Existence : ผู้นำ & ธาม
-----------ตอนที่ 2
คืนแรกทึ่ประเทศไทยร้อนสุดๆ
ธามเดินวนรอบบ้านเพื่อหาหนังยางมัดผมเป็นจุกด้านหน้า เขานอนไม่หลับเพราะอากาศร้อนด้วย และไม่ชินสถานที่ก็ด้วย
วันนี้ยังไม่ได้เจอลุงหมอ ขัดใจเหมือนกัน แต่เขาบอกตัวเองไว้ให้อดทน อีกนิดเดียวก็จบเรื่องแล้ว
แล้ววันนี้จะไม่ได้หนังยางด้วยหรอเนี่ย แย่ชะมัด
ควรหาหนังยางจากที่ไหนดี?
"คิทเช่น" เขาให้ทางเลือกตัวเอง คิดได้ก็วิ่งปรู๊ดไปทันที
"ว้าย! ตาเถรหกค่ะคุณธาม"
"หกหก อะไรหก?" เขาถามป้าจูที่เพิ่งเจอกันวันแรก แต่ทำราวกับรู้จักเขามานาน
"วิ่งเร็วจี๋เชียว ระวังหน่อยสิคะ หน้าคะมำไปแย่นะคะ"
"แล้วเข้ามาครัว หิวหรอคะ?"
"อยากได้มัดผม ร้อน"
"โถพ่อคุณ"
"นั่งตรงนี้นะคะ เดี๋ยวป้ามัดให้" ไม่ได้ขอมากเท่านี้ซะหน่อย ธามดื้อยืนตัวแข็งไม่ขยับนั่งดังคำบอก เขามองป้าจูก้มๆ เงยๆ แล้วก็ชูสิ่งที่เขาต้องการขึ้นอวด
"พอได้มั้ยคะ"
"มันมัดผมได้ใช่ไม่ใช่"
"ค่า นั่งเถอะค่ะ เมื่อเล็กก็วิ่งวุ่นวายแบบนี้"
เมื่อเล็ก… ธามพยักหน้าเข้าใจความหมายว่าเมื่อเล็กคือตอนเด็ก
เขายู่ปากแล้วคิดถึงเรื่องตอนเด็ก เขาชอบวิ่งเล่นกับพี่นำ แต่เขาไม่ได้เล่นกับพี่นำทุกวัน ก็เลยต้องเล่นให้คุ้มเวลาเจอกันแต่ละที
พี่นำใจดี ขออะไรก็ให้ ถามอะไรก็ตอบ ไม่โกรธธาม ไม่รำคาญธาม ธามชอบพี่นำเป็นพิเศษ แต่พี่นำคงไม่ได้ชอบธามเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทิ้งธามไปเหมือนคนอื่นๆ
"ใครเขาจะต้องการเด็กไม่มีพ่อมีแม่อย่างแก เจ้าธาม" เขาจำความรู้สึกเจ็บจุกในอกตอนได้ยินคำพูดนี้ได้ดี
"ตัวซวย อยู่กับใครก็พากันตายหมด"
"พี่ณาระวังตัวไว้ก็ดี รับมันเป็นลูก เดี๋ยวก็ซวย ตายไม่รู้ตัว" แล้วป้าณาก็ตายจากไปจริงๆ
คงถูกของผู้ชายคนนั้น ธามเป็นตัวซวย"เสร็จแล้วค่ะ พอได้มั้ยคะ" ป้าจูลูบหัวเขาเบาๆ แล้วยิ้มให้ แกเงยมองหน้าเขาเมื่อเขาสะดุ้งแล้วลุกขึ้นยืน ธามไม่กล้ายิ้มให้ เขาทำได้แค่ดึงหนังยางออกจากหัวแล้วคืนให้
"รับไม่ดีหรอก ไม่เอาแล้ว" ธามพูดเท่านี้ก็วิ่งกลับห้อง เขารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ฝึกใช้ภาษาไทยจนเข้าใจกว่านี้ จะได้พูดคำที่มันตรงความรู้สึกได้ดีกว่านี้ ป้าจูจะได้ไม่ทำหน้าแบบนั้น
ทั้งที่ในห้องนี้แอร์ก็เปิด แต่มันก็ยังรู้สึกร้อน ธามฮึดฮัดก่อเสียงตึงตังระบายความหงุดหงิด เขาไม่คิดว่ามันจะไปกวนใครเข้า
ปัง ปัง ปัง!
"ธาม! ธาม เปิดประตู"
เสียงเคาะประตูดังลั่นทำให้ธามตกใจและรีบวิ่งไปเปิดประตูตามคำสั่ง คนที่มาเคาะขู่กันก็คือพี่นำหน้าดุ
"เราเป็นอะไร?"
"หือ? เอ่อ บราเธอร์"
"พี่กับน้องกัน"
"พี่หมายถึงธามน่ะ เป็นอะไร ทำไมในห้องเสียงดังโครมคราม มีอะไรรึเปล่า"
"นอทธิง"
"ภาษาไทยครับ"
"ไม่รู้ทุกพูด จะเข้าใจไม่หมดเหมือนกัน"
"แต่พี่ไม่ชอบ"
"ไม่อยากให้คุณชอบด้วยเหมือนกัน!" I don't like you either! อยากจะต่อความตามถนัด แต่สายตาดุกว่าเดิมทำให้ธามทำได้แค่กอดอกยืดตัวสู้เท่านั้น
"ทำไมไม่น่ารักเลย ทั้งที่เคยเป็นเด็กดีของพี่แท้ๆ"
"I've got nothing to say!"
"At all!" ธามทำหน้าบูดใส่แล้วจะปิดประตูห้อง แต่พี่นำกลับกางแขนดันประตูไว้ ธามถอนหายใจใส่หน้าแล้วขบเคี้ยวปากไปมา ยึดหลักในใจว่า ไม่ยอม ไม่ยอม
"เข้าห้องไปนอน"
"เร็ว พี่บอกให้นอนไงครับธาม"
"เราไม่ใช่เด็กแล้วนะ พูดต้องรู้ฟัง"
"หลับซะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน"
"Now!"
ก็ได้! ธามยกนิ้วกลางให้แล้ววิ่งไปกระโดดทุ่มตัวลงเตียง เขานอนหงายแผ่หลาท้าอากาศ แต่แล้วเตียงก็ยวบลงจนเขาสะดุ้ง
"นำ…"
"จนกว่าธามจะหลับ"
"พี่จะดูเอง"
"พี่นำจะนอนรึยัง ธามยังไม่หลับนะ ยังไม่หลับเลย"
"ให้ธามหลับก่อนนะ"
"ป้าณาให้ธามนอนคนเดียว ธามยังไม่อยากเก่ง ไม่อยากนอนคนเดียว"
"พี่นำ พี่นำ ตอบก่อนสิ หลับแล้วหรอ อย่าเพิ่งสิพี่นำ"
"อื้ออออออออ" ตอนนั้น พี่นำอื้อยาวๆ แล้วกอดธามไว้ทั้งตัว
แล้วตอนนี้ล่ะ?
"มองหน้าพี่นำทำไมครับ" พอโดนทักธามก็หันหน้าหนี เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียงพลางกระพือเสื้อกล้าม จากนั้นก็ยอมพูดให้อีกฝ่ายรู้ที่มาที่ไป
"ร้อน นอนไม่ได้ ไปหายางมัดผม ป้าจูทำให้แต่ไม่เอาแล้ว ไม่อยากต้องซวย แล้วนำก็มาสั่ง"
"พี่ไม่ได้สั่ง พี่ได้ยินเสียงโครมคราม คิดว่าเรา หมายถึง คิดว่าธามเป็นอะไร อาจล้มหรืออะไร เลยมาดู"
"แล้วอยู่ที่นี่ เมืองไทย ควรพูดภาษาไทยนะครับ ผิดถูกก็สอนกันใหม่ได้"
"ทีนี้ก็นอนได้แล้ว ห้าทุ่มแล้ว"
"แต่ร้อน"
พอเขายืนยัน พี่นำก็ขมวดคิ้วแล้วเดินไปดูที่แอร์ รีโมทบนผนังถูกหยิบมากดดู และเขาก็ได้คำตอบ พี่นำยิ้มมุมปากแล้วบอกเขาว่า
"ธามครับ มันตั้งไว้ 27 องศา ไม่ร้อนก็ไม่ใช่คนแล้ว"
"ธามไม่ใช่!" เขาหมายถึงธามไม่รู้นี่ ธามหน้าเจื่อนไปนิด แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนหลังจากบอกความต้องการว่า " 23 องศา"
เตียงยวบลงอีกครั้ง ครั้งนี้ธามไม่ได้หันมอง เขาผ่อนลมหายใจแล้วหลับตา มืออีกฝ่ายวางลงตรงหน้าผากและหัวเขา นิ้วอีกฝ่ายกดน้ำหนักขึ้น-ลงแผ่วเบา
เสียง ที่จำได้แม้ไม่ได้ยินมานาน บอกเขาว่า
"หลับนะเด็กดี พี่นำอยู่นี่แล้วครับ" ---------------
ธามนอนดิ้นกว่าที่หนึ่งเสียอีก
หมอนำบิดเอี้ยวตัวแก้เมื่อย เมื่อคืนเขาผลอยหลับตามธามไป ตีสองกว่าๆ ก็สะดุ้งจากการโดนขาฟาด หมาธามเอ้ย! เขามองคนดิ้นจนนอนขวางเตียงแล้วขำเบาๆ จากนั้นก็ปิดไฟให้แล้วกลับไปนอนห้องตัวเอง
ก่อนออกจากห้อง ผู้นำมองสำรวจห้องที่มีเจ้าของกะทันหัน ทุกอย่างเหมือนเดิม มีแค่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่เท่านั้นที่เพิ่มเข้ามา
ธามแทบไม่ได้เอาอะไรออกจากกระเป๋าเลย เด็กขี้เกียจ
หรือบางที ที่ไม่รื้อใช่ว่าขี้เกียจ แต่อาจคิดว่าไม่จำเป็น
ผู้นำยอมรับว่าน้องดูไม่เปลี่ยนไปมาก แต่น้องมีอะไรบางอย่างที่เก็บงำไว้ในใจ
เขาคิดว่าเขาต้องคุยกับพ่อเรื่องธามให้ละเอียดกว่านี้ หากจะให้เขาช่วยดูแลน้อง เขาก็ต้องรู้จักน้องลึกยิ่งขึ้น
7 โมงครึ่ง เวลาอาหารเช้า เวลาเจอพ่อ
ผู้นำเร่งแต่งตัว เขาออกจากห้องแล้วแวะดูธามก่อน รายนี้ยังไม่ตื่น คนบ่นร้อนนอนขดตัวคลุมโปง แต่ปลายเท้าโผล่ออกมาอวดความขาว กระดูกนี่คงเลือกหยิบเบอร์เล็กสุดมาแน่ๆ ผอมจริง
ผู้นำมุ่งตรงมายังห้องอาหาร ท่าทางเขาคงรีบกว่าปกติ ป้าจูถึงได้ทักถามว่า "วันนี้งานด่วนหรอคะ ดูรีบๆ ป้าให้ลุงเผือกเตรียมรถ
"เปล่าครับ มีธุระคุยกับคุณพ่อ" ผู้นำตอบแล้วคลี่ยิ้มให้ เขามีนิสัยชอบทำให้คนรอบตัวสบายใจมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ป้าจูยิ้มตาม แล้วก็เหลียวหน้าแลหลังเลิ่กลั่ก
"คุณธามล่ะคะ"
"ยังไม่ตื่นครับ อืม อีกเดี๋ยวป้าขึ้นไปปลุกที ไม่ต้องรีบก็ได้ ขอผมคุยกับคุณพ่อเสร็จก่อน"
"ค่ะ"
จบเรื่องเขาก็เดินจาก ห้องอาหารคือที่หมาย และยังไม่ทันเจอหน้ากันเต็มตา พ่อเขาก็ลากเข้าเรื่องที่เขากำลังสนใจทันที
"นำ มาแล้วก็ดี เจ้าธามเป็นยังไงบ้าง พ่อล่ะห่วง อาการป่วยมันชัดขึ้นทุกวี่วัน นี่ประวัติรักษา แล้วนี่เรื่องของน้าวีณาเขา พ่อว่ามันเกี่ยวกัน กำลังคุยกับทนายอยู่ จะให้มาอยู่กับเรา ใช้นามสกุลวตคุปต์ของเรา ก็ในเมื่อทางนั้นเขาชัดเจนมาตั้งแต่เจ้าธามเด็กๆ แล้วว่าไม่สนใจใยดี มีแค่น้าวีณาที่รักธาม เสียน้าไป น้องก็ไม่เหลือใครแล้ว"
เขาเบลอๆ ตั้งแต่พ่อพูดว่าน้องป่วยแล้ว ผู้นำขมวดคิ้วแล้วนั่งลงเพื่อพลิกดูแฟ้มบันทึกการบำบัดทางจิต
ธามป่วยหรอเนี่ย มิน่า สิ่งนี้นี่เองที่ทำให้เขารู้สึกได้ว่ามีอะไรมาขวางระหว่างเขากับธาม
อาการป่วยของน้อง เท่าที่เขากวาดตามองเอกสารการรักษา รู้สึกว่าจะไม่หนักหนานัก ยังไม่ถึงขั้นการหลั่งสารที่สร้างภาพหลอนหรือการสร้างกลไกป้องกันทางจิตที่หนาแน่นจนไม่ใช่สามารถใช้ชีวิตขนานกับโลกได้
ที่น้องเป็น ก็แค่อาการซึมเศร้าที่หมอที่นั่นรักษาด้วยการให้ยานอนหลับ เพื่อให้ร่างกายได้พักจากการคิดเคร่งเครียดเกินจำเป็น
“ไม่เห็นบอกสาเหตุนี่ครับ”
“เห็นว่าเจ้าตัวไม่พูด ที่ยอมไปหาหมอนี่ก็เพราะว่าหน้ามืดระหว่างเดินทาง ถึงได้โดนเช็คโดนสอบประวัติ”
“น้าเขาบอกพ่อบ่อยๆ ว่าโตมาแล้วเจ้าธามไม่ค่อยร่าเริง ไม่ค่อยบอกว่ารู้สึกยังไง หรือต้องการอะไร น้าเขาก็เลยใช้วิธีประเคนให้ทุกอย่างที่คิดว่าหลานอยากได้ ก็ไม่รู้ตอบโจทย์รึเปล่า”
“แล้วพ่อคิดจะรับผิดชอบธามจริงจังแค่ไหนครับ”
“พ่อจะรับเจ้าธามเป็นลูกบุญธรรม แต่มันติดที่เขายังเหลือญาติทางพ่อเขา”
“แต่ทางนั้นไม่รักธามนี่ครับ”
“ใช่ พ่อก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา ถ้าเจ้าธามมันเหลือแต่ตัว แต่นี่มันก็มีสมบัติที่น้าวีณาเขายกให้ ทุกอย่างที่เป็นของเขา เขาก็ให้หลานหมด”
“อืม มิน่า ถึงต้องมีทนาย” ผู้นำพยักหน้าทำความเข้าใจ เขาขมวดคิ้วอีกนิดแล้วถามเพิ่ม
“แล้วธามรู้เงื่อนไขตัวเองมากน้อยแค่ไหนครับ”
“ยังไม่รู้อะไรเลย พ่อไม่ได้บอกเรื่องรับเป็นบุตรบุญธรรม เรื่องสมบัติก็ไม่รู้ เรียนก็ยังไม่จบดี ปีสุดท้ายแล้ว แต่ก็เกิดเรื่องกับน้าวีณาซะก่อน พ่อเลยติดต่อให้กลับมาที่นี่ บอกแค่ว่าพ่อคิดถึง อยากเจอเท่านั้นแหล่ะ”
“แต่ธามก็รู้ใช่มั้ยครับว่าไม่มีน้าวีณา เขาก็ไม่มีใครแล้ว”
“อื้อ รู้” ผู้นำพยักหน้าอีกหน จากนั้นก็หยิบข้อมูลของน้าวีณาขึ้นมาพลิกๆ ดู เขานิ่วหน้าอีกครั้งแล้วเงยหน้ามองพ่อตัวเองอย่างประหลาดใจ
“ฆาตรกรรมหรอครับ?”
“อืม คนที่น่าสงสัยก็ไม่ใช่คนไกลเลย ญาติทางพ่อเจ้าธามนั่นแหล่ะ”
โธ่ ธามเอ้ย
ผู้นำเหนื่อยแทนธามจนหมดคำพูด เขาไม่รู้ว่าจิตใจน้องเข้มแข็งแค่ไหน ไม่รู้ลักษณะนิสัย แต่แค่รู้ว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า รู้ว่าโตมาแล้วไม่ค่อยร่าเริง เขาก็คิดว่าตัวเองพอจะรับมือกับน้องได้
“นำ”
“ครับพ่อ”
“พ่อฝากน้องได้มั้ย? นำรับน้องไว้เป็นธุระได้รึเปล่า”
“ได้สิครับ” เขาตอบพลางยิ้มให้ แต่พ่อกลับมองหน้าเขาจริงจัง แล้วถามเขาตรงๆ
“นำรู้รึเปล่าว่าการดูแลใครซักคน ต้องใช้อะไรบ้าง”
“ก็...ทั้งหมดที่จำเป็น”
“แล้วให้น้องได้รึเปล่าล่ะ ถ้าต้องใช้ทั้งชีวิต”
“..........” ผู้นำไม่ได้ตอบอะไร เขามองหน้าพ่อนิ่งๆ แล้วยิ้มให้ จากนั้นก็เริ่มต้นกินข้าวเช้าอย่างไม่รีบร้อนนัก ไม่นานธามก็วิ่งตึงตังเข้ามา พอเห็นลุงหมอที่รักเท่านั้นแหล่ะ ธามก็กลายเป็นเด็กชายคนหนึ่งที่กอดพ่อเขาไว้แน่น แล้วก็จ้อภาษาอังกฤษใส่ราวกับเป็นเพื่อนวัยเดียวกัน
ลุงกับหลานเขาผูกใจกันเร็วจนผู้นำไม่มีโอกาสได้พูดแทรกอะไร เขาทำได้แค่นั่งฟังแล้วหัวเราะเรื่องโม้ของธามบ้างบางครั้ง ฟังไปเรื่อยๆ ก็ชักจะสงสัยว่าทำไม เวลาอยู่กับเขาถึงไม่ยิ้มแบบนี้บ้าง
“เอาล่ะ ลุงต้องไปทำงานแล้ว ธามอยู่บ้านทำอะไรดี? หาที่เรียนต่อ หรือยังไง อยากทำอะไร บอกสิ”
“อยากทำหลายอย่าง แต่อยากคุยกับลุงหมอกว่านี้ มีเวลากับธามอีกมั้ย เรื่องจริงจัง”
“หือ?” ผู้นำเองก็สงสัยเหมือนพ่อที่ถึงกับส่งเสียงหือหาออกมานอกลำคอ
“อะไร มีอะไรจริงจัง พูดเลยก็ได้”
“ธาม จะกลับมาอยู่เมืองไทย”
“แบบลำพัง”
ผู้นำหันขวับไปมองหนุ่มน้อยที่เคยเป็นเด็กชายเดินตามเขาต้อยๆ ธามหันมองหน้าเขาครู่เดียวก็กลับไปจ้องพ่อเขาต่อ จากนั้นก็พูดย้ำสิ่งที่เขาไม่คิดจะปล่อยให้ทำตามใจเด็ดขาด
“ธามจะอยู่ด้วยตัวเอง ลุงหมอไม่ต้องเทคแคร์ ธามไม่อยากเป็นภาระใครอีก”
“ไม่ได้” จู่ๆ เขาก็โพล่งสิ่งที่คิดออกไป ผู้นำลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปจับบ่าคนที่เคยเรียกเขาว่าพี่เอาไว้ แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่สุด
“จากนี้ไป ธามคือธุระของพี่ ไม่ใช่ภาระ ธุระ”
“ธุระแปลว่า เรื่องที่พี่ต้องดูแล จนกว่าพี่นำจะไม่สามารถดูแลธามได้อีก”ดวงตาใสแต่แววตาหมองช้อนมองเขา แววตาธามสั่นน้อยๆ คิ้วขมวดเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ไม่นานก็ปัดมือเขาออก แล้วก็พูดตรงๆ
“ธามไม่ต้องการนำ” Cut
แฮะๆ เครียดกันมั้ย? เครียดนิดหน่อยเนอะ ไม่เป็นไรหรอก นิดเดียวเอง
