บมาตามทาง วางกล่องข้าวลงบนโต๊ะ เห็นส้มลดไปนิดหน่อยทั้งที่บอกให้กินเยอะๆ เขาขมวดคิ้วยุ่งด้วยความหงุดหงิดอารมณ์กรุ่นๆ เริ่มเกิดขึ้นในใจ



นำเสื้อผ้าใส่เครื่องซักผ้าแล้วเดินออกมาดื่มน้ำ เปิดตู้เย็นก็เห็นว่ากับข้าวที่ซื้อมาตุนไว้พร่องไปน้อยนิด ได้ยินเสียงคนในห้องเปิดประตูออกมาพอดี หันไปมองแล้วชะงักค้างเป็นใบ้ขึ้นมากะทันหัน






“ซันๆ !!”








รู้แต่ว่าจู่ๆ อารมณ์ก็พุ่งพรวดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่จนมือที่ถือแก้วน้ำสั่นไปหมด เขากลัวแก้วจะตกแตกจนต้องหาที่วาง ตกใจกับภาพที่เห็นตะโกนออกไปอย่างไม่ได้คิด





“จะไปมั่วที่ไหน ซันไม่เคยว่านะเดือน แต่ต้องไม่ใช่ที่ห้อง”






ตะคอกออกไปเสียงดัง สองหูไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากควันคุกรุ่นว่าแล้วก็เปิดตู้เย็นคว้าของกินที่ซื้อทุกอย่างออกมา




“ข้าวเนี่ย ซื้อมาให้กิน ไม่กินใช่ไหม” ชูของในมือขึ้นเดินตรงไปยังถังขยะ โดนทุกอย่างทิ้ง เดือนเบิกตาโพลงชะงักค้างอยู่ที่เดิมพร้อมกับชายหนุ่มอีกคนที่นัวเนียกันออกห้องมาเมื่อครู่ผละออก




เดินไปหยิบส้มแล้วปาลงไปในถังขยะเต็มแรง ส้มแตกกระจายเลอะเต็มพื้น เดือนถึงได้สติถลันเข้ามาห้าม





“ซันๆ ซันๆ เค้าขอโทษ เค้าขอโทษ” เดือนพยายามยื้อมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ นาทีนั้นเขาโมโหจนพูดไม่ออก ได้แต่หลบมือขาวซีดของอีกคนที่พยายามเข้ามาฉุดยืด



“เค้าขอโทษ ฮื่อๆ อย่า!  อย่าไปนะ อย่าไปนะซัน”




พยายามหายใจเข้าหายใจออกช้าๆ อย่างที่แม่เคยจับไปนั่งสมาธิตอนเด็กเพื่อระงับสติอารมณ์แต่ก็ทำไม่ได้ยิ่งเห็นท่าทางลนลานหวาดกลัวของเดือนก็ยิ่งโมโห ถ้าไม่ได้ทำอะไรให้เขาโกรธจริงจะกลัวทำไม เดินหนีเข้าไปในห้องของตัวเอง เดือนเดินเบียดประตูตามเข้ามา เขาเปิดประตูตู้เสื้อผ้า อีกฝายถลันเข้ามาขวาง



“ไม่เอานะซัน ไม่เอานะ อย่าทิ้งเค้าไป อย่าไปไหนนะ”



พอเห็นเดือนเต็มตาแล้วเขาจึงได้สติ น้ำตามากมายอาบแก้มขาวซีด ไหลลงมาถึงลำคอขาวที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการร่วมรัก




“อย่าทิ้งเค้าไป ซันๆ อย่าทิ้งเค้าไป” เดือนคว้ามือเขาได้ก็เอาไปกอดแนบอก ท่าทางนั้นบวกกับเรื่องราวของเดือนที่เขาตระหนักอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้ใจอ่อนยวบ


“เดือนขอโทษ ขอโทษ ซันๆ เดือนขอโทษ อย่าทิ้ง อย่าทิ้งเค้าไว้คนเดียว” เสียงกุกกักเคลื่อนไหวด้านนอกทำให้เขาและเดือนสะดุ้ง ชายคนนั้นนั่นเอง เดือนยืนกอดมือนิ่งราวกับไม่สนใจสิ่งอื่นใด น้ำตายังคงไหลพราก



“กลับไปซะ” เขาบอกผู้ชายคนนั้น “ไม่ต้องกลับมาอีก ไม่ต้องติดต่อ ไม่ต้องยุ่งเกี่ยว จบแล้วก็จบไป หวังว่าคงเข้าใจนะครับ”





ต้องตัดให้ขาดเหมือนกับที่เดือนทำกับคนก่อนๆ ชายคนนั้นยักไหล่แล้วเดินผละไปจากประตูห้อง สักพักก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้องดังปัง! เหลือเพียงความเงียบเข้าปกคลุม เสียงสะอื้อของคนที่คว้ามือเขาไปกอดยังคงมีเป็นพักๆ














“เค้าขอโทษ” เดือนสูดหายใจลึก แล้วขอโทษออกมาอีกครั้ง เขาไม่ตอบแต่ลากเดือนไปยังห้องน้ำ เปิดฝักบัวรดตัวอีกฝ่ายอย่างแรง





“อาบน้ำซะ แล้วเดี๋ยวออกมาคุยกัน”






ปล่อยให้เดือนอยู่ในห้องน้ำข้างในห้อง ตัวเขาเองก็คว้าผ้าเช็ดตัวออกไปเข้าห้องน้ำด้านนอก








เปิดน้ำเย็นจัดราดหัวเผื่อความร้อนที่มีอยู่ในกายตอนนี้จะบรรเทาลงบ้าง


...สักนิดก็ยังดี



----------------------------------------
[01.01.59]
สวัสดีปีใหม่ ขอให้มีความสุขตลอดปีค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
 :L2:
Lavender’s blue

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 9) 01-01-2559
«ตอบ #21 เมื่อ01-01-2016 11:02:37 »

ไม่ชอบนิสัยเดือนว่ะ จะมั่วคั่วไม่เลือกไปถึงไหนว่ะ
ดูก็รู้ว่าเดือนรักซันแล้วทำแบบนี้มันยิ่งดูไม่มีค่ามากกว่าเดิมอีก แทนที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง เบื่อเดือน ซันก็เหอะ หวงเค้าจะตายแต่ปากหนอปากจะแข็งไปไหน

HNY2016  มีความสุขมากๆนะค่ะ มีแต่สิ่งดีๆเข้ามา  เรื่องร้ายๆผ่านพ้นไป  มาเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆกัน

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 10) 03-01-2559
«ตอบ #22 เมื่อ03-01-2016 18:48:09 »

Just Love รักนะครับ






10









‘เดือน...ตัวร้องไห้ทำไม’


เด็กชายคนหนึ่งร้องถาม แก้มสองข้างสีแดงปลั่งเพราะวิ่งเล่นจนเหนื่อยหอบ เด็กน้อยกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหาเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งที่กำลังนั่งน้ำตาไหลเงียบๆ ไร้เสียงสะอื้น ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นกำลังวิ่งเล่นกันเสียงดัง


‘…………………’ อีกฝ่ายไม่ตอบเอาแต่ส่ายหน้า ขยับตัวหนี


‘โดนใครแกล้งอีกใช่ไหม’ เด็กชายตะวันถามพลางเดาเหตุผลที่ทำให้เพื่อนตัวขาวซีดของเขาร้องไห้


‘…………………’ ใบหน้าขาวซีดดวงตาแดงก่ำยังคงส่ายหน้า


‘งั้น...หิวหรือเปล่า อยากกินขนมไหม เดี๋ยวซันไปหยิบมาให้ เดือนนั่งรอก่อนนะ’ ถ้าไม่โดนแกล้ง ก็คงหิวแน่ แม่น้องบอกว่าเดือนมักจะปวดท้องจนร้องไห้บ่อยๆ ให้เขาเป็นคนดูแลเดือนให้ทานข้าวให้หมด แต่วันนี้เด็กชายมัวแต่สนใจที่เพื่อนนำหุ่นยนต์ตัวใหม่มาอวดเลยลืมหน้าที่ตนเองเสียสนิท


เด็กชายตัวป้อมวิ่งกลับเข้าไปในห้อง คุณครูน้ำฝนกำลังนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะก็ส่งเสียงทัก


‘ตะวัน เดินดีๆ อย่าวิ่งจ้ะ’ เด็กชายตะวันเปลี่ยนเป็นเดินเร็วๆ แทนการวิ่งอย่างว่าง่าย ‘หาอะไรคะ’


‘ขนมครับ’ เด็กชายเดินไปหลังห้องเปิดกระเป๋าตนเองออก ค้นหาขนมที่แม่ใส่ไว้ให้ประจำออกมา

‘หิวหรือ เมื่อกี้กินข้าวไม่อิ่มเหรอคะ’ ครูสาวเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย เด็กชายตะวันส่ายหัว

‘จะเอาขนมไปให้เดือนครับ เดือนหิวมาก ร้องไห้ใหญ่เลย’ หยิบขนมออกมาได้ก็วิ่งไปหาเพื่อนทันที



คุณครูมองตามไปครู่หนึ่ง หยิบนมกล่องเล็กจากลิ้นชักออกมาลุกขึ้นเดินตามร่างกลมป้อมออกไป



เด็กชายนพคุณ มีชื่อเล่นว่า คุณ ซึ่งเด็กชายตะวันจะเรียกว่า เดือน นั้น รูปร่างสูงกว่าเด็กคนอื่นในชั้นแต่กลับผอมบางแก้มตอบหัวโตซ้ำมีผิวขาวซีดเลยยิ่งทำให้ร่างกายดูเล็กลีบเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นในชั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งมักจะอยู่กับเด็กชายตะวันผู้อุดมสมบูรณ์ด้วยใบหน้าเอิบอิ่มและสูงที่สุดในห้อง ทั้งคู่มักจะคลุกอยู่ด้วยกันเสมอไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ผิวขาวซีดของนพคุณจะตัดกับผิวสีเข้มของเพื่อนอีกคนอย่างที่จะโดนล้อบ่อยๆ ว่าทั้งคู่เป็นแสงและเงา


ครูสาวสืบเท้าเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเด็กชายตะวันพูดกับเพื่อน



‘เดือนกินขนมนี่เลย เค้าเก็บไว้ให้เดือนกินเลยน้า’ ตะวันฉีกถุงขนม ส่งขนมปังก้อนเล็กให้ เมื่ออีกคนยังคงนิ่งเลยพูดต่อไป ‘ไม่ชอบเหรอ เค้าบอกให้แม่ซื้อมาชิม เดือนชอบไส้ครีมใช่ไหมล่ะ เค้าเลยลองกินบ้าง’


ดวงตากลมแป๋วจ้องมองกันนิ่งแล้วเด็กชายนพคุณก็เอื้อมมือมาหยิบขนมไป ตะวันส่งยิ้มแป้น ‘อร่อยมากเลย ขนาดเค้าไม่ชอบไส้ครีมยังกินไปหลายอันเลยนะ’


‘เดือนวันนี้ไปนอนบ้านเค้าไหม มีการ์ตูนเรื่องใหม่มา ไปดูด้วยกันนะ’


เด็กชายนพคุณพยักหน้าเบาๆ พลางกัดกินขนมปัง ครูน้ำฝนจึงเดินเข้าไปหาสองเด็กชาย

‘เอ้านี่จ้า นพคุณ ครูเอานมที่ชอบมาให้’ เด็กชายนพคุณเงยหน้าขึ้นมอง ยังไม่ทันส่งมือมารับ เด็กชายตะวันก็เอื้อมมือมารับของแทนแล้วยกมือไหว้ขอบคุณเสียงใส เด็กชายนพคุณจึงทำตามพลางกล่าวขอบคุณเสียงเบา



ครูสาวกวาดตาสำรวจลูกศิษย์ตัวน้อยอย่างละเอียด เส้นผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำกระจายปกหน้าผากมน เหงื่อซึมอยู่ตามไรผม ใบหน้าขาวซีดมีคราบน้ำตาอยู่เป็นทาง ดวงตาสีดำสนิทสองข้างแดงช้ำ ริมฝีปากเล็กๆ กำลังเคี้ยวขนมที่เพื่อนยื่นให้มีสีแดงจัดราวกับถูกเม้มไว้เป็นเวลานาน กวาดสายตามองมายังเสื้อผ้าก็เห็นว่าสะอาดเรียบร้อย แสดงถึงการเอาใจใส่ของผู้ปกครองเป็นอย่างดี


อะไรกันนะที่ทำให้เด็กคนนี้ร้องไห้ จะว่าหิวข้าวก็คงไม่ใช่เพราะตอนกลางวันเธอก็เห็นอยู่ว่านพคุณทานข้าวหมดจานตามที่ตะวันบอกเสมอ แม้ว่าวันนี้จะทานช้าไปหน่อยเพราะเพื่อนไม่ค่อยใส่ใจก็ตาม ในฐานะครูประจำชั้นเธอทราบว่าฐานะทางบ้านของเด็กชายอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปในทางดี หากจะมองว่าเป็นปัญหาเรื่องฐานะการเงินก็ไม่น่าใช่ 


เด็กชายตะวันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วพยายามเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าเล็กๆ ของเพื่อน จังหวะนั้นเองที่นพคุณเงยหน้าเพื่อให้เพื่อนเช็ดหน้าได้ถนัด รอยช้ำสีม่วงแดงใต้ผิวในร่มผ้าก็ปรากฏ แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่นพคุณจะขยับตัว แต่ก็ไม่รอดจากสายตาที่มองอยู่ไปได้



ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว?  นึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มใจดีของมารดาของนพคุณที่มารับตอนเย็นของทุกวันแล้ว....ครูสาวขมวดคิ้ว ร่องรอยพวกนั้นมาจากไหนกันนะ




เสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังขึ้นจากเด็กชายทั้งสองทำให้ครูสาวกลับมาสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า



‘ทำไมซาลาเปาถึงมีจุดสีแดงๆ’ เด็กชายตะวันถามเพื่อนเสียงใส ยกมือขึ้นกอดอกทำหน้าตาเคร่งครึมอย่างสุดความสามารถ


‘เอ่อ....’ อีกฝ่ายทำท่านึก คิ้วขมวดกันแน่น


‘เร็วซี่เดือน นับนะ


หนึ่ง


...


สอง


...


สาม’



‘จะได้รู้ว่าเป็นไส้หมู แม่บอกว่าซาลาเปาจุดสีแดงเป็นไส้หมูใช่ไหมล่ะ’ นพคุณพูดจบก็พยักหน้า เด็กชายทานขนมในมือหมดไปแล้วแววตาหม่นหมองค่อยสดใสขึ้นมา

‘ม่ายช่าย ยอมหรือยัง’ ตะวันส่ายหัวดุ๊กดิ๊กเล่นหูเล่นตา ‘ยอมแล้ว’ นพคุณยกฝ่ามือขึ้นสองข้างทำท่ายอมแพ้


‘ซาลาเปากำลังอายอยู่’


‘เอ๋ ทำไมล่ะ’



‘ก็ซาลาเปาโดน ขนม จีบ ไง’ ว่าแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะคิกคัก เพื่อนทำหน้างง
สักพักแล้วก็หัวเราะตามพลางว่า ‘เอาอีกๆ ซันๆ ทายอีก’



‘ทำไมโอวัลตินถึงหกล้ม’   


‘โอวัลตินหกล้มได้ด้วยเหรอ’


‘ได้สิ’ ตะวันตอบเพื่อนเสียงสะบัดพลางทำปากจิจ๊ะ ตอนที่เพื่อนมาทายเขายังไม่สงสัยเหมือนเดือนเลย ‘ทายเลยๆ ดื่มนมด้วย’ เจาะนมในมือแล้วส่งให้เพื่อน คนตัวเล็กรับนมมาเม้มริมฝีปากทำท่าคิด


‘โอวัลตินถูกแกล้ง’ นพคุณดูดนมจนแก้มป่องแล้วตอบ




‘ผิดดดดด โอวัลตินหกล้มเพราะถูกมอลท์ สกัด ฮ่าๆ’



แล้วเด็กชายทั้งสองก็ประสานเสียงหัวเราะกันอย่างครื้นเครง เป็นเด็กก็คงดีแบบนี้ล่ะ เจ็บก็ร้องไห้ อีกเดี๋ยวก็กลับมาหัวเราะใหม่ได้แล้ว 



เรื่องรอยช้ำพวกนั้น มารดาของนพคุณทราบไหมนะ ถ้ามีโอกาสเธอต้องลองถามดูบ้างเสียแล้ว




.



.



.




   

เวลาผ่านไปจากวัยอนุบาลเด็กชายทั้งสองคนเติบโตตอนนี้อยู่ชั้นประถมศึกษาปีสุดท้าย

   
เด็กชายตะวันเปลี่ยนจากกลมป้อมเป็นสูงเก้งก้าง ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายเจิดจ้า ใบหน้านั้นเตะแต้มด้วยรอยยิ้ม สมกับชื่อตะวัน พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างพาความหวัง ความสุข ความสนุกสนานรื่นเริงมาให้แก่ผู้พบปะเสมอ
   

เด็กชายตะวันเรียนดี มีความรับผิดชอบสูงทำให้ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าชั้นตลอดตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนชั้นประถม ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนนักเรียนไปแข่งด้านวิชาการบ่อยๆ ทั้งยังมีความสามารถทางด้านกีฬาโดยเฉพาะอย่างยิ่งฟุตบอล เจ้าตัวหมั่นฝึกซ้อมจนได้เป็นนักกีฬาของโรงเรียนอย่างไม่น่าแปลกใจ

   

ไม่ว่า ‘ตะวัน’ จะทำอะไร ทุกคนต่างชื่นชมและสนับสนุนเขาอย่างดีเสมอมา

   

ต่างกับเด็กชายตะวันราวขาวกับดำ เด็กชายนพคุณ นั้นรูปร่างสูงก็จริงแต่กลับผอมแห้ง ผิวซีดขาว ดูอ่อนแอราวกับคนป่วยเรื้อรัง เด็กชายนพคุณในสายตาของครูทุกคนเป็นเด็กเรียนกลางๆ ไม่เก่งแต่ก็ไม่ได้อ่อนจนต้องกวดขัน ความสามารถทางด้านกีฬาเป็นศูนย์ในช่วงโมงพละเป็นได้แค่เด็กเก็บบอลหรือไม่ก็ผู้ช่วยครูจดคะแนนเพื่อนๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น


หากไปถามนักเรียนคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันว่ารู้จักนพคุณไหม คนถามก็จะทำท่านึก แล้วก็ร้อง อ๋อ ก่อนตอบว่า คนที่เป็นเพื่อนสนิทตะวันใช่หรือเปล่า แน่ล่ะ เด็กชายตะวันเป็นที่รู้จักของทุกคนอยู่แล้ว

   
   

นพคุณเป็นเด็กเรียบร้อย เงียบ เก็บตัว บางครั้งก็ทำตัวจืดจางเสียจนถูกลืมบ่อยๆ คนที่ทำให้นพคุณหัวเราะ ยิ้มได้ตลอดก็คือเด็กชายตะวันนี่เอง ถ้าถามนพคุณว่ารู้สึกอิจฉาหรือเปล่าที่ตะวันเป็นที่รักของเพื่อนๆ ทั้งเรียนเก่ง เล่นฟุตบอลเก่ง ทำอะไรก็ดีไปหมดทุกอย่างแบบนี้

เด็กชายจะส่ายหัวแล้วพูดเสียงหนักแน่น ‘ไม่อิจฉาหรอกฮะ ซันๆ เค้าเก่งอย่างนั้นจริงๆ’ ด้วยแววตาของความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง


   

คนใกล้ชิดจะรู้ว่าหากต้องการให้นพคุณทำอะไรสักอย่าง แค่เอาชื่อตะวันเข้ามาเอี่ยวเจ้าตัวก็จะทำตามอย่างไร้ข้อกังขา

   

‘เดือนลูก ทำการบ้านหรือยัง’ แม่เดินมาถามเมื่อเห็นว่าลูกชายนั่งดูโทรทัศน์อยู่

   
‘เดี๋ยวฮะ’ สองตายังคงจ้องเป๋งอยู่ที่จอสี่เหลี่ยม

   

‘เดี๋ยวก็ทำไม่เสร็จหรอก วันนี้ซันๆ จะมาหาไม่ใช่หรือ’ พอได้ยินชื่อเพื่อนสนิท เจ้าตัวก็รีบเปิดกระเป๋า หยิบการบ้านขึ้นมาทำทันที



 
   






‘คุณ!’ เด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหา ผมเปียสะบัดไปมาตามจังหวะการเคลื่อนไหว เด็กชายร่างสูงเก้งก้างเจ้าของชื่อจึงหยุดรอ

   
‘คุณสนใจลงแข่งวาดภาพไหม’ มาถึงเด็กหญิงก็ถามทันที เด็กชายนพคุณชอบเรียนวิชาศิลปะ เจ้าตัวมักจะทำได้ดีเสมอ เป็นวิชาเดียวที่ชื่อของนพคุณจะได้รับคำชมจากครูประจำ

   
‘เออ...ไม่ไหวมั้ง ให้เราไปวาดเนี่ยนะ’ เด็กชายบอกปฏิเสธ ‘ไหวซี่’ เด็กหญิงสวนออกมาทันควัน ‘นายวาดรูปสวยออก’ เมื่อยังเห็นอีกฝ่ายลังเลก็พูดต่อ

‘เนี่ย ซันๆ ลงแข่งคณิตกับวิทยาศาสตร์ด้วยนะ’

‘เหรอ...ถ้าซันๆ ลง เราลงด้วยก็ได้’

‘ขอบใจนะ ห้องเราต้องได้รางวัลเยอะแน่เลย ไปก่อนนะคุณ’ เด็กหญิงบอกลาแล้วเดินจากไป






‘เดือนลงวาดรูปเหรอ ชนะแน่ ตัววาดรูปสวย’ ตะวันเพิ่งมาถึงได้ยินเพื่อนคุยกันคร่าวๆ


‘อื้อ ไม่ขนาดนั้นหรอก เค้าแค่วาดได้’ แก้มขาวซีดขึ้นสีชมพูจางเมื่อได้รับคำชม


‘โหย ถ้าเดือนแค่วาดได้ แล้วเค้าล่ะ เรียกว่าอะไร’ เด็กชายตะวันร้องครวญ วิชาที่ตะวันทำได้แย่ที่สุดคือศิลปะ   


ปลายเดือนมกราคมพัดพาสายลมโชยอ่อนไล้ปลายผม ตะวันยอแสงสีส้มจางแล้วเมื่อทั้งคู่เดินออกมาตามทางเดินด้วยกัน ใบไม้ส่ายไหวก่อนจะร่วงหล่นจากขั้ว


‘เดือน...ตัวยังเจ็บตัวบ่อยๆ อยู่หรือเปล่า’ เด็กชายตะวันถามระหว่างเดินออกมาจากโรงเรียนเพื่อรอผู้ปกครองมารับที่ลานจอดรถด้านหน้าโรงเรียน


นพคุณชะงักไปครู่หนึ่ง เหลียวมองซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในรัศมีได้ยินก็พยักหน้า


‘เค้าลองไปคิดมาแล้ว เค้าว่าตัวต้องบอกพ่อศักดิ์กับแม่น้องนะ’ เห็นเพื่อนท่าทางไม่สบายใจ กลัวว่าจะมีคนได้ยินตะวันจึงกระซิบเสียงเบา


‘บอกไม่ได้หรอก ถะ...ถ้าเกิด...’


‘ไม่หรอก มันไม่ทำอย่างที่มันขู่หรอกเดือน เชื่อเค้าสิ ถ้าตัวไม่กล้า ให้เค้าบอกแทนไหม’


‘แล้วซันๆ จะไม่เป็นไรเหรอ...มันเจ็บมากเลยนะ’ เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดที่ตนเองได้รับ ใบหน้านั้นก็เผื่อนลงขาวซีดกว่าเดิม เหงื่อหยดเล็กๆ ผุดขึ้นตามไรผม



‘เถอะน่า วันนี้ตัวมานอนบ้านเค้าเถอะ ไปบอกแม่เค้ากันว่าจะทำยังไง’ แววตามุ่งมั่นที่คนพูดส่งมาให้ทำให้นพคุณมั่นใจอย่างที่ไม่เคยมั่นใจมาหลายปีว่า ทุกเรื่องที่ซันๆ จัดการจะต้องผ่านไปอย่างเรียบร้อยแน่นอน เจ้าตัวจึงยอมตกลง 










เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากเล็กๆ พร้อมทั้งร่องรอยตามร่างกายซีดผอม และเสียงสนับสนุนของลูกชายตนเองนั้นแล้ว ผู้ใหญ่สองคนก็ตกใจ วิ่งวุ่นโทรศัพท์ทันที



ภายในเวลาไม่กี่นาที รถยนต์สีขาวก็แล่นเข้ามาจอดในบ้านกึ่งไม้กึ่งปูน ขนาดกลางที่ปลูกต้นไม้ครึ้มด้วยความเร็วจนได้ยินเสียงห้ามล้อดังเอี๊ยด ประตูรถเปิดออกอย่างรวดเร็ว แม่น้องวิ่งลงมาสวมกอดลูกชายของตนแนบอก ส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น พร้อมพูดขอโทษลูกชายไม่ขาดปาก



‘เดือน เดือนลูกแม่ แม่ขอโทษนะ เดือน ขอโทษ’



พ่อศักดิ์เข้ามากอดสองคนไว้อีกชั้น ดวงตาผู้เป็นพ่อนั้นแดงก่ำ น้ำตาคลอหน่วยตา



เมื่อถูกทั้งแม่และพ่อกอดแน่นอย่างที่ไม่เคยได้รับตั้งแต่จำความได้ เด็กชายนพคุณก็ปล่อยโฮ ทั้งจากความดีใจที่ได้เจอหน้าพ่อกับแม่อย่างพร้อมเพรียง ความรักความอบอุ่นที่ได้รับอย่างปัจจุบันทันด่วน ความเจ็บปวด ทรมานและเสียงร่ำไห้ในอดีตที่เคยแต่กล้ำกลืนไว้ในอกถูกส่งออกมา เสียงร้องไห้นั้นเริ่มจากแผ่วเบาแล้วค่อยๆ ดังขึ้นจนปล่อยโฮออกมาราวกับถังน้ำที่เปิดน้ำใส่ไว้จนเต็มล้น แค่ได้ยินพ่อและแม่ก็ร่ำไห้ออกมาอย่างหมดอาย



อีกสามคนที่ยืนมองภาพนั้นได้แต่น้ำตาซึม เด็กชายตะวันถึงกับร้องไห้ออกมาจนแม่และพ่อต้องก้มลงไปกอดลูกชายไว้แน่น


   

การดำเนินคดีเกิดขึ้นในไม่กี่ชั่วโมงถัดมา พี่เลี้ยงและคนงานในบ้านถูกจับกุมในฐานะผู้ต้องสงสัยในการทำร้ายร่างกายและทารุณกรรมทางเพศ ต่อมาถูกตัดสินว่าได้กระทำความผิดจริงจึงถูกลงโทษตามกฎหมาย


   

บาดแผลทางกายรักษาหายได้ในไม่กี่วัน แต่บาดแผลทางใจนั้นต้องใช้เวลานานกว่าจะค่อยทุเลาลง
   




แม่น้องที่เคยเป็นพนักงานประจำของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาเป็นแม่บ้าน คอบดูแลลูกชายตัวน้อยของเธอด้วยตนเอง แล้วเธอก็ต้องน้ำตาซึมทุกครั้งที่เห็นร่องรอยมากมายบนตัวลูกชาย ทั้งรอยเก่าที่จางลงไปแล้วและรอยแผลเป็นที่ยังใหม่สด
   

พ่อศักดิ์จากที่เคยเป็นวิศวกรที่ต้องตระเวนทำงานไปตามจังหวัดต่างๆ เป็นเวลาหลายเดือนกว่าจะได้กลับบ้านก็ทำเรื่องย้ายเข้าประจำที่บริษัทแม่ทำให้มีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น
    


เด็กชายนพคุณเริ่มสดใสร่าเริง ยิ้มเก่ง ช่างพูดมากขึ้น ในตอนที่ย้ายเข้ามาเรียนชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนใหม่ เด็กชายตะวันสอบได้ห้องหนึ่ง ขณะที่เด็กชายนพคุณสอบได้ห้องสิบ ทั้งคู่เรียนอยู่กันคนละห้อง การปรับตัวเข้ากับสถานที่ใหม่และเพื่อนใหม่ทำให้ทั้งคู่เริ่มห่างกันไป

   

‘เดือน!’ ตะวันร้องเรียกเพื่อนเสียงดังด้วยน้ำเสียงทุ้มห้าวเพราะเริ่มแตกหนุ่ม ก่อนจะวิ่งตัดสนามหญ้าออกมา ‘ตัวจะไปไหน’ ถามคนที่จะเดินออกนอกโรงเรียนกับเพื่อนกลุ่มใหญ่
   

‘ไปบ้านบอย ซันจะไปด้วยเหรอ’ นพคุณในตอนนี้เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองสูงขึ้นทั้งยังดูสุขภาพดีขึ้น พูดเก่ง ยิ้มง่ายเป็นที่รักของใครหลายคนในโรงเรียน
   

‘เปล่า ...แล้วจะไปทำไรกัน’ ตะวันลากแขนอีกคนให้ห่างจากเพื่อนท่าทางไม่น่าไว้ใจของเดือนที่ยืนรออยู่
   

‘ตัวรู้ไหมว่าไอ้พวกนั้นมันนิสัยไม่ดีนะ’
   

‘หือ? ไม่หรอก พวกบอยก็ดีกับเราออก ถึงจะไม่เท่าซันก็เถอะนะ’ ตอบเพื่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ‘จะไปจริงเหรอ’ ตะวันกัดริมฝีปาก ปัดเหงื่อที่ไหลออกมาจากไรผม ใบหน้าคมเข้มขึ้นเพราะตากแดดวิ่งเล่นฟุตบอลกลางแจ้งบ่อยๆ
   

‘เอางี้ ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็โทรหาเค้าละกันนะ จะไปรับ’
   

‘เป็นห่วงขนาดนั้นเลย ไม่มีอะไรหรอกน่า’ ตะวันคาดคั้นจนได้คำสัญญาจากเพื่อนจึงวางใจปล่อยให้อีกฝ่ายเดินกลับไปรวมกลุ่ม








.



.




.
   



เสียงโทรศัพท์กรีดร้องขึ้นกลางดึง ปลุกให้คนที่เพิ่งล้มตัวลงนอนสะดุ้งตื่น นาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียงบอกเวลาตีสองกว่า



‘ซันๆ ...ฮึก...ชะ...ช่วย...ช่วยด้วย’ เสียงสั่นเครือป่นสะอื้นดังออกมาจากปลายสาย
   

‘เดือน! อยู่ไหน’ ตะวันร้องถามออกไป เมื่อทราบที่อยู่จึงเร่งมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านไปด้วยความเร็วอย่างน่าหวาดเสียว

   

เด็กชายวัยรุ่นรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏตัวขึ้นหน้าอาคารพาณิชย์สามชั้นซึ่งตั้งอยู่กลางเมือง เขาเดินผ่านประตูเหล็กที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่งเข้าไป แสงไฟสีส้มจากหลอดไฟดวงเดียวเหนือเพดานเผยให้เห็นลักษณะภายในอาคาร สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งเก็บสินค้ามีกล่องมากหมายหลายขนาดกองวางไว้เต็มพื้นที่เหลือเพียงทางเดินแคบพอเดินได้หนึ่งคนเท่านั้น เขาตรงไปยังบันไดเพื่อขึ้นไปยังชั้นสอง กลิ่นบุหรี่โชยมาจนแสบจมูกเมื่อก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย เดินผ่านร่างของเด็กวัยรุ่นหลายคนที่นอนเกลื่อนกลาดไม่ได้สติ บางคนยังสวมชุดนักเรียนมอต้นด้วยซ้ำ

   

คนที่โทรศัพท์เรียกเขามานอนเอนตัวพิงผนังห้องน้ำอยู่ มือขวากุมแน่นที่ข้อมือซ้ายซึ่งตอนนี้มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด

   

‘เดือน!’ เด็กชายพุ่งตัวเข้านั่งคุกเข่าลงข้างๆ คนที่นอนอยู่ลืมตาขึ้นมอง เอ่ยเสียงแหบโหย ‘ซันๆ มาแล้ว’ เด็กชายตัวโตช้อนตัวเพื่อนขึ้นมาอย่างง่ายดาย แม้ว่าร่างนั้นจะสูงพอๆ กับเขาแต่ก็ผอมเก้งก้างไม่มีเนื้อหนัง

   


เขาอุ้มเพื่อนลงมายังมอเตอร์ไซค์พาไปส่งโรงพยาบาลแล้วนั่งรอ เวลาผ่านไปสักครู่บุรุษพยาบาลก็เข็นรถออกมา คนเจ็บมีผ้าพันแผลที่ข้อมือเรียบร้อย คนนั่งรอเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นเดินจากไปอย่างรวดเร็วทำให้คนที่นั่งรถเข็นรีบเดินตามแม้ว่าร่างกายจะอ่อนล้าเต็มที เมื่อเดินออกมานอกโรงพยาบาล คนที่เดินนำออกมาก็ชะลอ คนเดินตามจึงเอ่ยออกมาเป็นคำแรก

   

‘ซันๆ’ คนเจ็บเรียกชื่อเพื่อนตัวเอง ‘ขอโทษนะ’ พูดจบก็ก้มหน้ามองพื้น

   

‘รู้ตัวไหมว่าพูด ขอโทษ ออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว’ ตะวันตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงเย็นชา เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเงียบ อารมณ์ที่คุกกรุ่นในใจก็ระเบิดออก

   


‘ถ้าอยากตายจริงๆ ก็ไม่ต้องโทรมา’  หันมาตะคอกร่างตรงหน้าสุดเสียง เวลาดึกสงัดทำให้เสียงก้องสะท้อนไปมา



‘จะไปไหน ทำอะไรก็ทำเลย ยังไงความรู้สึกของแม่น้อง พ่อศักดิ์ แม่ ป๊าแล้วก็ซันไม่มีความหมายอยู่แล้ว ใช่ไหม!!’



‘.....................’ คนตรงหน้าเงียบ น้ำตาไหลอาบแก้ม สองมือกอดตัวเอง จิกเล็บจนมือขึ้นข้อขาว ผ้าพันแผลมีเลือดซึม


‘ไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้วก็ไปเลย จะตายไม่ใช่เหรอ ไม่อยากเจอกันแล้วใช่ไหม!!!’ คนพูดเองก็น้ำตานองหน้าไม่แพ้กัน หลายคนที่ได้ยินเสียงก็ออกมาเมี่ยงมอง ไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยว


    

‘ไม่!! ไม่จริงนะ’ คนที่เอาแต่ก้มหน้ารีบเงยหน้าขึ้นมาพูดละล่ำละลัก ‘อยากอยู่ อยากอยู่กับซัน กับทุกคน....’ พูดไม่ทันจบตะวันก็แทรกขึ้น

   
‘หึ ไม่จริงหรอกเดือน เดือนไม่อยากอยู่ด้วยกันหรอก ถ้าอย่างนั้นจะกรีดข้อมือตัวเองทำไมฮะ ถ้าไม่อยากตายจะกรีดข้อมือตัวเองทำไมอีก!!!




‘ฮื่อ..ฮึก…..ซันๆ ไม่เข้าใจ ในหัวเค้ามีแต่เสียงเต็มไปหมด ทำยังไงก็ไม่เงียบ ฮื่อ...เค้าเรียกแม่ เรียกพ่อ...เรียกตัวแล้ว เค้าเรียกซันๆ แล้วตัวก็ไม่มา...ฮื่อ...มีแต่คนบอกให้ตายซะจะได้เจอซันๆ เจอแม่ พ่อ...ฮื่อ...ตัวจะให้เค้าทำอย่างไงล่ะ’


ราวกับความอดทนของคนผอมเก้งก้างได้สิ้นสุดลง เจ้าตัวร้องไห้ออกมาเสียงดัง พร่ำพูดความในใจที่ไม่เคยพูดออกมาอย่างหมดเปลือก พูดจบก็ทุบตีตัวเอง ส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าสงสาร


ตะวันตะลึง ตกใจชั่วครู่จนเมื่อพยาบาลต่างวิ่งเข้ามาเพื่อห้ามไม่ให้ทำร้ายร่างกายตนเองก็ได้สติ วิ่งเข้าไปกอดคนที่กรีดร้องแน่น พูดกับคนในอ้อมกอดข้างหูซ้ำ ‘ซันขอโทษเดือน ซันอยู่นี่แล้ว ซันอยู่นี่แล้ว ซันมาแล้วเดือน’ จนอีกฝ่ายหยุดร้องไห้แล้วหมดสติไป




นพคุณนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาเดือนกว่า โชคดีที่เป็นเวลาปิดเทอมก่อนจะขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก การรักษาตัวเป็นไปอย่างเรียบร้อยด้วยกำลังใจจากคนรอบข้าง



ปีสุดท้ายของชั้นมัธยมผ่านไปด้วยความระมัดระวังของทุกคน นายตะวันเข้าศึกษาต่อที่คณะวิทยาศาสตร์ตามที่ได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยตั้งแต่เริ่มเรียนเทอมสุดท้ายของชั้นมอหก นายนพคุณเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะศิลปกรรมศาสตร์จากการสอบรับตรง       



ความทรงจำในช่วงเวลาต่างๆ ถูกลืมเลื่อนไปตามกาลเวลา...ความทรงจำที่เลวร้ายของคนอื่นมักถูกลืมไปก่อนเสมอ เว้นแต่คนที่ประสบกับเรื่องเลวร้ายโดยตรงเท่านั้นที่แม้จะเวลาผ่านไปเท่าใด ภาพเหตุการณ์อาจเลื่อนรางไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยลบหายออกไปจากใจ





.


.



.




   

‘ไอ้คุณ วันนี้ไปด้วยกันป่าววะมึง’ เวลาหัวค่ำวันเสาร์นพคุณนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องเงียบๆ ลำพัง ใครคนหนึ่งก็โทรมาชวนออกไปข้างนอก
   

‘ไม่ไปว่ะ กูเฝ้าห้อง ซันไม่อยู่’
   

‘เฮ้ย พ่อมึงไม่อยู่อะดีแล้ว ออกมาเถอะ อยู่คนเดียว ไม่เหงาเหรอ’ คำว่า เหงา สะกิดใจให้เจ็บแปลบขึ้นมา ปลายสายก็พูดย้ำขึ้นมาอีกรอบ

   

‘มาเถอะน่า คนกันเองทั้งนั้น อย่างนั่งเหงาคนเดียวที่ห้องเลย’ ได้ยินอย่างนั้นก็ตอบตกลง เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปตามคำชักชวน

   




ท่ามกลางม่านควันและแสงไฟหลากสี ใครคนหนึ่งก็เข้ามาชนแก้ว






‘ชื่ออะไรครับ ผมซัน’





ซันเหรอ?





‘เดือนเอง ดีจังที่ซันกลับมาแล้ว’ ชนแก้วพร้อมส่งยิ้มกว้างให้




 

ริมฝีปากหนาที่บดเบียด ล้วงลึกเข้ามาด้วยความกระหาย เสียงพร่ากระซิบเรียก ‘เดือน...เดือน’ ดังอยู่ข้างหู ฝ่ามือร้อนนาบลงมาตามร่างกาย ช่วงเวลาเหล่านั้นร่างผอมเหมือนถูกกระชากขึ้นจากพื้นดิน ลอยละล่องไปในฟ้ากว้างไร้ขอบเขต เบาสบาย ความรู้สึกอ้างว้างมลายหายไป เหลือเพียงตัวเขาที่ล่องลอย ไร้ความรู้สึก...








ตื่นขึ้นมาในตอนบ่ายจัดเพราะการรบกวนของคนข้างตัว นพคุณลืมตาขึ้นมาก็รู้ว่านอนอยู่บนเตียงในห้องพักของตนเอง สลัดหนีการเกาะกุมของคนแปลกหน้า หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมแล้วเปิดประตูออกมา เดินได้สองสามก้าวคนที่เดินตามออกมาก็คว้าเอวเขาได้ แล้วโน้มใบหน้าลงมาจูบ สะบัดหน้าหนีหันไปเจอใครคนหนึ่งยืนอยู่หน้าตู้เย็น จ้องมองด้วยสีหน้าตกตะลึง






‘ซัน!!!’





-----------------------------------
[03.01.59]
หวังว่าคงพอเข้าใจน้องเดือนกันบ้างนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
 :กอด1:
Lavender’s blue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2016 20:19:32 โดย Wendy »

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 10) 03-01-2559
«ตอบ #23 เมื่อ03-01-2016 20:45:55 »

เหอะ เดือนไม่น่าทำตัวอย่างงี้เลย ถึงจะมีปมในใจแต่เวลาจะทำอะไรทำไมไม่นึกถึงคนข้างๆให้เยอะๆล่ะ

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 11) 04-01-2559
«ตอบ #24 เมื่อ04-01-2016 21:13:29 »

Just Love  รักนะครับ





11




   


นาฬิกาเดินเป็นจังหวะในความเงียบ เสียงรถราสัญจรไปมาแว่วจากถนนใหญ่เข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะ เป็นเวลาหลายนาทีแล้วที่ทั้งเขาและเดือนออกมาเผชิญหน้ากัน โต๊ะทานข้าวที่กั้นระหว่างเราอยู่ดูใหญ่และกว้างกว่าเดิมในความรู้สึก


   


เขาไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย...มันอึดอัดจนแทบไม่กล้าทำเสียงดังเวลาหายใจ


   

หลังจากใช้น้ำราดตัวจนพอที่จะควบคุมสติอารมณ์ได้แล้วจึงค่อยๆ ทบทวนความรู้สึกของตนเองอีกครั้ง เขาตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบ

   

อะไรที่ทำให้โมโหจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่?
 
   


คำตอบที่แวบขึ้นมาในความคิดคือ...เดือน เพราะเพื่อนร่วมห้องคนนี้ทั้งนั้น

   


เดือนวางรองเท้าไม่เป็นระเบียบ ถอดทิ้งไว้ทั้งที่เคยบอกให้เดือนจัดรองเท้าให้ดีก่อนเข้าห้องไปแล้วตั้งแต่สัปดาห์แรกๆ ที่ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ความรู้สึกราวกับคำพูดของตนเองไร้ความหมายต่อคนที่ใส่ใจดูแลเป็นเหมือนน้ำมันหยดแรกที่หยดลงไปในกล่องอารมณ์ที่ซ่อนไว้ลึกสุดใจ

   


เดือนทำให้ห้องรก วางของเกะกะ ถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้เกลื่อนกลาด...คิดมาถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจ...เสื้อผ้าเหล่านั้นเจ้าตัวเป็นคนถอดออกเองหรือว่าถูกใครคนอื่นถอดออก น้ำมันหยดที่สองหยุดลงกระทบผิวน้ำเบื้องล่างแตกกระจายเป็นวงกว้าง

   


น้ำมันหยดที่สามคือเมื่อเปิดตู้เย็นแล้วเจอทั้งกับข้าวและขนมที่ซื้อเตรียมไว้ให้ถูกแตะต้องไปเล็กน้อย ส้มหลายลูกยังวางอยู่ในตะกร้าเล็กๆ บนโต๊ะ ดูแวบเดียวก็รู้ว่าไม่มีคนสนใจใยดีกับสิ่งที่เขาได้ทุ่มเทใช้เวลาคัดเลือกแต่สิ่งดีๆ ให้แม้แต่น้อย ราวกับว่าการกระทำนั้นมันช่างไร้สาระ ไม่เกิดประโยชน์ใด คราวนี้มิใช่เป็นหยดน้ำมันแต่เป็นเหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ถูกโยนลงไปในบึงกว้างด้วยหวังว่ามันจะช่วยถมบึงนั้นให้เต็ม




เขาเหนื่อยเต็มทีกับการทุ่มเทให้คนที่ไม่คิดจะรับ ลำคอแห้งผากจนกระทั่งกลืนน้ำลายยังลำบาก ทั้งที่บอกกับตัวเองไว้แล้วว่าค่อยบอกกับเดือนอีกครั้งหลังจากที่เขาได้พักจนหายเหนื่อยแล้ว




แต่
 


   
...เขาก็ต้องยอมรับว่าเมื่อหันมาเจอภาพที่เดือนกอดรัดแลกลิ้นกับใครคนอื่นในห้องของเขาเองทำเอาสติขาด ได้ยินเสียงแก้วหูลั่นเปรี๊ยะ ภาพตรงหน้าเป็นเหมือนเปลวไฟที่ถูกจุดขึ้นแล้วโยนใส่ในกล่องที่เต็มไปด้วยน้ำมันจนล้นปรี่



   
เปลวเพลิงร้อนแรง แผดเผาทุกอย่างที่ขวางหน้า

   

   
ระเบิดอารมณ์ออกไปด้วยคำพูดรุนแรงชนิดที่คนพูดเองกลับมาทบทวนยังรู้สึกเจ็บปวด....แล้วคนฟังล่ะ คงรู้สึกยิ่งกว่าถูกตบหน้าอีกเป็นแน่ เดือนถึงกับน้ำตาร่วง ร้องไห้เสียงดังสะอึกสะอื้นอย่างไม่อาย ผิดจากทุกครั้งที่ร้องไห้ เจ้าตัวจะแค่ปล่อยน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ กัดริมฝีปากแน่นจนไม่มีเสียงใดลอดออกมาให้ใครได้ยิน


   
เขาควรจะทำอะไรในเวลานี้ แม้ว่าจะเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในใจที่ตะคอกใส่ด้วยถ้อยคำรุนแรงแต่เขาก็ไม่อยากเอ่ยคำว่า ขอโทษ กับอีกฝ่ายเลยแม้ครึ่งคำ



ทุกครั้งที่ขยับจะพูดขอโทษ ภาพความใกล้ชิดของเดือนกับใครต่อใครก็แวบขึ้นมาในหัว...พยายามสูดหายใจเข้าลึกระบายออกช้าๆ เพื่อเรียกสติ รู้ดีว่าถ้ายังคงคิดเรื่องเดือนต่อไป อารมณ์ที่คิดว่าระเบิดออกไปแล้วคงหวนหลับมาอีกในไม่ช้า


   
‘ถ้าเดือนร้องไห้ แสดงว่าเดือนอาจหิวก็ได้นะซันๆ เตือนเดือนให้ทานข้าวเยอะๆ นะจ๊ะ’   

   

เสียงแม่น้องแว่วเข้ามาจากอดีตของวันวาน....ในเวลาแบบนี้ทำอย่างอื่นอาจดีกว่าที่ต้องนั่งมองคนตรงหน้าเช็ดน้ำตาปอยๆ อั้นเสียงสะอื้น เขารู้ดีว่ายิ่งมองเห็นมากเท่าไหร่ อกข้างซ้ายก็ปวดแปลบมากเท่านั้น

   

เมื่อตัดสินใจได้เขาลุกขึ้น เสียงเก้าอี้ครูดไปกับพื้นกระเบื้องทำให้เดือนสะดุ้ง เงยหน้ามอง

   

“จะ...จะไปไหน...ฮึก”

   

“ต้มมาม่า...หิว”
   
   

ไม่นานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ส่งควันฉุยอยู่ในชาม ชามแรกถูกเขาบดเส้นจนแหลกชุบไข่ที่เจียวไว้แล้วจึงนำไปต้มกับน้ำพอขลุกขลิก ชามที่สองใส่เส้นบะหมี่รอจนน้ำเดือดตอกไข่ลงไปในหม้อ นับหนึ่งถึงสิบแล้วปิดเตา

   

“ไปยกเอง อยู่บนเคาน์เตอร์”

   

วางชามบะหมี่ร้อนๆ ไว้ตรงหน้า หยิบตะเกียบและช้อนขึ้นมาแล้วเริ่มกินราวกับหิวจัดทั้งที่ในอกตื้อไปหมด

   

เดือนถือถ้วยบะหมี่วางบนโต๊ะ ใช้ช้อนยาวตักบะหมี่เป่าเบาๆ แล้วทาน เสียงสะอื้นเงียบหายไปแล้ว






   
แก้วน้ำเย็นจัดถูกส่งมาให้เมื่อเขาทานเสร็จ ยังไม่อยากมองหน้าคนที่ยื่นแก้วน้ำมาจึงมองไปที่ชามบะหมี่ก็เห็นว่าหมดเกลี้ยง

   
“ซันๆ” เดือนพูดขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เค้าขอโ--”

   
“ไม่ต้องหรอก เค้าเบื่อที่จะได้ยินแล้ว” แค่ได้ฟังก็รู้ว่าเดือนจะพูดอะไร เขาจึงตัดบท คิดว่าเขาทนฟังคำขอโทษแล้วยังทำซ้ำๆ ของอีกฝ่ายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว



   
“.................................”

   
“เดือน”

   
“....ฮึก......อึก”

   
“หยุดร้องไห้เถอะ ตาช้ำไปหมดแล้วนะ” เดือนร้องไห้อีกแล้ว เพราะคำพูดไม่กี่คำของเขา

   
“.................ฮึก”

   
“ไม่ต้องร้อง มันไม่ช่วยอะไรหรอกนะ” เผลอโมโหขึ้นมาอีกจนได้เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ร้องไห้กับพูดขอโทษราวกับแผ่นเสียงตกร่อง

   
“ซะ...ซันๆ....ฮื่อ...” เดือนร้องไห้หนักขึ้น ยกสองมือขึ้นมากอดตัวเอง น้ำตาไหลเป็นทาง

   

“....................”
 



เขายกมือขึ้นมากอดอกมองคนตรงหน้าเฉย
ในเมื่อบอกแล้วยังไม่หยุดก็ปล่อยให้ร้องต่อไป
เสียงสะอื้นเริ่มเบาลงแล้วก็ส่งทิชชู่ให้




คนร้องไห้จนเสียงแหบมองกระดาษในมือเขา ข้อมือขาวซีดขยับมาใกล้ช้าๆ ทำท่าจะเอื้อมมาหยิบแต่กลับหดไป ริมฝีปากบวมเจ่อเม้มเน้น ดวงตาแดงช้ำเพราะร้องไห้สบเขา พูดออกมาเสียงตะกุกตะกักปนสะอื้น

   
“...อย่า..ทั้งๆ ที่รังเกียจกัน...ทะ..ไมต้องมาทำดีด้วย..ฮึก”

   
“....................” เขาขมวดคิ้ว พยายามฟังคำพูดแสนเบาปนสะอื้น รังเกียจหรือ? เขาเนี่ยนะ

   
“..อึก..ระ...รักไม่ได้..ยะ...อย่าทำดี...ฮื่อ...ด้วย”

   
“...เดือนพูดอะไร” เขาจ้องร่างตรงหน้าเขม่ง เดือนออกแรงจิกแขนตัวเองจนข้อมือขาว

   
“ฮื่อ....คะ...เค้าสกปรก...ระ...รักซันไม่ได้...”



สังเกตเห็นท่าทางไม่ดีของคนพูดจึงรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปดึงมือที่กำลังจิกต้นแขนของตนเองเอาไว้ออก ปากบางที่ถูกกัดจนเลือดซึมยังคงพึมพำไม่หยุด



    
“อย่า...ไม่เอา...อย่าจับนะ...สกปรก...ซันปล่อย...ซันปล่อย”



เดือนขัดขืน สองมือสองเท้าเตะต่อย ดิ้นรนสะบัดพยายามหนีออกจากการเกาะกุม ข้อศอกของเดือนถองเข้ากับซี่โครงทำเอาจุกจนเผลอคลายมือ เดือนอาศัยจังหวะนั้นสะบัดตัวสุดแรง วิ่งไปที่ประตูและกำลังกระชากออกแต่เขาตามมาคว้าเอวไว้ได้ทันก่อนจะออกห้องไป



เสียงประตูปิดดังปัง!



สองแขนแข็งแรงกอดเอวของเดือนไว้แน่น ยื้อยุดกันอยู่ที่หน้าประตู

   


“ไม่...ปล่อย...อย่าแตะ...ซัน...ปล่อย...ฮื่อ” เดือนยังคงพยายามดิ้นรนขัดขืน มือซีดขาวสองข้างทุบตีไปตามร่างกายของเขาเท่าที่จะเอื้อมถึง สองเท้ากระทืบไปมา

   
“ไม่” แรงกระทืบจากเท้าหยุดลง เหลือเพียงแขนยังคงทุบตีต่อเนื่องไป

   
“ฮึก....ได้โปรด...ปล่อยเค้าไปเถอะ....ซัน...ได้โปรด...อื่อ” เดือนยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น

   
“ไม่ปล่อย” พูดย้ำให้อีกฝ่ายได้ยินช้าชัด เรี่ยวแรงของคนที่ร้องไห้เริ่มอ่อนลง เขายังไม่คลายอ้อมกอด

   
“...ไม่ต้องสงสารหรอก...ไม่เป็นไร...ซันปล่อย---“

   

“สงสารเหรอ? ....ทำไมเค้าต้องสงสารตัว ฮะ!!” ตะโกนออกมาอย่าไร้สติเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่เคยคิดหลุดออกมาจากปาก เดือนสะดุ้ง ร่างกายกระตุกแล้วเริ่มสั่น คว้าจับบ่าคนในอ้อมแขนหมุนตัวมาสบตา

   
“คนที่เป็นเพื่อนกันน่ะ ไม่คบกันเพราะความสงสารหรอกนะ” จ้องเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทหยาดรื้นไปด้วยหยาดน้ำตา 

   
“..เพื่อนเหรอ?..”

   

“.............................”

   

“...ไม่...เค้าไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับตัว...ตัวเข้าใจไหม....เพื่อนงั้นเหรอ...ไม่ได้อยากเป—“

   

“เดือน!!!” เจ้าตัวหลบตาพูดออกมาราวกับเพ้อ เขาจึงตะโกนชื่ออีกฝ่ายเสียงดังหวังเรียกสติ คนตรงหน้าสะดุ้งเฮือกอีกครั้งก่อนจะนิ่งไป

   



ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไม่คิดจะเร่งรัดหรือทำสิ่งใดกับคนที่ซบหน้าแนบอก
เสียงสะอื้นเงียบหายไปแล้วและเขาก็ได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้าลึก




   
“เค้ารักตัว”




   
“..............................”



ชา




ความรู้สึกทั้งหลายที่ผสมปนเปกันจนเขาไม่อยากจะแยกแยะหายไป
ร่างกายชาวาบตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด






“เดือนรักซันๆ ได้ยินไหม!!!”





   
   
คลายมือที่เคยกอดเอวของเดือนออกทิ้งสองแขนลงแนบลำตัว ในหัวมีแต่เสียงของเดือนสะท้อนไปมา . . . เดือนพูดว่าอะไรนะ?


    
“.................................”


   
“เค้ารักตัวนะซันๆ”


   
เดือนเงยหน้าขึ้นกระซิบเสียงแผ่วเบาแล้วแนบริมฝีปากเข้ามาเสี้ยววินาทีแล้วผละออก


   
เขาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง สมองประมวลผลไม่ทัน ได้แต่ยื่นนิ่งปล่อยให้เดือนเดินออกจากห้องไป ทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ว่า



   

“ขอบคุณที่ดูแลมาตลอด

แล้วก็ขอโทษที่รบกวนนะซันๆ” 











.



.



.



   
“...ซัน...ไอ้เชี่ยซัน” สะดุ้งสุดตัวจากเสียงตะโกนใกล้หู หันไปก็พบว่าไอ้กายนั่นเองที่เป็นตัวต้นเหตุ
   
“มึงจะตะโกนทำไมวะ”
   
“แสรด มึงเหม่อนี่หว่า กูพูดกับมึงไปสิบเรื่องแล้ว มึงได้ยินบ้างไหมเนี่ย”
   

มองหน้ามันแล้วก็เห็นว่าเพื่อนสนิทท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านเขาจึงได้แต่เงียบ เพราะรู้ว่ายิ่งพูดออกไปก็จะทำให้อีกฝ่ายหัวเสียยิ่งขึ้น
   

“ขอโทษว่ะ”
   

“คำพูดติดปากมึงหรือไง เอะอะก็ขอโทษ สองสามวันนี้ฟังมาเป็นรอบที่สามสิบแปดแล้วเว้ย”
   

ไอ้กายพูดจบก็ไม่สนใจหันไปดูบอลในสนาม เสียงเชียร์จากกองเชียร์ดังลั่นเมื่อทีมในสนามทำคะแนนได้ คำประชดของเพื่อนช่างคล้ายกับที่ได้พูดออกไปเมื่อวันก่อนไม่มีผิด

   

ขณะนี้เขาและกายกำลังนั่งอยู่บนอัฒจันทร์เพื่อดูการแข่งขันฟุตบอลรอบชิงชนะเลิศงานกีฬารับน้องซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่างคณะวิทยาศาสตร์กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ 
   

ป้ายบอกคะแนนว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ขึ้นนำไปก่อนแล้ว หนึ่งต่อศูนย์ เหลือเวลาอีกสิบนาทีจะถึงเวลาพักครึ่งแรก
   
   

นั่งมองลูกกลมๆ ที่ถูกเตะกลิ้งไปทั่วสนามก็รู้สึกเบื่อ ทั้งที่เป้าหมายของการซ้อมนักกีฬาปีหนึ่งที่เขาเข้าไปช่วยซ้อมประจำก็เพื่อให้มีวันนี้ วันที่คณะวิทยาศาสตร์ได้เข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศ เขากลับไม่รู้สึกลุ้นไม่สนุกไปกับการแข่งขันอย่างที่เคยคิดไว้จนถอนหายใจออกมาเสียงดัง


   
“เออ แม่งเซ็งเนอะไอ้ซัน ดูดิ ส่งลูกข้ามสนามแบบนั้นได้ไงวะ เบอร์สิบเอ็ดคือใคร ไอ้ดิวปล่าววะ เดี๋ยวเจอพ่อด่าเช็ด” กายหันมาคุยด้วยแล้วบ่นไปตามเรื่องเขาไม่บอกมันหรอกว่าที่ถอนใจไม่เกี่ยวกับเรื่องฟุตบอลเลยแม้แต่น้อย



   
เข้าวันที่สามแล้วที่....เดือนออกจากห้องไป ทิ้งเขาไว้กับความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกกับสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นร้อนที่แนบเข้ามา ยามคิดถึงเรื่องนี้คราใดก็อดไม่ได้ที่จะยกมือลูบริมฝีปากตนทุกครั้ง


   
“เฮ้ย!! เร็วดิวะ โธ่ ใครบอกให้ทำอย่างนั้นเล่า ไอ้จั๊ดง่าว เว้ยยยย” เสียงตะโกนอย่างขัดใจจากกายทำให้เขาสะดุ้งตื่นจากความคิด หันกลับไปสนใจกีฬาต่อ สองตาก็มองเห็นว่าฝ่ายตัวเองกลับมาครองบอลได้...คนข้างตัวเขาควรจะต้องดีใจไม่ใช่หรอวะ สลัดกาย

   
“มึงโมโหห่าไร ฝ่ายเราได้ลูกนะเว้ย นั่นไอ้ศรลากเข้าไปแล้ว เอ้า เชียร์หน่อยดิวะ”
   
คนที่ปกติจะส่งเสียงเชียร์สุดใจกลับนิ่งเงียบ เสียงตะโกนโห่ร้องยินดีจากกองเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ดังเข้ามาเมื่อฝ่ายตนตีเสมอได้เป็น 1-1 สีหน้ากายเริ่มไม่ดีขาวเผื่อนลงจนน่าตกใจ

   

“เป็นไรมึง ไม่สบาย?” มองหน้าไอ้กายด้วยความสงสัย “จะเป็นลมหรือไง”

   

“..ปะ..เปล่า...กูแค่...แค่ดีใจมากไปหน่อย” ไอ้กายสะบัดหัวอย่างไม่กลัวหลุดแล้วตอบคำถาม หยิบน้ำแดงที่ไปขโมยมาจากฝ่ายสวัสดิการขึ้นมาดูดอึกใหญ่ เสียงเป่านกหวีดดังขึ้นบอกเวลาพักครึ่ง เขาลุกขึ้นเพื่อจะลงไปพูดคุยกับนักกีฬาปีหนึ่งและปีสองที่มาดูแล เดินออกมาแล้วเพิ่งเห็นว่ากายยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางเหม่อลอย
   


“เฮ้ยมึง ไปดูน้องกัน” ตะโกนเรียกไอ้กายจึงรีบขยับตัวตามลงมา






   

ขณะที่เข้าไปพูดคุยกับน้องปีสองที่มาดูแลนักกีฬาปีหนึ่ง สักพักแมนก็เดินเข้ามาทักทายเสียงใส “เป็นไงบ้างครับพี่ซัน วันนี้น้องเล่นดีไหม”

   

“เออ..ดีกว่าที่ซ้อมวันแรกๆ เยอะว่ะ แผนมึงดีนะวันนี้ มึงเตือนหรือยังเบอร์อะไรนะไอ้กายที่ส่งบอลตัดสนามบ่อยๆ น่ะ” หันไปถามเพื่อน มันกลับทำเป็นไม่ได้ยินหันไปคุยกับน้องฝ่ายพยาบาลแทนซะงั้น

   
“ไอ้ดิวน่ะพี่ซัน ผมคุยแล้วครับ”
   

“เออถ้างั้นก็คงไม่มีปัญหาไรแล้ว ช่วงหลังนี้คงกดดันมาก มึงก็ใจเย็นๆ ละกัน” ตบบ่าแมนแล้วเดินออกมาพร้อมกับไอ้กาย แมนเดินเข้ามาใกล้ เขาหยุดรอนึกว่ามีเรื่องจะปรึกษาเพิ่ม แต่มันกลับเข้าไปคว้าแขนไอ้กายที่เห็นว่าพยายามหลบไว้แทน

   
“อย่าลืมสัญญานะครับ” ไอ้แมนพูดจับมือพี่มันไว้แน่น

   
“....................” กายไม่ตอบเอาแต่สะบัดมือไปมา “น้องมันถามน่ะมึง” เขาพูดย้ำนึกว่ามันคงไม่ได้ยิน

   
“เออ!!” ไอ้กายกระแทกเสียง ใบหน้าขาวซีดเริ่มมีสี “ปล่อยได้แล้วแสรด” ว่าแล้วมันก็สะบัดแขนออกรีบเดินหนีไป ทิ้งเขายืนงงกับไอ้แมนที่ยิ้มหน้าบาน









   
“สัญญาไรกันวะ” เมื่อกลับมาถึงที่นั่ง เขาก็ถามคนที่กำลังยกกระป๋องโค้กขึ้นซดจนได้ยินเสียงกลืนดังอึก อึก

   
“คะ แค่กๆ” ไอ้กายสำลัก “ไอ้สลัด มึงถามเชี่ยไร กูกินน้ำอยู่” 

   
“อยากรู้...เห็นไอ้แมนทำท่าดีใจอย่างกับหมาได้กระดูก”

   
“เออ..ไม่มีไรหรอก..เรื่องปัญญาอ่อนนะสิ” เอื้อมมือไปตบหลังไอ้กายแรงๆ เพราะเห็นว่าหน้ามันแดงราวกับว่าจะสำลักขึ้นมาอีกรอบ

   

จะโกหกก็ไม่เนียนเอาซะเลย...เพื่อนใครวะ




.



.



.






   
กลับมาที่ห้องเขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อเห็นว่าห้องยังคงสะอาด เรียบร้อยเหมือนเดิมตั้งแต่ก่อนออกไป


   
...เวลานี้ถ้าเปิดประตูเข้ามาแล้วเจอรองเท้าแตะปอนๆ ถอดทิ้งไว้ลวกๆ ไม่เป็นระเบียบ เขาอาจสบายใจขึ้นบ้างก็ได้


   
อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยเป็นคิดจินตนาการไปเองว่าอีกฝ่ายจะกินข้าวหรือยัง ปวดท้องหรือเปล่า ไม่สบายตรงไหน ปากยังเป็นแผลอยู่ไหม หรือแม้กระทั่งว่า.....กำลังกอดอยู่กับใคร


   

“เว้ย!!” บรรยากาศมันอึดอัดจนทนไม่ไหวต้องตะโกนออกมาด้วยหวังว่าจะช่วยระบายให้ความรู้สึกที่อัดแน่นในอกและบรรยากาศอึมครึมให้หายไปได้บ้าง


   
เดือนจะเอายังไงกันแน่? บอกว่ารังเกียจ บอกว่าตัวเองสกปรก บอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับเขา แล้วสุดท้ายมาตะโกนบอกรักเขา จูบปากแล้วก็ออกจากห้องไป

 
   

เขา...ต้องทำอะไร...ในเมื่ออยู่เฉยเพื่อรอคอยแล้วมันรู้สึกอึดอัดจนทนแทบไม่ไหว





   


‘หาสาเหตุสิซันๆ อะไรที่ทำให้ลูกอึดอัดล่ะ ถ้ารู้แล้วก็ไปจัดการให้เรียบร้อยนะ อย่ามาอารมณ์เสียแล้วพาลคนอื่นแบบนี้’

   
แม่ทำเสียงเฉยชาใส่ หลังจากที่โทรมาแล้วเล่าให้ฟังว่ามีเรื่องหงุดหงิด อึดอัดไม่สบายใจ ไม่ได้บอกว่าทะเลาะกับเดือน เขารู้ว่าถ้าบอกแม่คงบ่นจนหูชาเลยบอกแค่ว่าทะเลาะกับเพื่อนแล้วอึดอัดมาก พอเล่าไปได้สักพักแม่ก็ขัดจังหวะ พูดจ้อเรื่องนั้นโน้นนี้ จากนั้นก็ถามถึงเดือน ... เขาคงทำเสียงรำคาญใจแม่จึงพูดประโยคดังกล่าวแล้วตัดสายทิ้งไป

   
   
สาเหตุทั้งหลาย มาจากคนๆ เดียว ... ต้องไปคุยกับเดือนสินะ


----------------------------------
[04.01.59]
อาทิตย์นี้จะพยายามมาต่อทุกวันนะคะ
เพราะอาทิตย์หน้าอาจไม่ว่าง ย้ายที่ทำงานรับปีใหม่เลยเรา 5555
ขอบคุณ คุณ Kaemmiizz ที่อยู่เป็นเพื่อนกันนะคะ <3

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ   
 :กอด1:
Lavender’s blue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2016 21:20:17 โดย Wendy »

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 11) 04-01-2559
«ตอบ #25 เมื่อ04-01-2016 21:54:41 »

 :pig4:

ออฟไลน์ haemin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 11) 04-01-2559
«ตอบ #26 เมื่อ04-01-2016 23:46:21 »

เราว่าเดือน น่าสงสารมาก ถึงมากที่สุด โดนกระทำมาตั้งแต่เด็ก รักและชื่นชมซัน แต่ไม่กบ้าเพราะคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรดี ตัวเองสกปรก เรื่องนี้ซัน และโง่ อยู่ใกล้กันขนาดนี้ กลับใส่ใจดูแล เดือนไม่พอ เฮอะ  เค้าไปตั้งสามวัน ยังไม่ตาม  เชอะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 11) 04-01-2559
«ตอบ #27 เมื่อ04-01-2016 23:56:11 »

 :pig4:

ขอให้งานที่ออฟฟิตใหม่ ราบลื่นนะ^^

ออฟไลน์ เลิฟมี

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 11) 04-01-2559
«ตอบ #28 เมื่อ05-01-2016 00:39:50 »

งื้ออออ สงสารเดือนนนนนนน :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: มาต่อไวๆนร้าาาาา  :hao4: :hao4: :hao4: :mew3: :mew3: :mew3: #สนุกมากก

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 11) 04-01-2559
«ตอบ #29 เมื่อ05-01-2016 00:55:51 »

เดือนรันทดมากอ่ะ เก่งนะที่เข้มแข็งมาถึงตอนนี้ได้ ซันต้องกล้ายอมรับความรู้สึกตัวเองแล้วแหละ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด