❃❃ Psychology of love ❃ จิตวิทยาใจ ❃❃ ( ตอนที่ 36 P.5 ) 29/12/60
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❃❃ Psychology of love ❃ จิตวิทยาใจ ❃❃ ( ตอนที่ 36 P.5 ) 29/12/60  (อ่าน 37330 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
อ้างถึง
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************



สารบัญ

- บทนำ - คลิก -
- ตอนที่ 1 - คลิก -
- ตอนที่ 2 - คลิก -
- ตอนที่ 3 - คลิก -
- ตอนที่ 4 - คลิก -
- ตอนที่ 5 - คลิก -
- ตอนที่ 6 - คลิก -
- ตอนที่ 7 - คลิก -
- ตอนที่ 8 - คลิก -
- ตอนที่ 9 - คลิก -
- ตอนที่ 10 - คลิก -
- ตอนที่ 11 - คลิก -
- ตอนที่ 12 - คลิก -
- ตอนที่ 13 - คลิก -
- ตอนที่ 14 - คลิก -
- ตอนที่ 15 - คลิก -
- ตอนที่ 16 - คลิก -
- ตอนที่ 17 - คลิก -
- ตอนที่ 18 - คลิก -
- ตอนที่ 19 - คลิก -
- ตอนที่ 20 - คลิก -
- ตอนที่ 21 - คลิก -
- ตอนที่ 22 - คลิก -
- ตอนที่ 23 - คลิก -
- ตอนที่ 24 - คลิก -
- ตอนที่ 25 - คลิก -
- ตอนที่ 26 - คลิก -
- ตอนที่ 27 - คลิก -
- ตอนที่ 28 - คลิก -
- ตอนที่ 29 - คลิก -
- ตอนที่ 30 - คลิก -
- ตอนที่ 31 - คลิก -
- ตอนที่ 32 - คลิก -
- ตอนที่ 33 - คลิก -
- ตอนที่ 34 - คลิก -
- ตอนที่ 35 - คลิก -
- ตอนที่ 36 - คลิก -
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2017 11:01:31 โดย Mr.กุ๊กกู๋ »

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ก่อนเริ่มอ่านขอชี้แจงก่อนนะครับว่า
อาการป่วยของตัวเองเรื่องนี้ ได้รับแรงบรรดาลใจมาจาก
หนัง 1 เรื่อง กับ ซีรี่ส์เกาหลี 1 เรื่องนะครับ คือ...

หนังเรื่อง A Beautiful Mind
ซีรี่ส์เกาหลีเรื่อง It's Okay, That's Love

แต่ปมกับเนื้อหาจะเขียนในแบบของตัวเองนะครับ


...........


บทนำ....


         เคยสงสัยกันหรือไม่ เพราะเหตุใดมนุษย์จึงมีบุคลิก ลักษณะ นิสัย รวมถึงความคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งความคิดแตกต่างของบางคนนั้นอาจนำมาถึงปัญหาใหญ่ในการใช้ชีวิต เพราะการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม รวมถึงเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก บางรายอาจร้ายแรงจนเกิดเป็นความทรงจำที่คอยหลอกหลอนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใดก็ตาม


   “สวัสดีครับคุณปกรณ์” น้ำเสียงของผู้พูดมีความอ่อนโยน ใบหน้าดูคล้ายกับยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา บุคลิกของเขาดูใจดียิ่งกว่าผู้ใด


   “สวัสดีครับ” ปกรณ์หลบสายตาขณะพูด เขาก้มหน้ามองที่โต๊ะทำงานของอีกฝ่าย ผมเผ้าที่ยาวระต้นคอปกปิดใบหน้าทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถมองเห็นได้ชัด


   “ผมชื่อชานนท์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”  ชายหนุ่มผู้อ่อนโยนแนะนำตัวเอง เขาเป็นนักจิตวิทยาอยู่ในโรงพยาบาลซึ่งมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและบำบัดผู้ป่วยที่เข้ามาทำการรักษาอาการทางจิต


   “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ปกรณ์ยังคงก้มหน้าหลบสายตา


   “คุณมีอะไรไม่สบายใจอยู่เหรอครับ คุณเล่าให้ผมฟังได้เลยนะครับ”


   ปกรณ์เพิ่งเข้ารับการรักษาเป็นครั้งแรก ชานนท์จึงต้องสอบถามประวัติความเป็นมาเพื่อมาทำการวิเคราะห์อาการและรักษาต่อไป


   หากมองจากบุคลิกภายนอก อาการของปกรณ์ยังถือว่าไม่รุนแรงมากนัก หากแต่แววตาที่ขาดความมั่นใจ ราวกับมีความกังวลอะไรบางอย่างอยู่ในนั้นมันดูหนักหนาสาหัส ซึ่งหากไม่ได้ทำการรักษา อาการอาจจะกำเริบหนักขึ้นเรื่อยๆ


   “คือผม... ในบางครั้งผมรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย ไร้ค่าครับ รู้สึกตัวเองไม่มีความหมาย ไม่มีกำลังใจที่จะใช้ชีวิตอยู่อีกต่อไป ผมไม่รู้ทุกวันนี้ผมทำงานไปเพื่ออะไร เพื่อใคร ความคิดนี้มันวนเวียนหนักขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่ผมนึกถึงพ่อ แต่มันเป็นเหมือนความคิด อารมณ์ชั่ววูบนะครับ เพราะในเวลาปกติผมเองก็ปกติเหมือนคนทั่วๆ ไป” ขณะพูด ปกรณ์ยังคงหลบสายตาเพราะรู้สึกอายในความคิดของตนเอง เขาไม่กล้าสู้หน้ากับคุณชานนท์เพราะกลัวจะโดนดูถูก เหยียดหยาม


   “ทำไมคุณถึงคิดว่าตัวเองไร้ค่า โดยเฉพาะเวลาที่นึกถึงพ่อล่ะครับ” ชานนท์เอ่ยถาม จากประสบการณ์การรักษา มีหลายคนที่มีอาการเช่นนี้ แต่เพื่อความแน่นอน เขาต้องสอบถามถึงเหตุผล เพราะปมของแต่ละคนย่อมต่างกัน


   “แม่ผมเสียตั้งแต่ผมอายุได้สองขวบ แล้วพ่อก็มีคนใหม่ทันที พ่อมีลูกกับคนรักใหม่หลังจากที่ผมอายุได้สี่ขวบ พอผมอายุได้เจ็ดขวบ เขาก็ส่งผมเข้าโรงเรียนประจำเพราะไม่ต้องการให้ผมอยู่ร่วมกับคนอื่นที่บ้าน พอถึงวันหยุดที่ต้องกลับบ้าน ทุกคนก็จะทำเหมือนกับผมไม่มีตัวตน พ่อแม่เลี้ยงและน้องชายจะมีโลกของพวกเขาซึ่งผมไม่สามารถย่างกายเข้าไปในโลกใบนั้นได้เลย” ปกรณ์หยุดพูดเพียงเท่านั้น


   “ครับ” ชานนท์พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนที่จะถามต่อ “แล้วคุณเคยโดนทำร้ายร่างกายไหมครับ แล้วแม่กับน้องชายดีกับคุณไหม”


   สิ้นเสียงของชานนท์ ปกรณ์ก็สะดุ้งเฮือก แล้วเผลอสบตากับคนที่เอ่ยถาม แววตาของเขาแสดงออกถึงความร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด


   “ผะ... ผมไม่เคยโดนทำร้ายร่างกายครับ ทุกคนไม่สนใจผม” น้ำเสียงของเขาตะกุกตะกัก ท่าทีที่หวาดผวาทำให้ชานนท์รับรู้ได้ทันทีว่าผู้ป่วยกำลังโกหก แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะคาดคั้น


   “ครับ ผมขอโทษนะครับที่ถาม” การเป็นนักจิตวิทยาที่ดี เขาต้องทำตัวให้อ่อนโยนและใจดีกับผู้ป่วยเสมอ เพื่อที่จะทำให้ผู้ป่วยค่อยๆ เปิดใจจนกล้าที่จะเล่าถึงปัญหาให้ฟัง “แล้วในชีวิตคุณ คุณมีใครที่คอยรับฟัง มีใครที่คุณคิดว่าสามารถปรึกษาเวลากลุ้มใจได้บ้างไหมครับ”


   “มีครับ” คราวนี้ปกรณ์ยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข รอยยิ้มที่บริสุทธิ์นั่นทำให้ชานนท์ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความฉงน “เดี๋ยวผมเอารูปให้ดูนะครับ ผมเป็นช่างภาพ เลยขอพวกเขาทั้งสองถ่ายภาพแล้วปริ้นท์รูปมาเก็บไว้คนละใบครับ”


   ปกรณ์ค้นของในกระเป๋าเป้ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นสี่เหลี่ยมซึ่งเคลือบด้วยพลาสติกออกมาสองใบ


   “นี่น้องปาณัฐครับ” ปกรณ์ชี้ไปที่ภาพถ่ายใบหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพวิวของสวนสาธารณะตอนกลางคืน มีแสงจากเสาไฟส่องสลัวๆ ลงมายังม้านั่งเบื้องล่าง “น้องปาณัฐเป็นรุ่นน้องที่มหาลัยของผมครับ แต่เราเพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เองครับ น้องปาณัฐบอกว่าติดตามผลงานภาพถ่ายของผมมานานแล้ว เขามีผมเป็นแบบอย่าง และเพราะมีเขา เลยทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมีค่าครับ เขามักบอกว่าอย่างเก่งแบบผมเสมอ ซึ่งผมไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างผมจะมีใครเอาเป็นแบบอย่าง”


   “แล้วก็นี่นรินทร์ครับ” คราวนี้ผู้ป่วยชี้ไปที่ภาพอีกใบ มันเป็นภาพชายทะเลตอนเช้าที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น มีแสงสีทองพาดผ่านกับจุดตัดระหว่างท้องฟ้ากับท้องทะเล “นรินทร์มักจะมาหาผมในวันที่ผมเครียดครับ เรามีปัญหาคล้ายๆ กันเรื่องครอบครัว เราจึงเป็นเพื่อนที่ปรึกษาปัญหาระหว่างกัน เขาทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่ใช่แค่ผมที่โชคร้ายคนเดียว และเขาโชคร้ายกว่าผมด้วยซ้ำ บางทีผมก็รู้สึกดีเวลาที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ รู้สึกดีเวลาที่เขามาระบายเรื่องเครียดๆ ให้ผมฟัง รู้สึกดีที่ได้ปลอบใจ ได้ปกป้องเขา”


   ชานนท์มองตามภาพถ่ายทั้งสองใบ เขาต้องซ่อนความรู้สึกตกใจที่เกิดขึ้น แม้ว่าการแสดงออกภายนอกของปกรณ์จะดูไม่รุนแรงหากเทียบกับผู้ป่วยรายอื่นๆ แต่จากเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เกิดขึ้นมันกลับไม่ใช่อย่างที่คิด อาการของปกรณ์หนักยิ่งกว่าใครหลายๆ คนเสียอีก และมันอาจจะรุนแรงมากขึ้นหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว


   “แล้วน้องปาณัฐกับคุณนรินทร์มาพบคุณบ่อยไหมครับ”


   “เราไม่ค่อยได้เจอกันน่ะครับ ผมเองก็งานยุ่ง แต่น่าแปลกนะครับ เวลาที่ผมเครียดมากๆ มักจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเจอใครคนใดคนหนึ่งทุกครั้งเสมอ”


   “แสดงว่าคุณไม่เคยเจอพวกเขาสองคนพร้อมกันใช่ไหมครับ”


   “ใช่ครับ”


   “เอาล่ะผมเข้าใจแล้ว เดี๋ยวผมจะนำอาการของคุณไปปรึกษากับจิตแพทย์แล้วให้คุณหมอจิตแพทย์สั่งยาให้นะครับ แต่ระหว่างนี้ผมจำเป็นต้องพบคุณทุกสัปดาห์เพื่อติดตามอาการนะครับ”


   “ได้ครับ ขอบคุณนะครับ คุณ...” ปกรณ์ลืมชื่อของอีกฝ่าย


   “ชานนท์ครับ” เขาบอกชื่อตัวเองแล้วยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน


   “ครับ” ปกรณ์ผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วยิ้มกลับ เขาเริ่มสบตาและรู้สึกว่าคนตรงหน้าเป็นมิตร


   หลังจากที่ปกรณ์จากไป ชานนท์ก็ได้แต่นั่งขบคิดว่าคนคนหนึ่งที่สามารถสร้างคนที่ไม่มีตัวตนให้มีตัวตนขึ้นมานั้นต้องผ่านความเครียดหรือความเจ็บปวดในอดีตมามากมายเพียงใด


   รอยยิ้มที่ฉายชัดถึงความสุขเวลาที่เขาชี้ไปบนภาพถ่ายที่ว่างเปล่านั้นทำให้ชานนท์ไม่แน่ใจว่า หากวันหนึ่งปกรณ์รู้ความจริงขึ้นมา... รู้ว่าปาณัฐและนรินทร์ เป็นเพียงบุคคลในจินตนาการที่เขาสร้างขึ้นเพื่อปกป้องความอ่อนแอของตัวเองนั้น ปกรณ์จะรับมือได้ไหม เมื่อบุคคลเพียงสองคนที่เขาสามารถเปิดใจและทำให้เขายิ้มได้อย่างมีความสุขนั้นไม่มีตัวตนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง


   หากพิจารณาจากบุคลิกภายนอก ปกรณ์มีท่าทางไม่ต่างจากชายหนุ่มทั่วๆ ไป เขาสูงประมาณ 174 เซนติเมตร ผิวขาวเหลือง หน้าตาเกลี้ยงเกลา บุคลิกดูสุภาพอ่อนโยน เพียงแต่ผมเผ้าที่ยาวปกปิดใบหน้า กับการแต่งกายที่มิดชิดและลักษณะที่ดูขาดความมั่นใจนั้นทำให้อาจไม่มีผู้ใดที่กล้าจะพูดคุยหรือให้ความสนิทใจกับเขา


   “หมอครับ ผมขอดูแลผู้ป่วยรายนี้อย่างใกล้ชิดได้ไหมครับ” ชานนท์เดินไปคุยกับจิตแพทย์


   “ใกล้ชิด?” จิตแพทย์ทวนถามด้วยความสงสัย เพราะพวกเขาล้วนให้ความดูแลกับผู้ป่วยที่มาทำการรักษาอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว


   “ใช่ครับ หมายถึงอาจจะเป็นเพื่อน พูดคุย ชวนนัดเที่ยวเวลาว่างงาน จะถือว่าผิดจรรยาบรรณไหมครับ”


   “อ๋อ... ได้สิครับ ผู้ป่วยบางรายถ้าได้รับการรักษา การดูแลอย่างใกล้ชิดจะทำให้อาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องระมัดระวังอย่าให้เขาเข้าใจว่าการเข้าหาของเราคือการรักษา เพราะถ้าเขาคิดแบบนั้น อาจจะทำให้เขาต่อต้านและส่งผลร้ายทำให้การรักษายากขึ้นกว่าเดิมอีก”


   “ได้เลยครับ ขอบคุณมากๆ ครับ”


------------------------------

จบบทนำ

ปล.บทนำต้องอ่านนะครับ ข้ามไม่ได้ 555+ จุดสำคัญเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-06-2017 22:45:15 โดย Mr.กุ๊กกู๋ »

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 1

   เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นก่อนที่ภาพวิวเบื้องหน้าจะปรากฏบนจอกล้องถ่ายรูป


   ปกรณ์มักถ่ายรูปวิวที่ว่างเปล่า ยิ่งเฉพาะเวลาพลบค่ำ การได้เก็บภาพที่ให้ความรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเงียบเหงานั้นทำให้เขารู้สึกมีความสุขเสมอ


   “พี่ปกรณ์” เสียงดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉายบนใบหน้า เขาเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอม ส่วนสูงน้อยกว่าปกรณ์ประมาณ 4-5 เซนติเมตร วันนี้เขาสวมชุดนักศึกษาแขนยาวซึ่งถูกพับขึ้นมาประมาณข้อศอก ท่อนล่างเป็นกลางเกงยีนส์มีรอยขาดบริเวณเข่า การแต่งกายของเขามักเป็นเช่นนี้เสมอ


   “ไงปาณัฐ วันนี้เรียนหนักไหม” ปกรณ์ยิ้มให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า


   “ก็เรื่อยๆ ครับ” ปาณัฐตอบออกมาก่อนจะลากแขนของปกรณ์ให้ไปนั่งที่ม้านั่งตรงหน้า “ว่าแต่วันนี้พี่ได้ไปหาจิตแพทย์มาหรือเปล่าครับ”


   ปาณัฐคะยั้นคะยอ การพบกันครั้งก่อนของคนทั้งคู่นั้น ปกรณ์ได้ปรึกษาถึงความเครียดที่เกิดขึ้น เขาลังเลใจในความคิดแย่ๆ ที่วนเวียนอยู่ในหัวจนทำให้ตัวเองนอนไม่ค่อยจะหลับ แถมยังตื่นเช้าอีก ทำให้รู้สึกว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ก็ไม่มั่นใจว่า การไปปรึกษาอาการกับจิตแพทย์นั้นจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นบ้าไหม


   “อืม... พี่ไปมาแล้ว” คำตอบของปกรณ์ส่งผลให้ปาณัฐขยับยิ้ม


   “ดีจัง แล้วหมอว่าไงบ้างครับ ผมล่ะเป็นห่วงพี่แทบแย่ กลัวว่าพี่จะไม่ไป”


   “พี่ยังไม่ได้คุยกับหมอตรงๆ หรอก หมอให้พี่คุยกับนักจิตวิทยาก่อนเพื่อสอบถามอาการ”


   “อ๋อ แล้วนักจิตวิทยาถามอะไรบ้างครับ เขาใจดีเหมือนพี่ไหม”


   “คุณชานนท์ยังไม่ได้ถามอะไรมากนักหรอก เขาดูเป็นคนใจดีมาก เขาให้พี่เล่าถึงความเครียดที่พี่เก็บไว้ แล้วก็... เอ้อ พี่เอารูปของปาณัฐอวดคุณชานนท์ด้วยนะ”


   “งั้นเหรอครับ” ปาณัฐก้มหน้า “คืนนี้พี่รีบไหมครับ ผมขอนอนหนุนตักหน่อยได้ไหม”


   “เฮ้ย... ไม่เอาหรอก” ปกรณ์ปฏิเสธ “น่าอายจะตาย ถ้ามีคนเดินผ่านไปผ่านมา”


   “ไม่มีใครสนใจผมหรอกครับ” พูดจบปาณัฐก็ถือวิสาสะทิ้งตัวลงนอนหนุนตักกับปกรณ์ “พี่ก็ทำตัวปกติๆ ไป ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย เชื่อผมนะครับ คนอย่างผมไม่มีใครสนใจเหมือนพี่หรอกครับ”


   “งั้นเหรอ” ปกรณ์เงยหน้ามองท้องฟ้าพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง


   ภาพถ่ายของปกรณ์ที่อัพลงโซเชียลมาเรื่อยๆ เป็นเวลาหลายปีนั้น ส่วนใหญ่เป็นภาพโทนขาวดำ อึมครึม ให้ความรู้สึกเหมือนความโดดเดี่ยว สิ้นหวัง ท้อแท้ หากแต่ภาพเหล่านั้นกลับทำให้คนที่รู้สึกสิ้นหวังมีกำลังใจในการใช้ชีวิต มีการแชร์ภาพเป็นจำนวนมากขึ้นๆ จนกระทั่งมีบริษัทหนังสือรายใหญ่บริษัทหนึ่ง ได้มาติดต่อซื้อลิขสิทธิ์ภาพถ่ายของเขาเพื่อจัดทำเป็นโฟโต้บุ๊ค โดยใช้ชื่อว่า ‘สมุดภาพแห่งความหวัง’


   “ผมชอบภาพเจ้าตูบสองขามากเลยนะครับ” ปาณัฐเอ่ยขึ้นขณะที่ยังนอนหนุนอยู่บนตัก


   “ภาพนั้นมีคนแชร์เยอะมากเลยล่ะ” ปกรณ์จำได้ว่าภาพเจ้าหมาจรจัดพันทางที่กำลังใช้สองขาหน้าของตัวเองพยุงร่างที่พิการเพื่อที่จะปืนขึ้นเกาะกลางถนนนั้น เป็นภาพที่ทำให้เว็บไซต์ของเขาเริ่มเป็นที่รู้จัก หลายคนบอกว่าแค่มองภาพนี้ก็น้ำตาไหลออกมาอย่างน่าประหลาด แม้ว่าเจ้าตูบตัวนั้นจะพิการ ดูไร้ค่า แต่แววตาของมันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น


   “ก็แหม... เจ้าตูบพิการมันยังรักชีวิต รักลูกของมันนี่ครับ มันให้กำลังใจคนที่กำลังท้อแท้สิ้นหวังได้ดีเลยนะครับ”


   “ตอนพี่เห็นมันพี่ก็น้ำตาคลอเบ้าเลยล่ะ ยิ่งพอรอเวลาแล้วเก็บภาพตอนข้ามถนนเพื่อมาให้นมลูกๆ ของมันซึ่งนอนหลบอยู่ในพุ่มไม้อีกฝั่ง มันยิ่งที่ให้พี่รู้สึกว่าอย่าเพิ่งยอมแพ้กับชีวิต คนอื่นก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน”


   “ใช่ครับ ผมเองก็รู้สึกแบบนั้น พอเห็นภาพนั้นผมก็อยากรู้จักเจ้าของภาพขึ้นมาทันทีเลยล่ะ ผมปลื้มพี่มากๆ เลยนะครับ” ปาณัฐทำน้ำเสียงออดอ้อน


   “ขอบคุณนะ” ปกรณ์ลูบศีรษะของคนที่นอนหนุนตักด้วยความเอ็นดู “ใครๆ ก็อยากเป็นที่ยอมรับทั้งนั้น พี่เองก็เหมือนกัน พี่ดีใจนะที่ได้รู้จักกับเรา ถ้าไม่มีเราพี่เองก็คงรู้สึกแย่... แย่กับชีวิตมากไปกว่านี้”


   “ผมดีใจนะครับที่พี่เห็นความสำคัญของผม” พูดจบปาณัฐก็ลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะโน้มตัวไปกอดร่างของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างเด็กขี้เล่น “มา... ผมกอดหน่อย  พี่ชายของผม”


   ปาณัฐกอดเต็มแรง หากแต่อีกฝ่ายกลับตัวแข็งทื่อเพราะรู้สึกประหม่า เขาไม่เคยได้รับอ้อมกอดแบบนี้จากใครตั้งแต่ที่ความจำได้ เขาจึงปฏิบัติตัวไม่ถูก


   การถูกกอดเพราะความรัก มันควรจะต้องรู้สึกแบบไหน นั่นคือสิ่งที่ปกรณ์สงสัย แต่ยังไม่ทันที่จะได้รับคำตอบ เด็กหนุ่มก็ผละอ้อมกอดออกจากเขา


   “ไว้ว่างๆ เดี๋ยวเจอกันใหม่นะครับ ผมไปก่อนละ บายครับ” พูดจบก็ยกมือลาแล้ววิ่งออกไปทันที


   “กลับบ้านดีๆ ล่ะ” ปกรณ์ตะโกนให้หลังก่อนจะโบกมือลาตาม


   เขามองตามร่างนั้นจนกระทั่งลับสายตา แล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นเมื่อนึกถึงอ้อมกอดเมื่อครู่ ...การที่โดนใครสักคนกอดด้วยความรัก มันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง




   ทางด้านของชานนท์ หลังจากที่เขาเลิกงาน เขาก็สะกดรอยตามปกรณ์มาโดยตลอด โชคดีที่ปกรณ์เป็นผู้ป่วยรายสุดท้ายของเย็นวันนั้น และต้องนั่งรอจ่ายยาอยู่นานจึงทำให้ชานนท์ที่ได้ปรึกษากับจิตแพทย์แล้วว่าจะขอดูแลอย่างใกล้ชิด ได้แอบสะกดรอยตามปกรณ์ตั้งแต่ที่ออกจากโรงพยาบาล


   การสะกดรอยตามของชานนท์นั้น ไม่ได้เป็นไปในทางที่ไม่ดี แต่เพราะต้องการติดตามดูอาการเพื่อจะนำมาวิเคราะห์และรักษา เขาจึงต้องทำแบบนี้


   ปกรณ์มีอาการเหมือนคนปกติทุกอย่าง จนกระทั่งเวลาพลบค่ำ พระอาทิตย์ตกดิน หลังจากที่ถ่ายภาพวิวในสวนสาธารณะที่ว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คน อาการของเขาก็ดูแปลกไป


   ปกรณ์ดูมีลักษณะอาการคล้ายกับพูดคนเดียว แต่ใบหน้าของเขาดูยิ้มแย้ม มีความสุขมากกว่าปกติ แววตาในตอนนั้นไร้ซึ่งความกังวลใดใด


   อาการของปกรณ์ในตอนนั้นไม่ใช่วิสัยของคนปกติแน่นอน เขาทำราวกับว่ามีใครอีกคนพูดคุยอยู่กับเขา แต่สิ่งที่ทำให้ชานนท์ไม่เข้าใจก็คือ เหตุใดอยู่ๆ ปกรณ์ก็ตัวแข็งทื่อ ก่อนที่สักพักจะโบกมือเหมือนกับลาใครบางคน


   สำหรับคนอื่นหากมาเห็นปกรณ์ในสภาพนี้ ถ้าไม่คิดว่าเขาเป็นบ้าคุยคนเดียว ก็คงคิดว่าเขาคุยกับสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็นแน่นอน ซึ่งอาการแบบนี้ไม่เป็นผลดีต่อผู้ป่วยแน่นอน


   ชานนท์จะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น...


   “อ้าว... คุณปกรณ์นี่นา ผมนั่งด้วยได้ไหมครับ” ชานนท์ที่แอบสะกดรอยตามมาตลอด พอเห็นปกรณ์เข้าร้านก๋วยเตี๋ยวและสั่งก๋วยเตี๋ยวมารับประทาน จึงได้จังหวะที่เขาจะเข้าไปในร้านนั้นแล้วแกล้งทำราวกับว่าบังเอิญเจอกัน


   ปกรณ์เงยหน้ามองตามต้นเสียง เขาแปลกใจเล็กน้อยที่เจอคุณชานนท์ที่นี่ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าโดนสะกดรอยตามแต่อย่างใด
   “ได้ครับ บังเอิญจังเลยนะครับ คุณชานนท์มาทำธุระแถวนี้เหรอครับ”


   “พอดีเหนื่อยๆ น่ะครับ เลยมาเดินเล่นที่สวนเพื่อผ่อนคลาย”


   “ที่สวน” ปกรณ์ทวนถาม ก่อนจะชี้ไปทางสวนสาธารณะที่เขาเพิ่งเดินออกมา “สวนนั้นเหรอครับ”


   “ใช่ครับ มันใกล้ที่ทำงาน ผมมักมาเดินเล่นบ่อยๆ แล้วคุณปกรณ์ล่ะครับ มาทำอะไร ผมนึกว่าคุณกลับไปแล้วซะอีก” ชานนท์พยายามใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง ไม่ให้อีกฝ่ายสงสัยแต่ก็ชี้ทางเพื่อที่จะให้อีกฝ่ายเล่าเรื่องที่กำลังสงสัยออกมา


   “อ้อ... มาถ่ายรูปเล่นน่ะครับ ผมเองก็เบื่อๆ เหมือนกัน ยังไม่อยากกลับบ้าน เสียดายจังเลยนะครับ เมื่อกี้ไม่เห็นคุณชานนท์เลย ไม่งั้น...”


   “เส้นเล็ก น้ำ หมู ลูกชิ้นได้แล้วค่า” เสียงของพนักงานเสิร์ฟดังขึ้นขัดจังหวะ พร้อมกับชามก๋วยเตี๋ยวที่ยกมาเสิร์ฟตรงหน้าปกรณ์


   ชานนท์ลอบถอนหายใจ เขาเกือบจะรู้อยู่แล้วเชียวว่าเมื่อครู่นี้ปกรณ์พบกับใครมา น้องปาณัฐหรือคุณนรินทร์กันแน่ ใครกันที่ทำให้คนไข้ในความดูแลของเขายิ้มแย้มออกมาและมีท่าทางภาคภูมิใจได้ถึงเพียงนี้


   ซึ่งจากการพูดคุยกันในห้องปรึกษา ถ้าเดาไม่ผิดก็น่าจะเป็นน้องปาณัฐ เพราะปกรณ์บอกว่าน้องปาณัฐทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่า และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเด็กในจินตนาการคนนี้น่าจะเป็นด้านบวกที่ผู้ป่วยสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง


   “คุณปกรณ์ทานก่อนเลยครับ”


   “ไม่เป็นไรครับ รอทานพร้อมกันดีกว่า” ปกรณ์ตอบออกมา พลางพิจารณาอีกฝ่ายเช่นกัน เขารู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ช่างสุภาพและอ่อนโยนเหลือเกิน ดูน่าคบหา น่าเป็นมิตร แต่แล้วจู่ๆ ห้วงความคิดหนึ่งก็พยายามต่อต้านว่าอย่าเพิ่งเปิดใจให้เขามากนัก เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นนักจิตวิทยา บางทีการพบกันครั้งนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้ เพราะฉะนั้นเขาต้องพยายามทำตัวเป็นปกติไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ว่าโดนสงสัย


   “ครับ” ชานนท์พยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้ เขาไม่พูดอะไรออกมาอีก ไม่พยายามที่จะเอ่ยถามถึงเรื่องในสวนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย


   ปกรณ์ครุ่นคิด บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ เพราะถ้าคุณชานนท์จงใจจะมาเพื่อสืบอะไรบางอย่าง เขาคงวกเข้าเรื่องในสวนสาธารณะแล้วเป็นแน่


   “แล้ว... คุณชานนท์ปกติงานยุ่งไหมครับ เลิกงานกี่โมง มีวันหยุดไหม” มีไม่กี่ครั้งที่ปกรณ์จะเป็นฝ่ายเริ่มชวนคนอื่นคุย


   “ปกติก็เลิกประมาณห้าโมงเย็นครับ เว้นแต่วันที่ต้องอยู่เวรก็อาจจะดึกหน่อย วันหยุดไม่แน่นอนครับ เพราะต้องผลัดกันกับคนอื่นๆ”


   “งั้นเหรอครับ” ปกรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ สีหน้าของเขาแสดงถึงความผิดหวังเล็กน้อย หากเป็นคนอื่นอาจไม่สังเกตเห็น แต่กับนักจิตวิทยาแบบชานนท์ไม่ใช่


   “แต่เอางี้ดีไหมครับ เดี๋ยวผมเช็ควันหยุดให้ ถ้าว่างวันไหนผมจะโทรไปบอกคุณปกรณ์อีกทีนะครับ”


   “จริงนะครับ” ปกรณ์ยิ้มออกมา “ผมอยากชวนคุณชานนท์ไปถ่ายรูป ถ้าว่างรีบโทรมาบอกผมเลยนะครับ”


   “ได้เลยครับ” ชานนท์ยิ้มกลับพลางนึกดีใจที่เขาคิดไม่ผิดว่าผู้ป่วยต้องกำลังคิดอะไรอยู่แน่ๆ ขณะเดียวกันหัวใจของเขาก็เต้นรัว เพราะหากเขาทำอะไรที่มีพิรุธจนอีกฝ่ายสงสัย เขาจะหมดความน่าเชื่อถือและสูญเสียความไว้ใจทันที


   ขณะที่กำลังรับประทานก๋วยเตี๋ยว ชานนท์นึกสงสัยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสวนสาธารณะเหลือเกิน เขาอยากจะเอ่ยปากถามให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ด้วยความใจเย็น  เพราะหากได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เร็วเท่าไร การรักษาก็ยิ่งจะทำได้ง่ายขึ้น


   ปกรณ์ไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าความเจ็บปวดทางจิตใจที่เกิดขึ้นจะรุนแรงจนทำให้เขามีแต่ความเครียดและความคิดด้านลบเกี่ยวกับตัวเองสุมอยู่ในหัว แต่เขาก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าควรเปิดใจให้ประมาณไหน ควรพูดคุยเรื่องอะไร


   บางทีนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ก็ต้องเล่นเกมจิตวิทยากับผู้ป่วยเช่นกัน เพราะในหลายๆ ครั้ง พวกเขาไม่รู้เลยว่าผู้ป่วยพูดความจริงกี่เปอร์เซ็น มีการโกหกหรือไม่ เพราะหากมีการให้ข้อมูลเท็จหรือให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนขึ้นมา การรักษาอาจเกิดความผิดพลาดได้ แต่ครั้นจะบีบบังคับผู้ป่วยก็ไม่ได้เช่นกันเพราะมันจะทำให้เขาไม่สบายใจและต่อต้าน


   หลังจากที่สูดก๋วยเตี๋ยวเส้นสุดท้ายเสร็จ ชานนท์ก็เผลอถอนหายใจออกมา เขามัวแต่คิดเรื่องที่ตนเองสงสัย ร้อนใจเพราะอยากจะรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างปกรณ์กับบุคคลในจินตนาการ


   “ขอโทษครับ พอดีใส่พริกมากไปหน่อย” โชคดีที่ชานนท์มีข้ออ้างในการถอนหายใจ เขาใส่พริกเยอะเกินไปจึงไม่แปลกหากจะถอนหายใจเพราะรู้สึกร้อนหรือเผ็ด


   “คุณกินเผ็ดจังเลยนะครับ” ปกรณ์เองก็ตกใจตั้งแต่แรกแล้ว เพราะอีกฝ่ายเติมพริกเสียจนน้ำซุปในชามเป็นสีแดงราวกับน้ำซุปนรก


   “ก็นิดหน่อยครับ เป็นนักจิตวิทยาเจอกับผู้ป่วยมากมาย บางทีผมเองก็เครียดๆ นะครับ กังวลว่าจะวินิจฉัยอาการผิด เวลากินเผ็ดๆ มันทำให้ผมลืมความเครียดได้ เพราะมัวแต่จดจ่อกับอาการเผ็ด”


   สิ้นเสียง ปกรณ์ก็ยื่นมือถือถือทิชชู่ไปซับเหงื่อบนใบหน้าให้กับชานนท์


   “คุณเองก็มีเรื่องเครียดๆ เหมือนกันสินะครับ ต้องมารับฟังเรื่องของผู้ป่วยหลายๆ รายคงเหนื่อยน่าดู แล้วมีใครที่รับฟังความเครียดของคุณชานนท์บ้างไหมครับ”


   “เอ่อ... ไม่... ไม่มีครับ” ชานนท์ตอบตะกุกตะกัก เขารู้สึกประหม่ากับการที่โดนอีกฝ่ายซับเหงื่อให้


   “ดูสิ หน้าแดงหมดแล้ว กินเผ็ดมากก็ไม่ดีต่อลำไส้นะครับ ดูแลตัวเองบ้าง คราวหลังถ้าไม่มีใครให้ระบายความเครียด ก็มาระบายให้ผมฟังได้นะครับ” ปกรณ์ยิ้มร่า เมื่อรู้สึกว่าคนตรงหน้าก็เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง แม้เขาจะเป็นนักจิตวิทยา แต่เขาก็มีความรู้สึกนึกคิด มีอารมณ์เหมือนกันคนทั่วๆ ไป และเพราะเหตุนี้จึงทำให้ปกรณ์รู้สึกดีกับคนตรงหน้า และเริ่มที่จะเปิดใจให้


   “ได้ครับ แหม... สงสัยเราต้องผลัดหน้าที่กันแล้วนะครับ” ชานนท์หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม เขาใช้แก้วน้ำปิดบังความรู้สึกที่อาจจะแสดงออกผ่านใบหน้าและแววตา


   คุณปกรณ์เป็นคนดี จิตใจของเขาอ่อนโยนและบริสุทธิ์มาก การแสดงออกถึงความห่วงใยเมื่อครู่ทำให้ชานนท์รู้สึกประหม่า อีกประการหนึ่งก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าคนตรงหน้าต้องผ่านกับประสบการณ์อะไรมาบ้าง ถึงทำให้เขารู้สึกไร้ค่า ไร้ความหมาย และอยู่อย่างสิ้นหวัง


   “แล้วอย่างเรื่องของผม จะมีทางแก้ให้หายได้ไหมครับ”


   “มีแน่นอนครับ หากเราทราบสาเหตุที่แท้จริง ถ้าคุณยังไม่สบายใจก็ยังไม่ต้องเล่าให้ฟังก็ได้นะครับ แต่เวลาที่คุณมีความเครียด คุณต้องมาที่โรงพยาบาลทันที หรือเบื้องต้นให้โทรมาหาผมก็ได้นะครับ นี่นะครับนามบัตรผม”


   “ได้เลยครับ” ปกรณ์ยิ้มรับด้วยความยินดี บางสิ่งที่เกิดขึ้นเขาก็ไม่กล้าพอที่จะเล่าออกไป แม้มันจะเป็นหนทางที่ไวที่สุดเพื่อที่จะทำการรักษา แต่ทว่านั่นอาจทำให้ใครบางคนเสื่อมเสีย แค่มีคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจ รับฟังเวลาที่เครียด แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอ


   “เบอร์อยู่มุมขวาล่างนะครับ เครียดเมื่อไหร่ก็เบอร์นี้เลย ผมยินดีรับฟังเสมอ” ชานนท์ย้ำ สำหรับผู้ป่วย ทุกคนคือคนที่ต้องได้รับการรักษาและเอาใจใส่เหมือนๆ กัน แต่การดูแลและเอาใจใส่ย่อมแตกต่างกันตามอาการที่ปรากฏ


   “ครับ คุณชานนท์ใจดีจังเลยนะครับ” ปกรณ์เมมเบอร์ของชานนท์ลงมือถือก่อนที่จะลอบถอนหายใจออกมาแล้วเปรียบเทียบกับพ่อของเขา หากพ่อเขาใจดีและอ่อนโยนได้สักครึ่งหนึ่งของคุณชานนท์คงจะดีไม่น้อย


   “คุณเองก็ใจดีเหมือนกันนะครับ รู้ไหม ไม่เคยมีใครซับเหงื่อให้ผมเลยนะ”


   “จริงเหรอครับ” ปกรณ์หน้าเสียเล็กน้อย ได้ยินดังนั้นจึงพลางคิดไปว่าตัวเองถือวิสาสะเกินไปไหม “ขะ... ขอโทษนะครับ”


   “ขอโทษทำไมครับ” ชานนท์ขมวดคิ้วมุ่น มุมปากก็ผุดยิ้มด้วยความฉงน


   “ผมถือวิสาสะเกินไป”


   “ไม่ต้องคิดมากนะครับ เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ ผมรู้สึกดีซะอีกที่มีคนคอยดูแลแบบนี้” ชานนท์อธิบายออกมา “ไม่รู้สิครับ มันรู้สึกดี เหมือนมีคนห่วงใยเรา”


   “จริงเหรอครับ” ปกรณ์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก


   “ถ้างั้นวันนี้ เดี๋ยวผมเลี้ยงนะครับ” ชานนท์เอ่ยออกมา พอเห็นท่าทางราวกับจะปฏิเสธของอีกฝ่าย จึงชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “ถือซะว่าเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่างเรานะครับ อย่าปฏิเสธเลยนะครับ”


   ในเมื่อชานนท์เอ่ยออกมาแบบนั้น ปกรณ์จึงไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้


   “ถ้างั้นคราวหน้า ผมขอเลี้ยงกลับนะครับ”


   “ยินดีครับ” ชานนท์พยักหน้าก่อนจะเห็นไปมองพนักงานร้านแล้วยกมือหมุนรอบๆ โต๊ะเป็นสัญญาณให้มาคิดเงิน “อ้อ คุณปกรณ์ครับ กลับบ้านอย่าลืมทานยาก่อนนอนด้วยนะครับ”


   “จริงด้วย ผมลืมดูเลยว่ามียาอะไรบ้าง”


   “ผมเช็คตอนอยู่โรงบาลแล้วครับ มีแค่ยาทานก่อนนอน กับหลังอาหารมื้อเช้าครับ”


   “อ้อ... ขอบคุณครับ”


   หลังจากที่จ่ายค่าอาหาร คนทั้งคู่ก็ล่ำลาและแยกจากกัน ชานนท์ซุ่มมองปกรณ์เดินไปจนกระทั่งลับสายตา ส่วนอีกฝ่ายไม่หันกลับมาเลยสักนิด


   “เย็นชาจริงนะ” ชานนท์เผลอหลุดปากออกมาอย่างไม่รู้ตัว พอรู้ตัวอีกทีก็เผลอยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น เขาไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน จึงไม่แปลกหากเขาจะรู้สึกขบขันกับอาการของตัวเอง


   ...นี่เขาห่วงคนป่วยจนจะเสียสติกลายเป็นคนป่วยตามไปอีกคนแล้วมั้งเนี่ย...



-----------------------------

จบตอนที่ 1 ครับ เป็นยังไงก็ทักทายกันบ้างนะครับ

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 2



          ชายหนุ่มเดินเข้าซอยบ้านด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่ การได้พูดคุยและดูเหมือนจะได้รับการยอมรับจากเพื่อนใหม่ทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก


   ชานนท์เป็นนักจิตวิทยาที่ดูอ่อนโยนและใจดีมาก เขาอยากได้คุณพ่อที่มีบุคลิกแบบนี้ จึงไม่แปลกหากความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ปกรณ์รู้สึกดีกับเพื่อนใหม่


   “ไปไหนมา” แต่เสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังก็ทำให้รอยยิ้มของปกรณ์หุบลง


   “นรินทร์” ปกรณ์หันหลังไปมองร่างนั้นด้วยความรู้สึกผิด


   “ไปหาจิตแพทย์มาใช่ไหม ไปทำไม เราบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่านายไม่ได้บ้า ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง” แววตาของผู้พูดแสดงถึงความผิดหวัง เขามักสวมเสื้อยืดสีขาวเก่าๆ กางเกงยีนส์ขาสั้นเสมอเวลาปรากฏตัว “เราผิดหวังในตัวนายที่สุด”


   “เดี๋ยวนรินทร์” ปกรณ์ร้องห้ามและรีบวิ่งไปดึงแขนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะเดินหนี “เราแค่เครียด เราทนไม่ไหวจริงๆ เราถึงได้ไปพบหมอ”


   “ไม่ไหวอะไร ก็เราสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอว่ามีอะไรจะปรึกษากัน แต่นายผิดคำพูด” นรินทร์กระชากแขนออกมา


   “เราขอโทษ” ปกรณ์ยังจับแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น


   “งั้นสัญญากับเราได้ไหม ว่าจะไม่ไปที่นั่นอีก” นรินทร์ยื่นข้อเสนอ


   “ถ้าเราไปนายจะทำยังไง”


   “เราก็ไม่ต้องมาเจอกันอีก ต่างคนต่างอยู่ เอาที่สบายใจน่าจะดีกว่า”


   “ไม่ได้นะ ถ้าไม่มีนายเราเองก็เหมือนตัวคนเดียว” ปกรณ์ตัดพ้อ แม้ว่าปาณัฐจะทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจเสมอเวลาที่พบกัน แต่ความสัมพันธ์นั่นต่างกับนรินทร์อย่างสิ้นเชิง


   นรินทร์เป็นเพื่อนสนิท เป็นคนเดียวที่เขากล้าระบายเรื่องครอบครัวให้ฟังไม่ใช่แค่ผิวเผิน เพราะครอบครัวของนรินทร์ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน และสิ่งที่นรินทร์ต้องเจอนั้นมันหนักกว่าเขาหลายเท่าตัวเชียวล่ะ การที่มีนรินทร์อยู่ข้างๆ นั้นจึงทำให้ปกรณ์รู้สึกว่าตนเองไม่ใช่คนที่โชคร้ายที่สุด ไม่ใช่คนที่ควรท้อแท้และสิ้นหวังที่สุด แต่ยังมีนรินทร์ที่ชะตาชีวิตนั้นเลวร้ายและด้อยค่ากว่าเขา


   “แต่สิ่งที่นายทำวันนี้ มันทำให้เรารู้สึกเจ็บใจ พวกเราแค่มีปัญหาครอบครัว พวกเราไม่ใช่คนบ้าเสียหน่อย” นรินทร์ตัวสั่นระรัว เพราะการที่ปกรณ์ไปหาจิตแพทย์นั่นเท่ากับเขายอมรับว่าตัวเองจิตไม่ปกติ จึงส่งผลให้นรินทร์รู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติด้วยเช่นกัน


   “โอเคๆ นรินทร์ใจเย็น เราจะไม่ไปที่นั่นแล้ว” ปกรณ์กุมมือนรินทร์แน่น


   “จริงนะ” 


   “อื้อ”


   “แล้วนั่นถุงอะไร” นรินทร์เหลือบไปเห็นถุงพลาสติกสีขาวที่มือ


   “ถุง... ถุงยา” ปกรณ์ตอบตะกุกตะกัก


   “ยา... ยาสลายมโน ยาแก้อาการประสาทโรคจิตใช่ไหม ทิ้งไปเลยนะ โยนทิ้งไปเดี๋ยวนี้ นายไม่ได้เป็นโรคจิต นายต้องเชื่อและฟังเรา เรารู้จักนายดีกว่าใคร นายเป็นเพื่อนที่ดี นายเป็นคนปกติ นายไม่ใช่โรคจิต นายไม่ใช่คนบ้า” นรินทร์พูดซ้ำไปซ้ำมา เขาจ้องหน้าปกรณ์เขม็งราวกับกำลังสะกดจิตจนปกรณ์รู้สึกคล้อยตาม “นายไม่ใช่คนบ้า นายปกติดีทุกอย่างนะปกรณ์”


   “ใช่! เราไม่ใช่โรคจิต” ปกรณ์โยนถุงยาทิ้งทันทีที่พูดจบ


   การกระทำนั้นส่งผลให้นรินทร์ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ สีหน้าและแววตาของเขาฉายชัดถึงความยกย่อง ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ปกรณ์รู้สึกมีคุณค่า การที่มีใครสักคนมางอแงร้องขอให้เขาทำนู่นทำนี่นั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองเข้มแข็งมากกว่าอีกคน
   “รับปากแล้วนะว่าจะไม่ไปที่นั่นอีก”


   “อื้ม”


   “เจ๋ง นายยอดเยี่ยมที่สุด ขอบคุณนะที่เชื่อเรา”


   “นายเป็นเพื่อนเรา เราต้องเชื่อนายอยู่แล้ว” ปกรณ์ยิ้มให้อีกฝ่าย


   “นายเป็นคนดีจริงๆ นะ ถ้าอย่างนั้นเรากลับบ้านก่อนนะ เดี๋ยวพ่อดุ แค่ได้เห็นนายกลับมาอย่างปลอดภัยเราก็สบายใจแล้ว” นรินทร์ยิ้มให้อีกฝ่ายเช่นกัน


   “นายเองก็เหมือนกันนะ ถ้ามีปัญหาอะไรให้นึกถึงเราเป็นคนแรก เรายินดีจะรับฟังนายเสมอ”


   “ได้เลย”


   พูดจบนรินทร์ก็เดินแยกจากไป ปกรณ์มองตามร่างนั้นไปจนกระทั่งลับสายตาก่อนที่จะเดินกลับบ้านของตัวเอง


   บ้านของปกรณ์อยู่ในซอยแคบๆ เขาอยู่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่จำความได้ ส่วนพ่อกับแม่ใหม่นั้นได้ย้ายไปอยู่บ้านในที่ที่เดินทางได้สะดวกกว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง


   การแยกออกไปนั้นทำให้ชีวิตของปกรณ์สงบขึ้นก็จริง แต่นั่นกลับทำให้รู้สึกว่าตนเองถูกทอดทิ้งอีกครั้ง ไม่ว่าจะครั้งไหน พ่อก็ไม่เคยเลือกเขา และพอคิดซ้ำไปซ้ำมา มันก็ยิ่งทำให้เขาสำเหนียกได้ว่าตัวเองมันก็แค่คนไร้ค่าเท่านั้น


   ปกรณ์รีบเดินขึ้นไปบนห้อง ความคิดนี้ส่งผลทำให้เขารู้สึกปวดศีรษะ หวาดกลัว พอเปรียบเทียบตัวเองกับน้องชายแล้วนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยเหลือเกิน


   “ไม่ได้นะ เราจะคิดแบบนี้ไม่ได้”


       หัวใจของปกรณ์เต้นแรงรัวขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพยายามปฏิเสธ ความจริงก็ยิ่งปรากฏ ในตอนนี้น้องชายต่างมารดาของเขาโตเป็นหนุ่มหล่อเหลา การเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีและกำลังจะเรียนจบจากเมืองนอก ใครๆ ต่างก็ยกย่อง ไม่ว่าจะมองมุมไหนๆ เขาก็ไม่อาจเทียบเท่า ใช่... เขาไม่ต่างอะไรกับสุนัขจรจัด สุนัขที่รอความเมตตาจากคนในครอบครัวก็เท่านั้น


       “ได้โปรดอย่าคิดอะไรไปมากกว่านี้เลยปกรณ์” เขาพึมพำกับตัวเอง แค่นี้เขาก็รู้สึกสิ้นหวังจนไม่อยากจะที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป
ไม่ใช่แค่พ่อที่ไม่รัก แต่เพราะอะไรๆ ที่เจอมาระหว่างแม่ใหม่กับน้องชายนั้นมันทำให้เขาต้องทนอยู่กับความหวาดกลัวและความรู้สึกด้านลบแย่ๆ แบบนี้


     ความเครียดส่งผลให้ปกรณ์รู้สึกร้อนรุ่มทั้งกายและใจ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นทั่วร่างทั้งที่อากาศในห้องไม่ได้ร้อนอบอ้าวเลยแม้แต่นิดเดียว


       “เรามันก็แค่หมาหัวเน่า คนอย่างเราน่ะเหรอจะมีใครเห็นค่า”


        ก่อนที่สติของปกรณ์จะเตลิดไปไกลกว่านี้ เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นนั้นได้ทำให้ความคิดแย่ๆ เหล่านั้นหายไป


         ปกรณ์เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ พอเห็นชื่อที่ปรากฏเขาก็รีบกดรับสายทันที


         “คุณชานนท์ ช่วยผมด้วย ผมไม่ไหวแล้ว...” เขาเอ่ยคำพูดออกมาด้วยความยากลำบาก เหมือนกับต้องต่อสู้ความคิดอะไรบางอย่างภายในจิตใจกว่าที่จะเปล่งเสียงออกมาแต่ละคำได้


         “คุณปกรณ์ คุณเป็นอะไรครับ”


          “ความคิดผม มันกำลังเล่นงาน ผมรู้สึกแย่กับตัวเองครับ ผมเหนื่อยที่จะต้องต่อสู้กับมัน...”


   “คุณปกรณ์ คุณใจเย็นนะครับ คุณฟังผมนะ... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณยังมีผมที่พร้อมจะรับฟัง เมื่อกี้ผมลองเข้าเว็บไซต์ติดตามผลงานคุณ ภาพถ่ายของคุณแต่ละภาพสื่อถึงความรู้สึกได้ดีมากเลยล่ะครับแม้ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ ผมทึ่งกับฝีมือของคุณจริงๆ นะครับ”


   “คุณไม่ต้องมาโกหก” ปกรณ์เถียงออกไป อีกฝ่ายคงแค่ต้องการจะพูดอะไรเพื่อทำให้เขารู้สึกดีขึ้นก็เท่านั้น คงไม่ใช่ความรู้สึกจากใจจริง


   “ผมไม่ได้โกหก ผมพูดจริงๆ นะครับ ภาพถ่ายของคุณมันไม่ได้แสดงถึงความสวยหรืองดงาม ทว่าแต่ละภาพกลับแฝงไปด้วยเรื่องราวและความหมายที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้” ชานนท์พูดตามความคิด เขาไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด “แล้วคุณดีขึ้นหรือยังครับ”


   “ไม่เลยครับ” ปกรณ์ปฏิเสธ แม้จะได้รับคำชื่นชมแต่เขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ภาพของครอบครัวมันยังวนเวียนหลอกหลอนอยู่ในความคิด


   “งั้นคุณบอกผมมา บ้านคุณอยู่ไหน เดี๋ยวผมจะรีบไปหา”


   “แต่ผม... ไม่อยากรบกวน ผมเกรงใจ”


   “ไม่ต้องคิดมากนะครับ เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ”


   “เพื่อนกัน... ต้องช่วยเหลือ ต้องรับฟัง ต้องเข้าใจกันสินะครับ”


   “ใช่ครับ”


   ท้ายที่สุดปกรณ์ก็ตัดสินใจบอกที่อยู่ให้อีกฝ่ายรับทราบ เขาอธิบายวิธีการเดินทางอย่างละเอียดรวมถึงลักษณะตัวบ้านเพื่อให้อีกฝ่ายเดินทางมาด้วยความเข้าใจที่ง่ายที่สุด


   หลังจากที่วางสาย ปกรณ์ก็เอาแต่คิดเรื่องของคุณชานนท์จนทำให้อาการของเขาดีขึ้นเพราะลืมเรื่องเครียดๆ ไปชั่วขณะ


   ความเครียดที่ค่อยๆ ทุเลาลงส่งผลให้เขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง


....................

จบตอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-06-2017 21:53:25 โดย Mr.กุ๊กกู๋ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตกลงว่าทั้งสองคนนั้นเป็นสิ่งที่จินตนาการขึ้นมาจริง ๆ เหรอ

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 3




               ประมาณครึ่งชั่วโมงถัดมา ชานนท์ก็เดินทางมาถึงที่นี่บ้านของผู้ป่วย ปกรณ์ลงไปเปิดประตูต้อนรับก่อนที่จะพาอีกฝ่ายเข้ามาในบ้านด้วยความเต็มใจ


            ชานนท์เสตามองสำรวจภายในบ้านอย่างระมัดระวัง ทุกสิ่งทุกอย่างดูผิดปกติ สิ่งของภายในบ้านถูกจัดวางราวกับไม่มีผู้อยู่อาศัย เฟอร์นิเจอร์และของใช้ทุกชิ้นเหมือนถูกตั้งประดับไว้หากแต่ไม่ได้รับการใช้งาน


            “เดี๋ยวขึ้นห้องเลยนะครับ ผมอยู่ที่นี่คนเดียว คนอื่นย้ายไปอยู่บ้านใหม่กันหมด” ปกรณ์เอ่ยขึ้นขณะที่กำลังเดินผ่านโถงนั่งเล่น


            “ครับ” ชานนท์ตอบรับ ไม่ผิดจากที่เขาคิด แม้ตอนนี้ปกรณ์จะอาศัยอยู่เพียงคนเดียว แต่เขาก็คงจะเก็บตัวอยู่ในห้องนอน ถ้าเดาไม่ผิดชานนท์คิดว่าปกรณ์จะต้องไม่กล้าทำกิจกรรมอื่นๆ ภายในบ้าน เขาคงถูกขู่หรือได้รับประสบการณ์แย่ๆ จนทำให้เขาไม่กล้าที่จะออกมาจากห้องนอน


            “คุณชานนท์ครับ” อยู่ๆ ปกรณ์ก็หยุดนิ่งในขณะที่กำลังจะสาวเท้าขึ้นบันได อาการของเขาดูแปลกไปอีกแล้ว ดูเหมือนคนที่กำลังมีความวิตกในใจ “คุณมาที่นี่เพราะอะไรกันแน่ เพราะผมมันน่าสมเพชใช่ไหมครับ ผมคงดูทุเรศในสายตาของคุณ”


            ชานนท์ตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่แปลกหากอีกฝ่ายจะคิดเช่นนั้นเพราะเขากำลังป่วย เขาคิดว่าตัวเองย่ำแย่ ไร้ค่าและคิดว่าคงไม่มีใครเข้าใจเขา


            “เราเป็นเพื่อนกันนะครับ” ชานนท์เลือกที่จะย้ำคำว่า ‘เพื่อน’ ชั่วชีวิตที่ผ่านมา เขาอาจจะไม่เคยมีเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้สักคนจึงทำให้เขาระแวงแบบนี้ หรืออีกกรณีเขาอาจจะเคยมีใครที่ไว้วางใจมากๆ แต่คนคนนั้นก็ทำให้เขาผิดหวังจนเขาเลือกที่จะไม่เปิดใจให้ใครอีก “ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้น คุณยังไม่ต้องเชื่อใจผมก็ได้นะครับ แต่คุณลองคิดดูสิ ถ้าผมคิดแบบนั้นจริง มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องมาหาคุณที่นี่”


            “เหตุผลที่คุณมาที่นี่” ปกรณ์ทวนคำถามขณะเดียวกันก็พยายามนึกหาคำตอบ “เพราะคุณเป็นห่วงผม”


            ประโยคที่พูดออกมาเป็นเพียงคำตอบเดียวที่เขานึกได้ เพราะหากไม่รู้สึกเช่นนั้น คุณชานนท์ก็คงไม่รีบมาหาเขาที่นี่ ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร ทรมานกับความคิดความรู้สึกของตัวเองแค่ไหน อีกฝ่ายก็คงไม่สนใจ


            ชานนท์ยิ้มให้กับคำตอบที่ได้ยิน แต่เพียงชั่วครู่รอยยิ้มนั้นก็เจื่อนลง


            “หรือเพราะคุณแค่เห็นผมเป็นคนไข้ บางทีถ้าคุณรักษาผมให้หายเป็นปกติได้ คุณอาจจะได้รับความดีความชอบ คุณก็แค่ใช้ผมเพื่อผลประโยชน์ของตัวคุณเอง”


            นี่เป็นความคิดที่สองที่แล่นเข้ามาในหัวสมอง มันยากเหลือเกินที่เขาจะให้ความไว้วางใจกับใครสักคนได้เต็มร้อย


            “เอ่อ... ผมขอโทษครับ ผมไม่ควรคิดแบบนั้น” ปกรณ์โค้งศีรษะอย่างสำนึก เขารู้สึกผิดที่ระแคะระคายใจในความหวังดีของอีกฝ่าย


            “ไม่เป็นไรครับ คุณจะคิดแบบนั้นมันก็ไม่ผิดหรอก ผมเองเป็นนักจิตวิทยา ส่วนคุณเองก็เป็นคนไข้ ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้นแบบนั้นใช่ไหมล่ะครับ" ชานนท์พยายามอธิบายเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องคิดมาก “แต่ผมอยากให้คุณคิดแบบนั้นเฉพาะตอนที่คุณไปหาผมที่โรงพยาบาลนะ เพราะการที่ผมอยู่นอกเวลางาน แล้วผมเป็นฝ่ายมาหาคุณที่นี่ นั่นหมายความว่าผมยินดีและเต็มใจที่จะดูแล รับฟังคุณโดยที่ไม่หวังผลประโยชน์ใดใด ถ้ามีอะไรที่ผมอยากได้จากคุณ ผมคิดออกเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละครับ”


            “คืออะไรครับ” ปกรณ์เร่งถามด้วยความตั้งใจ


            “ผมต้องการความรักและความไว้วางใจจากคุณ พูดง่ายๆ ก็คือมิตรภาพน่ะครับ” ชานนท์ตอบออกมาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น จนอีกฝ่ายรู้สึกเคลิ้มตาม “แต่ผมจะไม่เร่งรัดคุณหรอกนะครับ ปล่อยให้เวลาและการกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์ก็ได้ครับ”


            “ความรัก ความไว้ใจ มิตรภาพ งั้นเหรอครับ” ปกรณ์ทวนคำตอบ เขามีความรักให้กับน้องปาณัฐ เขามีความไว้ใจให้กับนรินทร์ คงไม่เป็นอะไรหากจะมีมิตรภาพใหม่เกิดขึ้นอีกสักคน


            แต่เพราะอะไร ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้สึกสงสัยหรือหวาดระแวงในตัวของปาณัฐและนรินทร์เลยสักนิด ผิดกับชานนท์รวมถึงคนอื่นๆ ที่เขาเคยประสบพบเจอ นั่นคือสิ่งที่ปกรณ์ไม่เข้าใจ


            “ถ้าคุณยังไม่สบายใจ วันนี้ผมกลับก่อนก็ได้นะครับ แค่ผมมาที่นี่ได้เห็นว่าคุณยังโอเคผมก็ดีใจแล้วครับ”


            “ไม่เป็นไรครับคุณชานนท์” ปกรณ์ปฏิเสธ “ผมเองแค่รู้สึกแปลกๆ ความจริงผมไม่เคยพาใครเข้าบ้านเลยนะครับ แม้แต่ปาณัฐหรือกับนรินทร์ก็ตาม ผมมักจะเจอพวกเขาเวลาอยู่นอกบ้านเสมอ”


            ชานนท์พยักหน้าอย่างเข้าใจ การที่ปกรณ์ไม่เคยเห็นคนทั้งคู่ภายในบ้าน อาจเพราะเขามีความทรงจำอะไรบางอย่างที่เลวร้ายในบ้านหลังนี้ จึงทำให้ทุกครั้งที่ก้าวขาเข้ามาในบ้าน บุคคลในจินตนาการไม่ถูกสร้างขึ้นมาให้เห็น


            “แล้วคุณโอเคแน่นะครับ ถ้าผมจะขึ้นไปบนห้องกับคุณ” ชานนท์ถามอย่างลองเชิง


            ปกรณ์กรอกสายตาไปทั่วบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อคิดได้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้คนเดียวมาหลายปีแล้ว เขาจึงพยักหน้าตกลง
           


 








            การเปิดประตูห้องนอนเพื่อต้อนรับใครสักคน นั่นเท่ากับว่าเจ้าของห้องได้เปิดใจให้กับใครคนนั้นเสียแล้ว


            ปกรณ์เองก็เช่นกัน ตั้งแต่เกิดมา นี่คือครั้งแรกที่เขาเปิดห้องนอนต้อนรับแขกผู้มาเยือน ชานนท์เป็นเพื่อนคนแรกที่มีโอกาสได้ย่างกายเข้ามาในโลกส่วนตัวของเขา


            โลกของเขานั้นคือห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ไม่มีเตียงและเสื่อนอน มีเพียงหมอนและผ้าห่มที่วางกองกับพื้น มีโต๊ะญี่ปุ่นทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กสำหรับทำงาน บนโต๊ะมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คตั้งอยู่ ข้างๆ กันนั้นมีกล้องถ่ายรูปหนึ่งตัว ที่มุมห้องมีตู้เสื้อผ้าสีน้ำตาลความกว้างประมาณเมตรครึ่ง


            “ขอโทษนะครับ ห้องผมไม่ค่อยมีอะไร แล้วผมก็ไม่ชอบนอนบนเตียงนอน คุณอาจจะอยู่ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นะครับ” ปกรณ์พูดอย่างประหม่า แต่ยังดีที่ภายในห้องมีเครื่องปรับอากาศ เขาเปิดเครื่องปรับอากาศแล้วปรับให้อุณหภูมิอยู่ในโหมดที่ต่ำที่สุดเพื่อให้อากาศภายในห้องเย็นเร็วที่สุด


            “ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ผมเองก็ใช่ว่าจะอยู่ดีกินดีเสียที่ไหน” ชานนท์พูดออกมาตามความจริง เขาเองก็เป็นเด็กต่างจังหวัด เกิดมาในชนบทไม่ได้วิเศษวิโสเกินใคร แต่เพราะความลำบากของพ่อแม่ที่เขาได้เห็นมาตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์จึงทำให้เขามีแรงผลักดันในการใช้ชีวิตจนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน


            แต่ถึงกระนั้นก็แปลกอยู่ คนปกติทั่วไปถึงแม้จะไม่มีเตียง ก็ต้องมีเสื่อหรือผ้านุ่มๆ สำหรับปูนอน แต่ปกรณ์กลับเลือกที่จะนอนกับพื้น นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดที่ว่าเขาต่ำต้อย เขาเจออะไรมากันแน่ถึงคิดว่าตัวเองไม่สมควรที่จะนอนเตียงนุ่มๆ


            “คุณอยากกินอะไรไหมครับ” ปกรณ์ทำตัวไม่ถูก เขาไม่รู้วิธีการต้อนรับแขกท่าทางของเขาจึงดูเก้ๆ กังๆ


            “ไม่ครับ ผมยังอิ่มก๋วยเตี๋ยวอยู่เลย แล้วคุณมีงานอะไรค้างหรือต้องรีบเคลียร์ไหมครับ”


            “จริงด้วย ผมต้องรีบจัดหน้าให้นิตยสาร กำหนดส่งพรุ่งนี้เช้าด้วยสิครับ แย่ล่ะเหลืออีกตั้งหลายหน้า” น้ำเสียงของปกรณ์ร้อนรน


            “งั้นคุณทำงานตามสบายเลยนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผม เดี๋ยวผมนั่งอ่านหนังสือเล่นตรงนี้” ชานนท์เลือกที่จะนั่งพิงกับผนังบริเวรหน้าต่าง


            “ขอโทษด้วยนะครับ ผมเองก็มีอะไรอยากพูดอยากปรึกษากับคุณหลายเรื่องเหมือนกัน แต่ผมต้องเคลียร์งานก่อน” ปกรณ์ทิ้งตัวนั่งลงบ้าง เขาเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คทันที


            “ไว้ทำงานเสร็จเมื่อไหร่ ค่อยคุยกันก็ได้ครับ”


            “ครับ”


            หลังจากนั้น ห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตัวเองด้วยความตั้งใจ ปกรณ์เป็นทำงานอิสระ เป็นช่างภาพและกราฟิกดีไซน์รับงานอิสระ นอกจากฝีมือทางด้านถ่านภาพแล้ว เขายังถนัดในเรื่องการใช้โปรแกรมแต่งภาพ ปรับสี จัดหน้ากระดาษ หลังจากที่มีชื่อเสียงจากภาพถ่าย งานของเขาก็มากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน


            ชานนท์นั่งจ้องมองอีกฝ่ายเงียบๆ ขณะที่ปกรณ์ทำงาน เขามีความตั้งใจในหน้าที่ของเขา แววตาของเขาดูมุ่งมั่นตั้งใจจดจ่ออยู่แต่กับเฉพาะงานตรงหน้าเท่านั้น ราวกับว่าโลกของเขาในยามนี้มีแค่เรื่องงานเท่านั้น


            ชานนท์ลองลุกขึ้นเดิน ทำเสียงตะกุกตะกัก อีกฝ่ายก็ไม่สนใจเลยสักนิด หากมีโจรขึ้นบ้านก็คงจะไม่รู้ตัวเป็นแน่


            มีความตั้งใจในการทำงานมันก็อยู่หรอก แต่ตั้งใจเกินไปจนไม่สนใจสิ่งรอบข้างมันก็อันตรายเหมือนกัน


            ชานนท์ลองลุกขึ้นอีกครั้งแล้วเดินเข้าไปหาก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ทางด้านหลัง แต่ปกรณ์ก็ยังไม่เห็นมา เขายังอยู่ในโลกที่ในหัวสมองคิดแต่เรื่องงาน


            เหตุที่ปกรณ์ตั้งใจทำงาน อาจเพราะต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องการได้รับการยอมรับจากสังคมและครอบครัว ซึ่งชานนท์ไม่แน่ใจเลยว่า ความมุ่งมั่นที่เกิดขึ้นนี้มันจะมีประโยชน์อะไรไหม หากครอบครัวของเขาไม่สนใจ และไม่เห็นคุณค่าของเขาเหมือนเดิม


            “คุณปกรณ์ครับ” ชานนท์ลองกระซิบเรียกเบาๆ จากทางด้านหลัง แต่มาได้รับการตอบกลับจากอีกฝ่าย เขาจึงทำได้เพียงอมยิ้มอย่างเอ็นดูและนึกชื่นชมในความมุ่งมั่น


            ในเมื่อเสียงเรียกไม่สามารถดึงสติที่มุ่งมั่นกับการทำงานของอีกฝ่ายให้กลับมาได้ ชานนท์จึงต้องลองวิธีสุดท้ายซึ่งนั่นก็คือการสัมผัส


            ชานนท์โน้มตัวนั่งลงแล้วหันหลังให้กลับอีกฝ่ายก่อนจะเขยิบไปใกล้ๆ แล้วให้แผ่นหลังของตนแนบชิดกับแผ่นหลังของปกรณ์


            ไม่เพียงเท่านั้น ชานนท์ยังถือวิสาสะทิ้งศีรษะลงไปอิงกับแผ่นหลังนั่นก่อนจะเหยียดขาตรงให้อยู่ในท่าที่ตนสบายที่สุด


            “เย็นชาจริงๆ สินะครับคุณปกรณ์ ตัวติดกันขนาดนี้แล้วยังไม่รู้สึกตัวอีก” ชานนท์บ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะลอบยิ้มออกมาเบาๆ


            เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองในขณะนี้เลยสักนิด ว่าเพราะอะไรกันแน่ถึงทำให้เขายิ้มออกมาได้ แต่การที่เขาได้นั่งอยู่ในท่าที่สบายโดยมีแผ่นหลังของใครอีกคนรองรับอยู่นั้น ได้ส่งผลให้ในที่สุดของก็เผลอหลับไป




จบตอน


.............................................

>> พูดคุยกันครับ ช่วง ถาม-ตอบ <<
 
คุณ sirin_chadada  :: มีจินตนาการแน่นอนครับ แต่จะเป็นใครต้องติดตามนะครับ อาจจะ1 คน 2คน หรือมากกว่านั้นดี(ล้อเล่น) รอต่อไปเรื่อยๆ นะครับ


♥lvl♀‘O’Deal2♥ :: อัพแล้วนะครับ >. < ดีใจที่แวะมาอ่านนะครับ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
อยากรู้เลยว่าต่อไปจะเป็นยังไงต่อ  :katai4:

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
   ตอนที่ 4

      ปกรณ์ยังคงทำงานอย่างเคร่งเครียด เขาต้องออกแบบหน้ากระดาษ เลือกวางตำแหน่งของรูปภาพและตัวอักษรให้เหมาะสมภายในหน้าในนิตยสารเพื่อที่จะส่งให้บรรณาธิการเช็ครายละเอียดและความถูกต้องออกที

   ขณะทำงาน เขาจะไม่รู้สึกถึงสิ่งรอบข้าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ในหัวของเขาจะมีแต่เรื่องงานและคิดเพียงว่าจะต้องทำงานให้สำเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้

   เขาทำงานต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงหน้าสุดท้ายในนิตยสาร มือขวาลากเม้าส์ไปคลิกคำสั่งเซฟไฟล์งาน ก่อนจะเซฟงานแล้วส่งเมล์ให้กับบรรณาธิการอีกที เพียงเท่านี้งานของเขาก็เสร็จสิ้น

   ปกรณ์ได้เดินออกมาจากโลกส่วนตัวอีกครั้ง เขาหน้าออกนอกจอคอมแล้วเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าคืนนี้มีแขกมาหา เขารีบหันมองไปทางหน้าต่างในจุดที่ชานนท์เคยนั่งแต่ก็ไม่พบ

   “คุณชานนท์” เขาส่งเสียงออกมาเบาๆ เมื่อไม่พบร่างของคนคนนั้น แต่พอพยายามจะลุกขึ้น ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรมาอิงหลังนั้นได้ทำให้ปกรณ์นั่งอยู่ที่เดิม

   “มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” ปกรณ์พึมพำกับตัวเอง แม้จะตกใจเล็กน้อยที่ไม่รู้สึกตัวแต่กลับรู้สึกดีที่ชานนท์กำลังนั่งอยู่ตรงนี้

   การนั่งพังหลังกันในเวลาที่เหนื่อยล้าอย่างนั้นหรือ... แค่ปกรณ์ลองคิด มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกมีคุณค่า ดีใจที่ชานนท์เห็นคุณค่าในตัวของเขา

   ท้ายที่สุดเขาจึงเลือกที่จะนั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ชานนท์หลับต่อไป

   เวลาเดินผ่านไป ไม่รู้ว่านานเท่าไร ชานนท์ก็สะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมา เขาทอดสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท ส่วนภายในห้องยังคงสว่างไสวด้วยแสงไฟเหมือนเดิม

   “ตื่นแล้วเหรอครับ”

   เป็นเสียงของปกรณ์ที่ดังขึ้น ชานนท์รีบผละร่างออกจากการแอบอิงทันที

   “คุณปกรณ์ คุณทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ” ชานนท์รู้สึกละอายใจเล็กน้อย เขาดันเผลอหลับไปได้เสียนี่ แถมยังหลับโดยที่นั่งพิงหลังของอีกฝ่ายตลอดเวลา

   “เสร็จสักพักแล้วครับ” ปกรณ์ตอบยิ้มๆ

   “โอย... ผมนี่แย่จริง เผลอหลับไปได้” ปกรณ์ยกมือขึ้นมาเขกศีรษะตัวเองเบาๆ หลายทีทำท่าราวกับเด็กที่กำลังลงโทษตัวเองอย่างสำนึกผิด

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่มันก็ดึกแล้วนะครับ คุณชานนท์น่าจะนอนที่นี่ต่อเลยนะครับ”

   ชานนท์พลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าตอนนี้เวลาก็ประมาณตี 2 กว่าแล้ว จะเสียเวลากลับที่พักก็คงเสียเวลา อีกอย่างเจ้าของบ้านก็เป็นคนเอ่ยปากชวน เพราะฉะนั้นเขาจึง...

   “ขอบคุณครับ รบกวนด้วยนะครับ”

   “ถ้างั้นไปอาบน้ำก่อนดีไหมครับ เดี๋ยวผมไปเอาผ้าเช็ดตัวให้นะครับ อ้อ... ผมมีแปรงฟันที่แถมมากับยาสีฟันเหลืออยู่ด้วย” ปกรณ์เปิดตู้เสื้อผ้าออกแล้วค้นหาของที่ต้องการก่อนจะนำมันมายื่นให้กับชานนท์ “ส่วนเสื้อผ้าใส่ของผมก่อนก็ได้นะครับ หุ่นพอๆ กันน่าจะใส่ได้”

   “ขอบคุณครับนะครับ” ชานนท์รับผ้าเช็ดตัวและแปรงสีฟ้ามาก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ

   ภายในห้องนอนของปกรณ์ มีห้องน้ำส่วนตัว มันค่อนข้างเล็กและแคบแต่ก็สามารถทำภารกิจได้โดยไม่มีปัญหาอะไร

   ชานนท์ใช้เวลาอยู่ภายในห้องน้ำไม่นานมากนัก หลังจากเสร็จสรรพเขาก็เดินออกมา ทว่าเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเสื่อนอนถูกปูเอาไว้อย่างเรียบร้อย หากแต่มันเป็นเสื่อผืนเล็กที่สามารถนอนได้เพียงคนเดียวและปกรณ์เลือกที่จะไม่นั่งหรือนอนอยู่บนนั้น

   “คุณชานนท์นอนนี่นะครับ”

   “แล้วคุณล่ะครับ”

   “ผมชินกับการนอนพื้นน่ะครับ”

   “แต่มันเย็นนะครับ” ชานนท์นึกสงสัย เพราะขนาดแค่เท้าเปล่าๆ ของเขาสัมพัสกับพื้นกระเบื้องเขายังรู้สึกเย็นยะเยือกเลย

   “มันชินแล้วน่ะครับ” ปกรณ์เลือกที่จะตอบแบบเดิมและไม่บอกอะไรไปมากกว่านั้นก่อนที่จะเฉไฉไปเรื่องอื่น “งั้นผมอาบน้ำบ้างดีกว่า”

   “อ่อ... ครับ”

   หลังจากที่ปกรณ์เข้าไปภายในห้องน้ำ ชานนท์ก็เลือกชุดภายในตู้เสื้อผ้า สังเกตว่าชุดส่วนใหญ่จะเป็นสีโทรอึมครึมทั้งนั้น ไม่ดำ ก็กรม ก็น้ำตาล ชีวิตของปกรณ์คงมืดมนน่าดู

   ชานนท์เลือกหยิบเสื้อยืดสีเทาบางๆ มาใส่ เขาสวมมันได้อย่างพอดิบพอดี ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงผ้าร่มสามส่วนสีดำ

   หลังจากที่แต่งตัวเสร็จ ชานนท์ก็เอาหมอนมาหนุนหลังแล้วนั่งพิงกับผนังเพื่อรอเจ้าของห้อง

   ไม่นานมากนัก ปกรณ์ก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา โดยที่เขานั้นแต่งตัวเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว

   “คุณชานนท์ครับ”

   “ครับ”

   “คือผม... นอกจากน้องชาย ผมก็ไม่เคยนอนร่วมห้องกับใคร ยกเว้นตอนเข้าค่ายนะครับ ผมอาจจะรู้สึกแปลกๆ หน่อยนะครับที่ต้องนอนร่วมห้องกับคุณ ถ้าผมทำอะไรแปลกๆ คุณก็อย่าถือสานะครับ”

   “ทำอะไรแปลกๆ อย่างเช่นอะไรครับ”

   “ไม่รู้สิครับ ผมอาจจะกลิ้งไปนอนหนุนเท้าคุณ หรืออาจจะไปเอาหัวไปซุกอยู่ที่มือของคุณก็ได้มั้งครับ คือผมเคยเป็นแบบนั้นตอนอยู่กับน้องชาย” ปกรณ์กล้าๆ กลัวๆ ที่จะพูดอะไรไปมากกว่านั้น “เอาเป็นว่าอย่ารังเกียจผมก็พอครับ”

   “คุณนี่คิดมากจริงๆ เลยนะ” ชานนท์ทนไม่ไหว เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปหาปกรณ์ขณะที่อีกฝ่ายกำลังสาละวนกับการเก็บของในตู้เสื้อผ้า

   ชานนท์โผเข้ากอดปกรณ์จากทางด้านหลัง มือทั้งสองข้างของชานนท์กดแน่นเพราะต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกอบอุ่น ชั่วขณะเขาก็เอาคางเกยที่ศีรษะของอีกฝ่าย ราวกับอีกฝ่ายเป็นตุ๊กตาที่อยู่ในอ้อมกอด

   “ไปนอนกันเถอะครับ”

   ปกรณ์ตัวแข็งทื่อ... แข็งไม่ต่างกับตอนที่โดนปาณัฐโอบกอด แต่ผิดกันตรงที่คนที่กำลังกอดเขาอยู่ตอนนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยได้มากกว่า

   ปกรณ์รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงเรื่อยๆ เมื่ออยู่ในอ้อมกอด ส่วนชานนท์นั้นกลับตัวใหญ่น่าเกรงขามจนเขาไม่กล้าที่จะดิ้นสู้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจ

   “ผมจะปล่อยให้เจ้าของบ้านนอนพื้น ส่วนตัวเองนอนบนเสื่อคนเดียวได้ยังไงล่ะครับ ในเมื่อเสื่อมันเล็กนิดเดียว ผมก็จะนอนกอดคุณแบบนี้ทั้งคืนแหละ”

   ชานนท์กระซิบที่ข้างใบหูหลังจากที่จัดการทำให้อีกฝ่ายล้มนอนลงไปบนเสื่อได้สำเร็จ เขายังคงโอบกอดอีกฝ่ายอย่างแนบแน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหายไปไหน

   “ผมจะปกป้องคุณเอง”




       ---------------------



   ชานนท์ผงะเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ปกรณ์ก็เดินมาคว้าแขนให้ไปรัดกับร่างของเขา

   “ผมแค่ต้องการใครสักคนที่เข้าใจ” นั่นคือสิ่งที่ปกรณ์กำลังเพ้อออกมาโดยที่ชานนท์ไม่รับรู้ได้เลยว่า ภาพและสมองของปกรณ์แท้จริงแล้วกำลังเห็นและได้ยินสิ่งใดกันแน่

   “นอนกอดผมแบบนี้ทั้งคืนได้ไหม” ปกรณ์โน้มร่างของอีกฝ่ายให้ทิ้งตัวลงบนที่นอน เขารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของชานนท์ “ผมกลัว”

   “คุณกลัวอะไร กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ครับ” ชานนท์ถามกลับ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าปกรณ์กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด เขากำลังสร้างโลกที่เป็นเรื่องราวของเขาขึ้นมาเพื่อที่จะปกป้องความอ่อนแอของตัวเอง

   “แม่เลี้ยง น้องชาย” ปกรณ์เปรยออกมาเพียงแค่นั้น เขาตัวสั่นสะท้านภายในอ้อมกอดราวกับคนที่กำลังหวาดกลัวสุดขีด “อย่าถามอะไรอีกเลย ผมไม่อยากนึกถึงมัน”

   “ครับ” ชานนท์ตอบรับด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ความจริงเขาไม่ต้องทำขนาดนี้เพื่อที่จะมารับผิดชอบชีวิตใครสักคนหรอกนะ ระหว่างเขากับคนป่วย ให้เกี่ยวข้องกันแค่ภายในโรงพยาบาลแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว

   แต่เพราะเขามีความรู้สึกพิเศษบางอย่างกับปกรณ์ ไม่ใช่เพียงแค่ความสงสารเห็นใจจนอยากจะช่วยเหลือเท่านั้น อาจเพราะเขาเองก็ไม่ไม่ใช่คนที่มีเพื่อนเยอะเลยอาจจะเข้าใจคนแบบปกรณ์

หรือบางที... ความน่าเอ็นดู ความน่ารัก ความเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นตอนซับเหงื่อ มันอาจทำให้เขารู้สึกพิเศษขึ้นมาก็เป็นได้ รู้สึกเหมือนว่าเขาได้มีน้องชายที่น่ารักเพิ่มขึ้นมาอีกคน

        ชานนท์ตอนนี้อายุ 28 ปีแล้ว เขาได้มารู้จักกับปกรณ์ที่มีอายุน้อยกว่า 3 ปีในฐานะนักจิตวิทยาและผู้ป่วย แต่ในตอนนี้ชานนท์กลับลืมและกำลังก้าวข้ามสถานะความสัมพันธ์ไปเสียสนิท 

   “แล้ววันนี้ คุณได้เจอกับน้องปาณัฐและคุณนรินทร์ไหมครับ” ชานนท์ลองเอ่ยปากถาม ขณะที่อีกฝ่ายยังคงกอดแขนของเขาแน่น

   “เจอครับ” ปกรณ์ตอบออกมา

   “เจอใคร ที่ไหนครับ แล้วคุยอะไรกันบ้าง” ชานนท์รีบใช้โอกาสนี้สอบถามข้อมูลต่อ

   “น้องปาณัฐเจอที่สวนครับ ส่วนนรินทร์เจออยู่ระหว่างซอยทางเข้าบ้านครับ ปาณัฐเขาดีใจที่ผมไปพบจิตแพทย์ แต่นรินทร์กลับเสียใจครับ”

   ชานนท์ทึ่งในคำตอบ ถ้าเป็นอย่างที่ปกรณ์พูด นั่นหมายความว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ความคิดในหัวของปกรณ์จะแบ่งเป็นสองด้านเสมอ ด้านบวกจะคอยสนับสนุนสิ่งดีๆ ส่วนด้านลบจะคอยขัดขวางและตอกย้ำความหวาดกลัว

   นั่นหมายความว่าปาณัฐคือบุคคลในจินตนาการด้านดี ด้านที่เป็นแรงบันดาลใจ แรงผลักดันให้ปกรณ์ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่นรินทร์เป็นบุคคลในด้านลบ เขาจะคอยขัดขวาง คอยห้าม และอาจจะคอยตอกย้ำถึงเรื่องราวความเจ็บปวดที่ฝั่งใจ

   “แล้วคุณจะทำยังไงต่อไปครับ”

   “ผมจะทำตามนรินทร์” ปกรณ์ตอบโดยไม่เสียเวลาคิดสักนิด

   “เพราะอะไร” ชานนท์ขมวดคิ้วมุ่น

   “เขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจผม เราโตมาในครอบครัวที่ไม่มีใครรักเหมือนกัน เขาไม่ใช่คนบ้า ผมเองก็ไม่ใช่คนบ้า”

   “ใช่ครับคุณปกรณ์ คุณไม่ใช่คนบ้า แต่คุณเครียดและคิดมากในบางครั้ง คุณจำเป็นต้องได้รับการรักษานะครับ”

   “ไม่จำเป็นหรอกครับ” เขาปฏิเสธออกมา มือทั้งสองข้างออกแรงกระชับแขนของอีกฝ่ายแน่น

   “ทำไมล่ะครับ” ชานนท์ไม่เข้าใจ

   “เพราะผมมีคุณคอยดูแลอยู่แล้วไง” เป็นคำตอบที่เอาแต่ใจ แต่กลับทำให้อีกฝ่ายผุดยิ้มขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ถึงกระนั้นชานนท์ก็ไม่ควรใจอ่อน ถึงอย่างไรการได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีมันย่อมเป็นหนทางที่ดีที่สุด ทว่าเขาก็ไม่อาจบังคับใจผู้ป่วยได้เช่นกัน…





จบตอน

>> พูดคุยกันครับ ช่วง ถาม-ตอบ <<


oki  ::  อัพแล้วนะครับ ^^ ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะครับ ดีใจๆ ฮ่าๆ


Talk เล็กน้อย :: แต่งไปก็กลัวใจจะไม่มีคนอ่าน นิยายมันค่อนข้าเฉพาะแนว(มั้ง) เอิ๊กๆ แต่พอเห็นคอมเม้นท์มาตอนละ 1-2 เม้นท์ก็ยังคงมีกำลังใจแล้วครับ

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
โถ่ปกรณ์ รักษาเถอะนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
ดันมาคว่ำรถขนอ้อยตอนตบ ว๊ากกก

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 5


          เวลาผ่านไปจนกระทั่งครบหนึ่งสัปดาห์ ปกรณ์ไม่ติดต่อมาหาชานนท์อีกเลย ชานนท์ก็เช่นกัน แม้จะอยากพูดคุย อยากรู้อาการและห่วงใยมากขนาดไหน แต่เขาก็ต้องข่มความต้องการของตัวเองเอาไว้เพื่อต้องการที่จะรอดูว่าวันนี้ ปกรณ์จะมาตามที่ได้นัดหมายหรือไม่

   แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววของคนที่เฝ้ารอ จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน

   “ทำใจเถอะชานนท์ แม้เราจะอยากช่วยเหลือคนไข้ แต่ถ้าเขาปฏิเสธเราก็ไม่มีสิทธิ์” เป็นเสียงของคุณหมอจิตแพทย์ที่ดังขึ้น เขาเป็นชายหนุ่มอายุ 35 ปี ที่เรียนจบทางด้านจิตแพทย์มาโดยตรง

   “ครับหมอ” ชานนท์พยักหน้ารับ ใจก็นึกกังวลอยากพบเจอ อยากรู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง มีอาการอะไรผิดปกติอีกไหม และเพราะอะไร เขาถึงไม่ติดต่อมาเลยตั้งแต่แยกจากกันในวันนั้น

   “ถ้าเขาไม่ไหว... เขาก็จะกลับมาเองแหละ เชื่อผมนะ ผมเคยเจอคนไข้มาแล้วหลายคน เอาเป็นว่าคุณทำใจให้สบายเถอะครับ”

   “ครับ” ชานนท์ได้แต่หัวเราะแห้งๆ เก็บความขบขันไว้ในจิตใจ เป็นนักจิตวิทยาแท้ๆ แต่กลับต้องให้คุณจิตแพทย์มาพูดปลอบใจเช่นเดียวกับคนป่วยเสียเอง
   ระหว่างที่กำลังเก็บของเพื่อเตรียมจะกลับที่พักนั้น เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นพร้อมกับเบอร์ที่ปรากฏส่งผลให้ชานนท์รีบกดรับสายทันที

   “สวัสดีครับคุณปกรณ์” เขาควบคุมโทนเสียงให้เป็นปกติ

   “สวัสดีครับคุณชานนท์ เลิกงานรึยังครับ” อีกฝ่ายถามกลับ

   “เลิกแล้วครับกำลังจะกลับพอดีครับ”

   “คุณชานนท์ว่างไหมครับ มาหาผมตรงสวนที่เดิมได้ไหมครับ”

   “สวน... ที่เดิมใกล้ๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวที่เราเจอกันใช่ไหมครับ”

   “ใช่ครับ”

   “ได้ครับ ผมจะรีบไปนะครับ”

   “ผมรออยู่หน้าสวนนะครับ”

   “ครับ”

   หลังจากที่วางสาย ชานนท์ก็รีบเก็บของแล้วออกจากโรงพยาบาลทันที เข้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังสวนสาธารณะด้วยความรวดเร็ว

   ปกรณ์ยืนพิงอยู่กำแพงข้างๆ ประตูทางเข้า เมื่อเห็นคนที่โทรหากำลังวิ่งมาใบหน้าที่กำลังวิตกกังวลก็ผุดรอยยิ้มขึ้น ส่วนชานนท์รีบวิ่งเข้าไปหาทันที

   “ไปหาที่นั่งกันก่อนนะครับ” ปกรณ์รู้สึกผิดเมื่อเห็นอีกฝ่ายท่าทางเหนื่อยหอบ

   “ครับ”

   ทั้งสองเดินเข้าไปภายในสวนสาธารณะแล้วไปนั่งพักอยู่ในซุ้มไม้ด้านใน

   “ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้ไปพบ เพราะผมรับปากกับนรินทร์ไว้” เป็นปกรณ์ที่เริ่มเปิดปากพูดก่อน

   “แต่คุณก็ยังโทรมา” ชานนท์เอ่ยขึ้นบ้าง “นั่นหมายความว่า คุณเองก็ไม่แน่ใจใช่ไหมครับ”

   “ผมแค่ไม่อยากผิดคำพูด ทุกคืนผมเอาแต่นอนคิดว่าผมควรมาที่โรงพยาบาลไหม ใจหนึ่งก็อยากมา เพราะอาการเครียดและความคิดบ้าๆ บอๆ ที่คอยหลอกหลอน แต่อีกใจหนึ่ง ผมก็ไม่อยากเป็นคนผิดคำพูด”

   แววตาของปกรณ์ฉายชัดถึงความสับสน เขาไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเองจึงมีอาการเช่นนี้

   “แล้วถ้าผมขอให้คุณมา คุณจะมาไหม... คุณมารักษาแต่คุณก็ไม่ต้องบอกนรินทร์ก็ได้นี่ครับ” ชานนท์ลองคิดหาทางออก

   “ไม่ได้ครับ ผมโกหกนรินทร์ไม่ได้ นรินทร์เขาจับผิดเก่ง เขามีวิธีที่ทำให้ผมพูดความจริงออกมา”

   “แต่ถึงอย่างนั้น คุณก็ยังอยากเข้ารับการรักษาใช่ไหมครับ”

   “ใช่ครับ ผมควรทำยังไงดี เมื่อวันก่อนผมเครียดมา พอมีโอกาสได้เจอกับปาณัฐ น้องเขาก็บอกให้ผมเข้ารับการรักษา เขาเป็นกำลังใจให้ผม แต่พอนึกถึงแววตาที่ผิดหวังของนรินทร์ผมก็ทำไม่ได้”

   ชานนท์พยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากสิ่งที่ได้ฟัง นรินทร์เปรียบเสมือนตัวเขาในด้านของความหวาดกลัวและผิดหวัง ทุกครั้งที่รู้สึกแย่ปกรณ์มักจะได้พบกับนรินทร์ แต่เวลาที่รู้สึกยินดีหรือสมองเอนเอียงให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ปาณัฐซึ่งเป็นความคิดในด้านสนับสนุนจะปรากฏตัว

   “คุณช่วยเล่าให้ผมฟังอย่างละเอียดได้ไหมครับ ตอนที่เจอกับน้องปาณัฐ คุณเจอกันที่ไหนและพูดคุยอะไรกันบ้าง” แม้จะดูไม่เหมาะสมในคำถาม แต่มันก็ถือเป็นข้อมูลชั้นยอดหากผู้ป่วยยอมเล่าให้ฟัง

   “ได้ครับ”





   วันนั้น... ปกรณ์ไม่ได้ออกไปไหน เขาเอาแต่คิดทบทวนว่าควรจะพบจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลดีหรือไม่ และในระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น

   พอเห็นหน้าจอปรากฏเบอร์โทรศัพท์ของปาณัฐ เขาก็รีบรับสายทันที

   ปาณัฐนัดให้ปกรณ์ไปพบที่สวนสาธารณะแถวชานเมือง เนื่องจากที่นั่นไม่มีผู้คนพลุกพล่าน เหมาะแก่การนั่งพูดคุยยาวๆ

   “อีกสองวันพี่ก็ต้องไปหาหมอแล้วใช่ไหม” ปาณัฐไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาเข้าประเด็นทันที

   “อืม แต่พี่คงไม่ไป” ปกรณ์ก้มหน้าลง ไม่ยอมสบตากับผู้พูดเพราะกลัวอีกฝ่ายจะผิดหวัง

   “ทำไมล่ะครับพี่”

   “พี่คิดว่าพี่ไม่เป็นอะไรแล้ว” ปกรณ์ไม่กล้าที่จะเล่าเรื่องนรินทร์ให้กับปาณัฐฟัง เพราะหากพูดไปเด็กคนนี้อาจจะหมดความนับถือในตัวของเขา สายตาที่เคยชื่นชมอาจจะเปลี่ยนเป็นดูแคลนเพราะเขาดันไปเชื่อเพื่อนสนิทที่มีปัญหาครอบครัวเหมือนกัน

   “แต่ผมว่าพี่ดูไม่ค่อยโอเคเลยนะครับ” ปาณัฐขยับตัวไปนั่งอยู่ด้านหน้าของปกรณ์ เขาทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นแล้วแหงนหน้ามองอีกฝ่ายที่นั่งอยู่บนม้านั่ง “สายตาของพี่เต็มไปด้วยความกังวล พี่ไม่มีความสุขเหมือนกับทุกๆ ครั้งที่เจอผมเลยนะครับ”

   “ไม่ใช่นะ” ปกรณ์รีบปฏิเสธแล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ปาณัฐยังคงมองเขาอย่างชื่นชม ริมฝีปากของเขามักฉีกยิ้มเล็กๆ เสมอ  “เวลาที่พี่ได้อยู่กับเรา พี่รู้จักโล่งใจทุกครั้ง หัวสมองของพี่มันเบาหวิวไม่มีเรื่องอะไรให้คิด เพียงแต่ตอนนี้พี่แค่กังวล ใช่... พี่แค่กำลังกังวล”

   “ถ้าพี่กังวล พี่ก็ไปหาหมอนะครับ” พูดจบก็ยิ้มแป้นแล้น ปาณัฐคงคิดว่ารอยยิ้มจะเอาชนะจิตใจของอีกฝ่ายได้

   “คือ...” ปกรณ์อึกอัก เห็นดังนั้นปาณัฐจึงเอื้อมมือไปสัมผัสกับมือของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

   “นะครับพี่... ถ้าพี่เข้ารับการรักษา พี่จะได้ไม่ต้องเครียด จะได้หายคิดมาก อาการของพี่จะดีขึ้นเรื่อยๆ และผมก็ไม่สบายใจเลยที่เห็นพี่เป็นแบบนี้ ผมจะเป็นกำลังใจให้พี่นะครับ”

   “เอาไว้พี่จะลองคิดดู”

   “ดีมากครับ” ปาณัฐส่งยิ้มละมุนละไมให้อีกครั้งแล้วตบมือของปกรณ์เบาๆ ก่อนที่จะเขยิบขึ้นไปนั่งที่มานั่งด้วย

   “ว่าแต่เราเหอะ ตอนนี้ทำไรอยู่ ใกล้เรียนจบแล้วนี่นา”

   “ใช่ครับใกล้แล้ว ถ้าผมเรียนจบพี่ต้องมางานรับปริญญาผมนะครับ”

   “อย่าลืมแจ้งพี่ละกัน”

   “แหม... ผมมีพี่ชายคนเดียว ผมจะลืมได้ไงล่ะครับ” ปาณัฐทำเสียงออดอ้อนราวกับเด็กที่กำลังอ้อนผู้ใหญ่ เขาทิ้งศีรษะลงไปซบที่หัวไหล่ของปกรณ์ก่อนจะปล่อยร่างกายให้อยู่ในท่วงท่าที่สบายที่สุด “ผมชอบเวลาที่ได้อยู่กับพี่ตามลำพังแบบนี้จัง”

   “พี่เองก็ชอบ... ถ้าน้องชายของพี่น่ารักแบบปาณัฐก็คงจะดี”

   ปกรณ์จับมือของปาณัฐเอาไว้แน่น เขาพยายามส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่มีผ่านฝ่ามือข้างนั้น

   ตลอดเวลาที่ผ่านมา... เขาไม่เคยมีช่วงเวลาที่ดีกับน้องชายเลยสักครั้ง แม้จะเกิดมาจากต่างแม่แต่ปกรณ์ก็ไม่เคยนึกเกลียด กลับกัน... แม่เลี้ยงและน้องชายของเขาต่างหากที่เกลียดชังและหาวิธีกลั่นแกล้งเขาสารพัด จนเขากลายเป็นคนที่มีปัญหากับความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง

   “ผมเองก็เหมือนกัน... ถ้ามีพี่ชายแบบนี้ก็คงจะดี”

   สิ้นเสียง... ปาณัฐก็โน้มตัวเข้าไปกอดกับร่างของปกรณ์ เขาลดศีรษะลงไปให้แนบบริเวณอกของอีกฝ่าย จนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวเร็วมากกว่าปกติ
   
          ปกรณ์นั่งตัวแข็งทื่อในทีแรกที่โดนสัมผัส แต่พอตั้งสติได้เขาก็ค่อยๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบศีรษะของปาณัฐ เด็กหนุ่มคนนี้น่ารักขี้ประจบประแจง ไม่แปลกใช่ไหมถ้าเขาจะรู้สึก ‘รัก’ และเอ็นดู



---------

   
   สิ่งที่ปกรณ์เล่าให้ฟังนั้น ประเด็นสำคัญอาจไม่ใช่เรื่องการตัดสินใจว่าจะมาหรือไม่มาโรงพยาบาล แต่ความน่าหนักใจมันอยู่ตรงที่ เขากำลังมีความผูกพันกับบุคคลที่ไม่มีตัวตนมากยิ่งขึ้น จากที่แค่รู้สึกภูมิใจหรือมีความสุขที่ได้พบกัน นานวันเข้าความผูกพันที่มองไม่เห็นเหล่านั้นอาจจะแปรเปลี่ยนเป็นความรัก

   และหากเขารัก... กับสิ่งที่เขาจินตนาการขึ้นมา มันก็อาจจะทำให้การรักษายากยิ่งขึ้น เขาจะต้องทรมานและจบปวดมากแค่ไหน หากรู้ว่าคนที่เขาผูกพันด้วยนั้นไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ






จบตอน

---------------------------------

>> พูดคุยกันครับ  <<

♠DekDoy♠  :: เอาใจช่วยปกรณ์เหมือนกันครับ อย่าไปฟังไอ้นรินทร์มันมากนัก!!! ฟังน้องปาณัฐดีกว่า

♥lvl♀‘O’Deal2♥ :: 555+++ คุณชานนท์ต้องสู้ต่อไปครับ โน้มน้าวต่อไป


---------------------------------


Talk :: ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านนะครับ นิยายเรื่องนี้แนวค่อนข้างเครียด ทำใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนอ่านน้อยแน่ๆ
แต่ถ้ายังมีคนอ่าน ก็ยังมีกำลังใจแน่นอนครับ อยากแต่งนิยายโทนๆ นี้มานานแล้วครับ งุงิ สู้ๆ ให้กำลังตัวเองต่อไป

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
น่าเป็นห่วง
คุณนักจิตวิทยาก็พยายามเข้านะ

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 6


   “คุณชานนท์ครับ” เสียงของปกรณ์ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกสะดุ้งโหยง “คุณ... ร้อนเหรอครับ”

   ปกรณ์หยิบทิชชูในกระเป๋าออกมาซับเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาจนชุ่มใบหน้าให้กับชานนท์ ครั้งก่อนชานนท์เคยบอกว่ารู้สึกดีที่มีคนทำแบบนี้ให้ ปกรณ์จึงยินดีและอยากที่จะดูแลคุณนักจิตวิทยาคนนี้อีกครั้ง

   “ขอบคุณนะครับ” ชานนท์กล่าวหลังจากที่ปกรณ์ผละมือออกไป “ผมแค่ลองคิดในมุมของคุณว่าถ้าหากผมเป็นคุณ ผมจะทำยังไงดี ผลก็คือ... อย่างที่เห็นนั่นแหละครับ ผมเองก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้เหมือนกัน”

   “ใช่ไหมล่ะครับ” ปกรณ์เน้นเสียงอย่างถูกใจ ไม่ใช่แค่เขาที่ตัดสินใจไม่ได้ แม้แต่นักจิตวิทยาเองก็ยังไม่สามารถตัดสินใจได้เหมือนกัน

   “แต่ถ้าพูดกันตามตรง คุณก็ควรเข้ามารับการรักษานะครับ แม้ว่าเพื่อนอาจจะผิดหวังในตัวคุณ แต่เพื่อนยังไงก็คือเพื่อน สุดท้ายเขาก็จะต้องเข้าใจคุณแน่นอนครับ”

   ปกรณ์พยักหน้าเบาๆ ราวกับเข้าใจ เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะ แววตาของเขาฉายชัดว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

   ถึงอย่างไรคุณชานนท์ก็เป็นนักจิตวิทยา เขาควรที่จะเชื่อฟังถ้าอยากใช้ชีวิตเป็นปกติสุขเฉกเช่นคนอื่นๆ แต่ใจลึกๆ ของเขาก็กลัวว่านรินทร์จะผิดหวัง เพราะถึงอย่างไร นรินทร์ก็ถือได้ว่าเป็นเพื่อนที่เขารักและเข้าใจมากที่สุด

   “ถ้าผมเข้ารับการรักษา คุณชานนท์รับปากกับผมได้ไหมครับ ว่าคุณจะทำให้ผมหายดี และคุณจะต้องไม่โกหกผมเพื่อให้ผมไว้ใจคุณ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม”

   “ได้ครับ” ชานนท์รับปากในทันทีแม้รู้ว่าหลังจากนี้จะต้องเจอกับอะไร ปกรณ์อาจจะต้องผิดหวังในหลายๆ เรื่อง เขาอาจจะโดนเกลียดขณะที่ปกรณ์เข้ารับการรักษา แต่นั่นก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะช่วยเขา

   “ส่วนนรินทร์ เขาจะเข้าใจใช่ไหมครับ ในสิ่งที่ผมตัดสินใจ” แววตาของคนถามแสดงออกถึงความกลัดกลุ่มอย่างชัดเจน นั่นหมายความว่านรินทร์มีอิทธิพลต่อความคิดและความรู้สึกของเขา

   “เขาจะต้องเข้าใจครับ” มันเป็นตอบรับที่ขัดกับความรู้สึกเหลือเกิน ชานนท์อยากจะพูดความจริงให้ปกรณ์รับทราบเสียตั้งแต่ตอนนี้ ว่านรินทร์นั้นไม่มีตัวตน แต่ก็ทำไม่ได้ เรื่องแบบนี้ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา ถ้าทำแบบหุนหันพลันแล่น ผู้ป่วยอาจจะมีอาการต่อต้านทำให้การรักษายากขึ้นไปอีก

   “ผมจะเชื่อคุณนะครับ”

   ชานนท์พยักหน้าเป็นคำตอบ เขาภาวนาให้อีกฝ่ายเลิกย้ำเรื่องนี้เสียทีเพราะไม่อยากรู้สึกผิดแย่ไปมากกว่านี้... หากเป็นผู้ป่วยคนอื่นเขาคงเข้าใจและทำตามหน้าที่ได้อย่างสบายไร้ความกังวล แต่กับปกรณ์ไม่ใช่ ชานนท์เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป

   ความรู้สึกเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ... จริงอยู่ว่าการเจอกันครั้งแรก เขามองปกรณ์เป็นเพียงผู้ป่วยคนหนึ่งเท่านั้น แต่หลักจากที่ได้รับฟังและวิเคราะห์อาการ ความสงสารก็เกิดขึ้น

   ใช่แล้ว... เขาอาจจะแค่สงสาร เห็นใจ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องผ่านกับความทรมานทางด้านร่างกายหรือจิตใจมามากขนาดไหน จึงทำให้เขาสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาเพื่อปกป้องความอ่อนแอของตนเอง โลกที่มีเขากับปาณัฐและนรินทร์เพียงเท่านั้น

   ชานนท์หันไปมองปกรณ์อย่างพินิจพิจารณาอีกครั้ง เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็งจนอีกฝ่ายต้องเบือนหน้าหนีเพราะรู้สึกถึงความกดดันประหลาดๆ

   “คุณมองอะไร” ถ้าเป็นคนอื่นปกรณ์คงลุกขึ้นแล้วเดินหนีไปแล้ว

   “ผมว่า... ถ้าคุณตัดผมออกสักนิด คุณจะดูน่ารักขึ้นเยอะเลยนะครับ” ชานนท์พูดตามความคิด เขาเลือกที่จะเก็บความสงสัยบางอย่างไว้ในใจต่อไป

   “ไม่เอาหรอกครับ ตัดผมให้สั้นลง น่าอายจะตายไป” ปกรณ์ปฏิเสธ

   “คุณอายอะไรงั้นเหรอครับ”

   “ไม่รู้สิครับ ผมชอบให้เส้นผมปิดๆ หน้ามากกว่า รู้สึกเหมือนตัวเองปลอดภัยจากสายตาผู้คนดี”

   “คุณคิดไปเองนะครับ การที่ผมปิดหน้ามันไม่ได้ทำให้คุณปลอดภัยจากสายตาใครหรอก กลับกันคนอื่นอาจจะยิ่งมองคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ไปตัดผมกันดีกว่านะครับ เชื่อผมเถอะนะครับว่ามันจะทำให้คุณดูน่ารักขึ้นอีกหลายเท่าตัวเชียวล่ะ”

   “แต่ผมไม่อยากเข้าร้านตัดผม” ปกรณ์ยังคงปฏิเสธต่อไป

   “เดี๋ยวผมจัดการให้เองครับ” ชานนท์ยิ้มกริ่มก่อนจะลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วลากปกรณ์ให้เดินตาม แม้ปกรณ์จะอิดออดอยู่บ้าง แต่เขาก็พยายามสาวเท้าตามโดยไม่ขัดขืน

   ‘คุณเปิดใจให้ผมจริงๆ แล้วสินะครับ’ ชานนท์คิดก่อนที่จะลอบยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ





   ภายในห้องนอนห้องหนึ่ง ร่างหนึ่งกำลังจ้องมองภาพสะท้อนของตนเองในกระจกอย่างพิจารณา เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อได้เห็นทรงผมใหม่ เส้นผมด้านหน้าและจอนที่เคยปกปิดใบหน้าถูกตัดออกจนเกลี้ยงเกลา ส่วนด้านหลังถูกซอยให้สั้นลงจนดูเป็นทรงที่สวมงาม

   แม้จะรู้สึกแปลกๆ ในทีแรกแต่พอมองไปนานๆ กลับรู้สึกถูกใจขึ้นมาดื้อๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาฉายชัดถึงความหล่อเหลาเมื่อเส้นผมที่ยาวปกปิดก่อนหน้านี้ถูกตัดออก

   “ชอบใช่ไหมล่ะครับ” เป็นเสียงของชานนท์ที่ดังขึ้น

   “ก็ดีครับ” ปกรณ์ตอบอย่างวางฟอร์ม

   “บอกแล้วไงว่าคุณน่ะ น่ารัก” ชานนท์อดที่จะชมไม่ได้

   “ไม่หรอกครับ” ปกรณ์แย้งพลางหลบสายตาเล็กน้อยเพราะรู้สึกเขินกับคำชม “แต่คุณชอบชมผมจังเลยนะครับ การชมผมบ่อยๆ เนี่ย นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาใช่ไหมครับ คุณคงอยากทำให้ผมรู้สึกภูมิใจสินะครับ”

   “จะว่าใช่ก็ไม่ผิดนะครับ” ชานนท์ตอบออกมาตามความจริงก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วมองร่างนั้นผ่านบานกระจกด้วยสายตาแพรวพราว “แต่สำหรับผม คุณน่ารักจริงๆ นะครับ”

   ปกรณ์หลุดขำออกมา เขาจำไม่ได้เลยว่าตัวเองหัวเราะครั้งสุดท้ายเมื่อไรกัน แต่ในยามนี้ท่าทีที่แสดงออกของชานนท์ดูราวกับชายเจ้าชู้ที่กำลังโปรยเสน่ห์ใส่หญิงสาวที่น่ารักอย่างไรอย่างนั้น ...แต่เขาไม่ใช่หญิงสาวนะ...

   “ถ้าผมเป็นผู้หญิงผมคงตกหลุมรักคุณไปแล้วนะครับเนี่ย ชมอยู่ได้ ชมจนผมรู้สึกเขินจริงๆ แล้วนะครับ”

   “ก็ดีสิครับ” ชานนท์หลุดปาก

   “หือ... อะไรนะครับ”

   “อ้อ... ผมบอกว่าก็คุณน่ารักจริงๆ ครับ ก็แค่พูดไปตามที่เห็น”

   “ยัง... ยังไม่จบอีก” ปกรณ์เฉไฉแกล้งเดินไปเดินมาดูนั่นดูนี่ภายในห้องนอนเพื่อกลบอาการเขิน

   ชานนท์พักอยู่ในคอนโดซึ่งอยู่ไม่ไกลขากโรงพยาบาลมากนัก เขาพักอยู่ชั้น 15 ซึ่งเป็นชั้นที่สูงที่สุดของคอนโดแห่งนี้ เมื่อมองลอดหน้าต่าง จะเห็นวิวทิวทัศน์เบื้องล่างได้ค่อนข้างชัดเจน พอพระอาทิตย์ตกดิน ถนนหนทางและบ้านช่วงจะสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจนดูสวยงาม

   “คุณอยู่ที่นี่มานานหรือยังครับ วิวสวยนะครับนะเนี่ย ผมชอบวิวข้างล่างนี่จัง” ปกรณ์เอ่ยขึ้นขณะที่สายตากำลังมองทะลุผ่านกระจกใส

   “เพิ่งย้ายมายังไม่ถึงปีครับ เมื่อก่อนก็อยู่หอพักธรรมดาๆ แต่พอทำงานมาได้สักพัก เริ่มมีเงินเก็บ ก็เลยคิดว่าผ่อนคอนโดดีกว่า อยู่หอพักมันก็ต้องเสียค่าเช่าอยู่ดีน่ะครับ” ชานนท์อธิบาย

   “คุณชานนท์นี่เก่งจังเลยนะครับ ทำงาน เก็บเงิน มีคอนโดเป็นของตัวเอง แถมยัง...” ปกรณ์เว้นจังหวะก่อนจะหันหน้าไปสบตากับอีกฝ่าย “ใจดีอีกด้วย”

   ถ้าจำไม่ผิด... ชานนท์คิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ปกรณ์ยอมสบตากับเขาตรงๆ ขณะพูด ปกติเวลาพูดเขาจะไม่สบตา ใกล้เคียงที่สุดก็อาจจะมองต้นคอ หรือใบหูเพื่อให้คู่สนทนารู้ว่ากำลังคุยอยู่ด้วย

   แม้จะเพียงแว้บเดียวเท่านั้น แต่มันก็ทำให้ชานนท์รู้สึกพอใจกับท่าทีที่เกิดขึ้น นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายกำลังเปิดใจยอมรับเขามากขึ้นเรื่อยๆ

   “ถ้าผมไม่ใจดี คนไข้ก็ขวัญหนีดีฝ่อหมดสิครับ”

   “พูดงี้หมายความว่า ถ้าผมไม่ใช่คนไข้ คุณก็จะไม่ใจดีแบบนี้สินะครับ ว้า... เสียใจจัง ผมก็แค่คนไข้สินะครับ” ปกรณ์แกล้งพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

   “ไม่ใช่นะครับ” ชานนท์รีบปฏิเสธทันที “ผมไม่ได้มองคุณเป็นแค่คนไข้นะครับ เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะครับ”

   “เพื่อนสินะครับ...” ปกรณ์ทวนคำก่อนจะหันหน้าหนีแล้วพูดพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “แค่เพื่อนสินะ”

   “ว่าไงนะครับ” ชานนท์ได้ยินไม่ถนัด

   “อ้อ... เปล่าครับ ไม่มีอะไร” อีกฝ่ายรีบหันมาปฏิเสธด้วยหน้าตาตื่นตระหนก จนชานนท์ต้องหลุดขำให้กับท่าทีที่น่ารัก

   “ทำไมต้องตกใจขนาดนี้เนี่ย แอบนินทาผมอยู่อ่ะดิ” ชานนท์พูดเล่น

   “เปล่านะครับ” ปกรณ์ยกมือขึ้นระดับอกแล้วโบกไปมาเพื่อเป็นการย้ำคำตอบว่าไม่ได้นินทาจริงๆ จนอีกฝ่ายต้องหลุดขำออกมาอีกครั้ง

   “คุณนี่น่ารักจริงๆ นะครับ ดูทำท่าทำทางเข้าสิ ทำแบบนี้บ่อยๆ เล่นเอาผมหวั่นไหวได้เหมือนกันนะเนี่ย”

   สิ้นเสียงของชานนท์ ปกรณ์ก็หยุดทำท่าทางนั่นทันทีแล้วยืนนิ่งที่สุดเท่าที่จะนิ่งได้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับพิรุธอะไรได้ แต่ปกรณ์จะรู้ไหมว่าการทำแบบนี้มันยิ่งทำให้อีกฝ่ายชอบใจและเอ็นดูมากขึ้นไปอีก

   “คุณทำอะไรน่ะครับ”

   “ผมอยู่นิ่งๆ ไงครับ คุณจะได้ไม่ต้องหวั่นไหวอีก”

   “คุณนี่...” ชานนท์เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วยกแขนขึ้นก่อนจะล็อกคอเอาไว้แล้วออกแรงกดให้ร่างนั้นนั่งกับโซฟาใกล้ๆ “ผมหวั่นไหวจริงๆ แล้วนะเนี่ย”

   น้ำเสียงของคนอ่อนโยนและใจดีนั้นส่งผลให้ปกรณ์รู้สึกเช่นเดียวกัน ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นทำให้ปกรณ์รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นรัวมากกว่าปกติ

   “คุณพูดอะไรเนี่ย ผมกับคุณเป็นผู้ชายนะครับ คุณจะหวั่นไหวได้ยังไงกัน” คนพูดเบือนหน้าไปอีกทางทำให้ศีรษะของเขาที่กำลังโดนล็อกคออยู่นั้นหันไปแนบอิงอยู่ใต้คางของอีกฝ่ายอย่างพอดิบพอดี

   “ได้สิครับ” เสียงนั้นลอดผ่านหัวคนฟังไป “ตามหลักจิตวิทยา เรื่องของความรักและความรู้สึกนั้นมันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวนะครับ เพราะฉะนั้นผมจะหวั่นไหวกับคุณก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

   ปกรณ์นั่งตัวเกร็งอยู่ชั่วขณะ พอเรียกสติของตัวเองกลับมาได้ก็พยายามดิ้นให้ร่างตัวเองหลุดออกมา

   “อื้ม... ก็ไม่แปลก แต่มันก็ไม่ชิน”

   “ไม่ชินที่ผมอยู่ใกล้ๆ เหรอครับ” ชานนท์แกล้งถามก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่ายแล้วส่งเสียงกระซิบออกมา “ทีคืนนั้นคุณนอนกอดผมแน่นเลยนะครับ”

   “ก็ผมป่วย” ปกรณ์รีบแย้งทันที เขารู้ว่าชานนท์หมายถึงเรื่องอะไร “ความคิดผมบางทีมันไม่เหมือนคนปกติ คุณก็อย่าเอาเรื่องน่าอายๆ มาพูดให้ผมรู้สึกอายสิครับ”

   “คุณ... ผมขอโทษ ผมไม่ได้หมายถึงอย่างงั้น” ชานนท์หน้าเสียเล็กน้อยเพราะกลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิด

   “คนอย่างผมน่ะ จะมีใครมาหวั่นไหว รู้สึกดีหรือว่ารู้สึกรักได้จริงๆ น่ะเหรอครับ” น้ำเสียงของปกรณ์แผ่วลง ไม่ใช่ว่าเขาไปชอบกับการกระทำของชานนท์หรอกนะ แต่เขาแค่กลัว... กลัวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของอีกฝ่าเท่านั้น

   ขนาดคนในครอบครัวยังเกลียดชัง แล้วคนที่เพิ่งรู้จักกันจะมารู้สึกอย่างนั้นกับเขาได้อย่างไร แล้วถ้าวันหนึ่งความเครียดมันปะทุขึ้นมา ทำให้เขาแสดงอาการที่น่าอายหรือน่ารังเกียจออกมาให้ชานนท์เห็น ชานนท์จะยังรู้สึกแบบนี้อยู่ไหม

   “ผมมันก็แค่คนป่วยทางจิต ที่คุณต้องดูแลรักษา คุณอย่ามาทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวกับคุณจะดีกว่านะครับ”

   “แต่ว่าคุณ...” ยังไม่ทันที่ชานนท์พูดจบ ปกรณ์ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

   “ถ้าวันหนึ่งผมเกิดรู้สึกดีกับคุณขึ้นมา จนผมขาดคุณไม่ได้ แล้วคุณมาทำให้ผมเสียใจทีหลัง ผมไม่รู้ว่าผมจะรับมือกับความรู้สึกเหล่านั้นได้ไหม” ปกรณ์พูดโดยที่ไม่มองหน้า “เพราะฉะนั้นอย่าให้ทุกอย่างมันเกินเลยไปมากกว่านี้จะดีกว่านะครับ พรุ่งนี้ผมจะไปที่โรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา ส่วนวันนี้ขอบคุณมากๆ นะครับ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

   พูดจบปกรณ์ก็หยิบกระเป๋ากล้องถ่ายรูปแล้วเดินออกจากห้องทันที ไม่ใช่แค่ชานนท์หรอกที่หวั่นไหว ปกรณ์เองก็หวั่นไหวเช่นกัน ความรู้สึกนี้อาจจะเกิดขึ้นก่อนอีกฝ่ายด้วยซ้ำ เพียงแต่เขาไม่มั่นใจ เขากลัว... กลัวการผิดหวัง

   “คุณปกรณ์รอก่อน มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ” ชานนท์พยายามจะอธิบายแล้วเดินตามไป แต่อีกฝ่ายก็ไม่หยุดฟัง ถึงกระนั้นเขาก็ยังต้องเดินตามไป เพราะการจะออกจากคอนโดได้นั้นจำเป็นต้องมีคีย์การ์ดเพื่อลงลิฟต์และเปิดประตูทางออก

   “เดี๋ยวผมไปส่งนะครับ”  ชานนท์เอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อเข้าไปในลิฟต์ ก่อนจะกดลงไปที่ชั้น G

   ลิฟต์เลื่อนลงไปข้างล่างอย่างเงียบๆ ชานนท์มีอะไรอยากจะอธิบายตั้งมากมาย แต่พอพยายามมองสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมา

   ปกรณ์ดูนิ่ง... นิ่งจนนักจิตวิทยาอย่างชานนท์ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ากำลังคิดอะไรกันแน่

   หลังจากที่ลิฟต์เปิดออก ชานนท์ก็เดินไปส่งปกรณ์ที่หน้าประตู เขามองดูร่างนั้นค่อยๆ เดินจากไปอย่างเงียบๆ จนเกือบจะลับสายตา และในขณะนั้นเอง ปกรณ์ได้หันกลับมามองด้านหลัง ส่งสายตามองนิ่งๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง สักพักก็ก้มหน้าลงแล้วเดินคอตกกลับไป

   ชานนท์กระวนกระวายใจ จึงตัดสินใจเลือกที่จะสะกดรอยตามไปห่างๆ เพื่อดูให้เห็นกับตาว่าปกรณ์นั้นได้กลับไปถึงบ้านของตัวเองอย่างปลอดภัยหรือไม่



จบตอน

.............................................

>> พูดคุยกันครับ  <<

sirin_chadada :: คุณนักจิตวิทยากำลังพยายามเต็มที่เลยครับ ฮ่าๆ เป็นกำลังใจให้คุณชานนท์ด้วยนะครับ

-------------------------------------

Talk :  เงียบเหงาจริงๆ 555++ ไม่เป็นไรๆ ยังดีใจที่มีคนอ่านอยู่นะครับ .... ขอเปลี่ยนชื่อเรื่องนิดหน่อยนะครับ เป็น จิตวิทยาใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-06-2017 17:15:54 โดย Mr.กุ๊กกู๋ »

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 ปกรณ์ดูเปิดใจมากขึ้นแล้วว

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 7

          แสงไฟสลัวๆ ที่สาดส่องลงมาจากปากซอยในหมู่บ้าน เผยให้เห็นเงาตะคุ่มของร่างๆ หนึ่ง ปกรณ์เดินเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นร่างนั้นชัดเจนขึ้น เขาก็รีบเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะเข้าไปหา

   “นรินทร์” เขาเอ่ยชื่อของร่างนั้น อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับมาหากแต่แววตาของเขานั้นฉายชัดถึงความเสียใจเหมือนกำลังผิดหวังอะไรบางอย่าง หรือนรินทร์จะรู้ว่า... เขาแอบไปพบกับนักจิตวิทยามา

   พอคิดดังนั้น ปกรณ์ก็ประหม่าเล็กน้อย แววตาเริ่มแสดงถึงความกลัดกลุ้มขึ้นมาบ้าง

   “คนโกหก”

   เสียงทุ้มต่ำที่เล็ดลอดไรฟันออกมาเบาๆ ยิ่งตอกย้ำความจริงที่ปกรณ์ได้ทำลงไปกับเขา

   ปกรณ์รับปากกับนรินทร์เอาไว้แล้วว่าจะไม่ไปที่โรงพยาบาลอีก... แต่ท้ายที่สุด เขาก็ผิดคำพูด

   “เราขอโทษ” ปกรณ์ก้มหน้าอย่างสำนัก

   “ไม่มีใครจริงใจกับเราสักคน... ไม่มีใครรักเราแล้วสินะ...” แววตาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้านั้นส่งผลให้ปกรณ์รู้สึกเจ็บปวดไปด้วยอย่างน่าประหลาด นี่มันความรู้สึกอะไรกันแน่ ปกรณ์แค่เสียใจที่โดนต่อว่า แต่ทำไมเขากลับรู้สึกว่าเข้าใจถึงความรู้สึกของนรินทร์ทุกประการราวกับว่าเขาเป็นนรินทร์เสียเอง

   “เราไม่เหลือใคร... นอกจากนายนะ... ปกรณ์” นรินทร์ขยับเท้าเข้ามาใกล้ๆ กับปกรณ์ด้วยความยากลำบาก ก่อนจะทิ้งใบหน้าลงไปที่หัวไหล่ของปกรณ์

   “นายเป็นอะไรกันแน่” ปกรณ์เอ่ยถาม มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบหลังอีกฝ่ายเพื่อเป็นการปลอบประโลม การที่นรินทร์บอกว่าตัวเองไม่เหลือใครอีกแล้วนอกจากปกรณ์นั้น ทำให้เขาเข้าใจว่านรินทร์ไม่ได้เสียใจเรื่องของเขา และยังจับไม่ได้ว่าเขาได้แอบไปโรงพยาบาล

   “นายจำได้ใช่ไหมที่เราเคยฟังว่าตอนเป็นเด็กพ่อชอบบอกว่ารักเรา... แต่สุดท้ายความรักที่พ่อมีให้มันก็แค่รักที่สนองความใคร่อยากของตัวเองเท่านั้น”

   “อืม... จำได้ อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย” ปกรณ์เริ่มใช้มือโอบอีกฝ่ายไว้แน่นขึ้น เขารับรู้ความรู้สึกนั้นดีว่ามันเจ็บปวดทรมานแค่ไหน แต่ปกรณ์ยังโชคดีตรงที่ว่าพ่อไม่เคยทำกับเขาแบบนั้น

   “ส่วนแม่ก็มีสามีใหม่ เราเคยบอกนายใช่ไหมว่าเขาดีกับเรามาก แม้จะไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ทุกครั้งที่ไปหาแม่ เขาก็จะเตรียมของอร่อยๆ ให้กิน พาเราไปเที่ยว หลายครั้งที่ทำให้เราสนุกจนลืมนึกถึงความเจ็บปวดเมื่อตอนที่อยู่กับพ่อ จนเราคิดว่าเรารักเขามากกว่าพ่อแท้ๆ เสียอีก”

   “อืม... นายเคยเล่าให้ฟัง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่”

   นรินทร์ผละร่างออกจากปกรณ์แล้วหันซ้าย หันขวา ปกรณ์มองตามเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ละแวกนี้ นรินทร์จึงเดินนำไปยังหน้าปากซอยแล้วนั่งลงใกล้ๆ กับจุดรอรถโดยสารประจำทาง

   ทางด้านของชานนท์ที่ซุ่มมองอยู่รีบวิ่งออกไปหลบที่หลังพุ่มไม้เล็กๆ เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะเกือบจะโดนปกรณ์จับได้เสียแล้ว ท่าทีแปลกๆ ของปกรณ์ทำให้ชานนท์รับรู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้เขากำลังพูดคุยอยู่กับใครที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ และถ้าเดาไม่ผิด คนๆ นั้นจะต้องเป็น ‘นรินทร์’ แน่นอน

   “พ่อเลี้ยงของเราบอกให้เราไปหาที่บ้าน เขาพาเราไปเที่ยว แต่พอกลับมาที่ห้องเขาก็ทำตัวประหลาดๆ พยายามใกล้ชิดกับเรา กอดเรา แล้วบอกว่า... หวั่นไหวกับเรา”

   “เฮ้ย... แต่นั่นมันสามีใหม่ของแม่นะ” ปกรณ์ตกใจเป็นอย่างยิ่งกับสิ่งที่ได้ยิน มิหนำซ้าพ่อเลี้ยงกับนรินทร์ยังเป็นผู้ชายเหมืนกันอีกด้วย

   “เราก็บอกเขาไปแบบนั้น แต่เขาก็บอกว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เขาพยายามพูดให้เราคล้อยตามจนเรา...” นรินทร์ก้มหน้ายังสำนึกก่อนจะเอ่ยคำพูดถัดไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ใจอ่อน”

   “นรินทร์!!!”

   “อืม... เรามันเลว เรารู้ เราก็เลยต้องมาชดใช้กรรมอยู่นี่ไง เราจะเล่าต่อเลยนะ”

   “...”

   “พอเราใจอ่อน เขาก็เริ่มมานัวเนียกับเรา กอดเรา หอมแก้มเรา เขาทำให้เรารู้สึกอบอุ่น มันเป็นสิ่งที่เราเฝ้าถวิลหามาตลอดเพราะพ่อแท้ๆ ไม่เคยทำแบบนี้กับเรา พอร่างกายของเรามีปฏิกิริยาโต้ตอบ เขาก็กดเราลงกับพื้น แล้วจู่โจมเราด้วยริมฝีปากอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งถึงฉากอัศจรรย์...”

   นรินทร์หยุดพูด ปกรณ์พยายามนึกภาพตาม เหงื่อของเขาชุ่มขึ้นมาบนใบหน้า อยู่ดีๆ ก็รู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนรินทร์ ดูคล้ายกับอารมณ์ที่เขาพยามเก็บกั้นมันเอาไว้ในใจเมื่อตอนที่อยู่กับชานนท์

   “แม่เราเห็นฉากนั้นพอดี แล้วไอ้พ่อเลี้ยงที่บอกว่ารักเรา หวั่นไหวกับเรากลับโยนความผิดให้เราทั้งหมด มันแกล้งทำเป็นคนเมาแล้วบอกว่าเราเป็นฝ่ายยั่วยวน และยังบอกอีกว่าเขานึกว่าเราคือแม่ เราตกใจจนพูดอะไรไม่ออก หัวสมองตอนนั้นคิดอะไรไม่ทัน พอเห็นแววตาของแม่ที่ผิดหวังก็เสียใจทั้งหวาดกลัว...”

   ปกรณ์กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เขาจินตนาการไปก่อนแล้วว่าฉากต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น และมันก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ

   “แม่เราตบตีเรา ไล่ตะเพิดเรา แต่เราไม่โกรธแม่นะ เราเข้าใจว่าเรามากกว่าที่เป็นฝ่ายสมควรโดนโกรธ แต่ที่เราผิดหวังสุดๆ เพราะไอ้คนที่บอกว่าหวั่นไว้กับเรา รักเราอย่างนั้นอย่างนี้กลับไม่ปกป้องเราสักนิด แถมยังช่วยแม่ทำร้ายเราอีกต่างหาก มันก็แค่ไอ้คนโกหก หลอกให้เราตายใจเพื่อที่จะสนองความใคร่ของตัวเองก็แค่นั้น เราไม่น่าหลงเชื่อมันเลย”

   น้ำตาของนรินทร์พลั่งพลูลงมาเป็นสายขณะเล่า

   “ไม่เป็นไรนรินทร์ ไม่เป็นไร เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว อย่าพยายามไปนึกถึงมันอีก” ปกรณ์พยายามสรรหาคำพูดดีๆ มาปลอบใจ นรินทร์สะอึกสะอื้นไห้อยู่นานสองนาน ปกรณ์กุมมือของนรินทร์เอาไว้แน่นจนเขาสงบลง

   “อย่างน้อยเราก็ยังโชคดีที่มีนายอยู่ข้างๆ” นรินทร์กุมมือตอบ “นายเองก็เหมือนกันนะ อย่าไปไว้ใจใครง่ายๆ โลกนี้มันก็มีแต่คนหลอกลวง ไม่มีใครมาทำดีกับเราโดยไม่หวังอะไรตอบแทนหรอก อย่างน้อยมันก็ต้องหวังจะได้เราทั้งนั้น”

   ปกรณ์คิดตามแล้วพยายามหาเหตุผลมาปฏิเสธเรื่องนี้ แต่เขาก็เถียงไม่ออก เพราะไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่าคนที่เข้ามาตีสนิทจะจริงใจกับเขาหรือไม่ เรื่องระหว่างเขากับชานนท์ก็เช่นกัน

   แม้ชานนท์ดูเป็นคนใจดี สุภาพ อ่อนโยน แต่ความสัมพันธ์ที่เพิ่งรู้จักกันมันก็รวดเร็วเกินไป รวดเร็วจนปกรณ์ชักไม่แน่ใจแล้วว่าชานนท์จะเป็นคนปลิ้นปล้อนเช่นเดียวกับพ่อเลี้ยงของนรินทร์หรือไม่

   “นายต้องใจแข็งเมื่อเริ่มรู้สึกว่าสนิทกับใคร ต้องสร้างกำแพงให้หนาและสูงขึ้นเมื่อรู้สึกว่ามีใครกำลังพยายามจะทำลายมันลงมา นายต้องเชื่อเรานะปกรณ์”

   “ถ้าเราเริ่มใจอ่อนกับใครสักคน นั่นหมายความว่า เราอาจจะต้องตกเป็นแค่เครื่องมือที่ใช้สนองกิเลศตัณหาความบ้าใคร่ของเขา”

   “ใช่... นายต้องใจแข็ง มีแค่เราคนเดียวเท่านั้นที่จริงใจและหวังดีกับนาย อย่าไปฟังคำพูดหวานๆ แล้วโอนอ่อนตามเด็ดขาด” นรินทร์ย้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

   “เราจะใจแข็ง เราจะไม่หวั่นไหวกับใคร” คำพูดของปกรณ์ส่งผลให้อีกฝ่ายยิ้มออกมา

   “ดีมาก เราต้องขอโทษที่มารบกวน ถ้าอย่างนั้นนายกลับไปพักผ่อนเถอะ เราเองก็จะกลับไปพักผ่อนแล้วเหมือนกัน”

   “อืม...” ปกรณ์พยักหน้า “นายไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”

   “เราโอเคแล้ว” นรินทร์ตอบกลับก่อนที่จะเดินจากไป เพียงครู่เดียวเท่านั้น ร่างของเขาก็หายวับไปกับความมืดมิดโดยที่ปกรณ์ไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่าเขาหายไปได้อย่างไร เพราะตอนนี้เขาเอาแต่นึกถึงเรื่องของตัวเอง

   ปกรณ์มักมีความคิดที่ตอกย้ำอยู่ในหัวสมองว่าตนเป็นคนต่ำต้อย ไร้ค่า ไม่มีใครอยากจะคบหาด้วยหรอก ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ มีคนที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบอยู่บนโลกใบนี้อีกต่างมากมาย ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ใครสักคนจะมารู้สึกพิเศษกับเขา ...ชานนท์เองก็เช่นกัน

   ชานนท์เป็นถึงนักจิตวิทยา มีหน้าที่การงานที่มั่นคง เขาทั้งสุภาพ อ่อนโยน และจัดได้ว่าหน้าตาดี อาจจะไม่ใช่พิมพ์นิยมแบบดาราเกาหลีหรือแนวลูกทุ่งหล่อล่ำ แต่เขาก็มีเสน่ห์ในแบบของเขา ชวนให้ค้นหา หลงใหล ถ้าใครก็ตามมีโอกาสได้พูดคุยด้วย คงจะหลงรักในเสน่ห์ของเขาได้ไม่ยาก ...เช่นเดียวกับปกรณ์

   เพราะฉะนั้น เพื่อปกป้องความรู้สึกของตัวเองไม่ให้เกินเลยไปมากกว่านี้ ปกรณ์คิดดีแล้วว่าเขาจะต้องสร้างกำแพงขึ้นมา เพื่อกั้นระยะห่างของความรู้สึกเอาไว้ เขากลัว... กลัวว่าวันหนึ่งที่ได้มอบความไว้ใจให้ไปจนหมดสิ้นแล้วถูกหักหลังขึ้นมา เขาจะไม่อาจควบคุมสติของตัวเองได้ จนเผลอทำอะไรโง่ๆ ออกไป





   วันรุ่งขึ้น... ปกรณ์ไม่ปฏิเสธที่จะไปเข้ารับการรักษาตามที่ได้รับปากกับชานนท์เอาไว้ หากแต่ทุกอย่างไม่ได้ไปเป็นตามที่ชานนท์คาดคิด

   “คุณชานนท์คะ หมอเกื้อเรียกพบคุณที่ห้องค่ะ” พยาบาลสาวได้เดินเข้ามาแจ้งข่าวที่ห้องทำงานของชานนท์

   “ครับ” ชานนท์ตอบรับทันทีก่อนที่พยาบาลสาวจะเดินออกจากห้องไป

   ชายหนุ่มรีบกุลีกุจอไปหาหมอจิตแพทย์... หมอเกื้อเป็นหมอหนุ่มไฟแรง อายุเพียงแค่ 35 ปีเท่านั้น แต่ผลงานการรักษาของเขาที่ผ่านมากลับได้รับการยอมรับมากกว่าหมอรุ่นพี่หลายๆ คนเสียอีก ทุกคนในโรงพยาบาลล้วนยอมรับในความสามารถของเขา

   บุคลิกลักษณะภายนอกของหมอเกื้อ คนทั่วไปที่พบเห็นมักจะมองว่าหมอเป็นคนสุขุม เยือกเย็น ใบหน้านิ่ง แต่นั่นเป็นการแสดงเพราะต้องการให้คนทั่วไปเชื่อถือในภาพลักษณ์ของจิตแพทย์เท่านั้น แต่ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตส่วนตัวของหมอเกื้อก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่น มีอารมณ์ ความรู้สึกเยี่ยงมนุษย์ปกติ บางทีออกจะเป็นคนตลกนิดๆ เสียด้วยซ้ำ เวลาเครียดๆ ก็มีเพียงหมอเกื้อนี่แหละที่มักจะสรรหามุกแป้กๆ มาคลายเครียดให้กับเหล่าพยาบาลและนักจิตวิทยารู้สึกดี

   “ผมมีข่าวจำเป็นที่จะต้องแจ้ง และสอบถามคุณนะครับ เชิญนั่งก่อนสิครับ” หมอเกื้อเอ่ยขึ้นเมื่อชานนท์เดินเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว

   “ครับ” ชานนท์เครียดเล็กน้อย การเรียกมาพบในเวลางานแบบนี้ ย่อมต้องเกี่ยวกับเรื่องงานแน่นอน เขาไม่มั่นใจว่าการทำงานของเขาผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า

   “วันนี้มีผู้ป่วยรายหนึ่งได้มาเข้ารับการรักษาที่นี่และมาพบกับผมโดยตรง เขาเป็นผู้ป่วยที่คุณคอยให้คำปรึกษาน่ะครับ” หมอเกื้อเริ่มเกริ่น ส่วนคนฟังยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีกเพราะไม่ผิดจากที่คิดสักนิดว่าจะต้องเป็นเรื่องงาน

   “ครับ”

   “เขามาคุยกับผม มาขอให้ผมเปลี่ยนตัวนักจิตวิทยาที่คอยดูแล ซึ่งโดยปกติเราจะไม่อนุญาตนะครับ หากเหตุผลของการขอเปลี่ยนไม่มีน้ำหนักมากพอ เพราะขณะเข้ารับการรักษา บางทีนักจิตวิทยาอาจต้องใจร้ายกับผู้ป่วยบ้าง จนทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกลัวกดดัน แต่ก็ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจากนักจิตวิทยาและจิตแพทย์คนเดิมเท่านั้น เพราะมันจะทำให้การรักษาต่อเนื่องมากกว่า”

   “ครับ” ใช่ว่าชานนท์ไม่เคยประสบกับสถานการณ์ แต่ขอก็รู้สึกแย่นิดๆ ทุกครั้ง มันเหมือนกับว่าผู้ป่วยไม่เข้าใจในความหวังดีของนักจิตวิทยา

   “แต่ในครั้งนี้ ผมมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนผู้ดูแลนะครับ” หมอเกื้อขมวดคิ้วเล็กน้อย

   “ใครครับ” ชานนท์พยายามนึกถึงผู้ป่วยรายอื่นๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าใคร เพราะผู้ป่วยมีหลายคน หลายประเภท อารมณ์ไม่มั่นคง บางทีคนที่คิดว่าใช่อาจไม่ใช่ คนที่คิดว่าไม่ใช่อาจใช่ขึ้นมาก็เป็นได้

   “คุณปกรณ์น่ะครับ”

   แววตาแห่งความประหลาดใจฉายชัดออกมาทันทีที่ได้ยินคำตอบ แต่ชานนท์ก็พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกตกใจและผิดหวังเอาไว้ไม่ให้มันแสดงออกมาบนใบหน้า

   ปกรณ์มีเหตุผลอะไรที่ต้องขอเปลี่ยนตัว หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน... จะทำให้คุณปกรณ์หวาดระแวงในตัวเขา และเลือกที่จะต่อต้าน

   ชานนท์อยากจะเอาหัวโขกกำแพงเสียเดี๋ยวนี้ เขาเป็นนักจิตวิทยาที่อุตส่าห์เรียนจบมาทั้งทีควรจะควบคุมอารมณ์และความหวั่นไหวให้ได้มากกว่านี้ แต่เขาก็พลาด... พลาดท่าให้กับความน่ารักของคนป่วยของเขา จนเผลอทำอะไรเกินเลยโดยไม่ตั้งใจและทำให้ความเชื่อใจที่มีแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง

   ทว่าคำพูดในประโยคถัดมาของหมอเกื้อก็ทำให้เขาใจเย็นขึ้น

   “เขาบอกกับผมว่า คุณใจดีเกินไป สุภาพ อ่อนโยน บุคลิกลักษณะท่าทางและการเอาใจใส่ของคุณน่ะมันทำให้เขากล้าเอาแต่ใจ กล้าที่จะต่อล้อต่อเถียง มันอาจจะทำให้คุณทำงานลำบากมากยิ่งขึ้น ผมเองก็ลำบากใจที่จะพูดนะครับ แต่ผมก็เห็นด้วยนะว่าคุณใจอ่อนเกินไป นิสัยของคุณมักจะทำให้ผู้ป่วยหวั่นไหวได้ง่ายๆ คุณควรดุและแสดงบทโหดบ้างในบางครั้งนะครับ”

   “คุณปกรณ์พูดอย่างนั้นเหรอครับ” ชานนท์ทวนถาม ในความผิดหวังยังมีความดีใจปนมาอยู่บ้าง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง นั่นหมายความว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงเขาที่คิดไปฝ่ายเดียว …ปกรณ์เองก็กำลังหวั่นไหว

   “ครับ สำหรับเรื่องนี้ผมไม่มีปัญหาหากผู้ป่วยต้องการเปลี่ยนตัวผู้ดูแล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ต้องมาสอบถามคุณก่อน ถ้าคุณไม่ตกลง ผมก็จะยังไม่อนุญาต เพราะความใจดีของคุณอาจเป็นวิธีรักษาต่อเนื่อง”

   “ผมขอคุยกับผู้ป่วยก่อนได้ไหมครับ ให้ผมได้สอบถามอะไรบางอย่างก่อนได้ไหมครับ”

   “ได้ครับ อ้อ... ผมสอบถามข้อมูลบางอย่างเพื่อมาทำการวิเคราะห์ ซึ่งจากที่ได้พูดคุยกัน มันตรงกับข้อมูลที่คุณชานนท์ให้มา เขาดูจะเชื่อและไว้ใจคุณนรินทร์มากๆ เลยนะครับ อีกทั้งยังมีน้องปาณัฐที่เขามักจะเอ่ยถึงบ่อยๆ ท่าทางของเขาเหมือนคนปกติทั่วไปก็จริง แต่การที่สามารถสร้างจินตนาการจนมองเห็นบุคคลที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงมันอันตรายมากเลยนะครับ”

   “ถ้าวันหนึ่งมีคนไปบอกคุณปกรณ์ว่า คุณนรินทร์กับน้องปาณัฐไม่มีตัวตนอยู่จริง ผลจะเป็นยังไงครับหมอ”

   “ขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยมีความผูกพันมากแค่ไหน ถ้าปล่อยเอาไว้นาน ความผูกพันก็จะยิ่งมีมากขึ้น เขาก็ยิ่งจะเจ็บปวดและทรมานมากขึ้นหากมีใครไปบอกเขาแบบนั้น เอาเป็นว่า... เขาจะต้องเสียใจมากที่สุด เพราะสองคนที่เขาสร้างขึ้นมานั้นคือคนที่เขารัก ไว้ใจ และเชื่อใจมากที่สุด... มากกว่าคนในครอบครัวเสียอีก”

   “แล้วทำไมเราไม่รีบบอกเขาเลยล่ะครับ บอกตอนนี้ก็น่าจะเจ็บปวดน้อยกว่าใช่ไหมครับ”

   “ก็เพราะเรายังมีข้อมูลของผู้ป่วยไม่มาก รอดูอาการและท่าทางของผู้ป่วยอีกสักสองสัปดาห์ น่าจะวิเคราะห์และเริ่มทำวิธีรักษาได้อย่างถูกวิธี”

   “งั้นตอนนี้เราก็ทำได้แค่รอ”

   “ใช่ครับ”

   “แล้วตอนนี้คุณปกรณ์อยู่ไหนครับ” ชานนท์ต้องการที่จะไปสอบถามถึงเหตุผลที่แท้จริง ว่าเพราะอะไร เขาถึงต้องตัดสินใจเลือกที่จะเปลี่ยนตัวนักจิตวิทยา

   “รับยาและกลับไปแล้วครับ”

   “ครับ” ชานนท์พยักหน้ารับทราบ “ขอบคุณครับหมอ”



จบตอน..........

------------------------------------------

Talk : ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะครับ ตอนนี้รู้สึกหมั่นไส้นรินทร์แฮะ ทั้งเสี้ยม ทั้ง... ทำไปได้ ชักกลัวว่าหน้าแรกจะยาวเกินไปแล้วสิ ไม่ขึ้นหน้าสองสักทีอีกนานเลย T___T ใครหลงมาอ่านแวะเม้นท์บ้างนะคร้าบบบ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อารมณ์แบบช่างก่อกำแพงคนขยัน (เพราะมีเดวิลช่างยุตัวน้อยคอยเป่าหู) vs. อันธพาลชอบทุบกำแพง (หาประตูไม่เจอ จะปีนก็ช้าไป ทุบมันเล้ย) ฮา

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 8

         วันนี้ปกรณ์มีงานถ่ายภาพ... เขารับงานถ่ายแบบปกนิตยสารเล่มหนึ่ง เนื่องจากเมื่อวันก่อน จิตแพทย์ที่เขาเข้าไปพบได้แนะนำให้เขาลองทำงานที่ต้องเจอหน้ากับผู้คนเยอะๆ ได้เข้าสังคมกับผู้คนเยอะๆ ดู ประจวบกับมีนิตยสารหลายเล่มที่ส่งเมล์ติดต่อมาทาบทามงานพอดี เขาจึงใช้โอกาสนี้ลองรับงานถ่ายภาพโดยที่มีคนเป็นนางแบบครั้งแรก

   การถ่ายแบบเป็นไปด้วยความราบรื่น นิตยสารที่เข้ารับงานเป็นนิตยสารเกี่ยวกับอาหาร เขาต้องมาถ่ายงานให้กับนางแบบที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใจกลางเมือง

   แม้ว่าปกรณ์จะเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่หากได้เริ่มลงมือทำงานล่ะก็ เขาจะมีความมุ่งมั่นกับสิ่งที่กำลังทำจนทำให้บางครั้งเขาเผลอสนทนาเรื่องงานกับคนอื่นอย่างฉะฉานโดยที่ไม่รู้ตัว

         หลังจากที่จัดฉากและตั้งแฟลชแยกเสร็จ ปกรณ์ก็เริ่มหยิบกล้องขึ้นมา วินาทีแห่งความมุ่งมั่นเริ่มหลังจากนั้น ปกรณ์แนบดวงตามองผ่านจอกล้องเล็กๆ แล้วเริ่มถ่ายแบบ เขาเผลอพูดให้นางแบบเปลี่ยนท่าออกมาหลายครั้ง บางครั้งก็บอกให้ขยับเท้าซ้ายหรือขวา ให้เอียงใบหน้าไปในมุมที่สวยที่สุดเพื่อความเหมาะสมขององค์ประกอบภายในภาพที่ถ่ายออกมา

   เวลาผ่านไปไม่นานมากนัก งานก็สำเร็จลุล่วงไปอย่างง่ายดาย

   “พี่เก่งจังเลยนะคะ” เป็นเสียงของนางแบบที่ดังขึ้น เธอเดินเข้าไปหาปกรณ์ใกล้ๆ  “รู้มุม รู้องศา ของการถ่ายภาพ ถ่ายแป๊บเดียวก็เสร็จ ไม่เหมือนพี่ช่างภาพคนอื่นๆ พยายามถ่วงเวลาให้ได้ถ่ายนานๆ และเก็บหลายๆ ท่า”

   “ครับ” ปกรณ์ตอบโดยที่ไม่สบตากับคู่สนทนา เขาขยับถอยหลังเล็กน้อยเพราะกำลังคิดว่าถูกคุกคาม

   “เนี่ย... หนูได้ยินมาว่าพี่เป็นคนเงียบๆ พอได้มาเจอตัวจริง พี่ก็เงียบจริงๆ นะคะ” เธอทั้งพูดทั้งขำ แต่นั่นไม่ใช่การหัวเราะในเชิงดูถูก “แต่มันเป็นความเงียบที่มีเสน่ห์จริงๆ ค่ะ หนูดีใจที่ได้ร่วมงานกับพี่นะคะ แล้วก็หนูว่านะ ถ้าพี่ลองยิ้มออกมาบ้าง พี่จะต้องดูน่ารักมากแน่ๆ ค่ะ”

   หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่น่ารักสดใสก่อนจะโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณแล้วเดินจากไป เมื่อการทำงานจบลง ต่างฝ่ายต่างก็ต้องแยกไปทำหน้าที่อื่นๆ ของตัวเองต่อไป

   ทางด้านของบรรณาธิการประจำนิตยสาร เขาได้เจรจางานกับปกรณ์อีกสักครู่ก่อนจะกำหนดให้ส่งภาพที่ปรับสีให้ออกมาตามคอนเซปต์ภายในพรุ่งนี้ก่อนเวลาเที่ยงคืน พอตกลงกันเรียบร้อยเขาก็เดินจากไป

   ปกรณ์สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เขาสามารถทำงานร่วมกับคนแปลกหน้าได้ เขาสามารถสร้างมิตรภาพกับเพื่อนร่วมงาน แม้ว่างานในครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ต่อกันก็ตาม

   ด้วยเหตุนี้... ปกรณ์จึงอยากจะเล่าความรู้สึกดีๆ ให้ใครสักคนฟัง และคนที่เขากำลังนึกถึงนั้นก็คือน้องชายที่มักจะชื่นชมเขาตลอดเวลา...



   
   ปาณัฐได้มาพบกับปกรณ์ทันทีในสถานที่ที่ได้นัดหมาย พวกเขาพบกันที่สวนสาธารณะแถวชานเมืองที่เดิม ปกรณ์ชอบเวลาที่ได้พูดคุยกับปาณัฐในที่ที่เงียบสงบไม่ค่อยมีผู้คน เพราะมันทำให้เขารู้สึกสบายใจและสามารถพูดความรู้สึกทุกอย่างในใจได้โดยไม่ต้องกังวล

   ปกรณ์เล่าเรื่องการทำงานวันนี้ให้กับปาณัฐฟัง ราวกับเด็กที่กำลังโอ้อวดผู้ใหญ่ว่าได้ไปทำความดีอะไรมาบ้าง ระหว่างเล่าเขาก็อมยิ้มตลอดเวลา

   ทางด้านของปาณัฐเองก็เช่นกัน พอเห็นพี่ชายเล่าด้วยความสุข เขาก็ผมยิ้มออกมาและพลอยมีความสุขไปด้วย

   “ขอบคุณนะปาณัฐ ขอบคุณที่แนะนำให้พี่ไปพบจิตแพทย์”

   “ผมไม่ได้แนะนำนะครับ พี่ต่างหากที่ตัดสินใจตั้งแต่ต้น แค่พี่ลังเลเท่านั้นผมก็เลยสนับสนุน” 

        “แต่ก็เพราะปาณัฐนั่นแหละ... ที่ทำให้พี่กล้าไปพบจิตแพทย์”

   “เพราะตัวพี่เองต่างหากล่ะครับ ต่อให้พี่ฟังคำคนอื่นมามากมาย ถ้าพี่ไม่อยากไป พี่ก็ไม่ไปอยู่ดี”

   ก่อนหน้านี้ปกรณ์ลังเลใจมาตลอดว่าจะไปหาจิตแพทย์ดีหรือไม่ ความเครียดและความคิดแปลกๆ ที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขามันทำให้เขารู้สึกท้อแท้ สิ้นหวังไม่อยากจะทำอะไร จนวันหนึ่งเขาก็ได้บังเอิญรู้จักกับปาณัฐ

   ปกรณ์ใช้เวลานานหลายเดือน กว่าที่จะยอมเปิดใจปรึกษาถึงอาการความเครียดให้ปาณัฐฟัง เด็กคนนี้คอยเป็นกำลังใจและชื่นชมเขาอยู่เสมอ พอเขาลองถามว่าควรจะไปพบจิตแพทย์ดีไหม เด็กหนุ่มรีบสนับสนุนในทันทีอย่างที่ใจเขาต้องการให้เป็น

   “เอาเป็นว่าถ้าไม่มีเรา พี่ก็คงไม่ไป ยังไงเราก็สำคัญสำหรับพี่นะ” ปกรณ์ส่งยิ้มให้เด็กหนุ่ม

   “พี่ก็สำคัญสำหรับผมเหมือนกันนะครับ ต้องดูแลตัวเองต่อไปเรื่อยๆ นะครับ” ปาณัฐยิ้มให้ปกรณ์เช่นกัน “แล้วที่โรงพยาบาลเป็นไงบ้างครับ หมอเก่งไหม แล้วพี่สนิทกับใครมีเพื่อนใหม่บ้างหรือยังครับ”

   ปกรณ์ชะงักเล็กน้อยกับคำถาม ภาพใบหน้ายิ้มแย้มสุภาพอ่อนโยนของชานนท์ปรากฏในความคิดทันที

   “หมอใจดีนะ แต่จะสนิทกับพี่นักจิตวิทยามากกว่า เพราะเขาเป็นคนคอยเช็คและวิเคราะห์อาการ เลยทำให้ใกล้ชิดกันมากกว่า”

   “เขาน่ารักไหมครับ” ปกรณ์สะดุ้งเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำถามนี้หลุดออกมาจากปาก “ผมคงเสียใจแย่เลย ถ้าชอบพี่คนนั้นมากกว่าผม”

   “ปาณัฐ...” เสียงของปกรณ์อ่อนลง เขาคิดคำตอบไม่ทัน ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไรดี ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กหนุ่มคนนี้กับนักจิตวิทยาคนนั้น มันเป็นความรู้สึกดีที่ไม่ต่างกัน

   “แสดงว่าพี่คงชอบพี่คนนั้นมากเลยสินะครับ เลยตอบออกมาไม่ได้”

   “เปล่านะ” ปกรณ์รีบปฏิเสธ “พี่แค่รู้สึกว่าเขาเป็นคนดี เหมือนๆ กับปาณัฐนั่นแหละ”

   “เหรอครับ...” ปาณัฐพยักหน้าก่อนจะกระตุกยิ้มออกมาอย่างยียวน “ชอบเขาก็บอกมาตรงๆ เถอะ ผมไม่ว่าอะไรหรอกน่า”

   “คือพี่...” ปกรณ์อึกอัก “พี่ไม่รู้จะว่าไงดี คือเขาก็เป็นผู้ชายเหมือนกับพี่”

   “โถ่เอ๊ยพี่ นี่มันสมัยไหนแล้วครับ จะชายจะหญิงก็ไม่สำคัญหรอก เรื่องของความรู้สึกนั้นมันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวหรอกนะครับ”

   “พูดเหมือนกันเด๊ะเลย” ปกรณ์เอ่ยเบาๆ ปกรณ์จำคำนี้ได้ มีคนเคยพูดว่า ‘ตามหลักจิตวิทยา เรื่องของความรักและความรู้สึกนั้นมันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวนะ’ และเพราะคำพูดนั่น มันจึงทำให้เขาเริ่มหวั่นไหว

   “ดูอย่างผมสิ ผมยังชอบพี่เลย เจ็บเหมือนกันนะครับเนี่ยพอรู้ว่าพี่ชอบใครอีกคน” ปาณัฐแกล้งยกมือขึ้นมาจับที่หน้าอกของตัวเองแล้วทำสีหน้าเจ็บปวด

   “ดูทำเข้า พี่ก็ชอบเรามากกว่าอยู่ดีนั่นแหละ”

   “เหรอ......” ปาณัฐลากเสียงยาวอย่างยียวน “ผมจะรอดู สักวันผมคงตกกระป๋อง สักวันพี่คงลืมผม... และสักวันผมก็คงจะไม่มีตัวตนในสายตาของพี่”

   “ปาณัฐ” ปกรณ์รู้สึกใจหวิวขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินประโยคนี้ พอลองนึกตามคำพูด ถ้าวันหนึ่งปาณัฐหายไป ความภูมิใจที่มีก็คงจะหายตามไปด้วย เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกมีคุณค่า การมีใครที่คอยชื่นชมและให้กำลังใจตลอดเวลามันทำให้เขามีแรงผลักดันที่จะใช้ชีวิตต่อไป

   “พี่อย่าทำหน้าแบบนี้สิครับ ผมใจคอไม่ดีเลย” ปาณัฐยื่นมือไปสัมผัสที่แก้มของอีกฝ่าย แววตาของปกรณ์คลอไปด้วยน้ำใสๆ จนเต็มเบ้า เขาทำท่าราวกับจะร้องไห้ “ผมจะอยู่กับพี่ จนกว่าพี่จะไม่ต้องการผม เลิกคิดมากได้แล้ว”

   “มันจะไม่มีวันนั้น” ปกรณ์รีบขัด “ไม่มีวันที่พี่จะไม่ต้องการเรา”

   ปกรณ์กุมมือของเด็กหนุ่มเอาไว้ เขาจับเอาไว้อย่างแนบแน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป

   ปาณัฐไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงส่งยิ้มให้แล้วยกมือขึ้นไปลูบบริเวณหางตาของอีกฝ่ายทั้งสองข้าง เพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ที่ชื่นชมเริ่มผ่อนคลาย เขาจึงทิ้งตัวลงกับพื้นแล้วนอนหนุนตัก

   “ผมของีบสักพักนะครับ”

   “ตามสบาย พี่เองก็จะนั่งอยู่กับเราตรงนี้แหละ”

   ปาณัฐยิ้มให้กับสิ่งที่ได้ยินก่อนจะหลับตาพริ้มอย่างน่าเอ็นดู ปกรณ์ยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของเด็กหนุ่มซ้ำๆ จนกระทั่งรู้สึกง่วงแหละเผลอหลับไปอีกคน














มีต่อเม้นท์ล่างนะครับ

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
        วันต่อมา... หลังจากเลิกงาน ชานนท์ได้เดินทางไปหาปกรณ์ที่บ้าน เพราะไม่ว่าจะโทรไปหาสักกี่สาย อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสักที


   ความจริงชานนท์เองไม่ได้อยากทำแบบนี้สักนิด แต่เพราะปกรณ์เอาแต่หลับหน้า นี่จึงเป็นวิธีสุดท้ายที่จะทำให้พวกเขาได้ปรับความเข้าใจกัน

   หลังจากที่กดกริ่ง ไม่กี่นาทีต่อมาเจ้าของบ้านก็เดินลงมาเปิดประตูให้ ปกรณ์ไม่ยอมสบตากับแขกผู้มาเยือนแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะต้อนรับ

   ชานนท์เดินตามเจ้าของบ้านจนกระทั่งขึ้นไปถึงห้องนอน

   “ทำไมคุณต้องหลบหน้าผม” ชานนท์พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน เขาไม่แน่ใจว่าทำอะไรผิด หรือแค่เพราะเหตุการณ์ในคืนนั้น มันเลยทำให้ปกรณ์รู้สึกถูกคุกคามจึงต้องต่อต้าน

   “ผมไม่กล้าสู้หน้าคุณครับ” ปกรณ์ตอบออกมาตรงๆ หากแต่เขาพูดเพียงเท่านั้นไม่ยอมบอกเหตุผลตามออกไป

   “เพราะอะไร เพราะเรื่องคืนนั้นเหรอครับ ถ้าผมเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณไม่สบายใจ ผมจะพยายามเว้นระยะห่างเอาไว้ แต่คุณอย่าหลบหน้าผมได้ไหมครับ”

   “ครับ” ปกรณ์รับคำสั้นๆ

   “แล้วคุณมีเหตุผลอะไรที่ต้องเปลี่ยนตัวนักจิตวิทยา คงไม่ใช่แค่เพราะผมใจดีเกินไปหรอกใช่ไหมครับ” ชานนท์ส่งคำถามอีกข้อ

   “มันเป็นเหตุผลส่วนตัวน่ะครับ” เป็นคำตอบสั้นๆ ที่ทำเอาฟังรู้สึกจุก การที่ตอบออกมาแบบนี้นั่นหมายความว่า ปกรณ์ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรับทราบ และอีกฝ่ายก็ไม่ควรเซ้าซี้

   “ผมขอโทษนะครับที่ถาม แต่ถ้าไม่รู้เหตุผล ผมเองก็คงไม่ยอมเปลี่ยนให้คนอื่นมาดูแล” ชานนท์แข็งข้อ

   “คุณ!” ปกรณ์หันไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ

   “มันเป็นกฎน่ะครับ เพราะการรักษาควรต่อเนื่อง”

   “แต่ผมปรึกษากับคุณหมอแล้วนะครับ คุณหมอเองก็บอกไม่มีปัญหาอะไร” ปกรณ์หาเหตุผลมาโต้แย้งเช่นกัน

   “คุณใจร้ายมากเลยนะครับ ไปโรงพยาบาลก็ไม่ยอมมาพบกัน แถมยังแอบไปปรึกษากับคุณหมอเพื่อที่จะเปลี่ยนตัวผม” แววตาของชานนท์ฉายชัดถึงความน้อยใจ แต่ไร้ซึ่งความขุ่นเคือง เขาเพียงแค่รู้สึกเสียใจที่อีกฝ่ายทำแบบนี้

   “คุณอย่าเป็นแบบนี้สิครับ ผมขอโทษ” ปกรณ์เริ่มใจอ่อน แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่นรินทร์เล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของพ่อเลี้ยง เขาก็ต้องทำใจแข็งเอาไว้

   “คุณไม่ชอบผมเหรอครับ” ชานนท์สบตาเพื่อที่จะคาดคั้น แต่อีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนี

   “ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ” ปกรณ์ตอบเสียงเบา

   “แล้วทำไม... หรือคุณไม่ไว้ใจผม”

   “มะ... ไม่ใช่นะครับ” แม้ลึกๆ จะรู้สึกอย่างนั้น แต่ปกรณ์ก็ไม่กล้าที่จะตอบออกไปตรงๆ หรอก คำพูดของนรินทร์มันวนเวียนอยู่ในหัวทุกครั้งที่คิดถึงหน้าของชานนท์ ฉะนั้นเขาจึงคิดว่าการที่ไม่ต้องพบ ต้องเจอกับคนคนนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

   “คุณกำลังโกหก” นักจิตวิทยาอย่างชานนท์มีหรือที่จะมองไม่ออกว่าคู่สนทนาที่รู้จักกันมาได้สักพักและมีเกาะกำบังชัดเจนกำลังพูดความจริงหรือไม่ ยิ่งกับปกรณ์ที่ไม่ชอบเข้าสังคม เขาไม่รู้จักวิธีการที่จะโกหกหรือเสแสร้งให้เนียนๆ เสียด้วยซ้ำ

   “ผมไม่ได้เกลียดคุณ แล้วก็ไม่เชิงว่าไม่ไว้ใจ” เมื่อโดนคาดคั้น เขาก็หลุดปากออกมาเอาง่ายๆ

   “แล้วเพราะอะไรล่ะครับ บอกเหตุผลมา แล้วผมจะทำตามทุกอย่างที่คุณต้องการ”

   ปกรณ์นิ่งเงียบ เขาเองก็อยากจะพูดเหตุผลให้มันจบๆ แต่ถ้าพูดออกไปแล้วอะไรหลายๆ อย่างจะต้องเปลี่ยนไป ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือไม่ เขาจึงเลือกที่จะไม่พูดดีกว่า

   สายตาที่คาดคั้นเอาคำตอบของชานนท์ช่างกดดันเหลือเกิน ปกรณ์พยายามเบือนหน้าหนี แต่อีกฝ่ายก็ไล่ตามอย่างไม่ย่อท้อ พอไปนั่งอยู่ที่มุมห้อง อีกฝ่ายก็ตาม พอเดินไปที่หน้าต่างอีกฝ่ายก็คว้าร่างแล้วบังคับให้หันหน้าไปปะทะสายตาตรงๆ

   “คุณทำแบบนี้ผมกดดันนะครับ แล้วถ้าผมกดดันมากๆ ผมอาจจะเครียด พอผมเครียดผมก็อาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วถ้าผมควบคุมตัวเองไม่ได้ คุณก็อาจจะ...”

   “หยุดพูดได้แล้วครับ”

   สิ้นเสียง... ชานนท์ก็ดันร่างของอีกฝ่ายไปให้ชิดกับกำแพงแล้วใช้มือข้างหนึ่งกดร่างนั้นเอาไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างยกไปปิดที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนจะโน้มริมฝีปากของตนลงไปกดทับกับหลังมือของตัวเองซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับที่ริมฝีปากของปกรณ์ถูกปิดเอาไว้ ...ถ้าไม่มีมือข้างนั้น พวกเขาคงจูบกันจริงๆ แล้ว

   ปกรณ์ยืนตัวแข็งทื่อเพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะไม่ได้สัมผัสที่ริมฝีปากของกันและกันโดยตรง แต่เขากลับรู้สึกว่าโดนจูบจริงๆ

   ชั่วครู่... ชานนท์ก็ผละริมฝีปากออกมาแล้วพูดว่า

   “จะบอกผมได้หรือยัง” น้ำเสียงของเขาฟังดูอบอุ่นกว่าที่เคย ชานนท์ในยามนี้ดูราวกับเจ้าชายผู้สูงส่งที่ถือไพ่เหนือกว่าหลายขุม

   เขาทำให้ปกรณ์หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง เมื่อโน้มริมฝีปากลงไปที่หลังมือจุดเดิมอีกที ทว่าในครานี้จมูกของพวกเขาชนกันเพราะชานนท์แกล้งขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ขึ้น

   หัวใจของปกรณ์เต้นแรงขึ้น... ความรู้สึกในตอนนี้ราวกับเวลากับลังหยุดนิ่ง เหมือนภาพทุกอย่างกำลังหยุดลงขณะที่จมูกของพวกเขาชนกัน

   แต่แล้ว... ทุกอย่างก็จบลง เมื่อปกรณ์คิดขึ้นมาได้ว่า นี่อาจจะเป็นภาพมโนที่เขาคิดขึ้นมาเหมือนกับครั้งก่อนที่เขานอนกอดชานนท์ทั้งคืนโดยที่เข้าใจไปว่าชานนท์เป็นฝ่ายจู่โจม

   ปกรณ์กำมือตัวเองแน่นก่อนจะยกมันขึ้นมาอัดเข้าที่ใบหน้าของตัวเองอย่างแรง

   ‘มันคงไม่ใช่เรื่องจริง’

   ชานนท์ผละริมฝีปากออกด้วยความตกใจทันที แล้วรีบคว้ามือทั้งสองข้างของปกรณ์เอาไว้

   “คุณทำอะไร”

   “เรื่องจริงสินะครับ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดไปเองสินะครับ” ปกรณ์ตอบออกมา ไม่รู้ว่าควรจะแสดงความรู้สึกออกไปอย่างไรดี

   “คุณคิดว่าที่ผมทำเมื่อกี้นี้ มันเป็นเรื่องที่คุณคิดขึ้นมาอย่างนั้นเหรอครับ” แววตาของชานนท์ฉายชัดถึงความสงสัย

   ปกรณ์พยักหน้าเป็นคำตอบ   

   “โถ่เอ๊ยเด็กโง่” ชานนท์เอื้อมมือไปขยี้ศีรษะของปกรณ์อย่างเอ็นดู “ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือสิ่งที่คุณจินตนาการ แต่คุณรู้เอาไว้เลยว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณมันไม่ใช่เรื่องโกหก”

   ชานนท์กอดร่างที่กำลังสั่นสะท้านเอาไว้อย่างแนบแน่น เวลาผ่านไปสักพักอีกฝ่ายก็เริ่มยกมือขึ้นมากอดตอบ เขากอดชานนท์เอาไว้แน่นเช่นกัน กอดแน่นชนิดที่เรียกได้ว่ากลัวอีกฝ่ายจะหายไปไหน ...แน่นให้สมกับที่เขารอคอยอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นแบบนี้มาตลอดชีวิต

   “ผมยอมแล้วครับ” น้ำเสียงของปกรณ์แผ่วเบา “ผมจะบอกถึงเหตุผลที่ผมต้องไปขอร้องให้คุณหมอเปลี่ยนตัวคุณ”



จบตอน 8....


Talk : แหะๆ ที่แบ่งเเป็น 2 เม้นท์ไม่มีอะไรนะครับ อยากให้มันถึง 30 เม้นท์ไวไว เพราะจะได้ขึ้นหน้าใหม่ หน้าแรกยาวไปแล้ว 555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอค่ะ เพื่อนแนะนำมา บอกว่าเราน่าจะชอบแนวนี้
ปรากฎพอลองอ่านแล้ว ชอบจริงๆค่ะ
ปกรณ์น่าสงสารไม่รู้เจออะไรมา ส่วนชานนท์ น่ารักมากๆค่ะ
#ทีมชานนท์

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เพิ่งเข้ามาอ่านเพราะเห็นชื่อเรื่องแปลกดี อ่านแล้วก็อบอุ่นหัวใจ เป็นกำลังใจให้ชานนท์ ปกรณ์ และคุณนักเขียนนะคะ รอติดตามค่ะ

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 9



            ท้องฟ้าในเช้านี้สดใสเช่นเดียวกับความรู้สึกของใครบางคนที่กำลังเบิกบาน ความสัมพันธ์ระหว่างชานนท์และปกรณ์เหมือนจะแน่นแฟ้นมากขึ้นหลังจากที่พวกเขาได้ปรับความเข้าใจกัน

            ชานนท์รีบไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าเพื่อดักรอหมอเกื้อ เขาต้องการที่จะคุยเรื่องของผู้ป่วยที่ชื่อ ‘ปกรณ์’

            ไม่นานมากนักหมอเกื้อก็มาถึง ชานนท์จึงรีบเข้าไปพบทันที

            “มาหาผมแต่เช้ามีอะไรพิเศษเหรอครับ” หมอเกื้อขมวดคิ้วด้วยความสงสัย วันนี้ใบหน้าของชานนท์ดูแปลกไป มันดูอิ่มเอมและมีความสุขกว่าที่เคย

            “ผมจะมาคุยเรื่องของคุณปกรณ์ครับ”

            “อ้อ...” หมอเกื้อพยักหน้ารับรู้ “แล้วทานข้าวมาหรือยังครับ”

            “ยังครับ”

            “งั้นไปทานข้าวด้วยกันไหมครับ กินไปคุยไป ผมเองก็อยากปรึกษาเรื่องวิธีการรักษาคุณปกรณ์เหมือนกัน”

            “ได้ครับ”

            หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปที่โรงอาหารที่ใกล้ที่สุด แม้จะเป็นหมอที่ดูแลผู้ป่วย แต่การใช้ชีวิตก็เรียบง่ายไม่ต่างกับคนปกติทั่วไป จะต่างก็ตรงที่หมอ พยาบาลและนักจิตวิทยา อาจจะทำงานหนักกว่าเพราะงานของพวกเขาคือการรับผิดชอบชีวิตของผู้คน

            “คือผม... ตกลงที่จะให้คนอื่นรับผิดชอบดูแลคุณปกรณ์แทนครับ” เป็นชานนท์ที่เปิดบทสนทนาขึ้นก่อน

            “ถ้าคุณตกลง ผมก็โอเคครับจะได้ให้คนอื่นมาดูแลแทน ว่าแต่ไปคุยกันมาแล้วเหรอครับ”

            “ใช่ครับ” ชานนท์พยักหน้า

            “แล้วคุณปกรณ์ว่ายังไงบ้างครับ คุณถึงยินยอมที่จะเปลี่ยน”

            “คือ...” ชานนท์อมยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะตอบออกมา “มันเป็นเหตุผลส่วนตัวน่ะครับ”

            ชานนท์รู้ดีว่าประโยคนี้มันจะทำให้คนฟังรู้สึกจุกขนาดไหน... เพราะเขาเคยรู้สึกแบบนั้นมาก่อนแล้ว

            “ใจร้ายจังเลยนะครับ รู้สึกเหมือนกำลังถูกด่าเลย” หมอเกื้อแสร้งทำน้ำเสียงน้อยใจ

            “ไม่ใช่นะครับ” ชานนท์รับปฏิเสธ “ผมเข้าใจหมอนะครับ เพราะผมเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาแล้ว”

            “อ้อ... หมายถึงคุณปกรณ์เคยพูดแบบนี้กับคุณเหรอครับ”

            “ประมาณนั้นครับ” ชานนท์หลุดขำออกมาเล็กน้อย

            “แต่สุดท้ายคุณปกรณ์ก็ยอมบอกเหตุผลที่แท้จริงกับคุณ”

            “ครับ”

            “แล้วคุณก็ยินยอม และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณดูมีความสุขในวันนี้ใช่ไหมครับ”

            “โถ่... หมอครับ” ชานนท์รู้แล้วว่าการถูกคาดคั้นมันกดดันแค่ไหน เขาเคยแต่เป็นฝ่ายคาดคั้นผู้ป่วยรวมถึงปกรณ์ พอโดนเองบ้างเขารู้ซึ้งขึ้นมาแล้วล่ะ

            “โอเคๆ ผมไม่แกล้งคุณแล้วครับ” คุณหมอหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องรบกวนคุณเขียนบันทึกอาการของคุณปกรณ์อย่างละเอียดนะครับ”

            “ได้เลยครับ ว่าแต่หมอคิดว่าน่าจะนัดเขาเข้ามาทำการรักษาอย่างใกล้ชิดที่โรงพยาบาลเมื่อไหร่ครับ” ชานนท์สอบถามด้วยความสงสัย

              ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดภายในโรงพยาบาลจะเป็นผู้ที่มีอาการรุนแรงถึงขั้นประสาทหลอน คิดไปเองว่าตัวเองเป็นคนอื่น หรือจะงมงายอยู่ในโลกของจินตนาการที่ตัวเองสร้างขึ้นอย่างเดียวจนมองไม่เห็นโลกแห่งความเป็นจริง

          อาจมีบ้างที่อาการไม่รุนแรง แต่ขอพักทำการรักษาที่โรงพยาบาล แม้ผู้ป่วยจะอ้างว่าเพื่อการรักษาที่ได้คุณภาพแต่เหตุผลที่แท้จริงเพราะพวกเขาไม่อยากเรียนหรือไม่อยากทำงานมากกว่าจึงเลือกมาพักรักษาภายในโรงพยาบาล

“ผมคิดว่าเร็วที่สุดน่าจะดีครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมและยินยอมของผู้ป่วยด้วย”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะลองช่วยคุยให้นะครับ”

“หือ...” หมอเกื้อแสร้งขมวดคิ้วด้วยความฉงนเล็กน้อย “นี่สนิทกันถึงขั้นช่วยพูดโน้มน้าวได้แล้วเหรอครับเนี่ย คุณชานนท์ไวไฟเหมือนกันนะครับ”

“ไม่ใช่นะหมอ” ถึงจะเป็นผู้ชาย และยังมีอาชีพนักจิตวิทยา แต่เมื่อถูกแซวหรือต้อนให้จนมุมเขาก็อายเป็นเหมือนกับคนอื่นๆ

“คุณกำลังโกหก”

“โถ่... หมออย่าเล่นแบบนี้สิครับ วู้ว ผมไปดีกว่า” ชานนท์ยกจานอาหารไปเก็บแล้วชิ่งหนีทันที ถ้านักจิตวิทยาอยู่เหนือผู้ป่วย คุณหมอจิตแพทย์ก็จะอยู่ในลำดับขั้นที่เหนือนักจิตวิทยาขึ้นไปอีกที



 
คืนวันนี้... ปกรณ์เร่งสะสางงานอยู่ภายในบ้าน เขาต้องเคลียร์ทุกอย่างให้เสร็จภายในสิ้นเดือนและจะหยุดรับงานชั่วคราวเพื่อเข้าทำการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งก็เหลือเวลาอีกประมาณ 10 กว่าวันเท่านั้น

ปกรณ์รู้สึกกังวลเล็กน้อยหลังจากที่ได้คุยโทรศัพท์กับชานนท์ คุณนักจิตวิทยาโทรมาโน้มน้าวให้เขาเข้ารับการรักษาภายในโรงพยาบาล ซึ่งปกรณ์ไม่คิดว่าตัวเองป่วยหนักขนาดนั้น แต่เพราะความเชื่อใจ เลยทำให้เขาตัดสินใจตอบตกลง

ทว่า... อีกใจหนึ่งเขาก็กังวล การนอนโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี เขาไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อนสนิทที่คอยแวะเวียนไปเยี่ยม ไม่รู้ว่าปาฦณัฐกับนรินทร์จะว่างที่จะไปพบเขาบ้างไหม ถ้าเขาไปอยู่ที่นั่น เขาคงรู้สึกเคว้งคว้าง โดดเดี่ยวแน่นอน

ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ปกรณ์ก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเรียกชื่อเขาจากบริเวรรั้วบ้าน พอเดินไปมองตรงหน้าต่าง เขาก็เห็นร่างของเพื่อนสนิทกำลังยืนอยู่

นรินทร์กวักมือเรียกทันทีที่ได้เห็นหน้า ปกรณ์จึงรีบลงไปหาทันที

“เรามีเรื่องอยากคุยด้วย” นรินทร์เอ่ยขึ้นเมื่อปกรณ์เดินมาเปิดรั้ว

“งั้นรอแป๊บนะ เดี๋ยวไปเอากระเป๋าตังค์ก่อน” ปกรณ์ทำท่าว่าจะวิ่ง หากแต่มือของอีกฝ่ายกลับคว้าเขาไว้เสียก่อน

“คุยในบ้านนายไม่ได้เหรอ”

            ประโยคคำถามนี้เล่นเอาปกรณ์ถึงกับชะงักหน้าถอดสี จริงอยู่ความจิตใต้สำนึกและความรู้สึกของเขามันย้ำเตือนมาเสมอว่านรินทร์คือเพื่อนคนสำคัญ แต่เพราะอะไร... เพราะอะไรกัน เขาถึงไม่เคยพานรินทร์เข้าไปในบ้าน ไม่แม้แต่จะคิด

            “เราคงไม่สำคัญสินะ ไม่เหมือนกับนายคนนั้น” เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูประชดประชันน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด

            “นรินทร์...” น้ำเสียงของปกรณ์แผ่วเบา เขากำลังสับสนในความรู้สึก เขาควรจะเข้าใจนรินทร์มากกว่านี้ แต่เพราะเหตุใดเขาถึงยังยืนอยู่นิ่งๆ ไม่มีคำเหตุผลโต้แย้งนรินทร์ หรือเพราะว่าในตอนนี้ ...ชานนท์มีความสำคัญมากกว่านรินทร์แล้ว...

            “เรามันก็แค่คนที่ไม่มีใครรัก พ่อไม่รัก แม่ก็รังเกลียด เราไม่เหลือใครอีกแล้ว แม้แต่นาย... ที่เป็นเพื่อนคนสุดท้าย ก็ยังคิดจะทิ้งเราไป แล้วเลือกนายคนนั้น”

            ประโยคนี้เริ่มทำให้ปกรณ์รู้สึกหวั่นไหว เขาเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น ความรู้สึกที่พ่อไม่สนใจ แม่ใหม่และน้องชายรังเกียจและคอยทำร้ายอยู่เสมอ ความรู้สึกที่เหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ ความรู้สึกที่ไร้ค่า ต้อยต่ำ สิ้นหวัง ท้อแท้ ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลก

            ถ้าเขาใจร้ายกับนรินทร์... นรินทร์อาจจะตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะฉะนั้น เขาจะต้องเข้าใจและเชื่อใจนรินทร์เหมือนอย่างที่ผ่านมา

            “มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอกนะนรินทร์” เสียงนั้นแผ่วเบา เขาเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก เพราะในห้วงแห่งความคิดมันมีภาพของชานนท์ปรากฏอยู่เสมอ “นายยังมีเรา เรายังอยู่กับนาย แค่เราอาจจะมีเพื่อนใหม่บ้าง ก็เท่านั้นเอง”

            “เพื่อนใหม่งั้นเหรอ” นรินทร์ทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะก้มหน้าแล้วทำแววตาเศร้า “แล้วทำไมเพื่อนเก่าอย่างเราถึงเข้าบ้านไม่ได้”

            “นายรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ว่าเราพาเพื่อนใหม่เข้าบ้าน” ปกรณ์ไม่ได้ตอบแต่ถามกลับด้วยความสงสัย

            “คืนนั้น... เราตั้งใจจะมาหานาย เรารู้สึกคิดถึงนาย รู้สึกเหมือนว่านายกำลังมีเรื่องกลุ้มใจ แต่พอมาถึงนายคนนั้นก็ยืนอยู่หน้าบ้าน แล้วนายก็พาเขาเข้าไปในบ้าน แล้วก็ที่หน้าต่างนั่น...” นรินทร์หยุดพูดเพียงแค่นั้น

            ปกรณ์ตัวแข็งทื่อในทันที เขาไม่คิดว่าเรื่องคืนนั้นจะมีใครเห็น ทำไมอยู่ๆ หัวใจของเขาถึงเต้นแรงแบบนี้ด้วยนะ ราวกับว่าจะระเบิดออกมาเสียให้ได้ ความรู้สึกนี้มันคืนอะไรกันแน่ ...ผิดหวังหรือเปล่า ใช่มันเป็นความผิดหวัง

            นรินทร์กำลังรู้สึกผิดหวังในตัวของเขา นรินทร์กำลังเสียใจ ความรู้สึกเหล่านี้ ทำไม... เขาถึงเข้าใจมันได้ดี ราวกับว่าเขาเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว

            ปกรณ์ค่อยๆ ทรุดลงอย่างช้าๆ เขาใช้มือกุมที่หน้าอกแน่น เขากำลังอึดอัด ทรมานเหลือเกินความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่ปวดแสบปวดร้อนไปทั่วร่าง จะหายใจออกมาก็ยังยากลำบาก

            “ช่วยด้วย” ปกรณ์พยายามแหงนหน้ามองคนตรงหน้า เขายื่นมือออกไป ขอแค่มือของใครสักคนมากอบกุมเขาในยามนี้ มันคงจะทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้น

            นรินทร์ก้มหน้ามองปกรณ์ด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึก นรินทร์กำลังคิดอะไรกันแน่ นี่เป็นครั้งแรกที่ปกรณ์ไม่อาจรับรู้ได้ สายตาของนรินทร์ว่างเปล่าราวกับดวงวิญญาณ

            “นายกำลังเจ็บปวดใช่ไหม” นรินทร์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “นายจำได้แล้วใช่ไหม ว่าพ่อของนายเคยทำให้แม่ของนายผิดหวังยังไง”

            สิ้นเสียงความทรงจำในตอนนั้นก็สะท้อนออกมาเป็นภาพเพื่อตอกย้ำให้ปกรณ์รับรู้ถึงความรู้สึกที่แสนเจ็บปวดของแม่ทันที
           
            ปกรณ์จำได้แล้ว...





จบตอน

-----------------------

คุณ Monjara กับ คุณ nutiez :: ขอบคุณครับ ที่หลงเข้ามาอ่านเรื่องนี้ อิอิ ดีใจมากๆ ครับ

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :ling1: 
 
ค้างมาก ปกรณ์จำอะไรได้ค่ะ สงสารปกรณ์

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
ตอนแรกคิดว่าแค่รู้สึกเครียด หรือเป็นคนอ่อนไหวคิดมาก คิดในแง่ลบ
ดูจากภายนอกก็เหมือนปกติทั่วไปแต่จากอาการที่สร้างบุคคลในจินตนาการนี่มันรุนแรงนะ อยากให้รักษาให้หาย..

เพิ่งมาอ่าน สนุกดีนะครับ น่าติดตามดี

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 10

ปกรณ์จำได้แล้ว...

เรื่องราวในตอนนั้น... แม้ในครั้งนั้นเขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เห็น แต่ในขณะนี้ความทรงจำที่ย้อนกลับมา กลับทำให้เขาเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างได้ลึกซึ้ง... ลึกซึ้งถึงทุกความรู้สึกของแม่

“ลูกกร แม่ขอโทษนะที่ต้องทิ้งลูกเอาไว้ที่นี่”

หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าแม่เดินมาอุ้มเด็กชายตัวเล็กๆ ออกจากสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อน

“พอดีแม่ติดธุระ ลูกต้องเข้าใจแม่นะคะ ลูกคงจะกลัวมากสินะที่ต้องอยู่ที่นี่ ดูสิยังร้องไห้ไม่หยุดเลย” เธออุ้มยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาของเด็กชายด้วยความเอ็นดูแล้วหอมแก้มอยู่หลายครั้งจนเด็กชายรู้สึกดีขึ้น

หญิงสาวอุ้มเด็กชายไปตลอดทางจนกระทั่งกลับถึงบ้าน

ท่าทีของเธอเริ่มประหลาดทันทีที่ก้าวขาเข้าไปในรั่ว เธอก้มมองรองเท้าที่ถอดไว้หน้าบ้านแล้วบ่นพึมพำกับตัวเองว่า

“นี่มันรองเท้าพี่สิทธิ์หนิ พี่สิทธิ์เลิกงานแล้วเหรอ... แล้วนั่นมันรองเท้าใครกัน”

หญิงสาวรีบถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าบ้านไปด้วยความร้อนรนโดยที่เธอยังอุ้มลูกของเธออยู่ แม้จะกระวนกระวายใจแต่เธอก็เดินอย่างระมัดระวังให้เงียบที่สุด

หญิงสาวขึ้นไปบนบ้านด้วยความเงียบเชียบก่อนจะตรงไปยังประตูห้องนอนแล้วผลักประตูออกด้วยความรุนแรงจนเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมจนเด็กชายต้องเอามืออุดหู

วินาทีถัดมา หญิงสาวก็กรีดร้องเสียงดังลั่นก่อนจะวางลูกน้อยลงกับพื้น

“พี่สิทธิ์ พี่สิทธิ์ทำแบบนี้ได้ยังไง อีนี่มันเป็นใคร พี่มีฉัน พี่มีลูกแล้วนะ”

เด็กชายเห็นการกระทำที่เกิดขึ้นทุกเหตุการณ์ แม้จะไม่เข้าใจว่าพวกผู้ใหญ่เหล่านั้นกำลังโวยวายอะไรกัน แต่เด็กชายก็จำได้ว่าในตอนนั้น พ่อของเขาไม่สวมเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว เช่นเดียวกับผู้หญิงอีกคนที่ลุกขึ้นมาจากเตียงนอน

 ผู้หญิงคนนั้นมีผิวขาว ใบหน้างดงามและดูเหมือนจะอ่อนเยาว์กว่าแม่ของเด็กชาย เธอกำลังถูกแม่ทุบตีแต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นพ่อก็เข้าไปห้าม พ่อตบหน้าแม่ ตะคอกใส่แม่ก่อนจะผลักแม่ไปยังมุมห้อง

ผู้หญิงคนนั้นกัดริมฝีปากแน่น แววตาแสดงออกถึงความโกรธแค้น แต่พอเห็นพ่อลงมือตบตีแม่ เธอก็แสยะยิ้มออกมา

แม่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะต่อสู้

...ในตอนนั้นแม่คงผิดหวัง เจ็บปวด เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ แต่แม่ก็ทำอะไรไม่ได้ แม่ต้องยอมพ่อทุกอย่าง และหลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นาน ผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ นอนห้องเดียวกันกับพ่อ โดยที่แม่แยกมานอนที่ห้องนอนเล็กอีกห้อง
   และหลังจากนั้นไม่กี่เดือน แม่... ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต

ปกรณ์จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเห็นหน้าแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไร แต่ในตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แสนเจ็บปวด ในวันที่แม่ต้องเจอกับเหตุการณ์แย่ๆ

แม่ต้องอดทนขนาดไหนกันนะ กว่าจะผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้




   “แม่... แม่!!!”

ปกรณ์ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น หลังจากความทรงจำในครั้งนั้นมันผุดขึ้นมา น้ำตาของปกรณ์รินไหลลงมาด้วยความเจ็บปวด
ปกรณ์ก้มหน้าลงกับพื้น มือของเขากำแน่น ทั้งเสียใจและโกรธแค้นแต่เขาก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขในอดีตได้ ถ้าตอนนั้นเขาโตกว่านี้ เขาคงจะมีกำลังที่จะเข้าไปช่วยแม่ ห้ามไม่ให้พ่อตบตีแม่ และคงไม่ยอมให้แม่ต้องเจ็บตัวอยู่ฝ่ายเดียว

ระหว่างที่กำลังรู้สึกทรมานใจอยู่นั้น สัมผัสของใครคนหนึ่งจากทางด้านหลังได้เรียกสติของเขาให้กับคืนมา

ใครคนนั้นกำลังกอดเขาเอาไว้แน่น กอดเขา... ราวกับว่ากลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้กอดแบบนี้อีกแล้ว

“นรินทร์” ปกรณ์เอ่ยชื่อนั้นเบาๆ หากแต่พอหันไปมองหน้าชัดๆ เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อคนที่มาช่วยเขาจากความรู้สึกที่แสนเจ็บปวดนี้ไม่ใช่นรินทร์แต่เป็น... “คุณชานนท์”

...แล้วนรินทร์อยู่ไหน หายไปตั้งแต่เมื่อไรกัน...

ชานนท์ไม่ตอบอะไร เขายังคงกอดร่างของคนที่กำลังสั่นสะท้านเอาไว้อย่างแนบแน่น เสียงสะอื้นไห้ แววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดนั้นมันทำให้เขารู้สึกกลัว... กลัวว่าปกรณ์จะควบคุมสติไม่ได้ แล้วสุดท้ายจะสูญเสียความเป็นตัวเองไป

ปกรณ์สะอื้นไห้ต่อไปสักพัก เมื่อใจเริ่มสงบลงเขาก็แหงนหน้าสบตากับคนที่โอบกอดเขาเอาไว้ด้วยความสับสน

“แล้วนรินทร์ล่ะครับ”

“ตอนผมมา ผมก็ไม่เห็นใครแล้วนะครับ” ชานนท์ตอบออกไปตามตรง นี่คงเป็นอีกครั้งที่นรินทร์ปรากฏให้ปกรณ์เห็นจนทำให้ปกรณ์ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้

“นรินทร์ต้องกำลังเสียใจแน่ๆ” ปกรณ์พึมพำ พอคิดดังนั้นเขาก็ผลักร่างของชานนท์ออกไปสุดแรง “คุณกลับไปซะ แล้วอย่ามาที่นี่อีก”

“เดี๋ยวสิครับคุณปกรณ์ ผมงงไปหมดแล้วนะครับ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ชานนท์ไม่ยอมแพ้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีอาการป่วยทางจิต ตอนนี้อาจจะกำลังเครียดและสับสน เพราะฉะนั้นจะปล่อยให้อยู่คนเดียวไม่ได้

ปกรณ์หันไปมองหน้าชานนท์ คิ้วที่ขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจเริ่มคลายลงหลังจากที่ได้เห็นแววตาที่อ่อนโยน สีหน้าของชานนท์ในตอนนี้แสดงออกถึงความห่วงใยชัดเจน ไม่ได้รู้สึกถึงความเสแสร้งเลยสักนิด

แต่ทว่า... ถ้าเขาใจอ่อน นรินทร์ก็จะต้องเสียใจ เขาจะต้องรู้สึกว่าถูกหักหลัง แบบเดียวกับที่แม่ของเขาเคยเผชิญ ...เขาควรจะทำอย่างไรดีนะ...

“ผมอยากอยู่คนเดียว” ปกรณ์คิดว่าประโยคนี้เป็นคำพูดที่สุภาพที่สุดแล้วสำหรับการขอให้แขกผู้มาเยือนกลับไป แต่วินาทีถัดมาเขาเกิดลังเลใจ “แต่ผม... ผมอยากให้คุณอยู่ตรงนี้ อยู่ที่นี่กับผม”

ความคิดของปกรณ์กำลังต่อสู้กัน ด้านหนึ่งบอกให้ไล่ชานนท์กลับไปเพราะเป็นห่วงความรู้สึกของนรินทร์ แต่อีกด้านกลับวิงวอนให้เขาอยู่ตรงนี้เพราะการมีชานนท์อยู่ใกล้ๆ มันทำให้เขารู้สึกปลอดภัย

ชานนท์เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาเคยเจอผู้ป่วยที่มีความคิดสับสนอยู่บ่อยครั้ง มันไม่ต่างอะไรกับจิตใต้สำนึกของมนุษย์ที่แบ่งออกเป็นสองด้าน คือด้านดีและชั่ว อยู่ที่ว่าจิตใต้สำนึกของเรามันปลูกฝังด้านไหนมากกว่ากัน

หลายคนเข้าใจว่าการฆ่าสัตว์เป็นสิ่งที่บาปมหันต์ แต่พวกเขากลับกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงเสร็จอย่างเพลิดเพลินโดยพยายามหาเหตุผลมาหักล้างว่ามันไม่บาปหรอก เพราะไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่าเอง แต่ถ้าใครหาเหตุผลมาหักล้างไม่ได้ เขาก็จะเครียด อยากกินแต่ไม่กล้ากิน สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ได้ต้องให้ผู้อื่นชักนำ

“ถ้าอย่างนั้นผมขออยู่กับคุณที่นี่นะครับ” ชานนท์ตอกย้ำให้ปกรณ์เชื่อว่าการเลือกข้อนี้เป็นสิ่งที่ถูก “คุณเป็นแบบนี้ผมคงทิ้งคุณไปไม่ได้ แต่คุณไม่สบายใจ หากมีใครมาหาคุณ ผมจะแอบซ่อนไม่ให้เขาเห็นดีไหมล่ะครับ”

ปกรณ์คล้อยตาม เขาชะโงกหน้ามองไปยังนอกรั้วแล้วหันซ้ายหันขวาเมื่อไม่เห็นร่างของนรินทร์จึงตอบออกมา

“ดีครับ” เขายั้งกายให้ลุกขึ้นโดยมีชานนท์ช่วยประคองร่าง “รีบเข้าบ้านกันเถอะครับ”

“ครับ”

ปกรณ์รีบสาวเท้าด้วยความเร็ว ราวกับกลัวว่านรินทร์จะกลับมา เขากำลังทำผิดต่อความเชื่อใจของนรินทร์อีกครั้ง ถ้าเกิดนรินทร์มาเห็น... เขาคงจะต้องโดนเกลียด ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ” ชานนท์เอ่ยถามหลังจากที่ประคองร่างนั้นให้นั่งพิงกับกำแพงห้อง

“ผมจำได้แล้วว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น” ปกรณ์พึมพำ สายตาของเขาแสดงถึงความผิดหวัง เจ็บปวดและหวาดกลัว ความรู้สึกทุกอย่างมันรวมกันอยู่ในนั้น

“โอเค... ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะเล่าก็ไม่ต้องเล่า ผมไม่อยากรู้แล้วครับ” ชานนท์คว้าร่างปกรณ์มากอดไว้อีกครั้ง มันคงเป็นความทรงจำที่แสนเจ็บปวด และคำพูดของเขาที่บอกว่าจำได้แล้วนั้น นั่นหมายความว่าความทรงจำนั้นน่าจะเกิดขึ้นในช่วงที่เขายังเด็กมาก
 
“คุณชานนท์” เสียงสั่นของปกรณ์ดังขึ้น เขากำแขนเสื้อของชานนท์จนยับ

“ครับ” ชานนท์รับคำ ไม่ได้ถือสาอะไรปล่อยให้อีกฝ่ายกำแขนเสื้อต่อไป

“ผมชอบคุณมากจริงๆ นะครับ” ปกรณ์ย้ำ... ย้ำถึงเหตุผลที่เขาต้องขอเปลี่ยนตัวนักจิตวิทยาเป็นคนอื่น หากต้องได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิดโดยมีชานนท์เป็นคนดูแล การรักษามันจะยิ่งยากลำบากมากขึ้น ทั้งยังมีกฎในการรักษาอาการทางจิตอยู่ก่อนแล้วว่า ห้ามคนในครอบครัว ญาติ เพื่อน หรือคนรักเป็นคนรักษาหรือบำบัดผู้ป่วยเอง

ชานนท์กระชับร่างในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นจนใบหน้าของอีกฝ่ายมาแอบอิงที่อ้อมอก ลมหายใจของปกรณ์ร้อนผ่าว

“ผมก็ชอบคุณครับ คุณกำลังกังวลใช่ไหมว่าผมจะทิ้งคุณไป” ชานนท์พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

ปกรณ์พยักหน้าเบาๆ ในอ้อมอก ไม่กล้าตอบออกไปตรงๆ เพราะรู้สึกว่าการพูดไปแบบนั้นมันดูเหมือนเป็นการ
เอาแต่ใจเกินไป

แม้การเลิกลาจะเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่สำหรับคนที่ไม่ปกติอย่างปรกณ์ การที่จะเปิดใจเพื่อรับใครให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกในชีวิตนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการต้องเผชิญกับความผิดหวังย่อมยากกว่าคนปกติโดยทั่วไป
อาจดูเหมือนว่าปกรณ์เป็นคนเอาแต่ใจ เรียกร้องความสนใจ ขวนขวายหาความรัก และกลัวการผิดหวัง แต่มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิดหากรู้ว่าที่ผ่านมานั้นเขาต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรมาบ้าง

...เพราะคนเราเกิดมาในสังคมที่แตกต่างกัน จะเอาบรรทัดฐานของตัวเองไปตัดสินคนอื่นไม่ได้

“ไม่ต้องกังวลว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นนะครับ อยู่กับผม อยู่กับปัจจุบัน การคิดไปเองมันจะทำให้คุณไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิต ผมรู้ว่ามันยาก แต่คุณต้องค่อยๆ ปรับนะครับ”


“ผมจะพยายาม”



จบตอน

...........................


Monjara :: มาต่อแล้วนะครับ อิอิ น่าจะหายค้างแล้ว

▶August5th◀ :: ขอบคุณมากๆ คร้าบ ^^" นึกว่าจะไม่อ่านแนวนี้  พอรู้ว่าตามอ่านจนทัน ดีใจมากๆ ครับ

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คุณพ่อเลวมากค่ะ ทำพฤติกรรมแบบนี้ต่อหน้าลูกไม่เหมาะสมเลย
ไม่แปลกที่ปกรณ์ลืม ตอนนั้นยังเด็กมาก แต่พอมีอะไรมาสะกิด
ความจำตอนเด็กก็กลับมา แล้วหลังจากนั้นเจออะไรอีกนะ
สงสารปกรณ์จริงๆ ค่ะ อินมากๆ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
สงสารปกรณ์ ที่เป็นแบบนี้มันคงสะสมตั้งแต่ตอนเด็กๆ
ส่วนนึงคงมาจากครอบครัว สิ่งแวดล้อมต่างๆ

ฝากชานนท์ดูแลให้ดีนะ

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 11


คืนนั้น... ปกรณ์นอนกอดร่างของชานนท์ตลอดทั้งคืน เขาซุกใบหน้าเข้าที่อ้อมอก สัมผัสที่อบอุ่นกอปรกับกลิ่นกายละมุนมันทำให้เขารู้สึกปลอดภัย

ชานนท์รู้สึกปวดเมื่อย แต่เขาก็ยอมนอนนิ่งๆ ไม่ขยับตัวไปไหนเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้นอนหลับอย่างสบายใจ จนในที่สุดเขาก็หลับตามไป
เวลาผ่านไปจนกระทั้งท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างมากระทบกับเปลือกตาของคนที่กำลังหลับใหล

ปกรณ์ค่อยๆ ลืมตา เขารู้สึกว่าเช้านี้เป็นวันที่หลับสบายกว่าทุกๆ วัน แต่แล้วเขาก็สะดุ้งเมื่อสังเกตได้ถึงสัมผัสที่แปลกไป แขนของเขากำลังโอบรัดอะไรบางอย่างเอาไว้ เช่นเดียวกับศีรษะที่รู้สึกเหมือนกับซบอิงกับอะไรที่ต่างออกไปจากวันอื่นๆ

“คุณชานนท์” เขาเปรยออกมาเบาๆ ก่อนจะรีบผละร่างออกจากอีกฝ่ายที่กำลังนอนแน่นิ่ง “เรานอนท่านี้ทั้งคืนเลยเหรอเนี่ย”

พอคิดใบหน้าก็รู้สึกร้อนผ่าวจนขึ้นสีแดงระเรื่อ... จะว่าเขินก็ใช่ จะว่าอายก็ไม่ผิด เขาเป็นผู้ชายแต่กลับนอนกอดกับผู้ชายด้วยกันทั้งคืน แม้จะไม่ได้ปฏิเสธความรู้สึกที่เกิดขึ้น แต่มันก็รู้สึกอายอยู่ดี

ปกรณ์ขยับตัวออกจากช้าๆ มองร่างที่กำลังหลับตาพริ้มด้วยสายตาอิ่มเอม เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้อีกฝ่ายก่อนจะรีบจัดแจงไปล้างหน้าแปรงฟันจัดผมเผ้าให้ดูดีผิดจากวิสัยก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าออกจากบ้านไป

...เขากำลังจะไปไหนกันนะ

เดินออกไปจากซอยไม่ไกลมากนักจะมีตลาดเช้าอยู่ใกล้ๆ ชานนท์เลือกที่จะไปซื้อวัตถุดิบเพื่อมาทำอารเป็นการตอบแทนคนที่กำลังนอนหลับไหล

ตั้งแต่เด็ก... เขาเปรียบเสมือนคนรับใช้ งานบ้านทุกอย่างแม่เลี้ยงจะโยนมาให้เขาทำหมด รวมถึงหน้าที่ในห้องครัวด้วย เพียงแต่... เขาไม่เคยออกไปจ่ายตลาดเอง หากแม่เลี้ยงอยากกินอะไร เธอจะซ้อวัตถุดิบมาไว้ให้แล้วสั่งให้ปกรณ์เป็นคนทำ

“ขอเนื้อหมูสันคอครับ” เขาสั่งกับแม่ค้าขายเนื้อหมูร้านหนึ่งก่อนจะเดินไปซื้อผักชนิดอื่นๆ เล็กน้อยแล้วรีบกลับบ้าน

ทางด้านของชานนท์ เขาตื่นขึ้นมาพอเห็นว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่เข้าก็กระวนกระวายใจ ตั้งใจว่าจะโทรหาแต่ระหว่างนั้นเสียงตะกุกตะกักที่รั้วบ้านที่ดังขึ้น ทำให้ชานนท์เดินไปส่องดูจากบริเวณหน้าต่าง พอเห็นว่าเป็นร่างของปกรณ์เขาจึงเดินออกจากห้องเพื่อที่จะลงไปรับ

ขณะนั้นเอง... ชานนท์ก็ฉุกคิดได้ว่ามีบางอย่างแปลกไป คนไม่ชอบเข้าสังคมอย่างปกรณ์ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืดทำไมกัน

ชานนท์จึงแอบส่องอยู่ด้านบน พอเห็นปกรณ์เดินเข้ามาพร้อมกับถุงวัตดิบสำหรับทำอาหารก็พอที่จะเข้าใจ

‘คงอยากจะทำอาหารให้ผมสินะครับ’ ชานนท์คิดเข้าข้างตัวเอง แต่ก็ไม่กล้าย่องลงไปดูในห้องครัวให้เห็นกับตาเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว เขาจึงกลับเข้าไปในห้องนอนแล้วแกล้งนอนหลับอยู่ในผ้าห่มต่อไป เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้รู้สึกดีใจเมื่อเห็นว่าตนยังไม่ตื่นนอน

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ปกรณ์ก็เดินกลับขึ้นมาบนห้อง คนที่แกล้งนอนหลับอยู่ในผ้าห่มรอบยิ้มออกมา เกือบจะเล่นไม่เนียนเพราะกลิ่นเนื้อที่โชยมามันหอมหวนเหลือเกิน

ปกรณ์นำจานอาหารไปวางไว้ที่โต๊ะญี่ปุ่น ก่อนจะเดินมาดูคนที่กำลังนอนหลับอย่างพิจารณา เขาแย้มยิ้มออกมาเพราะคิดว่าผู้ชายคนนี้ดูน่ารักขณะหลับ ทั้งยังสุภาพแสนดีไม่ทิ้งให้ตนต้องอยู่คนเดียวในเวลาที่แย่ๆ

“คุณชานนท์ครับ” ปกรณ์เรียกพร้อมกับเอื้อมมือไปแตะร่างที่กำลังหลับเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบรับ เขาจึงเรียกอีกที “คุณชานนท์ครับ”

 คราวนี้ ชานนท์แกล้งลืมตาอย่างช้าๆ ยกมือขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ ราวกับเด็กที่ไม่อยากลุกจากเตียงนอน

“เช้าแล้วเหรอครับ” ชานนท์แกล้งถาม

 “ครับ” ปกรณ์พยักหน้า

“นี่มัน... กลิ่นอะไรครับ” ชานนท์แกล้งทำจมูกฟุดฟิด “หอมจัง”

 “สเต็กสันคอหมูครับ” ปกรณ์ยิ้มกริ่มทำที “ลุกมาทานอาหารเช้าก่อนครับ คือผม... ผมตั้งใจทำให้คุณชานนท์”

 “หือ...” ชานนท์แกล้งลุกพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทำดวงตาลุกวาวราวกับกำลังตกใจ “คุณบอกว่าตั้งใจทำให้ผม นี่คุณ... คุณทำอาหารให้ผมเองเลยเหรอครับ”

“ครับ” ปกรณ์พยักหน้า “คือผม... อยากขอบคุณที่เมื่อคืนคุณอยู่เป็นเพื่อนผมน่ะครับ”

“ใครบอกว่าผมอยากอยู่เป็นเพื่อนล่ะครับ”

ปกรณ์หน้าเสียเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน หรือว่าเมื่อคืนที่เขาต้องค้างอยู่ที่นี่ เขาแค่สมเพชและสงสารคนที่กำลังมีอาการเครียดก็เท่านั้น

“โถ่... ฟังผมให้จบก่อนสิครับ ทำหน้าเศร้าแบบนี้ผมสำนึกผิดแทบไม่ทัน” ชานนท์ยื่นมือไปสัมผัสกับอีกฝ่ายก่อนจะแย้มยิ้มออกมา “ผมหมายถึง... อยากเป็นมากกว่าเพื่อนต่างหากล่ะครับ”

สีหน้าของปกรณ์เปลี่ยนไปในทันทีจนเขาแทบจะซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ไม่ทัน

“ผมขอเวลาก่อนนะครับ” ปกรณ์ตอบออกมา เขาไม่ได้เล่นตัวนะ เขาเพียงคิดว่า... “ผมอยากหายดีและใช้ชีวิตให้เหมือนคนปกติก่อนน่ะครับ ผมไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระหรือตัวถ่วงในชีวิตของคุณ”

“คุณนี่ชอบคิดมากจริงๆ” ชานนท์ขยี้หัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู “ผมรอก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนเลยนะครับ ต่อให้ตอนนี้คุณจะมองผมเป็นแค่เพื่อน แต่สำหรับผม... คุณสำคัญมากเกินคำว่าเพื่อนแล้วครับ”

ปกรณ์เบือนหน้าหนีเพื่อที่จะซ่อนความรู้สึกที่เกิดขึ้น คนอย่างเขาน่ะหรือจะมีความสำคัญได้ถึงขนาดนั้น แม้จะรู้สึกยินดีกับสิ่งที่ได้ยิน แต่อีกใจก็พยายามหาเหตุผลมาปฏิเสธเพราะยังคงคิดว่าตัวไม่มีดีพอ... พอที่จะคู่ควรกับคนที่แสนดีคนนี้

“กินสเต็กกันก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวมันเย็นจะไม่อร่อยเอา” ท้ายที่สุด เขาจึงเลือกที่จะเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเพื่อปิดบังความเขินอาย

“สเต็ก” ชานนท์ทวนคำ “ที่คนรักทำให้น่ะเหรอครับ ต่อให้มันเย็นหรือจืดชืดแค่ไหน มันก็คงเป็นสเต็กที่อร่อยที่สุดในโลกอยู่ดีนั่นแหละครับ”
ปกรณ์หลุดขำออกมารู้สึกตลกมากกว่าหวานซึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน

“เดี๋ยวครั้งหน้าจะทำให้กินจนท้องเสียเลย ดูซิจะยังอร่อยอยู่ไหม”

“จริงเหรอครับ จะรอนะครับ” ชานนท์ชักคิ้วยียวนก่อนจะเป็นฝ่ายที่ลากแขนเจ้าของบ้านไปนั่งทานสเต็กมื้อเช้าที่แสนพิเศษด้วยกัน
 
 
 
----------------------------


 
‘คุณชานนท์ครับ วันเสาร์อาทิตย์นี้คุณว่างไหมครับ คือผม... ผมอยากจะชวนคุณไปเที่ยวต่างจังหวัด ก่อนที่ผมจะเข้ารับการรักษาและรับการบำบัดกับทางโรงพยาบาลน่ะครับ แต่ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะครับ ไว้คราวหลังก็ได้’
 
เมื่อหลายวันก่อน ปกรณ์โทรมาชวนชานนท์ไปเที่ยวต่างจากหวัด เขาต้องรวบรวมความกล้าอยู่นานสองนานกว่าที่จะกดโทรออก จนทำให้ในที่สุด พวกเขาทั้งสองก็ได้ไปเที่ยวด้วยกัน

“ทำไมถึงอยากมาที่นี่ครับ” ชานนท์หันหน้ามองออกไปนอกกระจกขณะที่เขากำลังนั่งอยู่บนรถ ปรากฏภาพของทุกหญ้า ไกลๆ ออกไปนั้นมีภูขนาดสูงใหญ่ อีกไม่นานมากนักก็คงจะถึงจุดหมาย

  “น้องปาณัฐแนะนำมาครับ น้องอยากให้ผมมาชมธรรมชาติที่นี่ มาปืนขึ้นภูที่นี่ แต่ผมไม่กล้ามาคนเดียว ผมก็เลย... ชวนคุณ” ปกรณ์ตอบออกมา “ความจริงผมเองก็อยากมาที่นี่นานแล้วนะครับ ก่อนที่น้องชายของผมจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เขาเองก็เคยมาที่นี่”

“น้องชายงั้นเหรอครับ” ชานนท์ทวนคำ พลางคิดอะไรบางอย่าง “น้องชายคุณอายุเท่าไหร่นะครับ”

 “ยี่สิบเอ็ดครับ เท่ากับปาณัฐเลย” ปกรณ์ตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เขาอายุมากกว่าน้องชายแค่ 4 ปี ทำไมเขาจะจำไม่ได้

“แล้วนิสัยล่ะครับ คุณคิดว่าพวกเขาเหมือนกันไหม” ชานนท์กำลังสงสัยอะไรบางอย่าง ในเมื่อเขาบอกว่าแม่เลี้ยงกับน้องชายไม่ชอบเขา เกลียดเขา ทำร้ายเขา แต่ในบางที... ปกรณ์ก็ดูมีความสุขเวลาที่พูดถึงน้องชาย 

  “ไม่เหมือนหรอกครับ ปาณัฐน่ะเขาเป็นเด็กดี ชื่นชมผม ชอบผม” ปกรณ์ตอบออกมาอย่างเปิดใจ “แต่เขา... ผม... ผมไม่แน่ใจ”

  “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดนะครับ” ชานนท์รีบห้ามเมื่อเห็นว่าปกรณ์ยกมือขึ้นมากุมขมับ สีหน้าเริ่มแสดงออกถึงความเครียด

 “ผมไม่เป็นอะไร” ปกรณ์พึมพำ พยายามสงบสติลง

  “แล้วคุณรู้ได้ไงครับว่าน้องชายคุณมาที่นี่ เขา... เล่าให้ฟังเหรอครับ”

“อ้อ... แป๊บนึงนะครับ” ปกรณ์หยิบกระเป๋าเป้ออกมา เขารูดซิปแล้วค้นหาอะไรบางอย่าง “นี่ครับ”

            ปกรณ์ยื่นแผ่นโปสการ์ดมาให้ มันเป็นโปสการ์ดภาพพระอาทิตย์สีส้มที่กำลังสาดแสงอยู่สุดปลายฟ้า ท้องฟ้าด้านล่างเป็นสีส้มอ่อน ส่วนท้องฟ้าด้านบนเริ่มเป็นสีครามเป็นสัญญาณว่าพระอาทิตย์กกำลังจะตกดิน

            พอพลิกไปดูด้านหลัง... ข้อความที่ปรากฏได้ทำให้ชานนท์ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่

...พระอาทิตย์ที่นี่สวยมาก ถ้ามีโอกาสแกต้องมาดูให้ได้นะ...

“ผมเองก็แปลกใจนะครับ ตอนเป็นเด็กเราทะเลาะกันประจำ แม่ของเขามักยุยงให้เขาทำร้ายผม พอผมสู้ แม่เขาก็จะเข้ามาจับตัวผมไว้ แล้วสั่งให้เขาทำร้ายผมสารพัด ผมเจ็บมาเยอะครับ นานวันเข้าผมก็เลิกคิดสู้เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ จากนั้นผมก็เริ่มกลัว พอเผลอสบตา ผมก็ต้องรีบหลบหน้า ผมกลัวน้องตัวเองมาก ตลกดีนะครับ”

ชานนท์พยักหน้ารับฟังอย่างเงียบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ปกรณ์เปิดใจเล่าเรื่องน้องชายให้ฟัง แม้จะไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่า แม่เลี้ยงคือสาเหตุที่ทำให้พี่น้องทะเลาะกัน

“ตอนเขาอยู่ ม.6 เขามาเที่ยวที่นี่กับเพื่อน แล้วผมก็เห็นโปสการ์ดใบนี้สอดเข้ามาจากช่องด้านล่างของประตูห้องนอน มันเป็นลายมือของเขาจริงๆ ครับ ผมเลยเก็บมันไว้อย่างดีและคิดมาตลอดว่าในใจลึกๆ เขาอาจจะไม่ได้เกลียดผมอย่างที่แสดงออกก็ได้”

ชานนท์ลองวิเคราะห์สิ่งที่ได้ฟังด้วยความรวดเร็ว ถ้าไม่มีตัวแปรอื่นอีก เขามั่นใจและคิดเช่นเดียวกับปกรณ์ว่า น้องชายไม่ได้เกลียดเขาแน่ๆ แต่เพราะมีแม่เป็นตัวการที่ยุยง แต่ก็ยังต้องค้นหาสาเหตุต่อไปว่าเพราะเหตุใด ปกรณ์ถึงรู้สึกหวาดกลัวน้องชายมากกว่าที่ควรเป็น ...มันต้องมีเหตุการณ์ร้ายแรงมากกว่าการทุบตีกันแน่ๆ

“ผมเองก็เชื่อนะครับ ว่าน้องชายไม่ได้เกลียดคุณ” ชานนท์พูดออกมาตามความคิด

“ช่างมันเถอะครับ ผมเผลอเล่าเรื่องเครียดๆ ให้คุณฟังอีกแล้วสิเนี่ย”

“ผมยินดีรับฟังนะครับ ถ้ามันทำให้คุณสบายใจ” ชานนท์ยิ้มให้อีกฝ่าย

“มันน่าอาจจะตายไปครับ ผมมันแค่คนขี้ขลาด” น้ำเสียงของปกรณ์เริ่มแผ่วเบา เขาก้มหน้านิ่ง “ผมไม่คิดว่าผมคู่ควรกับคุณเสียด้วยซ้ำ”

  “เอาอีกแล้วนะ” ชานนท์ยกมือขึ้นมาขยี้ศีรษะ “ไหนยิ้มซิ”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงทำหน้าเศร้า ชานนท์จึงประคองใบหน้าของเขาขึ้นมา แล้วใช้มือทั้งสองข้างดึงแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ

“ยิ้ม... สิครับ”

  “งือ...” ปกรณ์ค่อยๆ ยิ้มอย่างฝืนๆ “พอใจยัง”

“ยัง” ชานนท์ส่ายหน้าก่อนจะแกล้งดึงหน้าของอีกฝ่ายแรงๆ “พอใจแล้ว”

 “แกล้งกันเหรอครับ” ปกรณ์ไม่ยอมแพ้ เขาโต้ตอบโดยการยื่นมือไปดึงหน้าของชานนท์คืน “นี่แหนะๆ”

 ชานนท์ไม่สู้แต่เขากลับหัวเราะชอบใจ... การที่ปกรณ์กล้าเล่นกล้าหยอกกับเขามากขึ้นนั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ได้พัฒนาขึ้นไปอีกระดับ

 จากการเจอกันครั้งแรก... ที่เขาไม่แม้แต่จะมองหน้าเอาแต่มองโต๊ะทำงาน จนกระทั่งในวันนี้เขากล้าที่จะหยอกล้อ มันทำให้ชานนท์รู้สึกดีขึ้นมาได้อย่างประหลาด

 “ยิ้มอยู่ได้” ปกรณ์ยังคงดึงต่อไป

 “ก็ดีใจน่ะครับ” ชานนท์ยิ้มแป้น “ผมชอบเวลาคุณยิ้มมากกว่าเวลาทำหน้าเศร้านะครับ พอคุณยิ้มผมก็เลยยิ้มด้วย”

ปกรณ์แกล้งหุบยิ้มลงในทันที แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นเขาก็ต้องหลุดขำเมื่อชานนท์แสร้งทำหน้าบิดเบี้ยวเพื่อให้เขาให้เราะ

  ชานนท์หวังว่าการเดินทางมาท่องเที่ยวในครั้งนี้ จะช่วยเยี่ยวยาอาการของปกรณ์ให้ดีขึ้น การทำให้เขาพบกับความสุขสนุกสนานและหัวเราะขำขัน คงช่วยเยียวยาถึงความเลวร้ายในอดีตได้บ้าง

 หรืออย่างน้อยที่สุด... มันจะเป็นความทรงจำที่มีความสุขแม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตก็ยังดี

           


---------------------------



            ภายในห้องนอนห้องหนึ่ง หญิงวัยกลางคนกำลังยืนดูดบุหรี่อยู่บริเวณหน้าต่าง คิ้วของหล่อนขมวดเป็นปมราวกับว่ากำลังมีเรื่องยุ่งเหยิงกำลังรบกวนจิตใจ

            หล่อนพ่นควันบุหรี่ออกมาด้วยความกังวลใจก่อนจะจิ้มมวลบุหรี่ไว้ในกระถางต้นไม้ใกล้ๆ มือ

            ขณะนั้นเองประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของใครบางคนที่เดินมุ่งตรงมาหา

            “พี่บอกแล้วใช่ไหมฤทัยดีว่าไม่ชอบให้ดูดบุหรี่ในห้อง” เขาทำเสียงดุ

            “ฤทัยขอโทษค่ะ ฤทัยแค่มีเรื่องกังวลเท่านั้น” ฤทัยดีตอบออกมา

            “เรื่องอะไร” เขาถาม

            “ฤทัยได้ยินมาว่าลูกชายของพี่พักนี้ไปที่โรงพยาบาลบ่อยน่ะค่ะ”

            “ไอ้ปกรณ์น่ะเหรอ ทำไม เธอเกิดเป็นห่วงมันขึ้นมารึไง” น้ำเสียงของเขาเย็นชา ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะเอะใจสักนิดว่าลูกชายป่วยเป็นอะไร เหตุใดจึงต้องไปโรงพยาบาล

            “ห่วงอะไรล่ะคะ ฤทัยห่วงคุณพี่มากกว่าน่ะสิ” หล่อนพูดจีบปากจีบคอก่อนจะยื่นแขนไปคล้องคอกับชายหนุ่มตรงหน้า “ไม่ได้ข่าวบ้างเหรอคะ ลูกชายพี่สิทธิ์ก็ออกจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในกลุ่มของนักถ่ายภาพนะคะ”

            “พี่ไม่สนหรอก เธอก็รู้ ตอนนี้ที่พี่ห่วงก็มีแค่เธอกับเจ้าปรัชญ์” ประสิทธิ์พูด

            “ไม่จริงหรอกค่ะ” ฤทัยดีแกล้งทำเสียงงอนง้อ “ถ้าพี่ไม่สนพี่คงขายบ้านหลังนั้นทิ้งไปแล้ว”

            “เธอจะสนใจอะไรบ้านหลังนั้นนักหนา เราก็อยู่ที่นี่ไงบ้านไหมของเราใหญ่กว่า สุขสบายกว่าตั้งเยอะ”

            “ก็ฤทัยเห็นว่าที่ดินตรงนั้นมันอยู่ในเมืองนี่คะ ถ้าขายคงจะได้กำไรน่าดู”

            “พี่เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าพี่จะไม่ขายบ้านหลังนั้นเด็ดขาด” เขาพูดเสียงแข็ง “ถึงยังไงเจ้านั่นมันก็เป็นลูกของพี่”

            “เฮอะ... ช่างมันเถอะค่ะ” หญิงวัยกลางคนเอาแขนออกจากคอก่อนชายวัยกลางคนก่อนที่จะเดินบิดก้นไปนั่งลงที่ขอบเตียงนอน “ตอนนี้มีเรื่องน่าคิดกว่านั้นตั้งเยอะ”         

            “เรื่องอะไร” ประสิทธิ์เดินตามเธอไป

            “มีคนมาพูดกับฤทัยน่ะค่ะว่าลูกชายพี่ไปพบหมอบ่อยๆ ที่โรงพยาบาล...” หล่อนหยุดพูดชั่วขณะแล้วหันไปจับจ้องสามีของเธอเพื่อที่จะดูว่าอาการของเขาเป็นอย่างไรหลังจากที่ได้ยิน “แผนกจิตเวช”

            ประสิทธิ์เบิกตาตกใจชั่วขณะ เขาหันไปมองหน้ากับหญิงวัยกลางคนตรงๆ

           “เธอว่ายังไงนะ มันไปพบหมอแผนกอะไรนะ”

            “หมอโรคจิตค่ะ”

            “ใครบอกเธอ” น้ำเสียงของประสิทธิ์ร้อนรนยิ่งขึ้น

            “คนรู้จักค่ะ เขาบอกว่าพวกช่างภาพหรือพวกที่ทำงานด้านหนังสือเอาไปซุบซิบนินทากัน บอกว่าเจ้าของโฟโต้บุ๊คภาพถ่ายอะไรสักอย่างน่ะค่ะ เป็นโรคจิต” หล่อนแสยะยิ้มออกมา แม้จะรู้สึกสมเพชในใจแต่นั่นไม่ใช่การดีแน่ เพราะหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป อาจทำให้การงานของประสิทธิ์มีปัญหา การที่มีลูกป่วยเป็นโรคจิตนั่นหมายความว่า ครอบครัวย่อมมีส่วนผิดในการดูแล และประสิทธิ์อาจถูกมองในแง่ลบ และเรื่องอาจสาวมาถึงตัวของหล่อนที่เป็นชู้ด้วย

            “มันเป็นหนักขนาดนั้นเลยเหรอ” ชายวัยกลางคนเอ่ยออกมาด้วยความสับสน ถึงอย่างไรหมอนั่นก็คือลูกชายของเขา

            “ฤทัยก็ไม่รู้ค่ะ แต่พี่คะ เราต้องไปห้ามไม่ให้เขารักษานะคะ เพราะคนอื่นอาจเอาไปนินทาและทำให้พี่เสียหายได้” ฤทัยดีพยายามโน้มน้าว อีกนัยหนึ่งหากปกรณ์ป่วยเป็นโรคจิตจริงมันก็จะง่ายต่อหล่อนในอนาคตหากต้องการที่จะขายบ้านหลังนั้นทิ้งแล้วเอาเงินมาเป็นของตัวเอง

            “แล้วถ้ามันป่วยจริงล่ะ” ประสิทธิ์ครุ่นคิด เขาพยายามนึกหาสาเหตุของเรื่องนี้แล้วนึกโทษตัวเองขึ้นมา เขาเคยทำอะไรไม่ดีๆ ต่อหน้าปกรณ์หลายครา บางทีเด็กคนนั้นอาจจะฝังใจแล้วเก็บเอาไปคิดมากและสะสมจนกลายเป็นความเครียด

            “ไม่หรอกค่ะ คนเป็นโรคจิตที่ไหนจะยังพูดคุยรู้เรื่องคะ อย่างมากก็คงเครียด... นะคะคุณพี่ คุณพี่ต้องไปห้ามไม่ให้ปกรณ์รักษานะคะ” หล่อนคะยั้นคะยอ เมื่อเห็นว่าประสิทธิ์ยังคงนิ่งเงียบหล่อนจึงคิดใช้มารยาหญิงเพื่อให้อีกฝ่ายคล้อยตาม ...นั่นเป็นวิธีเดียวที่เธอสามารถใช้ปราบประสิทธิ์ได้เชียวล่ะ

            กระดุมเสื้อของประสิทธิ์ค่อยๆ ถูกปลดออก หล่อนกรีดนิ้วมือจากบนลงล่าง ส่งสายตายั่วยวนก่อนที่จะเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองออกบ้าง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มมีอารมณ์ร่วมหล่อนก็ออกแรงผลักร่างนั้นกดลงกับเตียงนอนก่อนจะโน้มใบหน้าไปคลอเคลียที่ต้นคอแล้วเลื่อนขึ้นใบใกล้ๆ กับใบหู

            “นะคะพี่” หล่อนกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา ลมที่พ่นตามมาส่งผลให้อีกฝ่ายเริ่มสัมผัสได้ถึงความสนุกสนาน

            “ได้ เดี๋ยวพี่จะไปห้ามมันเอง”

            เมื่อคำวิงวอนของเธอเป็นผล เธอจึงเริ่มปฏิบัติการความปรารถนาบทต่อไปด้วยความเร่าร้อน



จบตอน...

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด