เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)  (อ่าน 115722 ครั้ง)

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)


เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



----------------------------------------------

นิยายเก่า ๆ ที่ลงไว้ (จบแล้ว)
คุณตำรวจยอดรัก  ,  คุณอาที่รัก(แนวโชตะ)  , กรงรัก...พันธนาการใจ  , The Eden School  , ดวงใจจ้าวมังกร , ม่านราตรี ,   Miracle Café 
ลิขิตรักอสุรกาย    ,  เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ.    , ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว    , กรงรัก พันธนาการใจ (ฉบับรีเมก)


เรื่องสั้น
คุณพี่...ที่รัก   ,  สัญญา สายใย เชื่อมใจรัก


นิยายที่ยังไม่จบ
-
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2014 19:20:04 โดย Xenon »

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
แจ้งข่าว/พูดคุยก่อนอ่านค่ะ ^^"

สวัสดีค่ะ ห่างหายจากเล้าไปเสียนานทีเดียว ...และสำหรับคนที่รออ่านเรื่อง @The Devil Organization:รวมพลคนไล่ล่า ปัดต้องขออภัยที่ช่วงนี้หยุดเขียนเรื่องนั้นไปสักพัก เนื่องจากการเขียนสองเรื่องพร้อมกัน จะทำให้ปัดเข้าสู่สภาวะตันทั้งสองเรื่อง  ต้องแก้ไขด้วยการหยิบเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีวี่แววจะจบมาเขียนก่อน และสำหรับเรื่อง  "เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ." ปัดเคยเขียนจบไปแล้วเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่ฉบับนั้นเป็นฉบับที่มีข้อผิดพลาดเยอะ และเนื้อหาห้วน ไม่ต่อเนื่อง (เพราะเร่งเขียนให้จบร้อยหน้าเอสี่ในเวลาสามเดือนนั่นเอง /เป็นนิยายร่วมสนุกในบอร์ดส่วนตัวของเพื่อนค่ะ)  ดังนั้นปัดจึงหยิบพล็อตที่มีอยู่แล้วมารีไรท์ ให้สมบูรณ์กว่าเดิม แต่เอาจริง ๆ นับตั้งแต่ตอนที่ 6 เป็นต้นไป ปัดแทบจะรื้อพล็อตแต่ละตอนมาเขียนใหม่ เปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง จนกลายเป็นว่าเท่ากับได้ปั่นนิยายเพิ่มอีกเรื่อง   ดังนั้นจึงจำต้องหยุด The Devil ฯ  เนื่องจากถึงจะเปลี่ยนพล็อตย่อยของ คุณ รปภ. ยังไงก็ตาม แต่ธีมหลัก และตอนจบก็คิดว่าจะคงเดิมอยู่ดี  จึงนำเรื่องนี้มาให้เพื่อน ๆ ที่เล้าได้อ่านแก้คิดถึงกันไปก่อนค่ะ

ป.ล. จะลงวันละ 2 ตอน จนกว่าจะทันกับที่ปั่นทิ้งไว้นะคะ จะได้ตามอ่านกันไม่ตาลายมากไปนัก  และคาดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะหายค่ะ เพราะปัจจุบันก็มาถึงตอนปลาย ๆ เรื่องแล้วค่ะ

-----------------------------------------------------
สารบัญ:
 บทที่ 1 -  2
 บทที่ 3 -  4
 บทที่ 5 -  6
 บทที่ 7 -  8
 บทที่ 9 -  10
 บทที่ 11 -  12
 บทที่ 13 -  14
 บทที่ 15 -  16
 บทที่ 17 -  18
 บทที่ 19 -  20
 บทที่ 21 -  22
 บทที่  23
 บทที่  24
 บทที่  25
 บทที่  26
 บทที่  27
 บทที่  28- จบ

ตอนพิเศษ
 ตอนพิเศษ:คุณหมอ-คุณเลขา
 ตอนพิเศษ:คุณพ่อค้ากับข้าว-คุณพ่อมด/1
 ตอนพิเศษ:คุณพ่อค้ากับข้าว-คุณพ่อมด/2(จบ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2013 01:59:09 โดย Xenon »

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
นิยายเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีอิงปัจจุบัน สไตล์จะใกล้เคียงกับเรื่อง "ม่านราตรี" ของปัด ค่อนข้างอ่านง่าย ดำเนินเรื่องเรื่อย ๆ แนวชีวิตประจำวัน ในแต่ละวันค่ะ 

ใครที่ชอบอ่านอะไรเรื่อย ๆ สไตล์ ม่านราตรี หรือมิราเคิลคาฟ่ของปัด น่าจะชอบนะคะ ^^" แต่ถ้าไม่ถูกใจ ปัดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ ยังไงก็แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้นะคะ

 ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ
:pig4:


บทที่ 1
ยามกะเช้าคนใหม่



    “อะไรนะ! ลาออกหนีไปอีกแล้วรึ ...ทำไมปีนี้ถึงออกกันบ่อยจัง ตั้งแต่ต้นปีมานี่ก็เปลี่ยนไป 5 รายแล้วนะนั่น”

    น้ำเสียงบ่นอย่างเบื่อหน่ายดังขึ้นจากชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสวมแว่นตากรอบดำ  เส้นผมที่ดำยาวเลยบ่ามาเล็กน้อย ถูกปล่อยเอาไว้อย่างไม่สนใจมัดรวบ และแม้เจ้าตัวกำลังขมวดคิ้วยุ่งอยู่ก็ตาม แต่ใบหน้าคมคายใต้แว่นตา ก็ยังคงดูดีอยู่ไม่เปลี่ยน

    “ผมก็บอกคุณแล้วไง ‘คุณเจ้าของที่ดิน’ ว่าไม่ต้องจ้างคนเพิ่มมาอีกแล้ว ผมคนเดียวก็ดูแลได้”

    เสียงที่ขัดขึ้น ดังมาจากชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ด้วยกันในห้อง  เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ หุ่นดีราวกับนายแบบ ผมลองทรงสั้นนั้นสีดำขลับเหมือนชายไทยทั่วไป เพียงแต่นัยน์ตาสีเขียวมรกต บ่งบอกถึงความมีเชื้อชาติอื่นผสมอยู่ในสายเลือด และที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดบนใบหน้าของเจ้าตัว ก็เห็นจะเป็นหน้ากากสีทองครึ่งหน้า ที่เจาะให้เห็นเฉพาะดวงตาโผล่มาเท่านั้น

    “หวังว่าเรื่องที่ทำให้พวกนั้นลาออก คุณคงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนะ…คุณแฟนธอม”

    คนถูกพาดพิงยักไหล่นิด ๆ แล้วจึงเปรยตอบเรียบ ๆ

    “ก็อาจจะ... ก็หน้าตาผมมันเป็นเสียแบบนี้นี่”

    คำพูดของคนตรงหน้าทำให้คนฟังถอนหายใจแล้วยกมือโบกไปมา

    “ไม่เอาน่า ผมไม่ได้จะพูดถึงเรื่องนั้น คุณก็น่าจะรู้ดี”

    ใบหน้าใต้หน้ากากที่เคยเรียบเฉย ยกยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงเอ่ยตอบ

    “ผมเข้าใจดี ...แต่คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วนะ ‘คุณเจ้าของที่ดิน’ ว่าที่นี่น่ะ ถ้าไม่ใช่คนประสาทแข็ง หรือพวกเดียวกัน ก็มีแต่พวกมองโลกในแง่ดีสุด ๆ นั่นล่ะ ถึงจะอยู่ได้ราบรื่นน่ะ”

    คนฟังถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารับรู้

    “เอาเถอะ...ยังไงคนที่หนีไปก่อนครบกำหนดสัญญาทดลองงาน ก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองจ่ายเงินให้อยู่แล้ว ...ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปหาคนมาใหม่แล้วกัน ช่วงนี้คุณก็รับไปเองก่อนนะ”

    “จริง ๆ ก็ไม่ต้องไปหาใหม่ให้ยุ่งยากหรอก  ผมแค่คนเดียวก็ตรวจตราดูแลหมู่บ้านนี้ได้”

    ชายสวมหน้ากากยังคงยืนยันความเห็นของตน  เพราะคิดว่าถึงจะหาคนใหม่มา ก็คงจะอยู่ได้ไม่นานไปกว่ารายอื่น ๆ นัก

    “ไม่ได้ ๆ ต่อให้เป็นคุณ ถ้าต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ได้พักผ่อน มันก็จะแย่เอานะ”

    อีกฝ่ายรีบค้าน แล้วจ้องมองด้วยสายตาหวังดีและเป็นห่วง จนทำให้คนที่เตรียมจะแย้งต้องยักไหล่และถอนหายใจเบา ๆ

    “แม้หน้าที่นี้อาจจะดูไม่ค่อยจำเป็นต่อหมู่บ้านของเราสักเท่าไหร่ แต่มันก็ถือเป็นหนึ่งในคำสั่งเสียของคุณเจ้าของที่ดินคนเก่าที่ผมจำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...”

    พอบอกออกไปเช่นนั้นก็เห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มสวมแว่นจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตามมา

     “...แต่เอาเถอะ ถ้าหาคนไม่ได้จริง ๆ เดี๋ยวผมจะหาอาสาสมัครพวกในหมู่บ้านมาคอยช่วยเปลี่ยนเวรช่วงเช้ากับคุณ หรืออย่างดีก็ทิ้งเวรเช้าไปเลย อาศัยแค่ ‘ระบบรักษาความปลอดภัย’ ของหมู่บ้านอย่างเดียวก็พอ แล้วไปเน้นดูแลแค่เวรกลางคืนแทน”

    คำพูดนั้นทำให้คนฟังพยักหน้ารับรู้ พร้อมรับคำอย่างพอใจ

    “ถ้าได้อย่างหลังนั่นก็จะดีมาก ผมเองก็เบื่อที่จะต้องคอยปั้นหน้าเฉย รับมือพวกขี้สงสัยที่เข้ามาทำงานด้วยกันแล้วล่ะนะ”

    “แต่ผมว่า แค่พวกนั้นเห็นแววตาคุณเขาก็ไม่กล้าซักไซ้อะไรแล้วล่ะ”

    อีกฝ่ายแย้งทันควัน ทำให้คนฟังชะงักแล้วมีสีหน้าติดบึ้งนิด ๆ จนคนพูดนึกขำ ก่อนจะโบกมือไปมาขอโทษ พร้อมกับเดินไปแถวประตูห้อง หยิบเสื้อสูทที่แขวนไว้บนราวแขวนแถวนั้น มาสวมใส่ทับเสื้อเชิ้ตของตน พลางหันมาเอ่ยอำลา

    “ถ้าอย่างนั้นผมไปล่ะ แล้วจะรีบหาเพื่อนคู่หูคนใหม่มาให้ไว ๆ นะ”

    ชายสวมหน้ากากมองตามคนในชุดสูทที่เดินออกไปจากห้องพักของเขา แล้วถอนหายใจยาวอีกครั้ง เจ้าตัวเดินไปที่โซฟามุมห้อง ทิ้งตัวลงนั่ง แล้วจึงนิ่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

    ‘เหอะ! คู่หูคนใหม่อย่างนั้นหรือ ไว้ให้เจ้าคนใหม่ทนอยู่ได้นานเกินอาทิตย์เสียก่อนดีกว่า ถึงจะหวังเรื่องคู่หูได้บ้าง  เฮ้อ! แถมพวกในหมู่บ้านนี้ยิ่งเห่อคนใหม่อยู่ด้วยสิ  ไม่ต้องถึงกับกลั่นแกล้งกันหรอก  แค่บางรายโผล่หน้าออกมายินดีต้อนรับแบบลืมตัวนิดหน่อย  แค่นั้นก็ทำเอาแผ่นแนบกันแทบไม่ทันแล้ว!’

     ชายหนุ่มสวมหน้ากากส่ายหน้าไปมาค่อย ๆ คล้ายเอือมระอา ต่อพฤติกรรมของสมาชิกในหมู่บ้าน ที่เขามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลอยู่ แล้วจึงจัดแจงเอนกายล้มตัวลงนอนไปบนโซฟายาวตัวเดิม  เนื่องจากช่วงเวลากลางวันเป็นเวลาพักของเขา และผู้ซึ่งมีหน้าที่ตรวจดูแลความเรียบร้อยของหมู่บ้านในช่วงเช้านั้น ก็เผ่นหนีไปตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้ว 

     ดังนั้นวันนี้ในช่วงเช้าจนถึงเย็น ที่ป้อมยามรักษาการณ์ จึงมีแต่เพียงระบบรักษาความปลอดภัย ที่หมู่บ้านนี้ได้ติดตั้งเอาไว้คอยดูแลตรวจตราสิ่งผิดปกติในหมู่บ้านแทน  ซึ่งสำหรับแฟนธอมแล้ว เขาเองคิดว่าเจ้าสิ่งประดิษฐ์ไร้ชีวิตที่ว่านั่น มันยังมีประโยชน์มากเสียกว่าบรรดามนุษย์ที่จะคิดมาทำหน้าที่ด้วยกันพร้อมกับมัน ในช่วงเวรยามเช้านี้เสียอีก



    ณ เวลาเดียวกันอีกมุมหนึ่งในเมืองหลวงของประเทศไทย ชายหนุ่มชื่อกีรติ กำลังนั่งรับฟังคำขอโทษจากเจ้าของร้านซุปเปอร์มาเก็ตที่เขาทำงานอยู่อย่างลำบากใจ  เพราะไม่อยากเห็นอีกฝ่ายรู้สึกผิดดังเช่นที่เป็นอยู่

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจดี  อย่าขอโทษกันแบบนี้เลยครับ”

    “หนูกีไม่โกรธป้าจริง ๆ นะ ที่ป้าต้องให้หนูออกจากงานแบบนี้”

    กีรติยกยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ แล้วตอบกลับไป

    “ไม่หรอกครับ ผมเข้าใจความลำบากของคุณป้าดี ตอนนี้ร้านของเราก็แทบไม่มีคนเข้า คุณป้าก็ต้องแบกรับเรื่องปัญหาค่าใช้จ่าย และค่าจ้างของผมมานานหลายเดือน การที่จะปิดตัวลงแล้วขายมันไปเพื่อใช้หนี้ให้หมด ผมเองก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรแล้วล่ะครับ”

    “โถ...หนูกีของป้า”

    หญิงท้วมวัยกลางคนตรงหน้าเอามือปิดปากแล้วอุทานพึมพำอย่างทั้งสงสารและชื่นชมต่อความเป็นคนดีอย่างไร้ขีดจำกัดของอีกฝ่าย นี่ถ้าไม่เพราะมีหนี้สินมหาศาลที่ทำให้ต้องตัดใจขายร้านมาชดใช้ เธอคงตัดสินใจจ้างชายหนุ่มหน้าเด็กตรงหน้าเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยเด็กดีขยันทำงานแบบนี้หลุดมือไปง่าย ๆ แน่

    “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ร้านก็จะปิดตัวลงแล้วสินะครับ”

    กีรติพึมพำพลางมองไปรอบ ๆ ร้านค้าที่ว่างเปล่าไร้เงาลูกค้าอย่างรู้สึกผูกพันระคนเสียดาย

    “ใช่จ้ะ  ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น”

    “แล้วคุณป้าจะทำยังไงต่อกับข้าวของพวกนี้ล่ะครับ เลหลังขายหรือครับ”

    กีรติถามอย่างห่วงใย ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบรับ

    “จ้ะ มีคนจะมาเหมาไป และจัดการเอารถมารับถึงที่ เห็นว่าจะเข้ามาเช้าพรุ่งนี้น่ะจ้ะ”

    กีรติพยักหน้ารับรู้ จากนั้นคุณป้าเจ้าของร้านก็บอกให้ชายหนุ่มปิดร้านเลย  และเอ่ยลากับพนักงานประจำของเธออย่างอาลัยอาวรณ์ ซึ่งกีรติก็ไหว้อำลาอีกฝ่ายและขอบคุณหญิงวัยกลางคนในเรื่องที่จ่ายค่าจ้างเดือนสุดท้ายให้เขาเต็มเดือน ทั้งที่เดือนนี้เขาทำงานได้แค่สิบกว่าวันเท่านั้น

       

    กีรติเดินเรื่อย ๆ กลับห้องเช่าของเขาอย่างไม่รีบร้อน และเที่ยวมองไปตามร้านรวงข้างทางว่ามีการประกาศรับเข้าทำงานติดเอาไว้บ้างหรือไม่  ทว่าพอกำลังจะเดินไปต่อ เขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมีเด็กวัยรุ่นอายุราว 17- 18 ปี วิ่งพรวดพราดออกมาจากร้านค้าตรงหน้าจนเกือบชนเขา

    “ถอยไปสิวะ! เกะกะจริง!”

    อีกฝ่ายตวาดใส่ ยังไม่ทันที่กีรติจะเอ่ยปากขอโทษ คนพูดก็วิ่งแจ้นหนีไปทันที ที่มีชายอีกคนวิ่งออกมาจากร้าน

    “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยจับขโมยนั่นที เร็วเข้า!”

     กีรติชะงัก เท้าเร็วกว่าความคิด เขารีบวิ่งไล่กวดร่างสูงกว่าของคนที่ชนตนไปจนทัน 

    “น้องชาย! ทำแบบนี้ไม่ดีนะ กลับตัวกลับใจเอาของไปคืนเขาเถอะ เจ้าของเขาอาจจะให้อภัยก็ได้!”

    โจรวัยรุ่นสะดุ้งที่กีรติวิ่งมาทันเขา ก่อนจะได้สติแล้วตวาดใส่อย่างหงุดหงิด

    “หุบปากนะไอ้เด็กเวร! ตัวกะเปี๊ยกอย่างแก ยังมีหน้ามาเรียกคนอื่นว่าน้องอีกหรือไงวะ!”

    ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวทำท่าเหมือนจะหันมาชกใส่ ทำให้กีรติสะดุ้งโหยง ด้วยความลืมตัวและสัญชาตญาณป้องกันตัวซึ่งถูกฝึกปรือมาอย่างดี ก็ทำให้เขาเบนหน้าหลบ แล้วชกท้องอีกฝ่ายสวนกลับไปเต็มแรง จนคนตรงหน้าตาถลนด้วยความจุก พร้อมกับทรุดกายลงไปกองกับพื้นพูดอะไรไม่ออก

    “อ๊ะ! แย่ละ ลืมตัวอีกแล้วเรา!”

    กีรติอุทานด้วยความตกใจ แล้วรีบคุกเข่าดูอาการของคนที่เขาเพิ่งชกไปเต็มแรงเมื่อครู่

    “อ๊ะนั่น! เจอตัวแล้ว!”

    เสียงโหวกเหวกโวยวายจากชายวัยกลางคน และชายอีกสองคนที่วิ่งตามมา ทำให้กีรติหันไปมองอย่างตกใจ ซึ่งเขาจำได้ว่าชายวัยกลางคนผู้นั้นคือคนที่วิ่งออกมาจากร้าน และตะโกนให้ช่วยจับโจรนั่นเอง

    “สลบเหมือดเลย ฝีมือเธอสินะเจ้าหนู ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ!”

    ชายที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของร้าน เอ่ยขอบคุณกีรติยกใหญ่ 

    “ไม่เป็นไรครับ มันเป็นเรื่องปกติที่ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว”

    กีรติตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม ยิ่งทำให้คนตรงหน้ารู้สึกชื่นชมคนพูดมากยิ่งขึ้น ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้

    “เจ้าหนู ...เดี๋ยวแวะไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจด้วยกันกับลุงหน่อยได้ไหม”

    ชายวัยกลางคนถามกีรติ ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ายิ้มรับอย่างว่าง่าย

    “ก็ได้ครับ ผมว่างพอดี”

    “ดี ๆ ขอบใจมาก เอ้า! แบงค์ เดี๋ยวลูกช่วยแบกหมอนี่ไปโรงพักด้วย ส่วนเจ้าบอยเอาของไปคืนที่ร้าน แล้วไปบอกให้แม่แกปิดร้านได้เลย วันนี้ไม่ต้องขงต้องขายต่อแล้ว!”

    ชายคนเดิมหันไปสั่งวัยรุ่นอีกสองคนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกัน จากนั้นจึงเดินนำไปยังโรงพักที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก 

   

     ทั้งตำรวจและผู้ต้องหาซึ่งฟื้นตัวแล้ว รวมไปถึงชายเจ้าของร้านและลูกชายของเขาอีกคน ต่างพากันนิ่งอึ้งและตกตะลึงไปตาม ๆ กัน เมื่อกีรติแนะนำตัวเขาเองว่าอายุ 20 ปี  ด้วยส่วนสูงเพียงแค่ 155 เซนติเมตร รวมไปถึงใบหน้าราวเด็กหนุ่มอายุไม่น่าจะเกิน 15 – 16 ปี ทำให้นายตำรวจผู้นั้นถึงกับเอ่ยปากขอดูบัตรประชาชนของกีรติเลยทีเดียว

     และเมื่อให้ปากคำเรียบร้อย ต่างฝ่ายก็เตรียมแยกย้ายกันไป ทว่ากีรตินั้นชะงักเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงทุ้มของใครบางคนที่ดังมาจากทางด้านหลังของเขา

    “เอาเป็นว่าถ้านายว่างก็ช่วยหาคนให้ฉันหน่อยแล้วกัน เอาใครก็ได้ที่น่าจะอึดกว่ารายก่อน ประวัติในอดีตไม่มีปัญหา ขอให้ปัจจุบันกลับตัวกลับใจเป็นใช้ได้ เดี๋ยวนี้หาคนทำงานทน ๆ ยากจริง”

    กีรติเหลือบไปมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะแปลกใจในคำพูดของอีกฝ่าย แล้วเขาก็ได้พบกับชายใส่สูทดำ สวมแว่นตา ท่าทางภูมิฐาน กำลังยืนคุยกับตำรวจอีกคนที่มียศเป็นถึงร้อยตำรวจเอกเลยทีเดียว

    “เออ ๆ รู้แล้วน่า! ว่าแต่ทำไมนายถึงไม่ไปที่บริษัทจัดหาคนงานแทนวะ มาหาคนไปทำงานด้วยที่โรงพัก เดี๋ยวใครก็นึกว่าฉันเป็นเอเยนต์จัดหาคนส่งยาบ้าหรอก”

    นายตำรวจคนนั้นโพล่งอย่างเบื่อหน่าย แต่คนฟังกลับยักไหล่นิด ๆ

    “ก็ฉันอยากได้พวกอึด ทน และพอมีฝีมือป้องกันตัวเองได้บ้างนี่ … นายเองก็รู้จักคนพวกนี้อยู่มากไม่ใช่หรือไง”

    “ก็รู้จักอยู่หรอก แต่กลัวจะไปก่อคดีให้แทนทำงานน่ะสิวะ”

     คนฟังยกยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงตอบกลับอย่างมั่นใจ

    “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ต่อให้เป็นโจรห้าร้อยมาจากไหน ก็ไม่มีทางย่องยกเค้าคนในหมู่บ้านนั้นได้แน่นอน”

     นายตำรวจคนเดิมขมวดคิ้วยุ่งสักพัก ก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ ตามมา

       “เฮ้อ! เอาเถอะ พวกพ้นโทษแล้วนิสัยดี ก็พอจะมีให้ติดต่อได้บ้าง เดี๋ยวจะตามตัวให้แล้วกัน  หือ...มีอะไรหรือเจ้าหนู มองทำไมกัน”

    ผู้กองหนุ่มซึ่งบังเอิญหันไปเห็นกีรติ เอ่ยทักขึ้นอย่างสงสัย ทำเอากีรติสะดุ้งโหยง แล้วรีบขอโทษขอโพยยกใหญ่

    “อ๊ะ! ขอโทษครับ! คือผมได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหาคนทำงาน ก็เลยเผลอหันมามอง เพราะผมเองก็กำลังหางานอยู่น่ะครับ!”

    ทั้งคู่มองหน้าคนพูดอย่างแปลกใจ แล้วเป็นผู้กองหนุ่มที่เป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน

    “เธอนี่นะกำลังหางานทำ อายุเท่าไหร่ เกิน 15 แล้วหรือยัง”

    ยังไม่ทันที่กีรติจะตอบ ตำรวจคนที่พาผู้ต้องหาไปฝากขังไว้ และได้ยินเข้า ก็เดินมาสะกิดแล้วบอกบางอย่างกับผู้กองหนุ่ม

    “ผู้กอง ๆ เขาน่ะอายุ 20 แล้วนา แถมยังจัดการจับโจรที่ตัวโตกว่าตัวเองซะหมอบราบคาบ ยังนั่งจุกอยู่ในห้องขังอยู่เลยนั่น”

    คนฟังเบิกตากว้าง แล้วชี้ไปที่กีรติอย่างลืมตัว

    “ตัวกะเปี๊ยกเท่านี้นี่นะ อายุ 20 น่ะ!”

    นายตำรวจยศต่ำกว่ากลืนน้ำลายนิด ๆ เพราะกลัวว่ากีรติจะไม่พอใจ แต่เมื่อมองไปก็เห็นอีกฝ่ายยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ถือสาให้พวกเขาแทน

    “เสียมารยาทน่าพล ไปชี้หน้าเขาแบบนั้นได้ยังไง”

    ชายใส่สูทสวมแว่นเอ่ยเตือนเพื่อนของเขา ทำให้คนที่เผลอชี้นิ้วชะงัก แล้วยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้

    “ง่า...ขอโทษที ฉันลืมตัวไป”

    “ไม่เป็นไรครับ ผมชินเสียแล้ว ยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ ที่ยืนแอบฟังพวกคุณทั้งคู่คุยกัน”

    กีรติขอโทษทั้งสองคน และทำท่าจะขอตัวกลับ แต่ก็ถูกชายสวมแว่นรั้งเอาไว้เสียก่อน

    “เดี๋ยวสิ...คุณกำลังหางานอยู่สินะ”

    กีรติพยักหน้าตอบรับ แล้วรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ

    “สนใจงานยามไหม แต่มีรายละเอียดแตกต่างจากยามทั่วไปสักหน่อยนะ แต่ถ้าคุณรับได้ ผมก็ยินดีจ้างคุณทำงานด้วย”

    ชายหนุ่มตัวเล็กตาเบิกกว้างด้วยความยินดี เขารีบพยักหน้าแล้วตอบกลับไป

    “สนใจครับ! ว่ารายละเอียดได้เลยครับ ผมรับได้ทุกอย่าง!”

    คนฟังยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงเอ่ยตอบอีกฝ่าย

    “ถ้าได้แบบนั้นก็จะดีกับผมมาก... ผมชื่อเวธน์ แล้วคุณล่ะ”

    “กีรติครับ”

    ชายสวมแว่นพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงเอ่ยต่อ

    “คุณกีรติ ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยเรื่องเงื่อนไขกันก่อนดีกว่า  อ้อ! พล ฉันยังต้องการคนงานสำรองอยู่นะ เผื่อรายนี้จะอยู่ได้ไม่นาน ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาคนต่ออีก”

    คนอื่น ๆ บริเวณนั้น พากันกลืนน้ำลายลงคอเมื่อได้ยิน ยกเว้นกีรติที่แม้จะชะงักในตอนแรก ทว่าชายหนุ่มกลับเอ่ยตามมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง

    “คุณเวธน์รอบคอบจังเลยนะครับ”

    แววตาและสีหน้าที่แสดงถึงความชื่นชมจากใจจริงเช่นคำพูด ทำให้เวธน์เองก็ถึงกับเงียบกริบไปไม่แพ้คนอื่น ก่อนที่สักพักจะมีเสียงหัวเราะหลุดออกมาเบา ๆ แล้วจึงตามมาด้วยรอยยิ้มในแบบที่เอกพลผู้เป็นเพื่อนสนิทถึงกับเสียวสันหลังวาบ

    “ชักชอบคุณแล้วสิ คุณกีรติ ...หวังว่าเราคงได้ทำงานร่วมกันนาน ๆ นะครับ”

    กีรติยิ้มตอบโดยไม่นึกคลางแคลงใจอันใด จากนั้นเวธน์จึงชักชวนให้อีกฝ่ายขึ้นรถตรงไปที่สำนักงานส่วนตัวของเขาด้วยกัน เพื่อจะได้นำเอกสารเงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ในการสมัครงานให้กีรติได้อ่านทบทวน ก่อนจะตัดสินใจตกลงเซ็นสัญญาเข้าทำงานนั่นเอง

   

    เวธน์นำรถยนต์มาจอดหน้าอาคารตึกแถวสามชั้นแห่งหนึ่ง ซึ่งตัวอาคารนั้นตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ย่านชานเมือง กีรติลงจากรถแล้วมองอาคารตรงหน้าอย่างนึกทึ่ง เพราะสี่คูหาที่เปิดติดกันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าของเดียวกันทั้งสิ้น ชั้นล่างสุดของทั้งสี่คูหาเป็นโชว์รูมกระจกใสมีเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์แปลก ๆ มากมายวางขายอยู่เต็มไปหมด   

    เวธน์พากีรติเข้าไปในอาคาร ขึ้นลิฟต์ไปบนชั้นสามที่ห้องทำงานส่วนตัวของเขา ระหว่างทางพนักงานที่เห็นต่างพากันยกมือไหว้ทำความเคารพชายหนุ่มกันเป็นแถว แสดงให้เห็นว่าเวธน์นั้นน่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูงแน่

    “นั่งสิ....ส่วนนี่ก็เอกสาร รายละเอียด ข้อตกลงและข้อห้ามต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน”

    กีรติพยักหน้ารับรู้ เขานั่งลงตรงเก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะทำงานส่วนตัวของเวธน์ แล้วหยิบเอกสารปึกใหญ่มานั่งอ่านอย่างสนใจ งานของเขาที่จะต้องทำคืองาน รปภ.ประจำกะเช้าของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง น่าแปลกที่รับเพียงแค่คนเดียว และไม่จำเป็นต้องอยู่โยงเฝ้าป้อมตลอด ช่วงที่ต้องออกไปขี่จักรยานดูแลความเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกล้องวงจรปิดที่ป้อมยามและตามจุดต่าง ๆ ในหมู่บ้านดูแลแทน ส่วนที่พักก็ให้พักในสถานที่เดียวกับยามกะดึกของหมู่บ้านอีกคน 

    “เป็นยังไงครับ สนใจจะทำงานนี้ไหม”

    กีรติเงยหน้ามองคนถามพร้อมกับพยักหน้าค่อย ๆ

    “ก็สนใจอยู่หรอกครับ...แต่เอ่อ...ผมค่อนข้างกังวลถึงรายละเอียดของงานในบางข้อน่ะครับ”

    เวธน์เลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะเปรยถาม

    “คุณหมายถึงตรงส่วนไหนหรือครับ”

    “เอ่อ...ตรงที่ให้ทิ้งป้อมแล้วไปขี่จักรยานตรวจ แล้วยกไม้กั้นเข้าออกเอาไว้ ...ถึงจะมีกล้องวงจรปิด ผมว่าก็ค่อนข้างอันตรายนะครับ”

    กีรติตอบไปตามที่เขาคิดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเกรงใจเล็กน้อย

    “อ้อ...ตรงนั้น  ไม่มีปัญหาครับ ‘กล้องวงจรปิด’ ของหมู่บ้านเรามีประสิทธิภาพมากเสียจนคุณคาดไม่ถึงทีเดียวล่ะครับ”

    เวธน์บอกยิ้ม ๆ แต่ในใจนึกชื่นชมความรอบคอบและหวังดีที่อีกฝ่ายมีให้คนในหมู่บ้านอยู่พอสมควร

    “อ๊ะ! อย่างนั้นเองหรอกหรือครับ …กล้องวงจรปิดสมัยนี้พัฒนาจังเลยนะครับ ผมดูข่าวก็เห็นจับภาพโจรได้ชัดเจนตลอดเลย ที่หมู่บ้านนี่คงเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดเลยสินะครับ”

    กีรติบอกพร้อมยิ้มแย้ม จนคนมองชะงักแล้วแอบไปกลั้นหัวเราะด้วยความขบขันต่อความไร้เดียงสาและมองโลกในแง่ดีเกินไปของอีกฝ่าย

    “ถ้าอย่างนั้นคุณคงไม่มีปัญหาที่จะร่วมงานกับเราแล้วสินะครับ”

    เวธน์หันมาถามอีกฝ่ายหลังจากพยายามปรับสีหน้าของตนให้เป็นปกติ

    “ครับ! ผมสามารถร่วมงานได้ทุกเมื่อเลยครับ! อ๊ะ...ว่าแต่ทางนั้นจะสะดวกให้ผมทำงานตอนไหนล่ะครับ”

    กีรติถามอย่างเกรงใจ ซึ่งเวธน์ก็ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ

    “ได้ทุกเมื่อ ทันทีที่คุณพร้อมเลยล่ะครับ”

    กีรติถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาขอแผนที่หมู่บ้านจากเวธน์ แล้วจึงขออนุญาตอีกฝ่ายไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของที่มีอยู่ไม่มากจากที่เช่าเก่าซึ่งกำลังจะหมดสัญญาเช่าและจะต้องต่อสัญญาใหม่ในสิ้นเดือนนี้พอดี  โดยทีแรกเวธน์นั้นอาสาจะขับรถไปส่งและรอรับกีรติมาเลย แต่ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ เพราะแค่เวธน์ยอมรับเขาเข้าทำงานโดยไม่ได้ตรวจสอบสัมภาษณ์อะไรมากมาย เขาก็รู้สึกเกรงใจและเป็นบุญคุณจะแย่อยู่แล้ว

    “เพิ่งเคยได้คนแบบนี้มาร่วมงานแฮะ อยากรู้จริง ๆ ว่าพวกที่หมู่บ้านจะถูกใจไหม...ไม่สิ ก่อนจะทำให้คนในหมู่บ้านถูกใจได้ คุณก็ต้องฝ่าด่านหินอย่างเพื่อนร่วมงานกะดึกของคุณไปก่อนล่ะนะ คุณกีรติ!”

    เวธน์พึมพำกับตัวเองอย่างอารมณ์ดีหลังอยู่ตามลำพังในห้องส่วนตัว เขาถูกใจนิสัยของกีรติเป็นอย่างมาก และเขาคิดว่าหากลองเขาถูกใจแล้ว คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านนั้น ก็คงชอบใจกีรติได้อย่างไม่ยากแน่นอน


… TBC …
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2013 19:07:14 โดย Xenon »

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
บทที่ 2
หมู่บ้านมีสุข



     กีรติมองปากทางเข้าหมู่บ้านอย่างสนอกสนใจ เพราะที่นี่มีสวนสาธารณะอยู่สองข้างฝั่งถนน ฝั่งหนึ่งเป็นลานปูนกว้างกลางพื้นที่สีเขียวมีทั้งแป้นบาสและโกลฟุตบอลเล็ก ๆ วางอยู่ แสดงว่าคงเป็นลานกีฬาของหมู่บ้านเป็นแน่  ส่วนอีกฝั่งนั้นเป็นต้นไม้ใหญ่ปลูกไปตามถนนทางเดินที่ล้อมบ่อน้ำขนาดย่อม มีเก้าอี้นั่งพักผ่อนตั้งอยู่เป็นระยะ

    หมู่บ้านมีสุข เป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก และอยู่ลึกเข้าไปในซอยห่างจากถนนใหญ่ราวห้าร้อยเมตร  มีทั้งหมด 30 หลังคาเรือน แบ่งเป็นสามซอยย่อย ลักษณะที่ดินเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า แวดล้อมด้วยสวนผลไม้ทั้งซ้ายขวาและฝั่งตรงข้าม จนทำให้หมู่บ้านเหมือนจะตั้งอยู่โดดเดี่ยวในซอยตันแห่งนี้

     ป้อมยามสีขาวโดดเด่นเบื้องหน้า มีขนาดกว้างพอคนสองคนเข้าไปนั่งพักด้านในได้สบาย ๆ  กีรติเดินมาถึงป้อมก่อนจะหยุดมองบ้านหลังแรกทางด้านซ้ายมือของถนนเมนกลาง ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้ที่ไร้กำแพง มีก็แต่ต้นไม้ที่ตัดแต่งทรงพุ่มล้อมรอบ และป้ายขนาดใหญ่ปักไว้ตรงสวนหย่อมด้านหน้า เขียนว่า ‘สำนักงานหมู่บ้านมีสุข’

     “ที่นี่เองสินะ ที่อยู่ของเรา”

    กีรติพึมพำและมองบ้านพักตรงหน้าอย่างนึกทึ่ง สภาพห้องรับแขกกึ่งห้องทำงานภายในตัวบ้านสามารถมองเห็นได้จากด้านนอก เพราะทั้งประตูและบานกระจกล้วนเป็นกระจกใสบานใหญ่ อย่างจงใจโชว์ให้เห็นความหรูหราภายในนั้น ชายหนุ่มสูดลมหายใจนิด ๆ เขาวางกระเป๋าเสื้อผ้าที่หิ้วมาด้วยลงกับพื้น แล้วจึงตัดสินใจกดออดหน้าประตู พลางยืนรออยู่สักพัก ก็มีเสียงเปิดประตูจากห้องหนึ่ง พร้อมกับใครบางคนที่ก้าวออกมา

    “หือ...เด็กหรือ... หลงทางมาหรือไง”

     ชายสวมหน้ากากพึมพำกับตัวเอง พลางเดินงัวเงียออกมาเปิดประตู เขาจ้องกีรตินิ่ง ซึ่งกีรติที่เผลอจ้องตอบก็ชะงัก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ แล้วจึงยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่าย

    “สวัสดีครับ ผมชื่อกีรติครับ มาทำงานเป็นยามที่นี่ ...อะ นี่ครับ หนังสือสัญญาที่ผมเซ็นกับคุณเวธน์ก่อนหน้านั้น”

    กีรติบอกพร้อมกับล้วงเอกสารในกระเป๋าสะพายของตนส่งให้ ทำเอาแฟนธอมที่รับมาขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้รับรู้ถึงอายุจริงของชายหนุ่ม แต่หน้ากากครึ่งท่อนบนที่สวมใส่ ก็ทำให้กีรติไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย

    “หมอนั่น...คุณเวธน์เขาบอกให้นายมาทำงานที่นี่ได้เลยอย่างนั้นหรือ”

    “ง่า...ใช่ครับ แล้วก็ให้ย้ายมาพักได้เลย  เอ่อ...สะดวกหรือเปล่าครับ”

    กีรติถามอย่างนึกเกรงใจ เพราะดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะไม่รู้เรื่องที่เขาจะมาเลยสักนิด

    “มันก็สะดวกอยู่หรอก ห้องว่างก็มีอยู่แล้ว แต่...เฮ้อ! จะบอกกันก่อนสักคำก็ไม่ได้นะหมอนั่น คงเห็นเป็นเรื่องสนุกสินะ  มันน่าเตะนักเชียว!”

    แฟนธอมพึมพำอย่างหงุดหงิด แต่พอเห็นสีหน้ากังวลของอีกฝ่าย เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ และเชิญให้กีรติเข้ามาในสำนักงานหมู่บ้านแทนที่จะยืนคุยอยู่ข้างนอก



    แฟนธอมพากีรติเดินตรงไปนั่งที่โซฟา ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเงาสะท้อนของตนเองในกระจก แล้วก็ต้องเกิดความประหลาดใจขึ้นมาทันที เนื่องจากตั้งแต่เจอหน้ากัน กีรติยังไม่แสดงถึงสีหน้าตกใจ หรือหวาดกลัวอันใดแม้แต่น้อย ทั้งที่ก็ได้เห็นหน้ากากของเขาชัดเจนเช่นนี้

    “เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

    กีรติถามอย่างเกรงใจ เมื่อเห็นคนตรงหน้าเขาเงียบไป

    “ไม่กลัวหรือแปลกใจบ้างหรือ ที่เห็นฉันเป็นแบบนี้น่ะ”

    แฟนธอมถามออกไปตามตรง แล้วจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ทำเอากีรติชะงักไปชั่วครู่ แล้วจึงอุทานเบา ๆ ตามมา

    “อ้อ! เรื่องหน้ากากหรือครับ  เอ่อ...คือคุณไม่ได้เพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงแฟนซีหรือครับ”

    คนฟังนิ่งอึ้ง เขาพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเต็มที่ เพราะเท่าที่สังเกต ก็ดูเหมือนกีรตินั้นคิดอย่างที่พูดเอาไว้จริง ๆ

    “ฉันใส่หน้ากากแบบนี้มานานแล้ว...ไม่เกี่ยวกับงานเลี้ยงอะไรนั่นสักนิด”

    แฟนธอมบอกด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น แต่คนฟังกลับเอียงคอเล็กน้อย พลางจ้องมองหน้าแล้วยิ้มตอบ

    “หรือครับ ขอโทษนะครับที่เข้าใจผิด”

    “...แค่นั้นหรือ ทำไมนายถึงไม่แปลกใจหรืออยากรู้สาเหตุของมันบ้างล่ะ!”

    คำถามที่เผลอหลุดปากไปอีกครั้ง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมกีรติถึงไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างคนอื่นที่ผ่านมาเคยเป็น ทว่าพอได้ยินคำถามนั้นกีรติกลับแย้มยิ้มอ่อนโยนให้เขา แล้วจึงย้อนถามกลับมา

    “คุณเล่าได้หรือครับ”

    “มันก็...”

    แฟนธอมชะงัก เพราะไม่คิดว่ากีรติจะถามกลับเช่นนั้น เขาอึกอักและนิ่งเงียบไป จนอีกฝ่ายถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มมอบให้กับเขาเช่นเดิม

    “ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ผมก็ไม่คิดคาดคั้นหรอกครับ ไม่ว่าใครก็ต้องมีความลับที่ไม่อยากให้คนอื่นแตะต้องกันคนละอย่างสองอย่างอยู่แล้ว”

    แฟนธอมเงียบไป แล้วถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจแนะนำตัวกับคนตรงหน้า

    “ฉันชื่อแฟนธอม ทำหน้าที่เป็นยามกะดึก ยินดีที่ได้รู้จักนะ...กีรติ”

    “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ คุณแฟนธอม”

    กีรติยื่นมือของเขาไปสัมผัสมือของอีกฝ่ายอย่างเต็มใจ หลังจากนั้นแฟนธอมจึงพากีรติไปยังห้องพักที่ว่างอยู่อีกห้อง และแนะนำว่า ในบ้านพักหลังนี้ แบ่งออกเป็นห้องนอนทั้งหมด 2 ห้อง ซึ่งก็คือห้องของเขาและของกีรติ ห้องน้ำมี 2 ห้อง ห้องครัว 1 ห้อง ห้องรับแขกซึ่งถูกดัดแปลงเป็นสำนักงานหมู่บ้านอีก 1 ห้อง โดยเวธน์ที่เป็นเจ้าของหมู่บ้านและเจ้าของที่ดินละแวกนี้ นาน ๆ จะเข้ามาเช็คเรื่องค่าใช้จ่ายในด้านสาธารณูปโภคของหมู่บ้านสักครั้ง ส่วนใหญ่ก็จะโอนให้เลขาส่วนตัวทำงานแทน ซึ่งเจ้าตัวก็เพิ่งเลิกงานกลับไปก่อนกีรติจะมาได้สักพัก



    “วันนี้ก็จะห้าโมงเย็นอยู่แล้ว นายก็ยังไม่ต้องทำงานหรอก ไว้ค่อยเริ่มเข้ากะเช้าพรุ่งนี้...ส่วนเรื่องเครื่องแบบ คิดว่าเดี๋ยวคุณเจ้าของที่ดิน  เอ่อ... คุณเวธน์ก็คงจะเอามาให้เองนั่นล่ะ แต่ถ้าไม่ทันก็แต่งอะไรก็ได้ ให้สุภาพหน่อยก็พอ”

    แฟนธอมสรุปให้อีกฝ่ายรับฟัง หลังจากพาชมบ้านเรียบร้อย แม้กีรติจะแปลกใจที่เห็นชายหนุ่มมักจะหลุดเรียกเวธน์ว่าคุณเจ้าของที่ดินบ่อย ๆ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะถามอันใด เพราะคิดว่าเจ้าตัวคงจะมีเหตุผลเหมือนกับเรื่องหน้ากากที่สวมใส่นั่นเอง

    “ปกติฉันจะนอนกลางวันตื่นกลางคืน เพราะฉะนั้นเรื่องกินอยู่ไม่ต้องรอกัน จัดการเองได้เลย  ส่วนรถกับข้าวจะเข้ามาขายทุกหกโมงเช้าที่หน้าหมู่บ้าน หรือถ้าขี้เกียจทำก็ฝากท้องไว้กับร้านอาหารตามสั่งตรงหัวมุมซอย 1  อ้อ...ซอยในหมู่บ้านนี้จะมีสามซอย ตรงเมนกลาง เราเรียกซอยกลาง ด้านซ้ายก็ซอย 1 ด้านขวาก็ซอย 2”

    กีรติพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเขาก็ขอตัวเข้าไปในห้อง เพื่อนำเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวที่มีเพียงไม่กี่ชิ้นจัดเข้าที่ ห้องนอนของเขาค่อนข้างกว้างขวางเสียยิ่งกว่าห้องเช่าที่เคยอยู่ แถมเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ประดับห้อง ยังเป็นของหรูดูดี ไม่แตกต่างจากที่เห็นในร้านของเวธน์เท่าใดนัก

    “ดีจัง...ได้ที่พักดี เพื่อนร่วมงานก็ใจดี หวังว่าชาวบ้านที่นี่คงจะน่ารักและพูดคุยด้วยง่ายล่ะนะ”

    กีรติพึมพำพลางอมยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง แล้วจึงตัดสินใจออกมาเดินเล่นนอกบ้านพัก เขาเลือกออกทางประตูหลัง เพราะคิดว่าทางประตูหน้านั้นเหมาะสำหรับผู้มาติดต่อที่สำนักงานหมู่บ้านใช้เข้าออกมากกว่า

    “อากาศดีจังเลย สมแล้วกับที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้แบบนี้”

    ชายหนุ่มเปรยเบา ๆ แล้วจึงตัดสินใจเดินสำรวจไปตามท้องถนนในแต่ละซอย เขาเริ่มจากซอยกลางเป็นซอยแรก ซึ่งเป็นโซนของบ้านเดี่ยวชั้นเดียวทั้งสองข้างทาง พื้นที่แต่ละหลังค่อนข้างกว้าง น่าจะสัก 60 ถึง 70 ตารางวาได้ บางหลังก็ปลูกต้นไม้รกครึ้มบดบังหน้าบ้าน บางหลังก็ทำเพียงสวนหย่อมเล็ก ๆ  น่าแปลกที่ค่อนข้างจะเงียบเกินไปสักหน่อย สำหรับบ้านที่มีคนอยู่อาศัยทุกหลังเช่นนี้

    “สงสัยจะไปทำงานกันหมด...แบบนี้ก็ต้องดูแลตรวจตรากันให้รอบคอบหน่อยแล้ว โชคดีไปอย่างที่ซอยไม่ลึกมากนัก”

     ด้านในสุดของซอยก็ยังมีถนนเชื่อมต่อถึงกันได้อีก กีรติเดินไปชะโงกหน้าดูในแต่ละซอยอย่างสนใจ เขาไปซอยทางฝั่งขวาหรือซอยสองเป็นซอยแรก ทั้งซอยนั้นเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นทั้งหมด และปลูกสร้างต่างแบบออกไป กีรติลองเดินสำรวจดูทั้งสองฝั่ง ก็ต้องพบกับความเงียบไม่แตกต่างกับซอยกลางแม้แต่น้อย เขาจึงตัดสินใจไปทางซอยหนึ่งที่เคยได้ฟังว่ามีร้านค้าเปิดขายอยู่

    สำหรับซอยนี้ค่อนข้างมีสิ่งปลูกสร้างที่แตกต่างผสมกันไป มีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และหลายหลังก็ถูกตกแต่งเป็นร้านค้าต่าง ๆ มีทั้งร้านขายของชำ ร้านหนังสือ ร้านอาหาร แต่น่าแปลกที่เขาไม่เห็นคนเดินไปมาอย่างควรจะเป็น  กีรติเดินผ่านร้านค้าแต่ละร้าน แม้ทุกร้านจะเปิดทำการอยู่ แต่ก็ไม่พบแม้เงาคนให้เห็นสักราย

    “หายไปไหนกันหมดนะ ... แปลกจัง”

    กีรติพึมพำ แล้วจึงตัดสินใจเดินกลับไปถามแฟนธอมที่สำนักงานหมู่บ้าน ทว่าระหว่างกำลังเดินอยู่นั้น ก็มีคนคนหนึ่งย่องตามมาด้านหลัง และเตรียมจะใช้มือตะปบปิดปากชายหนุ่ม ทว่าคนลึกลับผู้นั้นก็ต้องหลุดอุทานออกมา เมื่อคนที่เดินตรงหน้า จู่ ๆ ก็คว้าหมับที่แขนของเขา พลางเบี่ยงกายออกมาด้านข้าง และจับแขนนั้นบิดไขว้หลังของคนที่จู่โจมใส่ตนเองอย่างรวดเร็ว

    “โอ้ย! เจ็บ! ปล่อยก่อน ๆ ฉันไม่ใช่คนร้าย! ฉันเป็นคนในหมู่บ้านนี้!”

    คนโวยวายเป็นชายหนุ่มอายุราวสามสิบปี  เจ้าตัวใส่เสื้อกล้ามสีขาว กางเกงผ้าร่มสีดำสามส่วน หน้าตามีเชื้อจีน แต่สีผิวค่อนข้างคล้ำไปหน่อย

    “อืม...แสดงว่าเรื่องที่อัดโจรจนจุกนั่นก็ไม่ใช่เรื่องโม้สินะ... ทักษะทางการต่อสู้คุณเยี่ยมจริง ๆ ด้วยสิ คุณกีรติ”

    เสียงอีกเสียงดังขึ้นมาจากอีกทาง ทำเอากีรติที่กำลังมึนงงมองไปยังต้นเสียง แล้วเขาก็ต้องเผลออุทานอย่างตกใจ เมื่อเห็นผู้คนมากมายหลายสิบคน ผู้ใหญ่บ้าง เด็กบ้าง กำลังยืนจ้องมองมาทางเขาอย่างสนอกสนใจ และในนั้นก็มีเวธน์ที่ยืนยิ้มมองเขา และแฟนธอมที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “อะไรกันครับเนี่ย... อ๊ะ! ขอโทษครับ ผมลืมตัวไปหน่อย!”

    กีรติรีบปล่อยมือของเขา เมื่อได้ยินเสียงกระแอมของคนที่เขาเผลอล็อกแขนเอาไว้อยู่ 

    “นี่สินะยามกะเช้าคนใหม่ของหมู่บ้านเรา”

    คนถูกปล่อยแขนสะบัดแขนไปมาพลางหันมาคุยกับเวธน์  ซึ่งชายหนุ่มสวมแว่นก็พยักหน้ารับค่อย ๆ

    “ใช่ครับ คุณลี”

    “ฝีมือดีเอาเรื่องนะ ถึงกับล็อกแขนลีได้แบบนั้น”

    เสียงหนึ่งเปรยดังจากกลุ่มที่มุงอยู่ แต่ทันทีที่เจ้าตัวพูดจบ ก็มีเสียงหัวเราะร่วนพร้อมกับเสียงเปรยเยาะ ๆ ของใครบางคนดังขึ้นตามมา

    “ไม่ก็เพราะไอ้หนูลี ฝีมือตกลงไปแทนนั่นล่ะ”

    ชายสวมเสื้อกล้ามขาวซึ่งถูกเรียกว่าลีหันขวับไปทางต้นเสียง แล้วแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายที่เป็นชายวัยกลางคนอายุราว 45 ถึง 50 ปี

    “จะลองมาสู้กันดูสักตั้งไหมล่ะ ตาแก่หน้าเลือด!”

    ก่อนที่การวิวาทจะเกิดขึ้น เสียงหวาน ๆ ของใครบางคนก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

    “พอได้แล้วหนุ่ม ๆ พวกเราตั้งใจจะมาดูหน้ายามคนใหม่กันไม่ใช่หรือ มัวแต่หาเรื่องทะเลาะกันเดี๋ยวเขาก็ตกใจหนีไปพอดี”

     ผู้เข้ามาห้ามเป็นสาวสวยผมยาวหยักศก ตัวสูงหุ่นดี เจ้าหล่อนสวมเสื้อเชิ้ตสีดำแขนกุดค่อนข้างฟิต และใส่ยีนส์สั้นเลยเข่า  ซึ่งพอชายทั้งคู่ที่กำลังเขม่นใส่กัน เห็นว่าใครออกหน้ามาปราม ต่างก็ทำปากอุบอิบ แล้วสะบัดหน้าใส่ฝั่งตรงข้าม จนคนห้ามต้องถอนหายใจ

    “พวกเขาเป็นสมาชิกในหมู่บ้านมีสุขน่ะ จริง ๆ ก็ยังมาไม่ครบหรอก เพราะบางคนก็ไปทำงานยังไม่กลับ ผมโทรมาบอกทางนี้เองว่า หมู่บ้านเราอาจจะได้ยามกะเช้ามาอยู่ประจำนาน ๆ สักที  พวกเขาก็เลยอยากเห็นหน้าคุณ และทดสอบอะไรนิดหน่อย...”

    เวธน์เดินมาบอกกับกีรติที่กำลังจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้ายังมึนงงปนสนใจ ท้ายประโยคเวธน์เว้นวรรคเล็กน้อย พลางหันไปมองทางชาวบ้านแต่ละคนแล้วเอ่ยต่อ

     “ซึ่งผมก็คิดว่าทุกคน คงจะพอใจในตัวคุณอยู่บ้างล่ะนะ”

    “ฉันชอบเขานะ เด็กคนนี้ฝีมือดีใช้ได้เลยล่ะ!”

    ชายชื่อลีเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก ส่วนคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากัน แล้วก็ยิ้มให้สมาชิกใหม่ของหมู่บ้าน กีรตินิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะโค้งให้ทุกคนตรงหน้าเขา แล้วจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงดังชัดเจน

    “ผมกีรติครับ จะเรียกกีเฉย ๆ ก็ได้ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ!”

    หลายคนยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรให้กับชายตรงหน้า แต่ก็มีบางคนลอบยิ้ม และบางคนกำลังซุบซิบคล้ายจะพนันกันว่า ยามคนใหม่นี้จะอยู่ได้สักกี่วันกันแน่

   

    เมื่อชาวบ้านต่างเข้ามาทำความรู้จักทักทายกับกีรติกันสักพัก พวกเขาก็พากันแยกย้ายกลับบ้านบ้าง ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะหน้าหมู่บ้านบ้าง บรรยากาศเริ่มคึกคักในขณะที่เวลาก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ จนยามนี้ก็ใกล้หกโมงเย็นเข้าทุกที

    “นายไม่หิวข้าวหรือไง ยังไม่ได้กินไม่ใช่หรือ”

    แฟนธอมเอ่ยทัก เมื่อเห็นกีรตินั่งเล่นอยู่ตรงม้าหินที่สวนหย่อมหน้าสำนักงาน และกำลังจ้องมองชาวบ้านที่มาออกกำลังกายยามเย็นอย่างเพลิดเพลิน  ตอนนี้ชายสวมหน้ากากอยู่ในเครื่องแบบยามรักษาการณ์ชุดสีเทาอ่อน กางเกงสีกรมท่า แม้จะเป็นเครื่องแบบทั่วไปเหมือนที่กีรติเคยเห็นยามที่อื่นใส่ แต่พอแฟนธอมแต่งแล้วกลับดูแปลกไป คล้ายกับชายหนุ่มจะใส่ไปเดินแบบ หรือร่วมงานปาร์ตี้แฟนซี มากกว่าไปทำงานแทนด้วยซ้ำ   

    “อะ! จริงด้วยครับ นี่ก็จะหกโมงเย็นแล้วด้วย... คุณแฟนธอมละครับ กินข้าวเย็นแล้วหรือยัง ไปกินด้วยกันเลยไหมครับ”

    คนถูกชวนชะงักเล็กน้อย แต่พอเห็นแววตาใสซื่อคาดหวังของอีกฝ่าย เขาก็จำต้องพยักหน้านิด ๆ อย่างเสียไม่ได้ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปที่ซอย 1 ตรงหน้าปากซอยที่เปิดเป็นร้านอาหารตามสั่ง ข้างในร้านมีลูกค้านั่งกินนั่งดื่มอยู่สองสามโต๊ะ ส่วนคนทำอาหารก็คือแม่ค้าสาวสวยหุ่นนางแบบที่เข้ามาปรามการทะเลาะกันระหว่างคนในหมู่บ้านเมื่อตอนเย็นนั่นเอง

    “สวัสดีจ้า  ฉันชื่อดาหลา เป็นเจ้าของร้านอาหารที่นี่จ้ะ อย่าลืมมาอุดหนุนกันบ่อย ๆ นะจ๊ะ!”

    แม่ค้าคนสวยหยอดคำหวาน เรียกเสียงเป่าปากแซวจากคนที่กำลังดื่มอยู่ในร้านทันที ทว่าต่างก็ต้องรีบหุบปาก เมื่อเห็นแฟนธอมตวัดสายตาคมกริบมาปรามพวกตน

    “เอากะเพรารวมมิตรมาให้จาน”

    แฟนธอมสั่งอาหารแล้วไปนั่งเงียบ ๆ ที่โต๊ะมุมหนึ่ง ดาหลาขานรับคำพร้อมรอยยิ้ม เธอรู้สึกทึ่งนิด ๆ เมื่อได้เห็นแฟนธอมที่แสนจะเข้ากับคนอื่นยากคนนั้น ยอมมากินข้าวเย็นร่วมกับยามคนใหม่ได้แบบนี้ แสดงว่าชายหนุ่มคงจะยอมรับในตัวกีรติพอสมควรเลยทีเดียว

    “ของผมขอข้าวผัดหมู 1 จาน แล้วกันครับ”

    กีรติสั่งอาหารของเขาบ้าง แต่พอเขาเข้าไปนั่งที่โต๊ะเดียวกับแฟนธอมเพื่อรออาหารสักพัก เสียงโหวกเหวกโวยวายจากหน้าร้านก็ดังขึ้นมา

    “ดาหลาจ๋า พี่กลับมาแล้วจ้ะที่รัก! คิดถึงพี่ไหมเอ่ย!”

    แฟนธอมที่กำลังดื่มน้ำเปล่า แทบจะพ่นน้ำพรวดออกมาจากปาก ส่วนคนอื่น ๆ ทีแรกพวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอันใด แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามีกีรตินั่งอยู่ด้วยในร้าน ต่างก็พากันสะดุ้งเฮือก ไม่เว้นแม้กระทั่งดาหลาด้วยก็ตาม

     ส่วนกีรติตอนนี้เขากำลังมองผู้มาใหม่ด้วยความอึ้งนิด ๆ เพราะอีกฝ่ายนั้นแม้จะพูดคุยสนทนากับหญิงสาวราวกับคนปกติ แต่ร่างกายที่เต็มไปด้วยขนยุบยับ ใบหูใหญ่ รวมไปถึงปากกว้างที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคมนั่น มองยังไงก็ค่อนข้างห่างไกลจากคำว่ามนุษย์ไปอยู่มาก แม้อีกฝ่ายจะสวมเสื้อสูท ผูกไทต์อย่างดีก็ตาม

    “เอิ่ม...นั่นใช่มนุษย์หมาป่าหรือเปล่าครับ”

    กีรติหันไปถามแฟนธอม พร้อมรอยยิ้มเจื่อน ๆ  ทางด้านดาหลาที่ตั้งสติได้ จึงรีบแสร้งโพล่งออกมาด้วยท่าทางร่าเริง

    “อ๋อ! เมคอัพน่ะค่ะ! แฟนของฉันเขาทำงานเป็นนักแสดง และตอนนี้กำลังรับบทเป็นมนุษย์หมาป่าอยู่น่ะค่ะ ใช่ไหมคะภูผา!”

    ดาหลาหันไปข่มขู่คนรัก ทำให้อีกฝ่ายชะงักกึก แต่พอเห็นคนแปลกหน้านั่งในร้าน และดูท่าทางว่านั่นจะเป็นสมาชิกใหม่ของหมู่บ้านแห่งนี้ ก็ทำให้เขาทุบมือเบา ๆ แล้วจึงพยักหน้าเออออตามมา

    “ง่า...อ้อ! ใช่แล้วครับ เมคอัพเอา ฮะ ๆ เหมือนมากเลยสินะครับ!”

    กีรติพอได้ยินก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ทำให้แต่ละคนที่เหลือต้องสบตากันปริบ ๆ เพราะข้ออ้างแก้ตัวที่ว่านั่น มันฟังดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย  ทว่าในขณะที่คนอื่นต่างพยายามหาวิธีอธิบายอย่างนุ่มนวลเพื่อไม่ให้กีรติตกใจจนเกินไป  จู่ ๆ ชายหนุ่มร่างเล็กก็กลับแย้มยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้นตามมาอย่างชื่นชมแทน

    “น่าทึ่งจริง ๆ เลยครับ ทำเอาผมตะลึงไปเลย! เทคนิคการเมคอัพสมัยนี้พัฒนาไปจนผมถึงกับคิดว่าเป็นของจริงเลยทีเดียวนะครับเนี่ย!”

    มีบางคนลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ยังมีอีกหลายคน รวมถึงแฟนธอมที่จ้องมองกีรติว่าเจ้าตัวพูดจริงหรือแกล้งพูดกันแน่ แต่พวกเขาก็เห็นเพียงแววตาใสซื่อจริงใจเหมือนอย่างเคยเท่านั้น แถมที่เจ้าตัวเงียบไปก็น่าจะเพราะกำลังตกตะลึงอย่างที่ว่ามาจริงเสียด้วย

    “อ่า...งั้นผมไปอาบน้ำล้างเมคอัพก่อนแล้วกัน...พี่ไปล่ะจ้ะที่รัก”

    ภูผารีบตัดบทเพราะเกรงว่าจะเผลอหลุดอาการให้โดนจับผิดได้ไปกว่านี้ ส่วนดาหลานั้นค้อนขวับให้คนรักอย่างหมั่นไส้ ที่อีกฝ่ายดันกลับมาในร่างจริงจนเกือบทำให้ถูกจับได้ตั้งแต่วันแรก ๆ และถ้าเป็นเช่นนั้น เผลอ ๆ พรุ่งนี้เวธน์คงต้องไปหายามกะเช้ามาใหม่แทนรายนี้เป็นแน่ 

    ต่อให้กีรติจะมีฝีมือเก่งกาจขนาดไหน แต่ชายหนุ่มก็ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปอยู่ดี และลองถ้าอีกฝ่ายเกิดได้ล่วงรู้ว่า บรรดาผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ แท้จริงแล้วเป็นปีศาจไปเสียครึ่งค่อนหมู่บ้านล่ะก็ คงจะกลัวจนเผ่นหนีไปแทบไม่ทันด้วยซ้ำ   

     แต่อย่างไรก็ดี บางทีมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เธอคิดกลัวไปเสียทั้งหมด เพราะหากกีรติเป็นมนุษย์จำพวกที่ยอมรับในตัวปีศาจแบบพวกเธอได้ ชายหนุ่มก็คงจะทำงานที่นี่ต่อไปได้อีกนาน ทว่ามนุษย์ประเภทที่ว่านี้นั้น สำหรับดาหลาแล้ว แทบจะหาได้ยากเสียยิ่งกว่าปีศาจอย่างพวกเธอเลยทีเดียว!



... TBC …

จะโพสวันละสองตอนนะคะ เพื่อความสะดวกในการอ่าน จนกว่าจะทันกับตอนปัจจุบันที่แต่ง (หวังว่าจะปั่นจบก่อน และโพสต่อเนื่องโดยนักอ่านที่นี่ไม่ต้องรอนะคะ ^^")   ถ้าจบเรื่องนี้แล้วจะไปปั่น  รวมพลคนไล่ล่าต่อให้จบเช่นกันค่ะ ^^



 

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6

Anyann

  • บุคคลทั่วไป
สนุกมากเลยค่ะ พ่อหนุ่มกีท่ามกลางวงล้อมของปีศาจ ว้าวววว

เห็นชื่อเรื่องนึกว่าจะเป็นแนวใสๆกุ๊กกิ๊กๆ แต่มาอ่านดูแล้วถือว่ากำลังดี ถูกใจเราเลยล่ะค่ะ

มาอัพวันละสองตอนอย่างนี้คนอ่านก็ดีใจ สงสัยได้ติดงอมแงมแหงๆเลยค่ะ 5555

รอตอนต่อไปนะคะ :D

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วกีรติ

เดี๋ยวก็โดนงาบ เอ๊ะ!! หรือนาบ หรอก อิอิ

ออฟไลน์ Thyme103

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
มาแปะต่ออีกสองตอนค่ะ 3 - 4
.........................................

บทที่ 3
ความลับ


 

    หลังจากกินอาหารเสร็จ แฟนธอมก็ขอตัวไปทำงานก่อน จากนั้นภูผาจึงลงมาจากบนชั้นสองของร้านอาหาร โดยเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดทำงานเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแทน เจ้าตัวเป็นชายหนุ่มหน้าตาคมเข้ม สูงใหญ่ดูดี เข้ากันกับสาวสวยอย่างดาหลาที่เป็นคนรักยิ่งนัก

    “เป็นคนจริง ๆ ด้วยสินะครับ”

    กีรติเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มสดใส ที่ทำให้คนฟังต้องกลืนน้ำลายลงคอแล้วฝืนยิ้มตอบ  ส่วนคนอื่นนั้นมองคนพูดตาปริบ ๆ และต่างพากันคิดว่า ยามคนใหม่ผู้นี้ ช่างเป็นคนใสซื่อและมองโลกในแง่ดีเสียเหลือเกิน

    “ที่หมู่บ้านนี้มีคนอยู่อาศัยประมาณกี่คนกันหรือครับ”

    กีรติเอ่ยถามภูผาที่มานั่งเป็นเพื่อนเขาที่โต๊ะ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มให้แล้วบอกตามมาอย่างเป็นมิตร

    “อืม...ก็ราว ๆ เกือบร้อยคนได้น่ะ”

    กีรติพยักหน้ารับรู้ เพราะเท่า ๆ ที่เขาลองคำนวณดูจากขนาดหมู่บ้าน ก็น่าจะมีสมาชิกราว ๆ นั้น  สักพักเมื่อเขากินอาหารบนโต๊ะเสร็จ ชายหนุ่มจึงจ่ายเงินให้ดาหลาแล้วขอตัวกลับสำนักงาน ซึ่งพอลับหลังกีรติ แต่ละรายก็ถอนหายใจแรงไปตาม ๆ กัน

    “เกือบไปแล้ว! พี่ภูผานี่บ้าจริง ดันกลับมาในสภาพนั้นได้!”

    ดาหลาหันไปตำหนิคนรัก ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มเจื่อน ๆ แล้วรีบกอดเอวหญิงสาวอย่างประจบพร้อมกับแก้ตัวตามมา

    “โธ่ที่รัก...ก็พี่ไม่รู้นี่ คิดว่าคุณเจ้าของที่ดินเขายังหายามกะเช้าคนใหม่ไม่ได้ ก็เลยปล่อยตัวตามสบายไปหน่อย เท่านั้นเอง”

    ดาหลาค้อนขวับ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อลูกค้าคนหนึ่งในร้านเปรยบางอย่างขึ้นมา

    “จริง ๆ แล้ว ไม่เห็นต้องจ้างยามกะเช้าเป็นมนุษย์เลยนะ พวกเราจะได้ไม่ต้องคอยมาระวังตัวอะไรแบบนี้ด้วย”

    “มันก็ถูกของนาย แต่อย่าลืมสิว่า คุณเจ้าของที่ดินรุ่นแรก เขาต้องการให้พวกเราคุ้นเคยกับมนุษย์ และสามารถปรับตัวอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เขาถึงได้พยายามเพิ่มประชากรมนุษย์ในหมู่บ้านแห่งนี้ให้มากขึ้น  เฮ้อ! แต่ก็อย่างที่เห็น คนที่รู้ความจริง แล้วรับได้ก็มีแค่ไม่กี่คน แถมยังไม่ใช่คนปกติสักคน”

    เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อม ๆ กันอีกครั้ง ก่อนที่ดาหลาจะเอ่ยต่อ

    “แต่กับเด็กคนนี้ ฉันว่าเขามีอะไรพิเศษแตกต่างออกไปนะ...บางที ถ้าพวกเราบอกความจริง เขาก็อาจจะยอมรับตัวตนของพวกเราก็เป็นได้”

    พอได้ยินคนรักพูดเช่นนั้น ภูผาจึงส่ายหน้าช้า ๆ แล้วแย้งออกไปบ้าง

    “ขนาดคนก่อนโน้นที่ทั้งบ้าเรื่องหนังผี หนังสยองขวัญ หนังสัตว์ประหลาดยังกับอะไรดี พอเจอของจริงเข้าก็เห็นเผ่นไม่ยั้งเลยไม่ใช่หรือ  เฮ้อ! แต่เอาเถอะ ก็ได้แต่หวังว่าคงจะมีมนุษย์ปกติธรรมดาสักคนยอมรับพวกเราได้ เหมือนกับพวกคุณเจ้าของที่ดินบ้างล่ะนะ”

    ภูผาสรุปตัดบท แล้วจึงเลิกคุยเรื่องกีรติและหันมาช่วยงานภรรยาสาวของเขาแทน เนื่องจากพอยิ่งตกค่ำ คนในหมู่บ้านก็ต่างทยอยออกมาใช้บริการร้านอาหารของเขามากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง

     

    กีรติกลับไปห้องพักของเขา แต่ก็ยังคงไม่รู้สึกง่วง เนื่องจากตอนทำงานเก่าก่อนหน้านั้น กว่าจะเลิกงานเวลาก็ปาไปสามสี่ทุ่มแล้ว  ดังนั้นเวลาแค่เพียงทุ่มกว่า ๆ จึงทำให้เขายังคงรู้สึกตาสว่าง  ชายหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะออกไปเรียนรู้งานใหม่ของตน จากรุ่นพี่อย่างแฟนธอมแทน

    “อ้าว...คุณแฟนธอมไม่อยู่แฮะ หืม...สงสัยไปขี่จักรยานตรวจแน่เลย”

    กีรติสังเกตเห็นจักรยานที่จอดไว้หน้าป้อมยามหายไป แล้วจึงสรุปเอาเอง ก่อนจะเข้าไปนั่งประจำป้อม ด้านในนั้นมีจอภาพเล็ก ๆ หลายจอบนผนัง พร้อมแท่นปุ่มกดหลายปุ่มที่ทำให้คนมองต้องทึ่ง

    “โอ้โห! ยังกับห้องในหนังแน่ะ นี่คงเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดสินะ  อ๊ะ...เห็นคุณแฟนธอมด้วยล่ะ”

    กีรติมองภาพจากจอหนึ่งในหมู่บ้าน เห็นแฟนธอมขี่จักรยานผ่านไป เขามองไปแต่ละหน้าจออย่างสนอกสนใจ   

    “เป็นหมู่บ้านที่ทันสมัยจัง เอ...แต่ติดกล้องไว้ตรงไหนกันนะ ตอนเดินดูตอนเย็นก็มองไม่เห็นเลยสักอัน”

    คนพูดนึกอย่างแปลกใจ เขาเคยเห็นแต่กล้องอันโต ๆ ติดไว้ให้โจรได้เห็นสะดวกตามร้านค้า หรือตามป้อมยาม แต่หมู่บ้านนี้กลับติดตั้งกล้องไว้ได้อย่างแนบเนียนมิดชิด แม้แต่ที่ป้อมแห่งนี้เขายังมองไม่ออกเลยว่าตำแหน่งกล้องนั้นอยู่ตรงไหนกันแน่

    “อืม...ช่างเหอะ ถึงไม่รู้ว่าติดไว้ที่ไหน แต่ขอให้ใช้งานได้ก็พอ ...เอาเป็นว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมจะมาทำงานที่นี่เป็นยามกะเช้า ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ”

      กีรติเอ่ยปากเปรยขึ้นตามความคุ้นเคย เพราะเขามักจะชอบฝากเนื้อฝากตัวกับสถานที่ซึ่งเขาทำงานใหม่เป็นประจำ โดยไม่สนว่าจะถูกใครมองว่าแปลก

    “อืม...ไปเฝ้านอกป้อมดีกว่าแฮะ จะได้ช่วยเป็นหูเป็นตาตอนคุณแฟนธอมไม่อยู่ได้บ้าง”

    ชายหนุ่มตัดสินใจเดินออกจากป้อมยามไปยืนเฝ้าที่นอกป้อม มีชาวบ้านที่เดินเล่นอยู่แถวนั้นบางรายเข้ามาพูดคุยทักทายเป็นเพื่อนเขา สักพักแฟนธอมก็ขี่รถจักรยานกลับมาที่ป้อม ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยกับคนตัวเล็กตรงหน้า

    “มาทำไม นี่ไม่ใช่เวลางานของนายสักหน่อย”

    “อ่า...ขอโทษครับ พอดีผมนอนไม่หลับ เลยอยากแวะมาดูสถานที่ทำงานก่อนทำจริงน่ะครับ เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมกลับก่อนแล้วกัน ยังไงก็ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ”

    กีรติบอกเสียงสลด จนคนสวมหน้ากากต้องกลืนน้ำลายลงคอ พลางกระแอมค่อย ๆ แล้วเปรยบอกตามมา

    “...ถ้าอยากศึกษาดูงานก่อนทำจริงก็ไม่มีปัญหา แต่อย่าอยู่ดึกเกินไปนัก เดี๋ยวพรุ่งนี้จะทำงานไม่ไหวเอา”

    จบคำของอีกฝ่ายก็ทำให้กีรติยิ้มกว้างตอบรับด้วยความดีใจ สร้างความโล่งอกให้คนพูดยิ่งนัก แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น และเมื่อแฟนธอมหันไปเขาก็ได้เห็นรอยยิ้มของชาวบ้านที่มองอยู่แถวนั้น

    “มองอะไรครับ! มีธุระอะไรก็ไปทำกันสิ มาอยู่เกะกะขวางงานคนอื่นเขาอยู่ได้!”

    น้ำเสียงห้วนโพล่งขึ้นอย่างไม่มีเกรงใจ ทำให้กีรติต้องหันไปมองคนพูดตาปริบ ๆ พอเหลือบไปมองพวกชาวบ้าน ก็เห็นต่างพากันยิ้มแย้มบ้างก็หัวเราะ แต่ไม่มีใครโมโหเรื่องที่ถูกลูกจ้างของหมู่บ้านขึ้นเสียงใส่แบบนี้เลยสักคนเดียว

    “โอเค ๆ พวกเราไปก็ได้ ...งั้นไปร้านดาหลาดีกว่า นาน ๆ จะเห็นแฟนธอมใจดีกับคนอื่นแบบนี้ทั้งที อย่างนี้มันต้องกระจายข่าวให้ทั่วถึงเสียแล้ว!”

    หนึ่งในนั้นบอกกับคนอื่นเสียงดัง ทำเอาคนมีชื่ออยู่ในบทสนทนากัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด แต่พอเห็นสายตากังวลของกีรติ เขาก็ถอนหายใจแรง ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่ายให้รับรู้

    “ชาวบ้านที่นี่ก็เป็นแบบนี้ล่ะ ชอบยุ่งจุ้นจ้าน แต่จริง ๆ ก็ไม่มีพิษภัยอะไร ...อีกอย่างฉันเองก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยหมู่บ้านสร้างใหม่ ๆ ก็เลยสนิทสนมกับพวกเขาเป็นพิเศษน่ะ”

    กีรติร้องอ๋อ แล้วพยักหน้าหงึก ๆ รับรู้ทันที

    “มิน่าล่ะครับ ถึงพูดคุยกันเองแบบนั้น …ว่าแต่คนที่นี่ดูดีจังเลยนะครับ เป็นมิตรมาก ๆ เลย”

    “คงงั้นมั้ง”

    แฟนธอมเลี่ยงตอบ เขาเหลือบมองเพื่อนร่วมงานคนใหม่ ที่กำลังอมยิ้มพร้อมมองไปรอบ ๆ ด้าน  ชายหนุ่มสวมหน้ากากลอบถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง เขานึกอยากจะบอกความจริงออกไปเสียเดี๋ยวนี้ จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ที่นี่ได้ต่อหรือไม่ เพราะจากการได้พูดคุยกันแม้ไม่มาก แต่ก็ทำให้แฟนธอมเริ่มคิดว่า กีรตินั้นค่อนข้างแตกต่างจากมนุษย์คนก่อนหน้าแต่ละคนอยู่ไม่น้อย

    “อืม...ถามหน่อยสิ นายเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติบ้างไหม”

    คำถามที่จู่ ๆ ก็ถามขึ้นหลังจากเจ้าตัวนิ่งเงียบไปนาน ทำให้กีรติหันมามองอย่างแปลกใจ แต่ก็ยังคงตอบคำถามนั้นไปแต่โดยดี

    “ก็ไม่เชิงเชื่อเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ปฏิเสธอะไรหรอกครับ เพราะมีหลายคนเคยเห็น ถ้าผมเห็นบ้างก็คงเชื่อ”

    คำตอบนั้นทำให้แฟนธอมเม้มปากนิด ๆ แล้วจึงถามต่อ

    “ถ้าสมมุติว่ามีจริง แล้วนายเจอเข้า นายจะกลัวไหม ...ยกตัวอย่างเช่น พวกภูตผีปีศาจ อะไรแบบนั้น”

    กีรติทำท่านิ่งคิด พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง

    “ก็อาจจะตกใจบ้างหรือกลัวบ้างนั่นล่ะครับ เพราะผมไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน แต่ถ้ามาดี ไม่มาร้าย ก็คงไม่กลัวเท่าไรนัก”

    คำตอบจริงใจพร้อมรอยยิ้มใสซื่อ ทำให้แฟนธอมอึ้งไปเล็กน้อย เขานิ่งคิดหนัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง แล้วจึงตัดสินใจว่า ให้กีรติเจอด้วยตนเองน่าจะดีกว่า แต่ก็ยังไม่วายเปรยเตือนออกไปอยู่ดี

    “อืม...ฉันหวังว่า ถ้านายเจอพวกสิ่งเหนือธรรมชาติด้วยตนเอง นายจะยังคงตั้งสติและยิ้มออกได้อย่างนี้ล่ะนะ”

    กีรติฟังแล้วก็ชวนให้สงสัย เพราะอีกฝ่ายพูดเหมือนว่าเขากำลังจะได้เจอในสิ่งที่ว่าเร็ววันนี้เช่นนั้น

    “ครับ...จะพยายามนะครับ”

    ชายหนุ่มตอบรับคำเบา ๆ ทว่าเจ้าตัวกลับนิ่งเงียบไปสักพัก จนแฟนธอมแปลกใจ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อกีรติทุบมือตามมาคล้ายนึกบางอย่างได้

    “เอ๊ะ! หรือว่าหมู่บ้านนี้จะมี...เอิ่ม แบบว่า ผีสิงอะไรพวกนั้น”

    แฟนธอมมองคนพูดตาปริบ ๆ แล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “จริง ๆ มันยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ ...แต่ก็ราว ๆ ที่นายเข้าใจนั่นล่ะ”

    กีรติขมวดคิ้วยุ่ง เขานิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ จนอีกฝ่ายชักใจเสีย

    “...กลัวหรือ”

    ชายหนุ่มสวมหน้ากากตัดสินใจถาม ซึ่งคนฟังก็ชะงัก แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ

    “อ๋อ...ก็นิดหน่อยครับ แต่กำลังหนักใจว่า ถ้าหากเจอบ้าง ผมจะทำยังไงดี จะทักทายหรือว่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เผื่อบางทีเขาอาจจะอยากไม่ให้ผมไปรบกวนอะไรแบบนั้น”

    คราวนี้คนฟังถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วย้อนถามกลับไปอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่า อีกฝ่ายนั้นพูดจริงจากใจหรือไม่

    “แล้วไม่กลัวว่าพวกนั้นจะทำร้ายนายหรือ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์นะ!”

     กีรติอมยิ้มแล้วจึงตอบกลับไปอย่างใจคิด

    “ไม่หรอกครับ ก็ขนาดคุณเองยังอยู่มาได้ จนถึงทุกวันนี้ไม่ใช่หรือครับ”

    คำตอบที่ได้รับฟัง ทำให้แฟนธอมนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วก็ต้องเม้มปากน้อย ๆ เมื่อกีรติเอ่ยต่อ

    “ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะครับว่า สิ่งเหนือธรรมชาติที่คุณพูดถึงนั้นเป็นแบบไหน ...แต่ถ้าตัวคุณเองยังคงอยู่ที่นี่ได้ ผมคิดว่าสิ่งนั้นก็ไม่น่าจะใช่สิ่งร้ายกาจที่คิดร้ายต่อคนอื่นหรอก...จริงไหมครับ”

    “...มันก็จริงอย่างที่นายว่านั่นล่ะนะ”

    แฟนธอมไม่รู้จะตอบยังไงดี เพราะเขาสัมผัสได้แต่ความจริงใจ จากดวงตาใสซื่อคู่นั้น เขาไม่ได้พบมนุษย์ที่มีแววตาเช่นนี้มานานแล้ว นับตั้งแต่คนที่เคยช่วยเหลือเขาไว้ได้ตายจากไป

    จากนั้นทั้งคู่ก็อยู่เฝ้ายามกันต่อไปเงียบ ๆ โดยบางครั้งกีรตินึกอะไรออก ก็จะเป็นฝ่ายสอบถามรุ่นพี่ของตน ซึ่งแฟนธอมก็อธิบายในสิ่งที่รู้ให้ฟังทั้งหมดโดยไม่นึกรำคาญ และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทำงานมาที่เขารู้สึกว่า การที่มีคนจริง ๆ คอยมาพูดคุยอยู่เป็นเพื่อนแบบนี้ มันก็ทำให้รู้สึกดีอยู่มากเหมือนกัน



    หลังจากนั้นพอถึงเวลาใกล้สามทุ่ม แฟนธอมก็ไล่อีกฝ่ายให้ไปพักผ่อน เพราะเกรงว่ากีรติจะอยู่เป็นเพื่อนเขาเพลินจนนอนตื่นสาย ซึ่งกีรติพอดูเวลาแล้วก็รับคำแต่โดยดี  ทว่าเมื่อลับร่างกีรติไปแล้ว เสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้นมาจากลำโพงฝังผนังป้อมซึ่งเป็นสีเดียวกัน ที่ถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็จะไม่เห็นเลยว่าตำแหน่งของมันตั้งอยู่ที่ใด

    “จากการประมวลผลทั้งหมด ผมให้ผ่านนะ ...แถมเขายังเป็นคนแรกที่ฝากเนื้อฝากตัวกับผมอย่างสุภาพอีกด้วย  เพราะฉะนั้น พรุ่งนี้ผมเลยตั้งใจว่าจะลองทักทายเขาดูด้วยล่ะครับ”

    ชายสวมหน้ากากสะดุ้งโหยง แล้วหันขวับมามองทางป้อมยามด้วยแววตาเคร่งเครียด

    “หยุดเลย อเล็กซ์! นายกำลังจะทำให้เขากลัวนะ!”

    “ไม่มีทาง...เท่าที่ผมรับฟังการสนทนาของพวกคุณมาตลอด ผมมั่นใจว่า เขาต้องไม่กลัวผม  ซ้ำยังต้องทึ่งและคิดว่าผมเป็นเทคโนโลยีระดับสูง ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ”

    น้ำเสียงฟังดูหลงตัวเองนั่น ทำให้แฟนธอมกัดฟันกรอด แล้วบ่นพึมพำเบา ๆ

    “ทั้งคนสร้าง ทั้งคอมพิวเตอร์ นิสัยพอ ๆ กัน ...ไม่สิ เพราะหมอนั่นดันใส่นิสัยตัวเองลงไปนี่ล่ะ เลยทำให้กลายเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่นิสัยงี่เง่าไปเลย!”

    “...คราวหน้าช่วยกรุณานินทาในใจเถอะนะครับคุณแฟนธอม  นี่ดีนะที่เป็นคุณซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของมาสเตอร์  หากเป็นคนอื่นผมเล่นงานไปแล้วล่ะครับ”

    เสียงนั้นดังโต้ตอบขึ้นอีกครั้ง เรียกความหงุดหงิดให้คนฟังยิ่งนัก โดยเฉพาะยามเมื่อหวนคิดถึงใบหน้าของคนสร้างระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะในป้อมแห่งนี้ ก็ยิ่งทวีความหงุดหงิดให้เจ้าตัวมากยิ่งขึ้น

    “หยุดพูดเรื่องชวนให้ชาวบ้านเข้าใจผิดแบบนั้นสักทีได้ไหม!  ไม่อย่างนั้นฉันจะแอบเข้าไปในบ้านมาสเตอร์ของนาย แล้วเอาปูนโบกประตูเข้าออกห้องใต้ดิน ปิดตายไม่ให้หมอนั่นออกมาได้ จากนั้นฉันจะกลับเอาค้อนมาทุบนายให้พัง จนซ่อมไม่ได้อีกเลย คอยดูสิ!”

    เสียงคล้ายถอนหายใจดังขึ้นมาจากลำโพง ทำเอาแฟนธอมเม้มปากน้อย ๆ เพราะรู้สึกว่าคนสร้างเจ้าคอมพิวเตอร์แสนกวน จะพัฒนาระบบการตอบโต้ให้มันแสดงความรู้สึกคล้ายกับมนุษย์มากขึ้นทุกที     

     “ยังไงก็แล้วแต่ ห้ามไปรบกวนกีรติ หรือแกล้งเขาโดยเด็ดขาด...เข้าใจนะ!”

    “ครับ...รับทราบคำสั่ง”

    อเล็กซ์รับคำอย่างว่าง่าย แต่สักพักก็มีเสียงดังขึ้นจากลำโพงอีกครั้ง

      “...แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังคงเชื่อมั่นในข้อมูลของตัวเองอยู่ดี  เพราะหากปล่อยให้เขาเจอประสบการณ์ตรงกับตัวเอง เขาอาจจะเกิดความกลัว และเสียสติ จนต้องหนีเตลิดไปแบบคนเก่า ๆ ก็ได้นะครับ”

     แฟนธอมชะงัก ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วพึมพำตอบกลับไป

    “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ...ฉันก็แค่อยากให้เขาคุ้นเคยกับคนในหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยตัวเขาเอง ดีกว่าบอกให้เขารู้ว่าคนในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใช่มนุษย์แต่แรก เพราะถึงเขาอาจจะยอมรับได้ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะยอมรับมันมาจากใจ ...และถ้าเกิดเขาแสดงออกให้เห็นถึงความหวาดกลัวหรือรังเกียจในสิ่งที่เขาเอ่ยปากยอมรับขึ้นมาเมื่อไหร่... ตัวฉันเองก็คงจะรู้สึกไม่ดียิ่งกว่าเดิมเป็นแน่...”

    พอแฟนธอมพูดจบ เสียงจากลำโพงก็เงียบไปสักพัก ก่อนที่น้ำเสียงเดิมนั้นจะดังขึ้นอีกครั้ง

    “…ถึงคุณจะรู้สึกชอบเขามากแค่ไหน  แต่คุณก็ยังคงเชื่อใจมนุษย์คนอื่น นอกจากคนคุ้นเคยในหมู่บ้านนี้ไม่ได้อยู่ดีสินะครับ...”

     ความอ่อนโยนที่แฝงมากับน้ำเสียง ทำให้คนฟังชะงักกึก แล้วจึงขมวดคิ้วยุ่งภายใต้หน้ากาก ก่อนจะโพล่งตอบกลับไปเสียงห้วน

    “นายเปลี่ยนตัวมาอีกแล้วสินะ เจอรัลด์!”

    “หึ ๆ รู้ทันอีกแล้ว ...ทั้งที่ใช้เสียงเดียวกันแท้ ๆ”

    เสียงจากลำโพงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกึ่งขบขันแกมชื่นชม ทว่าคนฟังนั้นไม่ได้ขำด้วย ซ้ำยังหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

    “เพราะถึงอเล็กซ์จะกวนโมโหขนาดไหน แต่เขาก็ไม่กวนโมโหเท่านายยังไงล่ะ!  แล้วทีหลังก็เลิกแทรกแซง การสนทนาระหว่างคนอื่นสักที มันเสียมารยาทเข้าใจไหม!”

    เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ  ก่อนที่เจ้าตัวจะตอบกลับมา

    “แหม ๆ ผมชักหึงอเล็กซ์เสียแล้วสิ  คุยกับอเล็กซ์ก็เหมือนคุยกับผมแท้ ๆ คุณก็รู้”

    “อย่างน้อยคอมพิวเตอร์งี่เง่านั่น ก็ยังไม่ยียวนกวนประสาทฉันเท่านายนั่นล่ะ!”

    แฟนธอมสวนกลับทันควัน ทำให้คนฟังที่กำลังทำการแทรกแซงบทสนทนาอยู่ในห้องใต้ดินที่บ้านพักอมยิ้มน้อย ๆ ภาพจากกล้องดาวเทียมของเขา ฉายให้เห็นชายสวมหน้ากากชัดเจนในหลาย ๆ มุม ที่ถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้น แต่เจอรัลด์ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายหงุดหงิดขนาดไหน

    “เอาเป็นว่าขอโทษแล้วกันนะครับ ...ถ้าอย่างไงผมจะแก้ตัวโดยการสั่งไม่ให้อเล็กซ์ไปรบกวนเด็กใหม่ ก่อนจะถึงเวลาอันควรดีไหมครับ”

    “สมควรทำแบบนั้นที่สุดแล้วล่ะ ขอบคุณ!”

    แฟนธอมตอบติดประชด ทำให้คนฟังหัวเราะอีกครั้ง  สักพักเสียงเดิมแต่ฟังดูไร้อารมณ์กว่าก็ดังขึ้นตามมา

    “มาสเตอร์ตัดการแทรกแซงไปแล้วครับ  ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมาสเตอร์ต้องยอมคุณอยู่เรื่อย ทั้งที่มาสเตอร์เองก็เก่งกาจกว่าคุณแท้ ๆ”

    แฟนธอมชะงักเล็กน้อย เขาทำเสียงฮึในลำคอ แล้วจึงตอบกลับไปห้วน ๆ

    “เพราะหมอนั่นเป็นซอมบี้พิลึกน่ะสิ  นายใช้ข้อมูลของมนุษย์ทั่วไป กับหมอนั่นไม่ได้หรอก!”

    “อืม...อาจจะเป็นเช่นที่คุณบอกก็ได้ แต่ผมไม่มีข้อมูลพฤติกรรมของผีดิบตนอื่น ๆ ให้เรียนรู้ นอกจากของตัวมาสเตอร์เองนี่ครับ”

    ระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะตอบกลับด้วยถ้อยคำที่ทำให้แฟนธอมนึกอยากจะโมโหแต่ก็โมโหไม่ลง เขาจึงหาเรื่องตัดบทสนทนากับอีกฝ่ายแทน

    “ก็เอาไว้ให้มาสเตอร์ของนาย สอนเอาเองแล้วกัน!”

    “นั่นสิครับ...ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด  ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวติดต่อกับมาสเตอร์ก่อนนะครับ ส่วนระบบรักษาความปลอดภัย ผมจะให้ระบบสำรองดูแลไปก่อน  ถ้าคุณมีธุระสำคัญก็ติดต่อเรียกผมแล้วกัน ...ลาก่อนครับ คุณแฟนธอม”

    เมื่อเสียงจากลำโพงเงียบไป เสียงถอนหายใจจากคนสวมหน้ากากที่ยืนอยู่แถวนั้นก็ดังขึ้นแทน  เขาเหลือบมองไฟสัญญาณในป้อม ที่แสดงให้เห็นว่าระบบรักษาความปลอดภัยสำรองกำลังทำงานอยู่   

     สำหรับแฟนธอมแล้ว แค่มีเพียงอเล็กซ์ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยหลักของหมู่บ้าน ก็แทบจะสามารถดูแลทั่วทั้งหมู่บ้าน โดยไม่ต้องพึ่งพายามอย่างเขาก็ได้ ทว่าบางครั้งเมื่อผู้บุกรุกนั้นเกิดเป็นปีศาจหรือมนุษย์ที่มีฝีมือเกินธรรมดาบ้าง พวกเขาก็จำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งมีชีวิตด้วยกันดูแลอยู่ดี  เนื่องจากอเล็กซ์นั้นถูกเจอรัลด์ซึ่งเป็นผู้สร้าง จำกัดขอบเขตการโจมตีเอาไว้ เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในหมู่บ้าน หากระบบของอีกฝ่ายเกิดเสียหายหรือบกพร่องขึ้นมา   

     “หรือบางที นายไปเสียให้พ้นจากหมู่บ้านพิลึกนี่ มันอาจจะดีกับตัวนายแทนก็ได้นะ...กีรติ”

    แฟนธอมเปรยขึ้นเบา ๆ อย่างชักจะไม่ค่อยมั่นใจตนเองแล้วว่า จะปล่อยให้คนใสซื่อมองโลกในแง่ดีอย่างกีรติ ทำงานต่อในหมู่บ้านแห่งนี้ดีหรือไม่ เพราะพวกภูตผีปีศาจที่นี่ แม้จะไม่เคยทำร้ายมนุษย์เลยก็ตาม แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบางรายที่เป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวาย จนทำให้มนุษย์ธรรมดาที่มาทำหน้าที่เหมือนกับเขา ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยอยู่เสมอ และดูจากนิสัยกระตือรือร้นในการทำงานของกีรติแล้ว แฟนธอมค่อนข้างมั่นใจว่า ชายหนุ่มจะพาตัวเองเข้าไปสู่ความวุ่นวายของคนในหมู่บ้านที่ว่านั้น ไม่ช้าก็เร็วนี้อย่างแน่นอน   


… TBC …


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2013 18:11:40 โดย Xenon »

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
บทที่ 4
ทำงานวันแรก


 

     วันแรกของการทำงาน กีรติตื่นนอนตั้งแต่เวลาตีห้าครึ่ง พอทำธุระส่วนตัวในยามเช้าเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ออกมาเดินเล่นรอรถกับข้าวนอกสำนักงานหมู่บ้าน  เนื่องจากแฟนธอมบอกว่าร้านของดาหลานั้นเปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็น ไปจนเกือบ 8 โมงเช้า จึงจะปิดร้านพักผ่อน  ดังนั้นกีรติซึ่งทำงานกะเช้าและต้องกินมื้อกลางวัน ถ้าไม่ซื้ออาหารของดาหลาแช่เย็นเอาไว้เผื่ออุ่นล่วงหน้า ก็คงต้องตุนกับข้าวสดติดตู้เย็นไว้ทำกินเองบ้างอยู่ดี

    “หือ...คนใหม่อย่างนั้นหรือ”

    ชายตัวสูงใหญ่ หน้าตาน่ากลัว ไว้หนวดเครารุงรัง ซึ่งเป็นเจ้าของรถกับข้าว ออกปากเอ่ยถามคนตัวเล็กตรงหน้า ที่มายืนซื้อของพร้อมกับคนในหมู่บ้านสี่ห้าคนแถวนั้น

    “ใช่แล้วพี่ไกร เขาเป็นยามกะเช้าคนใหม่ของหมู่บ้านเราไงล่ะ เพิ่งมาเมื่อวานนี้สด ๆ ร้อน ๆ เลยนะ”

    คนตัวใหญ่ขมวดคิ้วยุ่ง แล้วจ้องอีกฝ่ายอย่างพิจารณากว่าเดิม

    “ตัวเล็กจังนะ อย่างนี้จะดูแลหมู่บ้านไหวหรือเจ้าหนู”

    กีรติไม่ได้นึกขุ่นเคืองคำพูดที่ต่อว่ารูปร่างเขาแม้แต่น้อย แต่กลับตอบไปด้วยรอยยิ้มจริงใจ

    “ผมจะพยายามทำหน้าที่ให้สุดความสามารถครับ”

    คนอื่น ๆ ที่ได้ยินต่างพากันหัวเราะ แล้วบางคนจึงอธิบายให้หนุ่มร่างใหญ่ ที่หันมามองพวกเขาอย่างงุนงงได้รับฟัง

    “เด็กคนนี้จัดการลี ที่แอบย่องโจมตีเขาจากข้างหลังได้สบาย ๆ เลยนะคุณไกร”

    “จัดการลีได้เชียวงั้นรึ!  อืม...คนเรามองแต่ภายนอกอย่างเดียวไม่ได้เลยแฮะ”

    จากนั้นเจ้าของรถกับข้าวก็แนะนำตัวเองกับกีรติว่าเขาชื่อไกรสร อาศัยอยู่ในที่ห่างไป แต่ก็ไม่ไกลกันมาก และทำการค้าขายกับหมู่บ้านแห่งนี้มาสิบกว่าปีแล้ว   

    “เลือกเก่งนี่ ทำกับข้าวเองประจำหรือ”

     ไกรสรที่มองเห็นว่ากีรติเลือกผัก เนื้อ ได้อย่างคล่องแคล่ว จึงถามกลับไปอย่างสงสัย

    “อ๊ะ...ครับ พอดีผมใช้ชีวิตเองตามลำพัง มาตั้งแต่อายุ 15 น่ะครับ เลยต้องทำเองหมดเกือบทุกอย่าง”

ชายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ทว่าคนอื่นกลับพากันชะงัก แล้วมองอย่างลังเลว่าจะถามเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายต่อดีไหม แต่ไกรสรนั้นก็รีบตัดบท พลางถามกีรติเสียก่อนว่าจะซื้ออะไรอีก จึงทำให้บทสนทนาถูกยุติลง และเมื่อกีรติกลับไปแล้ว พวกคนอื่นก็พูดคุยซุบซิบกันต่อ

    “อยู่คนเดียวมา 5 ปี ...พ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้วสินะ”

    หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นเบา ๆ อย่างรู้สึกสงสารชายหนุ่มที่เพิ่งเดินจากไป ทว่าคนที่ยืนอยู่ด้วยกันกับแย้งขัดขึ้น   

    “แต่เขาบอกว่าใช้ชีวิตเองตามลำพังไม่ใช่หรือ ถ้าพ่อแม่เสียก็จะต้องพูดอีกแบบสิ นี่แสดงว่าพ่อแม่ก็น่าจะยังอยู่นะ”

    คนฟังขมวดคิ้ว และก่อนที่จะสนทนากันต่อ หนึ่งในนั้นที่เป็นชายหนุ่มตัวสูง หุ่นผอมบาง หัวกระเซิงไม่ค่อยเป็นทรง สวมแว่นตากรอบดำหนา ก็เอ่ยขัดขึ้นมาบ้าง

    “ฉันคิดว่าพ่อแม่ของเขา คงจะเป็นพวกผีพนัน แล้วหนีหนี้ทิ้งลูกเอาไว้แน่ ...ไม่งั้นอายุ 20 ตัวคงไม่เล็กขนาดนี้หรอก แสดงว่าไม่ค่อยจะมีกินกับเขาเท่าไหร่ ...มิหนำซ้ำ ที่เก่งต่อยตี ก็คงเพราะต้องเอาไว้สู้กับพวกที่มาทวงหนี้ทวงสินอยู่ทุกวันแน่เลย!”

    ขาดคำของชายหนุ่มสวมแว่นกรอบดำ เสียงพึมพำก็ดังขึ้นแทบจะพร้อม ๆ กัน

    “โถ…น่าสงสารจริงเชียว”

    “เอ่อ...เดี๋ยวก่อนสิพวกนาย มันจะไม่ฟังดูน้ำเน่าไปหน่อยหรือที่ว่ามาน่ะ”

    ไกรสรที่รับฟังอยู่ด้วยขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อเรื่องที่อีกฝ่ายบอกมาสักเท่าใดนัก

    “ไม่หรอก! สังคมมนุษย์เดี๋ยวนี้ก็แบบนี้ล่ะ เชื่อสิ ฉันว่าต้องเป็นอย่างที่ฉันสันนิษฐานแน่!”

    ชายคนเดิมย้ำด้วยสีหน้าและแววตาหนักแน่นจริงจัง เสียจนชายหนุ่มตัวใหญ่ต้องกลืนน้ำลายลงคอ

    “ง่า...มันจะเป็นอย่างนั้นแน่หรือ”

    “ช่างเป็นเด็กน้อยที่น่าสงสารจริง ๆ เลยนะ  ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องดีกับเขากันหน่อยแล้ว”

    เสียงพึมพำของบรรดาขามุงดังขึ้นอีกครั้ง และคำพูดนั้นก็ทำให้คนตั้งต้นทฤษฎี ตบมือดังฉาด พร้อมกับโพล่งขึ้นอย่างถูกอกถูกใจ

    “นั่นสิ! อย่างนี้ต้องไปกระจายข่าวให้พวกเรารู้กันให้ทั่วดีกว่า!”

    “เอ่อ... เดี๋ยวก่อน ถึงอาจจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ แต่นั่นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขานะ”

    ไกรสรแย้งขึ้นมาอีกครั้ง เพราะรู้สึกว่าเรื่องราวมันชักจะไปกันใหญ่ แต่ดูเหมือนชายหนุ่มผู้ไฟแรง จะไม่สนใจฟังคำโต้แย้งของเขาเลยสักนิด

    “ก็อย่าให้เจ้าตัวรู้สิ! อีกอย่างที่ทำไปก็เพราะอยากให้ทุกคนช่วยดูแลเด็กคนนั้น และอย่าเผลอพูดอะไรให้เขาสะเทือนใจด้วยยังไงล่ะ”

    “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่...”

    “งั้นเอาตามนี้นะ  ฉันไปก่อนล่ะ!”

    ชายสวมแว่นกรอบดำเอ่ยตัดบทแล้ววิ่งพรวดพราดจากไปพร้อมถุงกับข้าวในมือ  ทำให้คนอื่น ๆ พากันถอนหายใจ แล้วมีบางคนตบบ่าพ่อค้าตัวโตเบา ๆ

    “นายห้ามปัณณ์เขาทำโน่นนี่ไม่ได้หรอก หมอนั่นน่ะ ถ้าลองปักใจอะไรแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จให้ได้อยู่ดีนั่นล่ะ”

      “เฮ้อ! เรื่องนั้นฉันก็รู้ดียิ่งกว่าใครอยู่แล้วล่ะน่า หืม...ว่าแต่หมอนั่นจ่ายเงินแล้วหรือยังน่ะ!”

    แต่ละคนมองตาปริบ ๆ พลางส่ายหน้าไปมา ทำเอาไกรสรต้องเอามือตบหน้า แล้วโพล่งออกมาดังลั่นอย่างหงุดหงิด

    “เอาเข้าไป! ฉันก็เข้าใจหรอกนะว่าเขาไม่มีเจตนาโกง แต่ไอ้ที่พอฮึดจะทำอะไรแล้วลืมรอบข้างไปหมดน่ะ ช่วยไปเกิดตอนอื่น ที่ไม่ใช่ตอนมาซื้อของฉันแบบนี้สักทีได้ไหม!”

    ชายหนุ่มร่างใหญ่บ่นอุบ แล้วเอาสมุดมาจดหนี้ของอีกฝ่ายที่ยาวเป็นหางว่าวเพิ่มต่อท้ายไปอีก และแม้จะตามเก็บชำระได้ทุกครั้ง โดยที่เจ้าตัวไม่คิดหนี แต่ก็มักมีเหตุบังเอิญเข้ามา จนทำให้เขาเก็บเงินไม่ได้อยู่เป็นประจำ

     

    หลังจากจัดการข้าวเช้าเฉพาะตัวเรียบร้อย กีรติก็ทำอาหารสำหรับมื้อกลางวันของตัวเองเผื่อแช่เย็นเอาไว้ โดยเขาตั้งใจว่าพอถึงเวลาก็จะแวะมานำอาหารออกอุ่นด้วยเครื่องไมโครเวฟที่มีอีกที

    “คุณแฟนธอมจะกลับมากินหรือเปล่านะ ...ถึงร้านคุณดาหลาจะปิดเกือบแปดโมงก็เถอะ อืม...แต่ถ้าทำเผื่อไว้ให้แล้วไม่ถูกปากคงไม่ดีแน่ เขาเองก็บอกว่าให้หากินตัวใครตัวมันด้วยสิ...เอาไงดีเนี่ย”

    กีรติเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาตั้งโต๊ะที่เป็นเวลาหกโมงครึ่ง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่าจะออกไปถามแฟนธอมที่ใกล้เวลาเลิกงานเสียเลย



    “คุณแฟนธอมจะให้ผมทำอาหารเช้า...เอ่อ อาหารก่อนคุณเข้านอนเผื่อให้ไหมครับ”

    แฟนธอมขมวดคิ้วนิด ๆ ให้กับคำถามของรุ่นน้องผู้แวะมาหาเขาถึงป้อม  ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงบอกกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ

    “ไม่ต้องหรอก...เดี๋ยวฉันกลับไปแล้วก็จะนอนพักเลย สักเที่ยง ๆ บ่าย ๆ ค่อยตื่นมากิน”

    กีรติพยักหน้ารับรู้ พลางพึมพำขอโทษที่เขามารบกวน ทว่าแฟนธอมพอได้ยิน ก็รีบบอกอีกฝ่ายออกไปทันที

    “มันก็ไม่ได้รบกวนอะไรหรอก...เอ่อ ขอบคุณที่เป็นห่วง เพียงแต่ฉันกินแบบนี้จนชินแล้วน่ะ”

    คนฟังชะงักก่อนจะยิ้มกว้างตามมาอย่างโล่งอก แล้วจึงขอตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อที่จะมารับช่วงงานต่อจากอีกฝ่าย และเมื่อลับร่างกีรติไปแล้ว เสียงจากตู้ลำโพงฝังผนังป้อมยามก็ดังขึ้น

    “โอ...เพิ่งเคยเห็นคุณเป็นแบบนี้ครั้งแรกนะครับคุณแฟนธอม ผมว่ามาสเตอร์เห็นทีจะต้องสนใจเรื่องนี้แน่เลย  ผมรายงานให้มาสเตอร์ทราบดีกว่า...”

    “อย่าทำแบบนั้นเด็ดขาดเลยนะอเล็กซ์ ถ้านายยังไม่อยากให้ฉันพังนายทิ้งเสียเดี๋ยวนี้น่ะ!”

    แฟนธอมเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นทันควัน จนระบบรักษาความปลอดภัยแสนอัจฉริยะต้องเงียบไปครู่หนึ่ง  เพราะจากการประมวลผลของตน น้ำเสียงเช่นนั้นมีเปอร์เซ็นต์ที่คนพูดจะทำจริง ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

    “ครับ...ผมจะไม่รายงานเรื่องนี้ให้มาสเตอร์ทราบแน่ครับ”

    อเล็กซ์รีบรับคำตามมา ทำให้แฟนธอมสบถเบา ๆ แล้วเลิกให้ความสนใจกับอีกฝ่าย สักพักใหญ่กีรตินั้นก็มาเปลี่ยนเวรยามกะเช้า เนื่องจากเจ้าตัวยังไม่มีเครื่องแบบ จึงเลือกใส่เสื้อเชิ้ตขาวแขนยาวสุภาพและกางเกงผ้าสีดำแทน พร้อมกับผูกเนคไทสีน้ำเงินมาด้วย

    “แปลกไหมครับ แต่งแบบนี้”

    กีรติถามอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล แฟนธอมชะงักเล็กน้อย ก่อนจะมีรอยยิ้มนิด ๆ ที่ริมฝีปากของเจ้าตัว

    “ไม่แปลกหรอก แต่ดูเหมือนพวกนักศึกษาใหม่มากกว่ายามน่ะ”

    กีรติยิ้มเจื่อน ๆ แล้วก้มลงมองเสื้อผ้าของตัวเองอย่างเป็นกังวลอีกครั้ง จนแฟนธอมนึกขำ แล้วต้องเดินมาตบบ่ารุ่นน้องผู้มาใหม่เบา ๆ

    “อย่าห่วงน่า นายแต่งตัวเรียบร้อยดีมาก ส่วนเรื่องเครื่องแบบ ฉันว่าวันนี้คุณเวธน์ก็คงเอามาส่งให้เองนั่นล่ะ”

    “ครับ! ขอบคุณนะครับ”

    กีรติยิ้มให้อีกฝ่าย ซึ่งแฟนธอมก็ยิ้มน้อย ๆ ตอบ แล้วจึงขอตัวกลับไปพักผ่อน บริเวณป้อมยามจึงเหลือแต่เพียงกีรติที่เริ่มต้นทำหน้าที่ของตนด้วยความสดชื่นและเอาจริงเอาจังอย่างเต็มที่

    “อืม...ยืนสักชั่วโมง พอสองโมงเช้าก็ไปขี่จักรยานตรวจตราสักรอบ แล้วก็กลับมาเฝ้าป้อม  เที่ยง ๆ บ่าย ๆ ก็ค่อยขี่จักรยานอีกสักรอบ ...เอาแบบนี้ก็แล้วกัน!”

    กีรติพึมพำตั้งกำหนดการทำงานให้กับตัวเอง เขายืนอยู่สักพัก ก็เริ่มมีคนในหมู่บ้านเดินออกไปทำงานบ้าง เดินเล่นบ้าง  กีรติจึงส่งยิ้มแย้มทักทายคนที่ผ่านไปมาเหล่านั้น  คนที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใช้รถยนต์ไปทำงานกันเท่าใด แต่จะเดินกันไปแทน มีบ้างที่ขี่จักรยานหรือมอเตอร์ไซด์ แต่เท่าที่มองก็ยังถือว่าเป็นส่วนน้อยอยู่ดี

     “สวัสดีครับ เพิ่งมาทำงานเป็นวันแรก สินะครับ”

    เสียงทักทายดังขึ้น จากคนที่เข็นตะกร้าติดล้อรถ ซึ่งบรรจุไม้กวาดและที่ตักขยะมาด้วย ผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มวัยน่าจะไม่เกินสามสิบต้น ๆ ไว้ผมสั้นแสกกลางยาวปรกคอ ตาเรียวเล็ก จมูกโด่งคมสัน ผิวพรรณเนียนละเอียด มองดูแล้วไม่ค่อยคล้ายคนไทยสักเท่าใดนัก

    “สวัสดีครับ ผมชื่อกีรติครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

    กีรติยกมือไหว้อีกฝ่ายที่น่าจะดูอายุมากกว่าเขา อีกฝ่ายรีบยกมือรับไหว้ แล้วจึงโค้งศีรษะน้อย ๆ ให้กีรติ

        “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ผมชื่อยูกิมูระ ริว อาศัยอยู่ซอยสองครับ”

    กีรติฟังชื่ออีกฝ่ายแล้วก็ต้องเลิกคิ้วนิด ๆ และดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าเขาแปลกใจ จึงได้อธิบายตามมา

    “ผมเป็นคนญี่ปุ่นครับ ด้วยอุบัติเหตุนิดหน่อย เลยทำให้ตัดสินใจทิ้งประเทศมาอยู่ที่นี่แทน ...ผมรักที่นี่มาก ทุกคนเป็นคนดี น่ารักกันทั้งนั้น  คุณเจ้าของที่ดินเองก็เมตตาต่อผมมาก เขาให้ผมทำงานกวาดถนน แถมยังให้ที่พักอาศัยอีกด้วย”

    กีรตินิ่งรับฟัง แล้วจึงยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรให้อีกฝ่าย

    “อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่คุณริวนี่พูดภาษาไทยเก่งจังเลยนะครับ”

    “เพราะอยู่ที่นี่มาจะสามปีแล้วล่ะครับ แถมยังไม่มีใครพูดญี่ปุ่นได้สักคน ผมเลยต้องพยายามเรียนรู้ให้หนัก ไม่อย่างนั้นก็คงสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง”

    ริวบอกออกไปพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ซึ่งกีรติก็ยิ้มตอบรับ จากนั้นหนุ่มญี่ปุ่นจึงขอตัวไปทำงานของเขาต่อ ซึ่งกีรติก็เอ่ยลาพร้อมโค้งศีรษะให้ริวน้อย ๆ อันเป็นการเคารพในแบบที่ประเทศของอีกฝ่ายมักจะทำกัน



    “ดูเป็นเด็กใสซื่อไร้เดียงสา อย่างที่ชาวบ้านเล่าให้ฟังจริง ๆ ด้วยล่ะริว!”

    เสียงแหลมเล็กดังขึ้นทันทีที่ริวเดินห่างป้อมยามมาได้สักพัก จากนั้นจึงปรากฏกลุ่มควันลอยอยู่เหนือไหล่ของชายหนุ่ม และพอควันจางลง ก็มีสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กเท่ากระรอก เกาะไหล่ของอีกฝ่ายอยู่ ริวชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตำหนิเสียงค่อย

    “อย่าโผล่มาแบบนี้สิ ชิโระ เดี๋ยวเด็กคนนั้นก็เห็นนายเข้าหรอก”

    “ถ้าเห็นก็บอกว่าเป็นสัตว์เลี้ยงสิ ไม่เห็นจะยาก”

    จิ้งจอกสีขาวโพลนทั้งตัว สะบัดหางเป็นพวงสวยของตนไปมาขณะตอบ เรียกเสียงถอนหายใจจากคนฟังเบา ๆ ก่อนจะชะงักเมื่อจิ้งจอกตัวน้อยเริ่มพูดต่อ

     “เมื่อไหร่เด็กนั่นจะรู้ตัวสักทีนะ ว่าตัวเองอยู่ในหมู่บ้านแบบไหน ...ฉันชักอยากรู้แล้วล่ะสิ ริว ว่าเขาจะรับเรื่องราวของทุกคนได้ไหม ...ถ้ารับได้ก็ดีสิเนอะ ริวจะได้มีเพื่อนใหม่เป็นมนุษย์เพิ่มมาอีกไงล่ะ”

     “แค่เพื่อนทุกวันนี้ สำหรับฉันมันก็เพียงพอแล้วล่ะ”     

     ชายหนุ่มเปรยขึ้นด้วยสีหน้าและแววตาที่ขรึมลง เรียกเสียงถอนหายใจเบา ๆ จากเจ้าจิ้งจอกน้อยให้ดังขึ้นบ้าง

    “ถึงริวจะละทิ้งมนุษย์ด้วยกัน มาอยู่กับพวกเขาแล้วก็จริง แต่อย่าลืมสิว่าตัวริวเองก็เป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเสียหมด...มนุษย์ดี ๆ ก็มีให้เห็น อย่างคุณเจ้าของที่ดิน อย่างคุณเลขา แล้วก็พวกลี ยังไงล่ะ”

     คนฟังชะงัก แล้วจึงหันมาแย้มยิ้มน้อย ๆ อ่อนโยนส่งให้ร่างบนบ่าของตน

    “นั่นสินะ...ขอบคุณนะชิโระ ที่ช่วยเตือนสติ”

    “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจว่าริวยังไม่ลืมเรื่องในอดีต แต่สักวันมันก็ต้องผ่านไปเองล่ะนะ”

    ริวลูบศีรษะจิ้งจอกตัวน้อยบนไหล่เขา พร้อมกับพึมพำขอบคุณแผ่วเบา จากนั้นจึงตรงไปที่หน้าหมู่บ้าน และจัดการเก็บกวาดใบไม้ใบหญ้า ที่ร่วงหล่นเกะกะพื้นถนนตามหน้าที่ของตนไปตามปกติ

     

    กีรติมองเวลาที่เดินผ่านไปเรื่อย ๆ และเมื่อถึงเวลาขี่จักรยานตรวจตราหมู่บ้าน อย่างที่เขาเคยตั้งใจเอาไว้ ชายหนุ่มก็ตรงไปที่จักรยานซึ่งจอดอยู่ แล้วขี่มันออกไปยังซอยกลางก่อนเป็นซอยแรก

    “อืม...หมู่บ้านนี้มีลมเย็นพัดผ่านเรื่อย ๆ สบายจังเลยแฮะ”

    ชายหนุ่มสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด เนื่องจากแถวนี้เป็นดงสวนผลไม้ แถมยังอยู่ห่างจากถนนใหญ่เข้ามาพอสมควร และเท่าที่ฟังจากแฟนธอม สุดซอยนี้ยังมีลำคลองตัดผ่านอีกด้วย

    “โชคดีจังที่ได้มาทำงานที่นี่ เราต้องตั้งใจทำงานให้เต็ม...ที่”

    กีรติชะงักค้างคำพูดชั่วครู่ด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ เสียงโครมครามก็ดังขึ้นในบ้านที่เขากำลังขี่จักรยานผ่าน พร้อมกับเสียงตะโกนโวยวายของเด็กสาวคนหนึ่ง

    “ว้าย! พ่อตกบันไดค่ะแม่!”

    ประโยคที่ได้ยินทำให้กีรติรีบทิ้งจักรยาน วิ่งผ่านบานประตู้รั้วบ้านที่เปิดแง้ม ๆ เอาไว้ ก่อนจะตรงไปเปิดประตูพรวดพราด หมายจะเข้าไปช่วยคนด้านในนั้น

    “บาดเจ็บหรือเปล่าครับ! ให้ผมช่วยอะไร...ไหม”

    กีรติชะงักค้าง เมื่อเห็นร่างที่กลิ้งตกบันไดจากชั้นบน นอนคว่ำหน้านิ่ง ข้าง ๆ มีร่างโปร่งใสรูปร่างใกล้เคียงกัน ยืนเกาศีรษะด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ

    “เอ่อ...มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”

    กีรติถามเสียงแผ่ว พลางกลืนน้ำลายลงคอ ทำเอาร่างโปร่งใสร่างนั้นสะดุ้งโหยง แล้วหันมามองคนพูดด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับภรรยาและลูกสาวที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่บนชั้นสองตรงทางลงบันไดบ้าน

    “ง่า...ช่วยหรือ เอิ่ม...คือว่า ผมแค่ตกบันได แล้ววิญญาณหลุดจากร่างเทียมของตัวเองเท่านั้นเองครับ  จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรต้องให้คุณช่วยหรอก หรือถ้าอยากจะช่วยจริง ๆ ก็ช่วยประคองร่างนั้นขึ้นมานั่งให้หน่อยแล้วกัน...”

    “คุณคะ!”

     เสียงแหลมตวาดขัดขึ้น พร้อมกับแววตาดุของหญิงสาวผู้เป็นภรรยา ทำเอาคนเป็นสามีสะดุ้งโหยงอีกครั้ง

    “ขอโทษนะคะ เอิ่ม...นี่เป็นแค่ภาพสามมิติที่สามีฉันเขาฉายขึ้นเท่านั้นล่ะค่ะ ส่วนเจ้าตัวก็แกล้งทำเป็นสลบหลอกคุณเท่านั้นเอง... จริงไหมคะคุณ!”

    ชายผู้เป็นสามียิ้มแห้ง ๆ กับสายตาคาดคั้นของภรรยา แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ จากนั้นคนเป็นลูกสาวจึงตามลงมาสมทบ แล้วเชิญกีรติออกจากบ้านด้วยรอยยิ้มกึ่งบังคับ

    “ถ้ายังไงคุณช่วยออกไปก่อนดีกว่านะคะ เดี๋ยวพวกเราจัดการกันเองได้ค่ะ”

    “เอ่อ...เอางั้นก็ได้ครับ ...ว่าแต่ไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะครับ”

    “ไม่หรอกค่ะ คุณพ่อเขาก็ชอบแกล้งเพื่อนบ้านแบบนี้ประจำนั่นล่ะค่ะ”

    เด็กสาวรีบตัดบท ซึ่งกีรติมองดูก็รู้ว่าเธอไม่อยากให้เขาอยู่ต่อ จึงจำต้องขอตัวออกไปอย่างไม่อยากเสียมารยาท แต่ก่อนจะไป เขาเหลือบมองชายร่างโปร่งใส แล้วจึงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มอย่างจริงใจ

    “เป็นภาพสามมิติที่สมจริงมากเลยนะครับ ผมเห็นตอนแรกยังตกใจเลย นึกว่าเป็นวิญญาณของจริงเสียอีก”

    “ง่า...ขอบคุณมากครับ”

     เจ้าของบ้านตอบรับพลางยิ้มเจื่อน ๆ และเมื่อกีรติจากไปแล้ว ทั้งหมดต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วฝ่ายสามีจึงเอ่ยขึ้นก่อน

    “เชื่อคนง่าย จนน่าเป็นห่วงอนาคตจังเลยนะ”

    “เฮ้อ! นั่นสิคะ แต่คนดี ๆ มีน้ำใจแบบนี้ ก็อยากให้อยู่กันยาว ๆ ต่ออีกสักหน่อย ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้รู้ความจริงเลย”

     ภรรยาเอ่ยสำทับตามมา ส่วนลูกสาวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงตรงไปช่วยประคองร่างเทียมของบิดาให้นั่งพิงราวบันไดแถวนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้าง

    “แต่หนูสังหรณ์ใจว่า เขาต้องรู้ความจริงในเร็ว ๆ นี้สักวันเป็นแน่ ...ก็คนในหมู่บ้านเราแต่ละคนน่ะ ระวังเป็นเสียทีไหนล่ะคะ”

    เด็กสาวค้อนให้ร่างโปร่งใสของบิดาเธอ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มเจื่อน ๆ แล้วแย้งกลับไปบ้าง

    “ก็ถ้าลูกไม่ตะโกนเสียงดังว่าพ่อตกบันได มีหรือเขาจะเข้ามาบ้านเราจนเจอแจ็คพ็อตแบบนั้น”

    ผู้เป็นลูกสาวชะงักเล็กน้อย ก่อนจะทำเป็นค้อนใส่บิดาอีกครั้ง

    “ฮึ! ก็หนูตกใจนี่นา... พ่อนั่นล่ะผิดที่เดินไม่ระวังจนตกบันได  ดีนะที่เป็นร่างเทียม ไม่อย่างนั้นก็คงได้ตายซ้ำสองอีกรอบหนึ่งแน่!”

    ร่างโปร่งใสสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา แล้วจึงลอยกลับเข้าไปในร่างของตนอีกครั้ง เจ้าตัวลืมตาขึ้นพลางกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพักใหญ่ แล้วจึงขยับร่างไปมาได้ เขาสำรวจร่างตัวเอง ว่ามีกระดูกหัก หรือข้อต่อหลุดอะไรบ้าง และเมื่อพบว่ามันปกติดี จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก  ก่อนจะหวนนึกขอบคุณผู้สร้างร่างของเขาทั้งสองคน ...ซึ่งคนหนึ่งก็คือนักประดิษฐ์อัจฉริยะ และอีกคนก็คือนักพรตองเมียวผู้เก่งกาจ  ทั้งคู่ช่วยสร้างร่างเทียมให้กับครอบครัววิญญาณเร่ร่อนอย่างพวกเขา จนสามารถกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง  ซึ่งทั้งสองคนที่ว่านั้น ก็ล้วนต่างอาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยกันทั้งคู่นั่นเอง     



… TBC …


เรื่องนี้จะออกแนวใส ๆ โชเน็นไอนะคะ  เน้นเรื่องราวชีวิตประจำวัน และความสัมพันธ์ของผู้คนและคู่รักในหมู่บ้านเป็นหลัก ส่วนกีรติ ของเราก็แน่นอนว่าน่ารักน่าฟัด ขนาดนั้น ก็ต้องเป็นฝ่ายรับอยู่แล้วเนอะ ^ ^" ส่วนคู่ของหนูกี ก็ลองเดา ๆ กันดูนะคะว่าจะเป็นใครกันค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2014 15:25:23 โดย Xenon »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ loveyous

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-4
    • Aphrodite Shop
น่ารัก

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ซื่อดีแท้

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
ไม่เดา
รออ่านค่ะ

ออฟไลน์ Minerva

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 269
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
สนุกมากเรื่องนี้ อ่านแล้วเหมือนอ่านการ์ตูนที่ดังแล้วอ่ะ
พล็อตเรื่องฮาดี ลุ้นด้วยว่ากีรติจะรู้เมื่อไหร่ 55+
น่ารั๊คอ่ะ ใสซื่อ โมเอ้

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ toye

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-0
มาแล้วนิยายเรื่องใหม่ของพี่ปัด
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
 :mc4:

อัยยะ  เพิ่งเห็นว่าคุณ Xenonลงเรื่องนี้

อ่านไปถึง4ตอนแล้วชอบมาก  ทั้งหนูกีและแฟนธอม  รวมถึงคนในหมู่บ้านด้วย

แต่เรียกคนไปซะทุกตัวละครก็คงไม่ถูกเนอะ   :laugh:

สรุปชอบมากค่ะ

รออ่านตอนต่อไปนะคะ 

รักตรงนี้ที่จะลงทุกวันวันละสองตอนนี่แหละ

บวกเป็ด +1  ปลื้มจัง

 :pig4:

Magician

  • บุคคลทั่วไป
จิ้มๆ  :z13:

ออฟไลน์ Thyme103

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ซื่อมากอะกี

Anyann

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักค่ะ มีแต่ตัวละครที่ดูใจดีๆทั้งนั้นเลย ส่วนหนูกีก็ต้องคู่กับคุณแฟนท่อมอยู่แล้วสิคะ :D

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3

ออฟไลน์ Satang_P

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
หนูกีก็มีประวัติลึกลับเหมือนกันนะ
แอบคิดว่าหนูกีไม่ใช่มนุษย์ร้อยเปอร์เซ็น
แบบอาจเป็นลูกครึ่งมนุษย์กับปีศาจ

 :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
ยังเชื่ออีกหรอเนี่ย มองโลกในแง่ดี ใสซื่อ หรือซื่อบื้อเนี่ย อิอิ แต่น่ารักดี ชอบๆ

ออฟไลน์ arun

  • 我是水。
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 o13 o13 สุดยอด อยากอ่านต่อมาอัพเร็วๆนะคะ
ป.ล. บวกเป็ดให้แล้วนะไม่มาอัพจะงอลค่ะ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
...แวะมาต่อ  ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน รวมถึงทักทายพูดคุยกันนะคะ ^^
edit: เข้ามาแก้ไซส์ข้อความเป็นไซส์ดั้งเดิมของระบบค่ะ

ตอนที่ 5
รู้ความจริง




    กีรติขี่จักรยานวนรอบหมู่บ้านแล้วกลับมาที่ป้อมยามอีกครั้ง เขายืนเฝ้าอยู่ด้านนอกสักพัก แต่พอไม่เห็นมีใครเข้าออกอีก ชายหนุ่มจึงเดินเข้ามาในป้อมยาม เพื่อตรวจสอบดูความเรียบร้อยจากกล้องวงจรปิดแทน

    “ดูกี่ที ๆ ก็เป็นระบบที่สุดยอดจริง ๆ คงจะลงทุนกับระบบกล้องวงจรปิดพวกนี้ไปไม่น้อยเลยสินะ ถึงได้จ้างยามเฝ้าแค่กะละคนเท่านั้น”

    กีรติพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง จากนั้นจึงสำรวจมองจอภาพแต่ละจอ ที่เป็นมุมมองเด่น ๆ ในแต่ละซอยอย่างนึกทึ่ง

    “เหมือนดูภาพจากดาวเทียมแทนกล้องวงจรปิดตามปกติเลยนะนั่น  มีซูมมุมใกล้ไกลด้วย อย่างกับในหนังเลยแฮะ!”   

    ทันทีที่กีรติเอ่ยไปแบบนั้น จอภาพก็เหมือนจะมีสัญญาณสะดุดเล็กน้อย ก่อนที่ภาพจะปรับเป็นมุมเดียวกันทั้งหมด จนเหมือนกับภาพจากกล้องวงจรปิดทั่วไป

    “เอ๋...เหมือนภาพจะเปลี่ยนไปหรือเปล่าเนี่ย  อืม...แปลกจังแฮะ”

    ชายหนุ่มพึมพำ แล้วจ้องจอภาพหลายจอตรงหน้านิ่ง แต่สักพักก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และจึงเลิกใส่ใจในเรื่องที่เขากำลังสงสัย ก่อนจะเฝ้าสังเกตความเรียบร้อยในแต่ละหน้าจอแทน

    “หือ...เด็กนั่น...”

    กีรติมองหน้าจอหนึ่งอย่างสนใจ ภาพในจอนั้นเป็นเด็กผู้ชายอายุไม่น่าเกิน 10 ปี กำลังพยายามหยิบอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้รถยนต์ซึ่งจอดอยู่ชิดกำแพง แต่เมื่อหยิบไม่ได้สักที เจ้าตัวจึงเกาศีรษะคล้ายหงุดหงิดให้ได้เห็น   

     ทางด้านกีรติที่มองอยู่อมยิ้มน้อย ๆ ขณะที่กำลังคิดว่าจะขี่จักรยานออกไปช่วยเด็กคนนั้นหยิบของ ทว่าภาพที่เห็นตามมาก็ทำให้กีรติถึงกับนิ่งอึ้งตกตะลึงตาค้าง เมื่อจู่ ๆ เด็กชายในจอก็มองซ้ายมองขวา แล้วค่อย ๆ ยกรถคันนั้นขึ้นด้วยมือเปล่า ก่อนจะนำไปวางที่ถนนเลนข้าง ๆ แล้วจึงเดินไปเตะลูกบอลให้กลิ้งออกมา จากนั้นจึงยกรถกลับไปวางไว้ที่เดิมอย่างน่าอัศจรรย์

    “ฮะ ๆ เด็กสมัยนี้แข็งแรงจังเลยนะ...”

     กีรติพึมพำเสียงแผ่วอย่างยังคงไม่หายตกใจ ส่วนคอมพิวเตอร์อัจฉริยะที่ไม่ทันเซนเซอร์ภาพ ก็เริ่มออกอาการลนลาน และสั่งปิดจอภาพทีละจอ เนื่องจากเกรงว่ากีรติจะสังเกตเห็นพฤติกรรมเคยชินของคนในหมู่บ้านมากไปกว่านี้ แล้วถ้ากีรติเกิดทราบความจริงและกลัวจนหนีไป แฟนธอมก็อาจจะพาลมาโทษว่าเป็นเพราะเขาก็ได้

    “อะ...เอ๋...ทำไมจอภาพดับหมดล่ะ ...มือเราไปโดนอะไรหรือเปล่าเนี่ย...ตายล่ะ ดับหมดแล้ว ทำไงดีล่ะ!”

    กีรติเองก็ตกใจที่จู่ ๆ จอภาพทยอยกันดับทีละจอ เขามองซ้ายขวาอย่างลนลาน แล้วลุกขึ้นเตรียมจะไปหาใครบางคนมาช่วย

    “ไปให้คุณแฟนธอมมาช่วยดูให้ดีกว่า!”

    ขาดคำของกีรติ เสียงจากลำโพงก็ดังตะโกนห้ามตามมาทันที

    “อย่านะ! ห้ามไปเรียกเขาเด็ดขาด!”

    กีรติชะงักกึก แล้วจึงค่อย ๆ หันซ้ายหันขวา หาที่มาของเสียงปริศนานั่นอย่างแปลกใจ

    “เสียงใครน่ะ...”

    เงียบกริบไม่มีอะไรดังขึ้นอีกเลย กีรติขมวดคิ้วนิด ๆ และขณะกำลังหันหลังเตรียมจะเดินออกไปเพื่อแจ้งแฟนธอมอย่างที่เคยคิดไว้ก่อนหน้านั้น  เสียงเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้ง

    “...เสียงผมเองล่ะ ผมชื่ออเล็กซ์ เป็นระบบดูแลรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านแห่งนี้”

    เสียงจากลำโพงตัดสินใจบอกความจริงออกไป เพราะเท่าที่เขาลองประมวลผลจากพฤติกรรมของกีรติ ดูท่าทางชายหนุ่มน่าจะเป็นคนมีสติมั่นคงอยู่พอสมควร

    “ระบบดูแลรักษาความปลอดภัย  เอ่อ...ไม่ใช่คนหรือครับ”

    กีรติย้อนถามกลับไปด้วยสีหน้าตกใจกึ่งสงสัย ซึ่งอเล็กซ์ก็ขึ้นตัวอักษรในประโยคที่เขาพูดบนหน้าจอทุกจอให้อีกฝ่ายเห็น

    “ใช่แล้ว ...ผมไม่ใช่คน แต่เป็นระบบ AI อัจฉริยะซึ่งสร้างขึ้นโดยมาสเตอร์เจอรัลด์  มีชื่อว่าอเล็กซ์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณกีรติ”

    กีรตินิ่งอึ้ง เขาเงียบไปอยู่ครู่ใหญ่ จนอเล็กซ์ทักขึ้นอีกครั้ง

    “คุณกีรติได้ยินที่ผมพูดไหม เอ...หรือว่าช็อกไปแล้ว”

    “...สุดยอด”

    เสียงพึมพำดังขึ้นหลังจากอเล็กซ์เอ่ยจบ และจากนั้นกีรติก็มีใบหน้าตื่นเต้น พร้อมกับกำมือแน่น ก่อนจะเอ่ยโพล่งขึ้นลั่นอย่างลืมตัว

    “สุดยอด! มหัศจรรย์ที่สุดเลยครับ คุณอเล็กซ์!  ผมเพิ่งเคยเห็นระบบคอมพิวเตอร์ที่พูดคุยโต้ตอบกับมนุษย์ได้จริง ๆ เป็นครั้งแรก นอกจากในหนังเลยนะครับเนี่ย!”

    อเล็กซ์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งทั้งแปลกใจและพอใจ เพราะนอกจากจะได้รับการยกย่องจากกีรติ อีกฝ่ายยังเรียกตนว่าคุณอย่างให้เกียรติอีกต่างหาก จึงทำให้ระบบ AI อัจฉริยะที่ถูกใจในตัวกีรติอยู่แล้ว ตัดสินใจเล่าความลับของหมู่บ้านแห่งนี้ให้กีรติฟัง  วัดจากข้อมูลพฤติกรรมของชายหนุ่มที่ผ่านมานั้น มีเปอร์เซ็นต์ยืนยันสูงเกินครึ่งว่า กีรติจะสามารถเข้าใจและรับรู้ในตัวตนของสมาชิกในหมู่บ้านแห่งนี้ได้ อย่างแน่นอน



    กีรติถึงกับนิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึง เมื่ออเล็กซ์เริ่มต้นเล่าว่า ผู้คนในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่เป็นปีศาจและภูตผีกว่าค่อนหมู่บ้าน  แถมพอเห็นกีรติดูมีสีหน้าไม่เชื่อถือ อเล็กซ์จึงมีภาพประกอบแสดงให้เห็นถึงข้อมูลของสมาชิกแต่ละครอบครัว ผ่านหน้าจออีกต่างหาก โดยเริ่มจากบ้านหลังแรกคือร้านค้าอาหารตามสั่งประจำหมู่บ้านนั่นเอง

    “เอ่อ...นั่นไม่ใช่เทคนิกการเมคอัพหรอกหรือครับ”

    กีรติแย้งขัดเมื่ออเล็กซ์แนะนำว่าทั้งคู่นั้นเป็นมนุษย์หมาป่า ที่สามารถกลายร่างได้ตามใจชอบแล้วแต่ตนต้องการ แถมยังไม่บ้าคลั่งหรือเที่ยวไปอาละวาดไล่กัดแพร่เชื้อใส่ชาวบ้านเหมือนในหนัง นอกจากนี้ทั้งคู่ยังชอบกินผักผลไม้มากกว่ากินเนื้ออีกด้วย

    “เมคอัพ? มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงเล่าคุณกีรติ เมคอัพที่ไหนจะทำได้เหมือนจริงปานนั้น  ...แต่เขาจะพูดแบบนั้นก็ไม่แปลกหรอก เพราะผมคิดว่าพวกเขาคงชอบคุณ และไม่อยากให้คุณกลัวจนทิ้งที่นี่ไปเสียก่อนน่ะ”

    กีรติชะงักพลางหวนคิดถึงเรื่องแปลก ๆ และคำแก้ตัวของคนในหมู่บ้านที่เขาพบเจอ ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ตามมา

    “นั่นสินะครับ ถ้ารู้ความจริงก็คงกลัวบ้าง...แต่ถ้าไม่คิดร้ายกัน ก็คงไม่คิดหนีหรอกครับ”

    คำพูดของกีรติทำให้อเล็กซ์ยิ่งพึงพอใจมากขึ้น เพราะจากการประมวลผลและตรวจสอบด้วยระบบจับเท็จของตน ทำให้อเล็กซ์รู้ว่ากีรติไม่ได้พูดโกหกแต่อย่างใด

    “ดีแล้วที่คุณคิดแบบนั้น  ถ้าอย่างนั้นผมก็จะแนะนำคนอื่น ๆ ถัดมาให้รู้จักแล้วกัน  อะ...เอ๋...มาสเตอร์...เดี๋ยวสิครับ...อย่าเพิ่งแทรกแซงเข้ามาสิครับ...มาสเตอร์...”

    เสียงของอเล็กซ์เงียบหายไป ทำให้กีรติชะงักด้วยความตกใจ เพราะหน้าจอตรงหน้าก็มืดลงไปด้วย

    “คุณอเล็กซ์ครับ! เป็นอะไรไปครับ! ตายล่ะ! ระบบมีปัญหาหรือเปล่าไม่รู้ ...ทำไงดีล่ะ ไปถามคุณแฟนธอมดีกว่า!”

    ทันทีที่กีรติพูดจบและเตรียมจะลุกออกไปจากป้อมยาม เสียงกระแอมก็ดังขึ้นจากลำโพงฝังผนังป้อมอีกครั้ง

    “อะแฮ่ม! ขอโทษนะครับ ถ้าเป็นไปได้ช่วยกรุณาอย่าบอกเรื่องนี้ให้กับคุณแฟนธอมทราบได้ไหมครับ ...ผมขอร้องล่ะ”

    กีรติชะงักกึก แม้จะเป็นเสียงเดียวกัน แต่พอฟังลักษณะการพูดจาแล้ว ราวกับว่าเป็นคนละคนเสียอย่างนั้น

    “เอ่อ...คุณใช่คุณอเล็กซ์หรือเปล่าครับ ...หรือเป็นคนอื่น”

    คำถามอย่างลังเลทำให้คนอยู่ตรงหน้าจอภาพภายในห้องใต้ดินชะงัก ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากอย่างพึงพอใจตามมา

    “วิเศษจริง ๆ คุณเป็นคนที่สองนะ ที่แยกผมกับอเล็กซ์ได้ทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกน่ะ”

    “แสดงว่าคุณก็ไม่ใช่คุณอเล็กซ์หรือครับ?”

    กีรติถามกลับไปอย่างงุนงง เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นก่อน แล้วน้ำเสียงทุ้มนุ่มจึงดังตอบตามมา

    “ครับ ...ผมไม่ใช่อเล็กซ์ แต่ผมเป็นคนสร้างเขาขึ้นมา ผมชื่อเจอรัลด์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณกีรติ”

    กีรตินิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ทว่าพอได้สติ เขาก็รีบทักทายตอบอีกฝ่ายอย่างตื่นเต้น

    “สะ...สวัสดีครับ คุณเจอรัลด์  ผมไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้มีโอกาสรู้จักกับนักประดิษฐ์เก่ง ๆ แบบคุณมาก่อน คุณอเล็กซ์เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่สุดยอดมากเลยนะครับ!”

    เจอรัลด์หัวเราะเบา ๆ ต่อความใสซื่อเหมือนเด็กของอีกฝ่าย เขาไม่แปลกใจอีกแล้วว่า ทำไมแฟนธอมที่ไม่ชอบคบหาสมาคมกับผู้คน จึงได้สนใจในตัวชายหนุ่มคนนี้ขึ้นมาได้ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่พบกัน

    “ผมเองก็ยินดีที่ได้รู้จักกับคุณเช่นกัน ...และที่ต้องเสียมารยาททำการแทรกแซงการพูดคุยของคุณกับอเล็กซ์ เพราะเห็นว่า อเล็กซ์กำลังละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของสมาชิกในหมู่บ้านมาแสดงให้คุณทราบ ...จริงอยู่ที่ผมไม่ได้ตั้งระบบปกปิดเป็นความลับเอาไว้ แต่โดยมารยาทแล้วมันก็ไม่ควรจริงไหมครับ ...ถ้าคุณอยากรู้จักพวกเขา คุณก็ควรเข้าหาสอบถามด้วยตัวเองจะดีกว่า ...ถ้าคุณไม่กลัวจนหนีไปเสียก่อนน่ะนะ”

    ท้ายประโยคเจอรัลด์เอ่ยกระเซ้านิด ๆ แต่แล้วก็ต้องเงียบไป เมื่อมองผ่านจอภาพ แล้วเห็นอีกฝ่ายมีรอยยิ้มและตอบเขากลับมา

    “ไม่หนีหรอกครับ  ทุกคนที่นี่ใจดีและเป็นห่วงความรู้สึกของผมกันทั้งนั้น  พยายามหาข้อแก้ต่างไม่ให้ผมกลัว ...จริง ๆ แล้วผมควรจะขอโทษพวกเขาด้วยซ้ำ ที่ทำให้พวกเขาต้องมาคอยหาเรื่องโกหก เพื่อให้ผมรู้สึกสบายใจแบบนี้”

    เจอรัลด์อมยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเป็นมิตร อย่างที่ไม่ค่อยได้ใช้กับใครมากนัก

    “คุณเป็นคนดีมากคนหนึ่งเลยล่ะคุณกีรติ  หมู่บ้านแห่งนี้เองก็ต้องการมนุษย์จิตใจดีงามอย่างคุณ มาร่วมอาศัยเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเราอยู่นะ... ถึงปีศาจอย่างผมพูดเองแล้วอาจจะดูแปลก แต่ผมก็อยากจะบอกคุณว่า พวกเราภูตผีปีศาจทั้งหลาย ก็มีความคิด ความรู้สึก ความรัก ไม่แตกต่างจากมนุษย์อย่างพวกคุณมีนักหรอก”

    คำพูดของเจอรัลด์ ทำให้คนฟังต้องหลุดยิ้มกว้างออกมา เพราะฟังดูแล้วก็ตีความได้ว่า เจอรัลด์และทุกคนที่นี่ก็อยากให้เขาอยู่ต่อไปเช่นกัน

    “ครับ! ผมเองก็เชื่อแบบนั้น ...อีกอย่างไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหน แต่เราก็สามารถเป็นมิตรกับเขาได้ ถ้าเราเข้าใจในตัวตนที่เขาเป็นอยู่ และเลือกปฏิบัติตนกับเขาด้วยความพอดี ที่เขาอยากให้เราเป็น ...พ่อของผมเคยสอนเอาไว้เมื่อตอนผมเป็นเด็ก และผมก็ยึดมั่นในคำสอนนั้นมาตลอด ...ผมคิดว่า ผมเองก็น่าจะเป็นมิตรกับทุกคนที่นี่ได้เหมือนกัน”

     เจอรัลด์ยิ้มอยู่หลังไมค์พลางนึกในใจว่า ครอบครัวของกีรติคงจะเลี้ยงดูสั่งสอนชายหนุ่มมาอย่างดี และไม่น่าที่จะเป็นพวกผีพนันเข้าสิงจนต้องทิ้งลูกหนีหนี้ อย่างที่ปัณณ์มาป่าวประกาศให้พวกเขาทราบ แต่ก็นั่นล่ะคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านมักจะรู้ดีว่า ปัณณ์นั้นเป็นนักเขียนนิยาย ที่ชอบจินตนาการและคิดไปเองใหญ่โต ดังนั้นหากชายหนุ่มเล่าอะไรให้พวกเขาฟัง แบบไม่มีหลักฐานรับรอง ก็เตรียมฟังหูไว้หูได้เลย

    “ผมดีใจนะ ที่คุณคิดแบบนี้ ...ตอนนี้คุณก็รู้ความจริงแล้ว ผมหวังว่าถ้าเห็นของจริงตรงหน้าอีก คุณก็คงไม่ตกใจมากมายนัก”

    กีรติยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบกลับไปโดยไม่มีท่าทางลังเล

    “ครับ! ผมจะพยายามไม่ทำตัวเสียมารยาทกับทุกคนออกไปนะครับ”

    เจอรัลด์รับฟังอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงกำชับว่าอย่าเพิ่งไปบอกแฟนธอมและทุกคนในหมู่บ้านให้รู้เรื่องนี้ เพราะเขาเกรงว่าแต่ละคนจะกรูกันมาแนะนำตัว แสดงตัว จนกีรติอาจจะประสาทแข็งไม่พอจะรับรู้พร้อม ๆ กันในคราเดียวก็เป็นได้

    “จริงอยู่นะครับ ว่าสมาชิกส่วนใหญ่ไม่ใช่อะไรที่น่าขวัญผวา ขนหัวลุกขนาดนั้น ...แต่ก็นั่นล่ะ ผมเองก็ไม่มีข้อมูลของคุณว่าระดับความกลัวของคุณอยู่ในขีดจำกัดแค่ไหน ดังนั้น ค่อย ๆ ปรับตัวเองไปเรื่อย ๆ ก็น่าจะดีกว่านะครับ”

    เจอรัลด์เอ่ยย้ำ ซึ่งกีรติก็รับคำอย่างเห็นด้วยตามนั้น ทำให้นักประดิษฐ์หนุ่มอมยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์  เพราะจริง ๆ แล้วที่เขายังไม่ให้กีรติบอกเรื่องนี้ หลัก ๆ แล้ว ก็เพราะต้องการเห็นสีหน้าเซอร์ไพรส์ของแต่ละคนในหมู่บ้านยามที่ได้รู้ความจริง โดยเฉพาะกับแฟนธอม เขาคาดว่าใบหน้าใต้หน้ากากนั่น จะต้องแสดงสีหน้าในแบบที่เขาไม่เคยได้เห็นและรับรู้มาก่อนเป็นแน่ทีเดียว



    เมื่อเจอรัลด์ตัดการติดต่อไปแล้ว อเล็กซ์ก็กลับมาทำงานต่อตามปกติ  ระบบ AI อัจฉริยะถึงกับบ่นอุบที่ถูกแทรกแซงการทำงาน แถมยังโดนสั่งห้ามไม่ให้เปิดเผยข้อมูลของสมาชิกในหมู่บ้านให้กีรติรับทราบอีกด้วย

    “มาสเตอร์บอกว่าให้คุณทำความรู้จัก และเรียนรู้สมาชิกทุกคนที่นี่ด้วยตัวเองจะดีกว่าน่ะครับ”

    กีรติฟังแล้วก็อมยิ้ม แล้วจึงพยักหน้าตามมา

    “ผมก็คิดว่าแบบนั้นน่าจะดีเหมือนกันล่ะครับ  เพราะจะได้เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีต่อกันมากยิ่งขึ้นด้วย”

    อเล็กซ์ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ เพราะเขาคิดว่าถ้าได้รู้ข้อมูลก่อนล่วงหน้าก็ย่อมได้เปรียบมากกว่า

    “สำนวนมนุษย์ยังมีคำว่า รู้เขารู้เราเลยไม่ใช่หรือครับ  การรู้ข้อมูลล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวไว้ก่อน มันน่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือครับ”

    กีรติรับฟังแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ พลางคิดว่าอเล็กซ์นั้นถึงจะฉลาดเพียงใด แต่ก็ยังมีความคิดไม่ซับซ้อนมากนัก และยังแสดงความคิดเห็นตรงไปตรงมา ซึ่งจุดนี้ทำให้เขาสามารถแยกอเล็กซ์กับเจอรัลด์ออกได้อย่างไม่ยากนัก

    “ครับ...มันอาจจะดีก็จริง  แต่การค่อย ๆ เรียนรู้ฝั่งตรงข้ามไปทีละน้อยด้วยตนเอง โดยไม่รู้อะไรมาก่อน มันก็สนุกดีนะครับ ถึงอาจจะมีผิดพลาดบ้าง แต่เราก็สามารถแก้ไข ลองผิดลองถูกไปได้เรื่อย ๆ ไม่ใช่หรือครับ”

    อเล็กซ์ฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ดูจากสีหน้าและน้ำเสียงของกีรติ ก็ทำให้เขาคิดว่า มันอาจจะเป็นเรื่องดีแล้วก็ได้สำหรับชายหนุ่ม

    “ถ้าคุณคิดว่าดี ทำแล้วพอใจ ผมก็ไม่มีอะไรคัดค้านหรอกครับ อีกอย่างมาสเตอร์ก็ห้ามเอาไว้แล้วด้วย”

    “ครับ...ขอบคุณนะครับ”

    กีรติรับคำพร้อมรอยยิ้ม พวกเขาคุยกันอีกสักพักใหญ่ ๆ  อเล็กซ์ก็เตือนให้กีรติไปพักกินข้าวกลางวัน ส่วนตัวเขาจะดูแลหมู่บ้านให้แทนช่วงนี้เอง  ซึ่งกีรติก็ขอบคุณอีกฝ่ายแล้วตรงไปจัดการมื้อกลางวันของตน เพื่อที่จะได้รีบกลับมาทำงานต่อภายหลังจากนั้น   

     

    ชายหนุ่มเดินเข้าสำนักงานหมู่บ้านทางประตูหลัง ทว่าพอผ่านห้องรับแขกไปทางครัว เขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังยืนชงกาแฟอยู่

    “เอ่อ...คือ... ง่า สวัสดีครับ”

    กีรติเอ่ยทักทายอีกฝ่าย เพราะคิดว่ายังไงก็น่าจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านนี้แน่  และพอได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้ดาราหรือนายแบบ ก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบกลับมา

    “สวัสดีครับ คุณคงจะเป็นคุณกีรติ ที่มาทำงานเป็น รปภ.กะเช้าของหมู่บ้านสินะครับ”

    กีรติชะงัก แล้วจึงพยักหน้าตอบรับ ทำให้อีกฝ่ายจ้องมองเขาอย่างพิจารณากว่าเดิม พร้อมกับยิ้มกึ่งขำ

    “เหมือนกับที่คุณเวธน์เล่าไว้ไม่มีผิดเลยครับ  อ้อ! ผมชื่อกรกฎ ทำงานเป็นเลขาคุณเวธน์ และคอยดูแลสำนักงานที่หมู่บ้านนี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

    กีรติรีบยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ทำเอากรกฎยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน ก่อนจะบอกกับอีกฝ่ายว่าให้ทำตัวเป็นกันเองก็ได้

    “ไม่ต้องสุภาพกับผมก็ได้ครับ คนกันเองทั้งนั้น ...ว่าแต่เป็นไงครับ ที่หมู่บ้านนี้ ...พอจะอยู่ได้ไหม”

    คำถามแฝงความนัยที่ถ้าก่อนหน้ารู้ความจริง กีรติคงจะแปลกใจ แต่พอเขาได้ล่วงรู้มาแล้ว เจ้าตัวจึงได้แต่ยิ้มน้อย ๆ พลางตอบกลับไป

    “อยู่ได้สิครับ คนที่นี่ใจดีและเป็นมิตรกับผมมาก ...ผมชอบที่นี่ครับ”

    คำพูดพร้อมรอยยิ้มจริงใจทำให้กรกฎอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอย่างเป็นมิตรให้อีกฝ่ายมากกว่าเดิม จากนั้นจึงขอตัวไปทำงานที่ค้างไว้ ซึ่งกีรติเองก็จัดแจงทำอาหารกลางวัน แล้วกินให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบตรงกลับไปทำงานต่อ และพอชายหนุ่มออกไปได้สักครู่ แฟนธอมก็เดินงัวเงียออกมานอกห้อง ชายหนุ่มทำจมูกฟุดฟิดเบา ๆ เพราะได้กลิ่นอาหารหลงเหลืออยู่   

    “หมอนั่นกลับมาแวะกินข้าวหรือครับ”

    แฟนธ่อมหันไปถามคนที่นั่งอยู่แถวนั้น ทางด้านกรกฎเงยหน้ามองชายหนุ่ม แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ส่งให้

    “ใช่ครับคุณแฟนธอม  เขาแวะมาพักทำอาหาร กินอาหาร แล้วรีบไปทำงานต่อแล้ว ขยันน่าดูจริง ๆ อยากให้คุณเวธน์เอาอย่างบ้างจัง”

    คำพูดของกรกฎทำให้แฟนธอมสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา ทั้งกับความไฟแรงของรุ่นน้องร่วมงาน และความไม่ค่อยใส่ใจของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของที่ดินคนล่าสุดของหมู่บ้านแห่งนี้

    “นี่...คุณแฟนธอม คุณคิดว่าจะเล่าเรื่องทุกคนในหมู่บ้านให้เขารับรู้ตอนไหนกันครับ ...ผมสังหรณ์ใจว่า ถ้าเป็นคนนี้ ต่อให้เจออะไรก็น่าจะรับได้นะครับ”

    แฟนธอมนิ่วหน้า แล้วจึงตอบเลี่ยง ๆ ออกไป

    “ผมอยากให้เขาคุ้นเคยกับทุกคนมากกว่านี้ ถึงเขาจะเข้ากับคนได้เร็ว แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจว่า ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่คน เขาจะคุ้นเคยได้ด้วยหรือไม่กันแน่”

    กรกฎมองคนพูดอย่างแปลกใจ ก่อนจะชะงัก แล้วหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ จนอีกคนชักเริ่มหงุดหงิด

    “มีอะไรน่าหัวเราะนักหรือไงครับ”

    “หึ ๆ เปล่าครับ  ผมแค่แปลกใจที่เห็นคุณแคร์เขาขนาดนั้น ...และที่ไม่กล้าเล่า เพราะกลัวว่าเขาจะหนีไปจริง ๆ สินะ”

    แฟนธอมสะดุ้งนิด ๆ ก่อนจะทำเสียงฮึในลำคอ เขาไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่กลับเดินตรงไปชงกาแฟ หยิบขนมปังในตู้เย็นออกมาปิ้ง แล้วนำทั้งกาแฟและขนมปังเดินตรงกลับเข้าห้องนอนของตนไปแทน ทำให้กรกฎอมยิ้มอย่างนึกขำ แล้วจึงพึมพำกับตัวเองเบา ๆ

    “จะว่าไปแววตาของเด็กคนนั้น มันเหมือนกับว่าจะรับรู้ถึงอะไรบางอย่างของที่นี่บ้างแล้วล่ะนะ  อืม...โทรแจ้งคุณเวธน์ดีกว่า เผื่อจะสนใจ แล้วจะได้เข้ามาช่วยการช่วยงานกันบ้างด้วย”

    เลขาหนุ่มพึมพำกับตัวเองจบ ก็ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี แล้วจึงโทรหาผู้เป็นนาย แจ้งถึงความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เห็นให้ได้รับรู้  ซึ่งเขาก็เดาไม่ผิดไปจากที่คิด เพราะเวธน์บอกว่าจะแวะเข้ามาที่หมู่บ้านในช่วงบ่าย เพื่อต้องการจะได้เห็นกับตาว่า รปภ.กะเช้าชั่วคราวคนใหม่ของหมู่บ้าน จะสามารถกลายเป็นสมาชิกเต็มตัวของหมู่บ้านแห่งนี้ได้หรือไม่กันแน่




... TBC ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2013 20:02:03 โดย Xenon »

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
edit: เข้ามาแก้ไซส์ข้อความเป็นไซส์ดั้งเดิมของระบบค่ะ


ตอนที่ 6
ปรับตัว



    หลังจากพักทานอาหารกลางวันเรียบร้อย กีรติก็กลับมาทำงานต่อ ตอนนี้เขารู้สึกสบายใจกว่าเดิม เนื่องจากมีอเล็กซ์เป็นเพื่อนคุย และยังเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้รับรู้ในขอบเขตที่ไม่เกินเจอรัลด์ห้ามเอาไว้

    “คุณเวธน์ เป็นเจ้าของที่ดินแถวนี้ รุ่นที่สามแล้วหรือครับ”

    ชายหนุ่มถาม AI อัจฉริยะอย่างสนใจ ซึ่งอเล็กซ์ก็ตอบกลับไปตามตรง

    “ใช่ครับ เจ้าของที่ดินแต่ละรุ่นจะส่งโฉนดที่ดินให้รุ่นต่อไปสืบทอด โดยคัดเลือกทายาทที่เหมาะสม และไม่จำเป็นต้องสืบสายเลือดเดียวกัน”

    จากนั้นอเล็กซ์จึงเล่าต่อมาว่า เจ้าของที่ดินแต่ละรุ่นมีหน้าที่สำคัญคือดูแลปกป้องรักษาผืนที่ดินบริเวณนี้ให้คงไว้ เพื่อที่จะได้เป็นที่อยู่อาศัย ของเหล่าภูตผีปีศาจ และมนุษย์ที่สามารถอยู่ร่วมกับพวกเขาได้  เนื่องจากคุณเจ้าของที่ดินรุ่นแรกเชื่อว่า ภูตผีปีศาจเองก็มีชีวิตจิตใจไม่แตกต่างจากมนุษย์เช่นตน และปรารถนาที่จะอยู่อาศัยร่วมกับพวกเขาอย่างมีความสุข โดยไม่มีการแบ่งแยกเกิดขึ้น

    “เป็นคนดีจังเลยนะครับ”

    กีรติเอ่ยชื่นชม เมื่อได้รับรู้ถึงที่มาที่ไปของหมู่บ้านมีสุขที่เขาทำงานอยู่

    “ใช่ครับ เป็นมนุษย์ดี ๆ ที่แทบจะหาได้ยากในสังคมมนุษย์สมัยนี้...แต่เสียดาย ผมเกิดไม่ทันได้พบท่าน แต่มาสเตอร์ก็ป้อนข้อมูลให้ผมได้รับรู้เกี่ยวกับท่านได้มากมายอยู่ล่ะครับ”

    อเล็กซ์บอกกับชายหนุ่ม ซึ่งกีรติก็พยักหน้ารับรู้ จากนั้นพอชำเลืองมองนาฬิกา เขาก็เห็นว่าน่าจะได้เวลาออกไปตรวจตราหมู่บ้านอีกรอบหนึ่งแล้ว กีรติจึงหันไปขอตัวกับอเล็กซ์ที่กำลังคุยด้วยกัน   

    “เชิญครับ ...เดี๋ยวผมดูแลความปลอดภัยบริเวณนี้เองครับ”

    อเล็กซ์รับคำ ซึ่งกีรติก็เอ่ยขอบคุณ แล้วจึงหยิบจักรยานที่จอดไว้มาขี่ตรวจตรารอบหมู่บ้านอีกครั้ง  ชายหนุ่มขี่จักรยานไปได้สักพัก เขาก็เจอเด็กชายคนที่ยกรถด้วยมือเปล่าให้เขาเห็นในจอภาพ กำลังเล่นกับเด็กหญิงผมเปียอยู่  ทั้งคู่วิ่งเล่นปิดตาไล่จับ แต่พอเด็กหญิงโดนไล่ต้อนไปติดกำแพง และใกล้จะโดนจับตัวได้ เธอก็กระโดดหนีขึ้นไปอยู่บนกำแพงสูง ที่เด็กธรรมดาหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ ก็ไม่มีทางกระโดดขึ้นไปได้ในครั้งเดียวแน่

    “อุ๊ย!”

    เสียงอุทานเบา ๆ ของเด็กหญิงคนเดิมดังขึ้นเมื่อเธอหันมาเห็นกีรติเข้าพอดี กีรติที่กำลังมองอยู่จึงชะงัก พลางยิ้มน้อย ๆ แล้วนำนิ้วชี้มาแตะริมฝีปาก เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายเงียบไว้  ก่อนที่เขาจะขี่จักรยานผ่านไปเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “มาลี ...เป็นอะไรไป ...ฉันเอาผ้าผูกตาออกได้ไหม”

    เสียงเด็กชายที่เล่นด้วยกันเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

    “ไม่ต้อง! เราแค่สะดุดพื้นนิดหน่อย นายห้ามโกงนะนายต้น!”

    เด็กหญิงรีบตอบพลางกระโดดจากกำแพงลงมาบนพื้นตามเดิม

    “ฉันไม่โกงแน่ ...แต่เธอนี่สิเผลอทีไรเป็นชอบโกงทุกที  อ้อ...แล้วห้ามหนีขึ้นบนกำแพงหรือบนเสาไฟด้วยนะ”

    “เออ ๆ เรารู้แล้วน่า ...มาจับเราให้ได้สักทีสิ”

    เด็กหญิงตัดบท แล้วแสร้งตบมือล้อเลียน ให้อีกฝ่ายตามเสียงมา แต่ก็ยังคงเหลือบมองไล่หลังกีรติไปอย่างสงสัย เพราะถ้าเป็นคนธรรมดามาเห็นเธอแบบนี้ก็น่าจะตกใจ หรืออาจจะแสดงอาการกลัวให้เห็น มากกว่าที่กีรติเป็นอยู่

    “แต่พี่เขาก็น่ารักดีแฮะ”

    เด็กหญิงผมเปียพึมพำกับตัวเอง แล้วจึงกระโดดถอยหลังหนี เมื่อหวุดหวิดเกือบถูกเพื่อนชายจับเธอได้อีกครั้ง



     กีรติขี่จักรยานมาถึงซอยแรก เขามองร้านค้าร้านหนึ่งที่จัดร้านเหมือนร้านโชห่วยทั่วไป แต่มีป้ายกระดาษที่เขียนภาษาไทยตัวใหญ่ ๆ ว่า ‘ขายทุกอย่าง’ แปะไว้หน้าร้าน

    “อ้าว! สวัสดี กี  ขี่จักรยานตรวจหมู่บ้านหรือ”

    ชายหนุ่มผมสั้น รูปร่างล่ำสัน เอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  เขาสูงเกือบ 180 เซนติเมตร ตาเรียวเล็กแบบคนจีน ทว่าผิวกับเข้มเหมือนคนไทย ซึ่งกีรตินั้นจำได้ดีว่า อีกฝ่ายเป็นคนที่เคยทดสอบเขาตอนที่เขามาหมู่บ้านนี้ใหม่ ๆ นั่นเอง

    “สวัสดีครับ คุณลี  นี่ร้านของคุณลีหรือครับ”

    กีรติถามอีกฝ่ายอย่างสนใจ ลีพยักหน้าตอบรับ แล้วบอกกับคนตรงหน้าอย่างร่าเริง

    “ใช่แล้ว! ฉันเปิดร้านขายของสารพัด อยากได้อะไรบอกมาได้เลย ฉันมีขายให้ทุกอย่าง แต่ถ้าของหายาก ๆ คงต้องใช้เวลาติดต่อในการซื้อขายสักหน่อย อย่างพวกเครื่องบินรบ หรืออาวุธสงคราม อะไรแบบนั้นน่ะ”

    คำพูดที่เหมือนจะล้อเล่นแต่มองจากนัยน์ตาคนพูดแล้วมีวี่แววเอาจริงไม่น้อย จนคนมองยิ้มเจื่อน ๆ แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ

    “ตอนนี้ผมยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้อะไรพวกนั้นหรอกครับ แต่ไว้ถ้ามีอะไรอยากได้ แล้วจะมาซื้อที่ร้านนะครับ”

    ลีเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงหัวเราะดัง ๆ พร้อมกับตบบ่าคนตัวเล็กตรงหน้าอย่างถูกใจ

    “นายนี่น่าสนใจจริงกี  หวังว่าคงจะอยู่ที่นี่นาน ๆ นะ  อย่าเพิ่งรีบหนีไปก่อนล่ะ!”

    กีรติยิ้มแล้วเอ่ยตอบในสิ่งที่ทำให้คนฟังชะงัก

    “ถ้าทุกคนอยากให้ผมอยู่ที่นี่จริง ๆ ถึงจะเจอเรื่องชวนให้ตกใจยังไง ผมก็ไม่หนีไปไหนง่าย ๆ หรอกครับ”

    จากนั้นกีรติจึงขอตัวไปขี่จักรยานตรวจตราหมู่บ้านต่อ โดยมีลีมองตามไล่หลังไป พร้อมกับเอ่ยพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา

    “รู้อะไรมาบ้างแล้วหรือเปล่านะ เจ้าหนูนั่น... แต่พูดแบบนี้มันถูกใจจังแฮะ หวังว่าคงจะทำได้อย่างที่พูดนะเจ้าหนู!”



    ถัดมาจากร้านของลีไม่กี่หลัง ก็เป็นร้านหนังสือ ที่ขายหนังสือเก่าเสียเป็นส่วนใหญ่ เจ้าของร้านกำลังยกกระถางต้นไม้หน้าบ้านขยับเปลี่ยนมุมอย่างยากลำบาก ทำให้กีรติที่เห็นต้องจอดรถจักรยานและตรงเข้าไปช่วยเหลือทันที

    “ให้ผมช่วยยกนะครับ”

    “เอ๋? อ้าว? คุณกีรตินั่นเอง สวัสดีครับ ผมชื่อปัณณ์ เมื่อเช้าเราก็เจอกัน จำได้ไหมครับ”

    กีรติจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งมีรูปร่างสูงโปร่งผอมบาง ผมกระเซิงไม่ค่อยเป็นทรง สวมแว่นตากรอบดำหนา หน้าตายิ้ม ๆ ดูอารมณ์ดีตลอดเวลา

    “อ้อ...ที่รถขายกับข้าวสินะครับ”

    “ใช่ ๆ คุณก็ความจำดีนะ ...ว่าแต่จะมาช่วยผมยกกระถางหรือครับ”

    ปัณณ์เอ่ยถามอย่างสนใจ ซึ่งกีรติก็พยักหน้าตอบรับ ทำให้คนถามชะงักเล็กน้อย แล้วลอบพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา

    “เฮ้อ...เป็นคนมีน้ำใจเสียจริง พ่อแม่นี่ก็ช่างกระไรเที่ยวสร้างหนี้สร้างสิน แล้วทิ้งลูกที่น่ารักแบบนี้ได้ลงคอ”

    กีรติเหลือบมองคนที่พึมพำบางอย่างไม่ได้ศัพท์อย่างแปลกใจ แต่ก็ทำเป็นไม่สนแล้วถามปัณณ์ต่อ

     “แล้วคุณปัณณ์จะให้ช่วยยกพวกนี้ไปไว้ไหนครับ”

    “อ๊ะ! อ้อ! ย้ายจากตรงนี้ไปไว้แถวริมรั้วหน่อยครับ พอดีหน้านี้แดดส่องมาไม่ถึงด้านใน ผมเลยกลัวต้นไม้จะได้รับแดดไม่เพียงพอ”

    กีรติยิ้มรับแล้วยกกระถางต้นไม้ใหญ่ที่ค่อนข้างหนักไปไว้ในตำแหน่งที่ปัณณ์บอกอย่างไม่ยากลำบากนัก

    “ขอบคุณนะคุณกีรติ ผมเองก็เอาแต่ทำงานใช้สมอง เรี่ยวแรงเลยไม่ค่อยมี ยกเองก็ได้อยู่ แต่ก็เล่นเอาปวดสะโพกไปนานหลายวันทีเดียว”

    ฟังจากที่ปัณณ์บอก ทำให้กีรติคิดว่าชายหนุ่มน่าจะเป็นมนุษย์ ซึ่งมีจำนวนน้อยในหมู่บ้านนี้ เนื่องจากเขาได้รับฟังจากอเล็กซ์ว่า นอกจากปีศาจแล้ว ยังมีมนุษย์ที่ยอมรับภูตผีปีศาจได้อาศัยอยู่ที่นี่อีกเช่นกัน

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ...แล้วเอ่อ ไม่ต้องเรียกผมว่าคุณก็ได้นะครับ เรียกกีเฉย ๆ ก็ได้ ...คือ คุณปัณณ์น่าจะอายุมากกว่าผมไม่ใช่หรือครับ”

    ปัณณ์ชะงัก ใบหน้าที่ดูละม้ายคล้ายคนใกล้สามสิบปี มีรอยยิ้มละไมให้เห็น ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยตอบกลับไป

    “อืม...เรื่องอายุมากกว่า มันก็จริงอยู่ล่ะนะครับ ...เอาเป็นว่าถ้าคุณอนุญาต ต่อไปนี้ผมจะพูดกับคุณอย่างเป็นกันเองเหมือนเพื่อน ๆ ในหมู่บ้านนี้แล้วกันครับ ดีไหม”

    “ดีที่สุดเลยครับ ขอบคุณมากนะครับ!”

    กีรติยิ้มแย้มจริงใจตอบ ยิ่งทำให้ปัณณ์รู้สึกชื่นชอบในตัวอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น และนึกปิ๊งอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เดี๋ยวนั้น

    “อืม...คุณกี ไม่สิ...กี ช่วยอะไรฉันอย่างหนึ่งได้ไหม”

     ปัณณ์เอ่ยถามอีกฝ่ายโดยเปลี่ยนสรรพนามระหว่างตนและชายหนุ่มให้ดูสนิทสนมขึ้นเหมือนอย่างที่กีรติเคยขอไว้

    “อะไรหรือครับ”

    “ขอผมเธอให้ฉันสองสามเส้นได้ไหม...ฉันจะเอามาใช้เก็บข้อมูลในการเขียนนิยายสักหน่อย”

    กีรตินิ่งอึ้งไปชั่วครู่ กับคำขอที่แสนประหลาดนั่น เขาตั้งสตินิ่งคิด ก่อนจะยิ้มแย้มออกไป

    “ก็ได้ครับ แค่เส้นผมหรือครับ”

    “ใช่...เพราะแค่จะเอามาสร้างต้นแบบเท่านั้น ถ้าจะล้วงลึกข้อมูลส่วนตัวลงไป มันต้องใช้พวกเลือด หรือชิ้นเนื้อในร่างกายประกอบด้วย แต่ฉันไม่เอาขนาดนั้นหรอก เพราะฉันต้องการแค่คาแรกเตอร์ของเธอเท่านั้นล่ะ”

    ปัณณ์บอกอย่างร่าเริง โดยไม่สนใจเลยว่าคำพูดของตนจะทำให้คนฟังรู้สึกตงิด ๆ เพียงใด

    “ง่า...งั้นก็ได้ครับ”

    กีรติบอกแล้วดึงเส้นผมของเขาส่งให้อีกฝ่าย ปัณณ์รับมายิ้ม ๆ แล้วจึงเอ่ยเตือนชายหนุ่มที่ขอตัวกลับไปตรวจตราหมู่บ้านต่อ

    “อ๊ะ! จริงสิ! ขอเตือนไว้ก่อนนะกี ว่าถ้าเป็นคนอื่นนอกหมู่บ้าน หรือใครที่เธอไม่รู้จักและดูไม่ชอบมาพากล มาขออะไรแบบนี้ ก็อย่าให้เขาไปง่าย ๆ นักล่ะ”

     กีรติชะงักเล็กน้อย เขาจ้องอีกฝ่ายอย่างแปลกใจระคนสงสัย ซึ่งปัณณ์ก็ยกยิ้มนิด ๆ แล้วจึงบอกต่อ

    “รู้ไหมกี ว่านอกจากพ่อมดแม่มด ที่สามารถนำส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ มาใช้ประโยชน์และรวมไปถึงบังคับและสาปแช่งอีกฝ่ายได้แล้ว  ...พวกที่ฝึกไสยเวท และอวิชา อาคมต่าง ๆ ก็สามารถทำแบบเดียวกันนี้ได้เช่นกัน... เพียงแต่พวกเขามีโอกาสพลาดและสามารถโดนอีกฝ่ายที่มีอาคมอันแข็งแกร่งกว่าสะท้อนกลับทำร้ายตัวเองได้ ...แต่กับพ่อมดแม่มดที่แท้จริงไม่ใช่แบบนั้น คำสาปแช่งของพ่อมดแม่มดไม่อาจสะท้อนกลับสู่ผู้สาปได้ และมันจะถูกลบล้างได้ก็ต่อเมื่อพ่อมดแม่มดด้วยกันเป็นผู้ลบล้างเท่านั้น”

      ปัณณ์บอกแล้วแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้เช่นเคย แต่คราวนี้มันกลับดูเยียบเย็นจนชวนให้กีรติขนลุก และเมื่ออีกฝ่ายกลับเข้าไปในร้านหนังสือของตน ก็ทำให้กีรติเริ่มนึกสังหรณ์ใจบางอย่างว่า ปัณณ์เองก็อาจจะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปอย่างที่เขาเคยคิดไว้ก็เป็นได้

 

    จากนั้นสักพัก กีรติจึงขี่จักรยานวนกลับมาที่ป้อมยาม แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าเวธน์นั้นกำลังยืนรอเขาอยู่

    “สวัสดีครับ คุณกีรติ ...หมู่บ้านแห่งนี้เป็นยังไงบ้างครับ พอจะทำงานที่นี่ไหวไหม”

    กีรติยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับตามมา

    “ทำได้สิครับ งานก็ไม่ได้หนักอะไรมากด้วย แถมคนที่นี่ก็ใจดีและเป็นมิตรทั้งนั้น ...อาจจะมีที่แปลก ๆ ไปบ้าง แต่โดยรวมที่นี่ก็น่าอยู่มากเลยครับ”

    ท้ายประโยคกีรติหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอกับปัณณ์มาเมื่อครู่  ทว่าคำพูดของชายหนุ่มร่างเล็ก ก็ทำให้เวธน์เลิกคิ้วนิด ๆ อย่างสนใจ

    “แปลก ๆ แบบไหนหรือครับ”

    กีรติชะงัก เขานิ่งคิดว่าจะพูดความจริงกับเวธน์ไปเลยดีไหม หรือจะปิดไว้ก่อนดี เพราะคิดถึงคำพูดของเจอรัลด์เรื่องที่ต้องการให้เขาปรับตัว และค่อย ๆ ทำความสนิทสนมกับผู้คนในหมู่บ้านนี้ด้วยตัวเอง

    “อืม...ถ้าหาคำอธิบายไม่ถูกก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจดี ...แค่รู้สึกว่าแปลก แล้วไม่กลัวตามมาก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับผม”

    เวธน์สรุปตัดบท เขาค่อนข้างมั่นใจว่ากีรติน่าจะได้เจอตัวตนที่แท้จริงของคนในหมู่บ้านแห่งนี้ไปบ้างแล้ว เพราะแต่ละคนที่นี่ไม่ค่อยจะระวังตัวเองเท่าใด อาจจะร่วมมือกันบ้างในวันแรก ๆ ของคนมาใหม่ แต่พอผ่านไปสักระยะ ก็มักจะเผลอลืมตัวอยู่เป็นประจำ ซึ่งยังไงกีรติก็คงต้องเจอกับของจริงเข้าให้อยู่วันยังค่ำนั่นเอง   

    “จริงสิ…ผมเอาเครื่องแบบของคุณมาให้แล้วนะครับ ฝากคุณแฟนธอมเอาไว้ ยังไงคุณก็ไปทวงกันเองแล้วกันนะ คุณกีรติ”

    กีรติพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะมองอีกฝ่ายอย่างลังเล เพราะยังไงเวธน์ก็ถือว่าเป็นนายจ้างของเขาโดยตรง

    “มีอะไรหรือครับ”

    “เอ่อ...คือ ยังไงผมก็เป็นลูกจ้างของคุณเวธน์ แถมยังอายุน้อยกว่ามาก ...ผมว่า คุณเวธน์คงไม่ต้องพูดสุภาพกับผมหรอกครับ”

    เวธน์เลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงหัวเราะเบา ๆ ตามมา

    “ขอโทษที พอดีผมติดนิสัยพูดกับผู้ร่วมงานแบบนี้มานานแล้ว  อันที่จริงก็พูดได้อยู่หรอก แต่อีกฝ่ายต้องเป็นเพื่อนสนิทที่คบหากันนอกเวลางานด้วยล่ะนะ มันถึงจะพูดได้ไม่ติดขัดน่ะ”

    กีรติมีสีหน้ารู้สึกผิดที่คิดไปบังคับให้อีกฝ่ายเรียกตนอย่างเป็นกันเอง เขาพึมพำขอโทษแผ่วเบา ทำให้เวธน์รู้สึกเอ็นดูและนึกสงสาร จึงแสร้งเปรยตอบลอย ๆ

    “แต่ถ้าให้เหลือแค่เรียกชื่อเฉย ๆ ก็โอเคนะ…ได้ไหมล่ะครับ”

    “ได้ครับ! ขอโทษนะครับที่ทำให้ลำบากใจ”

    กีรติรีบตอบพร้อมกับเอ่ยตามมาอย่างเกรงใจ ทำให้เวธน์ยิ่งนึกชอบพอคนตรงหน้ามากขึ้นไปอีก

    “ผมก็ไม่ได้ลำบากใจอะไรหรอก  มันเป็นเรื่องของความเคยชินเท่านั้นเอง  อืม...จริงสิ วันนี้ผมแวะเข้ามาดูว่าคุณจะเข้ากับงานใหม่ได้ไหม แล้วก็เอาเครื่องแบบมาให้  ถ้ายังไงผมขอตัวกลับก่อนเลยแล้วกัน ขืนอยู่นานกว่านี้จะถูกกรกฎดึงตัวเอาไว้ช่วยทำบัญชีแน่”

    “ครับ โชคดีครับ”

    เวธน์ยิ้มรับ แล้วหันไปเอ่ยลากับอเล็กซ์อย่างเคยชิน   

    “บายนะอเล็กซ์”

    “ครับ คุณเวธน์ เดินทางปลอดภัยนะครับ”

    อเล็กซ์เองก็ตอบกลับตามปกติ ทว่าไม่ทันไรคนที่กำลังเดินจากไปจู่ ๆ ก็ชะงักฝีเท้า แล้วจึงค่อย ๆ หันมาทางกีรติ พลางจ้องชายหนุ่มร่างเล็กตาปริบ ๆ ด้วยสีหน้าตื่นตกใจนิด ๆ

    “...นี่คุณ”

    “ทำไมหรือครับ”

    กีรติถามอย่างสงสัย ทั้งคู่จ้องตากันอยู่สักพัก กีรติก็สะดุ้งโหยง พลางนึกบางอย่างขึ้นได้ แล้วจึงยิ้มเจื่อน ๆ ตามมา

    “ง่า...คือผม”

    “อย่าบอกนะกีรติ ...ว่าคุณรู้จักกับอเล็กซ์เรียบร้อยแล้ว”

    กีรติเงียบกริบ เช่นเดียวกับอเล็กซ์ที่ตอนนี้รู้ดีแล้วว่าอะไรเป็นอะไร เจ้าตัวจึงเงียบตามอีกฝ่ายเช่นกัน

    “อเล็กซ์! ตอบคำถามฉันเดี๋ยวนี้เลย ห้ามปิดบังเด็ดขาด!”

    เวธน์ออกคำสั่ง ซึ่งนอกจากเจอรัลด์ผู้สร้างแล้ว เวธน์ก็ถูกระบุไว้ในข้อมูลของอเล็กซ์ว่า เป็นบุคคลสำคัญที่สามารถสั่งงานอเล็กซ์ได้เช่นเดียวกัน

    “...ครับ  ผมรู้จักและทักทายกับคุณกีรติเรียบร้อยแล้วครับ”

    เวธน์ชะงัก แล้วจึงถอนหายใจแรง ๆ ตามมา ก่อนจะหันไปทางลูกน้องคนใหม่ของเขา

    “แล้วเรื่องคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน...”

    เวธน์ค้างไว้แค่นั้น เพราะไม่มั่นใจว่าอเล็กซ์จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้กีรติฟังแล้วหรือยัง

    “สำหรับเรื่องนั้น...ผมได้รับรู้เท่าขอบเขตที่ทำได้ครับ คุณเจอรัลด์บอกว่า อยากให้ผมทำความรู้จักสมาชิกแต่ละหลัง ในหมู่บ้านนี้ด้วยตนเองน่ะครับ”

    กีรติตัดสินใจตอบตามตรง ทำให้คนฟังนิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วจึงถอนหายใจแรง ๆ อีกครั้ง

    “มีใครในหมู่บ้านที่รู้เรื่องนี้อีกบ้างไหมครับ”

    “คิดว่าไม่น่าจะมีนะครับ เพราะผมเพิ่งบอกคุณเป็นคนแรก”

    กีรติบอกอีกฝ่ายโดยไม่คิดปิดบัง แม้จะไม่ค่อยมั่นใจว่า บรรดาผู้คนที่เขาพบ จะนึกสงสัยว่าเขาล่วงรู้ถึงความลับของหมู่บ้านมากน้อยเพียงใดก็ตาม

    “อืม...งั้นก็ดีแล้ว  เอาเป็นว่า ถ้าคนอื่นยังจับไม่ได้ คุณก็อย่าเผลอไปเล่าให้ใครฟังก่อนก็แล้วกัน ...โดยเฉพาะกับรุ่นพี่ของคุณคนนั้น อย่าเพิ่งบอกเขาเลยจะดีที่สุด”

    เวธน์บอกพร้อมยกยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ ทำเอาอเล็กซ์แอบคิดว่า เวธน์ในเวลาแบบนี้ ช่างเหมือนเจอรัลด์ มาสเตอร์ของเขาไม่มีผิด

    “เอ่อ...จะดีหรือครับ”

    “ดีแท้แน่นอน ...เพราะถ้าเขารู้ว่าคุณรู้ความจริง เขาจะยิ่งกังวลและห่วงคุณมากขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องบอกแล้วรอให้เขารู้เองดีกว่า เขาจะได้สบายใจว่าคุณสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสบาย ๆ น่ะ”

    เวธน์เกลี้ยกล่อมคนตรงหน้า แม้กีรติฟังแล้วจะรู้สึกแปลก ๆ และขัดแย้งกันเองในประโยคเหล่านั้น แต่เมื่ออีกฝ่ายซึ่งเป็นนายจ้างยังไม่อยากให้เขาเปิดเผยความจริงเร็วนัก เขาก็คงต้องยอมทำตามคำสั่ง และคิดว่าคงจะได้มีโอกาสบอกคนอื่นด้วยตนเองในเร็ว ๆ นี้สักวัน


... TBC ...

edit: แวะเข้ามาแก้ไซส์ข้อความเป็นไซส์ดั้งเดิมของระบบค่ะ เนื่องจากคุ้นตามากกว่า ส่วนวิธีปรับอ่านไซส์ฟอนต์หน้าจอให้ใหญ่ขึ้นอยู่ในตอน 7-8 ค่ะ ^^  ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ความเห็นของสมาชิกทุกท่านนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2013 20:03:59 โดย Xenon »

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
เนื้อเรื่องแฟนตาซีแบบนี้  อ่านสนุกจังค่ะ

ชอบกีรติในแง่มองโลกในแง่ดีจังเลย 

ขนาดตัวอักษรไม่มีผลต่อความสนุก  :laugh:

ยังไงก็ได้ค่ะ

บวกเป็ด  รอกีรติและแฟนธอม  :hao7:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เรื่องน่าติดตามมากเลยค่ะ
ส่วนฟอนต์ขนาดนี้ก็โอเคนะ
อ่านง่ายดี

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
รอตอนต่อไปค่ะ(แอบมารอรวมเล่มด้วยนะคะ)

ตัวหนังสือปกติก็ดีค่าถึงจะสายตายาวแต่ตัวหนังสือแบบนี้อ่านไม่มัน(ความเคยชินเดิมๆ)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด