บทที่ 4
“ธรณิน”
เสียงฮือฮาและเสียงชัตเตอร์ที่ดังรัวไม่หยุดอยู่ที่ข้างหูผมในตอนนี้กลายเป็นเพียงเสียงแว่วๆ ที่ห่างไกล เมื่อผมสบตากับกานต์ที่ส่งยิ้มหวานมาให้ ผมรู้ รอยยิ้มนั้นเป็นของผม ในใจกระตุกแปลกๆ คล้ายมีอะไรไปอุดตันเส้นเลือดในหัวใจ ถ้าเอาผมไปเอกซเรย์ดูตอนนี้ ฟิล์มที่ออกมาคงมีหน้าขาวๆ ที่ยิ้มกว้างแปะอยู่ตรงหัวใจห้องใดห้องหนึ่ง (อนุญาตให้วิ่งไปอาเจียนได้ครับ ณ จุดนี้)
“ป้าบๆ” เฮียใช้ตบไหล่ตบหลังผมเป็นการใหญ่ ปากก็พร่ำชมไม่หยุด ด้วยหน้าที่การงานที่ต้องดูสุขุมนุ่มลึก ผมจึงได้แต่อมยิ้มน้อยๆ ตอบกลับเฮียไปอย่างสงวนท่าที
“เฮ้ย!!! คือดีเลยนะณิน ตาแหลมเหมือนเคย งานดี ปังแน่นอน”
“น้องยังใหม่อยู่มาก ยังไงก็ฝากเฮียใช้ช่วยดูแลสั่งสอนด้วยนะครับ”
เฮียใช้หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีที่งานเสร็จออกมาเรียบร้อยเกินกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก ก่อนจะสั่งเด็กๆ แยกย้ายกันเก็บของเตรียมตัวกลับ
“เออ! ณินๆ รอเดี๋ยวก่อน” เฮียใช้หันกลับมาตะโกนเรียกผมที่เตรียมผละไปหากานต์
“เย็นนี้มีเลี้ยงวันเกิดเมียเฮียนะ ชวนกรไปด้วยสิ ไปหลายๆ คน จะได้ไปช่วยกันแบ่งเบาภาวะในการฟังเมียเฮียบ่นหน่อย”
ผมพึมพำตอบรับ พยายามยุติบทสนทนาให้เร็วที่สุด เพื่อจะไปดูสาเหตุที่เส้นเลือดในหัวใจผมต้องอุดตัน
“พี่ณิน” ใบหน้าขาวๆ ที่ติดจะซีดส่งยิ้มประจบประแจงมาให้
“เก่งนะคุณน่ะ เฮียใช้ชมไม่หยุดเลย”
“เฮียใช้ชมคนเดียวเหรอ คนแถวนี้ไม่ชมบ้างเหรอ” พอเริ่มจะดีขึ้นก็มีแรงต่อปากต่อคำนะ
“อืม”
“ครับพี่ อย่างปลื้มเลยเหอะ ‘อืม’ เนี่ยนะ” เสียงบ่นหงุงหงิงยังคงดังขึ้นมาเป็นระยะระหว่างเดินมาขึ้นรถ
“เย็นนี้เฮียใช้ชวนไปงานเลี้ยงวันเกิดเจ้แก้ว เมียเฮียน่ะ คุณไปไหวไหม” ผมสตาร์ทรถไปด้วยถามไปด้วย
“เปลี่ยนเรื่องเร็วนะครับพี่” ตาพราวระยิบระยับยิ้มยิบหยี ชวนให้คันในหัวใจแปลกๆ
“แล้วไง จะไปรึเปล่า”
“พวกที่ทำงานวันนี้ไปกันหมดไหมครับ”
“ก็น่าจะไปหมดนะ ทีมวันนี้ก็สนิทกันหมด”
“โอเค งั้นผมไปด้วย ท่าทางจะสนุกดี”
“กลับไปพักที่ห้องก่อนละกัน เย็นๆ ค่อยออกมาอีกที”
หางตาผมเหลือบไปเห็นริมฝีปากขมุบขมิบเลยเตรียมหันไปถาม แต่ภาพที่เห็นทำเอาผมต้องเก็บคำพูดไว้ในใจไปก่อน
ภาพที่คนช่างยั่วเอนศีรษะพิงติดกระจกรถ หน้าซีดเซียว ดวงตาที่เคยหยอกล้อปิดสนิท แพขนตาทาบทับบนแก้มใส ขณะที่ปากยังคงพึมพำอะไรไม่หยุด
ผมได้แต่ถอนหายใจขยับตัวเอื้อมไปปรับเบาะให้เอนต่ำลง สงสารก็สงสาร หมั่นไส้ก็หมั่นไส้ ร่างกายไม่ไหวยังมาทำเก่งลับริมฝีปากกันอยู่ได้
อดใจไม่ไหวที่จะลูบผมนุ่ม
“วันนี้คุณเก่งมาก...กานต์”
“ตกลงไหวแน่นะคุณ” ผมได้แต่ถามย้ำเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันก็จำไม่ได้
“พี่ณินครับ อายุก็ยังไม่เยอะเท่าไหร่ ย้ำคิดย้ำทำเป็นคนแก่อยู่ได้นะพี่อะ มาๆ ช่วยผมเลือกดีกว่า เสื้อสีไหนดี แต่ไม่เอาสีขาวนะ เอียนสีขาวไปอีกพักใหญ่เลย”
ผมเดินไปคว้าเสื้อสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนส์สีซีดส่งให้ อีกฝ่ายผิวปากหวือก่อนรับเอาเสื้อผ้าไปใส่หลังฉากกั้น แต่ยังไม่วายโผล่หน้ามาถาม
“ที่จัดงานน่ะ ร้อนมากไหมครับ”
ผมเลิกคิ้ว แต่ปากก็ตอบไป “ไม่ร้อนหรอก ห้องแอร์น่ะ ถามจริงๆ ทำไมกลัวร้อนนักล่ะ”
เสียงสวบสาบหลังฉากกั้นหลังฉากกั้นดังอยู่อีกครู่ เจ้าตัวก็ตะโกนตอบออกมา สุ้มเสียงเหมือนผมควรจะรู้อยู่แล้ว
“โธ่! พี่ณิน ผมเป็นมังกรนะพี่ ชอบอยู่เย็นๆ ยิ่งเย็นๆ ชื้นๆ แฉะๆ ยิ่งชอบ ยิ่งอะไรที่มันฉ่ำชื้นเฉอะแฉะนะพี่ ของโปรดเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ”
ถ้าไม่ได้วกกลับไปเรื่องใต้สะดือ ไอ้หมอนี่คงนอนไม่หลับ แต่เอาจริงๆ ผมก็ชักจะลืมๆ ไปแล้วนะว่ากานต์เป็นมังกร ออกจะเหมือนลูกแมวมากกว่าด้วยซ้ำ พันแข้งพันขาน่าเอ็นดู
“พี่ณินเป็นอะไรน่ะ ยืนยิ้มอยู่คนเดียว”
“เปล่าๆ คิดถึงเรื่องงานวันนี้เฉยๆ”
“เสร็จแล้วใช่ไหม ไป เดี๋ยวเฮียใช้รอนาน เราเป็นเด็กกว่าให้ผู้ใหญ่รอมันไม่ดี” ผมรุนหลังพากานต์ไปด้วย มือก็คอยเช็คความเรียบร้อยของเสื้อผ้าไปด้วย อยู่ๆ กานต์ก็หยุดเดินแล้วหันมามองหน้าทำตากรุ้มกริ่ม ผมเกร็งตัวเตรียมตั้งรับทันที
“ถ้าผู้ใหญ่ไม่อยากรอนาน ก็เปิดทางให้เด็กสักทีสิครับ”
ดีที่เตรียมใจไว้แล้ว หัวใจผมเลยไม่ต้องทำงานหนักเท่าไหร่ ได้แต่หรี่ตามองแล้วก้าวขาเดินต่อไปอย่างมั่นคง ให้รู้ซะบ้างว่าผมน่ะสุขุมลุ่มลึกขนาดไหน
เสียงเดินตามกระชั้นไล่หลังมา สักพักลมหายใจอุ่นๆ ก็เป่ารดที่ข้างหู ตามด้วยเสียงกระซิบที่เล่นเอาผมสั่นไปทั้งตัว
“หรือว่าผู้ไม่ ‘ใหญ่’ พออะครับ ถึงไม่กล้าเปิดทาง”
ผมหันไปเจอคนพูดทำตาพราวแล้วความสุขุมที่มีก็เตลิดไปหมด ได้แต่ยกมือชี้หน้า มือไม้สั่น โมโหควันแทบจะออกหู ยังไม่ทันได้ด่าสักคำ ไอ้มังกรตัวแสบก็เดินหัวเราะร่านำไปก่อนแล้ว
ตอนที่พวกผมไปถึงที่ร้านอาหาร ทีมงานมาถึงกันเกือบครบแล้ว กานต์ก็รู้งาน พอแนะนำให้รู้จักใครก็ยกมือไหว้ ทำตัวสงบเสงี่ยมเป็นเด็กน่ารักเรียบร้อยก็เป็น ยิ่งกับเจ้แก้ว เมียเฮียใช้ยิ่งแล้วใหญ่ เจ้แก้วชมเปาะไม่ขาดปากว่ากานต์เรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้ (เอ่อ... เจ้มาสะบัดผ้าดูก่อนไหมครับ ว่าข้างในมันยับมันย่นขนาดไหน) หลังจากเดินทักทาย แนะนำ ฝากตัวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมจึงพากานต์เดินเข้าไปยังโซนห้องแอร์ที่ด้านใน
“อ้าว..น้องกร มาเร็วๆ มานั่งกับพี่นี่มา ส่วนคุณณินก็หาที่ทางเอาตามสะดวกได้นะคะ มาค่ะน้อง นี่คนนี้พี่จุ๋ม แล้วคนนี้พี่ซิน สองคนนี้คอยดูแลเสื้อผ้าให้น้องกรยังไงล่ะจ๊ะ”
กานต์ยกมือไหว้หญิงสาวสองคนที่ทำหน้าแดงเอียงอายหลบอยู่ข้างๆ สมชาย
“ยายสองคนนี้ก็เป็นอะไรมากไหมเนี่ย เจอเด็กหนุ่มๆ เข้าหน่อยละทำเป็นหอยกาบ หุบปากนิ่งเชียวนะยะ ไปๆ หาเครื่องดื่มมาให้น้องเค้าหน่อย” สมชายรัวคำพูดไม่หยุดอยู่คนเดียว ก่อนชะงักหันมาหาผมที่ทรุดตัวลงนั่งข้างกานต์
“อ้าว! แล้วคุณณินไม่ไปนั่งกับพวกข้างนอกเหรอคะ” สมชายอ้าปากหวอ เพราะปกติผมมักขลุกอยู่กับพวกเฮียใช้มากกว่า
ผมเหวี่ยงสายตาใส่สมชายไปโดยที่ไม่ต้องตอบคำถาม เจ้าตัวก็เหมือนจะรู้ดีว่าผมไม่ต้องการตอบ สมชายจึงแก้เก้อด้วยการหันไปสั่งให้หาเครื่องดื่มมาให้ผมด้วยเลย
แก้วน้ำอัดลมถูกวางลงตรงหน้ากานต์ และแก้วเบียร์สดฟองนุ่มวางลงตรงหน้าผม ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยขอบคุณจุ๋ม มือเรียวยาวก็คว้าหมับเข้าที่แก้วเบียร์ ก่อนจะยกดื่มรวดเดียวหมดแก้วท่ามกลางสายตาที่เบิกโต และปากที่อ้าค้างของทุกคน
กานต์วางแก้วลงพร้อมกับเอียงคอกระพริบตาปริบ “ครับ?”
ชินรู้สึกตัวก่อนใครเพื่อนได้แต่หัวเราะเก้อๆ “เอ่อ...ไม่นึกว่าน้องกรจะทานเบียร์ พี่เลยเอาน้ำอัดลมมาให้”
“พี่ณินต้องขับรถน่ะครับ ผมเลยอาสาดื่มแทนให้ อีกอย่าง ผมก็คนธรรมดาครับพี่ ไม่ได้เรียบร้อยตลอดเวลา ถึงเวลาดื่มก็ดื่ม เอ่อ... ผมทำให้พี่ๆ ผิดหวังหรือเปล่าครับ” สีหน้าสำนึกผิดของกานต์คงไปกระตุกต่อมแม่พระของบรรดาสาวแท้ สาวเทียมเข้าให้ บรรยากาศแปลกๆ เมื่อครู่พลันหายไป แทนที่ด้วยความสนุกและความสนิทชิดเชื้อทันที
สมชายตบเข่าฉาด “มันต้องอย่างนี้ลูก ทำงานก็เต็มที่ เวลาดื่มกินก็ต้องเต็มที่เหมือนกัน เอ้า! ช้าอยู่ไยล่ะพวกหล่อนไปเปิดเบียร์มา คุณณินต้องขับรถดื่มน้ำอัดลมไปนะค้า”
ผมเลิกคิ้ว หันไปมองตัวต้นเรื่อง คนหน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่งจริงๆ ทำอะไรผิดก็มีคนพร้อมจะยอมให้อภัยตลอดเวลา
ผมนั่งจิบน้ำอัดลมจนท้องอืด สักพักก็รู้สึกหนักที่หัวไหล่ หันไปมองก็สบตาเข้ากับคนหน้าขาว (หมอนี่ยิ่งเมายิ่งขาว บางคนเมาแล้วแดงเถือกไปทั้งตัว)
“ขอผมพิงหน่อยนะครับพี่ณิน หนักหัวมาก”
ผมถอนหายใจ แต่ก็พยักหน้ารับไป เหล่มองอีกครั้ง เจ้าตัวก็ส่งยิ้มตาพราวมาให้ ไม่มีคำพูดหยอกล้อเล่นหัว ไม่มีท่าทางคอยลวนลามอยู่ตลอดเวลา พออยู่เงียบๆ กันแบบนี้ผมก็ว่ามันโอเคดีอยู่นะ
จนเสียงรอบข้างเงียบลงอย่างผิดปกติ ผมจึงเห็นสองสาวแท้ หนึ่งสาวเทียมนั่งบิดตัวแทบจะเป็นเลขแปด คาดว่าในใจมโนกันไปถึงไหนต่อไหนแล้วแน่นอน
“เอ่อ... เริ่มดึกละ ผมว่าเราไปลาเฮียใช้กับเจ้แก้วกลับได้แล้วล่ะ” กานต์พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย จังหวะที่ผมกำลังจะพยุงให้กานต์ลุกขึ้น อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี ปากนุ่มบางเฉี่ยวแก้มผมไปสิ้นสุดที่กกหู เสียงพึมพำขอโทษผสานมากับกลิ่นแอลกอฮอล์เล่นเอาผมใจสั่น ส่วนบรรดาสาวๆ หลุดเสียงวี้ดออกมาก่อนจะใช้มือปิดปาก มืออีกข้างตีกันให้วุ่นวาย ผมส่ายหน้าลากตัวการออกไปลาเฮียกับเจ้อย่างทุลักทุเล
กว่าผมจะลากตัวคนเมามากองไว้บนเตียงได้ก็เล่นเอาเหงื่อชุ่มแผ่นหลัง ทิ้งกานต์ไว้บนที่นอนแล้ว ผมก็คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปทันที ไอ้เรื่องจะให้เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้คนเมาน่ะเหรอ เผอิญว่าผมไม่ใช่คนดี!
อาบน้ำเสร็จออกมาว่าจะปลุกกานต์ไปอาบน้ำต่อ แต่ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าตรึงเท้าผมให้แนบสนิทอยู่กับที่ ร่างเปลือยเปล่าขาวโพลน แลดูนุ่มนิ่มไปทั้งเนื้อทั้งตัว สว่างสะท้อนแสงไฟอยู่กลางเตียงนอน ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ กวาดตามองซ้ำอีกครั้ง นาทีนี้ผมไม่สนอะไรอีกแล้ว กระโดดขึ้นเตียงไปได้ก็พรมจูบซุกไซ้ สองมือฟอนเฟ้นไปทั่วร่าง บีบเคล้นคลึงอย่างหิวกระหาย
เป๊าะ!!!
ตื่นครับตื่น คิดไปถึงไหนกันแล้วครับ ไอ้ร่างเปลือยเปล่าขาวโพลนที่ว่าน่ะ ร่างมังกรของไอ้เจ้ากานต์เลยครับ นอนเลื้อยเต็มเตียง หัวใหญ่โตเอียงกระเท่เร่จะตกมิตกแหล่อยู่แล้ว
ผมทำใจกล้าเดินเข้าไปสะกิดเรียก (ผิวนุ่มหยุ่นมากครับ)
“คุณๆ ลุกไปอาบน้ำก่อนไหม”
หัวโตๆ นั่นส่ายไปมา ก่อนจะลืมตาสีน้ำเงินเหลือบดำมาจ้องตอบผม
“คุณ” ผมอึกๆ อักๆ ไม่กล้าพูดอะไรต่อ จนกระทั่งมีเสียงตอบกลับมา
“พี่ณินอาบน้ำให้กานต์หน่อยน้า”
ตึ่งโป๊ะ!!! ถ้าเป็นตลกคาเฟ่ รับรองว่าต้องมีเสียงกลองรับกันบ้างละ ขนลุกชะมัด ลำตัวที่กองอยู่บนที่นอนน่าเกรงขามมาก ดันพูดจาออดอ้อนเป็นเด็กเล็กๆ ออกมาได้
ผมเริ่มคลายความหวาดกลัวลงไปได้ ค่อยๆ บรรจงใช้เท้าเขี่ยปลายหางมังกรให้พ้นทาง ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนเตียง
“นี่กี่นิ้ว” ผมชูนิ้วขึ้นสามนิ้วโบกไปมา
คน เอ๊ย! มังกรบนที่นอนปรายตามองอย่างเหยียดหยามที่ผมเล่นอะไรปัญญาอ่อน
“ผมมีสติดีครับพี่ อย่ามากวน” หางเสียงขุ่นด้วยนะ
“ครับ พ่อคนมีสติ เมาจนเลื้อยเนี่ยนะเรียกมีสติ”
“ผมมังกรครับพี่ ไม่ใช่งู” เอ้า! สะบัดเข้าไป ยิ่งพูดยิ่งสะบัดเสียงใส่
ผมรู้เต็มสองตาครับว่าเป็นมังกรไม่ใช่งู เมาแล้วกลายร่าง พึ่งเคยเห็นครั้งแรกในชีวิตนะเนี่ย
“เฮ้ย! กานต์ก้มลงมองร่างตัวเอง ก่อนแสงเงินแสงทองจะส่องประกายวิบวับแล้วกลับคืนร่างมนุษย์ “เปลือย” อย่างเต็มภาคภูมิ
“เฮ้ย!!!” คราวนี้สองเสียงประสานขึ้นพร้อมกัน
ผมเบือนหน้าหนีไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว ทันเห็นแค่ช่วงบนเท่านั้นจริงๆ (เดี๋ยวๆ นี่ใช่สาระไหม)
กานต์กระโดดแผล็วหายเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว และออกมาอย่างรวดเร็วเหมือนตอนขาเข้าไป
....มันวิ่งผ่านน้ำหรือไงเนี่ย...
“ขอโทษครับพี่ณิน ตกใจมากไหมครับ”
ผมหันไปมอง ทำหน้านิ่งๆ ตอบเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
“ไม่ตกใจอะไรหรอก ตอนเจอกันครั้งแรกคุณเข้มกว่านี้เยอะ”
“แหมพี่ณินก็...มันก็ต้องมีมาดบ้างอะไรเป็นธรรมดา” จากมังกรเริ่มกลับสู่โหมดแมวน้อย เกาะแขนเอาหัวถูไถไหล่ผมเล่นอีกแล้ว
“แล้วนอกจากกลายร่างสลับคนกับมังกรแล้วเนี่ย คุณทำอะไรได้อีกบ้าง”
“ก็เล็กๆ น้อยๆ ผมยังไม่เก่ง เสกของได้เป็นบางอย่างแบบนี้”
พูดจบกุหลาบดอกเล็กก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับเสก เอ่อ...ก็เสกมาจริงๆ นั่นละ
“แล้วถ้าคนที่เก่งๆ ล่ะ เสกของได้ใหญ่กว่านี้อย่างนั้นเหรอ” ผมเริ่มสนใจ
กานต์เชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิ
“เผ่าพันธุ์มังกรนะพี่ณิน เสกของน่ะเรื่องจี๊บจ๊อย พวกที่มีตบะแรงกล้าน่ะ เรียกลมเรียกฝนได้อย่างใจนึก”
“งั้นคุณก็อ่อนมากเลยสิท่า ขนาดจะคงร่างมนุษย์ยังทำไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง”
“แหม... ได้ทีเอาใหญ่เลยนะครับ มันก็มีบ้างเวลาจิตเราไม่นิ่งพอ”
“แต่ผมทำได้อยู่อย่างนึง เก่งที่สุดตั้งแต่เกิดมาละ”
อาการมั่นอกมั่นใจทำให้ผมหมั่นไส้ อยากจะบรรจงยันงามๆ ถวายท่านมังกรผู้สูงศักดิ์สักที
“เสกดอกไม้ยังได้ดอกเล็กๆ แล้วจะทำอะไรได้อีกล่ะคุณ”
“ ‘ทำรัก’ ไงครับพี่ณิน ผมมั่นใจว่าต้องจัด ‘ดอก’ ใหญ่ได้แน่ๆ
TBC...