The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ  (อ่าน 119687 ครั้ง)

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
« เมื่อ10-05-2011 17:21:56 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2011 15:13:14 โดย บีบีจัง »

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
สารบัญเจ้าค่ะ
«ตอบ #1 เมื่อ10-05-2011 17:23:15 »

สารบัญ


ผลงานเรื่องอื่นๆนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-09-2011 17:47:23 โดย บีบีจัง »

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
ช่องว่างหมายเลข 1
«ตอบ #2 เมื่อ10-05-2011 17:29:23 »



บรรยากาศภายในร้านหนังสือเช่ามีเพียงเสียงเพลงสากลจากลำโพงที่ถูกเลือกสรรมาให้มีท่วงทำนองเหมาะสมกับร้านที่ต้องการความเงียบสงบเป็นหลัก ในเวลาที่ดึกสงัดแบบนี้ในร้านมีเพียงเจ้าของร้านที่ยังหนุ่มแน่นและผมเท่านั้น..

“ฟี่ พี่ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะ” ผมพยักหน้ารับให้พี่แก๊บที่เดินเข้าไปข้างในห้องพักพนักงาน เวลาดึกๆใกล้จะปิดร้านแบบนี้มักจะเป็นช่วงเวลาปลดปล่อยของพี่แก๊บเสมอ

“สวัสดีครับ ให้ช่วยอะไรไหมครับ” เสียงกระดิ่งกรุ๋งกริ๋งดังทำลายความเงียบในร้าน ผมหันไปยิ้มทักทายกับลูกค้าที่เพิ่งเดินเข้ามาตามหน้าที่ของพนักงานที่ดี

“วันนี้ XYXY เล่มใหม่ออกหรือยังครับ”
 โอ มาย ก็อด ผมนิ่งอึ้งไปห้าวิเมื่อเห็นหน้าคุณลูกค้าที่เข้ามาในร้าน ไอ้ที่เคยอ่านการ์ตูนสาวน้อยแล้วนางเอกเล่าว่าเห็นพระเอกครั้งแรกก็เกิดรักแรกพบนั้นผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีอยู่จริง จนผมได้พบกับเขาคนนี้...
“ออกแล้วครับ แต่ว่ามีคนยืมไปก่อนหน้านี้พักเดียวเอง” ผมเป็นพนักงานมืออาชีพ หน้าที่ต้องมาก่อน เรื่องตะลึงเอาไว้ทีหลัง
“ว้า...ขอบคุณมากนะครับ” คุณลูกค้าที่ดึงดูดสายตาผมได้ตั้งแต่แรกพบยิ้มแบบเสียดายๆแล้วเดินออกไป ผมชะเง้อมองตามเขาจนเหลียวหลัง เฮ้อ...หวังว่าผมคงไม่ได้เผลอมองเขาแบบโจ่งแจ้งเกินไปหรอกนะ

 ผมรวบกองหนังสือที่ลูกค้าเอามาคืนจากหลังเคาเตอร์ไว้ในอ้อมแขน หนังสือออกใหม่ หนังสือเก่าแล้ว แม็กกาซีน การ์ตูน นวนิยาย วรรณกรรม ผมเรียงหนังสือทุกอย่างแยกตามชั้นให้เป็นหมวดหมู่ การยอมเสียเวลาจัดหนังสือขึ้นชั้นก็เพื่อที่เวลาลูกค้าจะได้หาสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ง่ายๆ และผมเองก็จะสะดวกเวลาที่ช่วยลูกค้าหาหนังสือที่ต้องการ

ผมสำรวจความเรียบร้อยของชั้นหนังสืออีกรอบก่อนจะเดินไปหยิบไม้กวาดมาทำความสะอาดร้าน อีกสิบนาทีจะได้เวลาปิดร้านแล้ว ลูกค้าคนนั้นก็เดินออกจากร้านไปเกือบครึ่งชั่วโมง แต่ผมก็ยังไม่ลืมใบหน้าของเขา ทำไมผมถึงต้องครุ่นคิดถึงคนที่เราไม่รู้จักสักนิดด้วยนะ...

อีกห้านาทีจะถึงเวลาปิดร้าน พี่แก๊บยังไม่ออกมาจากห้องน้ำเลย สงสัยกำลังเพลิดเพลิน ลูกค้าก็ไม่มีแล้ว ผมจึงเดินไปล็อกประตูร้านและดึงประตูเหล็กปิดร้าน จู่ๆผมก็รู้สึกเหมือนว่าหัวใจของผมเต้นผิดจังหวะ ผมหลับตาแล้วก็นึกถึงลูกค้าคนนั้นอีกรอบ และผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมผมถึงยึดติดกับคนๆนั้นขนาดนี้ ครั้งแรกที่ผมแอบอึ้งเมื่อเห็นหน้าใครสักคน ครั้งแรกที่ผมแอบกลั้นหายใจเฮือกหนึ่งเพราะเห็นหน้าเขา...
‘ผมอยากเจอเขาอีกครั้ง’


/ฟี่ อาจารย์สั่งงานชิ้นใหม่ แกต้องเข้ามหาลัยมาฟังรายละเอียดนะเฟ้ย/ เสียงแป๋นแหลนดังมาตามสายทันทีที่ผมกดรับโทรศัพท์ ผมขยี้ตาเพื่อให้หายงัวเงียและคว้านาฬิกาปลุกหัวเตียงมาดูเวลา
“เราไม่ได้เข้าเรียนอีกแล้วเหรอจูน” นาฬิกาบอกเวลาเที่ยง ชัดเลย ผมหลับเพลินจนไม่ได้ไปเรียนอีกแล้ว
/ก็เออสิ ดีนะว่าอาจารย์แกไม่ซีเรียสเรื่องเวลาเรียน ขอแค่มีงานมาส่งก็พอ ว่าแต่แกไหวรึเปล่าเนี่ย/
“อื้อ เดี๋ยวเราเข้าไปมหาลัยตอนนี้เลย ขออาบน้ำแป๊บหนึ่ง”
/อะเคร พวกชั้นจะรอที่เดิมนะยะ/ ผมวางโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นนั่ง ผ้านวมผืนโปรดของผมหล่นไปกองที่พื้นอีกละ มิน่าว่าทำไมเมื่อคืนหนาวๆ

น้ำเย็นๆจากฝักบัวช่วยให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมามาก บวกกับกลิ่นหอมสดชื่นของสบู่ยิ่งทำให้ประสาทรับรู้ผมตื่นตัว ผมรีบอาบน้ำและแต่งตัวเพื่อที่จะได้ไปคุยเรื่องงานกับเพื่อนๆ เสร็จสรรพก็คว้ากุญแจห้องและกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ออกมา

*ไอ้ฟี่ ขอบใจมาก นาฬิกามึงปลุกกูตื่นอีกแล้วนะ สลัด...*

กระดาษเอสี่เขียนด้วยปากกาเมจิคสีสันละลานตาที่แปะไว้หน้าประตูห้องผมเรียกรอยยิ้มจากผมได้อีกแล้ว แน่นอนว่าเป็นฝีมือของไอ้คิงชัวร์ ก็มันหลายครั้งแล้วนี่นะ ที่เสียงนาฬิกาปลุกจากห้องผมจะเสียงดังทะลุทะลวงไปถึงห้องมันเสมอ พอมานึกแล้วก็หงุดหงิด ทำไมผมถึงเป็นพวกที่ตื่นเช้ากับชาวบ้านเขาไม่ค่อยได้นะ ทั้งที่ก็ตั้งนาฬิกาปลุกแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ยินทุกที แถมยังพาลทำให้ชาวบ้านเขารำคาญอีกต่างหาก


“ฟี่ ทางนี้ย่ะ!” เสียงตะโกนที่มีเจ้าของเสียงคนเดียวกับที่โทรมาปลุกผมเรียกให้ผมหันไปมองหลังจากที่ยืนรีรออยู่นาน ผมเดินไปหากลุ่มเพื่อนของผม กลุ่มเพื่อนที่คอยช่วยเหลือดูแลผมมาตลอด...
“ตามึงโหลมากเลยว่ะ” ทัชยื่นมือมาจิ้มๆที่หน้าผม ไม่รู้ทำไมมันถึงต้องทำท่าเหมือนจิ้มขี้ ผมเลยหมั่นไส้ปัดมือมันให้ออกไปห่างๆ และนั่งลงโดยไม่สนใจมัน
“ไหนอะงาน” อย่าพูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา เริ่มทำงานกันเลยดีกว่า
“เที่ยวนี้แกให้ออกแบบโชว์รูมว่ะ เป็นโชว์รูมของสินค้าแบรนด์เนมในห้างพาราXXX คอนเซ็ปต์ของโชว์รูมคือสายฝนและความเหงา” จูนเปิดสมุดจดงานแล้วเล่ารายละเอียดคร่าวๆให้ผมฟัง ผมพยักหน้ารับพลางนึกขำในใจ อะไรจะได้คอนเซ็ปต์ที่เหมาะกับตัวผมขนาดนี้นะ... ความเหงา...
“แล้วกำหนดส่งล่ะ”
“อาทิตย์หน้า กูกะว่าถ้าออกแบบได้แล้วกูจะไปหาซื้อวัสดุกับไอ้เม้งเอง” ทัชพูดเป็นงานเป็นการแล้วหันไปพยักหน้ากับเม้งที่นั่งดูดน้ำอัดลมในกระป๋องเงียบๆคนเดียว
“อืม... งั้นเราลองมาคิดคอนเซ็ปต์กันเลยดีกว่า...” ผมหยิบสมุดร่างแบบและดินสอกดออกมาเตรียมพร้อม

หลังจากทุ่มเถียงและหารือกันจนเย็นก็ได้ข้อสรุป จูน ทัชและเม้งจะไปซื้อวัสดุมาเตรียมพร้อมในการทำงานกันวันพรุ่งนี้ ส่วนผมเองพอทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จก็ขอแยกตัวออกมา
“ขอบใจนะฟี่ ถ้าไม่มีแกก็ไม่รู้ว่างานจะเดินหรือเปล่า ความคิดแกนี่เริ่ดไม่เข้ากับท่าทางอมทุกข์เลยว่ะ” ผมขมวดคิ้วกับคำชมของจูน แต่มันก็รีบชิ่งไปขึ้นรถทัชทันที
‘จูนหาว่าผมเป็นคนมืดมนใช่ไหม?’

“ท๊อฟฟี่~” เสียงหวานที่ดังขึ้นพร้อมกับร่างนุ่มนิ่มที๋โถมเข้ามาหาผมทั้งตัวคือสิ่งที่ผมมักจะเจอเสมอหากต้องเข้ากะที่ทำงานพิเศษตรงกับเธอคนนี้
“เชอรี่ วันนี้มาไวจัง” ผมยกสองแขนขึ้นโอบรอบหญิงสาว วันนี้เชอรี่ก็ยังน่ารักมากเช่นเดิม ผิวขาวเนียนละเอียดแต่งแต้มลิปสติกสีชมพูอ่อนกับผมสีอ่อนเป็นประกาย กลิ่นหอมจากร่างเล็กๆนั้นทำให้เชอรี่ช่างดูสดใสแตกต่างกับผมเหลือเกิน...
“วันนี้ตื่นไวน่ะ เลยรีบมานั่งเล่นที่ร้านดีกว่า จะได้มาเมาท์กับฟี่ด้วย” ผมมองเชอรี่พูดเจื้อยแจ้วแล้วก็ยิ้มตาม ผมเคยคิดอยู่อย่างหนึ่ง ว่าถ้าหากผมเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้ง เชอรี่คงเป็นธารน้ำที่เย็นสดชื่นก็ว่าได้
“ฟี่ดูตาโหลๆนะ จะไหวหรือเปล่าเนี่ย” เธอเอื้อมมือมาแตะแก้มผมเบาๆ ผมอมยิ้มและส่ายหน้าให้เชอรี่
“ฟี่ไม่เป็นไร ปรกติก็นอนน้อยเป็นปรกติอยู่แล้วนะ”
“เชอรี่จะไปซื้อกาแฟพอดี ฟี่อยากได้ด้วยหรือเปล่า?” ผมนิ่งคิดแป๊บหนึ่งแล้วก็ตอบไป จังหวะนี้ต้องสิ่งนี้เท่านั้น
“ขอเป็นเอ็มร้อยห้าสิบดีกว่านะ”


“ทั้งหมดห้าเล่มนะครับ ขอบคุณมากครับ” ลูกค้ารายสุดท้ายของคืนนี้เดินออกไปจากร้านแล้ว ผมมองตามไปแล้วถอนหายใจครั้งที่ห้าสิบล้าน (เวอร์ไปไหม?)
“ฟี่เป็นอะไรเหรอ รอใครอยู่หรือเปล่า” เชอรี่ผู้น่ารักคนเดิมถามผมขึ้นมาทันที เธอคงจะเอะใจแหละครับที่เห็นผมทำท่าเหมือนมองหาใครบางคนอยู่ตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานแล้ว
“ไม่ได้รอหรอก ฟี่ขอไปหาการ์ตูนอ่านก่อนนะ” ผมบอกปัดไป ก็ผมไม่ได้รอนี่นา มันจะใช้คำว่ารอได้ยังไงในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน   
ผมเดินขึ้นไปชั้นสองของร้านที่เป็นชั้นสำหรับหนังสือการ์ตูนโดยเฉพาะ ผมเดินเลือกการ์ตูนเรื่องที่เกี่ยวกับสายฝนแล้วก็เศร้าๆเพื่อจะเอามาช่วยบิลท์อารมณ์เวลาทำงานที่อจ.สั่ง ผมเชื่อว่าการอ่านหนังสือมันช่วยจุดประกายความคิดใหม่ๆให้เราได้เสมอแหละนะ
“ท๊อฟฟี่! พี่แก๊บโทรมาแหละ” เสียงเชอรี่ตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่าง ผมเลยคว้าการ์ตูนเรื่องที่หาได้แล้วเดินลงไป โทรศัพท์ในร้านถูกยื่นมาตรงหน้าผมทันที
‘พี่แก๊บเสียงหงุดหงิดมากเลย’ เชอรี่ทำปากพะงาบๆให้ผมอ่านจับใจความได้อย่างนั้น มันอะไรกันนะเรื่องที่ทำให้พี่แก๊บหงุดหงิดได้
“สวัสดีครับพี่แก๊บ”
/ฟี่ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าวันนี้/ น้ำเสียงปั้นยากของพี่แก๊บทำให้ผมขมวดคิ้วทันที
“ทำไมเหรอครับ ก็ไม่มีอะไรนี่นา” ผมนึกถึงช่วงตั้งแต่ที่ผมเริ่มงานมา มันก็ไม่มีอะไรผิดปรกตินี่นะ
/คือว่านะฟี่ เมื่อกี้มีลูกค้าโทรมาแจ้งกับพี่ ว่าพนักงานผู้ชายคนที่หน้าหวานๆน่ะ ไปชักสีหน้าไม่พอใจใส่เขา/ ผมนิ่วหน้ามากกว่าเดิมเมื่อได้ฟังที่พี่แก๊บพูด พนักงานผู้ชายที่หน้าหวานๆ ก็มีแต่ผมคนเดียว ส่วนคนอื่นนั้นเขาก็ออกแนวหล่อเท่กันทั้งนั้น ว่าแต่ผมไปทำอะไรให้ลูกค้าไม่พอใจ(วะ)?
/แล้วฟี่ได้ทำหน้าไม่ดีใส่ลูกค้าไปหรือเปล่า/
“ผู้ชายหรือผู้หญิงครับ ผมจำไม่ได้เลย”
/อืม...เป็นผู้ชายนะ ช่วงหัวค่ำน่ะ/ บิงโก! พอพี่แก๊บระบุมาแบบนั้นผมก็นึกออกทันที
“ผมจำได้แล้วครับ ไอ้หมอนั่นมันมายืมหนังสือ แล้วทีนี้พอผมเช็คดูในประวัติการยืม ก็เห็นว่าเขามีเล่มเก่าที่ยืมค้างไว้แล้วไม่เอามาคืนเป็นสัปดาห์แล้ว ผมเลยไม่ให้ยืม เขาก็หงุดหงิดพูดไม่ดีใส่ผม”
/อ่า...พี่นึกแล้วว่ามันต้องมีเหตุผล แต่ฟี่ก็ไม่น่าไปชักสีหน้าใส่เขานะ ยังไงเขาก็เป็นลูกค้า/ 
“ครับ ผมก็ต้องขอโทษพี่ด้วย วันนี้ผมคงอารมณ์ร้อนไปหน่อย” ผมยอมรับกับสิ่งที่ผมทำพลาด เป็นเพราะคนๆนั้นแท้ๆเลยทำให้ผมงุ่นง่านแบบนี้
/ฮิฮิ ไม่เป็นไรหรอก นานๆทีเห็นฟี่แสดงอารมณ์ออกมาบ้างก็ดีนะ/  น้ำเสียงระรื่นของพี่แก๊บทำให้ผมรีบตัดการสนทนา ก่อนที่เขาจะเริ่มจีบผมอีกรอบ
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ จะปิดร้านแล้ว” ผมส่งโทรสัพท์คืนให้เชอรี่ที่ทำสีหน้าเป็นห่วงผมอยู่ข้างๆ
“ทำไมฟี่ไม่บอกพี่แก๊บไปละ ว่าไอ้เวรนั่นมันตื๊อขอเบอร์ฟี่จนรบกวนลูกค้าคนอื่น”
“ช่างมันเถอะเชอรี่ ยังไงเขาก็เป็นลูกค้า” ผมตัดบทแล้วก็เดินไปปิดร้านโดยไม่สนใจกับสายตาเคืองๆจากเชอรี่
“ฟี่ก็แบบนี้ทุกที ใครผิดก็ต้องว่ากันตามนั้นสิ จะไปยอมทำใม”
“เชอรี่โกรธแทนฟี่ก็พอแล้วละ” ผมยิ้มบางๆให้หญิงสาวผู้น่ารัก คนที่ดีกับผมเสมอ เพื่อนอีกคนที่แสนสำคัญของผม...
“แหม ทำมาพูดดี เชอะ” เชอรี่คงเขินจนไม่รู้จะว่ายังไง เธอเลยสะบัดหน้าหนีผมแล้วเดินฟึดฟัดไปทำความสะอาดร้านทันที

ผมไขกุญแจห้องยังไม่ทันจะสำเร็จก็มีมือๆหนึ่งมาแตะที่บ่า พอผมหันไปมองก็พบกับใบหน้าคมเข้มและรอยยิ้มอำมหิต
“ถ้าพรุ่งนี้ไอ้นาฬิกาปลุกของมึงมันยังเอื้อเฟื้อส่งเสียงมาปลุกกูอีก กูจะปล้ำมึงทำเมียซะ ไอ้ฟี่...” ผมยิ้มให้กับคนที่ขู่ผมด้วยประโยคเดิมๆมาเกือบสองปี ไอ้คิงมันเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายมากครับ
“ยิ้มตลอดอะมึง หวังให้กูใจอ่อนละสิ” ไอ้คิงมันหยิกแก้มผมเบาๆ ใช่ครับ มันหยิกแก้มผม มันบอกว่าผมผิวเนียน แก้มนุ่ม หยิกแล้วมันส์มือดี
“กินข้าวยัง?” ผมถามกลับ ไอ้ยักษ์หน้าเข้มมันรีบกระดิกหางดิ๊กๆทันที
“เข้ามา” ผมไขประตูและเปิดให้มันตามเข้ามา ในตู้เย็นของผมมักจะมีของสดที่พร้อมปรุงอาหารแช่แข็งไว้เสมอ
“นี่ก็ดึกแล้ว เอาอะไรง่ายๆแล้วกันนะ” ผมคว้าวัตถุดิบสามสี่อย่างออกมาจากตู้เย็นแล้วเริ่มเตรียมอาหาร ผมอาข้าวสวยแช่แข็งใส่ชามกระเบื้องตามด้วยหมูสันในหั่นเป็นชิ้นๆ ตามด้วยไข่ไก่ใบโตตอกลงไปด้านบน ผมหันไปซอยหอมหัวใหญ่กับต้นหอมมาโรยหน้าและราดซอสเทอริยากิปิดท้ายก่อนจะเอาชามนั้นเข้าไมโครเวฟไป
“กูดูกี่รอบก็อัศจรรย์ใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าไมโครเวฟทำอะไรได้ขนาดนั้น” คิงที่นั่งมองอยู่บนโซฟาคู่บารมีของผมทำเสียงทึ่งๆเหมือนทุกครั้งที่มันเห็นวิธีทำอาหารจานด่วนของผม
“ให้มันสุกก็กินได้ทั้งนั้นแหละ ถ้ารสชาติมันไม่อุบาทว์เกินจะทนน่ะนะ” ผมตั้งเวลาทำอาหารแล้วเอากระเป๋าไปแขวนไว้ที่ตู้ เหลือบไปก้เห็นตะกร้าผ้าที่มีเสื้อผ้าใส่แล้วอยู่เกือบเต็มก็ระลึกได้ว่าพรุ่งนี้หยุดงานจะต้องซักผ้าเสียที
“มึงได้กลับบ้านมั่งเปล่า” ผมส่ายหัวแทนการตอบคำถามไอ้คิง บ้านมันกับบ้านผมอยู่ใกล้กัน บางทีผมก็จะกลับพร้อมมัน
“เสาร์นี้กูจะกลับ มึงไปพร้อมกูเปล่า”
“ไม่ได้หรอก กูติดงาน”
“มึงจะทำงานอะไรนักหนาวะ ค่าเทอมก็ไม่เสีย ค่าเช่าห้องพวกอาเขาก็โอนให้ มึงหาแค่ค่าใช้จ่ายส่วนตัวให้พอก็ได้แล้วนี่หว่า แต่นี่มึงเล่นทำงานหาเงินยังกะว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเองทุกอย่างเลย” คิงเริ่มพูดเรื่องเดิมๆที่ผมฟังจากมันจนเบื่อ ก็แล้วทำไมล่ะ ผมจะอยากทำงานเยอะๆ จะได้ไม่ว่าง แล้วมันเดือดร้อนใคร แต่ผมก็ไม่ได้ถือสาอะไรมัน เพราะรู้ดีว่ามันแค่ไม่อยากให้ผมลำบาก
“เฮ้อ...ไม่กลับก็ไม่กลับวะ แล้วแต่มึงละกัน ข้าวกูล่ะ เสร็จยัง กูได้กลิ่นหอมๆแล้วนะเว้ย” มันเปลี่ยนเรื่องได้ไวมากครับ ผมส่ายหัวอย่างเซ็งๆกับไอ้เพื่อนวัยเด็กคนนี้แล้วเดินไปเอาชามข้าวออกมาจากไมโครเวฟ ข้าวหน้าหมูราดซอสเทอริยากิสูตรเร่งด่วนของผมออกมาดูดีไม่ใช่น้อย
“มึงไม่กินเหรอ”
“ไม่อะ กูไม่ค่อยหิว”
“ก็เพราะมึงไม่กินแบบนี้แหละ ถึงได้ตัวแค่นั้น ต้องกินเยอะๆ จะได้ตัวใหญ่แบบกูนี่” ผมหันไปมองไอ้คนที่มันนั่งโซ้ยข้าวชามโตอย่างเมาส์มันพลางนึกสะท้อนใจว่าต่อให้ผม(แดก)อย่างมัน ผมก็คงไม่มีทางตัวโตเท่ามันหรอกครับ


----------------------------- To Be Continue -----------------------------


ขอโทษนะคะ ถ้ามันอาจจะมืดมนไปสักนิด...  :o11:


ออฟไลน์ Goodfellas

  • magKapleVE
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1828
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +384/-2
    • Adult games: dating for spicy meetups
Re: The Space [ช่องว่าง] 10/5/2011
«ตอบ #3 เมื่อ10-05-2011 17:32:32 »

มาต้อนรับเรื่องใหม่คร้าบ   :mc4:

มาลงต่อเร็วๆน้า

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: The Space [ช่องว่าง] 10/5/2011
«ตอบ #4 เมื่อ10-05-2011 17:56:26 »


ชอบตรงที่มีสารบัญนี้แหละ

แต่ไม่กดบวกให้ เพราะไม่ใช้ภาษาไทย  อิิอิ

เจ้สอง

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
Re: The Space [ช่องว่าง] 10/5/2011
«ตอบ #5 เมื่อ10-05-2011 18:45:33 »

เจิมมมมมมเรื่องใหม่
ฟี่มืดมนแต่น่าสนใจมากๆ

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
Re: The Space [ช่องว่าง] 10/5/2011
«ตอบ #6 เมื่อ10-05-2011 21:41:57 »

บวกให้จ้า
ไม่มืดมนหรอก ฟี่ดูเป็นคนน่ารักนะ
รักแท้ของฟี่ คือ หนุ่มคนนั้นใช่มั้ย รอๆๆๆๆ

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
ช่องว่างหมายเลข 2
«ตอบ #7 เมื่อ11-05-2011 17:16:35 »



‘ขอโทษนะครับพี่ตังค์ แต่ฟี่คิดว่าเราสองคนไปกันไม่ได้จริงๆ’

ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามไรผม ปรกติแล้วผมเป็นคนที่ไม่ค่อยร้อนหรือหนาวเท่าไรนัก เพราะฉะนั้นเหงื่อพวกนี้จึงไม่ได้แปลว่าผมร้อนแน่นอน แต่มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายเวลาที่เจอเรื่องตึงเครียด...

ใช่ครับ ผมฝันร้าย...

เวลาที่ผมหลับไปทั้งที่ยังเหนื่อยๆ ผมมักจะฝันถึงเรื่องราวแย่ๆที่ผ่านมา ตลกนะครับ แค่เหน็ดเหนื่อยกายก็พออยู่แล้ว แต่ไอ้จิตใจของผมก็ยังไม่รู้จักห้ามสมองบ้าง ปล่อยให้ผมฝันร้ายซ้ำเติมกับความเหนื่อยล้าอยู่ได้

TRrrr…. TRrrr….
 - Meng –
ผมยังไม่ทันจะหายมึนเท่าไรนัก โทรศัพท์มือถือข้างตัวก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา เม้งมันโทรมาทำไมแต่เช้า?
“ว่าไงเม้ง”
/วันนี้เรามีนัดทำงานกลุ่ม ฟี่ลืมหรือยัง/
“โอ๊ะ ลืมไปเลย แล้วนี่มากันครบหรือยัง” ผมนึกถึงที่จูนโทรมาสั่งผมไว้เมื่อวานว่าวันนี้จะเริ่มทำโครงสร้างของโชว์รูมที่บ้านเม้ง ซึ่งเป็นร้านขายส่งไม้และอุปกรณ์ก่อสร้างซึ่งมีพื้นที่ในการทำงานและวัสดุเหลือเฟือ
/ทัชมาแล้ว จูนกำลังมา เราคิดว่าฟี่ต้องลืมแน่ เลยโทรมาปลุกก่อน/ เม้งตอบมาเรียบๆและได้ใจความประสาเม้ง ผมเลยรีบงัดตัวเองออกจากที่นอนทันที
“โอเค งั้นเราจะไปเดี๋ยวนี้ละ ขออาบน้ำแป๊บ อ้อ ขอบใจนะเม้งที่โทรมาปลุก” คุณๆอย่าเพิ่งแปลกใจถ้าผมจะพูดเพราะกับ
เม้งต่างจากไอ้ทัช ก็เพราะว่าความเงียบและสุภาพของเม้งที่ทำให้ผมต้องพลอยพูดเพราะกับมันไปด้วย ผิดกับไอ้ทัชที่มักจะกวนประสาทจนผมทนคุยดีๆด้วยไม่ได้

TRrrr…. TRrrr….
- King –
บ๊ะ วันนี้โทรศัพท์ผมขายดีจริงๆแฮะ พอตั้งท่าจะไปอาบน้ำก็มีคนโทรมาอีกละ งวดนี้เป็นคิง ผมเลยตัดสินใจไม่รับแล้วไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวก็โทรกลับได้นี่นะ


“เฮ้ย เอามาใช้ขนาดนี้ป๊าไม่ว่าเอาเหรอ” พอไปถึงบ้านเม้งผมก็เห็นกองไม้และสีทาบ้านจำนวนมากเต็มสนามหน้าบ้านมัน สันนิษฐานได้เลยว่าเม้งมันต้องไปจิ๊กของป๊ามันมาทำงานกลุ่มอีกแล้ว ไอ้การประหยัดเงินค่าวัสดุเนี่ยผมก็ชอบนะครับ แต่ก็เกรงใจบ้านมันเหมือนกัน ถึงบ้านมันจะรวยก็เถอะ
“ไม่เป็นไรหรอก” แค่นั้นครับ เม้งตอบมาสั้นๆแล้วก็หันไปมุ่งมั่นกับการใช้เลื่อยจิ๊กซอว์เลื่อยไม้ให้ได้ตามที่ผมวาดไว้
“มึงกินข้าวมายังฟี่” ผมส่ายหัวตอบไอ้ทัชที่กำลังนั่งกินข้าวราดไข่พะโล้สามใบโดยไม่เกรงใจเจ้าของบ้านที่กำลังตั้งใจเลื่อยไม้
“กินข้าวก่อนสิฟี่ เดี๋ยววันนี้แกต้องทำงานอีกเยอะ หึหึ” จูนเดินมาตรงหน้าผมแล้ววางจานข้าวสวยกับพะโล้ชามโตเอาไว้ให้ผมแล้วคุณเธอก็เดินไปเตรียมสีสำหรับลงลวดลาย ผมมองชามพะโล้ที่เต็มไปด้วยไข่ น่องห่าน เต้าหู้และเลือดห่านก้อนสี่เหลี่ยมพอดีคำ!!!!
“เม้ง!! อาม่าอยู่ไหนเนี่ย” ผมตะโกนถามเม้งที่กำลังหอบกองไม้ที่เลื่อยแล้วไปให้จูน เม้งหันมามองผมแล้วก็ชี้เข้าไปในบ้าน ผมเดินดุ่มๆเข้าไปภายในบ้านที่ผมมาเป็นประจำเวลาทำงานกลุ่ม ห้องครัวใหญ่คือเป้าหมายที่ผมตั้งใจจะเข้าไป
“อาม่าครับ ฟี่บอกแล้วว่าไม่ให้ทำแบบนี้ไง” ผมพูดเสียงอ่อนใส่หญิงสูงวัยท่าทางเปี่ยมบารมีที่ยืนอยู่หน้าเตาแก็สภายในครัว ‘อาม่า’ หันมามองผมแล้วยิ้มอารมณ์ดีก่อนจะเดินเข้ามากอดและบีบๆจับๆตามเนื้อตัวผม
“อาฟี่ ผอมไปตั้งเยอะเลยนะ พอไอ้เม้งมันบอกอั๊วว่าลื๊อจะมา อั๊วเลยให้เด็กไปซื้อห่านที่ลื้อชอบมาเตรียมไว้เลยนะ~” อาม่าของเม้งพูดอย่างอารมณ์ดีโดยไม่สนที่ผมหงุดหงิด อาม่าของเพื่อนที่มักจะโอ๋ผมเหมือนว่าผมเป็นหลานในไส้แกก็มิปาน พอรู้ว่าผมจะมาก็มักจะไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารที่ผมชอบโดยไม่เคยสนว่ามันจะเป็นของแพงหรือเปล่า แค่มาใช้วัสดุบ้านเม้งทำงานกลุ่มฟรีๆผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว ยังจะได้กินของดีอีก ผมนี่มันแย่จริงๆเลย
“อาม่าครับ อะไรผมก็กินได้ ไม่เห็นจะต้องซื้อเนื้อห่านมาเลย แพงจะตายไป”
“ถ้าลื้อรู้ว่ามันแพง ลื้อก็กินเยอะๆนะ มันจะได้ไม่เสียของ แล้วมื้อเย็นจะกินอะไรดีล่ะ” อาม่ายังคงไม่สนใจที่ผมพูด ผมพลาดเองแหละครับที่ไปตกหลุมรักฝีมือทำอาหารระดับเหลาของอาม่าเข้าอย่างจังจนถอนตัวไม่ขึ้น
“อ้าว อาฟี่ กินข้าวหรือยัง” อา... ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรกครับ ผมหันไปยิ้มให้ป๊าของเม้งที่เดินเข้ามาในครัวอีกคนครับ
“ยังเลยครับ แวะเข้ามาคุยกับอาม่าก่อน”
“กินข้าวซะด้วย ม๊าเขาอุตส่าห์ทำพะโล้ไว้รอลื้อเลยนะ” ผมพยักหน้ารับให้ป๊า ป๊าเองก็เป็นอีกคนที่ใจดีกับผมเสมอต้นเสมอปลาย บางทีสาเหตุที่แกเอ็นดูผมอาจจะเป็นเพราะผู้หญิงในรูปที่มักจะถูกประดับไว้ทั่วบ้านก็เป็นได้...

‘นั่นเจ๊หมิง พี่สาวเราเอง’ คำตอบของเม้งที่เคยบอกกับผมตอนที่มาบ้านเม้งครั้งแรก เด็กสาววัยแรกแย้มที่สดใสยิ้มร่าเริงอยู่ในกรอบรูปทุกใบของบ้านหลังนี้ มันจะไม่มีอะไรให้ผมรู้สึกติดใจเลยถ้าเจ๊หมิงนั้นไม่ใช่คนที่มีโครงหน้าคล้ายผมขนาดนั้น!!!

คุณนึกภาพออกไหมครับ คนที่มีบรรยากาศคล้ายกัน แม้ว่าหน้าจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่พอได้เห็นหน้าคนนี้ก็จะพาลนึกถึงคนอีกคนขึ้นมาโดยอัติโนมัติ นั่นแหละครับคือความรู้สึกที่เม้งมีให้ผม
‘เจ๊เป็นน้ำท่วมปอดแล้วเสียไปตั้งแต่อายุสิบห้าแล้ว ตอนนั้นเราเพิ่งเจ็ดขวบเอง’
ถ้าตอนนี้เจ๊หมิงยังอยู่ก็คงอายุยี่สิบกว่าแล้ว เจ๊หมิงเป็นลูกสาวคนแรกของป๊า เจ๊หมิงที่แสนสดใส ร่าเริงและเป็นที่รักของคนในบ้าน แต่เจ๊หมิงกลับอายุสั้น และด่วนจากไปเสียก่อน ดอกไม้แรกแย้มที่ควรจะทำให้บ้านนี้สดใสจึงหมดสิ้นไป
‘ขอโทษนะฟี่ เราก็บอกอาม่ากับป๊าแล้วว่าฟี่ไม่ใช่ตัวแทนของเจ๊หมิง แต่ก็ไม่ฟังกันเลย’ ตอนนั้นผมยิ้มให้เม้ง และบอกกับเม้งว่าผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรถ้ามันจะเป็นแบบนี้ การที่ผมจะเป็นประโยชน์และเป็นที่พึ่งทางใจให้ใครได้มันก็ดีออกจะตาย อย่างน้อยผมจะได้รู้สึกว่าผมสมควรอยู่บนโลกใบนี้ขึ้นมาสักนิด...

“กินเสร็จแล้วเหรอฟี่” ทัชหันมาทักผม งานไม้คืบหน้าไปเยอะแล้ว โครงสร้างเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
“อืม แล้วนี่มึงจะประกอบเลยมั้ย” พอเราตัดไม้ให้เป็นรูปร่างที่เราต้องการแล้วก็เอามาประกอบกันตามแบบที่ร่างไว้ จากที่ผมมองดูก็เหมือนว่าเม้งจะเลื่อยส่วนหลักๆมาเกือบครบแล้ว
“แป๊บๆ ขอกูทำกลอนประตูก่อน” ไอ้ทัชมันพูดไม่ผิดหรอกครับ มันกำลังใช้สีอะครีลิกวาดกลอนประตูที่ไม้อัดแผ่นใหญ่ ไอ้นี่มันเก่งครับ วาดของกระจุกกระจิกเก่งไม่สมกับท่าทางเถื่อนๆของมันสักนิด
“ฟี่ๆ แกว่าชั้นสลักลายตรงหน้าต่างแถมไปด้วยดีมั้ย” หญิงเหล็กคนเดียวของกลุ่มหันมาถามความเห็นผม จูนเอาผ้ามาคาดหัวไว้เหมือนพวกช่างไม้ตัวจริงไม่มีผิด ผมชะโงกหน้าไปดูส่วนของหน้าต่างที่จูนวาดลวดลายและแกะสลักเป็นรูปเถาไม้พันไปมา
“เอาดิ เดี๋ยวเราช่วย” ผมก้มตัวลงนั่งข้างจูนและหยิบเอาสิ่วกับค้อนมาตอกลวดลาย

เราทำงานกันจนเริ่มมืดก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ เหลือแค่การลงลายละเอียดปลีกย่อย ผมเท้าเอวมองผลงานด้วยความภูมิใจ นับว่าคุ้มค่าที่เราลงแรงไปจริงๆ
“โห พอประกอบขึ้นมาเป็นรูปร่างแบบนี้แล้วมันตรงกับคอนเซ็ปต์ของอจ.เป็นบ้าเลยว่ะ” ผมก็คิดเหมือนที่จูนพูดครับ
 ธีมของโชว์รูมนี้คือความเหงาและสายฝน ผมจึงเลือกออกแบบโดยใช้ฉากเป็นกำแพงมีหน้าต่างและประตู โดยประตูนั้นเปิดแง้มออกมานิดหนึ่ง และด้านนอกเป็นแผ่นไม้แกะเป็นรูปผู้หญิงใส่โค้ทตัวโตเดินกางร่มสีดำ มือหนึ่งหิ้วกระเป๋าแบรนด์เนม ส่วนตรงที่เป็นหน้าต่างก็แกะสลัดเป็นลวดลายดอกไม้ และมีชายหนุ่มหน้าเศร้ายืนมองหญิงสาวข้างนอกด้วยสายตาที่เจ็บปวด สีหลักๆที่ผมใช้คือดำ เทา ขาว และเขียวขี้ม้าครับ
“มึงนี่มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตายสูงนะฟี่ ออกแบบอะไรได้หดหู่แบบนี้” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงไม่เถียงที่ไอ้ทัชพูดครับ เพราะบางทีมันก็ฟังดูเป็นไปได้เหมือนกัน...
“แต่เราว่าสวยดี สวยมากด้วย มันดูลงตัวกันน่ะ” อืม...ขอบใจนะเม้ง...รู้สึกดีขึ้นมานิดนึง..
“แล้ววันนี้ไม่ทำงานเหรอฟี่”
“ไม่อะจูน ขอหยุดบ้างเถอะ”
“เออ งั้นเราไปหาไรกินกันเอาปะ ชั้นอยากกินอะไรย่างๆว่ะ”
“หมูปิ้งหน้าปากซอยมั้ยจูน”
“หุบปากไปไอ้ทัช ชั้นว่าเราไปกินบุฟเฟต์เนื้อย่างกันเถอะ” พอหญิงเหล็กว่ามาเช่นนั้นพวกเราจึงเคลื่อนพลกันไปร้านเนื้อย่างบุฟเฟต์เจ้าประจำแถวทองหล่อกันทันทีครับ


หลังจากที่เราส่งผลงานโชว์รูมให้อาจารย์ไปแล้วผมก็กลับมาสบายๆอีกครั้ง ชีวิตผมก็กลับมาวนเวียนอยู่กับการทำงานพิเศษและไปเรียนบ้างขาดเรียนบ้างเช่นเดิม วันนี้ผมก็มาทำงานแต่หัววัน ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับลูกค้าและงานในร้านนั้นเอง..
“ท๊อฟฟี่! ทำไมกูตามหาตัวมึงยากนักวะ” เสียงห้าวทักผมลั่นร้านจนลูกค้าคนอื่นหันมามองเป็นตาเดียวกัน ผมต้องยกนิ้วมาจุ๊ปากเพื่อให้เพื่อนสนิทของผมหรี่โวลุ่มเสียงลงหน่อย
“ไม่ต้องมาจุ๊ปาก มึงมาคุยกับกูให้รู้เรื่องเลย” ชัดแล้วครับว่าผมคงต้องแอบแว่บไปคุยกับมันก่อน ไม่งั้นมันอาละวาดร้านพังแน่
“ว่าน พี่ฝากด้วยนะ เดี๋ยวพี่มาแป๊บนึง” ผมหันไปฝากงานไว้กับน้องในร้านอีกคนที่เข้ากะคู่กัน น้องว่านยิ้มกว้างและพยักหน้าให้ผมรีบไป ดูท่าว่าคงกลัวไอ้คิงพังร้านเหมือนกัน

“อะไรของมึงวะคิง เวลางานกูนะเนี่ย” พอลากมันเข้ามาในห้องพักพนักงานได้ผมก็ชิงทำเสียงหงุดหงิดใส่มันก่อนเลยครับ ข่มไว้ก่อนดีที่สุด
“วันนั้นกูโทรไปทำไมไม่รับ แถมกูไปเคาะห้องก็ไม่เปิด” มันเขย่าไหล่ผมแล้วก็ถามรัวมาเป็นชุด พออ้าปากจะตอบมันก็ถามผมต่ออีก
“มึงเป็นอะไรหรือเปล่า” อา...ผมกะแล้วว่ามันต้องถามคำนี้
“ไม่เป็นไร กูสบายดี” ผมส่ายหัวและยิ้มเพื่อให้มันสบายใจ คิงมักจะมาถามผมแบบนี้เรื่อยๆตั้งแต่วันนั้น...
“ให้จริงเถอะ วันนั้นกูได้ยินเสียงปึงปังจากห้องมึงด้วย พอโทรไปก็เสือกไม่รับ กูละใจไม่ดีเลย” มันคงหมายถึงเช้าวันที่ผมไปทำงานบ้านเม้งน่ะครับ วันที่ผมฝันร้าย..
“กูแค่ตื่นมาแล้วมึนๆน่ะ เลยเดินไปเตะโต๊ะ แล้วกองหนังสือเลยหล่นลงมากระแทกพื้น” เป็นความจริงครับ วันนั้นตอนที่ผมจะไปอาบน้ำ ผมมึนหัวมากเลยเดินไม่ดูทาง
“มึงฝันถึงเรื่องนั้นใช่มั้ย ฝันอีกแล้วใช่มั้ย”
“อืม กูฝัน...” ผมหลับตาเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผมฝัน เหมือนว่าแผลสดของผมถูกสะกิดขึ้นมาทีละนิด
“ไม่นึกถึงมันนะ ผ่านแล้วก็ให้ผ่านไป”
“อืม มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก กูไปทำงานละ” ผมไม่เสียเวลากับไอ้คิงต่อหรอกครับ ที่แว่บออกมาคุยกับมันตอนลูกค้าเต็มร้านก็เหลือทนแล้ว ป่านนี้ว่านเหนื่อยแย่เลย
“เดี๋ยวกูไปหาที่ห้องนะ” มันตะโกนบอกผมเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินออกไปจากร้าน ว่านหันมามองผมตาใสแล้วถาม
“แฟนพี่ฟี่เหรอฮะ” เฮ้ย บ้าแล้วน้องว่าน เอาอะไรมองเนี่ย
“เพื่อนครับ เพื่อนสนิท แล้วพี่ก็ไม่ใช่เกย์ด้วยนะ” มือหนึ่งผมก็สแกนยืมหนังสือให้ลูกค้า ปากก็พูดไปด้วย แต่ดูท่าลูกค้าร้านนี้จะเป็นสาววายเยอะไปหน่อย พวกเธอเลยหันมาสนใจบทสนทนาของพวกผมกันเป็นแถว
“แหม พี่ว่าแบบน้องท๊อฟฟี่เนี่ยน่าจะมีแฟนเป็นหนุ่มหล่อมาดแมนมากกว่าสาวสวยนะคะ หน้าตาน่ารักขนาดนี้” ขอบคุณครับพี่บีมลูกค้าผู้น่ารักของผม ผมยิ้มให้พี่บีมแล้วรีบหยิบหนังสือใส่ถุงผ้าส่งให้แกอย่างรวดเร็ว
“ผมก็ชอบทั้งสองแบบแหละครับพี่บีม ของสวยๆงามๆใครบ้างละจะไม่ชอบ” ผมยิ้มกริ่มให้พี่บีมแล้วหอบกองหนังสือการ์ตูนสองตั้งใหญ่ๆขึ้นไปเก็บบนชั้นสอง ถ้ามองไม่ผิดผมเห็นพี่บีมหันไปกรี๊ดกร๊าดกับเพื่อนๆแวบหนึ่งนะ

หลังจากที่ไอ้คิงกลับไปแล้วมันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยมีสมาธิเลย ใจผมหมกมุ่นคิดแต่เรื่องที่ผมฝันตลอด ผมไม่ค่อยฝันถึงเรื่องนั้นบ่อยนัก
งานตรงหน้าทำให้ผมต้องหยุดคิดเรื่องของตัวเองและหันมาตั้งใจทำงาน พี่แก๊บฝากให้ผมดูแลร้าน ซึ่งผมต้องทำให้ดี วันนี้ผมต้องทำบัญชีปิดร้านเลยให้ว่านกลับไปก่อน เพราะว่าบ้านน้องอยู่ไกล
“งั้นผมกลับก่อนนะ พี่ฟี่ก็กลับดีๆละครับ” น้องมันสั่งเสียผมเหมือนเห็นผมเป็นเด็กงั้นแหละ พอมันพูดจบก็เดินออกไปแล้วกด
ล็อกประตูให้ผมเสร็จสรรพ
สำหรับคนที่เรียนเอกดีไซน์นั้นคงไม่เหมาะกับการทำบัญชีรายรับ-จ่ายแน่นอน แต่ว่าพี่แก๊บนั้นก็รั้นจะสอนให้ผมทำงานนี้จนได้ แถมผมเองก็ยังทำได้คล่องเสียอีก ทำให้พี่แก๊บมีเวลาอู้งานมากขึ้น สำหรับร้านหนังสือการ์ตูนเช่านั้นมันไม่ได้มีแต่เรื่องรายรับค่าเช่า แต่มันยังมีรายจ่ายที่ใช้ในการซื้อหนังสือเข้าร้าน รายรับจากการสมัครสมาชิก ฯลฯ ซึ่งทำให้การทำบัญชีเวลาปิดร้านทุกวันเป็นเรื่องสำคัญมาก นอกจากเรื่องบัญชีแล้วเราก็ยังต้องมีการอัพเดทหนังสือเช่าทุกวัน วันนี้มีการ์ตูนหรือแมกกาซีนอะไรออกใหม่บ้าง  นอกจากจะต้องคอยอัพเดทหนังสือที่ออกใหม่แล้วยังต้องคอยหาหนังสือที่ดีๆและน่าอ่านมาให้ลูกค้าเช่าด้วย

พอมาคิดๆดู ร้านหนังสือเช่านี่แหละที่เหมาะกับผมมาก เพราะว่ามันมีเรื่องหยุมหยิมปลีกย่อยมากมายพอให้ผมวุ่นวายจนหยุดคิดเรื่องฟุ้งซ่านไปได้ การที่ผมทำงานที่นี่ช่วยเยียวยาผมจากเรื่องนั้นได้ดีเหลือเกิน...

ผมทำบัญชีเสร็จแล้วและกำลังล็อกร้าน ผมเดินไปหลังร้านที่มอเตอร์ไซค์ผมจอดอยู่ น้องหนูฟิโอเร่คันงามยังจอดเด่นเป็นสง่าเหมือนเดิม ผมขี่มอเตอร์ไซค์กลับห้องพักไปอย่างเอื่อยเฉื่อยเพราะรู้ดีว่าไอ้คิงจะมาหาที่ห้อง
ผมเกลียดเวลาที่มันมาสะกิดแผลของผม ผมเกลียดที่มันชอบมาเป็นห่วงผมเกี่ยวกับเรื่องนั้น ผมไม่ชอบ ผมคิดว่ามันทำเป็นไม่สนใจจะดีกว่า เพราะทุกครั้งที่มันมาถามไถ่ผม มันจะเป็นเหมือนการที่เอาเกลือมาราดแผลสด ผมเจ็บแปล๊บทุกครั้งที่มันทำ
สีหน้าห่วงใย มันชอบพูดว่าเมื่อไรผมจะลืม เรื่องมันก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว แต่จะให้ผมทำยังไง จะให้ผมใช้เวลาแค่ปีเดียวในการลืมคนที่ผมแสนผูกพันเนี่ยนะ...

การที่เขาจากไป มันก็ได้ทำให้ในใจผมมีช่องว่างช่องใหญ่ขึ้นมา แม้ว่าจะเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายขอเลิกกับเขาก็เถอะ...
 

----------------------------- To Be Continue -----------------------------

July_Moon

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
«ตอบ #8 เมื่อ11-05-2011 18:16:05 »

^
^
จิ้มผู้เขียนค่ะ ชอบนิยายแนวนี้อ่านแล้วได้อารมณ์ดีค่ะ
บรรยากาศอาจจะมัวๆแต่ไม่ถึงขั้นเป็นสีดำ เหมือนหมอกปกคลุมดี จะรออ่านนะคะ :L2:

Little_b

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
«ตอบ #9 เมื่อ11-05-2011 18:21:19 »

รอตอน 33333  - 3333

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
« ตอบ #9 เมื่อ: 11-05-2011 18:21:19 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
«ตอบ #10 เมื่อ11-05-2011 20:39:46 »

โถ ชีวิตฟี่ อย่าอมทุกข์ไปนะจ๊ะ เดี๋ยวก็ได้เจอคนที่มาทำให้ฝันดีแทนแล้ว(รึเปล่า)
รออ่านต่อจ้า
ปล...อยากกินมั่งพะโล้ห่าน >"< ที่ไหนมีขายมั่งอ่า

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
«ตอบ #11 เมื่อ11-05-2011 21:32:02 »

อาจจะใช่  แต่ก็ต้องมองว่าเขาเป็นห่วงเขาถึงได้ถามไถ่



อย่ามองเขาในแง่ร้าย  เพราะคนที่มองในแง่ร้ายก็คือตัวเองนั้นละ  ที่ยังไม่ลืมเขา

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
«ตอบ #12 เมื่อ11-05-2011 22:47:04 »

เรื่องมันเศร้าจัง


น่าสงสารอ่ะต้องทำงานเพื่อให้ใจไม่ว่างมาคิดมาก



แย่จังรออ่านตอนต่อไปค้าบบบบบบบบบบบบ

ออฟไลน์ G-NaF

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
«ตอบ #13 เมื่อ12-05-2011 00:13:53 »

เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านนะครับฟี่

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
Re: The Space [ช่องว่าง] 11/5/2011
«ตอบ #14 เมื่อ12-05-2011 00:36:15 »

อัพเร็วๆนะคะ 
สารภาพเลยว่า ส่วนตัวเนี่ย ชอบนิยายโทนนี้ อึมครึมๆหม่นๆเทาๆ (ที่ไม่ใช่ดำ ดราม่ากระจาย) มากกว่าแนวหวานแหววอีกนะคะ
เพราะมันให้ความรู้สึกใกล้เคืองกับชีวิตมนุษย์เราจริงๆมากกว่าพวกนิยายใสปิ๊งอะไรอย่างงั้นอีกเนอะ
แต่หาโทนเทาๆอ่านยากอ่ะเดี๋ยวนี้

เพราะฉะนั้น คุณบีอัพบ่อยๆ อย่าดองนะคะเรื่องนี้  :monkeysad:

กอดคุณบี  :กอด1:

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
ช่องว่างหมายเลข 3
«ตอบ #15 เมื่อ12-05-2011 17:19:24 »



ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าสมองของผมวุ่นวายเหลือเกิน ตั้งแต่วันที่ผมฝันร้ายก็ดูเหมือนว่าคนในฝันนั้นตามมาหลอกหลอนผมเรื่อยๆ

เวลาที่ผมไปเรียน หรือไปทำงานมันก็ดีหน่อย เพราะมีเรื่องอื่นมาช่วยแชร์ที่ว่างในหัวผมไปใช้ ผมจะได้ไม่ต้องคิดวุ่นวายเรื่องนั้นมากมาย

แต่พอเวลาที่ผมกลับอพาร์ตเมนท์นี่สิ เวลาที่ผมไม่ได้ทำอะไร...
ไอ้ห้องของผมนี่แหละที่ทำให้ผมต้องปวดร้าวอีกครั้ง ความเงียบในห้องของคนที่อาศัยคนเดียว ผมไม่ชอบดูโทรทัศน์ และใน
ไอพอดของผมก็มีแต่เพลงช้าๆเศร้าๆที่ไม่เหมาะจะเปิดฟังในตอนนี้ ผมเลยตัดสินใจอาบน้ำและเข้านอน...


“พี่ตังค์ ซื้ออะไรมาเนี่ย?” ผมมองกล่องสี่เหลี่ยมตรงหน้าอย่างแปลกใจ รูปการ์ตูนเพนกวินบนกล่องช่วยแก้ความสงสัยของผมได้ในทันที
“เครื่องไล่ยุง? พี่จะซื้อมาทำไม ห้องก็มีมุ้งลวด” คนตรงหน้าผมยิ้มแหยๆแล้วก็ตอบเสียงเบางุ้งงิ้ง
“พี่เห็นมันน่ารักดี ก็เลยซื้อมา..”
“ฮื้อ เหตุผลแค่นั้นน่ะนะ” ผมส่ายหัวอย่างอ่อนใจ คนๆนี้มักจะมีเหตุผลในการทำอะไรที่ผมคาดไม่ถึงเสมอ เรียกว่าผมไม่มีทางเข้าใจได้แน่นอนว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงทำแบบนั้น
“แหม นิดหน่อยเองฟี่”
“ไอ้นิดหน่อยของพี่น่ะ พอเอามารวมๆกันมันก็มากเหมือนกันนะ” ผมเริ่มขมวดคิ้ว ทำไมเขาถึงคิดอะไร ทำอะไรไม่ค่อยไตร่ตรอง นึกอยากจะทำก็ทำ
“...” เงียบ พอเขาเห็นว่าผมเริ่มหงุดหงิดเขาก็จะเงียบ ไม่พูดไม่จา ปล่อยให้ผมหายหงุดหงิดไปเองและเขาก็จะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และหลังจากนั้นเรื่องเก่าๆก็จะเวียนกลับมาเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ผมไปละ” ผมตัดสินใจคว้ากระเป๋าแล้วตั้งท่าจะเดินออกมาจากห้องเขาเพราะไม่อยากจะโมโหในตอนนี้ แต่พอผมลุกยืนเท่านั้นเขาก็คว้าแขนผมเอาไว้
“นายจะไปไหน”
“จะกลับบ้าน วันนี้วันเกิดอา เขาจะไปฉลองกัน”
“นายจะไปทำไม จะไปสนใจคนพวกนั้นทำไม คนที่เขาไม่เคยดีกับนาย นายไม่ต้องไปข้องเกี่ยวกับพวกเขานักหรอก” ผมนิ่วหน้าเมื่อได้ฟังคำพูดของเขาแล้วก็ถอนหายใจ
“ทำไงได้ละพี่ตังค์ ยังไงผมก็ยังเป็นหลานเขา ยังต้องขอความช่วยเหลือจากเขาอยู่ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก” 
“อืม ก็แล้วแต่ฟี่ละกัน” ผมยิ้มให้พี่ตังค์แล้วก็กอดเขาเบาๆ อย่างน้อยก็ยังมีคนที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนผมนี่นะ
“แล้วผมจะรีบกลับ”


ผมสะดุ้งตื่นอีกแล้ว เหมือนว่ามันเป็นการปลุกให้ผมตื่นโดยจิตใต้สำนึกที่ไม่ต้องการให้ผมฝันต่อ ผมลุกขึ้นมานั่งมองไปยังปลายเตียง แต่ในใจของผมกลับนึกถึงเรื่องราวไปไกลกว่านั้นเสียอีก...
เรื่องราวต่างๆผุดขึ้นมาอีกครั้งระหว่างที่ผมเริ่มพยายามจะหลับอีกครั้ง นิสัยส่วนตัวของเขา คำพูดของเขา น้ำเสียงของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเขานั้นผมยังจำได้ขึ้นใจเหมือนว่าเรื่องของเรามันเพิ่งจะผ่านมาเมื่อวานเอง...

พี่ตังค์ผิวขาว พี่ตังค์เป็นหนุ่มตี๋ พี่ตังค์พูดเพราะ
พี่ตังค์เป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง ตัดสินใจจะทำอะไรก็ต้องได้อย่างนั้น
พี่ตังค์เป็นคนอ่อนโยน แต่ในทางกลับกันก็อารมณ์ร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ผมจำได้แม้กระทั่งวันที่เราเลิกกัน...

‘ขอโทษนะครับพี่ตังค์ แต่ฟี่คิดว่าเราสองคนไปกันไม่ได้จริงๆ’ 
‘นายพูดอะไรน่ะฟี่ พี่ไม่เข้าใจ พี่ทำอะไรให้นายไม่พอใจงั้นเหรอ’
‘ไม่ครับ ก็อย่างที่ผมบอก ผมมาคิดดูแล้ว เราสองคนไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ’
‘เราคบกันมาตั้งสามปีแล้วนะ จะไปด้วยกันไม่ได้ยังไง!’
‘แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง พี่รู้บ้างมั้ย ว่าทุกวันนี้เวลาที่ผมมองพี่ เวลาที่ผมอยู่กับพี่ ผมมองไม่เห็นอนาคตที่เราจะมีร่วมกันสักนิด’
‘นายพูดแบบนั้นได้ยังไง พี่มีอะไรดีไม่พอ นายอยากได้อะไรพี่ก็ให้’
‘มันไม่เกี่ยวกับว่าพี่ดีหรือไม่ดีนะ ผมบอกแล้วว่าเราไม่มีทางไปกันได้’
‘ไม่เอาหรอก พี่ไม่เลิก ไม่เลิกเด็ดขาด’
‘ผมขอร้องเถอะ ผมไม่มีหัวใจให้พี่อีกแล้ว อย่าให้ผมต้องเสียความรู้สึกดีๆไปมากกว่านี้เลยนะ’
‘ไม่เอา พี่ไม่เลิก ให้พี่แก้ตัวเถอะนะ นายอยากได้อะไรพี่ก็จะให้’
‘พี่ตังค์... พี่คุยไม่รู้เรื่องแล้วนะครับ..’
‘พี่ไม่อยากคุย ไม่อยากคุยแล้ว ไม่เอาแล้ว’

เหตุการณ์ที่เราสนทนากันในวันนั้นมันยังคงวนเวียนไปมาไม่จบสิ้น ผมจำได้ดีว่าพี่เขาไม่ยอมรับการตัดสินใจของผม เรายังคงดันทุรังคบกันอยู่อีกเป็นเดือนจนผมทนไม่ไหวจริงๆ โชคดีว่าช่วงนั้นผมกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยพอดี ผมจึงย้ายข้าวของมาอยู่
อพาร์ทเมนต์แถวมหาวิทยาลัยแทน เรียกว่าหนีหน้าไม่เจอกันอีกเลย... และเขาเองก็ไม่ได้ออกมาตามหาผมด้วย...

แรกๆผมยังคงถามไถ่ข่าวคราวของเขาจากเพื่อนๆเขา ได้ยินมาว่าพี่ตังค์ใช้ชีวิตเหมือนกับคนหมดอาลัยตายอยาก ไปเรียน กลับห้อง เล่นเกม กินข้าว นอนดูหนัง หลักๆก็ทำอยู่แค่นี้เท่านั้น...
ผมไม่อยากให้เขาเป็นแบบนั้น ผมไม่ได้จากเขามาเพื่อให้ชีวิตของเขาตกต่ำลง แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะผมรู้ว่าทางที่ดีที่สุดคือการไม่หันหลังกลับไปมอง เมื่อตัดสินใจแล้ว เลิกกันแล้วก็ไม่ควรไปใกล้ชิดเหมือนเดิม เพราะมันจะทำให้สิ่งที่ผมทำสูญเปล่าไปทันที

อีกเรื่องหนึ่งที่คนใกล้ตัวผมมักจะชอบถามกันก็คือว่า ‘ทำไมถึงเลิกกัน’ เพราะผมและพี่ตังค์คบกันมานาน และเราสองคนก็รักกันมาก มากจนใครๆก็อิจฉา ผมมีแต่พี่ตังค์ และในสายตาพี่ตังค์ก็มีแต่ผม

ผมไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้กับคนที่ถาม มันเหมือนกับว่าวันหนึ่งผมก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทนกับจุดนี้ได้อีกแล้ว
พี่ตังค์ถามผมว่าไม่รักเขาแล้วเหรอ? คำตอบคือไม่ ผมยังรักเขา รักเต็มหัวใจและไม่ได้มีใครมาแทนที่เขา แต่ผมแค่รู้สึกว่าอะไรๆที่ผมทนมาสามปีมันเริ่มสิ้นสุดลง ผมจึงคิดว่าควรจะเลิกก่อนที่ผมจะเกลียดเขา... ขึ้นมาสักวัน...

เรื่องน่าอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า เมื่อผมเลิกกับเขาและย้ายมาอยู่คนเดียว ผมได้มีเวลาคิดทบทวนเรื่องพี่ตังค์ ข้อเสียต่างๆที่ผมไม่เคยมองเห็นกลับผุดขึ้นมาเรื่อยๆ

พี่ตังค์ไม่เคยกลับไปเยี่ยมบ้านเลยตั้งแต่เข้ามาเรียนในกรุงเทพ
พี่ตังค์ไม่เคยโทรหาที่บ้านถ้าไม่มีธุระสำคัญ
พี่ตังค์ตัดสินใจอะไรแล้วต้องทำให้ได้ ไม่เคยสนว่าผมจะเห็นด้วยหรือไม่
พี่ตังค์อารมณ์ร้ายสุดๆ
พี่ตังค์ชอบวาดฝันบนแผ่นฟ้า แต่ไม่เคยคิดจะทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา...   

แต่สิ่งหนึ่งที่พี่ตังค์มีมาก และบดบังด้านแย่ๆของเขาไปหมดก็คือความรักที่มีให้ผม ผมเองก็รักเขาจนหมดหัวใจ แต่ผมไม่รู้ว่าความรักที่เขามีให้ผมเป็นความรักจริงๆหรืออะไรกันแน่ บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความผูกพันก็ได้...

ผมเองรู้สึกเจ็บปวดมากไม่แพ้พี่ตังค์ ถึงผมจะเป็นคนบอกเลิก แต่มันก็เป็นการเลิกที่ยังรู้สึกรักอยู่เต็มหัวใจ...
จะบอกว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้ เพราะผมเองไม่มีเหตุผลชัดเจนที่มันฟังขึ้น ผมรู้แค่ว่าถ้ายังดันทุรังคบต่อไปมันจะต้อง้ราวฉานยิ่งไปกว่านี้แน่

ผมไม่เคยคบใครได้นานเท่าไรนัก อย่างพี่ตังค์เนี่ยก็นับว่านานสุดๆแล้ว แฟนคนก่อนหน้านี้ก็คบมาแค่ปี บางคนครึ่งปี บางคนสองเดือน บางคนอาทิตย์เดียวยังมีเลย ผมจึงไม่เคยเข้าถึงอารมณ์ของเพลงประเภท ‘หากันจนเจอ’, ‘ชีวิตคู่’, ‘คู่แท้’ ฯลฯ พอผมเริ่มเห็นว่าเราจะไปกันไม่ได้หรือมีบางอย่างที่ทำให้ผมไม่สามารถทนต่อไปได้ ผมก็จะเลิกเลย แต่ทุกครั้งที่ผมเลิกกับใครก็ตาม ช่องว่างในใจผมก็ยิ่งขยายใหญ่ ยิ่งตอนเลิกกับพี่ตังค์ด้วยแล้ว มันก็เหมือนว่าจะใหญ่มากจนผมรู้สึกว่าพื้นที่ในหัวใจของผมมันจะเหลือเพียงนิดเดียวพอให้รู้สึกเจ็บปวดบ้างเป็นบางครั้ง ความสุขไม่ต้องพูดถึง ผมไม่เคยสัมผัสมันมาแสนนานแล้ว

มันคงเป็นผลกรรมสำหรับคนอย่างผม คนที่ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นมานับครั้งไม่ถ้วนนั้นไม่สมควรจะมีความสุข การอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวก็เป็นบทสรุปของชีวิตผม... ผมเคยนอนร้องไห้นับครั้งไม่ถ้วนเวลาที่หัวใจบีบคั้นจนถึงที่สุด น้ำตาที่ไหลออกมาจนเปียกหมอนเป็นเหมือนน้ำกรดที่รินรดลงบนหัวใจเน่าๆของผม ผมอยากจะตายไปให้พ้นๆ แต่ผมก็ใจไม่ถึงพอ ผูกคอตายก็ทรมาน กรีดข้อมือก็คงเจ็บ กระโดดน้ำตายศพก็อุบาทว์ ผมเลยล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตายไปซะ


“ฟี่ กูบอกแล้วไง ว่าไม่ให้มึงแต่งตัวแบบนี้นอน...” ผมขยี้ตาเพราะความง่วงงุนก่อนจะพยักหน้ารับรู้กับคนตรงหน้า
“แล้วมึงใส่ทำไมวะ” ไอ้คิงถามซ้ำ มันมาทุบประตูห้องปลุกผมตอนตีสี่ เพื่อ?
“มึงไปเที่ยวมาเหรอ” ผมได้กลิ่นเหล้าจางๆจากตัวมัน สงสัยมันจะไปเที่ยวผับมาครับ
“เออ ตอบกูก่อน ทำไมแต่งตัวแบบนี้นอน” ผมก้มมองตัวเอง เสื้อแขนยาวตัวโตพอที่จะปิดได้เกือบหัวเข่า มันโป๊ตรงไหนวะ
“กูก็ไม่เห็นว่ามันจะน่าเกลียดตรงไหนนี่หว่า”
“ก็เพราะว่ามึงเป็นคนใส่ไงไอ้ห่า” ไอ้คิงมันดันไหล่ผมให้เดินถอยเข้ามาในห้อง พอเราสองคนออกมาพ้นจากประตูแล้วไอ้คิงก็เดินตุปัดตุเป๋ไปที่เตียงผมแล้วล้มตัวลงนอน
“ทำไมไม่ไปนอนห้องตัวเองวะ?” ผมเกาหัวแกรกแล้วเดินมานั่งบนเตียง ไอ้คิงเริ่มส่งเสียงกรน ดูท่าว่ามันเมาเอาเรื่องเลยครับ
ผมดึงผ้าห่มมาคลุมตัวแล้วก็หลับต่อ สรุปแล้วไอ้ที่มันมาบ่นๆเรื่องการแต่งตัวของผมก็หาสาระไม่ได้ เพราะว่ามันเมามา ดูท่าพรุ่งนี้ผมคงต้องเตรียมมื้อเช้าช่วยให้มันสร่างเมาซะแล้วละ

“โอ้ว เพื่อนกูเทพมาก” ไอ้คิงมองจานอาหารเช้าตรงหน้าแล้วเริ่มพล่าม กับอีแค่สลัดผัก ไข่ดาว ไส้กรอกและเบคอนมันจะอะไรนักหนาวะ มีเตาอบกูก็อบให้มึงกินได้ทุกอย่างละ
“แดกซะ อย่าพล่ามมาก แฮงค์มั้ยละมึง เมามาอย่างแมว” ผมเขี่ยๆสลัดผักในชามตัวเอง เช้านี้ผมไม่อยากกินอะไรมากมาย แค่สลัดก็พอแล้ว
“เออ สุดๆอะ พวกไอ้กั๊กแม่งสั่งเปิดขวดไม่รู้กี่ขวดเลย กว่ากูจะลากสังขารกลับมาได้นะ” ไอ้คิงเอาซอสมะเขือเทศราดไข่ดาวจนท่วมก่อนจะตักเข้าปากทีละครึ่งใบ ทำไมพอผมเห็นมันกินแล้วรู้สึกว่าอ้วกจะแตก(วะ)ครับ
“แดกเข้าไปเหล้าน่ะ ตับมึงจะได้แข็งแรง” ปากผมก็ด่ามัน แต่ผมก็ยังเดินไปเปิดนมมาเทใส่แก้วให้มันด้วยหวังว่าแคลเซียมจะไปช่วยเจือจางปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดมัน(เกี่ยวกันไหมครับ?)
“ว่าแต่เมื่อคืน ไอ้ชุดที่มึงใส่นะ มันไม่เรียบร้อยรู้ไหม”
“หา? มึงยังไม่ลืมอีกเรอะ” ไอ้คิงมันพยักหน้าพร้อมกับ ‘ขย้อน’ ไส้กรอกลงคอไปด้วย
“มึงมันตัวเล็ก ผิวขาว พอแต่งแบบนั้นมันก็ดูน่ารักน่าปล้ำ เหี้ย กูพูดไรไปวะ...” มันบอกสาเหตุกับผมและด่าตัวเองได้ในประโยคเดียว ผมฟังแล้วก็พอเข้าใจว่ามันเป็นห่วงผม
“เดี๋ยวก่อนนะ ปัญหามันคือคนแบบมึงที่มาเคาะห้องกูตอนเกือบเช้าไม่ใช่เรอะ ถ้ามึงไม่มาเคาะ กูก็ไม่เปิดประตู และมึงก็จะไม่รู้ว่ากูแต่งตัวยังไงนอน จริงมั้ย เพราะงั้นประเด็นนี้กูไม่ผิด จบป่ะ”
“เออ จริง จบก็ได้”

คุณอาจจะคิดว่าผมกับไอ้คิงคงจะเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน เพราะความห่วงหาที่มันมีให้ผมแบบออกนอกหน้านั่นเอง ผมเองก็เป็นห่วงมันไม่น้อย ผมถึงขนาดเคยอ้างตัวเป็นแฟนมันแล้วไปวีนใส่ผู้หญิงที่มาตื๊อมันด้วย แต่ไม่ต้องคิดลึกครับ ผมกับมันไม่ได้เป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อนจริงๆ เราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เล่นกัน ดูแลกัน ตีกัน ช่วยเหลือกันมาตลอด ผมเองคงไม่อุตริไปมีอารมณ์วาบหวามกับเพื่อนสนิทตัวเองหรอกครับ

ที่สำคัญไอ้คิงมันมีสาวในดวงใจอยู่แล้ว ให้ทายสิว่าเป็นใคร หึหึ ก็สาวจูนเพื่อนผมไงละครับ มันหลงรักจูนตั้งแต่แรกพบ และพร่ำเพ้อถึงร่างเล็กๆใบหน้าหวานๆเสียงห้าวๆนิสัยโหดๆทุกวันทุกเวลาหลังอาหาร แต่จูนก็ไม่เคยรับรู้ เพราะผมไม่เคยบอกจูนว่าไอ้คิงแอบชอบ เพื่อนผมมันเขินครับ ไม่เข้ากับหน้าด้านๆของมันเลยใช่มั้ยละ

“วันนี้มึงไปทำงานป่าววะ”
“ไปดิ”
“แล้วมีเรียนมั้ย”
“มี รอมึงกินเสร็จแล้วกูจะไปอาบน้ำเนี่ย”
“อ้าว รอทำไมอะ ก็ไปอาบเลยดิ เดี๋ยวกูล้างเอง” ผมส่ายหน้าครับ ไอ้คิงเคยล้างจานเอง แล้วมันก็ทำแตกทุกใบที่มันจับ ผมจึงไม่อยากให้มันแตะคอลเลกชั่นจานสุดที่รักของผมอีกเลย
“เดี๋ยวกูติดมอไซค์มึงไปพร้อมกันเลยนะ อยากเจอว่ะ..” ผมพยักหน้ารับ รู้ดีว่าคนที่ไอ้คิงอยากเจอคือใคร โดยไม่รู้ตัวผมก็ยิ้มขึ้นมานิดหนึ่ง
“คิดถึงเขาละสิ ทำไมไม่บอกเขาไปละว่าชอบ” เพื่อนผมมันกำลังเขินครับ เห็นแล้วก็น่าเอ็นดู
“ไม่ได้หรอก พอกูอยากจะคุยกับเขาก็รู้สึกเขินเป็นบ้าเลยว่ะ” จริงครับ พอไอ้คิงเจอจูนทีไรมันจะเก๊กเข้ม ทำนิ่งๆผิดจากนิสัยโหวกเหวกของมันสิ้นเชิง
“พยายามเข้าแล้วกันนะคิง”
“ว่าแต่มึงเถอะฟี่ เมื่อไรจะลองคบคนอื่นดูล่ะ เรื่องนั้นก็ผ่านมานานแล้วนะ” ทำไมจากที่คุยเรื่องของมัน ถึงกลายเป็นมาคุยเรื่องผมได้ละ
“เอาเถอะคิง กูบอกแล้ว กูแค่ขอเวลา ขอให้กูรู้สึกดีกว่านี้ มึงรู้ไหมว่าตอนนี้แค่จะยิ้มกูยังรู้สึกผิดเลย” ผมพูดออกไปตรงๆ เพราะเปล่าประโยขน์ที่จะปิดบังความรู้สึกกับไอ้คิง
“ไม่เอาดิวะฟี่ ยังไงมึงยังมีกูนะ” ไอ้คิงเดินมากอดผมไว้แน่นแล้วตบไหล่ผม ผมหลับตาซึมซับความอบอุ่นที่มันมีให้ผม
‘ก็เพราะมีมึงนี่ละคิง กูเลยยังเป็นผู้เป็นคนได้ไง...’


----------------------------- To Be Continue -----------------------------


ปล.ขอโทษนะคะถ้าไม่ค่อยตอบคอมเมนท์
ปล.2 กอดทุกคนค่ะ
  :กอด1:

July_Moon

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] 12/5/2011
«ตอบ #16 เมื่อ12-05-2011 18:47:08 »

^
^
^
ในที่สุดก็จิ้มทันอีกครั้งค่ะ >< ฮิ้ว~~~
ชอบมากๆ คิงก็น่ารักห่วงเพื่อนดีจัง ฟี่สู้ๆ~!  :กอด1:

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
Re: The Space [ช่องว่าง] 12/5/2011
«ตอบ #17 เมื่อ12-05-2011 18:48:11 »

กอดคุณบีด้วยค่ะ  มาๆกอดกัน  :กอด1:

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
Re: The Space [ช่องว่าง] 12/5/2011
«ตอบ #18 เมื่อ12-05-2011 19:09:41 »

 :กอด1: :กอด1:




ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
Re: The Space [ช่องว่าง] 12/5/2011
«ตอบ #19 เมื่อ13-05-2011 00:47:35 »

เศร้าจังอ่ะเพราะรักมากเลยลืมสนใจข้อเสีย


แต่น่าจะคุยกันใหม่แล้วปรับตัวกันอีกทีน่ะอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้น่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The Space [ช่องว่าง] 12/5/2011
« ตอบ #19 เมื่อ: 13-05-2011 00:47:35 »





ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
Re: The Space [ช่องว่าง] 12/5/2011
«ตอบ #20 เมื่อ13-05-2011 15:43:01 »

มาช่วยๆกันดัน  เรื่องแนวหวานอม ขมกลืน มาแบรกอารมณ์
นิยายหื่นๆ แบบว่าจบเรื่องโน้นจบ เจอเรื่องนี้เข้าไปแล้ว  :เฮ้อ:

เอาใจช่วยน้องฟี่ มีเพื่อนที่ดีนะคะ แบบว่าเพื่อไม่แอบหวังเพื่อนใช่มะ

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
Re: The Space [ช่องว่าง] 12/5/2011
«ตอบ #21 เมื่อ16-05-2011 03:43:45 »

มาดันจ้ะ

คุณบีจะได้เข้ามาอัพ :กอด1:

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
ช่องว่างหมายเลข 4
«ตอบ #22 เมื่อ16-05-2011 22:32:29 »


วันนี้ผมมีเซอร์ไพรส์ครับ...
ทายสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น...

/ฟี่ วันนี้มาเข้ากะตั้งแต่ตอนเย็นได้มั้ย พอดีพี่ต้องไปธุระน่ะ/ พี่แก๊บโทรมาผมหลังจากที่ผมเลิกเรียนหมาดๆ ผมยกแขนมาดูนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้เพิ่งบ่ายสอง กะเย็นคือห้าโมงเย็น ผมยังมีเวลาอีกนาน
“ได้ครับ เดี๋ยวฟี่ไปให้”
/อืม ขอบใจมากนะฟี่ เดี๋ยวพี่ซื้อขนมมาฝาก/
“ขอเป็นชูครีมนะครับ”
/หงะ..ได้ซี่ เดี๋ยวพี่จะซื้อเข้าไปให้นะ/ พี่แก๊บรีบวางสายผมทันทีก่อนที่ผมจะขออะไรแพงกว่านั้น แหม ก็จะให้ผมไปทำงานล่วงเวลาแบบนี้ก็ต้องขอค่าตอบแทนหน่อยนะ ถึงแม้ผมจะได้เงินค่าโอทีด้วยก็เถอะ

“อุ๊ย ท๊อฟฟี่ มาแทนพี่แก๊บเหรอ” เชอรี่ทักผมเสียงใสทันทีที่เห็นหน้าผมเดินเข้าไปในร้าน แต่ผมยังไม่ทันได้ทักเชอรี่กลับ สายตาของผมก็ไปป๊ะเข้ากับบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจผมได้มากกว่า

‘เขาคนนั้น’ ยืนดูหนังสืออยู่ที่ชั้นหนังสือออกใหม่ วันนี้เขาแต่งชุดนักศึกษาไม่ใช่ชุดธรรมดาเหมือนวันแรก เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ชายหลุดลุ่ยออกมาจากกางเกงสแล็ก ดูแล้วให้ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันพิลึก วันแรกที่เจอกันเขาใส่เสื้อยืดเรียบๆคอวีและกางเกงขาเดฟดูเซอร์ๆ เห็นแล้วก็รู้เลยว่าเป็นพวกอาร์ต มาวันนี้เขาแต่งชุดนักศึกษาที่ดูแล้วก็ไม่เรียบร้อยเท่าไร แต่มันก็ให้ลุคส์ต่างไปจากวันนั้นมาก

แล้วผมบอกคุณหรือยังว่าเขาหล่อ...

เขาหล่อแบบเซอร์ๆ ลองนึกถึงเรย์ แมคโดนัลด์ หรืออนันดา หรือฮิวโก้ เขาเป็นผู้ชายแนวนั้นแหละ ซึ่งแตกต่างจากคนที่ผมเคยคบซึ่งมักจะออกแนวหล่อเนี้ยบ เขาทำให้ผมรู้สึกถึงสเน่ห์ของสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในสายตาผม เขาเป็นคนที่ใส่กางเกงยีนส์เก่าๆ ขาดๆได้ดูดี และทำให้ผมรู้สึกว่าอยากใส่บ้าง เสื้อยืดธรรมดาๆเรียบๆก็ดูเป็นตัวเลือกที่ดีในการแต่งตัวขึ้นมาทันที ต่างจากพี่ตังค์ที่มักจะแต่งตัวเนี้ยบๆ กางเกงยีนส์ก็ไม่ชอบใส่เลย

พอเห็นเขา รอบกายผมก็เป็นเหมือนครั้งนั้นอีกแล้ว...
ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งไปหมด เสียงรอบๆก็เงียบลงเหมือนปิดสวิทช์ คนอื่นรอบกายเหมือนเป็นเพียงเงารางๆที่พร่าเลือน ตัวของเขามีประกายเจิดจ้าหลอกล่อให้ผมเข้าไปใกล้ หากให้ประมาณการช่วงนั้นในหน่วยของเวลา ผมก็พอกะได้ว่ามันแค่สามวินาที แต่ทำไมเวลาสามวินาทีถึงทำให้ผมรู้สึกอะไรมากมายได้ขนาดนี้

ทันใดนั้นผมก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปรกติ... ใบหน้าของเขาดูหม่นหมองไปจากคราวนั้น เขาดูโทรมลงไปมากโข ใบหน้าที่สดใสก็ดูเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ ผมเก็บอาการแล้วเดินกระเป๋าเข้าไปไว้ก่อนจะออกมาด้วยความเร็วแบบสายฟ้าแลบ ผมทำงานไปพร้อมกับแอบมองเขาไปด้วย ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ผมได้แต่นึกรำพึงในใจว่าอยากจะเป็นคนที่แบ่งเบาความทุกข์ของเขามาแทนเพียงเท่านั้น

เพราะเขาไม่เหมาะกับความเศร้าเลยแม้สักนิดเดียว พอคิดแบบนั้นแล้ว อยู่ดีๆผมก็รู้สึกอึ้ง เหมือนน้ำตาพาลจะไหล
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ไม่รู้จักกัน ไม่เคยคุยกัน และเขาก็ไม่เคยมีผมในสายตา กลับทำให้ผมรู้สึกอะไรได้มากมายเพื่อเขาขนาดนี้

“ฟี่ เชอรี่เห็นนะ” ผมหันไปมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาในห้องพัก ตอนนี้ผมกำลังพักกินข้าวอยู่ พี่แก๊บก็มาแล้วเลยปลีกตัวมาได้
“เห็นอะไรเหรอ?”
“สายตาที่ฟี่มองลูกค้าคนนั้นน่ะ” เชอรี่นั่งลงตรงข้ามกับผมและใช้ส้อมจิ้มหมูทอดในจานผมไปเคี้ยว
“เราเก็บอาการแล้วนะ” ผมพูดยิ้มๆ
“เชอรี่ก็ไม่ทันสังเกตหรอก แต่ตอนที่เขาเอาหนังสือมาให้ฟี่สแกนน่ะ ฟี่ยิ้มให้เขาด้วย”
“แค่ยิ้มเนี่ยนะ? แล้วมันทำไมอ่า?”
“ก็ฟี่น่ะ ยิ้มนับครั้งได้เลยนะ ถ้าไม่ใช่ลูกค้าที่สนิทกันมากๆ ฟี่ก็ไม่ยิ้มหรอก แต่กับคนนั้น ฟี่ยิ้มให้เขาด้วย” ผมละอึ้งกับ
เรดาห์ของผู้หญิงจริงๆ นี่ใช่ที่เขาเรียกว่าสัญชาติญาณของเพศแม่หรือเปล่าครับ
“อืม เขาดู...น่าสนใจน่ะ”
“แค่น่าสนใจเหรอ... น้อยไปมั้ง...” เชอรี่ทำสีหน้ายั่วเย้าผม ผมชักจะรู้สึกเขินๆเสียแล้วสิ
“ไม่เอาน่าเชอรี่ ไม่มีอะไรหรอก” ผมรีบบอกปัด เชอรี่เองก็ทำตาระยิบระยับล้อเลียนผมแล้วก็เดินออกไปข้างนอก ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองทำสีหน้ายังไง ผมรู้เพียงแค่ว่าหัวใจของผมมันเริ่มเต้นเป็นจังหวะอีกครั้งแล้วละ...


เขาชอบอ่านแมกกาซีนแนวๆและการ์ตูนพวกที่ผมไม่มีทางหยิบมาอ่าน ผมรู้เพราะผมเข้าไปดูประวัติการยืมหนังสือของเขา เขาเพิ่งจะมาสมัครสมาชิกที่นี่ไม่นานเอง และช่วงเวลาการยืมของเขาก็มักจะเป็นช่วงที่ผมไม่เข้ากะ จึงไม่แปลกที่ผมไม่ค่อยเจอเขา

เขาอายุน้อยกว่าผมหนึ่งปี เกิดเดือนเดียวกับผมด้วย!!! แต่เขาไม่ได้เรียนที่เดียวกับผมแฮะ บ้านเขาอยู่แถวนี้ก็เลยมายืมหนังสือที่นี่ ผมอ่านข้อมูลส่วนตัวของเขาแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองโรคจิตหรือเปล่านะ ผมกำลังใช้สิทธิ์ของการเป็นพนักงานร้านหนังสือเช่าในทางมิชอบโดยแอบอ่านข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า แต่ผมก็ห้ามความอยากรู้ไม่ได้จริงๆ...

การที่ผมได้พบกับเขาอีกครั้งทำให้ผมมีเรื่องยิ้ม นึกถึงหน้าเขาแล้วผมก็ยิ้ม แต่ความเศร้าของเขาก็ยังรบกวนใจผมไม่หาย ทำไมเขาถึงดูโทรมไปขนาดนั้น อะไรทำให้เข้าต้องดูย่ำแย่ ผมเก็บความสงสัยไว้กับตัว และก็ไม่เคยไขความข้องใจได้ จวบจนผมได้เจอเขาเป็นครั้งที่สาม...


ผู้หญิงร่างสูงหน้าตาดีที่ยืนเกาะแขนเขานั้นบ่งบอกความใกล้ชิดได้เกินพอ ผมรู้สึกว่าในหัวใจมันหวิวๆแต่ผมก็ยังเก็บอาการไว้และทำงานได้ แค่ความใกล้ชิดของคนทั้งคู่คงไม่หนักนาเท่าไรนัก หากผมไม่เหลือบไปเห็นว่าผู้หญิงคนนั้น...

ใส่ชุดคลุมท้อง...

เศษหัวใจของผม  แตกสลายลงในตอนนั้นทันที ยิ่งเห็นเขายิ้มให้เธอผมก็เจ็บปวดเกินจะทน มือของผมจับที่สแกนหนังสือไว้แน่นจนมือเริ่มซีด เชอรี่เห็นอาการของผมจึงเดินมาแตะไหล่ผมเบาๆและบอกให้ผมไปนั่งพักก่อน แต่ผมยืนยันว่าไหว และขอทำงานต่อ ภาพของเขาและเธอพูดคุยกันจุ๊กจิ๊กยังคงทิ่มแทงมาในสมองผม ผมหน้ามืด และทุกอย่างรอบตัวก็เริ่มมืดมน ผมมองเห็นหัวใจของผมกำลังตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก ตัวตนของเขากำลังจะเลือนหายไปจากความรู้สึกของผม

จากนี้ไปผมจะไม่นึกถึงเขาอีก... รักแรกพบของผม...

 
“ภพนิพิฐ อาจารย์ขอคุยด้วยก่อนสิ” อาจารย์หรรษาเดินเข้ามาทักผมในช่วงเลิกเรียนของวันหนึ่ง ผมหันไปบอกเพื่อนๆว่าไม่ต้องรอและเดินตามอาจารย์ไปที่ห้องคณะ อาจารย์หรรษาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของผมและเป็นอาจารย์ที่สั่งให้ทำโชว์รูมครับ
“อาจารย์มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ” ผมนั่งลงบนโซฟาในห้องคณะ อาจารย์เดินไปหยิบแฟ้มมาเล่มหนึ่งแล้วมานั่งข้างผม
“คือว่าอาจารย์ลองส่งเรื่องไปทางแบรนด์กระเป๋านั้นน่ะ แล้วทางแผนกออกแบบเขาชอบผลงานเรามากเลย เขาบอกว่าออกแบบได้หดหู่ดีมาก หึหึ ไม่รู้ว่าเธอจะดีใจกับคำชมนี้หรือเปล่านะ” อาจารย์อมยิ้มขำ ก็คำชมทะแม่งๆแบบนั้นนี่นะ
“ก็ดีใจแหละครับ แสดงว่าผมทำได้ตามคอนเซ็ปต์ ว่าแต่มันทำไมเหรอครับ?”
“ก็เขาอยากจะขอเซ็นสัญญาเอาโชว์รูมของเธอไปใช้จริงน่ะสิ ได้เงินด้วยนะ แต่เขาอยากให้ปรับเปลี่ยนบางจุดบ้างน่ะ” ผมตาโตทันที นี่ผลงานของพวกผมจะได้เอาไปใช้จริงเหรอเนี่ย
“ตกลงครับ แล้วจะเริ่มเซ็นสัญญาเมื่อไรครับ”
“อาทิตย์หน้านี่แหละ แล้วเดี๋ยวอาจารย์จะนัดเธออีกทีนะ” ผมคุยกับอาจารย์ต่ออีกครู่หนึ่งแล้วก็เดินออกมา บรรดาสหายของผมนั่งรออยู่ในโรงอาหาร พอได้เจอเพื่อนๆผมก็เลยเล่าเรื่องที่เพิ่งคุยกับอาจารย์ให้ฟัง ทุกคนมีสีหน้าดีใจตามที่คาดไว้ไม่ผิด

ผมเองก็ดีใจ แต่ไม่ได้ดีใจเพราะว่าจะได้แสดงผลงานของตัวเอง หรือดีใจเพราะจะได้เงินค่าจ้าง แต่ดีใจเพราะว่าอย่างน้อยเวลาว่างของผมจะได้เหลือน้อยลง...ผมจะได้ลืมเรื่องของเขาได้เร็วขึ้น


แสงไฟจากหน้าจอแลปทอปของผมเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในห้อง แว่นสายตาที่ผมมักจะใช้แทนคอนแทกเลนส์หมิ่นเหม่บนดั้งจมูก ผมกำลังตั้งหน้าตั้งตาออกแบบงานให้ออกมาในรูปแบบสามมิติเพื่อจะนำไปเสนอให้กับอาจารย์
‘ฟู่ว์...ปวดหัวแฮะ’ ผมละมือจากคีย์บอร์ดและถอดแว่นวางไว้ข้างเมาส์ หวังว่าตู้เย็นของผมคงพอมีอะไรให้ผมกินแก้ง่วงได้บ้างนะ
‘แฮม ทูน่าสเปรด แต่ไม่มีขนมปัง... ผักกาดแก้ว.... อืม ทำสลัดดีกว่า’ ผมหั่นแฮมและผักกาดให้เป็นชิ้นพอดีคำแล้วตัก
ทูน่าสเปรดโปะลงไปก่อนจะคลุกๆให้เข้ากัน เติมน้ำสลัดใสอีกนิดก็คงจะพอกินได้ มื้อค่ำของผมเริ่มที่เวลาห้าทุ่ม สลัดเฉพาะกิจสำหรับกินคนเดียวเหมือนเดิมพร้อมเสิร์ฟแล้ว...

ตอนที่ผมคว่ำชามที่ล้างแล้วลงบนชั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นเครื่องชั่งน้ำหนักแอบอยู่ตรงใต้ชั้น นานแล้วที่ผมไม่เคยใช้งานมัน ผมใช้เท้าเขี่ยเครื่องชั่งน้ำหนักออกมาและขึ้นไปยืน ตัวเลขดิจิตัลหน้าจอกำลังวิ่งประมวลผลอย่างรวดเร็ว

’47 เหรอ อุบาทว์มาก...’ ผมเดินไปส่องกระจก กระดูกไหปลาร้าของผมเห็นชัดเจนบ่งบอกว่าผมผอมไปอีกแล้ว ผมกินอะไรไม่ค่อยลง ความอยากอาหารไม่ค่อยมี ของในตู้เย็นส่วนมากก็มีไว้เพื่อให้ไอ้คิงกินซะมากกว่า

ผมสูงประมาณ 167 เซนติเมตร ถือว่าเป็นผู้ชายที่ตัวเล็ก แต่ผมก็ไม่เดือดร้อนหรอก สิ่งที่จะทำปัญหาให้ผมจริงๆคือน้ำหนักต่างหาก ถ้าผมผอมไปมากกว่านี้คงไม่ใช่เรื่องดี เห็นแบบนี้แต่ผมก็รักสุขภาพนะครับ พอเริ่มคิดได้ว่าต้องทำการเพิ่มน้ำหนัก ผมเลยหยิบมาม่ามาแกะใส่ชามและกดน้ำร้อน เพิ่มคาร์โบไฮเดรตให้ร่างกายตัวเองบ้าง

ผมเกลียดเวลากินและเวลานอน เพราะว่ามันจะทำให้ผมมีเวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จังหวะที่ผมกำลังคีบเส้นมาม่าเข้าปากก็นึกไปถึงภาพของเขาที่มาพร้อมกับผู้หญิงท้องคนนั้น ให้ตายเถอะ ผมรู้สึกว่าของที่กินเข้าไปมันพุ่งปรี๊ดขึ้นมาตามหลอดอาหารเลย ผมวางตะเกียบแล้วเอามือปิดปากวิ่งเข้าห้องน้ำ สลัดที่ผมกินเข้าไปและมาม่ากองอยู่ในชักโครก ผมอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง

‘เสียดายของว่ะ’ ผมคิดด้วยความหงุดหงิดแล้วกดน้ำชักโครก รู้เลยว่าถ้ากินอีกรอบก็คงอาเจียนอีก ผมเลยตัดสินใจปิด
แลปทอปแล้วนอนเลย ท้องจะได้ไม่ร้อง และสมองจะได้ไม่ต้องคิดอะไร

คุณเคยไหม ที่วันหนึ่งคุณต้องบังคับตัวเองให้หาอะไรให้ยุ่งไว้เสมอ เพื่อที่จะไม่ฟุ้งซ่าน ผมเองก็เป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้ผมเพิ่มอาการขึ้นมาอีกอย่าง คือการบังคับตัวเองให้หลับ เพื่อที่เวลาจะได้ผ่านไปไวๆ ทำไมผมถึงน่าสมเพชแบบนี้นะ

ผมหลับตาแล้วแต่ก็ยังคิดถึงเรื่องของเขา ผมเสียดายเขา เสียดายอนาคตของเขา ยังดูเด็กอยู่เลยแท้ๆไม่น่าจะมีลูก ผมเสียดายที่เขาจะไม่ได้ใช้ชีวิตให้สมกับเป็นวัยรุ่น ผมเสียดายที่เขาจะต้องมีห่วงมาผูกคอตั้งแต่อายุยังน้อย เสียดายที่ไม่ได้รู้จักเขาให้เร็วกว่านี้ และเสียดายที่ผมไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นแทนที่เธอ...

ผมกำลังอิจฉา....

----------------------------- To Be Continue -----------------------------


ปล. มีคนมาช่วยดัน เลยใจอ่อนค่ะ  :a1:

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
Re: The Space [ช่องว่าง] 16/5/2011
«ตอบ #23 เมื่อ16-05-2011 22:43:13 »

ตกลงใครพระเอกหว่าาาาาา
คุณเพื่อน คุณแฟนเก่า หรือคุณคนแปลกหน้าผู้มีเมียแล้ว? 

อัพบ่อยๆนะคะคุณบี :กอด1:

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
Re: The Space [ช่องว่าง] 16/5/2011
«ตอบ #24 เมื่อ16-05-2011 22:47:00 »

ชีวิตเศร้าจิตได้อีกโอ้ยอ่านแล้วสงสารอ่ะ

sakurazaka

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] 16/5/2011
«ตอบ #25 เมื่อ16-05-2011 23:39:14 »

ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มาม่ากว่าเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา

หวังว่าจะขึ้นอืดและผ่านพ้นไปเร็วนี้นะคะ จะได้เห็นโลกเป็นสีชมพูสดใส

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] 16/5/2011
«ตอบ #26 เมื่อ16-05-2011 23:45:27 »


อ่านแล้วอย่าเครียดนะค้า ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอค่า  o13

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
Re: The Space [ช่องว่าง] 16/5/2011
«ตอบ #27 เมื่อ17-05-2011 00:38:17 »

บวกเป็นกำลังใจให้ฟี่ อย่าคิดไปใหญ่โตสิ ธ่อ
มาต่ออีกไวๆ นะค๊า อยากอ่านๆๆๆๆ

July_Moon

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] 16/5/2011
«ตอบ #28 เมื่อ17-05-2011 09:23:37 »

เป็นกำลังใจให้ฟี่ค่ะ ><~
ชีวิตทำไมดูจะมืดมนได้ขนาดนั้นนะ สู้ๆหน่อยเน้อ

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
ช่องว่างหมายเลข 5
«ตอบ #29 เมื่อ17-05-2011 15:56:33 »

ช่องว่างหมายเลข 5


สวรรค์ยังคงกลั่นแกล้งผมอย่างต่อเนื่อง ผมนึกถึงคำที่แม่บอกผมว่าพระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งคนที่กำลังลำบาก แต่ไหงกับผมท่านถึงไม่เคยใยดีแล้วยังซ้ำเติมผมอีก อย่าเถียงนะว่าไม่จริง ก็ดูเหตุการณ์ตรงหน้าผมนี่สิ...

“ฟี่ นี่น้องเขาเพิ่งเข้ามาใหม่นะ”
ผมเงยหน้ามองพี่แก๊บที่พาพนักงานใหม่มาแนะนำกับผมในห้องพักพนักงาน เขาคนนั้นที่ผมได้แต่เคยมองอยู่ห่างๆยืนยิ้มกว้างให้กับผม ผมแอบคิดไปแวบหนึ่งว่าจะต้องหยีตาให้กับรอยยิ้มเจิดจ้านั้นไหม? แต่ก็ไม่ได้ทำจริงๆหรอก ผมผูกเชือกรองเท้าเสร็จแล้วก็ยิ้มให้เขาไป
“ดูท่าน่าจะอายุน้อยกว่าฟี่นะ น้องเขาชื่อณัฐ ฝากสอนงานน้องเขาด้วยละ” ถ้าเป็นผู้หญิงคงแทบลมจับ แต่ผมเป็นผู้ชาย และไม่ได้ใจเสาะขนาดนั้น
เห็นไหมละ ว่าพระเจ้าคงไม่เอ็นดูผมจริงๆด้วย เหตุการณ์ที่ทำใจผมสลายผ่านไปได้แค่เดือนเดียว ก็พาต้นเหตุที่ทำให้ผมใจสลายมายืนตรงหน้าผม...ซะอย่างนั้น

“พี่ชื่อฟี่ใช่ไหมครับ” ผมพยักหน้าให้ณัฐ พี่แก๊บไม่ต้องบอกชื่อเขาผมก็รู้ รู้ไปถึงว่าบ้านเขาอยู่ไหนเลยด้วยซ้ำ...
“เอ่อ... ณัฐ...อายุอ่อนกว่ากี่ปีเหรอ” ผมโคตรตื่นเต้นเลยที่ได้เรียกชื่อเขา เสียงผมแอบสั่นหรือเปล่านะ
“ตอนนี้ 19 ปีครับ แล้วพี่ฟี่ล่ะ”
“20 น่ะ อันที่จริงห่างกันแค่ปีเดียว ไม่ต้องเรียกพี่ก็ได้นะ” ผมลองเสนอ ก็ผมไม่อยากเป็นพี่เขานี่หว่า!
“ไม่ได้หรอก เรียกพี่ดีแล้วครับ” ผมปวดใจหนึบๆแฮะ บอกไม่ถูกเลย
“ก็ตามใจแล้วกัน เดี๋ยวจะอธิบายรายละเอียดงานให้ฟัง” ผมพยักหน้าให้ ’เขาคนนั้น’ หรือ ‘ณัฐ’ เดินตามผมมา ทั้งที่ตอนนี้ได้อยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร ทั้งที่ใจเคยคิดว่าอยากจะเข้าไปใกล้ชิดสนิทกับเขา แต่ผมก็ไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่สมควร แต่หัวใจของผมก็ดันเริ่มเต้นแรงอีกแล้ว

“ไหวหรือเปล่า ให้เชอรี่สอนงานณัฐแทนก็ได้นะ” เชอรี่ถามผมตอนที่ผมกำลังพักกินข้าว เชอรี่เอาส้อมจิ้มปลาหมึกผัดกะเพราของผมเข้าปากแล้วถามอย่างเป็นห่วง ตอนที่เชอรี่เดินเข้าร้านมาแล้วเห็นผมกำลังสอนงานณัฐนั้น เชอรี่ทำท่าตะลึงตาค้าง จนผมต้องลากเธอมาอีกมุมของร้านและสัญญาว่าจะเล่าเรื่องให้ฟัง
“ไหวดิ เรื่องแค่นี้ เชอรี่อย่าลืมสิ ว่าฟี่กับเขายังไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันสักหน่อย ฟี่แค่รู้สึก...” ผมพูดต่อไม่ออก ผมจะบอกว่าอะไรดีละ ผมรู้สึกอะไรกับเขานะ..
“รู้สึกชอบเขาฝ่ายเดียว ใช่มั้ย?” ผมนิ่ง คำตอบของเชอรี่ตรงใจผมเหลือเกิน นี่ผม...กำลัง... เริ่มมีใจให้คนๆหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักอย่างงั้นเหรอ...
“ตั้งแต่เชอรี่มาทำงานที่นี่ เพิ่งจะเห็นฟี่รู้สึกชอบคนอื่นนี่แหละ” เชอรี่อมยิ้มด้วยใบหน้าน่ารัก ผมเห็นแล้วก็รู้สึกหมั่นเขี้ยวเลยขยี้หัวเชอรี่เบาๆ ซึ่งเรียกเสียงคิกคักจากเธอได้พอควร
“เอ่อ ขอโทษนะครับ คือว่า...” ทั้งผมและเชอรี่หันไปที่ประตู ณัฐยืนมองมาที่พวกผมด้วยสายตาเก้อๆ
“มีอะไรเหรอณัฐ”
“พี่แก๊บให้มาบอกพี่เชอรี่ว่าเลิกเจ๊าะแจ๊ะกับพี่ฟี่แล้วก็รีบไปทำงานครับ ลูกค้าเต็มร้านเลยตอนนี้”
“ต๊ายยยยย อีพี่แก๊บ ปากดีใหญ่แล้ว ถือว่าเป็นเจ้าของร้านหรือไงยะ” เชอรี่เดินกระฟัดกระเฟียดออกไปข้างนอก แต่ณัฐยังคงยืนอยู่ที่เดิม ผมไม่กล้าหันไปมองร่างสูงของเขา ไม่กล้าแม้แต่จะพูดกับเขาด้วยซ้ำ
“พี่ฟี่...เป็นแฟนกับพี่เชอรี่เหรอครับ”
“อุ๊บ แค่กๆๆ” สำลักสิครับ พอณัฐถามแบบนั้นผมก็สำลักกะเพราปลาหมึกเลย อะไรทำให้เขาคิดแบบนั้นละเนี่ย
“น้ำครับ” ผมรับขวดน้ำดื่มมาจากณัฐแล้วกระดกอึกใหญ่
“ไม่ใช่สักหน่อย ทำไมถามแบบนั้นละ”
“ก็ณัฐเห็นพี่สองคนสนิทกันเหมือนเป็นแฟนเลย” ณัฐน่ารักมั้ยครับ เรียกแทนตัวเองด้วยชื่อ น่าเอ็นดูขัดกับลักษณะอาร์ตๆเซอร์ๆภายนอกมากมาย
“ไม่ใช่หรอก ก็สนิทกันแบบเพื่อนน่ะนะ” ผมนึกสภาพว่าถ้าณัฐเห็นไอ้คิง คงจะชวนให้คิดมากกว่านี้อีก...

 

----------------------------- To Be Continue -----------------------------


  

----------------------------- To Be Continue -----------------------------


ปล.ดราม่ากันอย่างต่อเนื่องค่ะ ตอนนี้อารมณ์กำลังเศร้าได้ที่ แต่งได้แบบลื่นไหลๆ  :monkeysad:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2011 12:17:47 โดย บีบีจัง »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด