บทที่ 1
กริ๊ง ... กริ๊ง ... กริ๊ง ...
เสียงโทรศัพท์บ้านที่ดังขึ้นเป็นระยะ ทำให้ร่างสูงซึ่งกำลังนอนหลับฟุบคาโต๊ะทำงาน ค่อย ๆ โงนเงน ยันกายลุกจากเก้าอี้ เดินโซเซไปรับโทรศัพท์ด้วยอาการสะลึมสะลือ
“ซาโต้ พูดครับ”
ทันทีที่กล่าวจบ เสียงอันเต็มไปด้วยความร่าเริงก็ดังโพล่งกลับมาจากปลายสายอีกฝั่งทันที
“โชเฮเหรอ! นี่ฉันอาซึมะนะ!”
คนฟังขมวดคิ้ว รำลึกความทรงจำก่อนจะตะโกนออกมาอย่างตกใจ
“รุ่นพี่อาซึมะหรือครับ! โทรมาจากไหนครับเนี่ย!”
“อเมริกาน่ะ ตอนนี้ฉันอยู่อเมริกา”
น้ำเสียงร่าเริงตอบกลับมา ซึ่งทำให้คนฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็อดดีใจไม่ได้ ที่ได้ยินเสียงของชายหนุ่มอีกครั้ง
อาซึมะ เคนจิ เป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยสมัยเรียนของเขา ชายหนุ่มเป็นคนรักอิสระ และชอบทำอะไรตามใจตน แต่ด้วยความที่เป็นคนนิสัยดี และรักเพื่อนพ้อง ทำให้เขามีเพื่อนฝูงมากมาย รวมไปถึงรุ่นน้องที่ให้ความเคารพและยึดถือชายหนุ่มเป็นแบบอย่างอีกด้วย
โชเฮพบเคนจิครั้งสุดท้ายเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนงานศพภรรยาของเคนจิ และหลังจากนั้น เคนจิก็พาลูกชายอายุ 5 ขวบ ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ โดยไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนฝูงหรือคนรู้จักในญี่ปุ่นเลยสักคนเดียว
“จริงสิโชเฮ ตอนนี้นายก็ยังโสดอยู่ใช่ไหม?”
คำถามแรกที่ถาม ทำเอาคนฟังยิ้มแห้ง ๆ กับโทรศัพท์ ก่อนตอบไปเสียงอ่อย
“ก็ใช่น่ะสิครับ นักเขียนไส้แห้งอย่างผม จะมีสาวที่ไหนเขามาแลกันล่ะครับ”
“อืม...งั้นเหรอ”
ปลายสายพึมพำรับรู้ ก่อนเงียบไปสักพักจนโชเฮสงสัย ทว่า ประโยคถัดมา ทำเอาชายหนุ่มแทบจะปล่อยหูโทรศัพท์ทิ้ง ด้วยความตกใจ
“โชเฮ! ฉันขอร้องล่ะ นายช่วยดูแลไคริแทนฉันสัก 1 ปีได้ไหม!”
ชื่อของไคริ หรือ อาซึมะ ไคริ ลูกชายคนเดียว ของอาซึมะ เคนจิ เด็กน้อยที่ซาโต้ โชเฮ เคยเจอเมื่อหลายปีที่แล้ว ทำให้ชายหนุ่มถึงกับตะโกนย้อนถามด้วยความตกใจอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“อะไรนะครับรุ่นพี่!!”
โชเฮทวนคำเสียงหลง ซึ่งน้ำเสียงที่ตอบกลับมาของอีกฝ่ายก็ค่อนข้างลำบากใจพอสมควร
“ฉันมีงานต้องไปถ่ายรูปที่แอฟริกา นายก็น่าจะเข้าใจนะ ว่าฉันจะกระเตงเด็กอายุแค่ 8 ขวบไปตะลอนกับฉันในสถานที่แบบนั้นได้ยังไงตั้งเกือบปีน่ะ”
โชเฮฟังแล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ เขาเข้าใจว่าเคนจิเป็นช่างถ่ายภาพอิสระ ที่ชอบตระเวนถ่ายรูปไปในที่ต่าง ๆ มาตั้งแต่สมัยก่อนแต่งงานแล้ว โดยยูริผู้เป็นภรรยาที่เสียไป ก็เข้าใจในจุดนั้นและยินดีรอคอยชายหนุ่มเสมอ ทั้งคู่จึงเป็นคู่รักที่เหมาะสมและเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี แต่เมื่อยูริเสียไป เคนจิก็ไม่อาจทนอยู่ที่ญี่ปุ่น อันเป็นประเทศที่มีความทรงจำระหว่างตัวเองและภรรยามากมายได้ เขาจึงจำต้องพาไคริบุตรชายคนเดียว ออกเดินทางไปยังต่างประเทศ ซึ่งโชเฮพอจะคาดเดาได้ว่า ระหว่างเวลา 3 ปีที่ ผ่านมา ด้วยนิสัยของเคนจิ ทั้งคู่คงตระเวนท่องเที่ยวมาแล้วหลายประเทศทีเดียว
“แล้วตัวไคริคุงเองล่ะครับพี่ เด็กจะรับได้หรือเปล่า ถ้าต้องมาอยู่ กับผม ซึ่งเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขาแบบนั้น”
โชเฮถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ ซึ่งเคนจิก็รีบสวนกลับมาทันทีอย่างร่าเริงกว่าเดิม
“ข้อนี้นายไม่ต้องห่วง ไคริเป็นเด็กที่ปรับตัวได้เร็วอยู่แล้ว เขาอยู่ได้สบายมาก ขอบคุณนายมากนะโชเฮ ที่รับปากดูแลลูกฉันให้แบบนี้!”
โชเฮยิ้มแห้ง ๆ กับตัวเอง ที่ถูกอีกฝ่ายมัดมือชกเสร็จสรรพ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมตอบกลับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ
“ช่วยไม่ได้นี่ครับรุ่นพี่ แล้วรุ่นพี่จะส่งไคริคุงมาอยู่กับผมเมื่อไหร่ครับ”
“นายยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่าล่ะ โชเฮ?”
คำตอบที่ไม่ตรงกับคำถาม ทำเอาคนฟังขมวดคิ้ว แต่ก็ตอบกลับไปตามตรง
“ก็อยู่ที่เดิมนี่ล่ะครับ ไม่ได้ย้ายไปไหน”
เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังมาตามสาย และคำพูดร่าเริงตามสไตล์เจ้าตัวที่ตามมาแต่ทำเอาคนฟังถึงกับสะดุ้งโหยง
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องห่วง ฉันส่งไคริไปหานายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
ฉันคิดว่า เดี๋ยวก็คงจะถึงบ้านนายในไม่ช้านี่ล่ะ อ๊ะ! แย่แล้ว เวลาป่านนี้แล้วนี่ ขืนช้าเดี๋ยวจะไม่ทันขึ้นเครื่อง! ถ้าอย่างนั้นฉันไปนะ อ้อ! ขอบคุณสำหรับเรื่อง ไคริอีกครั้งนะ!”
โชเฮอ้าปากพะงาบด้วยความไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แม้อีกฝ่ายจะวางสายไปแล้วก็ตาม
“เชื่อเขาเลย! คนอะไรกัน แล้วคิดได้ยังไงถึงให้เด็ก 8 ขวบ เดินทางคนเดียวแบบนี้!”
ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองก่อนจะวางโทรศัพท์ และเดินหายเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำสักพักใหญ่ จากนั้นจึงออกมาพร้อมด้วยหน้าตาที่สดชื่นกว่าเดิมเล็กน้อย
... ติ๊งต่อง! …
เสียงออดประตูที่ดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังเตรียมอาหารเช้าของตัวเองชะงัก ก่อนจะรีบวิ่งไปยังประตูหน้าบ้าน เพื่อหวังจะได้เจอคนที่ตนกำลังรอคอยด้วยความเป็นห่วง
ภาพเบื้องหน้าของโชเฮก็คือ เด็กน้อยตัวเล็กในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ขายาว สะพายกระเป๋าย่ามใบใหญ่ 1 ใบ ใบหน้าของเจ้าตัว มองปราดเดียวก็รู้ว่าเกี่ยวข้องกับอาซึมะ เคนจิอย่างแน่นอน เพียงแต่นัยน์ตาคู่สวยนั้นกลับเหมือนยูริภรรยาที่เสียไปแทน
“เธอ...ไคริคุงใช่ไหม?”
เด็กน้อยวางกระเป๋าย่ามลงและโค้งศีรษะให้อีกฝ่าย
“ครับ ผมอาซึมะ ไคริ ตั้งแต่นี้ไปคงต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับคุณด้วยนะครับ คุณซาโต้ โชเฮ”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอเบา ๆ ท่าทีที่เป็นผู้ใหญ่เกินตัวนั่น ทำให้เขาพอจะรับรู้ได้ว่า เจ้าเด็กตรงหน้านี้ก็คงไม่เบาเหมือนกัน อย่างน้อยก็คงเก่งพอตัว มิเช่นนั้นเคนจิคงไม่ปล่อยให้เดินทางมาคนเดียวแบบนี้หรอก
“ก็...ยินดีต้อนรับแล้วกัน จริงสิ เข้าบ้านก่อนดีกว่านะ”
โชเฮบอกและทำท่าจะไปช่วยถือกระเป๋า หากอีกฝ่ายก็รีบคว้ากระเป๋าตัวเองมาถือไว้แทน
“ไม่เป็นไรครับ ของแค่นี้ผมถือเองได้ ไม่รบกวนคุณหรอก”
ชายหนุ่มยิ้มแห้ง ๆ รู้สึกขัดใจกับท่าทีที่แสดงออกอย่างไม่สมกับวัยตัวเองของร่างเล็กยิ่งนัก ก่อนเป็นฝ่ายเดินนำเด็กชายเข้าบ้าน พลางบ่นเบา ๆ ให้ฟัง
“พ่อเธอเล่นติดต่อมากะทันหันเมื่อเช้านี้ ทำให้ฉันยังไม่ได้เตรียมจัดห้องให้เธอเลย ถ้ายังไงคืนนี้เธอนอนห้องฉันก่อนแล้วกัน ส่วนพรุ่งนี้ฉันจะจัดห้องว่างที่มีอยู่ เป็นห้องส่วนตัวของเธอให้”
“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมนอนโซฟาห้องรับแขกก็ได้”
ไคริตอบเรียบ ๆ พร้อมกับมองไปยังห้องรับแขก และดูเหมือนจะเดินไปพักผ่อนที่นั่นอย่างที่พูด
“มันจะทำอย่างนั้นได้ยังไงกันเล่า!”
โชเฮโพล่งใส่อย่างหงุดหงิด ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร บางที อาจจะเป็นด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก และพฤติกรรมการวางตัว ที่อีกฝ่ายพยายามทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่เสียเหลือเกิน ก็เป็นได้
“ขืนฉันให้เธอนอนห้องรับแขก ถ้ารุ่นพี่เคนจิรู้ เขาจะได้โวยใส่ฉันเข้าให้น่ะสิ!”
คำพูดของโชเฮทำให้ร่างเล็ก ๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา และเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“คน ๆ นั้นเขาไม่เคยสนใจอยู่แล้วล่ะครับ ว่าผมจะอยู่หรือจะใช้ชีวิตยังไง คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”
โชเฮชะงัก ขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะคลายคิ้วออก พร้อมกับรอยยิ้มซึ่งปรากฏขึ้นที่มุมปาก
...โฮ่! ที่แท้ก็งอนที่ถูกพ่อตัวเองทิ้งให้คนอื่นดูแลสินะ แบบนี้ค่อยน่ารักสมกับเป็นเด็กหน่อย ...
“เอาน่า! ฉันเต็มใจนี่นา ดีออก ฉันเองก็อยู่คนเดียวมาตลอดหลายปี มีเพื่อนมาอยู่ด้วยกันแบบนี้จะได้หายเหงาหน่อย”
โชเฮพูดพร้อมกับรวบบ่าร่างเล็กดึงเข้ามาใกล้ตัว ซึ่งอีกฝ่ายก็ตกใจในตอนแรก ก่อนจะสงบนิ่งในเวลาต่อมา
“ครับ...แล้วแต่คุณแล้วกัน”
ไคริพึมพำเบา ๆ ซึ่งโชเฮก็พาเด็กชายเดินขึ้นบันไดไปยังชั้น 2 และตรง
ไปยังห้องนอนของเขา
“เอ่อ...มันรกหน่อยนะ บางทีฉันก็ทำงานในห้องน่ะ”
โชเฮบอกอย่างเขิน ๆ เมื่อเปิดประตูห้องพบกับกองหนังสือ และเศษกระดาษ ที่ถูกขยำทิ้งจำนวนมาก
จากนั้นชายหนุ่มก็รีบเข้าเคลียร์พื้นที่ โดยจัดการดันสิ่งของที่กองระเกะระกะพร้อมปัดกวาดเศษกระดาษไปรวมกันอีกมุมหนึ่งของห้องอย่างรวก ๆ แทน
“เดี๋ยวฉันไปเอาฟูกมาให้นะ ฉันเก็บไว้ที่ห้องเก็บของน่ะ”
ไคริมองตามร่างสูงที่เดินจ้ำอ้าวออกไป ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับกองหนังสือ และเศษกระดาษเหล่านั้น
โชเฮที่แบกฟูกนอนมา อุทานด้วยความตกใจ และจัดแจงโยนฟูกทิ้ง พร้อมกับปราดเข้าไปดึงเศษกระดาษในมือที่เด็กชายกำลังยืนอ่านอยู่ มาถือไว้แทนทันที
“คุณเขียนนิยายอย่างว่าด้วยหรือครับ”
คำถามนั้นของร่างเล็ก แสดงให้เห็นว่าเนื้อความในกระดาษดังกล่าวถูกอ่านหมดเรียบร้อยแล้ว
“นิยายแนวอีโรติกต่างหากเล่า อย่าเรียกนิยายอย่างว่าสิ มันฟังดูไม่ค่อยดีเลยนะ ว่าแต่เด็กอย่างเธอรู้เรื่องพวกนี้ด้วยหรือไง”
โชเฮบ่นไปเก็บเศษกระดาษดังกล่าวไป และสำรวจอีกครั้งว่ามันไม่มีหลงเหลืออยู่ในห้องให้เห็นอีก
“ผมเคยเห็นของจริงมาแล้วด้วยซ้ำ”
ไคริเปรยเรียบ ๆ ขณะที่วางกระเป๋า และนั่งลงบนเตียงของชายหนุ่มมองอีกฝ่ายที่ลุกลี้ลุกลนเก็บของ อย่างไม่ทุกข์ร้อน
“อะ...อะไรนะ!!”
ฝ่ายที่ตกใจกลับเป็นโชเฮ ใบหน้าของชายหนุ่มแดงระเรื่อ มองเด็กชายที่พูดเรื่องดังกล่าวออกมาอย่างหน้าตาเฉย โดยแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา
“เมดที่พ่อจ้างมาดูแลบ้านตอนอยู่อเมริกาน่ะครับ เขาพาแฟนเข้ามามีอะไรกันในบ้านตอนพ่อไม่อยู่น่ะ”
โชเฮกลืนน้ำลายลงคอ นี่เคนจิจะรู้ไหมว่า ตัวเองปล่อยปะละเลย จนลูกชายต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง ยามอยู่คนเดียวแบบนั้น
“ผมไม่ถือสาอะไรหรอกครับ อย่าคิดมากเลย มันเป็นเรื่องของคนที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์แล้ว ต้องมีกันทุกคนไม่ใช่หรือครับ”
ไคริบอกเมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม แวบหนึ่งที่โชเฮเหมือนจะเห็นว่านัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้คู่สวยนั้น คล้ายดังจะมีแววเย้ยเยาะเขาอยู่ในท่าทีด้วยซ้ำไป
“แต่เรื่องพวกนี้ สำหรับเด็กมันค่อนข้างจะ...”
“เร็วไป หรือไม่เหมาะสม พวกผู้ใหญ่ก็มักจะคิดจะปิดกั้นเด็กด้วยวิธีนี้ มันก็ไม่แปลกหรอกครับ ที่เด็กมักจะอยากลองเรียนรู้ด้วยตัวเองบ้างน่ะ”
คำพูดที่แย้งสวนขึ้นมา อย่างที่ไม่เข้ากับคนพูดเลยสักนิด โดยเฉพาะประโยคท้ายสุดที่ตามมาต่อจากนั้น
“แต่ดูจากเนื้อเรื่องในนิยายที่คุณเขียนมา ผมคิดว่าคุณเองก็คงยังไม่ค่อยจะมีประสบการณ์กับเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่นักหรอก ใช่ไหมครับ?”
คำพูดพร้อมรอยยิ้มเยาะ ทำให้เขาเริ่มได้คิดขึ้นมาในวินาทีนั้นทันที
…เด็กตรงหน้าเขาคนนี้ มันปีศาจตัวน้อยดี ๆ นี่เอง! …
โชเฮ ชวนไคริ ออกไปเดินหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเด็กชาย ซึ่งแม้ตอนแรกไคริจะปฏิเสธ ทว่า สุดท้ายก็จำต้องยอมตามอย่างเซ็ง ๆ เมื่อเจอลูกตื๊อไม่เลิกของชายหนุ่ม
“เคยมีใครบอกคุณไหมคุณโชเฮ ว่าคุณเป็นผู้ใหญ่ที่เอาแต่ใจมากน่ะ”
ไคริเปรยอย่างเบื่อหน่าย ท่าทางเลียนแบบผู้ใหญ่นั่น ทำให้โชเฮ แค่นยิ้มอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะย้อนกลับ
“ฉันว่าฉันยังเอาแต่ใจตัวเองน้อยกว่าพ่อของเธอด้วยซ้ำไป”
ได้ผล เพราะคนฟังถึงกับชะงัก ชายหนุ่มแอบสะใจเล็กน้อยที่เอาคืนอีกฝ่ายได้ แต่ก็ต้องปวดหัวแทน เพราะหลังจากนั้นเจ้าตัวก็เข้าโหมดเป็นใบ้ ชวนคุยอะไรก็ไม่ยอมคุยตอบ
“พวก ตู้ โต๊ะ เตียง พรุ่งนี้เขาถึงจะมาส่งให้”
ชายหนุ่มบอกหลังจากที่เดินออกมาจากร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งไคริก็ฟังผ่าน ๆ โดยทำเป็นไม่สนใจ แต่เมื่อได้ยินประโยคถัดมาของโชเฮ เขาก็หันขวับกลับไปมองหน้าชายหนุ่มทันทีด้วยความตกใจ
“แล้วพรุ่งนี้ฉันว่าจะพาเธอไปสมัครเรียน โรงเรียนใกล้ ๆ แถวนี้ด้วย”
“ทำไมผมต้องไปเรียนด้วยล่ะ!”
เสียงเล็กโวยกลับ แต่คนฟังยักไหล่น้อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจ
“ก็มันแน่อยู่แล้ว ในเมื่อเธอยังอยู่ในวัยเรียน ฉันไม่ปล่อยให้เธอใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปเป็นปีหรอกนะ”
ไคริเม้มปากแน่น ก่อนจะตอบกลับอย่างพยายามควบคุมอารมณ์ของตน
“ผมเรียนที่บ้านก็ได้ ตอนอยู่ต่างประเทศก็ทำแบบนั้น”
“แต่นี่คือญี่ปุ่น เด็ก ๆ ควรจะไปโรงเรียน ไปเล่นสนุกกับเพื่อนต่างหากเล่า!”
เหตุผลโต้แย้งที่ชายหนุ่มมีให้ ทำเอาเด็กชายเริ่มจะทนไม่ไหว น้ำเสียงที่โต้ตอบออกไปเริ่มดังขึ้นทุกขณะ
“ผมไม่ต้องการเพื่อนสักหน่อย!”
โชเฮยิ้มมุมปาก พลางตอบออกไปในสิ่งที่ทำให้ความอดทนของอีกฝ่ายเริ่มสิ้นสุด
“แต่ฉันว่าเธอในตอนนี้ จำเป็นที่ต้องมีเพื่อนวัยเดียวกันมากที่สุดเลยล่ะ พี่เคนจิเลี้ยงดูเธอมาผิดไปแล้วรู้ไหม?”
“คุณไม่มีสิทธิมาบังคับผม!”
ไคริตะโกนตอบโต้ โดยไม่สนใจบรรดาคนที่เดินผ่านไปผ่านมา และแอบชำเลืองมองพวกตนด้วยความสนใจ
“สิทธิ? ถ้าพูดถึงสิทธิฉันมีสิทธิบังคับเธอเต็มที่ เพราะตอนนี้ฉันก็ถือเป็นผู้ปกครองของเธอที่ญี่ปุ่นนี่รู้ไหม!”
โชเฮเองก็เริ่มหมดความอดทน กับเจ้าเด็กตัวน้อยตรงหน้าเช่นกัน ที่เหมือนจะไม่ยอมรับฟังเหตุผลของเขาแม้แต่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นผมจะกลับอเมริกา!”
คำตอบโต้ที่ทำให้ชายหนุ่มฉุนกึกขึ้นมาทันที เพราะจะว่าไปแล้วเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องมาแบกรับภาระเลี้ยงดูลูกชาวบ้านเขาเลยด้วยซ้ำ แต่เด็กนี่กลับไม่คิดถึงความลำบากในข้อนั้นของเขาเอาเสียบ้างเลย
“กลับงั้นหรือ? กลับไปอเมริกาตอนนี้เธอจะอยู่ได้ยังไง พ่อเธอตอนนี้เขาอยู่แอฟริกาไม่ใช่รึ! ยอมรับความจริงหน่อยสิ ว่าตอนนี้เธอมันก็แค่เด็กถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวแล้วน่ะ!”
เด็กชายชะงักกับคำพูดดังกล่าว แววตาที่พยายามซ่อนความเจ็บปวด ทำให้โชเฮได้คิดว่าตนไม่น่ามาระบายอารมณ์ใส่เด็กตัวเล็กแค่นี้ ไคริก็แค่เด็ก 8 ขวบ แม้จะชอบแสดงท่าทางและใช้คำพูดเหมือนผู้ใหญ่ แต่ เด็กยังไงก็ยังเป็นเด็กวันยังค่ำ
“บ้าชะมัด! …กลับกันได้แล้ว”
โชเฮสบถก่อนจะจูงมืออีกฝ่าย ที่เดินเงียบตามเขาไปต้อย ๆ โดยไม่เกี่ยงงอนแต่อย่างใดจนกระทั่งถึงบ้าน
“เธอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้านอนก่อนได้เลย ฉันจะทำงานข้างล่างก่อนสักพัก ห้องน้ำอยู่ตรงสุดทางเดินด้านซ้ายมือน่ะ”
ไคริพยักหน้ารับเบา ๆ และเดินขึ้นไปบนห้องโดยไม่พูดอะไรอีกเช่นเคย
----------
--------
----