It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]  (อ่าน 96362 ครั้ง)

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


------------------------------------------------------------------------------------------------------------










**Note** เป็นภาคของกราฟและไนล์จากเรื่อง  "It's U, It's Me : กวนนัก แต่รักนะครับ" นะคะ
ใครที่ไม่ได้อ่านเรื่องก่อน แต่อ่านเรื่องนี้แล้วสนใจคู่พี่ภูกับไฮยีน ติดตามอ่านได้จากลิงค์นี่ค่ะ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29969.0



เรื่องอื่นๆ
- It's U, It's Me : กวนนัก แต่รักนะครับ
- 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」

Undel2Sky
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-01-2017 19:10:47 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
บทนำ : นับหนึ่ง

















ความทรมานอัดแน่นอยู่เต็มอก ราวกับหายใจไม่ออก และมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง มีแต่ความดำมืดที่โอบล้อมอยู่รอบตัว ผมเกือบจะถูกความมืดนั้นกลืนหายไป ถ้าไม่มีใครคนหนึ่งคว้ามือของผมเอาไว้ พร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

วินาทีที่ลืมตาขึ้นมาและเห็นว่าคนคนนั้นคือใคร ผมก็ถูกกระชากเข้าสู่อ้อมแขนที่เล็กกว่านั้นแล้ว มันกอดผมเอาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าผมจะหายไป เสียงสะอื้นพร่ำซ้ำแล้วซ้ำอีกแสดงให้ผมรู้อย่างชัดเจนว่ามันเสียใจมากแค่ไหน

“ไอ้กราฟ กลับมา! อย่าทิ้งกูไปนะ กูอยู่ตรงนี้ไง”

ความอบอุ่นที่ห่อหุ้มตัวผมเอาไว้ค่อยๆ ซึมซับเข้ามาทางผิวหนังที่เปียกปอนและเย็นชืดช้าๆ ให้ผมรู้ว่าผมยังมีชีวิตอยู่ ผมไม่ได้จมหายไปกับความมืดมิดที่ว่างเปล่า ผมจึงค่อยๆ ยกแขนขึ้นกอดร่างผอมบางนั้นเอาไว้และซุกหน้ากับบ่าของมันแน่น ความรู้สึกผิดเอ่อล้นเต็มหัวใจ

ทั้งที่สัญญากับมันแล้วว่าผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไป จะอยู่ดูแลมันแทนใครอีกคนที่จากไป แต่ผมก็ยังทำผิดเป็นครั้งที่สอง

“มึงไม่ได้ไม่เหลือใคร มึงยังเหลือกูอยู่ อย่าทำแบบนี้อีก”

“...”

“ไม่ว่ายังไงมึงก็อย่าทำอะไรโง่ๆ แบบนี้อีก มึงต้องอยู่กับกู ต้องอยู่กับกูตลอดไป”

ประโยคเล่านั้นดังสะท้อนอยู่ในหูของผมหลายต่อหลายครั้ง คล้ายกับจะก้องกังวานจวบจนความเสียใจที่อัดแน่นอยู่เต็มอกจะจางหายไป ผมกระชับวงแขนให้แน่นมากขึ้นราวกับเด็กที่โหยหาความอบอุ่น ทั้งที่ใครคนหนึ่งเคยบอกว่า... ผมเป็นคนอบอุ่น

“กูรักมึงนะกราฟ กูรักมึงมาก กูทนไม่ได้ถ้าต้องเสียมึงไป มึงห้ามตายจนกว่ากูจะอนุญาต ได้ยินไหม”

เสียงเดิมยังคงดังอย่างตีบตันด้วยอาการหอบสะอื้น ให้ผมรู้ว่าผมสำคัญสำหรับมันมากแค่ไหน ให้ผมรู้ว่าผมยังมีคุณค่า มีความจำเป็นที่จะต้องมีชีวิตอยู่

“อื้ม”

ผมขานรับมันสั้นๆ ทั้งที่รู้สึกจุกแน่นเต็มลำคอ เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างกีดขวางทางออกเอาไว้ แต่นั่นก็เป็นดั่งคำยืนยันแล้วว่าผมจะไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นอีก เพราะผมรู้แล้วว่าตอนนี้ผมมีความสำคัญกับใคร และผมก็ยกให้มันเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผมเช่นกัน

ไฮยีน... เพื่อนรักของผม

คนที่ช่วยฉุดดึงผมจากความตายถึงสองครั้ง...

ผมจะอยู่เพื่อมัน จะมีชีวิตและมีลมหายใจเพื่อมัน แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นหัวใจของผมก็ตาม












ผมลืมตาขึ้นช้าๆ และสิ่งแรกที่เห็นก็คือเพดานสีขาวที่ว่างเปล่า มีเพียงหลอดไฟซึ่งถูกครอบด้วยฝาขุ่นประดับลวดลายสีขาวที่ไร้แสงสว่าง เพราะมันไม่ได้ถูกเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เปลือกตากะพริบอยู่สองสามครั้งเพื่อปรับสภาพให้เห็นภาพเบื้องหน้าได้ชัดเจนขึ้น พร้อมกับการจูนสมองกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง

นานแล้วที่ผมไม่ได้ฝันถึงเรื่องราวในอดีต อาจจะเกือบหนึ่งปีได้ อดีตนั้นเป็นที่ดั่งฝันร้ายและตราบาปในชีวิตของผมมาหลายปี ผมทำความผิดกับคนคนหนึ่งเอาไว้ และผมไม่สามารถชดใช้ความผิดนั้นได้หมดจนกว่าผมจะหมดลมหายใจ

กรอบรูปที่หัวเตียงถูกหยิบมาไว้ในมือ ผมทิ้งสายตาค้างไว้ที่แผ่นกระจกใสแต่ไร้ซึ่งรูปถ่ายใดๆ มีเพียงแผ่นไม้ที่รองอยู่ด้านหลังในกรอบนั้น ทว่าแม้จะไม่มีภาพใดปรากฏอยู่ ผมก็สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนจากความทรงจำที่ยังหลงเหลืออยู่

ครั้งหนึ่งมันเคยมีภาพของใครคนหนึ่งที่สำคัญกับผมมากๆ แต่คนสำคัญอีกคนก็บอกให้เอารูปนั้นออก เพราะไม่อยากให้ผมต้องจมอยู่กับอดีตที่แก้ไขไม่ได้ และผมต้องมีชีวิตต่อไปเพื่ออนาคต

ไฮยีนบอกกับผมเอาไว้แบบนั้น

ผมวางกรอบรูปไว้ที่เดิม ค่อยๆ ลุกจากเตียง และคว้าผ้าเช็ดตัวก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อจัดการกับร่างกายที่โทรมด้วยเหงื่อจากการฝันร้าย ซึ่งหลังจากอาบน้ำแต่งตัว ฉีดน้ำหอมกลิ่นประจำตัวแล้วผมก็ขับรถออกจากคอนโดตรงไปมหา’ลัย เพราะนัดกับเพื่อนๆ ไว้ที่โรงอาหารเพื่อกินข้าวเช้าด้วยกัน ก่อนจะแยกย้ายกันไปเรียนตามคณะ

แต่เมื่อจอดรถที่ลานจอดรถด้านข้างโรงอาหารแล้ว แทนที่ผมจะได้เดินตรงไปหาเพื่อนๆ ที่นั่งรออยู่ ผมกลับถูกใครบางคนวิ่งชนเสียแรง และร่างนั้นก็กระเด็นลงไปนั่งกองกับพื้นจนผมเองยังตกใจ อาจเพราะว่าเธอค่อนข้างตัวเล็กมากเมื่อเทียบกับผมที่สูงร้อยแปดสิบสี่เซนติเมตร ผมจึงต้องรีบก้มลงมาช่วยเธอเก็บหนังสือและของในกระเป๋าที่เทกระจาดออกมาเต็มพื้น

“ขอโทษครับ”

“ฉันวิ่งชนเอง ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ”

เสียงหวานๆ ของผู้หญิงที่วิ่งชนผมตอบกลับมาขณะที่ผมยังก้มๆ เงยๆ ช่วยเธอเก็บของ กระทั่งผมเก็บทางฝั่งผมเสร็จ ผมก็หันกลับไปยื่นของในมือที่เก็บได้คืนเธอ และมือเล็กบอบบางสมตัวก็ยื่นออกมาเพื่อรับของจากผมไป

“ขอบคุณค่ะ ฉันวิ่งชนแล้วยังต้องให้ช่วยเก็บของอีก แย่จริงๆ”

ผมได้โอกาสเห็นหน้าเธอเต็มๆ ตา ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมาขอบคุณ รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเธอหวานจนทำให้คนมองเคลิ้มได้ และชั่ววินาทีนั้น ผมรู้สึกราวกับโลกหยุดหมุนลงอย่างฉับพลัน ไม่ใช่เพราะรอยยิ้มนั้นที่เธอตั้งใจมอบให้ผมด้วยความจริงใจ แต่เป็นใบหน้าของเธอที่เหมือนภาพซ้อนทับของใครบางคน

“มิ้น...”

ผมคว้ามือของเธอไว้อย่างลืมตัว ตายังมองเธอไม่เลิก เสียงหลุดลอดจากปากอย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ผมรู้แต่ว่าตอนนั้นเหมือนผมหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง เสียงอะไรบางอย่างที่เหมือนเข็มนาฬิกาขยับดังสะท้อนอยู่ในอก มันเป็นเสียงที่ผมไม่ได้ยินมานานแล้ว

ช่วงเวลาที่หายไป

หัวใจของผมที่หยุดทำงาน

นาฬิกาเรือนที่ฝังอยู่ในอกของผมเริ่มขยับอีกครั้ง...

“ไม่ใช่มิ้นค่ะ” เธอเหลือบมองเนคไทที่คอผมเล็กน้อย เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของเด็กปีหนึ่ง มือเล็กพยายามเลื่อนออกจากมือของผมอย่างระมัดระวัง ไม่ให้เสียมารยาท รอยยิ้มที่เจื่อนลงนิดๆ แต่พยายามรักษาเอาไว้ยังปรากฏอยู่บนใบหน้าสวย “พี่ชื่อดาหลา อยู่บริหารฯ ปีสอง”

คำตอบนั้นเหมือนเป็นกุญแจที่ไขหีบซึ่งถูกล็อกเอาไว้ เสียง ‘กิ๊ก’ ดังหนึ่งครั้งก่อนผมจะรู้ตัวว่าเผลอทำอะไรลงไป จึงต้องรีบปล่อยมือเธอออก และรีบขอโทษขอโพยที่ทำให้เธอตกใจ

“ขอโทษครับ ผมเข้าใจผิดนิดหน่อย” ผมยิ้มให้เธอจางๆ อย่างรู้สึกผิด ซึ่งก็ทำให้เธอยิ้มได้กว้างขึ้น ลดท่าทีหวาดระแวงผม “ผมชื่อกราฟครับ อยู่นิเทศฯ ปีหนึ่ง”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

พี่ดาหลาส่งยิ้มให้ผมอีกครั้ง ก่อนจะพยุงตัวขึ้นยืนหลังจากเก็บของลงกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว พานให้ผมลุกขึ้นยืนตาม

“ครับ เมื่อกี้ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้พี่ล้ม”

“พี่ซุ่มซ่ามเองค่ะ”

เธอตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มสดใสที่เหมือนกับมิ้นไม่มีผิด ผมรู้สึกเหมือนก้อนเนื้อใต้อกที่เหมือนจะหยุดทำงานไปนานแล้วกำลังไหวระรัว จนผมได้ยินเสียง ‘ตึกตึก’ ค่อนข้างดังจากอกด้านซ้าย

“แต่ผมก็ทำให้พี่เจ็บอยู่ดี พี่มีแผลหรือเปล่าครับ”

เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ผมจึงรีบมองสำรวจตัวเธอว่ามีแผลหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอย่างที่คิด

“พี่ไม่เจ็บตรงไหนจ้ะ แต่ว่าพี่คงต้องไปแล้วล่ะ ไว้มีโอกาสคงได้เจอกันใหม่”

ล่ำลาผมโดยที่ไม่รอให้ผมได้ตอบอะไรกลับไป เธอก็ก้าวฉับๆ พร้อมกับหอบหนังสือไว้ในอ้อมแขนไปด้วย ปล่อยให้ผมได้แต่มองตามเธออยู่อย่างนั้น พร้อมกับความคิดว่าเธอเหมือนมิ้น... คนที่ผมรักและทำผิดต่อเธอมากจริงๆ

“นี่”

มือของใครบางคนที่วางลงบนบ่าของผมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ผมสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะหันกลับไป เห็นเป็นผู้ชายรูปร่างบางคนหนึ่ง หน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์อะไรเลยสักอย่าง มันเรียบเฉย เหมือนคนไร้ชีวิต แต่กลับเป็นใบหน้าที่เรียกได้ว่าสวยคงไม่ผิด ส่วนสูงของเขาน้อยกว่าผมเกือบสิบเซนติเมตรได้ น่าจะเตี้ยกว่าไฮยีนหนึ่งหรือสองเซนติเมตร ที่คอเสื้อของเขามีเนคไทผูกเอาไว้และมีเข็มกลัดเป็นรูปเฟืองติดอยู่

คณะวิศวะฯ...

“มีอะไรหรือเปล่า”

หลังจากที่ผมหันไป แทนที่มือนั้นจะละออก ทว่ามันยังวางอยู่ที่เดิม เหมือนกับไม่รู้สึกว่าควรทำแบบนั้น ใบหน้าเรียบเฉยนั่นแทบไม่ขยับ มีเพียงหน่วยตาเรียวที่จดจ้องมาทางผมอย่างเลื่อนลอย ปากได้รูปเป็นกระจับสีพีชขยับนิดๆ ราวกับกลัวว่าหากขยับมากกว่านี้จะทำให้เสียพลังงาน

“อย่ายุ่งกับผู้หญิงคนนั้น”

“ทำไม”

ผมตอบกลับไปทันควันด้วยน้ำเสียงที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งที่ผมพูดด้วยเสียงปกติ แต่เขาต่างหากที่เฉื่อยชาเกินไป

“ฉันจองแล้ว”

เสียงเนิบนาบยังดังมาจากคนที่ไม่เปลี่ยนสีหน้า ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกข้องใจอยู่ไม่น้อย เพราะหากถามว่าผมสนใจรุ่นพี่ที่ชื่อดาหลาคนนั้นไหม ผมตอบได้ทันทีว่าผมสนใจ และผมก็อยากจะเจอเธออีก ซึ่งผู้ชายคนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะห้าม

“นายเป็นแฟนเขาหรือไง”

“เปล่า”

“แล้วมีสิทธิ์มาห้ามฉันได้ยังไง”

ผมถามกลับ ซึ่งก็ทำให้เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ตาเรียวที่มองผมอย่างไร้จุดหมายนั้นกวาดมองที่หน้าของผมจนทั่ว ก่อนจะหยุดที่ตาของผม เขาจ้องมาเหมือนกับจะค้นหาอะไรบางอย่างทั้งที่แววตาของเขาไม่เปลี่ยนไปสักนิด จนเป็นผมเสียเองที่รู้สึกประหม่าขึ้นมาจนทำตัวไม่ถูก

“เพราะว่าฉันจองแล้ว”

“ถ้านายอยากจะจีบพี่เขาก็มาแข่งกันแบบแฟร์ๆ สิ”

เมื่อดูท่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมถึงได้เสนอออกไป เพราะมันคงง่ายกว่า แต่อีกฝ่ายกลับทวนคำ ‘แข่งกัน’ พลางยิ้มเยาะนิดๆ โดยที่สีหน้ายังเหมือนเดิม

“ของแบบนั้น ไม่จำเป็นหรอก”

“...”

“เพราะคนที่ฉันจอง...”

มือที่วางบนบ่าของผมเลื่อนเคลื่อนลงช้าๆ จากที่วางทาบอยู่กลายเป็นกำหลวมๆ เหลือเพียงนิ้วชี้ที่ยื่นออกมา และจิ้มลงบนอกของผมด้วยน้ำหนักแผ่วเบา พร้อมกับประโยคที่ผมไม่คิดว่าจะออกมาจากปากของคนที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ และยังเพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก

“ก็คือนาย”










=================
และแล้วก็ได้อัพเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะยังมีคนที่รออยู่หรือเปล่า

ช่วงก่อนหน้านี้จัดการเรื่องหนังสือ It's U, It's Me กวนนัก แต่รักนะครับ อยู่ ก็เลยไม่ว่างมาแต่งเรื่องเลยค่ะ
แล้วพอตั้งใจว่าจะแต่ง ก็ไม่สบายตลอด ไม่รู้ว่ามีอาถรรพ์อะไร แต่ตอนนี้ก็สำเร็จแล้ว
ไม่รู้ว่ามันจะสนุกหรือเปล่า เพราะมันคนละสไตล์กับพี่ภูน้องยีนเลย
ก็หวังว่าจะติดตามกันไปนะคะ


Undel2Sky

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-07-2013 03:11:56 โดย undersky »

ออฟไลน์ gupalz

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +604/-20
ว้าว ภาค 2 มาแล้ว จะติดตามนะจ๊ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ยินดีต้อนรับเรื่องใหม่ของกราฟเพื่อนน้องเกงยีน ดีใจที่ได้อ่านเรื่องของคุณ  ชอบภาษาการเขียนของคุณมาก จะขอติดตามต่อไป :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2013 23:59:32 โดย B52 »

guguy

  • บุคคลทั่วไป
มาแล้วๆดีใจจัง ตามจ้า :sad4: :z2:

ออฟไลน์ FFS_Yaoi

  • นู๋ยังว่างมาจีบนู๋บ้างก็ได้
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 468
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
ตามมาเจิม เรื่อง

 :กอด1: หวังว่ากราฟคงไม่ดราม่าอีกแล้ว

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5
แรว๊งง มาบอกจองตัวนายแล้ว เหวอเลย เคะจะรุก???
เรื่องนี้อย่าให้กราฟดราม่าเลยนะคะะะ

รอตอนต่อไปค่าา  :L2:

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
รอติดตามค่ะ

ออฟไลน์ UNAT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาจองเค้าแบบนี้ เดี๋ยวก็โดนเค้าจิ้มหรอก
 o18

ออฟไลน์ bobie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-7
เย้เย้ คู่นี้มาแล้ววววว
รอติดตามนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
ติดตามมมตอนแรกนึกว่าจะแย่งกันจีบญ
เอ้วเจองี้ไปแบบบบใช่เลย

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
 :mc4: เย้ ถึงเวลาของกราฟไนล์แล้ว
เปิดมานู๋ไนล์ก็จองหัวใจน้องกราฟซะแล้ว
รอติดตามจ้า อย่างนี้ก็ได้เจอพี่ชมภูกะน้องเกงยีนด้วยอะจิ  :m18:
 :กอด1: สำหรับผู้เขียนจ้า  :pig2:

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
ไวจริงไรจริง เจอกันก็จองเลยยย 555

guguy

  • บุคคลทั่วไป
คนเขียนหายไปไหนหนอออ :mew2: รอตอนต่อไปอยู่น้าาาา :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
แอร๊ววว  :katai3: เค้ารออ่านอยู่ มาต่อเร็วๆ นะคะ

ออฟไลน์ sbeam14

  • I♥เล้าเป็ด ก๊าบๆ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 323
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-4
น่ารักมุ้งมิ้งอ่า o18

เรื่องนี้มาม่าเย่อะแน่ๆ  :z3:
กว่าจะจบคงมาม่าหลายยกจนอิ่มแน่ๆ  :katai1:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 1 : ต้องการอะไร





















ชีวิตประจำวันของผมไม่มีอะไรที่ค่อนข้างน่าสนใจสักเท่าไร ก็เหมือนๆ กับพวกผู้ชายทั่วไปแหละครับ เที่ยวเฮฮาไปกับเพื่อนบ้าง แต่คงไม่หนักเท่ากับไอ้กัส ไอ้เคลม ที่นอกจากจะขยันเที่ยว ขยันแข่งรถแล้ว ยังหิ้วผู้หญิงกลับคอนโดเป็นว่าเล่น แต่ผมค่อนข้างจะระวังในเรื่องนี้นะ เพราะผมไม่อยากใช้ผู้หญิงเป็นที่ระบายอารมณ์ไปวันๆ เหมือนพวกมัน

หน้าที่สำคัญที่ต้องทำเป็นประจำวันของผมก็คือ การรับไปส่งไฮยีนที่บ้าน เนื่องจากว่าตั้งแต่เข้ามหา’ลัยมา มันต้องทิ้งลายเดิม จากลุคซ่าๆ ไม่ยอมคน กลายเป็นเด็กเนิร์ดเพราะรับปากป๊าของมันไว้

ที่เคยขับรถซิ่ง มีรถใช้ได้ตามสะดวก ตอนนี้ถ้าไม่ใช่ผม หรือเพื่อนคนอื่นๆ อย่างไอ้กัส ไอ้เคลม ไปรับไปส่ง ก็ต้องพึ่งแท็กซี่ ผมจึงกลายเป็นสารถีส่วนตัวของมันไปโดยปริยาย ซึ่งผมก็ยินดีและเต็มใจที่จะทำเพื่อมัน หรือจะเรียกง่ายๆ ว่ากับมันแล้ว ผมทำให้มันได้ทุกอย่างคงไม่ผิด

ผมมีเพื่อนสนิทสามคน คบหากันมาตั้งแต่ตอนเข้า ม.1 คนที่สนิทที่สุดก็คือ ไฮยีน ซึ่งตอนนี้เรียนคณะนิเทศฯ ชั้นปีที่หนึ่งด้วยกัน ส่วนอีกสองคนก็คือ ไอ้กัส กับ ไอ้เค หรือที่พวกผมเรียกมันว่า ไอ้เคลม เพราะมันเป็นพวกขี้หม้อ คนไหนถูกใจมันก็เอาหมด สองคนนี้เรียนอยู่คณะวิศวะฯ ในมหา’ลัยเดียวกัน

เพราะรู้จักกันมานาน พวกผมจึงสนิทกันมาก แม้ว่านิสัยของพวกเราจะไม่เหมือนกันเลยก็ตาม ทว่าสำหรับผมแล้วพวกเรากลับลงตัวและอยู่รวมกันได้ดี เหมือนธาตุทั้งสี่ที่จะขาดอย่างหนึ่งไปไม่ได้

ไอ้ยีนเป็นพวกอารมณ์ร้อน ลุยไหนลุยนั่น ไม่ค่อยอ้อมค้อม เปรียบได้กับไฟ ส่วนไอ้กัสก็รอบคอบ ฉลาด มีเหตุผล มาดนิ่ง สุขุม เหมือนกับน้ำ และไอ้เคลม เป็นพวกเอาแน่เอานอนไม่ได้ บ้าบอเรื่อยเปื่อย ไม่ค่อยสนใจเรื่องที่ใช้ความคิดหนักๆ ชอบความอิสระ ไม่ต่างจากลม แล้วก็ผม... หนักแน่น ชอบเอาใจใส่ รับฟังคนอื่น เทียบเท่าผืนดิน

ความสนิทสนมของผมกับไฮยีน ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าตัวติดกันแทบจะตลอด และยังรู้ใจกันที่สุด จนบางครั้งไอ้เคลมยังงี่เง่าบอกว่าอิจฉาผมกับไอ้ยีนด้วยซ้ำ แถมยังมีการบ่นตัดพ้ออีกว่า ชื่อของพวกผม คือ กราฟ กัส ยีน เวลาที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษแล้ว ชื่อจะขึ้นต้นด้วยตัว G กันหมด ยกเว้นมันที่เป็นตัว K เหมือนมันกลายเป็นคนนอกคอก จนโดนไอ้ยีนสวนกลับไปว่า  ‘หรือมึงจะชื่อเกย์ จะได้เป็นตัวจีเหมือนกันกับพวกกู’ แหละครับ ไอ้เคลมถึงได้เงียบปากไปพักหนึ่งก่อนจะบอกกลับมา ‘งั้นกูไม่อยากเป็นตัวจีแล้วก็ได้’ เล่นเอาพวกเราฮาก๊ากกันหมด

ดูๆ แล้วชีวิตในช่วงนี้ของผมก็ดูสุขสงบดีนะครับ ถ้าไม่นับรวมวันที่คนแปลกหน้าทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ให้ผมต้องงุนงงถึงความหมายที่แท้จริงของมัน เพราะผมไม่คิดว่าคนที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อจะหมายความว่า ‘เขาชอบผม’ อย่างตรงตัว เพราะตั้งแต่วันนั้น ผมก็ยังไม่ได้พบเขาอีกเลย

มันคงเป็นโจ๊กที่คนคนหนึ่งใช้มันเพื่อกีดกันผม ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่เขาหมายปองเสียมากกว่า แต่ว่าคำพูดแค่นั้นห้ามปรามผมไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่คิดจะทิ้งโอกาสนี้ไป ในเมื่อผมได้พบกับคนที่ทำให้หัวใจของผมกลับมาเต้นแรงได้อีกครั้ง

วันนี้เป็นวันที่ทางมหา’ลัยมีกิจกรรมกีฬาเฟรชชี่ ผมไม่ได้ลงแข่งอะไรหรอกครับ แต่ไอ้กัสกับไอ้เคลม ชวนผมวางแผนว่าจะให้ไอ้ยีนลงแข่งกรีฑา เพราะเห็นตัวผอมๆ ขาสั้นกว่าพวกผม แต่มันค่อนข้างวิ่งเร็วนะครับ ถึงตอนม.ปลายมันจะไม่ได้เข้าชมรมอะไรเลย ต่างจากผมกับไอ้กัสที่เข้าชมรมดนตรี ส่วนไอ้เคลมเข้าชมรมฟุตบอล และมันเคยบอกกับผมว่าจะเข้าชมรมให้เสียเหงื่อทำไม เอาเหงื่อออกทางอื่นสนุกกว่าเยอะก็ตาม

นั่นคงเป็นเหตุผลล่ะครับว่าทำไมมันถึงได้ตัวผอมบาง ถึงจะชอบมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่นอยู่บ่อยๆ แล้วยังขาวกว่าพวกผมนัก เรียกได้ว่าขาวจัด ขาวจนแทบซีด ดีที่ว่าปาก คิ้ว ตา ของมันค่อนข้างเด่น ทำให้หน้าไม่ซีดเหมือนคนป่วย เพราะฉะนั้นพวกผมจึงอยากให้มันได้ออกกำลังกายบ้าง

ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ไอ้กัสกับไอ้เคลมเลยมาดักรอที่หน้าห้องเรียน ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรพวกผมสามคนก็ช่วยกันแบกไอ้ยีนไปที่สนามกีฬาของมหา’ลัยซึ่งกำลังพลุกพล่านไปด้วยผู้คน เพราะกองเชียร์มาจับจองที่กันหมดแล้ว พวกรุ่นพี่ปีสองก็ช่วยกันนัดแนะตกลงเพื่อจัดเตรียมนักกีฬาสำหรับลงแข่ง ดูค่อนข้างวุ่นวายกันทีเดียว

หลังจากเกลี่ยกล่อมเพื่อนสนิทให้ยอมแบกรับชะตากรรมของคณะได้ พวกผมก็ได้พักผ่อนกันตามอัธยาศัยครับ ไอ้เคลมรีบชวนไอ้กัสเดินสำรวจรอบๆ ทั้งที่ไม่มีอะไรให้สำรวจ เพราะสนามฟุตบอลของมหา’ลัยใช่ว่าจะไม่เคยมา

ไอ้เคลมนี่แหละตัวดีเลย มาถึงมหา’ลัยวันแรกก็แทบจะลากพวกผมให้มาชื่นชมสนามแล้ว ถึงตอนนี้มันจะไม่ได้เข้าชมรมฟุตบอลเหมือนตอนอยู่ม.ปลาย แต่ว่ามันก็ยังภูมิใจกับความเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนของมันอยู่ดี

เพราะฉะนั้นการสำรวจในความหมายของมันคงไม่พ้นผู้หญิง ตลอดล่ะครับ ไอ้นี่แม่งทำตัวเหมือนพวกหื่นกามอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นผมเองก็สอดส่องสายตามองหาใครบางคนเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้มองไปทั่วเพื่อหาคนถูกใจเหมือนไอ้เคลมนะครับ ผมมีเป้าหมายที่แน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเธอจะมาที่นี่หรือเปล่า

“กูไปทางนี้นะ”

เพื่อความสะดวก ผมเลยตั้งใจว่าจะไปดูแถวอัฒจรรย์ที่ถูกแบ่งเป็นพื้นที่สำหรับคณะบริหารฯ เลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลา ซึ่งไอ้กัสกับไอ้เคลมก็พยักเอออออย่างเข้าใจ ผมเลยเดินแยกตัวออกมา ถึงจะไม่แน่ใจว่าจะได้เจอก็ตาม แต่ก็อดคาดหวังอยู่ในใจไม่ได้

ผมรู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกมันไหวด้วยจังหวะแรงๆ อีกแล้ว ยอมรับว่าตื่นเต้นที่จะได้เจอเธออีกครั้ง เพราะตลอดสามวันที่ผ่านมา หลังจากเจอเธอเป็นครั้งแรก ผมก็ยังไม่มีโอกาสไปหาเธอที่คณะเลยสักครั้งเพราะผมอยู่กับไอ้ยีนตลอด

เหมือนทุกอย่างจะเป็นใจ เพราะหลังจากเดินมาถึงและมองหาอยู่ไม่นานเท่าไร ใบหน้าหวานๆ คุ้นตาก็สะดุดสายตาของผม ผมจึงไม่รอช้า เดินตรงเข้าไปหาเธอก่อนจะส่งยิ้มเป็นการทักทายอย่างแรก ตามด้วยคำพูด

“หวัดดีครับ พี่ดาหลา”

“อ้าว กราฟ”

เธอทำสีหน้าประหลาดอยู่นิดหน่อยที่เห็นผม คงไม่คิดว่าจะได้เจอผมวันนี้ อีกอย่างสแตนด์คณะผมก็อยู่อีกฟากหนึ่งเลย การมาอยู่ตรงนี้ได้จึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้โดยไม่มีเจตนา

“ผมนึกว่าจะไม่เจอพี่ซะอีกนะเนี่ย นึกว่าพี่จะไปดูแลเรื่องลีดเชียร์”

ผมยิ้มพลางถาม เพราะคิดว่าคนสวยๆ แบบเธอน่าจะมีตำแหน่งอะไรพวกนี้ในคณะ ซึ่งรอยยิ้มของผมดูจะกว้างกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ ถึงผมจะเป็นคนยิ้มง่ายและเป็นมิตรกับคนอื่นอยู่แล้ว แต่กับพี่ดาหลา ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของผมมันพิเศษมากกว่าตอนที่ยิ้มให้กับใคร ทั้งที่มองไม่เห็นด้วยตัวเองก็ตาม

“อ๋อ พอดีพี่มาดู...โอ๊ย”

ยังไม่ทันที่พี่ดาหลาตอบผมจบประโยค เธอก็ร้องออกมาเสียก่อน ทำให้ผมรู้สึกตกใจได้พอควร เห็นเธอหันไปทำหน้ามุ่ยๆ ขมุบขมิบปากกับเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ กันแล้วก็คลายความเป็นห่วงลง แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มนิดๆ แทน เพราะเหมือนว่าเธอกำลังจะโวยใส่เพื่อนที่หยิกแขนเธอ

“นี่ใครอะ แนะนำให้รู้จักหน่อยสิ”

เพื่อนของเธอก็ดูน่ารักดีนะครับ ควงคู่กันไปไหนคงจะเรียกสายตาของผู้ชายทั้งในคณะและต่างคณะได้ดีที่เดียว แต่เรื่องนั้นผมไม่สนใจเท่าไรหรอกครับ เพราะตอนนี้คนที่ผมสนใจมีแค่ผู้หญิงที่ชื่อดาหลา มันก็เหมือนกับคนที่เจอเป้าหมายในชีวิต รู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร ก็จะมุ่งมั่นและมองแต่มัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ทำตัวเสียมารยาทกับเพื่อนของเธอ

“ผมชื่อกราฟครับ อยู่นิเทศฯ ปีหนึ่ง”

“อ๋อ เด็กนิเทศฯ นี่เองมิน่า หน้าตาหล่อเชียว”

“ขอบคุณครับ”

ผมยิ้มรับคำชมไม่ค้านว่าผมไม่หล่อ และไม่สำทับว่าผมหล่อมากแค่ไหน ผมไม่ค่อยสนใจรูปกายภายนอกของคนเท่าไร เพราะการที่เราจะคบหากับใครสักคนไม่ว่าจะในฐานะอะไร สิ่งที่ตัดสินได้คือตัวตนของคนคนนั้น เพราะฉะนั้นผมจึงค่อนข้างชินชากับคำชมพวกนี้ ไม่เหมือนยีนกับเคลมที่ค่อนข้างที่อวยตัวเองในเรื่องนี้ชนิดยอมกันไม่ได้เลยทีเดียว

นึกถึงพวกมันแล้วก็ทำให้ผมแอบยิ้มขำกับตัวเองในใจ ไม่ว่าเมื่อไรเพื่อนๆ ก็ทำให้ผมยิ้มและมีความสุขได้เสมอ แต่ดูเหมือนมันจะกลายเป็นอะไรที่แปลกๆ ในสายตาของผู้หญิงน่ารักทั้งสองคนมั้งครับ เธอถึงพากันทำหน้างงๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันพลางมองหน้าผมไปด้วย

“กราฟหัวเราะอะไรเหรอ”

พี่ดาหลาเป็นคนถาม ทำให้ผมรู้สึกกระตือรือร้นที่จะตอบทันที ผมกลั้นรอยยิ้มที่แสดงถึงความดีใจเอาไว้ที่เธอสนใจกัน ก่อนจะแจงแบบสรุป

“ผมแค่นึกถึงเพื่อนๆ ผมน่ะครับ พวกมันชอบให้คนชมว่าหล่อ”

“อ๋อออ แล้วหล่อจริงหรือเปล่า”

เพื่อนของพี่ดาหลาที่ผมยังไม่รู้ชื่อถามกลับมาอย่างอยากรู้อยากเห็นจนสุดท้ายผมก็หลุดยิ้มออกมาจนได้

“หล่อครับ คนหนึ่งกำลังเดินหลีสาวอยู่ ส่วนอีกคนกำลังเตรียมตัวลงแข่งวิ่ง”

“เหรอๆ ถ้าอย่างนั้นพี่รอเชียร์ดีกว่า”

“นี่ยัยมะเหมี่ยว นั่นคนละคณะนะจ๊ะ ทำไมเธอไม่เชียร์คณะตัวเอง”

เพราะพี่ที่ผมเพิ่งรู้ชื่อเดี๋ยวนี้แสดงท่าทีอย่างออกหน้าออกตา พี่ดาหลาเลยปรามพร้อมจิกหน่อยๆ แต่คำตอบที่ได้รับมากลับทำให้ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ส่วนพี่ดาหลาส่ายหัวแบบละเหี่ยใจ

“ก็เด็กที่แข่งวิ่งคณะเราไม่หล่อนี่เธอ”

“แต่พี่อาจจะผิดหวังก็ได้นะครับ”

ผมแทรกเสียงขึ้นมาหลังจากคนที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงส่ายหัวเบาๆ สองสามทีแล้ว พานให้พี่มะเหมี่ยวมองผมตาลุกวาวก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่ดูจะสนใจเรื่องนี้ เธอถาม ‘ทำไมล่ะ’ พลางใช้ตากลมๆ คู่นั้นมองตามผมไปด้วย เห็นแบบนี้แล้วผมก็ไม่ได้อยากทำลายความหวังของเธอหรอกครับ แต่ก็ต้องยอมพูดความจริง เพราะตอนนี้คนที่กำลังถูกพูดถึงคงยากจะโชว์ความหล่อให้ใครต่อใครได้เห็น

“ตอนนี้มันไม่หล่อแล้วล่ะครับ”

“โหย ทำไมล่ะเนี่ย”

ไม่ใช่คำถามเพื่อให้ผมตอบกลับ แต่เป็นการระบายความผิดหวังของเธอมากกว่า ผมเลยต้องยิ้มปลอบใจก่อนจะหันไปหาเป้าหมายของผมต่อ

“แล้วเสร็จจากงานนี้พี่ดาหลาว่างหรือเปล่าครับ ผมอยากชวนไปกินข้าวเย็นด้วยกัน”

“เอ่อ... เย็นนี้เหรอ”

“ดาหลาเขาไม่ว่างหรอกจ้ะ แต่พี่มะเหมี่ยวว่าง ให้พี่มะเหมี่ยวไปแทนก็ได้นะ”

ไม่รอให้พี่ดาหลาตอบกลับมา พี่มะเหมี่ยวก็แซงพูดขึ้นมาเสียก่อน หนำซ้ำยังมีการขยิบตาให้ผมเสียอีก เลยโดนพี่ดาหลาตีที่แขนไปเต็มที่ เสียงกระซิบจากเพื่อนสาวดังให้คนออกตัวแรงแบบทีเล่นทีจริง ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นทีเล่น เสียมากกว่าได้ยิน

“เธอนี่ทำเหมือนพวกอดอยากผู้ชายไปได้ ผู้ชายของเธอน่ะมีเป็นกุรุทแล้วนะ”

“แหม ก็ฉันสนใจพวกนั้นเสียที่ไหน เลือกกราฟยังดีซะกว่า ทั้งหล่อ ทั้งหุ่นดี แถมยัง...เป็นคนดีอีกด้วย ได้กินอาหารอิ่มท้องแล้วยังมีอาหารตาดีๆ แบบนี้ ไม่คว้าเอาไว้ก็เสียดายตาย”

เธอเน้นที่คำว่า ‘คนดี’ ครับ เพราะว่าตอนนี้ผมใส่เสื้อยืดสีขาว สกรีนลายสีดำว่า ‘คนดี’ อยู่ ผมเพิ่งมาเปลี่ยนตอนถึงสนามนี่ล่ะ เพราะกว่าจะจับยีนให้มาที่สนามนี้ได้ก็เล่นเอาเหงื่อท่วมตัว ไหนจะต้องแบกมาอีกเพื่อไม่ให้หนีไปได้

“จ้ะๆ เสียดายก็เสียดาย แต่ว่าวันนี้พี่กับมะเหมี่ยวไม่สะดวก กราฟตามสบายเถอะนะ”

ประโยคแรกพี่ดาหลาพูดกับเพื่อน แต่ประโยคท้ายเธอหันมาพูดกับผมพลางทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย ซึ่งผมก็เข้าใจเธอดีครับ คนเพิ่งเจอกันแค่ครั้งสองครั้ง จะให้ตอบตกลงไปกินข้าวด้วยกันเลยก็ออกจะดูไว้ใจกันง่ายเกินไปหน่อย ซึ่งผมก็คิดว่าดีครับที่เธอกล้าปฏิเสธผมอย่างตรงไปตรงมา เพราะมันแสดงให้รู้ว่าเธอค่อนข้างไว้ตัว ไม่เหมือนผู้หญิงหลายๆ คนที่ผมเจอมา ทั้งกับตัวเองหรือผ่านทางเพื่อนๆ ที่มีให้เห็นบ่อยๆ โดยเฉพาะทางไอ้กัสและเคลม

“ไม่เป็นไรครับ ไว้คราวหน้าผมค่อยชวนใหม่ก็ได้ แต่พี่คงไม่ขัดข้องใช่ไหมครับ ถ้าผมจะหาโอกาสมาเจอพี่บ่อยๆ”

“ไม่ขัดข้องเลยจ้ะ กราฟมาหาดาหลา หรือจะมาหาพี่มะเหมี่ยวบ่อยตามที่กราฟต้องการได้เลย”

เป็นอีกครั้งที่พี่มะเหมี่ยวทำตัวเป็นกระบอกเสียงแทนคนที่ผมถาม แต่ผมก็ไม่ได้มองว่ามันน่าเกลียดอะไร คงเป็นเพราะรู้ว่าเธอไม่ได้แสดงท่าทีออกมาว่ากระหายผู้ชาย แต่เป็นการตอบรับแบบโปกฮาตามนิสัยคนอัธยาศัยดี ผมจึงส่งยิ้มตอบ

“อย่างนั้นผมไปก่อนนะครับ เดี๋ยวต้องไปดูเพื่อนแข่งแล้ว”

“จ้ะ ขอบใจนะที่ชวน ไว้เจอกันใหม่”

“ไว้เจอกันนะจ๊ะ กราฟสุดหล่อ”

เสียงพี่มะเหมี่ยวตามมาเป็นคนสุดท้าย ผมจึงยิ้มขำๆ ให้เธอก่อนจะหันไปมองพี่ดาหลา ส่งยิ้มที่พยายามแฝงความอบอุ่นเข้าไปเพื่อบอกให้รู้ว่าผมมีเจตนาแบบไหน ก่อนจะเดินจากมา

ตอนนี้ยังพลาดอยู่ ไม่เป็นไร เพราะผมยังมีเวลาที่จะทำความรู้จักและทำให้เธอไว้ใจผมอีกพักใหญ่ๆ เลย


















หลังจากยีนแข่งเสร็จ พี่ภู รุ่นพี่ตอนมัธยมปลายของผมและยังเป็นเพื่อนกับพี่เจ๋ง ลุงรหัสของผม ก็ชวนไปเลี้ยงฉลองกัน เพราะไอ้ยีนชนะวิ่งแข่งชายเดี่ยวร้อยเมตร แต่ดันติดปัญหาที่ว่ายีนกลับบ้านดึกไม่ได้ เพราะรับปากป๊าเอาไว้แล้วว่าจะไม่เที่ยวกลางคืนอีก ผมก็เลยช่วยพูดให้ แต่พี่ภูไม่ยอมรับ พยายามท้าทาย ล่อหลอกให้ยีนยอมจนได้ แล้วสุดท้ายผมกับไอ้ยีน รวมถึงไอ้กัส ไอ้เคลมก็ต้องไปจนได้

เรื่องไอ้กัส ไอ้เคลม กับพี่ภูนี่ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ พวกมันสนิทกับพี่ภูมากกว่าผมเสียอีก เพราะตอนม.ปลาย ไอ้เคลมอยู่ชมรมฟุตบอลแล้วพี่ภูเป็นประธานชมรม ก็เลยสนิทกัน ส่วนไอ้กัสก็ไปรอไอ้เคลมตอนเลิกชมรมบ่อยๆ ผมเองช่วงแรกๆ ที่รู้จักกับพี่ภู ผมก็ไปครับ เว้นก็แต่ไอ้ยีนเท่านั้นที่ไม่เคยเจอหน้าพี่ภูเลย แต่หลังจากเกิดเรื่องมิ้น ผมก็ไม่ค่อยได้เจอพี่ภูอีก เพราะว่าผมจะอยู่กับยีนมากกว่า เรียกได้ว่าตัวติดกันยิ่งกว่าเงาตามตัวกันเสียอีก

ทว่าการได้เจอหน้ากันระหว่างไอ้ยีนกับพี่ภูทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้ อดระแวงไม่ได้ว่าจะเกิดศึก เพราะดูทั้งคู่จะไม่ชอบขี้หน้ากันสักเท่าไร โดยเฉพาะพี่ภูที่ปกติแล้วไม่ค่อยหาเรื่องใคร แต่พอเจอไอ้ยีนนี่เหมือนจะหมั่นไส้ อยากเตะมันอยู่ตลอดเวลา ส่วนไอ้ยีน ผมเฉยๆ ครับ เพราะปกติมันก็กวนตีนชาวบ้านเป็นกิจวัตร โดนคนเหวี่ยงหมัดใส่จนเป็นเรื่องปกติ อย่างตอนนี้ก็เหมือนว่ากำลังจะเกิดศึกอีกรอบ

“ทำไมมึงไม่แดก”

เสียงของพี่ภูค่อนข้างหาเรื่องเลยทีเดียว ผมที่นั่งอยู่ข้างไอ้ยีนก็ได้แต่เหลือบๆ มองแล้วหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ไอ้ยีนก็ยังตอบกลับด้วยการแฝงความกวนตีนไปตามประสามัน

“ผมยังไม่อยากดื่ม พี่ดื่มไปเถอะครับ ตามสบาย”

“กูเลี้ยงมึง ไม่ได้เลี้ยงตัวเอง มึงก็แดกๆ ไป”

ดูเหมือนว่าคำตอบของไอ้ยีนจะไม่ค่อยเป็นที่พอใจของพี่ภูสักเท่าไร ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพี่ภูจะคะยั้นคะยอให้ไอ้ยีนดื่มทำไม ทั้งที่แค่ยอมมาที่ร้านด้วยก็น่าจะโอเคแล้ว ผมคิดว่าไอ้ยีนมีความอดทนมากนะครับที่มันไม่ซัดเหล้าเข้าปากตามคำท้าทาย เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่มันยังไม่ได้รับปากป๊าว่ามันจะเป็นเด็กดี มันคงเอาขวดเหล้ากรอกปากไปแล้ว เพราะนิสัยอย่างมันท้าไม่ได้ ตายเป็นตาย

“เออ พี่ยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนี่นา”

ลุงรหัสของผมเหมือนเป็นหน่วยกล้าตายที่ทะลุกลางปล้องขึ้นมาขณะที่สถานการณ์กำลังคาบลูกคาบดอก บรรยากาศมาคุที่เหมือนมีกระแสไฟแล่นเปรี๊ยะๆ ระหว่างไอ้ยีนและพี่ภูสงบลงเพราะคำพูดของพี่เจ๋ง ผมล่ะอยากจะตบมือให้ลุงรหัสผมจริงๆ

“พี่ชื่อเจ๋งนะ เป็นลุงรหัสของกราฟ พอดีพี่ไม่มีน้องรหัสน่ะ มันซิ่วออกไปแล้วก็เลยมาสนิทกับกราฟแทน”

“ครับ”

ฟิลตอนไอ้ยีนคุยกับพี่เจ๋งและพี่ภูต่างกันสุดๆ เพราะไอ้ยีนตอบพี่เจ๋งเสียนุ่ม ไม่มีน้ำเสียงกวนตีนผสมอยู่แม้แต่นิดเดียว

ผมแอบเหลือบไปมองพี่ภูนิดๆ เห็นพี่แกคิ้วกระตุกไปที ลางสังหรณ์ของผมบอกว่าสถานการณ์มันชักจะไม่ค่อยเข้าท่าอีกแล้ว แต่พี่เจ๋งก็ไม่ได้สนใจว่าเพื่อนจะกำลังรู้สึกยังไง ยังคุยกับเพื่อนรักของผมหน้าตาเฉยและยิ้มแย้มให้อีกต่างหาก

“ส่วนไอ้ภูก็เพื่อนพี่ ไม่มีทั้งน้องรหัสแล้วก็หลานรหัส เพราะงั้นไม่ต้องใส่ใจมันมากหรอกนะถ้าหากว่ามันจะเรียกร้องความสนใจจากพวกรุ่นน้องบ้าง”

“ไอ้เชี่ยเจ๋ง หุบตูดมึงไปเลย กูเรียกร้องความสนใจหอกอะไร!”

ผมเกือบหลุดหัวเราะออกมาอยู่แล้ว แต่ดีว่าเก็บเสียงทัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังแอบยกนิ้วให้พี่เจ๋งในใจ เพราะพี่แกเจ๋งสมชื่อมากๆ ถึงกล้าตอกพี่ภูกลับไปแบบนั้นได้ แถมยังไม่มีท่าทางว่าจะกลัวเพื่อนที่ตัวโตกว่าแม้แต่นิดเดียว พี่ภูเลยเปลี่ยนมาหาเรื่องไอ้ยีนต่อ เพื่อไม่ให้พี่เจ๋งพูดอะไรที่ไม่ถูกหูหรือจี้ใจดำ ผมก็ไม่แน่ใจ ได้อีก

“แล้วมึง เมื่อไรจะแดกๆ เหล้าของกูสักที”

คราวนี้ผมว่าไอ้ยีนคงรำคาญล่ะครับ มันเลยยอมยกเหล้าขึ้นดื่มจนได้ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ไอ้ยีนคงจำได้ที่มันรับปากป๊าเอาไว้

“มึงจิบไปแค่นั้นเหล้าคงลงถึงกระเพาะมึงหรอก แดกไม่เป็นก็บอกกู กูจะสั่งน้ำส้มให้มึง”

ดูท่าว่าศึกนี้จะไม่จบง่ายๆ แล้วผมก็คิดไม่ออกว่ามันจะจบลงตรงไหน เพราะขนาดลุงรหัสของผมยอมแหกวง ขอสลับที่นั่งกับผมเพื่อไปคุยกระซิบกระซาบกับไอ้ยีนอีกรอบยังหันมาบอก

“เดี๋ยวพี่ออกไปยืดแข้งยืดขาหน่อย ไปไอ้กราฟ ไปกับกู”

ไม่รอให้ผมได้ตอบอะไร พี่เจ๋งก็ลากแขนผมให้ออกไปอยู่กลางฟลอร์ด้วยกันแล้ว ซึ่งผมก็โอเค เต้นก็เต้น เพราะได้แอลกอฮอล์เข้าไปแกล้มกับเลือดพอประมาณ เลยปล่อยเต็มที่ เพราะตั้งแต่เข้ามหา’ลัยมาแล้วไอ้ยีนไม่ได้มาเที่ยวด้วยกัน ผมก็ลดการเที่ยวไปด้วย มีก็แต่ไอ้กัสกับไอ้เคลมที่ยังเหมือนเดิม

เต้นไป ผมก็เหลือบไปทางโต๊ะที่เพิ่งลุกออกมา แล้วก็เห็นว่าไอ้เคลมกับไอ้กัสกำลังลุกจากโต๊ะเลย มีไอ้ยีนดึงมือไอ้กัสเอาไว้ เหมือนว่าจะรั้งไม่ให้พวกเพื่อนๆ ทิ้งมันไว้กับพี่ภูสองต่อสอง แต่ไอ้กัสกับไอ้เคลมก็รีบชิ่งเสียก่อน ตามสไตล์พวกมันล่ะครับ แล้วก็ไม่ต้องคิดเลยว่ามันจะไปไหน คงหาเหยื่อแถวๆ นี้แล้วหิ้วกลับคอนโดเหมือนอย่างเคย

ถ้าปกติพวกมันจะเห็นหญิงดีกว่า แต่ถ้าเพื่อนเดือดร้อน มันจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยเหลือโดยไม่คิดว่าตัวเองจะต้องย่ำแย่ตามไปด้วยหรือเปล่า

เป็นข้อดีของพวกมันที่ทำให้ผมเรียกมันว่าเพื่อนตาย

“มึงนี่ห่วงเพื่อนมึงจังนะ”

เพราะเห็นว่าผมยังมองไปทางโต๊ะไม่เลิก พี่เจ๋งที่เต้นอยู่ข้างกันเลยทักขึ้นมา ผมจึงหันไปยิ้มให้ลุงรหัสของตัวเองนิดๆ

“เพราะมันสำคัญกับผมมาก”

“สำคัญยังไงวะ”

พี่เจ๋งยังถามต่อ ซึ่งผมก็ตอบเท่าที่ผมตอบได้ ไม่ได้ปิดบัง เพราะจากที่รู้จักกันมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็นับตั้งแต่เข้ามหา’ลัยแล้วพี่เจ๋งมาแนะนำตัวว่าเป็นลุงรหัส ผมก็พอรู้แล้วว่าพี่แกนิสัยยังไง ค่อนข้างมีเหตุผล จริงจัง และที่เหมือนกับผมเลยก็คือ ชอบเอาใจใส่คนรอบข้าง

“สำคัญเท่าชีวิต”

“เฮ้ย ขนาดนั้นเลยเหรอวะ อย่าบอกนะว่ามึงกับน้องยีนแอบคบกัน เป็นแฟนกันไรงี้”

“เปล่าพี่” ผมตอบแล้วก็หลุดหัวเราะไปด้วยเบาๆ “แต่ถ้ารัก ก็รักมาก”

“กูไม่ค่อยเก็ตว่ะ มึงรักเพื่อนมึงข้างเดียว?”

“มันก็รักผม แต่ความรักของผมกับมันไม่ใช่ความรักแบบคนรัก มันลึกซึ้งกว่านั้น จะเรียกว่าอะไรดี ไม่มีนิยามมั้ง”

“งงว่ะ”

ถึงผมจะอธิบายไป พี่เจ๋งก็ยังทำหน้างงเหมือนที่พี่แกตอบกลับมาอยู่ดี ผมเลยหัวเราะต่ออีกรอบ ซึ่งพี่แกก็เลิกที่จะถามต่อจากนั้น อาจกลัวว่าจะงงมากไปกว่าเดิม เลยเปลี่ยนเรื่องแทน

“แต่ถ้าแบบนั้นมึงคงต้องระวังหน่อย กูว่าไอ้ภูแม่งหมายหัวเพื่อนมึงแล้ว ดูดิ ขนาดลุกกันมาหมดทั้งโต๊ะแล้วพวกนั้นยังเถียงกันไม่เลิก”

พี่เจ๋งพูดขำๆ ทั้งที่ยังเหลือบไปทางเพื่อนตัวเอง ส่วนผมก็เหล่ตาไปมองอีกคนสองคนที่กำลังนินทาไปด้วย พลางหลุดยิ้มออกมาหน่อยๆ กับสิ่งที่พี่เจ๋งเห็นด้วยกับผมโดยไม่ต้องขอความคิดเห็นสักนิด

“ผมก็ว่าอย่างนั้น โอ๊ะ ขอโทษครับ”

ผมตอบลุงรหัสของตัวเองก่อนจะต้องรีบหันไปทางด้านหลัง เพราะรู้สึกเหมือนว่าผมจะชนใครสักคนเข้า และพอหันไป ผมก็เห็นว่าผู้หญิงผมยาวที่น่าจะเป็นคนที่ผมชนกำลังจะล้มลงไปพอดี เลยรีบคว้าตัวเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงไปจริงๆ

ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเราหันมามองกันหมด แต่แค่ครู่เดียว ก็หันกลับไปเต้นกันต่อเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะมีการชนกันบ้างในร้านแบบนี้ โดยเฉพาะตอนที่ทุกคนกำลังเต้นกันอย่างเมามันตามจังหวะดนตรีที่เร่งอารมณ์ให้ปลดปล่อยความบ้าคลั่ง

“เจ็บหรือเปล่าครับ”

ผมถามพลางมองสำรวจตัวเธอไปด้วยว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนไหม เพราะมันติดเป็นนิสัยไปเสียแล้วที่มักจะห่วงใยคนอื่น ทั้งที่บางครั้งมันก็ไม่จำเป็น จนผมโดนไอ้ยีนเหน็บบ่อยๆ



‘ให้มันน้อยๆ หน่อย ผู้หญิงจะตบกันตายเพราะมึงหมดแล้ว’



ผมไม่รู้เรื่องหรอกครับว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจนไอ้เคลมวิ่งโร่มาบอกในวันหนึ่งว่ามีเหตุแบบนี้จริงๆ เพราะผู้หญิงสองคนเข้าใจผิด คิดว่าผมมีใจให้ เลยทะเลาะกัน หนำซ้ำตอนนั้นผมไม่มีแฟน... ก็เลยทำให้ยิ่งเข้าใจผิดได้ง่าย ไอ้กัสถึงกับเอ่ยปากว่า



‘มึงก็ใจดีกับคนไปทั่ว มึงไม่ได้คิดอะไรเพราะเป็นนิสัยของมึง แต่คนอื่นไม่ได้คิดเหมือนมึง ยิ่งมึงหน้าตาดี ใจดี ผู้หญิงก็ยิ่งชอบ’



แม้แต่ไอ้เคลม



‘มึงไม่ต้องทำตัวให้ผู้หญิงอยากได้เป็นผัวข้ามชาติก็ได้ เอาแค่เป็นผัวข้ามคืนแบบกูก็พอแล้ว’

‘กูว่ามึงต่างหากที่ต้องหัดทำตัวให้น่าเอาเป็นผัวข้ามชาติเหมือนไอ้กราฟซะมั่ง’




ตอนนั้นที่ไอ้กัสแทรกขัดผมยังจำได้ ซึ่งไอ้เคลมก็ไม่ยอมเหมือนกัน มันสวนไอ้กัสเหมือนมันเหนือกว่ามาก



‘แหม ถุย กล้าวิจารณ์กู นี่มึงดูตัวเองหรือยังครับ คุณชายกษวิญ’



ไอ้กัสไม่ได้มีเชื้อเจ้า เป็นหม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง หรือมี ณ ห้อยอยู่ท้ายนามสกุลหรอกครับ ไอ้เคลมถึงเหน็บเรียกคุณชาย เพียงแต่ตระกูลมันเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมาแต่เก่าแต่ก่อน เพราะฉะนั้นมันเลยถูกสั่งสอนมารยาทผู้ดีมาพอตัว ถึงได้ดูมีมาดเหมือนคุณชายจนบางครั้งผมก็ยังเรียกมันแบบนั้น

เรื่องชื่อของมัน ไอ้ยีนเคยถามอยู่เหมือนกันว่าแปลว่าอะไร ผมเองก็อยากรู้ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่ชื่อ ปฐมพงศ์ ที่มีกันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองเหมือนไอ้เคลม ชื่อ พชร ที่หมายถึงเพชรของไอ้ยีน และชื่อ กฤติกร ของผม  แปลว่า ผู้มีเกียรติ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ทำให้ผม ไอ้ยีน และไอ้เคลม ร้อง ‘อ๋อ’ พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ชื่อนี้เหมาะกับมันที่สุดแล้ว

เจ้าของชื่อบอกว่า ชื่อของมันมาจากคำสองคำ คือ กษมา ที่แปลว่า ความอดทน อดกลั้น และ วิญญู ที่แปลว่า ผู้รู้แจ้ง เมื่อเอามาผสมเป็นคำว่า กษวิญ ก็จะมีความหมายว่า ผู้แจ้งในการอดทน ตรงตามนิสัยของมันเป๊ะ ที่มักจะเยือกเย็น รอบคอบ รู้จักควบคุมอารมณ์

“ไม่เป็นอะไรค่ะ ไม่เจ็บ”

เสียงของผู้หญิงที่ผมยังประคองอยู่ดังเรียกให้ผมกลับมาสนใจคนตรงหน้าอีกครั้ง ผมค่อยๆ ปล่อยมือออกจากตัวของเธอหลังจากเธอกลับมายืนได้เป็นปกติแล้ว

“ผมขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ทันระวังจนชนคุณ”

“ถ้าอย่างนั้น คิดคำขอโทษเป็นเครื่องดื่มสักแก้วได้ไหมคะ” เธอมองหน้าผมและส่งยิ้มหวานให้ เป็นสัญญาณเตือนว่าผมก้าวขาไปสะดุดเข้ากับเซนเซอร์บางอย่าง พลางพยักพเยิดหน้าไปทางที่ผมคิดว่าเป็นโต๊ะของเธอ แต่เมื่อหันไปมองตามปลายสายตาของคนที่น่าจะเชิญชวนผมอยู่ ผมก็ต้องชะงักไปเล็กน้อย เพราะว่ามีใครบางคนนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้นเพียงลำพัง

คนที่ผมไม่คิดว่าจะเจอกันอีก...

“จะรบกวนคุณเปล่าๆ ครับ” ผมระบายยิ้มให้เธอนิดๆ เพื่อเป็นการตัดบท ก่อนจะหันไปหาพี่เจ๋งที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่เหมือนกัน

“พี่ ผมไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนะ”

“เออๆ”

พี่เจ๋งตอบกลับมาทันที ผมจึงผละตัวออกมา ทว่าไม่วายได้ยินเสียงแววๆ ของพี่เจ๋งที่ดังอยู่ทางด้านหลัง เหมือนว่าพี่แกจะคุยกับผู้หญิงคนนั้น

“อย่าตามไปเลยครับ น้องผมไม่ได้ไปห้องน้ำเพราะกำลังเชิญชวนให้คุณตามไป”

ผมยิ้มออกมานิดๆ ที่พี่เจ๋งเข้าใจว่าผมต้องการอะไร จะว่ายังไงดีล่ะครับ ผมเป็นประเภทที่ปฏิเสธคนไม่ค่อยเป็นล่ะมั้ง โดยเฉพาะกับผู้หญิง เพราะฉะนั้นส่วนมากที่จะทำได้ในสถานการณ์แบบนี้ก็คือการขอแยกตัวออกมาเพื่อความสบายใจของตัวเอง







อ่านต่อด้านล่าง

v

v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥







ต่อจากข้างบน


v


v








จะว่าผมเป็นพวกปิดตายหัวใจก็ได้ ถึงไม่เปิดโอกาสให้คนที่เข้ามาหา แต่ผมรู้ดีว่าผมไม่ควรให้ใครเข้ามาแทนที่ตรงส่วนที่มีใครเคยอยู่เพื่อให้ตัวเองลืมความเจ็บปวดในอดีต เพราะนั่นเท่ากับว่าผมไม่ให้เกียรติมิ้น ผมอยากจะเปิดรับแค่ใครสักคนที่จะทำให้ผมรักได้เท่านั้น แล้ววันนี้ผมก็เจอคนที่ผมอยากจะให้เดินผ่านช่องแคบๆ ที่ผมกำหนดไว้เข้ามาแล้ว

เดินมาถึงห้องน้ำ ผมก็ตรงเข้าไปยังโถฉี่ รูดซิปกางเกงก่อนจะจัดการกับมัน แต่ยังไม่ทันเสร็จ คนที่เดินเข้ามายืนฉี่ที่โถข้างๆ กันก็ทำให้ผมประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเป็นคนเดียวกับที่ผมเพิ่งเห็นเมื่อครู่ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าผมกับเขาได้สบตากันหรือเปล่า

สายน้ำที่ถูกปล่อยออกมาหยุดลง ผมก็รูดซิปกางเกงให้เรียบร้อยก่อนจะเดินมาที่อ่างล้างมือแล้วล้างมือให้สะอาด ซึ่งไม่กี่วินาทีต่อมา คนที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อก็เดินมาหยุดที่อ่างล้างมือข้างๆ กัน เขาถูมือสองข้างเข้าด้วยกันใต้น้ำที่ไหลออกมาจากก๊อก แต่ตาเรียวคู่นั้นกลับจับจ้องที่กระจกเงาตรงหน้า โดยที่ผมรู้สึกว่าจุดโฟกัสของมันคือเงาสะท้อนของผมที่อยู่ข้างกันไม่ใช่ใบหน้าของเจ้าตัว

สีหน้าของผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งผมเห็นผ่านเงาสะท้อนยังคงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง หน้าขาวซีดและสายตาที่จับจ้องผมแบบผ่านเลยเหมือนไม่ได้มองนั้นทำให้สัญชาตญาณบอกกับผมว่าไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ ผมจึงปิดก๊อกน้ำก่อนจะไปดึงกระดาษชำระมาเช็ดมือและโยนมันลงถังขยะ ทำราวกับว่าไม่เห็นว่ามีใครอีกคนอยู่ภายในห้องน้ำนี้ด้วย ก่อนจะเดินผ่านตัวเขาไปเพื่อออกจากห้องน้ำ

“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”

ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวขาให้พ้นอาณาเขต เสียงนิ่งเรียบ และออกจะเย็นๆ เหมือนไร้ชีวิตก็ดังขึ้นมาให้ผมรู้สึกเสียวสันหลังอย่างไร้เหตุผล ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนจะหวั่นๆ กับคนคนนี้

“แต่ฉันว่าเราไม่น่าจะมีอะไรต้องคุยกัน เพราะฉันบอกไปแล้ว เรื่องพี่ดาหลา ฉันไม่คิดจะหลีกทาง”

ผมบอกเจตนาที่ชัดเจนของตัวเอง เพราะคิดว่าเรื่องที่จะคุยคงมีแค่นี้ แต่มันไม่จบแค่นั้นครับ เพราะมือเรียวยื่นออกมาคว้ามือของผมเอาไว้ ก่อนจะออกแรงดึง หรือจะเรียกว่าลากเลยก็ว่าได้ ให้ผมเดินตามเขาไปด้านในห้องน้ำ จนผมร้อง ‘เฮ้ย’ ด้วยความตกใจและงุนงงว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร

“ฉันบอกว่าเราต้องคุยกัน”

ไม่แจกแจงอะไรมากกว่านั้น คนที่ดูผอมบาง ซีดเซียวเหมือนวิญญาณล่องลอยก็ผลักผมเข้าไปในห้องน้ำห้องสุดท้ายก่อนจะตามเข้ามาอย่างรวดเร็วและลงกลอนทันที ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้หาทางเลี่ยงจากสถานการณ์นี้

“แล้วจะคุยอะไร”

ในเมื่อถูกปิดทางออกเอาไว้ ทางเดียวที่ผมจะเดินต่อไปได้ก็คือการเจรจา ผมก้มลงมองคนที่มีส่วนสูงน้อยกว่าเพื่อเผชิญหน้าอย่างจริงจังมากขึ้น ซึ่งอีกฝ่ายก็เชยหน้าขึ้นมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม

“เลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้น”

“ถ้าผู้หญิงคนนั้นหมายถึงพี่ดาหลา ฉันทำไม่ได้” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ค่อยข้างกร้าวกว่าปกติ เพราะไม่เข้าใจเหตุผลจากคนตรงหน้า “แล้วนายก็อย่าเอาเหตุผลว่านายจองฉันแล้วมาอ้าง ฉันไม่เชื่อว่านายจะชอบฉัน”

“หนึ่งเทอม”

“...”

อยู่ๆ เขาก็โพล่งเสียงออกมาเบาๆ ให้ผมต้องงุนงงว่ามันหมายความยังไง และกว่าจะรู้ความหมายของมัน ก็เกิดเดธแอร์อยู่พักหนึ่ง

“เวลาหนึ่งเทอม ขอเวลานั้นให้ฉัน แล้วลืมผู้หญิงคนนั้น”

“...”

ความเงียบกลับมาครอบคลุมบรรยากาศเหมือนเดิม ถึงผมจะได้ยินเสียงของลูกค้าคนอื่นๆ ที่แวะเวียนเข้ามาในห้องน้ำบ้าง แต่ในความรู้สึกกลับรู้สึกว่ามันเงียบมากจนไม่ได้ยินเสียงอะไร ผมกับเขาต่างมองหน้ากันเหมือนจะเป็นการต่อสู้ทางสายตาว่าใครจะแพ้ก่อน และก็เป็นผมที่ขยับริมฝีปากขึ้นก่อน

“ทำไมฉันต้องตกลง”

“ไม่กล้าเหรอ”

แม้จะเป็นการพูดอย่างท้าทาย แต่น้ำเสียงของผู้ชายคนนี้กลับไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด รวมทั้งสายตาที่จ้องตอบผมด้วย เหมือนจะไม่ได้จดจ้องเข้ามา แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกควานลึกยิ่งกว่าเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังตอบอย่างมีสติ ไม่ไขว้เขว้ไปเพราะแรงกดดัน

“ฉันไม่เห็นความจำเป็น”

“ถ้านายต้องการผู้หญิงคนนั้นจริง ทำไมไม่กล้าเผชิญหน้ากับฉัน”

ทั้งที่เมื่อครู่ยังคงใจเย็นอยู่ได้ แต่ประโยคนี้กลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกเข็มเล็กๆ กดลงมาบนก้อนเนื้อใต้อกจนปวดจี๊ดขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน

“แล้วถ้าฉันตกลง นายจะได้อะไร ความรักของฉัน? หัวใจของฉันหรือไงที่นายต้องการ”

“ฉันมีเหตุผลของฉัน นายไม่จำเป็นต้องสนใจ

“งั้นฉันก็ไม่ตกลง”

ผมตอบแบบตัดบท ก่อนเบี่ยงตัวหลบคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อออกจากที่นี่ แต่กลับถูกมือที่บางกว่าจับเอาไว้ คนที่ผมยังไม่รู้จักชื่อผลักผมกลับไปที่เดิมจนหลังกระแทกกับกำแพง ทั้งที่ตัวซีดขาวเหมือนคนป่วย ไม่น่าจะมีเรี่ยวแรง ทว่าความจริงแล้วกลับมีแรงไม่น้อยเลยทีเดียว ทำให้ผมประหลาดใจหน่อยๆ

กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คอเสื้อของผมเปิดออกด้วยมือของคนตรงหน้า เขาดึงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ผมเปลี่ยนกลับมาใส่แทนเสื้อยืดสกรีนลายจนกระดุมหลุดออกมาสามเม็ด ผมค่อนข้างงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยิ่งก้มลงมองหน้าของอีกฝ่ายที่ยังไม่นิ่งสนิทเหมือนเดิมก็เหมือนจะทำให้ผมมึนหนักกว่าเก่า มีแต่ความไม่เข้าใจ

ปากกาหัวตัดแท่งใหญ่ที่เหน็บอยู่กับกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของคนตัวบางกว่าถูกดึงออกมาอย่างรวดเร็ว ปากเรียวสีพีชคาบปลอกสีดำนั้นเอาไว้ ก่อนแท่งกลมๆ จะถูกดึงออกมาเผยให้เห็นปลายตัด และวินาทีต่อมามันก็มาจรดอยู่บนอกของผมเสียแล้ว

“เฮ้ย ทำอะไร”

ผมยกมือขึ้นดันมือของคนที่กำลังจะเขียนอะไรบางอย่างบนอกของผมโดยไม่ขออนุญาตใดๆ แต่กลับถูกสันแขนที่เป็นอิสระอยู่ยันเอาไว้ หนำซ้ำยังใช้ข้อมืองัดคางผมให้เชยขึ้นเหมือนจะล็อกไม่ให้ผมต่อสู้ได้ แต่ใช่ว่าผมจะแพ้ เพราะถึงยังไงผมก็ตัวใหญ่กว่า แรงเยอะกว่า

ทว่าดูเหมือนผมจะพลาด...

ปลอกปากกาที่ถูกปากสีสวยคาบเอาไว้หล่นลงไปกระทบกับพื้นห้องน้ำ ก่อนกลีบเนื้อนิ่มๆ นั่นจะเชิดขึ้นและแตะเข้ากับปากของผมอย่างฉับพลัน ทันทีที่ผมพยายามดึงแขนที่ดันผมเอาไว้ ผมได้แต่เบิกตากว้างอย่างงุนงงที่ถูกทำแบบนี้ ลืมความรู้สึกที่เกิดขึ้นบนอกเสียสนิท ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปลายสีดำนั่นตวัดลงบนผิวหนังของผมเป็นคำว่าอะไร

ริมฝีปากของคนตรงหน้ายังคงกดปากของผมเอาไว้ไม่ปล่อย มีเพียงแค่แรงกดที่ประทับลงมา แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมอึ้งได้มากพอแล้ว มือของผมที่ตอนแรกใช้ผลักร่างบางๆ ออกกลับหมดแรงเอาเสียดื้อๆ เพราะในหัวตื้อไปหมด และไม่รู้ว่านานเท่าไร กว่าปากของคนตรงหน้าถึงผละออก

ผู้ชายคนนั้นมองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งหลังจากเราทั้งคู่ต่างเป็นอิสระต่อกัน ก่อนจะก้มลงไปหยิบปลอกปากกาที่ตกลงไปบนพื้นมาสวมคืนที่ที่มันควรอยู่ก่อนจะเอามันใส่กระเป๋าเสื้อเหมือนเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีหน้าของเขายังคงไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม ทั้งที่ผมกลับตรงข้ามกันเลย

ไม่รอให้ผมถามหรือแสดงท่าทีอะไร ประตูห้องน้ำก็เปิดออก และร่างนั้นก็ก้าวออกไป ขณะที่ผมยังงงอยู่ว่าผมควรจะทำยังไงต่อไป รู้เพียงอย่างเดียว

ผู้ชายคนนี้...รับมือยาก






===============
มาต่อช้าเพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้แต่งยาก
ต้องอิงเหตุการณ์จากภูยีนด้วย แล้วไนล์ก็ค่อนข้างเข้าใจยากด้วย
แถมกราฟก็เป็นคนจริงจังกว่ายีนเยอะ
แต่งไปก็กลัวไปว่ามันจะไม่สนุก ต้องขอโทษด้วยนะคะ

ปล. เรื่องนี้ไม่ถึงกับมาม่าเยอะหรอกค่ะ  :z1:

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
ตอนนี้อ่านแล้วเจ๋งมาก
มันทิ้งปริศนาเล็กๆ ของกราฟ ไนล์

อธิบายนิสัยกราฟได้แจ่มเลย
แต่ก็ไม่ลืมความซับซ้อนของเรื่องที่เกิดช่วงเดียวกับไฮยีน
บวกเป็ดให้เลยค่ะ

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
ออกแนวลุ้น  :hao4: :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
สงสัยเรื่องนี้จะได้ลุ้นตลอดเวแน่ๆ
ไนล์เขียนคำว่าอะไร?

ออฟไลน์ คนอ่าน

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-13
สนุกมากๆๆๆๆค่ะ จะรอติดตามน่ะค่ะ

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
รอติดตาม
หวังว่าซักวันเราจะเข้าใจไนล์นะ ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
ตอนหนึ่งมาแล้ว เป็นการเกริ่นนำให้รู้จักนายกราฟมากขึ้นสินะ
เวลามันคาบเกี่ยวกันกะตอนของภูยีน แหะ ๆ รับสารภาพเลยว่าจำไม่ค่อยได้จริง ๆ
เพราะตอนที่ได้อ่านภูยีนก็ตอนที่นิยายจบไปแล้ว พยายามนึกเหตุการณ์ตามอยู่
สงสัยต้องกลับไปอ่านทวนบางตอน แต่ตอนภูยีนกล่าวถึงไนล์น้อยมีแค่เกือบจะท้าย ๆมั่ง
ขนาดตอนนี้ไนล์ยังได้ออกตอนใกล้จบตอนอีกแหละ 555
แถมได้พูดจิ๊ดเดียวเอง แล้วอย่างงี้กราฟจะเข้าใจไนล์ได้มากขึ้นตอนไหนเนี่ย
แล้วตกลงไนล์เขียนอะไรที่ตัวกราฟนะ คงไม่ใช่"ผู้ชายของไนล์"หรอกนะ 555
คิดว่าตอนนี้กราฟก็ยังงง ๆ ว่าตกลงไนล์ต้องการอะไรอยู่ดี แต่กราฟคงไม่คิดว่าไนล์พิศวาสจริง ๆแน่
รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนนะคะ  :pig4: :L2:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ตอนที่ 2 : ใครกลัว




















ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ผมถึงยกมือขึ้นมาติดกระดุมเสื้อที่ถูกปลดออก เพื่อให้เสื้อผ้าอยู่ในสภาพเรียบร้อยเหมือนกับตอนที่เดินเข้าไป เพราะนึกขึ้นได้ว่าบอกพี่เจ๋งไว้ว่าจะมาแป๊บเดียวจึงรีบสาวเท้าออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ไม่เหมาะกับการยัดผู้ชายสองคนเข้าไป ทว่าเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วผมกลับรู้สึกว่าหัวใจกระตุกและหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ เพราะใกล้ๆ อ่างล้างมือ มีคนสองคนที่ผมรู้จักดียืนอยู่

“เฮ้ย ไอ้กราฟ มึงออกมาจากห้องน้ำนั่นเหรอวะ”

“อ้าว แล้วทำไมมึงมาอยู่นี่”

ผมตีหน้างงๆ ถามอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด เพื่อไม่ให้ไอ้ยีนสงสัย และไม่เหลือบตาไปมองพี่ภูที่ยืนอยู่ข้างเพื่อนรักของผมด้วย แต่ก็ดูเหมือนจะช้าไปเมื่อมันถามประโยคต่อมา

“กูมาล้างมือ ว่าแต่มึงทำไมออกมาจากห้องน้ำกับผู้ชายคนเมื่อกี้วะ”

“ไม่มีอะไรหรอก”

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังปฏิเสธอยู่ดี เพราะจะให้ผมอธิบายในตอนนี้ผมก็พูดไม่ถูก ไม่รู้จะบอกไอ้ยีนว่ายังไง ในเมื่อผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ผู้ชายคนนั้นต้องการอะไร?

“จะไม่มีอะไรได้ไง มึงบอกกูมา เดี๋ยวนี้มีความลับกับกูเหรอวะ”

“ก็กูบอกว่าไม่มีอะไรนี่หว่า ถ้ามีกูก็บอกมึงไปแล้ว”

แต่นิสัยของมันก็ยังคงเป็นมันล่ะครับ เพราะไฮยีนยังไม่ยอมละทิ้งประเด็นนี้ และผมก็รู้ว่านอกจากความอยากรู้อยากเห็นของมันแล้ว มันยังถามเพราะเป็นห่วงผม

“กราฟ กูอยากรู้”

“เขาบอกว่าไม่มีอะไรก็ถามอยู่ได้”

ดูเหมือนว่าพี่ภูจะค่อนข้างรำคาญที่ไอ้ยีนยังคงถามผมไม่เลิก ถึงได้แทรกเสียงขึ้นมาหลังจากเงียบและมองผมกับไอ้ยีนสลับกันอยู่นาน

“มึงเป็นเพื่อนหรือเมียกันแน่ ทำอย่างกับเมียจับได้ว่าผัวมีเมียน้อย”

“ผมเป็นผัว!”

ผมเกือบผงะไปหน่อยๆ ที่พี่ภูถามแบบนั้นออกมา เพราะไม่คิดว่าจะมีใครมองว่าผมกับไอ้ยีนมีความสัมพันธ์กันในเชิงนี้ ถึงผมจะตัวติดกับมันและสนิทกันมากก็ตาม แต่ไอ้ยีนก็ดันเต้นไปตามคำพูดของพี่ภูครับ มันโพล่งเสียงออกมาให้ผมเหวอไปมากกว่าเก่า จนผมต้องรีบถามออกมาก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้

“มึงจะกลับแล้วใช่ไหม”

“เออ มึงพากูกลับบ้านด้วย เดี๋ยวไม่ทัน”

“อืมๆ” ผมรีบรับปากมันทันทีก่อนจะหันไปบอกพี่ภูเพื่อเป็นการตัดบทโดยเร็วที่สุด “เดี๋ยวผมกับไอ้ยีนกลับก่อนนะครับ ฝากบอกพี่เจ๋งด้วย ส่วนไอ้เคลมกับไอ้กัส มันคงไปต่อของมันแล้ว”

“เออๆ”

หลังจากออกมาจากร้านแล้ว ผมก็ขับรถไปส่งยีนที่บ้านเหมือนกับทุกวัน แต่รู้สึกว่าวันนี้จะได้รับรังสีแปลกๆ แผ่ออกมาจากคนที่เป็นตุ๊กตาหน้ารถเจ้าประจำจึงอดถามไม่ได้

“มองกูแบบนั้น มีอะไร”

“กูแค่รู้สึกว่ามึงแปลกๆ”

“แปลกตรงไหนวะ”

ทั้งที่ผมไม่ได้มีท่าทีต่างจากทุกที แต่พอถูกถามแบบนั้นแล้วผมกลับรู้สึกเย็นวูบที่หลังยังไงชอบกล แต่กระนั้นก็ยังควบคุมสีหน้าและการแสดงออกได้เป็นอย่างดี

“ไม่รู้ดิ กูแค่รู้สึกเฉยๆ แล้วนี่มึงจะไม่บอกกูเรื่องผู้ชายที่ออกมาจากห้องน้ำกับมึงเหรอวะ”

คิดว่าอาจจะพ้นจากเรื่องนี้แล้ว แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่คาดหวังเอาไว้ ผมต้องลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างไร้เหตุผล ก่อนจะตอบกลับไป

“กูบอกมึงแล้วนี่ว่าไม่มีอะไร”

ปกติแล้วผมกับมันไม่มีความลับต่อกัน แต่ครั้งนี้ผมต้องยอมรับจริงๆ ว่าผมไม่รู้จะอธิบายยังไง

ผู้ชายคนนั้นทำให้ผมสับสนได้ทุกครั้งที่เจอหน้ากันจริงๆ

“มึงจะแอบมีความรักแล้วไม่บอกกูเหรอ ไหนสัญญากันแล้วไง คิดจะนอกใจกูเหรอ”

ประโยคสุดท้ายของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เรียกให้ผมต้องเหลือบตาไปมอง แล้วก็เห็นว่ามันทำหน้าหงิกนิดๆ เหมือนไม่พอใจ เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะรู้ว่ามันแกล้งทำ ผมเลยละมือจากพวงมาลัยแล้วยื่นไปกอดคอมัน

“ไม่มีหรอก ถ้ามีกูจะบอกมึงคนแรกเลย”

“ให้มันจริงเหอะ ถ้ากูรู้ว่ามึงปิดกูนะ”

มันไม่พูดต่อจากนั้น แค่ทำเสียงหัวเราะ ‘หึหึ’ เหมือนพวกฆาตกรโรคจิตอะไรเทือกนั้น ผมเลยปล่อยแขนจากคอของมัน ก่อนจะกลับมาจับพวงมาลัยต่อ ซึ่งไอ้ยีนก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย ทว่าเพราะเหตุนั้นทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ผมจึงค่อยๆ เกริ่นเสียงออกมา

“มึง...”

“อะไร”

ไอ้ยีนหันหน้ามาถามผมเหมือนสนใจนิดๆ ว่าผมกำลังจะพูดเรื่องอะไร

“ถ้ากูเกิดไปชอบใครเข้าจริงๆ”

“ผู้ชายคนเมื่อกี้เหรอวะ”

มันรีบถามผมอย่างตื่นเต้นทันที เพราะผมไม่เคยพูดเรื่องความรักเลยนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่ดูค่อนข้างจะผิดประเด็นไปหน่อยตรงที่มันคิดว่าผมจะชอบคนคนนั้น

“ไม่ใช่คนนั้นเว้ย คนนี้เป็นรุ่นพี่อยู่คณะบริหารฯ ชื่อดาหลา”

“ล่อรุ่นพี่ด้วยนะมึง”

มันแซวผมหน่อยๆ ทำให้ผมอดยิ้มออกมานิดๆ ไม่ได้ นานแล้วจริงๆ ที่ผมไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้ ซึ่งดูเหมือนมันจะยินดีด้วยที่ผมกลับมามีความรู้สึกว่าชอบใครสักคน

“แล้วเขาเป็นยังไง”

“ก็... น่ารักดี”

ผมไม่กล้าบอกมันว่าที่ผมสนใจพี่ดาหลาก็เพราะว่าเขาเหมือนมิ้น เหมือนมาก... จนทำให้ผมรู้สึกใจเต้นทุกครั้งที่ได้เจอกัน

“งั้นก็ดีแล้ว แต่ยังไงมึงก็ระวังด้วยแล้วกัน เรื่องความรัก มึงไม่ถนัดเท่าไร กูไม่อยากให้ใครมาหลอกมึง”

“ทำเหมือนกูเป็นเด็ก... กูก็แค่อยากจะมีความรัก...อีกสักครั้ง”

“ก็กูรักมึงนี่หว่า”

มันยิ้มให้ผม พลอยให้ผมยิ้มตามไปด้วย การได้อยู่ข้างๆ มัน ได้มีมันเป็นเพื่อนรัก เป็นทุกๆ อย่าง ทำให้ผมมีความสุขมากจริงๆ ผมคิดไม่ออกเลยว่าถ้าชีวิตนี้ผมไม่มีไฮยีน ผมจะยังอยู่ตรงนี้ได้หรือเปล่า

ผมขับรถไปส่งไฮยีนถึงที่บ้านดึกกว่าวันอื่นๆ เพราะต้องไปเลี้ยงตามการบังคับของพี่ภู ฉะนั้นผมจึงต้องเข้าบ้านมันไปสวัสดีป๊าแล้วบอกเหตุผล คล้ายๆ กับไปเป็นพยานว่ามันไม่ได้หนีเที่ยวอะไร ทั้งที่เสื้อผ้าอาจจะติดกลิ่นแอลกอฮอล์หรือกลิ่นบุหรี่มาด้วยก็ตาม แต่ผมก็อ้างไปว่ามีฉลองกันนิดหน่อย เพราะพวกรุ่นพี่เลี้ยง จะไม่อยู่ก็เกรงใจ แต่ยีนไม่ได้แตะของที่ว่า กลิ่นติดมาจากผมกับคนอื่นๆ ซึ่งป๊าก็ไม่ได้ว่าอะไร

หลังจากไอ้ยีนปลอดภัยจากความผิดแล้ว ผมก็ขับรถกลับคอนโดที่พ่อซื้อให้ซึ่งอยู่ใกล้มหา’ลัย ถึงมันจะค่อนข้างลำบาก ที่ต้องขับรถไปๆ กลับๆ ทั้งที่จริงๆ แล้ววันนี้ผมจะกลับบ้านก็ได้ แต่อย่างว่าล่ะครับ ตัวผมติดกลิ่นจากสถานที่อโคจรมา กลับบ้านไปคงทำให้แม่ไม่สบายใจมากกว่า ถึงพ่อกับแม่จะรู้ว่าผมไม่ค่อยเที่ยวเตร็ดหรือใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเหมือนยีนช่วงก่อนหน้านี้ หรือไอ้กัส ไอ้เคลม ที่ตอนนี้ยังเป็นอยู่ก็ตาม

แม่ผมค่อนข้างขี้เป็นห่วงครับ ผมเลยติดนิสัยนี้จากแม่มาส่วนหนึ่ง แต่ผมก็ว่ามันดีสำหรับผมนะครับที่มีนิสัยแบบนี้ เพราะว่าเพื่อนแต่ละคนของผมบ้าบิ่นกันน้อยที่ไหน โดยเฉพาะไอ้ยีนกับไอ้เคลม มีไอ้กัสนี่ล่ะที่ค่อนข้างสุขุม ควบคุมอารมณ์เป็น ไม่อย่างนั้นกลุ่มพวกผมคงขึ้นชื่อในทางที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไรกันมากกว่านี้

เวลามีเรื่องชกต่อย ทะเลาะวิวาท คนที่เจ็บตัวที่สุดก็เป็นไอ้ยีนครับ แล้วผมก็ต้องเป็นคนทำแผลให้มัน เพราะว่ามันอารมณ์ร้อน อารมณ์ขึ้นง่ายที่สุด แถมยังไม่เจียมตัวด้วยว่าตัวเล็กกว่าคนอื่น ใจมันสู้ ไม่กลัวอะไรเลย ไม่ใช่ว่าเพราะมันไม่เก่งนะครับ แต่นั่นก็ทำให้ผมยิ่งเป็นห่วงมันมากกว่าคนอื่นๆ

ผมถึงคอนโดหลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง พอถึงผมก็เปิดตู้เย็น หาน้ำเปล่าดื่ม มันเหมือนเป็นนิสัยไปแล้ว เพราะทำแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แต่กระดกน้ำจากแก้วที่เทออกมาได้ไปแค่ครึ่งหนึ่ง โทรศัพท์ที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงก็ดังเสียก่อน

“ว่ายังไงครับ คนสวย”

หยิบโทรศัพท์ออกมาดูรูปหน้าจอได้ ผมก็ยิ้มออกมาหน่อยๆ ก่อนจะส่งเสียงทักทายคนปลายสาย

[คิดถึงคนหล่อสิครับ ไม่เห็นหน้ามาสามวันแล้วนะ วันนี้ก็ไม่กลับบ้านอีกเหรอครับ]

“ช่วงนี้กราฟยุ่งๆ ครับแม่ เดี๋ยวก็ใกล้จะสอบแล้ว คงอยู่คอนโดยาวเลย แม่อดทนคิดถึงกราฟไปก่อนนะครับ”

ผมพูดหยอกๆ เพื่อไม่ให้แม่คิดมากหรือว่าเป็นห่วง ซึ่งแม่ผมก็เข้าใจในเรื่องนี้ครับ เพราะแม่ค่อนข้างเชื่อใจว่าผมจะดูแลตัวเองได้ ถึงเมื่อหลายปีก่อนผมจะทำอะไรโง่ๆ จนทำให้แม่เครียดหนักและล้มป่วยไปด้วย แต่หลายปีที่ผ่านมาก็ช่วยพิสูจน์แล้วว่าผมจะไม่กลับไปทำแบบนั้นอีก เรื่องนี้คงต้องขอบคุณไอ้ยีนจริงๆ ที่ทำให้ผมยังมีลมหายใจอยู่จนถึงทุกวันนี้

[จ้ะๆ อย่างนั้นก็ดูแลตัวเองดีๆ นะ อ่านหนังสือก็อย่าหักโหมมาก เดี๋ยวจะไม่สบายไปสอบ]

“ครับ ฝันดีนะครับ”

[ฝันดีจ้ะ]

ล่ำลากับแม่แล้วผมก็วางสายไป ก่อนจะดื่มน้ำในแก้วอีกหนึ่งอึกใหญ่ๆ แล้วนำแก้วไปวางเก็บที่เดิม จากนั้นเดินเข้าห้องนอนและคว้าผ้าเช็ดตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการกับร่างกายที่เปียกเหงื่อมาทั้งวัน

ใช้เวลาประมาณสิบนาที ผมก็เช็ดตัวแล้วนุ่งผ้าผืนเดียวกันออกมาจากห้องน้ำ ตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบชุดมาสำหรับใส่นอน แต่ยังไม่ทันไปถึงที่หมาย ก็สะดุดกับอะไรบางอย่างในกระจกที่สูงเกือบเท่าตัวของผมซึ่งตั้งอยู่ริมผนัง ที่ผมมักใช้สำรวจเครื่องแต่งกายของตัวเองก่อนออกจากห้องทุกครั้ง

ผมหยุดอยู่หน้ากระจกที่สะท้อนภาพของผมเอง จับจ้องไปที่ส่วนเกินบนร่างกายของผม ที่มีคนจงใจทิ้งมันเอาไว้ รอยปากกาหัวตัดสีดำยังคงติดแน่นอยู่บนอกด้านซ้ายของผม สิ่งที่ผมลืมไปแล้วหวนย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ทั้งตอนที่ปากกาสีดำลากไปบนกล้ามอกขนาดกำลังดีของผมและตอนที่ริมฝีปากคู่นั้นทาบลงมาบนปากของผม

เผลอขบปากตัวเองไปนิดหน่อยหลังจากคิดถึงตอนนั้น ก่อนผมจะพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ตัวหนังสือที่เห็นกลับด้านเพราะมันสะท้อนอยู่บนกระจกเงา มองมันพลางคิดไปว่าหากกลับด้านให้ถูกต้องแล้วจะอ่านว่าอะไรก็พอจะเข้าใจเลาๆ ว่าเป็นชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของผู้ชายคนนั้น

ไนล์...

รู้ชื่อของคนที่ผมคิดว่ากำลังจะทำให้ชีวิตของผมต้องปั่นป่วนแล้วผมก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เพราะอย่างน้อยผมก็รู้เรื่องของเขา ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลยเหมือนก่อนหน้านี้ ทว่าคิดอย่างนั้นอยู่แค่แป๊บเดียว ผมก็ต้องรีบยกมือขึ้นมาถูรอยบนตัว เพราะเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อครู่นี้ผมเพิ่งอาบน้ำมา แต่รอยปากกาที่อยู่บนอกของผมยังเห็นชัดเจน ไม่มีรอยแหว่งหรือซีดลงเลยแม้แต่น้อย

ทั้งที่พยายามเอานิ้วลูบแล้ว แต่รอยสีดำนั้นก็ไม่ได้จางลงเลย ผมต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปแล้วใช้สบู่ถูอีกรอบ ทั้งขัดทั้งถูอยู่หน้ากระจกของอ่างล้างหน้า แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะลบออกไปได้หมด จนผมอดจะร้องออกมาไม่ได้

“นี่มันปากกาเหี้ยอะไรวะเนี่ย ทำไมลบไม่ออก!”



















เป็นเรื่องปกติที่พวกกลุ่มผมจะไปไหนมาไหนด้วยกันหากมีเวลาว่างพร้อมกัน วันนี้ก็เหมือนกัน ไอ้เคลมบอกว่าอยากไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ พวกเราเลยยกกลุ่มกันมาซื้อเสื้อผ้าในห้างใกล้ๆ ซึ่งคนที่ได้ของมากที่สุดก็ไม่พ้นคนที่ชวนมานั่นแหละครับ

หนทางของการเสริมหล่อนี่เป็นงานหลักของไอ้เคลมเลย ส่วนผม ไอ้ยีน ไอ้กัส ก็ได้เสื้อ กางเกง กันมาบ้าง คนละสองสามตัว ของผมก็ไม่ค่อยอะไรหรอกครับ ผมชอบใส่เสื้อยืดธรรมดามากกว่า เพราะว่าใส่สบาย ยิ่งเป็นเสื้อเพนท์ลายหรือสกรีนตัวหนังสือที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ค่อยเหมือนใครยิ่งเป็นสไตล์ของผม จนไอ้เคลมชอบเหน็บบ่อยๆ



‘ถ้าหน้ามึงไม่หล่อนะ มึงอย่าฝันว่าใส่เสื้อแบบนั้นแล้วจะมีสาวกรี๊ดมึงเลย’



อย่างที่บอกครับว่าผมไม่ค่อยสนใจรูปลักษณ์ของตัวเองเท่าไร ผมอยากทำอะไร อยากใส่เสื้อผ้าแบบไหน ทำผมสีอะไรก็แล้วแต่อารมณ์ในตอนนั้นๆ จะเรียกว่าอินดี้นิดๆ ก็คงไม่ผิด เพราะตอนนี้ผมของผมก็เป็นสีบลอนด์ที่สามารถมองเห็นได้จากที่ไกลๆ เรียกได้ว่าถ้าพลัดหลงกันก็สามารถตามหาผมได้ง่ายๆ โดยดูจากหัวนี่แหละ

เพราะฉะนั้นเสื้อผ้าที่ได้มาวันนี้ ไอ้ยีนเป็นคนเลือกให้ผมครับ มันดูทั้งของมันเองและหากเห็นตัวไหนที่น่าจะเหมาะกับผม มันก็เอามาทาบๆ แล้วยัดเข้ามือผมเลยถ้ามันเห็นว่าโอเค เพราะถึงจะบอกว่าไอ้เคลมเป็นพวกใช้เสื้อผ้าเปลืองสุดๆ เพื่อเสริมความหล่อของมัน แต่คนที่เทสต์ดีที่สุดก็คือไฮยีน

“โอ๊ย หิวแล้วโว้ย ไปหาอะไรแดกกัน”

คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีชวนให้มาซื้อของด้วยกันร้องโหวกเหวกเป็นคนแรก เป็นพวกแอคทีฟเว่อร์ได้ตลอด ส่วนคนที่สนองตอบคำพูดของไอ้เคลมเร็วที่สุดก็ไม่พ้นไอ้ยีน เหมือนลมพัดแล้วไฟโหมนั่นแหละครับ

“แล้วจะแดกอะไรดีวะ”

“ชาบู?”

“ไม่อิ่ม”

“งั้นก็พิซซ่า”

ไอ้เคลมกับไอ้ยีนเสนอความคิด แต่มาจบลงที่ผมกับไอ้กัสที่ตอบพิซซ่าออกมาพร้อมกัน ซึ่งอีกสองคนที่เหลือก็หันมามองเหมือนจะเห็นด้วย ก่อนเราจะเดินไปที่ร้านพิซซ่าสีแดง ตอนนี้เป็นช่วงบ่าย ร้านเลยค่อนข้างว่าง พอไปถึงร้านพนักงานก็พาเราไปนั่งที่โต๊ะด้านในเลย

ได้เมนูมาในมือก็ประชุมสุมหัวกันว่าจะกินหน้าอะไรดี แล้วก็สรุปมาได้สามถาดใหญ่ เพราะเอาจริงๆ พวกผมเป็นประเภทกินได้ทุกอย่างอยู่แล้ว แล้วแต่ว่าตอนไหนอยากกินอะไรเป็นพิเศษมากกว่า ยกเว้นแต่ยีนที่ไม่กินของร้อนๆ เพราะเป็นพวกลิ้นแมว จนบางครั้งไอ้เคลมยังแกล้งหลอกให้กินของร้อน จนโดนไอ้ยีนถีบกลับไปก็มี

เครื่องดื่มที่สั่งมาก็ไม่พ้นโค้กรีฟิลล์ ยีนทำหน้าปุเลี่ยนนิดหน่อยเพราะมันชอบกินเป๊ปซี่มากกว่า มันบอกว่าโค้กหวานเกินไปสำหรับผู้ชายร้อนแรงแบบมัน แต่พอมาดูสภาพตอนนี้ ผู้ชายที่ว่าร้อนแรง กลายเป็นเด็กหนุ่มเนิร์ดๆ ใส่แว่นหนา ติดกระดุมเสื้อถึงคอแล้วก็ตลกดี ยิ่งเห็นตอนนิสัยห่ามๆ บ้าเลือด ไม่ยอมใครหลุดออกมาจากภาพลักษณ์แบบนี้ด้วยยิ่งตลก

“ไอ้เหี้ยยีน มึงกับพี่ภูนี่ยังไงวะ”

อยู่ๆ ไอ้เคลมก็ถามขึ้นมาตอนที่ผมกำลังยัดพิซซ่าหน้าซีฟู้ดเข้าปาก ผมจึงเหลือบตาไปมองทางคนถูกถาม เห็นมันทำตาขวางใส่คนปากมากแล้วก็รู้เลยว่ามันค่อนข้างไม่พอใจ หนำซ้ำยังทำเสียงขุ่น

“ยังไงอะไรของมึง กูไม่มีอะไรกับมันทั้งนั้น”

“อ้าว ก็กูเห็นช่วงนี้มึงสนิทกับพี่ภู”

“สนิทห่าอะไรล่ะ” ไฮยีนแทบจะเขวี้ยงพิซซ่าในมือใส่หน้าไอ้เคลมอยู่แล้ว “ถ้ากูไม่เจอแม่งจะเป็นพระคุณกับกูมาก มึงก็ด้วยอีกคน อย่าพูดถึงมันได้ป่ะ กูแดกไม่ลงแล้วเนี่ย”

“อะไรวะ กูก็แค่อยากรู้ เห็นพี่ภูชอบไปเจ๊าะแจ๊ะกับมึง”

ผมกับไอ้กัสที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน หันไปมองหน้ากันนิดหน่อยแล้วกลับไปทางไอ้ยีนที่นั่งอยู่ข้างผมต่อด้วยความสนใจ เพราะประเด็นนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ผมจำได้ตอนที่เจอพี่ภูครั้งแรกในมหา’ลัย พี่ภูถามถึงไอ้ยีนด้วย ทั้งที่ตอนม.ปลายพี่ภูไม่เคยเจอหน้ามันจังๆ เลยสักครั้ง มีแต่ฟังวีรกรรมที่ไอ้เคลมเล่านิดๆ หน่อยๆ

แต่ดูเหมือนไอ้เคลมจะใช้คำผิดไปหน่อย เลยไม่เข้าหูไอ้ยีน มันทำหน้าเหี้ยมแล้วจับพิซซ่าที่มันกินค้างอยู่ยัดเข้าปากไอ้เคลมแบบไม่ปรานีปราศรัย ลุกขึ้นมาจับยัดๆ จนไอ้เคลมร้อง ให้คนในร้านหันมามองกันเกือบทั้งร้าน ดีว่าเรานั่งอยู่โต๊ะด้านในสุด เลยไม่ตกเป็นเป้าสายตามากนัก

“พอแล้วน่า ยีน”

ผมต้องช่วยสงบศึก ดึงไอ้ยีนให้กลับมานั่งที่เหมือนเดิม จนตัวมันล้มลงมานั่งบนตักผมเลยด้วยซ้ำ แต่มันไม่สนใจหรอกครับ ยังหันมาเหมือนจะฟ้องผมด้วยซ้ำ

“ก็ดูแม่งดิ หาว่าไอ้พี่ชมพูมาเจ๊าะแจ๊ะกู”

“เพราะมึงชอบโต้ตอบมันแบบนี้แหละ มันถึงได้ชอบแหย่มึง”

ปรามแล้วผมก็เหลือบไปมองทางไอ้เคลมนิดนึง เห็นมันทำปากยื่นปากยาวใส่เหมือนจะล้อเลียนก็เลยลอบถลึงตาใส่ไปนิดหน่อยโดยพยายามไม่ให้ยีนเห็น ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเรื่องไม่จบแน่ๆ นิสัยชอบเอาชนะนี่ไม่มีใครเกิน

“เอ้า กินซะ”

เพื่อเป็นการตัดบท ผมเลื่อนพิซซ่าชิ้นที่อยู่ในมือไปป้อนมันถึงปาก ไอ้ยีนถึงได้ยอมสงบแล้วงับแป้งนุ่มๆ พร้อมเครื่องเข้าปากไปแต่โดยดี ก่อนจะค่อยๆ ลุกจากตักของผมลงไปนั่งที่เบาะเหมือนเดิม

“แต่จะว่าไป กูก็อยากรู้นะ”

ทว่าดูเหมือนจะไม่จบง่ายๆ เพราะอยู่ๆ ไอ้กัสก็พูดขึ้นมาอีก ผมเหลือบไปมองมันนิดๆ เพราะอยากรู้ว่ามันต้องการอะไรกันแน่ ก็รู้อยู่ว่าไอ้ยีนได้ยินชื่อนี้ไม่ได้ ต้องอารมณ์ขึ้น ถึงผมจะไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันอคติกับพี่ภูนักหนา ทำไมถึงไม่ถูกกัน ทั้งที่ผมก็คิดว่าพี่เขาเป็นคนดี เป็นรุ่นพี่ที่พวกผม โดยเฉพาะไอ้เคลม สนิทด้วยมาตั้งแต่ม.ปลาย


“อยากรู้เหี้ยอะไร”

ไอ้ยีนตวัดทั้งเสียงทั้งตาใส่ไอ้กัสทันที เหมือนเรื่องของพี่ภูเป็นสิ่งสุดท้ายที่มันอยากเอามาเป็นหัวข้อสนทนา

“ทำไมมึงดูเกลียดพี่ภูจังวะ”

“ก็แม่งกวนตีน”

“เพราะมึงไปกวนตีนเขาก่อนหรือเปล่าเหอะ”

แทนที่จะเงียบปากอยู่เฉยๆ แต่ไอ้เคลมก็แกว่งปากหาตีนอีกจนได้ เพราะคนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มโพล่งเสียงออกมาทันที

“มันต่างหากที่กวนตีนกู เจอกันครั้งแรกก็ตบหัวกู แล้วก็หาเรื่องกูตลอด จะให้กูพูดดีกับแม่งได้ยังไง”

“แสดงว่าถ้าพี่ภูพูดดีกับมึง ไม่กวนตีนมึง มึงจะยอมญาติดีกับเขา”

ผมลองถามบ้าง เผื่อจะเป็นทางออกที่ดี

“ไม่รู้”

“อ้าว”

ได้รับคำตอบแล้วผมก็ร้องออกมา แต่ไอ้กัสเสือกยิ้มนิดๆ เหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจแล้วถามออกมา

“ต้องแล้วแต่ว่าเขาจะแสร้งพูดดีกับมึง แต่ทำหน้ากวนตีน หรือว่าเขาอยากพูดดีกับมึงจริงๆ กันแน่ใช่ไหม”

คราวนี้ไอ้ยีนไม่ตอบครับ เรียกได้ว่าไอ้กัสจับประเด็นแล้วยิงตรงเป้าที่สุดสมเป็นมัน เหมือนหลักการตามธรรมชาติ ไฟย่อมแพ้น้ำ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าไฟคนนี้แพ้แล้วพาลครับ ยีนเบี่ยงประเด็นมาทางผมแทน

“ว่าแต่มึงเหอะ เรื่องรุ่นพี่ที่มึงไปชอบ ถึงไหนแล้ว”

“พี่ดาหลา?” ผมครางเสียงถามเบาๆ ก่อนจะบอกไปตามความจริง พลางหยิบพิซซ่าเข้าปากไปด้วย เพราะเหลือชิ้นสุดท้ายแล้ว “ก็ยังไม่ถึงไหน กูเพิ่งเจอเขาสองครั้งเอง ไม่อยากรีบร้อน”

“ระวังหมาจะคาบไปแดกนะมึง ถึงจะเป็นมึงที่หล่อน้อยกว่ากูนิดนึงก็เหอะ”

ไอ้เคลมหวังดีเตือน เลยโดยไอ้กัสตบหัวไปทีหนึ่ง มันจึงหันไปทำปากงุบงิบใส่ไอ้กัสเหมือนจะงอนที่ถูกประทุษร้ายทั้งที่พูดความจริง

“กราฟไม่รีบเหมือนมึงก็ดีแล้ว ให้กูได้มีเพื่อนรักนวลสงวนตัวบ้าง”

“โอ๊ยยยย กูอยากจะถุยน้ำลายใส่หน้ามึงฉิบหายเลยไอ้ยีน แหมๆๆ ไอ้เหี้ย มึงนี่รักนวลสงวนตัวมากนะ เมื่อก่อนน่ะยิ่งกว่ากูอีก”

สองคนนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้ ชอบเย้ย ชอบทับถมกันจริงๆ แต่มันก็รักกันจริงๆ จนบางครั้งผมกับไอ้กัสก็รู้สึกตลก แล้วบางทีก็เอือมกับการเถียงกันแบบเด็กๆ ของพวกมัน

“พวกมึงนี่ มีวันไหนที่เจอกันแล้วไม่เถียงกันบ้าง”

“กูว่าคงยาก”

ไอ้กัสสนับสนุนความคิดของผม ผมจึงหันไปยิ้มให้มันอย่างรู้กัน เล่นเอาโดนอีกสองคนที่เหลือค้อนใส่ ทำตัวเป็นเด็กกันไปได้ ผมกับไอ้กัสนี่อย่างกับเป็นผู้ปกครองของเด็กอนุบาล

“แล้วนี่พวกมึงจะสั่งอะไรกันอีกหรือเปล่า ถ้าไม่กูจะได้ไปจ่ายเงินก่อน”

เป็นเรื่องปกติที่ผมชอบจ่ายเงินค่าอาหารก่อนจะลุกออกจากร้านอย่างที่คนอื่นทำ เพราะบางครั้งก็เดินคุยกันออกจากร้านจนลืม ต้องเดือดร้อนพนักงานมาตามเรียก แล้วก็กลายเป็นเรื่องอับอายไปว่าพวกผมกินแล้วชักดาบ เพราะฉะนั้นผมเลยป้องกันไว้ก่อน ไม่อยากให้พนักงานต้องมาลำบาก ส่วนเรื่องค่าอาหารก็ผลัดๆ กันจ่ายครับ เรื่องนี้พวกผมไม่คิดเล็กคิดน้อยกันอยู่แล้ว เพราะเงินที่ใช้เที่ยวๆ หรือเงินเดิมพันตอนแข่งรถมากกว่าค่าอาหารหลายเท่า

“ไม่แล้วว่ะ”

ยีนเป็นตัวแทนตอบกลับมา ผมจึงลุกจากเบาะที่นั่งอยู่พร้อมกระเป๋าเงินและใบเสร็จตรงไปยังเคาน์เตอร์หน้าร้าน แต่ระหว่างที่เดินไปยังเป้าหมาย สายตาของผมก็ปะทะเข้ากับใบหน้าของคนคนหนึ่งเข้า เป็นคนเดิมที่ทำให้ผมรู้สึกว่าโลกกลมเกินไปแล้ว









อ่านต่อข้างล่าง

v

v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-08-2013 17:06:51 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥

ต่อจากข้างบน

v

v






ทำไมผมถึงเจอผู้ชายคนนี้อีก?

คำถามดังก้องอยู่ในหัวของผมขณะที่ผมหันหน้ากลับไปอีกทาง ทำเหมือนไม่เห็นว่าเจ้าของชื่อที่ติดอยู่บนอกของผมมาสามวันเต็มกว่าจะลบออก นั่งอยู่ตรงนั้นกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนเดียวกับที่ผับ ทั้งที่ผมแน่ใจว่าเมื่อครู่ผมกับเขาสบตากันราวกับจงใจ

ผมยื่นใบเสร็จและบัตรเครดิตให้กับแคชเชียร์เพื่อให้เขาจัดการต่อ แต่แค่ครู่เดียวผมก็รู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ข้างๆ เมื่อหันไปมองก็เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ในใจ คนที่ผมเลี่ยงที่จะสบตาด้วยมายืนข้างผมแล้ว

“ทำไมไม่โทรมา”

เสียงเรียบๆ ดังพอให้ผมได้ยิน และไม่รบกวนการทำงานของพนักงานที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยมีเคาน์เตอร์กั้นเอาไว้ แต่ผมก็ยังเงียบ ไม่ต่อบทสนทนาด้วย หวังว่าเขาจะเลิกยุ่งกับผม เพราะผมคิดว่าการเข้าใกล้ผู้ชายที่ชื่อ ไนล์ อันตรายเกินกว่าที่ผมจะควบคุมได้

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมรู้สึกแบบนั้น

และเขาก็ทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง มือเรียวที่ค่อนข้างเย็นเล็กน้อยเลื่อนมาจับมือผมเอาไว้ ทำให้ผมสะดุ้งนิดๆ และต้องหันไปทางเขา แต่เขาเพียงแค่มองหน้าผมเหมือนต้องการคำตอบทั้งที่แววตากลับว่างเปล่า จุดหมายของมันไม่ใช่ใบหน้าหรือตาของผม แต่เป็นอะไรที่เหมือนจะอยู่ลึกกว่านั้น ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกทะลวงเข้าไปในหัวใจอย่างไร้เหตุผล

ผมดึงมือตัวเองออกอย่างระมัดระวัง ไม่ให้เป็นที่สังเกตกับพนักงานที่อยู่ตรงหน้าและลูกค้าในร้าน แต่ก็ยังถูกมือที่เล็กกว่ายึดเอาไว้แน่น สายตาสีดำสนิทคู่นั้นยังทิ้งไว้ในระยะเท่าเดิม ราวกับบอกว่าจะไม่ปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระจนกว่าจะได้คำตอบจากผม และสุดท้ายผมก็ต้องยอมขยับปากตอบ

“ฉันไม่จำเป็นต้องโทรหานาย”

“กลัวเหรอ”

“ทำไมฉันต้องกลัวนาย”

คล้ายว่าเป็นคำพูดท้าทาย ทั้งที่สีหน้าสงบนิ่งและน้ำเสียงยังคงเรียบเฉย พลอยให้ผมต้องโต้ตอบอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าในเวลาเดียวกันผมกลับรู้สึกว่าหัวใจของผมสั่นหน่อยๆ

กลัว?

ทำไมผมจะต้องกลัวคนที่ไม่รู้จักกัน กลัวคนที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และต้องการอะไรจากผม

“นั่นสิ นายจะกลัวฉันทำไม”

ทั้งที่เป็นประโยคคำถาม แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมันเป็นประโยคที่อีกฝ่ายตั้งใจแทงเข้ามาที่อกของผมอย่างจัง เหมือนเขารู้ว่าผมกำลังรู้สึกยังไง และมันก็ทำให้ผมหน้าชาไปเล็กน้อย

“เอ่อ... ช่วยเซ็นตรงนี้ด้วยค่ะ”

เหมือนถูกช่วยชีวิตเอาไว้จากพนักงานที่น่าจะกำลังรอจังหวะแทรกเสียงขึ้นมา ผมกระชากมือออกอย่างไร้ความเกรงใจต่างจากก่อนหน้านี้ และคว้าปากกามาเซ็นชื่อในสลิปก่อนจะรับบัตรเครดิตคืน แต่กระนั้นผมก็ไม่วายกวาดตาไปทางคนที่ยืนอยู่ข้างกัน เห็นว่าคนคนนั้นกำลังมองมาทางผมเช่นเดียวกัน ขณะที่มือที่จับมือผมเอาไว้เมื่อครู่ยื่นแบงก์พันให้กับพนักงาน

ผมต้องรีบเดินจากเคาน์เตอร์และไปที่โต๊ะอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้ผิดสังเกต เสียงตึกตึกดังก้องอยู่ในอกของผมเหมือนกำลังบอกว่า ‘อย่าเข้าใกล้ผู้ชายคนนี้’ ก่อนที่ผมจะผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อยและนั่งลงบนม้านั่งเหมือนเดิม

“นานจังวะ”

“พอดีเจอคนรู้จักหน้าร้าน”

ถ้าเป็นคนอื่นถาม ผมอาจจะหาข้ออ้างที่ต่างจากความเป็นจริงได้ แต่คนที่ถามคือไอ้ยีน ผมถึงไม่สามารถโกหกได้

ผมไม่ชอบที่จะปิดบังมัน ผมไม่อยากมีความลับกับมัน ถึงตอนนี้จะเหมือนว่าผมกำลังทำแบบนั้นอยู่ก็ตาม

“เป็นอะไร”

“เปล่า ไม่มีอะไร” ตอบยีนกลับไปแล้วผมก็ยกแก้วน้ำมาดูดน้ำสีน้ำตาลเข้มเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่ๆ “แดกกันเสร็จหรือยัง”

“เสร็จแล้ว”

“งั้นก็ไปกันเหอะ พวกมึงจะซื้ออะไรกันอีกหรือเปล่า”

ถุงเสื้อผ้าที่ซื้อมาถูกผมคว้ามาถือเอาไว้พลางลุกยืนอีกครั้ง ขณะที่คนอื่นๆ ก็ยืนตามและก้าวออกจากโต๊ะมาด้วยกัน

“คงไม่ซื้อแล้วมั้ง ดูห่าเคลมดิ จะถือไม่ไหวอยู่แล้ว ซื้ออะไรนักหนา มึงจะเปลี่ยนวันละสิบชุดหรือไง”

เป็นไฮยีนเจ้าเดิมครับที่กระแหนะกระแหนเคลมตามนิสัยระหว่างที่พวกเราเดินออกมานอกร้าน ทว่าตอนที่เดินออกมาก็ไม่พ้นว่าผมเดินสวนกับคนที่ผมพยายามเลี่ยงซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ และแม้ว่าจะไม่อยากสนใจอีกฝ่าย แต่หางตาของผมก็ยังเหลือบไปมองเจ้าของหน้าเรียวนั่น

สายตาของเราสบกันอีกครั้ง ทำให้ผมต้องเบือนหน้าหลบเล็กน้อย

“กัส มึงช่วยกูถือหน่อยดิ”

“อะไรของมึงเนี่ย มีแต่ของมึง ก็ถือเองสิวะ”

เดินห่างออกจากร้านพิซซ่ามาได้พักหนึ่ง ไอ้เคลมก็งอแง ร้องให้ไอ้กัสช่วย เพราะตอนนี้ถุงเสื้อผ้าที่มันซื้อมาเต็มมือของมันเลย แต่ไอ้กัสไม่คิดจะช่วยครับ หนำซ้ำไอ้ยีนยังซ้ำเติม

“สมน้ำหน้ามึง”

“เสือกว่ะ กูไม่ได้ขอให้มึงช่วยสักหน่อย” คนบ้าช้อปปิ้งตอกกลับก่อนจะทำตาแป๋วใส่คนที่เดินข้างๆ กันต่อ “ไอ้กัส เพื่อนรักของกู ช่วยกูหน่อย เอาไปสามถุงก็ได้”

“ไม่ช่วยเว้ย กูบอกแล้วว่าให้พอ มึงก็จะเอาอยู่ดี”

ดูเหมือนยีนจะพอใจและสะใจอยู่ เพราะมันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด

“มึงไม่รักกูแล้วเหรอ”

“...”

ไอ้กัสไม่ตอบครับ เสียงหัวเราะเบาๆ ของไฮยีนถึงหลุดออกมา ไอ้เคลมเลยถลึงตาใส่แล้วหันมาขอร้องผมแทน

“กราฟ มึงรักกูไหม”

ผมยิ้มออกมานิดๆ กับคำถาม พลางเหลือบมองถุงนับสิบใบที่อยู่ในมือของมัน เป็นแบบนี้ตลอด ซื้อของแบบไม่เจียมตัว แล้วพอกินอิ่มทีไรก็เริ่มขี้เกียจทุกที ทั้งที่ตอนยังไม่กินก็ถือมาเองได้ ไอ้ยีนเรียกอาการแบบนี้ของไอ้เคลมว่า ‘โรคสำออย’ ครับ

“เอามา”

“กราฟ อย่าช่วยมันดิวะ เคยตัวว่ะแม่ง”

ยีนห้าม มีการดึงมือผมเอาไว้ด้วย ทำตัวเหมือนเด็กกำลังหวงพี่เลี้ยง ไม่ให้ไปดูแลเด็กคนอื่น พานให้ผมยิ้มกว้างมากขึ้น ตอนนี้เลยเหมือนเด็กสองคนกำลังแย่งผม คนหนึ่งดึงแขนซ้าย อีกคนดึงแขนขวา ส่วนไอ้กัสได้แต่ยืนมองเหมือนรอดูว่าผมจะตัดสินใจยังไง

แต่เพราะว่าสองคนนั้นยื้อผมกันไปมา ทำให้ผมต้องหัวสั่นหัวคลอนตามไปด้วย และมันก็ทำให้ผมเหลือบไปเห็นคนที่เมื่อครู่อยู่ในร้านพิซซ่าเดินตามมาทางด้านหลัง ทั้งที่ไม่ตั้งใจที่จะสบตากัน แต่ผมก็เหมือนถูกสายตาเลื่อนลอยคู่นั้นจับจ้องมาอีกแล้ว

หมอนั่นตามมาหรือยังไง?

คำถามดังก้องในหัวของผมอีกครั้ง เพราะว่าเราเดินห่างออกมาจากร้านพิซซ่าจนออกมาอีกโซนหนึ่งแล้ว ก่อนเสียงของยีนจะดึงให้สติของผมกลับมาอยู่กับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่

“กราฟ!”

“อะไร”

“เป็นอะไร อยู่ๆ ก็เหม่อ”

“เปล่า” ผมตอบแล้วยิ้มให้ไอ้ยีน ก่อนจะค่อยๆ ดึงแขนออกจากมือทั้งสองข้างของเพื่อนรักสองคน “เดี๋ยวกูถือให้ทั้งสองคนนั่นแหละ จะได้เท่าเทียมกัน”

ว่าแบบนั้นแล้วผมก็คว้าถุงในมือของไอ้ยีนและไอ้เคลมมาคนละสองใบ พวกมันก็ดูงงๆ ที่อยู่ๆ เหมือนว่าผมจะแปลกไปนิดหน่อย ก่อนเสียงจากด้านหลังจะเรียกความสนใจจากผมอีกครั้งทั้งที่มันเบาจนเกือบไม่ได้ยิน

“ไนล์ เข้าไปดูร้านนี้กันเถอะ พี่ผิงอยากได้กระเป๋า”

ผมเหลือบไปทางต้นเสียง ก็เห็นว่าผู้หญิงที่นั่งโต๊ะเดียวกับผู้ชายคนนั้นในร้านพิซซ่าคล้องแขนของคนที่เธอเรียกแล้วดึงให้เดินเข้าไปในร้านกระเป๋าแบรนด์เนมที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยกัน

“กราฟ!”

“อะไร”

เสียงของยีนทำให้ผมต้องหันกลับไปทางด้านหน้าอีกครั้ง และถามอย่างสงสัย เพราะเห็นว่าเพื่อนรักที่สุดกำลังขมวดคิ้วเข้าหากันเหมือนกำลังมีปัญหาหนัก และเดินนำหน้าผมไปเกือบสองช่วงตัวแล้ว

“มึงเป็นอะไร เหม่ออีกแล้ว”

“ไม่มีอะไร กลับกันเหอะ”

“เออ มึงน่ะเดินช้าที่สุดแล้ว”

ไอ้เคลมสวนกลับมาอีกคน ผมเลยต้องรีบก้าวเท้ายาวๆ ตามมันไป แต่ก็ไม่วายเบือนหน้าไปทางด้านหลังเพื่อมองไปที่ร้านกระเป๋าอีกครั้ง และก็ไม่เห็นว่ามีใครคนนั้นอยู่หน้าร้านอีกแล้ว

ทำไมผมจะต้องสนใจหมอนั่น?







===============
ไนล์ออกน้อยอีกแล้ว แต่ตอนหน้าจะออกเยอะขึ้นแล้วค่ะ
ตอนนี้เหมือนเน้นกราฟยีนมากกว่า ฮาาาา  :mew5:

ปล. เรื่องนี้จะแทรกภูยีนมาเรื่อยๆ ค่ะ เพราะเวลามันคาบเกี่ยวกันเป็นช่วงๆ
แต่งไปก็ต้องเปิดอีกเรื่องไล่เช็คตลอด  :o12:


Undel2Sky


ออฟไลน์ First

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เย่ๆๆ  เรื่องใหม่มาแล้ว  กำลังรออยู่พอดีเลย    เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะครับ :o8:

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
ปากบอกไม่มีอะไร แต่สายตามองไปยามเผลอ แหมมมม

ออฟไลน์ Lily teddy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-2
ตอนนี้ไนล์ออกนิดเดียวจริง ๆ แต่ออกมาทีทำนายกราฟใจสั่นตลอด
ชอบความรัก ความผูกพันของยีนกะกราฟอะมันดูลึกซึ้งและก็ให้ความสำคัญกันดีมากเลย
ตอนอ่านในภูยีนก็รู้สึกว่ากราฟเหมือนพยามปกปิดเพื่อนเรื่องของไนล์
แต่มาอ่านตอนนี้ก็เข้าใจมากขึ้น เพราะกราฟก็ยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ไนล์ทำ
เลยไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เพื่อนฟังละมั่ง ส่วนไนล์ก็ดูเป็นปริศนาจริง ๆ
แบบเจอทีก็รุกที ไม่เจอก็หายไปเลย อย่างงี้กราฟก็คงสับสนอยู่อย่างงั้นแหละ
มันต้องมีที่มาที่ไปกับสิ่งที่ไนล์ทำกะกราฟบ้างสิ คงไม่ใช่รักแรกพบหรอกมั่ง
ตอนหน้าไนล์จะได้ออกมากขึ้นแล้ว ไนล์จะทำอะไรให้กราฟเข้าใจตัวเองมากขึ้นไหมน๊า
รอติดตามนะคะ  :pig4: :mew1:

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
ไนล์เป็นผู้ฃายที่แอบน่ากลัวแฮะ
น่ากลัวตรงออกมาน้อยเนี่ยแหละ เหมือนวิญญาณ
รออ่านตอนต่อไปคร้าบบ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด