▙▜ รักนี้มีล้อ ◯ น้องเก้า VS พี่แตซอง ▛▟CHAPTER 03 ☯ คนพิการที่หล่อจนใจละลาย 
ผมช่วยเข็นที่แตซองลงมาจากที่พักแล้วก็เข็นไปตามทางเท้าเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน เพิ่งสังเกตครับว่าทางเท้าที่เกาหลีเป็นระเบียบมาก ไม่มีสิ่งกีดขวางเลย คนพิการสามารถไปได้ตลอดเส้นทาง มีทางลาดให้ทุกจุด ไม่เหมือนบ้านเราเลยครับที่มีทั้งตู้โทรศัพท์ ไฟ้ฟ้า น้ำ ประปา ป้ายและอีกสารพัดอย่างจนแทบไม่มีที่จะเดิน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเราไม่ค่อยเห็นคนพิการบ้านเราออกมาข้างนอก ไปทำงานทำการไม่ได้เหมือนคนอื่นๆ เพราะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนที่นี่
พอมาถึงสถานีรถไฟใต้ดิน ผมก็สงสัยว่าจะพาพี่แต่ซองลงไปได้ยังไง เพราะตอนที่มาผมใช้บันได พี่แตซองเห็นผมยืนงงก็ขำใหญ่ เห็นพี่แตซองยิ้มร่าเริงอย่างนั้นแล้วผมก็อดหวั่นไหวไม่ได้ คนพิการบ้าไรวะหล่อชิบเป๋งเลย ให้ตายสิ นี่ผมท่าจะชอบพี่แตซองแล้วใช่ไหมเนี่ย
"เขามีลิฟต์ครับน้องเก้า"
"อ้อ...ผมไม่เคยใช้เลย"
ผมขำตัวเองแล้วก็เข็นพี่แตซองไปที่ลิฟต์ ผมไม่เคยสังเกตเลย เป็นสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในสายตาหรือความคิดมาก่อน พอเรามาถึงชั้นชานชาลา ผมก็พาพี่แตซองไปซื้อตั๋ว พี่แตซองซื้อให้ผมด้วยตามข้อตกลงว่านายจ้างต้องดูแลค่าใช้จ่ายให้ลูกจ้าง การขึ้นรถไฟใต้ดินก็ไม่ยากครับเนื่องจากพื้นรถไฟกับชานชาลาไม่ห่างกันมาก
เมื่อประตูรถไฟเปิดออก ผมใช้เท้าเหยียบตรงก้านที่อยู่ด้านหลังรถวีลแชร์ของพี่แตซองเพื่อกระดกหน้ารถขึ้นเล็กน้อย แล้วก็เอาล้อหน้าไปแตะกับตัวรถไฟแล้วก็เข็นรถพร้อมใช้แรงดันเล็กน้อยก็สามารถขึ้นไปบนรถไฟได้อย่างไม่ยากนัก ในรถไฟมีที่ล็อกรถเข็นด้วยครับ ผมช่วยพี่แตซองล็อกรถเข็นแล้วก็นั่งเกาะอยู่ข้างๆ ชวนพี่แตซองคุยไปต่างๆ นาๆ พี่แตซองก็อัธยาศัยดีมาก เล่าอะไรที่น่าสนใจให้ฟังหลายอย่างครับ ผมก็จำไม่ค่อยได้เท่าไรเพราะว่าคุยเยอะ คุยไม่หยุดเลยครับ
"พี่พิการมาสี่ปีแล้วล่ะ ตอนนั้นพี่ไปว่ายน้ำกับเพื่อนๆ แล้วกระโดดลงสระยังไงไม่รู้จนหัวไปกระแทกกับพื้นสระแล้วก็ไม่รู้ตัวอีกเลย มารู้ตัวอีกทีก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว เส้นประสาทแถวๆ คอที่เชื่อมกับสันหลังขาด พี่ต้องไปทำกายภาพบำบัดอยู่เป็นปี ก็พอมีแรงอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากพอที่จะเดินเองได้ เคยใช้วอร์กเกอร์ด้วยนะ น้องเก้าเคยเห็นไหม"
ผมพยักหน้า เคยเห็นคนแถวบ้านใช้อยู่ก็เลยพอนึกออก
"แต่หลังๆ พี่รำคาญเพราะว่ามันช้า ไม่ทันใจคนวัยอย่างพี่ ก็เลยตัดสินใจใช้รถเข็นแทน ก็สะดวกดีนะ เร็วดี แต่กว่าพี่จะทำใจยอมนั่งรถเข็นได้ก็ทำใจอยู่หลายเดือนเหมือนกัน ตอนนั้นพี่ยังยอมรับความพิการของตัวเองไม่ได้ แต่พอเริ่มยอมรับได้พี่ก็พยายามฝึกใช้ชีวิตด้วยตัวเอง กินข้าวเอง อาบน้ำเอง แปรงฟันเอง พยายามทำด้วยตัวเองให้ได้หมดทุกอย่าง ตอนนี้ทำก็ทำได้เยอะแล้วล่ะ"
พี่แตซองพูดไปผมก็มองคนพูดไปด้วย มองพี่แตซองแล้วก็เพลินดีเหมือนกัน คนพิการอะไรหล่อเป็นบ้าเลย สายตาก็ดูอบอุ่นจนผมเคลิ้ม ถ้าเดาไม่ผิดตอนที่ยังไม่พิการคงมีสาวๆ มาชอบเยอะแน่ๆ เลย
กำลังจะถามต่อว่าพี่แตซองมีแฟนหรือยังก็พอดีมาถึงสถานีที่จะลง ผมก็เลยต้องกลับมาทำหน้าที่ PA ต่อ ปลดที่ล็อกที่ยึดกับตัวรถไฟแล้วก็มาปลดล็อกรถเข็น พอประตูรถไฟเปิดออกผมก็เข็นพี่แตซองลงจากรถไฟ การเข็นลงนั้นจะต้องเอาด้านหลังลงครับ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วพี่แตซองอาจจะตกจากรถเข็นได้
พอออกมาจากสถานีก็เห็นมีตลาดคล้ายๆ จตุจักรหรืออะไรทำนองนี้ครับ ผมจำไม่ได้ว่าอยู่แถวไหน อาจจะนอกๆ เมืองหน่อย พี่แตซองไปที่ร้านทำกุญแจเพื่อปั๊มกุญแจให้ผมก่อน พี่แตซองมีแล้วสองชุดสำหรับตัวพี่แตซองเองและ PA แต่ตอนนี้มีผมมาเป็น PA เพิ่มอีกคนหนึ่งก็เลยทำเพิ่มอีกหนึ่งชุด
การให้กุญแจนั้นก็ต้องระวังครับ เพราะนั่นหมายถึงว่า PA จะเข้าออกบ้านคนพิการได้ทุกเวลา เกิดทรัพย์สินสูญหายก็จะกลายเป็นเรื่องได้ มีหลายรายแล้วที่เจอเหตุการณ์อย่างนี้ แล้วก็มักจะลงเอยด้วยการให้ออก
พี่แตซองดูเหมือนจะรู้จักเจ้าของร้านดีครับ เห็นคุยกันอยู่นาน ส่วนผม ด้วยหน้าที่ก็คือการช่วยเฉยๆ ไม่ต้องมีส่วนร่วมในสิ่งที่เขาทำ ไม่ต้องออกความคิดเห็น ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากสิ่งที่นายจ้างบอก อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ผมว่ามันก็ถูกต้องนะครับ คนพิการต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตด้วยตัวเอง จะผิด จะถูก ดีหรือไม่ดี ก็ต้องได้เรียนรู้และรับผิดชอบเอง
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ถ้าฝนตกแล้วต้องการออกไปข้างนอก PA ก็ไม่ควรห้ามเพราะตัวคนพิการต้องคิดแล้วว่าไปได้ หรืออาจจะตัดสินใจยอมรับความเสี่ยงว่าอาจจะไม่สบายได้ถ้าตากฝน ก็เหมือนกับคนทั่วไปใช่ไหมครับ ถ้าฝนตกแล้วเราจำเป็นต้องออกไปเราก็ต้องไป ถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมาก็เป็นเรื่องธรรมดา คนพิการก็ควรจะได้คิดและทำเหมือนที่คนทั่วไปทำ เปียกก็คือเปียก ป่วยก็คือป่วย เพราะนั่นคือสิ่งที่เราเลือกเอง อ้อ แต่ PA สามารถตัดสินใจที่จะไม่ทำบางสิ่งบางอย่างได้นะครับถ้าเห็นว่าทำไปแล้วจะเป็นอันตรายต่อตัวเอง
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
จากนั้นพี่แตซองก็ไปซื้อของในตลาดครับ เขาอยากได้ของขวัญวันเกิดให้เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าเป็นใคร แต่พอรู้แล้วก็ใจหายเล็กน้อย พี่แตซองให้ผมช่วยเลือกด้วยครับ พี่แกอยากได้ของที่แปลกๆ เพราะเพื่อนคนนี้ชอบของแปลกๆ หากันอยู่หลายร้าน สุดท้ายก็ไปเจออะไรบางอย่างที่ทะลึ้ง ทะลึ่ง ฮ่าๆ ขอไม่บอกละกันนะครับว่าเป็นอะไร
พอได้ของแล้วก็ไปรับกุญแจ จากนั้นพี่แตซองก็พาผมไปกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารเกาหลีใกล้ๆ แถวนั้นครับ เป็นร้านอาหารที่คนเกาหลีแท้ๆ กินกันในชีวิตประจำวันเลยล่ะ
"เก้ากินอาหารเผ็ดๆ ได้ไหม คนเกาหลีชอบกินอาหารรสจัดหน่อยนะ"
ผมขำเล็กน้อยแล้วก็ตอบไป "สบายมากครับพี่แตซอง คนไทยกินอาหารรสจัดอยู่แล้วครับ เผลอๆ อาหารไทยจะเผ็ดกว่าอาหารเกาหลีอีกนะครับ"
พี่แตซองทำหน้าอึ้งๆ "จริงเหรอ พี่ยังไม่เคยกินอาหารไทยเลย อืม...จำได้ว่าเพื่อนพี่เคยกิน เห็นเขาบอกอยู่เหมือนกันว่าเผ็ดมาก สงสัยพี่ต้องลองไปกินดูบ้างแล้วจะได้รู้ว่าเผ็ดแค่ไหน"
"ไปกินที่บ้านผมก็ได้นะครับพี่ เดี๋ยวผมให้แม่กับน้าสาวทำอาหารไทยให้พี่แตซองลองกินดูครับ"
"อืม...น่าสนใจนะ แต่ไม่เป็นไรหรอก รบกวนที่บ้านของเก้าเปล่าๆ"
"ไม่เป็นไรครับพี่ ไปได้ เดี๋ยวผมจะบอกแม่ให้ว่าพี่แตซองอยากลองกินอาหารไทย แม่ผมใจดีครับ แม่ชอบทำอาหารมาก ทำอร่อยด้วยนะครับ"
ผมกับพี่แตซองยิ้มให้กัน ผมชอบรอยยิ้มของพี่แตซองมากๆ เลยครับ เห็นพี่แตซองยิ้มทีไรผมใจแทบละลาย ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นคนพิการที่หล่อขนาดนี้นี่แหละ พี่แตซองไม่ดูน่าสงสารเลย อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้เคยเดินได้ อยู่ในสังคมเหมือนคนทั่วไป พอเป็นคนพิการแล้วพี่แตซองก็ยังคงเป็นคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ได้ดี ไม่มีแววตาของความเคอะเขินหรือประหม่าให้เห็นเหมือนคนพิการที่ผมมักเจอบ่อยๆ
เรากลับกันมาถึงที่พักของพี่แตซองประมาณเกือบบ่ายสองครับ มาถึงห้องปุ๊บพี่แตซองก็ขอเข้าห้องน้ำก่อนครับเพราะปวดฉี่ ผมเข้าไปช่วยเหมือนเดิมครับ พอออกมาแล้ว พี่แตซองก็เอาใบลงเวลาการทำงานมาให้ผมเขียนรายละเอียดว่าทำอะไรไปบ้าง เอกสารตัวนี้ต้องใช้สำหรับการเบิกเงินค่าจ้าง จากนั้นพี่แตซองก็เซ็นกำกับด้วยเพื่อรับรองว่าผมทำงาน
"วันอังคารมาได้ใช่ไหมครับ" พี่แตซองถาม
"ครับ ตอนนี้ผมว่างทุกวัน แต่ผมว่าผมจะมาวันเว้นวันน่ะครับ อีกวันจะได้อยู่กับแม่เผื่อแม่จะให้ช่วยทำอะไรบ้าง"
"ครับ ถ้าอย่างนั้นวันนี้พี่ก็ขอบคุณเก้ามากนะครับ เก้าเป็น PA มือใหม่ที่ทำงานดีมาก"
ผมยิ้มใหญ่เลยที่พี่แตซองชม
"ต้องขอบคุณพี่แตซองด้วยครับที่ช่วยสอนผม อ้อ แล้วตอนเย็นพี่มีใครมาเป็น PA หรือเปล่าครับ"
พี่แตซองส่ายหน้า "ไม่มีครับ พอดีตอนนี้รัฐบาลเขาจำกัดชั่วโมงการใช้บริการ PA อยู่ครับ วันหนึ่งใช้ได้ไม่เกิน 6 ชั่วโมงตามที่เราตกลงกันนั่นแหละครับ"
"แล้วพี่แตซองจะเข้าห้องน้ำหรือว่าขึ้นเตียงยังไงล่ะครับ" ผมถามด้วยความสงสัย
"ก็พอได้ อาจจะใช้เวลานานหน่อย ไม่เป็นไรหรอก เก้าไม่ต้องเป็นห่วง พี่อยู่ได้"
"แล้วไม่อันตรายหรือครับ ผมกลัวพี่จะตกเตียง" ผมถามด้วยความเป็นห่วง ดูจะเกินหน้าที่ของ PA ไปแล้วล่ะ
"ไม่เป็นไรครับ ตกเป็นเรื่องธรรมดา" พูดแล้วก็หัวเราะ
ผมกลับรู้สึกสงสารพี่แตซองอย่างจับจิตจับใจ พอดีว่าตอนนั้นผมยังไม่ค่อยเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับคนพิการมากนัก เห็นคนพิการทีไรก็ต้องสงสารไว้ก่อนทั้งๆ ที่ความจริงแล้วคนพิการก็เหมือนๆ คนทั่วไปนั่นแหละ เขาไม่ต้องการให้เราไปสงสารหรอก อย่างเรื่องการตกเตียงก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าพี่เขาอาจจะแขนขาหักได้
"ให้ผมอยู่ช่วยไหมครับ ผมไม่เอาค่าจ้างก็ได้ วันนี้ผมว่างทั้งวัน" ผมอาสา
พี่แตซองทำหน้าประหลาดใจ "อย่าเลยเก้า พี่ไม่อยากเอาเปรียบใคร เดี๋ยวเก้าจะเหนื่อยเกินไปนะครับ"
"ไม่เหนื่อยหรอกครับ ผมจะได้เรียนรู้เพิ่มด้วยไงครับว่าตอนเย็นๆ จะต้องช่วยคนพิการทำอะไรบ้าง ให้ผมอยู่ช่วยพี่นะครับ ผมจะได้เก่งไวๆ ไง วันต่อๆ ไปผมจะได้ทำหน้าที่ PA ได้ดีกว่านี้"
ผมพยายามอ้อนใหญ่เลยครับ ย่อตัวลงข้างๆ รถวีลแชร์ของพี่แตซองแล้วก็ทำตาเศร้าๆ น่าสงสารเพราะอยากอยู่ช่วยจริงๆ
"จะเอาอย่างงั้นเหรอ" คนถามสีหน้าไม่แน่ใจ
ผมพยักหน้าเร็วๆ พร้อมกับยิ้มไปด้วย "ครับ ให้ผมอยู่ต่อนะครับพี่แตซอง แต่ว่า...ไม่ใช่ในฐานะ PA นะพี่ นอกเวลางานแล้ว ให้ผมเป็นน้องหรือเป็นเพื่อนพี่ก็ได้ครับ"
ผมก็หาเรื่องที่จะสนิทกับพี่แตซองมากขึ้นเองแหละครับ เป็น PA มีช่องว่างเยอะ อยากลองเป็นอย่างอื่นดูบ้างจะได้เข้าถึงพี่แตซองได้ง่ายกว่านี้
พี่แตซองพยักหน้ายิ้มๆ แล้วก็ขำที่เห็นผมดื้ออยู่ต่อ
"แล้วอย่าหาว่าพี่ไม่เตือนนะ" พี่แตซองพูดพร้อมกับเอามือมาแตะหัวผมเบาๆ อย่างเอ็นดู
ตอนบ่ายๆ พี่แตซองขอนอนพักประมาณเกือบสองชั่วโมงครับ ผมก็เลยนั่งอ่านหนังสือไปพลางๆ พอพี่แตซองตื่นแล้วก็ทำงานบ้านครับ ไม่น่าเชื่อว่าพี่แตซองจะสามารถกวาดบ้านและถูบ้านบนรถวีลแชร์ได้ ผมขอช่วยพี่แตซองก็ไม่ยอม บอกเสียงดุว่าไม่ใช่หน้าที่ของ PA ผมก็เลยได้แต่เดินตามหลังคอยเข็นพี่แตซองไปตรงนั้นตรงนี้ทั่วห้อง
"เมื่อก่อนพี่ก็ทำไม่เป็นหรอกนะงานพวกนี้ กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจานหรืองานบ้านก็จะให้แม่หรือไม่ก็แฟนช่วยทำให้แทบทุกอย่าง"
นั่นแน่ หลุดปากพูดเรื่องแฟนออกมาเสียแล้ว แต่ผมก็แอบใจแป้วเล็กน้อยที่รู้ว่าพี่แตซองมีแฟนแล้ว เอ...แล้วแฟนพี่แตซองไปไหนล่ะ ทำไมไม่มาอยู่ด้วยกันที่นี่
"ที่ศูนย์ SCIL เขามีโปรแกรมฝึกการใช้ชีวิตอิสระให้พี่ก่อนที่จะใช้ PA พี่ต้องไปฝึกวางแผนชีวิตว่าจะทำอะไรบ้างในแต่ละวัน เขาให้พี่หัดทำกับข้าวเอง ไปจ่ายตลาดเอง ทำงานบ้านเอง เข้าห้องน้ำเอง ทำอะไรด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนจบหลักสูตรนั่นแหละพี่ถึงได้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอก พี่ขอแม่มาอยู่ที่นี่ ตอนแรกแม่ไม่ยอมให้มาเพราะเขากลัวพี่ลำบาก แต่พี่ก็ยืนยันว่าพี่จะอยู่คนเดียวให้ได้ สุดท้ายแม่ก็เลยยอม ตอนแรกแม่ของพี่ว่าจะขายห้องนี้ไปแล้วล่ะ พอดีพี่ขอมาอยู่ที่นี่ก็เลยไม่ขาย ตอนนี้ พ่อกับแม่พี่เขาก็ไม่ห่วงมากแล้วล่ะ เขารู้ว่าพี่อยู่ได้ แต่พี่ก็ยังติดเรื่องหางานทำอยู่ พี่สมัครไปหลายที่แล้วเขาก็ยังไม่รับ ตอนนี้ก็ใช้เงินที่เก็บไว้นั่นแหละ ดีที่ว่าพี่ไม่ต้องจ่ายค่า PA กับค่าห้อง ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหามาก"
พี่แตซองเล่าให้ฟังเสียยาวในระหว่างที่ถูบ้านไปด้วย ผมฟังแล้วก็อดสงสารไม่ได้ อ้อ ศูนย์ SCIL ก็คือ Seoul Center for Independent Living ครับ แปลเป็นไทยก็คือศูนย์การดำรงชีวิตอิสระโซลนั่นเอง
"พี่แตซองเก่งนะครับ" ผมชมพลางทำหน้าเห็นใจ
"คนเราต้องรู้จักพยายามนะเก้า ไม่งั้นเราก็อยู่รอดไม่ได้ พี่ไม่ได้เก่งหรอก แต่พี่...ต้องเข้มแข็ง"
ผมพยักหน้าเข้าใจ เก่งไม่เก่งคงไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรอก สำคัญที่ความเข้มแข็งของจิตใจนี่แหละ
"เย็นนี้ไปกินข้าวข้างนอกกันไหม"
พี่แตซองหันมาชวน ผมพยักหน้าตกลงและยิ้มดีใจ
"ให้ผมช่วยพี่ออกตังค์นะครับ หมดเวลางานแล้ว" ผมย้ำเรื่องหมดเวลางานอีกครั้ง
พี่แตซองขำใหญ่เลยครับ
"ได้ครับน้องชายของพี่"
ได้ยินแค่นี้ผมก็หัวใจพองโตแล้วครับ อย่างน้อยพี่แตซองก็ยอมรับผมเป็นน้องชายได้แล้ว ถือว่าก้าวหน้าไปอีกขั้น เหลือก็แต่...
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
"เก้ารู้ไหมว่าพี่ไม่เคยพา PA คนไหนมากินข้าวเย็นด้วยเลยสักคน เก้าเป็นคนแรกเลยนะ"
พี่แตซองพูดขึ้นขณะกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวๆ คอนโดของพี่แตซอง เป็นร้านอาหารที่ค่อนข้างดูดีทีเดียว
"ทำไมล่ะครับ" ผมถามพลางแอบยิ้มอย่างภูมิใจ
"ไม่เหมือนกัน กับ PA คนอื่นๆ พี่ก็รู้สึกว่าเขาเป็นแค่ PA แต่กับเก้า...พี่รู้สึกว่าเก้าอยากเป็นมากกว่า PA"
ผมกับพี่แตซองขำพร้อมกัน สงสัยพี่แตซองจะดูออกเสียแล้วว่าผมไม่ได้อยากเป็นแค่ PA
"ผมอยากมีเพื่อนหรือพี่ชายแบบพี่บ้างน่ะครับ" ผมบอกไปด้วยอาการประหม่า
พี่แตซองยักคิ้วแล้วก็หัวเราะเบาๆ แม้ว่าจะไม่ได้ตอบคำถามแต่ผมก็พอจะเดาได้ว่าพี่แตซองไม่ขัดข้อง
"พี่แตซองรู้ไหม ผมเคยเจอคนพิการเหมือนกันนะที่ประเทศไทย ก็ไม่ค่อยได้เจอบ่อยๆ หรอกครับ แต่พี่แตซอง...เป็นคนพิการคนแรกที่ผมคิดว่า...หล่อเหมือนดาราเกาหลีเลย ผมไม่เคยเห็นคนพิการหน้าตาดีอย่างนี้มาก่อนเลยจริงๆ นะครับ"
พี่แตซองขำใหญ่เลยครับ "ขอบคุณที่ชมนะ เก้าก็หล่อเหมือนกันนะ"
เห็นพี่แตซองยิ้มอย่างนี้แล้วผมก็ยิ่งชอบ เอาแล้วล่ะสิ นี่ผมกำลังจะตกหลุมรักคนพิการหรือเปล่าหนอ...
ก่อนที่ผมจะกลับบ้านก็มีเหตุการณ์ให้ใจเต้นอีกแล้ว พออาบน้ำเสร็จผมก็ช่วยพี่แตซองใส่เสื้อผ้า เรียบร้อยแล้วก็ช่วยเข็นพี่แตซองไปหยิบรีโมททีวี จากนั้นก็พาพี่แตซองกลับมาที่เตียงนอน
ตอนช่วยยกตัวพี่แตซองขึ้นจากรถเข็นในท่ายืนอย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ใจผมสั่นเลยเพราะมันดูเหมือนกับคนกำลังกอดกันอยู่ ตอนนั้นผมมัวแต่ใจเต้นและเผลอคิดอย่างอื่นจึงไม่ทันระวัง พอจะช่วยให้พี่แตซองนั่งลงไปบนเตียงผมก็ล้มทับตัวพี่แตซองซะอย่างงั้น เหมือนพระเอกกับนางเอกในหนังไทยเลย ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือใบหน้าเราเกือบจะชนกันนี่สิเพราะพี่แตซองกอดคอผมไว้ก่อนที่จะล้มลงมาด้วยกัน
พี่แตซองรีบปล่อยมือจากคอผม ส่วนผมก็รีบลุกขึ้นนั่งบนเตียงของพี่แตซองอย่างรวดเร็ว
"ขอโทษครับพี่แตซอง พี่แตซองเป็นอะไรหรือเปล่าครับ" ผมถามอย่างเป็นห่วง
พี่แตซองส่ายหน้า ดูเหมือนจะตกใจอยู่เหมือนกันที่เกือบจะได้ "จูบ" กับ PA โดยไม่ตั้งใจ
พอช่วยพี่แตซองแล้ว ผมก็ขอตัวกลับบ้าน ก่อนไปก็ปิดไฟและล็อกประตูให้พี่แตซองด้วย เกือบสี่ทุ่มพอดีครับ กลับไปถึงก็โดนที่บ้านต่อว่านิดหน่อย แต่พอเล่าให้ฟังแล้วทุกคนก็เข้าใจและไม่ได้ว่าอะไร รอดตัวไป
TBCขอรณรงค์ให้คนอ่านสละเวลา 1 วินาทีบวกเป็ดเป็นกำลังใจให้ 'นักเขียนทุกคน' ทุกเรื่อง ทุกตอนนะครับ สร้างสรรค์วัฒนธรรมแลกเปลี่ยนแบ่งปัน