๒.
ชีวิตต่างบ้านในวันที่สองของนาคินไม่ได้ผิดแผกไปจากวันแรกเท่าใดนัก ชายหนุ่มยังคงตื่นนอนแต่เช้า ลงมาเดินเล่นยืดเส้นยืดสายรอบๆบริเวณบ้าน ก่อนจะเสนอตัวช่วยลุงเสริมรดน้ำต้นไม้ที่แปลงหน้าศาลารับลมข้างสระน้ำ แล้วจึงกลับขึ้นไปร่วมโต๊ะกับลุงมนและลูกๆ
ทว่ามีสิ่งพิเศษอย่างหนึ่งที่ดูจะไม่เหมือนวันแรกนั่นคือ วันนี้ที่เรือนดอกแก้วด้านหลังเรือนใหญ่ มีกลุ่มเด็กชายหญิงราวๆเกือบยี่สิบคนรวมตัวกันอยู่ที่นั่นเพื่อรอเรียนดนตรีไทยกับพ่อครูมนตรี
เรือนดอกแก้วเป็นเรือนใต้ถุนเตี้ยยกพื้นสูงประมาณสองฟุต ด้านหน้าเรือนมีแก้วเจ้าจอมต้นสูงใหญ่ปลูกอยู่ หากแต่มันมีเพียงแค่ใบเขียวชอุ่มไร้ซึ่งดอกดวง ขึ้นบันไดเล็กไป บนตัวเรือนมีชานกว้างเปิดโล่งด้านหน้า พื้นเรือนยกสูงขึ้น มีผนังปิดกั้นสามด้าน ซ้ายสุดจะมีประตูเชื่อมต่อเข้าไปด้านใน แต่ประตูบานนั้นปิดสนิทและนาคินก็นั่งดูอยู่เพียงโถงด้านนอก จึงไม่อาจทราบได้ว่าห้องที่ต่อเข้าไปมีลักษณะเป็นอย่างไร
เด็กน้อยในชุดเสื้อลำลองเหน็บโจงกระเบนแดง นั่งพูดคุยส่งเสียงเสียงเจื้อยแจ้วประจำที่อยู่หน้าเครื่องดนตรีประจำตัวของตน ซึ่งจัดเรียงเป็นวงมโหรีเครื่องใหญ่ ด้านหน้าสุดเป็นจะเข้ ซอด้วง ซอสามสาย ซออู้ เรียงจากซ้ายไปขวาตามลำดับ ถัดไปอีกเป็นเครื่องตีจำพวกระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเหล็ก และท้ายสุดเป็นฆ้องวงเล็ก ฆ้องวงใหญ่ รำมะนา ฉิ่ง โทน แต่ที่พิเศษกว่ามโหรีใหญ่ตามแบบฉบับโบราณคือการเพิ่มขิมเข้ามาบรรจุในวงอีกสองตัวขนาบด้านข้าง
เมื่อพ่อครูขึ้นมาบนเรือนเด็กๆจึงเงียบเสียงลง เด็กผู้ชายตัวเล็กซึ่งเล่นจะเข้เป็นเครื่องดนตรีประจำกายส่งเสียงเป็นสัญญาณให้ทุกคนทำความเคารพ พ่อครูมนตรีพูดคุยกับเด็กๆอย่างเป็นกันเองเล็กน้อยพอให้บรรยากาศครึกครื้นจึงเริ่มต่อเพลงที่ค้างไว้จากคราวที่แล้ว
นาคินเพียงนั่งฟังอยู่ห่างๆก็รู้สึกว่าเจริญหูเจริญตา เพราะเด็กทุกคนดูมุ่งมั่นตั้งใจ แววตาใสๆแสดงออกถึงความรักในสิ่งที่ทำจนชายหนุ่มสัมผัสได้ มนตรีเองก็เหมือนกัน ในเวลาปรกติเจ้าตัวจะดูร่าเริงแจ่มใสและขี้เล่น หากแต่เวลานี้ นาคินกลับรู้สึกว่าลุงมนที่เขารู้จักช่างดูน่าเคารพนับถือยิ่ง
นานกว่าสามชั่วโมงที่นาคินนั่งฟังดนตรีไทยโดยที่ไม่ลุกหนีไปไหน กระทั่งสิ้นสุดคาบเรียนชั่วโมงสุดท้าย เด็กๆก็ไหว้ลาพ่อครูแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน
นาคินเดินกลับจากเรือนดอกแก้วพร้อมกับมนตรี ทั้งสองเดินสนทนาอะไรกันมาเรื่อยเปื่อยตลอดทาง กระทั่งมีเด็กหญิงคนหนึ่งเรียกมนตรีจากทางด้านหลัง เขาทั้งคู่จึงหยุดรอเด็กน้อยคนนั้น
"พ่อครูคะ"
"มีอะไรเหรอมะปราง ทำไมหนูยังไม่กลับบ้านอีกล่ะลูก"
"ปรางแล้วก็พี่มุกช่วยกันถูยางสนกับสายซออยู่ค่ะพ่อครู" เด็กหญิงตอบ
"แล้วหนูมีอะไรจะถามพ่อครูหรือเปล่า หนูถึงเรียกพ่อครูไว้" มนตรีถามด้วยแววตาเอื้ออารี
"คือหนูกับพี่มุกสงสัยว่าวันนี้ครูพี่สนไปไหนคะพ่อครู ทำไมครูพี่สนถึงไม่มาสอนเราด้วยล่ะคะ"
"อ๋อ ครูพี่สนไปทำธุระให้พ่อครูน่ะสิลูก"
"โถ่~ เสียดายจังค่ะ ไม่ได้เจอครูพี่สนตั้งนาน มะปรางคิดถึ้ง คิดถึง" มะปรางว่าพลางทำเสียงเล็กเสียงน้อย ท่าทางน่ารักๆของเธอทำให้มนตรีอดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้
"เอาไว้พรุ่งนี้นะลูก"
"ค่ะ งั้นหนูกลับก่อนนะคะพ่อครู แม่มารับแล้ว"
"เจอกันวันพรุ่งนี้นะจ๊ะ กลับบ้านไปซ้อมด้วยล่ะ" มนตรีสั่งเป็นคำสุดท้ายเด็กหญิงก็สะพายกระเป๋าซออู้วิ่งจากไป นาคินมองตามเด็กน้อยไป ก่อนจะหันมาถาม
"ลุงมนครับ สน.....ไม่ใช่สิ ต้องเป็นพี่สน" แก้คำผิดกับตัวเองเสียใหม่ก่อนจะถามอีกครั้ง "พี่สนเป็นครูสอนดนตรีไทยของที่นี่ด้วยเหรอครับ"
"ใช่แล้วล่ะคิน รายนั้นน่ะเล่นดนตรีเป็นทุกชิ้น ลุงสอนพี่เขามาตั้งแต่เด็ก เป็นพวกมีพรสวรรค์หยิบจับชิ้นไหนก็เข้าทางเขาไปเสียหมด ช่วยแบ่งเบาภาระลุงไปได้เยอะ" มนตรีเล่าด้วยความรู้สึกภูมิใจ
"เหรอครับ..."
นาคินฟังลุงมนเล่าต่อเงียบๆหากในใจอดที่จะทึ่งไม่ได้ ชายหนุ่มไม่คิดว่าสนธยาจะมีความสามารถถึงขนาดนั้น คิดตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้จะลงมาพิสูจน์ฝีมือลูกชายคนโตของลุงมนนเสียหน่อยว่าจะเก่งจริงดั่งคำที่ลุงแกโม้เอาไว้หรือเปล่า
เช้าวันต่อมา
ทันทีที่นาคินย่างเท้าก้าวข้ามธรณีประตูชานเรือนดอกแก้วเข้ามา สายตาก็มองตรงไปยังกลุ่มลูกศิษย์กับพ่อครูมนตรีที่กำลังต่อเพลงลาวครวญซึ่งเป็นเพลงสองชั้นต่อเนื่องจากเมื่อวาน ก่อนดวงตาสีน้ำตาลเข้มละจากพวกเด็กน้อยเพื่อพุ่งจุดสนใจไปที่ครูผู้ช่วยของมนตรีแทน
สนธยากำลังอธิบายบางอย่างที่นาคินไม่ได้ยินให้กับเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งนั่งประจำระนาดทุ้มฟัง ก่อนจะจับข้อมือเล็กจัดวางให้ตรงตามคุณลักษณะที่ถูกต้อง ริมฝีปากหยักโค้งเอื้อนเอ่ยตัวโน๊ตเป็นจังหวะกำกับให้ลูกศิษย์ตัวน้อย จบท่อนหนึ่งที่ข้องใจ เด็กหญิงก็หันมายิ้มแป้นแทนคำขอบคุณ นั่นเป็นเพราะเธอทำได้ตามที่ต้องการแล้ว นาคินลอบเห็นรอยยิ้มตอบกลับเล็กๆของครูพี่เลี้ยงด้วยแวบหนึ่ง แม้จะรวดเร็วมากแต่กลับให้ความรู้สึกอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก
นั่งดูการเรียนการสอนสักพัก ยังไม่ทันที่จะได้ชื่นชมความสามารถจริงๆของลูกชายเพื่อนพ่อ อยู่ๆนาคินก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขารู้สึกราวกับถูกดวงตาของใครบางคนจ้องมอง มันไม่ได้น่ากลัวแต่ก็ให้ความรู้สึกอึดอัดครั่นเนื้อครั่นตัวพิกล ความสนใจในตัวสนธยาและเด็กๆจึงถูกหันเหออกไปหมดสิ้น ทั้งๆที่อากาศไม่ได้ร้อนเลยในเช้านี้ มิหนำซ้ำลมยังโกรกเข้ามาที่ชานเรือนอีกต่างหาก ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เหงื่อเม็ดใสจึงผุดปรายปรากฏขึ้นเต็มหน้าผากของชายหนุ่ม
ในที่สุดนาคินก็อดรนทนไม่ไหวกับความรู้สึกนั้น ร่างสูงลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินลงจากเรือนไป คิดในแง่ดีว่าเขาอาจจะกินข้าวเช้าน้อยไปนิด และเมื่อคืนคุยเล่นผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คกับเพื่อนที่กาฬสินธุ์นานไปหน่อย ทำให้กว่าจะได้นอนก็ดึกมากแล้ว นั่นคงเป็นสาเหตุให้รู้สึกง่วงนอนและตะครั่นตะคร้อเช่นนี้
คล้อยหลังนาคินที่เพิ่งก้าวลงจากเรือนดอกแก้วไป นัยน์ตาสีนิลใสก็เผลอเหลือบตามไปด้วย สนธยาคิดว่าความอยากรู้อยากเห็นทำให้นาคินคิดที่จะเข้ามาชมการเรียนการสอน แต่เพราะอะไรที่โบราณคร่ำครึในสายตาของวัยรุ่นทั่วไป เป็นเหตุให้ในใจของสนธยาคิดปรามาสว่านาคินคงจะเบื่อหน่ายอะไรเช่นนี้ จนต้องกลับไปหาอย่างอื่นทำแทน
"หึ..." แต่สนธยาก็เค้นเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่ยีหระ แล้วหันไปสนใจเด็กนักเรียนของตนต่อไป
เมื่อลงจากเรือนดอกแก้วมาแล้ว นาคินตัดสินใจว่าจะยังไม่กลับขึ้นเรือนใหญ่แต่เขากลับลัดเลาะเดินเล่นไปตามด้านข้างของตัวเรือนดอกแก้วแทน ขณะที่เดินไปเรื่อยๆชายหนุ่มก็สังเกตเห็นว่าที่นี่มีศาลาริมน้ำด้วย ตัวศาลายื่นลงไปในคลองสายเล็กที่นาคินคะเนว่าเชื่อมยาวมาจากคลองสายใหญ่ที่เห็นตรงปากซอย แล้วชายหนุ่มก็เคลื่อนที่ไปหยุดยืนอยู่บนศาลาเพื่อทอดมองทิวทัศน์โดยรอบ
สายวันนี้อากาศดี ปุยเมฆสีขาวลอยเอื่อยๆตัดกับท้องฟ้าสีคราม ลมเย็นชื่นใจพัดเรื่อยบนทิวระลอกคลื่นที่มีแสงแดดส่องกระทบระยิบระยับชวนให้ตาพร่า ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆครั้งหนึ่งแล้วค่อยรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย เขามองตามผักตบชวาลอยมาติดที่บันไดท่าน้ำซึ่งทอดตัวล้ำออกไปจากศาลา ดอกสีม่วงของมันชูช่อส่ายไปมาหยอกล้อกับสายลมอ่อน ดวงตาคมจ้องภาพเหล่านั้นอยู่เนิ่นนานราวกับตกอยู่ในภวังค์
หากแต่จู่ๆสายลมที่พัดโชยเอื่อยกลับแปรเปลี่ยนเป็นลมกรรโชกแรงราวกับพายุกำลังก่อตัว ดอกผักตบชวาถูกระลอกคลื่นพัดไปไกลอย่างรวดเร็วจนเกือบจะลับตา แล้วเสียงหนึ่งก็เรียกให้ชายหนุ่มหันเหความสนใจไปเสียก่อน
"ฮือๆ...เอาของข้าคืนมานะ...ฮรึก! เอาคืนมา"
เด็กหญิงเกล้าจุก นุ่งโจงกระเบนสีหม่นกับเสื้อคอกระเช้า ยืนร้องไห้เช็ดน้ำตาป้อยๆอยู่ท่ามกลางกลุ่มเด็กชายสามคนที่ไว้แกละไว้เปีย ตัวดำเป็นเหนี่ยง เสื้อไม่สวม นุ่งแต่โจงกระเบนสีเดียวกันหมด
"จ้างก็ไม่ให้ดอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า!~" เจ้าแกละที่ยืนตรงกลางทำท่าคล้ายกับเป็นหัวโจกว่า พลางกำตุ๊กตาลูกตาลผมยุ่งซ่อนไว้ด้านหลังตน
"เอาของข้าคืนมานะ...อะ..เอาคืนมา"
"จ้างก็ไม่คืน ไอ้ขี้แย เว้ยๆไอ้ขี้แย~ ร้องไห้งอแงขี้มูกยืด"
เด็กชายสามคนล้อมเป็นวงกลมแล้ววนไปรอบๆเด็กหญิงตัวน้อยท่าทางบอบบาง พร้อมกับโยนตุ๊กตาส่งผลัดกันไปมาไม่ให้เด็กหญิงแย่งกลับคืนไปได้ ซ้ำยังแลบลิ้นปลิ้นตาทำท่าล้อเลียน
"ไอ้แดง!! เอาตุ๊กตาคืนจันทร์หอมไปประเดี๋ยวนี้นา!"
เสียงตะคอกแหวของเด็กหญิงอีกคนดังขึ้น ในมือเล็กๆถือกิ่งมะรุมแห้งกิ่งเบ้อเริ่มเทิ่มยืนตั้งท่ามั่น ก่อนจะส่งสายตาดุดันไปให้เด็กชายทั้งสามคน
"อีแก้ว! เอ็งมาเสือกอะไรด้วย เรื่องของเอ็งรึก็ไม่ใช่" แดงโต้กลับ ระหว่างนั้นจันทร์หอมก็วิ่งไปหลบหลังเพื่อนรัก
"ทำไมข้าจะเสือกไม่ได้ จันทร์หอมเป็นเกลอข้า หากเอ็งไม่คืนตุ๊กตาให้จันทร์หอม ข้าจะฟาดเอ็งด้วยกิ่งมะรุมนี่จริงๆ" ไม่ว่าเปล่า เด็กแก้วยังก้าวเข้าไปใกล้ มือเล็กวาดกิ่งไม้ฟาดฉวัดเฉวียนไปมาขู่ฝ่ายตรงข้ามอีกคำรบ
"อีแก้ว....น..นี่เอ็งคิดจะขู่ข้ารึ"
"ข้ามิได้ขู่ หากว่าเอ็งไม่ทำตาม ข้าจะฟาดเอ็งให้กะบาลแยกจริงๆเชียว" ขู่ฟ่อใส่เจ้าแดงเสร็จ แก้วก็หันไปขู่เด็กชายอีกสองคนด้วย "พวกเอ็งก็เหมือนกันไอ้ผัน ไอ้จ่อย อย่าคิดว่าจะรอดไปได้ ข้าจะฟาดไม่เลี้ยงทีเดียว"
ท่าทางก๋ากั่นไม่เกรงกลัวใครเกินกว่าเด็กหญิงทั่วไป ทำให้เด็กชายสามคนนึกผวา หวาดๆว่าหากแก้วฟาดกิ่งมะรุ่มใส่ตนจริงคงจะเจ็บน่าดู คิดได้ดังนั้นเจ้าแดงก็ถอยหลังพรูไปสองสามก้าว
"ข้าจะคืนตุ๊กตาให้เอ็งก็ได้อีแก้วนักเลงโต แต่ว่า...." เว้นระยะไปอึดใจเจ้าแดงก็ขว้างตุ๊กตาลูกตาลของจันทร์หอมลงไปในคลอง "แต่ว่าเอ็งก็โดดลงคลองไปเก็บเอาแล้วเองนะโว้ย" ว่าจบแล้วแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เด็กหญิงทั้งสองก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
"ไอ้แดง!!!!" แก้วตะโกนลั่นเพราะเจ็บใจ คิดจะวิ่งตามมันไปแต่จันทร์หอมก็รั้งไว้
"อย่าไปเลยแก้ว มันมีกันตั้งสามคน ช่างมันเถอะ"
"คอยดูนะ ข้าจะไปบอกน้าเจียกแม่มัน ว่าไอ้แดงมันทำเลวอย่างไรกับเอ็งมั่ง" เด็กหญิงกัดฟันกรอดว่าอย่างแค้นใจ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังทอแววดุดันไม่ลบเลือน หากแต่เมื่อพลันได้สติเธอก็นึกขึ้นได้ว่าตุ๊กตาลูกตาลของเพื่อนถูกโยนทิ้งลงไปในน้ำ แก้วจึงพรวดพราดวิ่งไปที่ริมตลิ่ง "ตุ๊กตาเอ็ง! ประเดี๋ยวข้าจะเอาไม้ยาวๆเขี่ยมันขึ้นมาคืนให้เอ็งนะ"
"อืม" จันทร์หอมเช็ดคราบน้ำตาก่อนจะพยักหน้ารับเร็วๆ
แก้วมองหากิ่งไผ่แห้งขนาดเล็กแต่ยาวพอเหมาะได้จากกอไผ่ไม่ไกลจากที่เธอยืนอยู่ เด็กหญิงริดใบเล็กๆของมันออก ก่อนจะกลับมายืนริมตลิ่งเช่นเดิม หากแต่กระแสน้ำช่างไหลเชี่ยวยิ่งนัก ตุ๊กตาลูกตาลกึ่งลอยกึ่งจมถูกระลอกคลื่นพัดไปไกล แม้เด็กน้อยจะพยายามเอื้อมจนสุดแขนก็ยังไม่สามารถเกี่ยวมันกลับเข้าฝั่งได้
"ช่างมันเถอะแก้ว ข้าไม่เอาแล้วก็ได้" จันทร์หอมเห็นเพื่อนยืนเกาะกอกก ยื่นตัวลงไปหมิ่นเหม่จะตกคลองท่าทางน่าหวาดเสียว เธอจึงอดรนทนไม่ไหวร้องห้ามเพราะกลัวว่าแก้วจะตกลงไป
"ไม่เป็นไร อีกนิดเดียว ข้าไม่ตกดอก...." ขยับไปอีกนิด กำมือที่จับกอกกเลื่อนกระเถิบมาจนสุดปลายสาย กระทั่งปลายไม้เกี่ยวใยผมของตุ๊กตาได้ เด็กหญิงจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ "ได้แล้ว! ได้แล้วจันทร์หอ..ม! อ๊า!!”
ตู้ม!!
ไม่ทันได้ตั้งตัว กลุ่มใบกกที่เด็กน้อยจับเอาไว้ก็กระชากขาดเพราะรับน้ำหนักตัวไม่ไหว จึงทำให้ร่างของแก้วพุ่งถลาตกลงไปในคลองทันที!
"แก้ว!!!!" จันทร์หอมตะโกนกรีดร้องสุดเสียง ด้วยความตกใจ
แก้วว่ายน้ำไม่เป็น ซ้ำร้ายวันนี้น้ำในลำคลองไหลแรงและเชี่ยวกรากยิ่งนัก ด้วยความที่เป็นคนทรหดใจสู้ เธอกระเสือกกระสนทะลึ่งขึ้นมาเหนือน้ำได้หลายครั้ง แต่แล้วก็จมลงไปอีกเพราะแรงตีมวลของน้ำวนข้างใต้ จันทร์หอมโหยหวนเรียกให้คนมาช่วยลั่นคุ้งไปหมด ตัวเธอเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น ซ้ำยังเป็นคนจิตอ่อนตกใจง่าย เด็กน้อยจึงร้องจ้าด้วยความกลัวว่าเพื่อนจะจมน้ำตาย
ขณะที่แก้วกำลังจะจมหายไปกับสายธารา เสียงโดดน้ำดังตูมก็เรียกความสนใจให้จันทร์หอมหยุดสะอื้น ชายหนุ่มคนหนึ่งโดดลงไปช่วยเพื่อนของเธอ เขาว่ายเข้าไปใกล้ก่อนจะดำผุดดำว่ายหาร่างเล็กอยู่ครู่หนึ่ง เพียงเสี้ยววินาทีที่ผ่านพ้นไปช่างบีบคั้นหัวใจให้อึดอัดเหลือคณา
แล้วใบหน้าขาวซีดของแก้วโผล่พ้นน้ำขึ้นมาซบอยู่กับอกของชายหนุ่ม เขาลากพยุงเด็กน้อยไปที่ท่าน้ำ ก่อนจะอุ้มแก้วขึ้นบันไดท่าด้วยความทุลักทุเลเนื่องจากตัวเปียกปอนด้วยกันทั้งคู่
ชายหนุ่มจับตัวแก้วพาดกับไหล่ซึ่งไม่ได้กว้างนักของเขา ก่อนจะเขย่าตัวให้เด็กหญิงสำรอกน้ำออกมา ครู่เดียวน้ำใสๆก็ทะลักออกปากออกจมูก เสียงไอสำลักคอกแค่กเป็นสัญญาณให้เบาใจได้ว่าเด็กน้อยรู้สึกตัวแล้ว เขาจึงประคองร่างเล็กๆ
ลงมาอุ้มกับอก ย่อตัวลงนั่งบนไม้กระดานแล้วปล่อยตัวของแก้วให้นอนราบกันพื้นศาลา ส่วนศีรษะก็ถูกช้อนเอาไว้ด้วยวงแขนของเขาเอง
"เป็นอย่างไรบ้าง" เสียงนุ่มทุ้มหวานเอ่ยถามแผ่วเบา
เสียงนี้เป็นเสียงที่เรียกให้เปลือกตาที่เกือบจะหลับไปตลอดกาลลืมขึ้นมาได้อีกครั้ง ดวงตาของเด็กหญิงแดงก่ำและเอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำตา เธอจ้องมองใบหน้าอันอ่อนเยาว์หมดจดของผู้ช่วยชีวิตด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะยกมือขึ้นประนมแล้วกล่าวออกไปเสียงสั่นเครือ
"ข..ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณสิน....ที่ช่วยแก้วไว้"
"ไม่เป็นไร ทีหน้าทีหลังอย่าลงไปเล่นใกล้น้ำอีก จะจมน้ำตายเอารู้หรือไม่"
"เจ้าค่ะ" น้ำเสียงอ่อนโยนที่เขามอบให้ทำเอาน้ำตาหยดใสไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
"แก้ว!! เป็นอย่างไรบ้าง.." เสียงฝีเท้าวิ่งตึงๆของจันทร์หอมเรียกความสนใจของผู้มีพระคุณของแก้วหันไปมองตาม...
หากแต่นั่นเองที่ทำให้นาคินยืนนิ่งอึ้ง! เขาค้างอยู่ท่าเดิมนั้นราวกับถูกสาปให้เป็นหิน เพราะใบหน้าของคุณสินที่เด็กน้อยเรียก ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าหวานของลูกชายคนโตของลุงมน ซึ่งกำลังโบกมือคู่เรียวไปมาตรงหน้าเขาในขณะนี้
"สน!!!" นาคิมเรียกชื่อของคนที่ก้มตัวลงมาเอียงหน้ามองตัวเองจนคอเอียงเสียงดังลั่น ก่อนจะผงะถอยหลังไปชิดพนักเก้าอี้ในศาลา
"ก็ใช่น่ะสิ ตะโกนทำไมนะ อยู่กันแค่นี้ หูอื้อหมดเลย" เรียวคิ้วโค้งขมวดมุ่นเป็นปม นิ้วชี้เรียวยาวแคะเข้าไปในรูหูของตัวเองพลางบ่นงึมงำออกมาคนเดียว
"…!" นาคินมองไปรอบๆบริเวณอย่างรวดเร็ว เหลียวซ้ายแลขวา แล้วต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อพบว่าบนสถานที่แห่งนี้ รอบบริเวณนี้ทั้งหมด มีเพียงเขาและสนธยาอยู่ลำพังด้วยกันเพียงสองคนเท่านั้น!
"เป็นอะไร?" สนธยามองสีหน้าปั้นยากของคนตัวสูงกว่าก่อนจะถามออกมาเรียบๆ
"…เอ่อ..."
เหมือนมีก้อนสะอึกอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ สิ่งที่เห็นเมื่อครู่ เด็กๆที่เห็นเมื่อครู่หายไปไหน เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วินาทีก่อนหน้า อยากจะรู้ อยากจะถาม หากแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร สมองประมวลผลไม่ทันจนรู้สึกวิงเวียนไปหมด คำถามมากมากผุดขึ้นมาในหัวว่า
เกิดอะไรขึ้นกับเขา?
บุคคลกับเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อกี้คืออะไร?
ทุกอย่างหายไปได้อย่างไร?
แล้วสิ่งที่เขาเห็นคือความจริงหรือความฝันกันแน่? "ถามว่าเป็นอะไร...เห็นยืนเหม่อตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ"
ความจริงก็ไม่ได้อยากยุ่งนักหรอก สนธยาคิด เพราะนาคินอาจกำลังคิดอะไรบางอย่างที่บอกให้สนธยาฟังไม่ได้ แต่ไอ้ท่าทางที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นนานเกือบสิบนาทีตั้งแต่สนธยามาพบเข้า ผนวกกับอาการเหม่อลอยทำเหมือนมองไม่เห็นเขาในสายตา ซ้ำยังไม่ตอบคำถามในตอนนี้ เห็นแล้วชวนให้รู้สึกหงุดหงิดเหมือนถูกมองเป็นอากาศธาตุก็ไม่ปาน
"เอ่อ...ปะ...เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร แล้วสนมีอะไรหรือเปล่า" นาคินตอบออกมาในที่สุด
"หึ..." ส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเอ่ยธุระที่ทำให้ตนถ่อมาถึงที่นี่ "พ่อให้มาตามไปกินข้าวกลางวัน"
"อ๋อ..." นาคินพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามหลังสนธยาออกจากศาลาไป ในใจพลางคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองเมื่อครู่ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ "สน"
"อะไร?" สนธยาหยุดเดินเพื่อหันกลับมาเลิกคิ้วแล้วมองหน้า
"นี่กี่โมงแล้วเหรอ"
"เที่ยงครึ่ง"
"เที่ยงครึ่ง!" นาคินทวนอีกครั้งเสียเสียงดังอย่างไม่เชื่อหู พลอยทำให้คนถูกถามตกใจไปด้วย
"ก็ใช่น่ะสิ มีอะไรหรือเปล่า"
"อ๋อ..ปะ...เปล่า ไม่มีอะไร" ร่างสูงบอกปัดพร้อมกับยิ้มแหยๆ
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรสนธยาจึงออกเดินนำร่างสูงกลับเรือน แต่คนที่เดินตามนั้นกลับสับสนวุ่นวายปวดหัวจนแทบระเบิด เขาหลับไปอย่างนั้นหรือ นาคินตั้งคำถามกับตัวเองทว่าคำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขายืนหลับอยู่บนศาลาตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงเที่ยง ทั้งที่ในตอนแรกเสียงเด็กๆ พวกนั้นต่างหากที่ทำให้เขาสนใจหันไปมอง ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย แต่สงสัยอย่างไรก็หาคำตอบให้ตนเองไม่ได้
"เกิดบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย" นาคินพึมพำกับตนเอง
"ว่าอะไรนะ" สนธยาเอี้ยวตัวกลับมาถามเพราะคิดว่าร่างสูงพูดกับตน
"ไม่มีอะไร ผมพูดกับตัวเอง"
"อ่อ..." สนธยากรอกตาแล้วซอยเท้าจ้ำอ้าวไปอย่างรวดเร็ว ไม่คิดรั้งรอเสียเวลากับผู้ชายสติไม่เต็มเต็งคนนี้อีก
‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧
ไม่ต้องตื่นเต้นตกใจ ทำไมมาต่อเร็ว
พอดีว่าเรามีสต็อกไว้และรีไรต์ตอนนี้ไม่มาก
ก็เลยเอามาลงก่อนครบกำหนดค่ะ ^^
ต่อไปเราจะลงเรื่องนี้ทุกๆวันพฤหัส คือถ้าเป็นไปได้ก็จะไม่ให้เกินนี้
จะได้มีเวลาเขียนเรื่องอื่นด้วย
ลงเรื่องนี้อาทิตย์ละครั้งคงไม่นานไปนะคะ
เห็นลงเรื่องใหม่แล้วมีคนมาคอมเม้นต์ต้อนรับยิ่งทำให้ดีใจ
ไฟลุกและฮึกเหิมมาก 55555
เรื่องนี้ถามว่าเรื่อยๆเหมือนโปรดจงรักไหม
เราคิดว่าคนละ Feelนะ
พล็อตคีตมาลาเป็นเรื่องที่เริ่มเบาๆ แล้วค่อยๆพีค
แต่จะพีคมากพีคน้อยก็ต้องลองอ่านดูค่ะ
เอาเป็นว่าพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ยังไงก็ฝากคีตมาลาไว้ด้วยเน้อ
ละอองฝน
[๑๙:๓๗ , ๒๑/๐๕/๒๕๕๘]