นิยายเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีอิงปัจจุบัน สไตล์จะใกล้เคียงกับเรื่อง "ม่านราตรี" ของปัด ค่อนข้างอ่านง่าย ดำเนินเรื่องเรื่อย ๆ แนวชีวิตประจำวัน ในแต่ละวันค่ะ
ใครที่ชอบอ่านอะไรเรื่อย ๆ สไตล์ ม่านราตรี หรือมิราเคิลคาฟ่ของปัด น่าจะชอบนะคะ ^^" แต่ถ้าไม่ถูกใจ ปัดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ ยังไงก็แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้นะคะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ 
บทที่ 1
ยามกะเช้าคนใหม่
“อะไรนะ! ลาออกหนีไปอีกแล้วรึ ...ทำไมปีนี้ถึงออกกันบ่อยจัง ตั้งแต่ต้นปีมานี่ก็เปลี่ยนไป 5 รายแล้วนะนั่น”
น้ำเสียงบ่นอย่างเบื่อหน่ายดังขึ้นจากชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสวมแว่นตากรอบดำ เส้นผมที่ดำยาวเลยบ่ามาเล็กน้อย ถูกปล่อยเอาไว้อย่างไม่สนใจมัดรวบ และแม้เจ้าตัวกำลังขมวดคิ้วยุ่งอยู่ก็ตาม แต่ใบหน้าคมคายใต้แว่นตา ก็ยังคงดูดีอยู่ไม่เปลี่ยน
“ผมก็บอกคุณแล้วไง ‘คุณเจ้าของที่ดิน’ ว่าไม่ต้องจ้างคนเพิ่มมาอีกแล้ว ผมคนเดียวก็ดูแลได้”
เสียงที่ขัดขึ้น ดังมาจากชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ด้วยกันในห้อง เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ หุ่นดีราวกับนายแบบ ผมลองทรงสั้นนั้นสีดำขลับเหมือนชายไทยทั่วไป เพียงแต่นัยน์ตาสีเขียวมรกต บ่งบอกถึงความมีเชื้อชาติอื่นผสมอยู่ในสายเลือด และที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดบนใบหน้าของเจ้าตัว ก็เห็นจะเป็นหน้ากากสีทองครึ่งหน้า ที่เจาะให้เห็นเฉพาะดวงตาโผล่มาเท่านั้น
“หวังว่าเรื่องที่ทำให้พวกนั้นลาออก คุณคงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนะ…คุณแฟนธอม”
คนถูกพาดพิงยักไหล่นิด ๆ แล้วจึงเปรยตอบเรียบ ๆ
“ก็อาจจะ... ก็หน้าตาผมมันเป็นเสียแบบนี้นี่”
คำพูดของคนตรงหน้าทำให้คนฟังถอนหายใจแล้วยกมือโบกไปมา
“ไม่เอาน่า ผมไม่ได้จะพูดถึงเรื่องนั้น คุณก็น่าจะรู้ดี”
ใบหน้าใต้หน้ากากที่เคยเรียบเฉย ยกยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงเอ่ยตอบ
“ผมเข้าใจดี ...แต่คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วนะ ‘คุณเจ้าของที่ดิน’ ว่าที่นี่น่ะ ถ้าไม่ใช่คนประสาทแข็ง หรือพวกเดียวกัน ก็มีแต่พวกมองโลกในแง่ดีสุด ๆ นั่นล่ะ ถึงจะอยู่ได้ราบรื่นน่ะ”
คนฟังถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารับรู้
“เอาเถอะ...ยังไงคนที่หนีไปก่อนครบกำหนดสัญญาทดลองงาน ก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองจ่ายเงินให้อยู่แล้ว ...ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปหาคนมาใหม่แล้วกัน ช่วงนี้คุณก็รับไปเองก่อนนะ”
“จริง ๆ ก็ไม่ต้องไปหาใหม่ให้ยุ่งยากหรอก ผมแค่คนเดียวก็ตรวจตราดูแลหมู่บ้านนี้ได้”
ชายสวมหน้ากากยังคงยืนยันความเห็นของตน เพราะคิดว่าถึงจะหาคนใหม่มา ก็คงจะอยู่ได้ไม่นานไปกว่ารายอื่น ๆ นัก
“ไม่ได้ ๆ ต่อให้เป็นคุณ ถ้าต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ได้พักผ่อน มันก็จะแย่เอานะ”
อีกฝ่ายรีบค้าน แล้วจ้องมองด้วยสายตาหวังดีและเป็นห่วง จนทำให้คนที่เตรียมจะแย้งต้องยักไหล่และถอนหายใจเบา ๆ
“แม้หน้าที่นี้อาจจะดูไม่ค่อยจำเป็นต่อหมู่บ้านของเราสักเท่าไหร่ แต่มันก็ถือเป็นหนึ่งในคำสั่งเสียของคุณเจ้าของที่ดินคนเก่าที่ผมจำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...”
พอบอกออกไปเช่นนั้นก็เห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มสวมแว่นจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตามมา
“...แต่เอาเถอะ ถ้าหาคนไม่ได้จริง ๆ เดี๋ยวผมจะหาอาสาสมัครพวกในหมู่บ้านมาคอยช่วยเปลี่ยนเวรช่วงเช้ากับคุณ หรืออย่างดีก็ทิ้งเวรเช้าไปเลย อาศัยแค่ ‘ระบบรักษาความปลอดภัย’ ของหมู่บ้านอย่างเดียวก็พอ แล้วไปเน้นดูแลแค่เวรกลางคืนแทน”
คำพูดนั้นทำให้คนฟังพยักหน้ารับรู้ พร้อมรับคำอย่างพอใจ
“ถ้าได้อย่างหลังนั่นก็จะดีมาก ผมเองก็เบื่อที่จะต้องคอยปั้นหน้าเฉย รับมือพวกขี้สงสัยที่เข้ามาทำงานด้วยกันแล้วล่ะนะ”
“แต่ผมว่า แค่พวกนั้นเห็นแววตาคุณเขาก็ไม่กล้าซักไซ้อะไรแล้วล่ะ”
อีกฝ่ายแย้งทันควัน ทำให้คนฟังชะงักแล้วมีสีหน้าติดบึ้งนิด ๆ จนคนพูดนึกขำ ก่อนจะโบกมือไปมาขอโทษ พร้อมกับเดินไปแถวประตูห้อง หยิบเสื้อสูทที่แขวนไว้บนราวแขวนแถวนั้น มาสวมใส่ทับเสื้อเชิ้ตของตน พลางหันมาเอ่ยอำลา
“ถ้าอย่างนั้นผมไปล่ะ แล้วจะรีบหาเพื่อนคู่หูคนใหม่มาให้ไว ๆ นะ”
ชายสวมหน้ากากมองตามคนในชุดสูทที่เดินออกไปจากห้องพักของเขา แล้วถอนหายใจยาวอีกครั้ง เจ้าตัวเดินไปที่โซฟามุมห้อง ทิ้งตัวลงนั่ง แล้วจึงนิ่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
‘เหอะ! คู่หูคนใหม่อย่างนั้นหรือ ไว้ให้เจ้าคนใหม่ทนอยู่ได้นานเกินอาทิตย์เสียก่อนดีกว่า ถึงจะหวังเรื่องคู่หูได้บ้าง เฮ้อ! แถมพวกในหมู่บ้านนี้ยิ่งเห่อคนใหม่อยู่ด้วยสิ ไม่ต้องถึงกับกลั่นแกล้งกันหรอก แค่บางรายโผล่หน้าออกมายินดีต้อนรับแบบลืมตัวนิดหน่อย แค่นั้นก็ทำเอาแผ่นแนบกันแทบไม่ทันแล้ว!’
ชายหนุ่มสวมหน้ากากส่ายหน้าไปมาค่อย ๆ คล้ายเอือมระอา ต่อพฤติกรรมของสมาชิกในหมู่บ้าน ที่เขามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลอยู่ แล้วจึงจัดแจงเอนกายล้มตัวลงนอนไปบนโซฟายาวตัวเดิม เนื่องจากช่วงเวลากลางวันเป็นเวลาพักของเขา และผู้ซึ่งมีหน้าที่ตรวจดูแลความเรียบร้อยของหมู่บ้านในช่วงเช้านั้น ก็เผ่นหนีไปตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้ว
ดังนั้นวันนี้ในช่วงเช้าจนถึงเย็น ที่ป้อมยามรักษาการณ์ จึงมีแต่เพียงระบบรักษาความปลอดภัย ที่หมู่บ้านนี้ได้ติดตั้งเอาไว้คอยดูแลตรวจตราสิ่งผิดปกติในหมู่บ้านแทน ซึ่งสำหรับแฟนธอมแล้ว เขาเองคิดว่าเจ้าสิ่งประดิษฐ์ไร้ชีวิตที่ว่านั่น มันยังมีประโยชน์มากเสียกว่าบรรดามนุษย์ที่จะคิดมาทำหน้าที่ด้วยกันพร้อมกับมัน ในช่วงเวรยามเช้านี้เสียอีก
ณ เวลาเดียวกันอีกมุมหนึ่งในเมืองหลวงของประเทศไทย ชายหนุ่มชื่อกีรติ กำลังนั่งรับฟังคำขอโทษจากเจ้าของร้านซุปเปอร์มาเก็ตที่เขาทำงานอยู่อย่างลำบากใจ เพราะไม่อยากเห็นอีกฝ่ายรู้สึกผิดดังเช่นที่เป็นอยู่
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจดี อย่าขอโทษกันแบบนี้เลยครับ”
“หนูกีไม่โกรธป้าจริง ๆ นะ ที่ป้าต้องให้หนูออกจากงานแบบนี้”
กีรติยกยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ แล้วตอบกลับไป
“ไม่หรอกครับ ผมเข้าใจความลำบากของคุณป้าดี ตอนนี้ร้านของเราก็แทบไม่มีคนเข้า คุณป้าก็ต้องแบกรับเรื่องปัญหาค่าใช้จ่าย และค่าจ้างของผมมานานหลายเดือน การที่จะปิดตัวลงแล้วขายมันไปเพื่อใช้หนี้ให้หมด ผมเองก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรแล้วล่ะครับ”
“โถ...หนูกีของป้า”
หญิงท้วมวัยกลางคนตรงหน้าเอามือปิดปากแล้วอุทานพึมพำอย่างทั้งสงสารและชื่นชมต่อความเป็นคนดีอย่างไร้ขีดจำกัดของอีกฝ่าย นี่ถ้าไม่เพราะมีหนี้สินมหาศาลที่ทำให้ต้องตัดใจขายร้านมาชดใช้ เธอคงตัดสินใจจ้างชายหนุ่มหน้าเด็กตรงหน้าเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยเด็กดีขยันทำงานแบบนี้หลุดมือไปง่าย ๆ แน่
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ร้านก็จะปิดตัวลงแล้วสินะครับ”
กีรติพึมพำพลางมองไปรอบ ๆ ร้านค้าที่ว่างเปล่าไร้เงาลูกค้าอย่างรู้สึกผูกพันระคนเสียดาย
“ใช่จ้ะ ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น”
“แล้วคุณป้าจะทำยังไงต่อกับข้าวของพวกนี้ล่ะครับ เลหลังขายหรือครับ”
กีรติถามอย่างห่วงใย ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบรับ
“จ้ะ มีคนจะมาเหมาไป และจัดการเอารถมารับถึงที่ เห็นว่าจะเข้ามาเช้าพรุ่งนี้น่ะจ้ะ”
กีรติพยักหน้ารับรู้ จากนั้นคุณป้าเจ้าของร้านก็บอกให้ชายหนุ่มปิดร้านเลย และเอ่ยลากับพนักงานประจำของเธออย่างอาลัยอาวรณ์ ซึ่งกีรติก็ไหว้อำลาอีกฝ่ายและขอบคุณหญิงวัยกลางคนในเรื่องที่จ่ายค่าจ้างเดือนสุดท้ายให้เขาเต็มเดือน ทั้งที่เดือนนี้เขาทำงานได้แค่สิบกว่าวันเท่านั้น
กีรติเดินเรื่อย ๆ กลับห้องเช่าของเขาอย่างไม่รีบร้อน และเที่ยวมองไปตามร้านรวงข้างทางว่ามีการประกาศรับเข้าทำงานติดเอาไว้บ้างหรือไม่ ทว่าพอกำลังจะเดินไปต่อ เขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมีเด็กวัยรุ่นอายุราว 17- 18 ปี วิ่งพรวดพราดออกมาจากร้านค้าตรงหน้าจนเกือบชนเขา
“ถอยไปสิวะ! เกะกะจริง!”
อีกฝ่ายตวาดใส่ ยังไม่ทันที่กีรติจะเอ่ยปากขอโทษ คนพูดก็วิ่งแจ้นหนีไปทันที ที่มีชายอีกคนวิ่งออกมาจากร้าน
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยจับขโมยนั่นที เร็วเข้า!”
กีรติชะงัก เท้าเร็วกว่าความคิด เขารีบวิ่งไล่กวดร่างสูงกว่าของคนที่ชนตนไปจนทัน
“น้องชาย! ทำแบบนี้ไม่ดีนะ กลับตัวกลับใจเอาของไปคืนเขาเถอะ เจ้าของเขาอาจจะให้อภัยก็ได้!”
โจรวัยรุ่นสะดุ้งที่กีรติวิ่งมาทันเขา ก่อนจะได้สติแล้วตวาดใส่อย่างหงุดหงิด
“หุบปากนะไอ้เด็กเวร! ตัวกะเปี๊ยกอย่างแก ยังมีหน้ามาเรียกคนอื่นว่าน้องอีกหรือไงวะ!”
ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวทำท่าเหมือนจะหันมาชกใส่ ทำให้กีรติสะดุ้งโหยง ด้วยความลืมตัวและสัญชาตญาณป้องกันตัวซึ่งถูกฝึกปรือมาอย่างดี ก็ทำให้เขาเบนหน้าหลบ แล้วชกท้องอีกฝ่ายสวนกลับไปเต็มแรง จนคนตรงหน้าตาถลนด้วยความจุก พร้อมกับทรุดกายลงไปกองกับพื้นพูดอะไรไม่ออก
“อ๊ะ! แย่ละ ลืมตัวอีกแล้วเรา!”
กีรติอุทานด้วยความตกใจ แล้วรีบคุกเข่าดูอาการของคนที่เขาเพิ่งชกไปเต็มแรงเมื่อครู่
“อ๊ะนั่น! เจอตัวแล้ว!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายจากชายวัยกลางคน และชายอีกสองคนที่วิ่งตามมา ทำให้กีรติหันไปมองอย่างตกใจ ซึ่งเขาจำได้ว่าชายวัยกลางคนผู้นั้นคือคนที่วิ่งออกมาจากร้าน และตะโกนให้ช่วยจับโจรนั่นเอง
“สลบเหมือดเลย ฝีมือเธอสินะเจ้าหนู ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ!”
ชายที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของร้าน เอ่ยขอบคุณกีรติยกใหญ่
“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นเรื่องปกติที่ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว”
กีรติตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม ยิ่งทำให้คนตรงหน้ารู้สึกชื่นชมคนพูดมากยิ่งขึ้น ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เจ้าหนู ...เดี๋ยวแวะไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจด้วยกันกับลุงหน่อยได้ไหม”
ชายวัยกลางคนถามกีรติ ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ายิ้มรับอย่างว่าง่าย
“ก็ได้ครับ ผมว่างพอดี”
“ดี ๆ ขอบใจมาก เอ้า! แบงค์ เดี๋ยวลูกช่วยแบกหมอนี่ไปโรงพักด้วย ส่วนเจ้าบอยเอาของไปคืนที่ร้าน แล้วไปบอกให้แม่แกปิดร้านได้เลย วันนี้ไม่ต้องขงต้องขายต่อแล้ว!”
ชายคนเดิมหันไปสั่งวัยรุ่นอีกสองคนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกัน จากนั้นจึงเดินนำไปยังโรงพักที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
ทั้งตำรวจและผู้ต้องหาซึ่งฟื้นตัวแล้ว รวมไปถึงชายเจ้าของร้านและลูกชายของเขาอีกคน ต่างพากันนิ่งอึ้งและตกตะลึงไปตาม ๆ กัน เมื่อกีรติแนะนำตัวเขาเองว่าอายุ 20 ปี ด้วยส่วนสูงเพียงแค่ 155 เซนติเมตร รวมไปถึงใบหน้าราวเด็กหนุ่มอายุไม่น่าจะเกิน 15 – 16 ปี ทำให้นายตำรวจผู้นั้นถึงกับเอ่ยปากขอดูบัตรประชาชนของกีรติเลยทีเดียว
และเมื่อให้ปากคำเรียบร้อย ต่างฝ่ายก็เตรียมแยกย้ายกันไป ทว่ากีรตินั้นชะงักเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงทุ้มของใครบางคนที่ดังมาจากทางด้านหลังของเขา
“เอาเป็นว่าถ้านายว่างก็ช่วยหาคนให้ฉันหน่อยแล้วกัน เอาใครก็ได้ที่น่าจะอึดกว่ารายก่อน ประวัติในอดีตไม่มีปัญหา ขอให้ปัจจุบันกลับตัวกลับใจเป็นใช้ได้ เดี๋ยวนี้หาคนทำงานทน ๆ ยากจริง”
กีรติเหลือบไปมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะแปลกใจในคำพูดของอีกฝ่าย แล้วเขาก็ได้พบกับชายใส่สูทดำ สวมแว่นตา ท่าทางภูมิฐาน กำลังยืนคุยกับตำรวจอีกคนที่มียศเป็นถึงร้อยตำรวจเอกเลยทีเดียว
“เออ ๆ รู้แล้วน่า! ว่าแต่ทำไมนายถึงไม่ไปที่บริษัทจัดหาคนงานแทนวะ มาหาคนไปทำงานด้วยที่โรงพัก เดี๋ยวใครก็นึกว่าฉันเป็นเอเยนต์จัดหาคนส่งยาบ้าหรอก”
นายตำรวจคนนั้นโพล่งอย่างเบื่อหน่าย แต่คนฟังกลับยักไหล่นิด ๆ
“ก็ฉันอยากได้พวกอึด ทน และพอมีฝีมือป้องกันตัวเองได้บ้างนี่ … นายเองก็รู้จักคนพวกนี้อยู่มากไม่ใช่หรือไง”
“ก็รู้จักอยู่หรอก แต่กลัวจะไปก่อคดีให้แทนทำงานน่ะสิวะ”
คนฟังยกยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงตอบกลับอย่างมั่นใจ
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ต่อให้เป็นโจรห้าร้อยมาจากไหน ก็ไม่มีทางย่องยกเค้าคนในหมู่บ้านนั้นได้แน่นอน”
นายตำรวจคนเดิมขมวดคิ้วยุ่งสักพัก ก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ ตามมา
“เฮ้อ! เอาเถอะ พวกพ้นโทษแล้วนิสัยดี ก็พอจะมีให้ติดต่อได้บ้าง เดี๋ยวจะตามตัวให้แล้วกัน หือ...มีอะไรหรือเจ้าหนู มองทำไมกัน”
ผู้กองหนุ่มซึ่งบังเอิญหันไปเห็นกีรติ เอ่ยทักขึ้นอย่างสงสัย ทำเอากีรติสะดุ้งโหยง แล้วรีบขอโทษขอโพยยกใหญ่
“อ๊ะ! ขอโทษครับ! คือผมได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหาคนทำงาน ก็เลยเผลอหันมามอง เพราะผมเองก็กำลังหางานอยู่น่ะครับ!”
ทั้งคู่มองหน้าคนพูดอย่างแปลกใจ แล้วเป็นผู้กองหนุ่มที่เป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน
“เธอนี่นะกำลังหางานทำ อายุเท่าไหร่ เกิน 15 แล้วหรือยัง”
ยังไม่ทันที่กีรติจะตอบ ตำรวจคนที่พาผู้ต้องหาไปฝากขังไว้ และได้ยินเข้า ก็เดินมาสะกิดแล้วบอกบางอย่างกับผู้กองหนุ่ม
“ผู้กอง ๆ เขาน่ะอายุ 20 แล้วนา แถมยังจัดการจับโจรที่ตัวโตกว่าตัวเองซะหมอบราบคาบ ยังนั่งจุกอยู่ในห้องขังอยู่เลยนั่น”
คนฟังเบิกตากว้าง แล้วชี้ไปที่กีรติอย่างลืมตัว
“ตัวกะเปี๊ยกเท่านี้นี่นะ อายุ 20 น่ะ!”
นายตำรวจยศต่ำกว่ากลืนน้ำลายนิด ๆ เพราะกลัวว่ากีรติจะไม่พอใจ แต่เมื่อมองไปก็เห็นอีกฝ่ายยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ถือสาให้พวกเขาแทน
“เสียมารยาทน่าพล ไปชี้หน้าเขาแบบนั้นได้ยังไง”
ชายใส่สูทสวมแว่นเอ่ยเตือนเพื่อนของเขา ทำให้คนที่เผลอชี้นิ้วชะงัก แล้วยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้
“ง่า...ขอโทษที ฉันลืมตัวไป”
“ไม่เป็นไรครับ ผมชินเสียแล้ว ยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ ที่ยืนแอบฟังพวกคุณทั้งคู่คุยกัน”
กีรติขอโทษทั้งสองคน และทำท่าจะขอตัวกลับ แต่ก็ถูกชายสวมแว่นรั้งเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิ...คุณกำลังหางานอยู่สินะ”
กีรติพยักหน้าตอบรับ แล้วรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ
“สนใจงานยามไหม แต่มีรายละเอียดแตกต่างจากยามทั่วไปสักหน่อยนะ แต่ถ้าคุณรับได้ ผมก็ยินดีจ้างคุณทำงานด้วย”
ชายหนุ่มตัวเล็กตาเบิกกว้างด้วยความยินดี เขารีบพยักหน้าแล้วตอบกลับไป
“สนใจครับ! ว่ารายละเอียดได้เลยครับ ผมรับได้ทุกอย่าง!”
คนฟังยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงเอ่ยตอบอีกฝ่าย
“ถ้าได้แบบนั้นก็จะดีกับผมมาก... ผมชื่อเวธน์ แล้วคุณล่ะ”
“กีรติครับ”
ชายสวมแว่นพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงเอ่ยต่อ
“คุณกีรติ ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยเรื่องเงื่อนไขกันก่อนดีกว่า อ้อ! พล ฉันยังต้องการคนงานสำรองอยู่นะ เผื่อรายนี้จะอยู่ได้ไม่นาน ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาคนต่ออีก”
คนอื่น ๆ บริเวณนั้น พากันกลืนน้ำลายลงคอเมื่อได้ยิน ยกเว้นกีรติที่แม้จะชะงักในตอนแรก ทว่าชายหนุ่มกลับเอ่ยตามมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“คุณเวธน์รอบคอบจังเลยนะครับ”
แววตาและสีหน้าที่แสดงถึงความชื่นชมจากใจจริงเช่นคำพูด ทำให้เวธน์เองก็ถึงกับเงียบกริบไปไม่แพ้คนอื่น ก่อนที่สักพักจะมีเสียงหัวเราะหลุดออกมาเบา ๆ แล้วจึงตามมาด้วยรอยยิ้มในแบบที่เอกพลผู้เป็นเพื่อนสนิทถึงกับเสียวสันหลังวาบ
“ชักชอบคุณแล้วสิ คุณกีรติ ...หวังว่าเราคงได้ทำงานร่วมกันนาน ๆ นะครับ”
กีรติยิ้มตอบโดยไม่นึกคลางแคลงใจอันใด จากนั้นเวธน์จึงชักชวนให้อีกฝ่ายขึ้นรถตรงไปที่สำนักงานส่วนตัวของเขาด้วยกัน เพื่อจะได้นำเอกสารเงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ในการสมัครงานให้กีรติได้อ่านทบทวน ก่อนจะตัดสินใจตกลงเซ็นสัญญาเข้าทำงานนั่นเอง
เวธน์นำรถยนต์มาจอดหน้าอาคารตึกแถวสามชั้นแห่งหนึ่ง ซึ่งตัวอาคารนั้นตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ย่านชานเมือง กีรติลงจากรถแล้วมองอาคารตรงหน้าอย่างนึกทึ่ง เพราะสี่คูหาที่เปิดติดกันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าของเดียวกันทั้งสิ้น ชั้นล่างสุดของทั้งสี่คูหาเป็นโชว์รูมกระจกใสมีเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์แปลก ๆ มากมายวางขายอยู่เต็มไปหมด
เวธน์พากีรติเข้าไปในอาคาร ขึ้นลิฟต์ไปบนชั้นสามที่ห้องทำงานส่วนตัวของเขา ระหว่างทางพนักงานที่เห็นต่างพากันยกมือไหว้ทำความเคารพชายหนุ่มกันเป็นแถว แสดงให้เห็นว่าเวธน์นั้นน่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูงแน่
“นั่งสิ....ส่วนนี่ก็เอกสาร รายละเอียด ข้อตกลงและข้อห้ามต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน”
กีรติพยักหน้ารับรู้ เขานั่งลงตรงเก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะทำงานส่วนตัวของเวธน์ แล้วหยิบเอกสารปึกใหญ่มานั่งอ่านอย่างสนใจ งานของเขาที่จะต้องทำคืองาน รปภ.ประจำกะเช้าของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง น่าแปลกที่รับเพียงแค่คนเดียว และไม่จำเป็นต้องอยู่โยงเฝ้าป้อมตลอด ช่วงที่ต้องออกไปขี่จักรยานดูแลความเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกล้องวงจรปิดที่ป้อมยามและตามจุดต่าง ๆ ในหมู่บ้านดูแลแทน ส่วนที่พักก็ให้พักในสถานที่เดียวกับยามกะดึกของหมู่บ้านอีกคน
“เป็นยังไงครับ สนใจจะทำงานนี้ไหม”
กีรติเงยหน้ามองคนถามพร้อมกับพยักหน้าค่อย ๆ
“ก็สนใจอยู่หรอกครับ...แต่เอ่อ...ผมค่อนข้างกังวลถึงรายละเอียดของงานในบางข้อน่ะครับ”
เวธน์เลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะเปรยถาม
“คุณหมายถึงตรงส่วนไหนหรือครับ”
“เอ่อ...ตรงที่ให้ทิ้งป้อมแล้วไปขี่จักรยานตรวจ แล้วยกไม้กั้นเข้าออกเอาไว้ ...ถึงจะมีกล้องวงจรปิด ผมว่าก็ค่อนข้างอันตรายนะครับ”
กีรติตอบไปตามที่เขาคิดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเกรงใจเล็กน้อย
“อ้อ...ตรงนั้น ไม่มีปัญหาครับ ‘กล้องวงจรปิด’ ของหมู่บ้านเรามีประสิทธิภาพมากเสียจนคุณคาดไม่ถึงทีเดียวล่ะครับ”
เวธน์บอกยิ้ม ๆ แต่ในใจนึกชื่นชมความรอบคอบและหวังดีที่อีกฝ่ายมีให้คนในหมู่บ้านอยู่พอสมควร
“อ๊ะ! อย่างนั้นเองหรอกหรือครับ …กล้องวงจรปิดสมัยนี้พัฒนาจังเลยนะครับ ผมดูข่าวก็เห็นจับภาพโจรได้ชัดเจนตลอดเลย ที่หมู่บ้านนี่คงเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดเลยสินะครับ”
กีรติบอกพร้อมยิ้มแย้ม จนคนมองชะงักแล้วแอบไปกลั้นหัวเราะด้วยความขบขันต่อความไร้เดียงสาและมองโลกในแง่ดีเกินไปของอีกฝ่าย
“ถ้าอย่างนั้นคุณคงไม่มีปัญหาที่จะร่วมงานกับเราแล้วสินะครับ”
เวธน์หันมาถามอีกฝ่ายหลังจากพยายามปรับสีหน้าของตนให้เป็นปกติ
“ครับ! ผมสามารถร่วมงานได้ทุกเมื่อเลยครับ! อ๊ะ...ว่าแต่ทางนั้นจะสะดวกให้ผมทำงานตอนไหนล่ะครับ”
กีรติถามอย่างเกรงใจ ซึ่งเวธน์ก็ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ได้ทุกเมื่อ ทันทีที่คุณพร้อมเลยล่ะครับ”
กีรติถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาขอแผนที่หมู่บ้านจากเวธน์ แล้วจึงขออนุญาตอีกฝ่ายไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของที่มีอยู่ไม่มากจากที่เช่าเก่าซึ่งกำลังจะหมดสัญญาเช่าและจะต้องต่อสัญญาใหม่ในสิ้นเดือนนี้พอดี โดยทีแรกเวธน์นั้นอาสาจะขับรถไปส่งและรอรับกีรติมาเลย แต่ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ เพราะแค่เวธน์ยอมรับเขาเข้าทำงานโดยไม่ได้ตรวจสอบสัมภาษณ์อะไรมากมาย เขาก็รู้สึกเกรงใจและเป็นบุญคุณจะแย่อยู่แล้ว
“เพิ่งเคยได้คนแบบนี้มาร่วมงานแฮะ อยากรู้จริง ๆ ว่าพวกที่หมู่บ้านจะถูกใจไหม...ไม่สิ ก่อนจะทำให้คนในหมู่บ้านถูกใจได้ คุณก็ต้องฝ่าด่านหินอย่างเพื่อนร่วมงานกะดึกของคุณไปก่อนล่ะนะ คุณกีรติ!”
เวธน์พึมพำกับตัวเองอย่างอารมณ์ดีหลังอยู่ตามลำพังในห้องส่วนตัว เขาถูกใจนิสัยของกีรติเป็นอย่างมาก และเขาคิดว่าหากลองเขาถูกใจแล้ว คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านนั้น ก็คงชอบใจกีรติได้อย่างไม่ยากแน่นอน
… TBC …