✿✿ธุรกิจนี้มีรัก✿✿
CHAPTER 02 ❋ It's Your Way!!!
"ฝน...วันนี้พี่เพิ่งได้โบนัสมา ไปกินข้าวเย็นด้วยกันหน่อยไหม เย็นนี้ฝนว่างหรือเปล่า"
"ไม่ได้หรอกค่ะ วันนี้ละครเรื่องใหม่ของพี่เล็กจะออกอากาศวันแรกนะคะพี่ขนม ฝนอยากให้กำลังใจพี่เล็กน่ะค่ะ ไว้วันหลังได้ไหมคะ"
"โธ่ฝน...นี่ฝนเห็นดาราคนนั้นสำคัญกว่าพี่อีกเหรอ เราสองคนเป็นแฟนกันนะ"
"..."
"ฝน...นานๆ ทีเราจะได้ไปกินข้าวด้วยกัน ฝนไม่อยากไปกินข้าวกับพี่เหรอ"
"อ้าว...ก็พี่ขนมไม่ได้นัดล่วงหน้าก่อนนี่ อีกอย่าง...พี่ขนมเองก็ทำแต่งาน พอฝนว่าง พี่ก็ไม่เคยว่าง คนพวกนั้นของพี่สำคัญกว่าฝนอีก ฝนต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายต้องน้อยใจ...ใช่ไหมคะ"
"ฝน.... ฝนก็รู้ว่าพี่ทำเพื่ออนาคตของเราสองคนนะ"
"ค่ะ ทราบค่ะ แต่ถ้าไม่มีเวลาแบบนี้ ฝนว่า...ไม่ต้องมีอนาคตก็ได้มั้งคะ"
"ฝน..."
"ไว้วันหลังละกันนะคะพี่ขนม ฝนอยากดูละครที่พี่เล็กเล่นจริงๆ ค่ะ ไปกินวันอื่นนะคะ ร้านไม่ได้เปิดวันนี้วันเดียวซะหน่อย แต่วันนี้ละครออนแอร์วันแรก ยังไงฝนก็พลาดไม่ได้หรอกค่ะ"
"..."
น้ำฝนวางสายไปแล้ว เจได้แต่รู้สึกโกรธกรุ่นในใจ อุตส่าห์ทำงานหนักแทบเป็นแทบตาย ตั้งใจว่าจะชวนแฟนสาวไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อในบรรยากาศดีๆ โรแมนติกๆ เสียหน่อย แต่กลับถูกปฏิเสธเพียงเพราะติดดารา ไม่อยากเชื่อเลยว่าน้ำฝนอยากดูละครของนายเล็กนั่นมากกว่าจะไปกินข้าวกับเจเสียอีก
ดีละ...ชอบมันมากนักใช่ไหม!
"เชิญนั่งครับ"
เสียงนุ่มๆ ของนายขนมบอกพร้อมกับขยับเก้าอี้ให้ด้วย อืม...เป็นสุภาพบุรุษกับเขาก็เป็นแฮะ เล็กนั่งลงพร้อมกับกล่าวขอบคุณเบาๆ
"อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะครับ" เสียงนุ่มๆ บอกอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้ม
เอ...ว่าแต่ทำไมเล็กต้องรู้สึกใจหวิวๆ กับรอยยิ้มของเจ้าหมอนี่ด้วย พอดูใกล้ๆ แล้ว หมอนี่หน้าตาหล่อไม่เบา ที่สำคัญ ผิวพรรณดีมาก ขาวเนียนละเอียด ผิวหน้าใสไม่มีรอยสิวเลย แสดงว่าดูแลตัวเองดีมาก เล็กเสียอีกที่ผิวคล้ำแดดบ่อย มีสิวและริ้วรอยพอสมควร แม้ว่าจะดูแลด้วยเครื่องสำอางค์ราคาแพง แต่การทำงานหนักแทบทุกวันทำให้เกิดปัญหาผิวพรรณบ่อยๆ ถ้าเกิดอายุเท่ากันเล็กคงอายแย่เพราะอีกฝ่ายหน้าเด็กกว่าพอสมควร
เล็กรับเมนูจากนายขนมมาเปิดดู อีกฝ่ายหยิบมาอ่านด้วยเช่นกัน พอสั่งอาหารเสร็จแล้ว นายขนมจึงเริ่มชวนคุย
"ขอบคุณนะครับที่ดาราดังๆ อย่างคุณอุตส่าห์รับนัดผม ยอมเสียเวลาหาเงินหาทองมานั่งคุยกับใครก็ไม่รู้ ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยครับ"
นั่นสิ...เล็กแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่อยู่ๆ รับนัดนายหมอนี่ ไม่รู้ว่าคราวนี้จะด่าอะไรเล็กอีกหรือเปล่า แหม...แต่ตอนท้ายนี่อวยเว่อร์ไปไหมนายขนม
"ไปเล่นฟิตเนสที่นั่นบ่อยๆ เหรอครับ" นายขนมถามต่อเมื่อเห็นเล็กยังคงเงียบ วันนี้เขาไปรับเล็กมาจากฟิตเนสแล้วพาที่ร้านอาหารแห่งนี้ ดูดีพอสมควร แต่ราคาไม่แพงเท่าไหร่
"ครับ" เล็กชักวางหน้าไม่ถูก นึกถึงสีหน้านายขนมขี้โมโหวันนั้นแล้วยังขยาดไม่หาย
"เมื่อก่อนผมก็ไปฟิตเนสบ่อยๆ นะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีเวลาไป จริงๆ ก็ไม่ได้ไปนานแล้วแหละ"
"อ๋อครับ" เล็กพูดสั้นๆ เพราะยังไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับหมอนี่ดี
"ออกมาที่สาธารณะแบบนี้ ไม่กลัวคนจำได้เหรอครับ"
"ดาราตกอับอย่างผม แถมละครผมถูกดองตั้งหลายเรื่อง คุณคิดว่ายังจะมีใครจำผมได้อีกเหรอครับ" ไม่รู้ว่าประชดหรือเปล่า แต่มันอดไม่ได้จริง สะใจจริงที่เจ้าหมอนั่นดูสะอึกไปเหมือนกัน
"อ๋อ...เดี๋ยวก็ดังแล้ว เมื่อวานผมยังดูละครที่คุณเล่นเลย ฝนโทรมาคะยั้นคะยอผมทุกวันให้ดูให้ได้ แต่ผมไม่ค่อยชอบดูทีวีหรอก ไม่ค่อยมีเวลาดู แต่ว่า...ละครที่คุณเล่นเมื่อวานก็สนุกดีนะครับ"
แน่ะ! ทำเป็นชม จะมาไม้ไหนอีกหนอ เล็กต้องระวังตัวให้ดีซะแล้ว
"ขอบคุณครับ ว่าแต่ทำไมไม่ค่อยได้ดูละครล่ะครับ งานเยอะเหรอ" เล็กเผลอหลุดคำถามไปจนได้ ว่าจะทำเป็นขรึมๆ ซะหน่อย
"อืม...ครับ ก็มีเกือบทุกวัน แต่สนุกดีครับ ผมชอบงานแบบนี้ ตอนแรกไม่ชอบหรอกครับ ไม่คิดจะทำด้วย แต่พอศึกษาดีๆ ลองๆ ทำดู ทำไปทำมาก็รู้สึกชอบ ผมได้เรียนรู้อะไรดีๆ หลายอย่างจากงานนี้"
เอ...ทำงานอะไรของเขานะ เล็กแอบสงสัยในใจ แต่ยังไม่ได้ถามอะไรออกไป ขอวางมาดขรึมต่ออีกสักหน่อยละกัน
"อ้อ...ผมไม่ได้ชื่อขนมนะครับ ผมชื่อเจ"
"อ้าวเหรอครับ แล้วทำไมน้องน้ำฝนเขาเรียกคุณว่าขนมล่ะครับ"
"อ๋อ...ตอนเด็กๆ ผมชอบกินขนมไง กินจนอ้วนเลย ม้ากับป๊าแล้วก็ญาติๆ ที่บ้านเลยเรียกผมว่าขนม เป็นฉายาประจำตัวไปเลย" เจหัวเราะขำตัวเองเบาๆ "ฝนก็เลยเรียกตามญาติๆ ผมนั่นแหละ แต่ว่า...คุณเล็กเรียกผมว่าเจก็ได้ครับ เรียกขนมแล้วผมรู้สึกแปลกๆ ปกติที่บ้านจะเรียกกันครับ ไม่ค่อยให้คนข้างนอกเรียก"
"อ๋อ...ครับ" เล็กรับคำสั้นๆ
อาหารมาเสิร์ฟแล้ว เล็กกับเจหรือนายขนมจึงหยุดคุยกันไปพักหนึ่ง ก่อนลงมือกินอาหารประทังความหิว ไม่นานนัก เจจึงเริ่มชวนกลับเข้าสู่การสนทนาอีกครั้ง
"มีนิทานจะเล่าให้ฟังครับ"
เล็กเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย จะมาไม้ไหนอีกหนอพ่อหนุ่มตี๋ คนที่นั่งอยู่ไม่ใช่เด็กๆ นะถึงจะได้มาเล่านิทานให้ฟัง
"มีชายสองคนเป็นคนบ้านนอกครับ เขาทั้งสองคนเพิ่งเข้ามาทำงานในกรุงเทพวันแรก พอมาถึงกรุงเทพ ชายคนที่หนึ่งเห็นร้านกาแฟก็เลยชวนชายคนที่สองไปนั่งกินกาแฟกัน ชายคนที่หนึ่งสั่งกาแฟร้อนราคายี่สิบบาท ส่วนชายคนที่สองสั่งกาแฟเย็น ราคาสี่สิบบาท พอกาแฟมาเสิร์ฟ ชายคนที่หนึ่งได้กาแฟแล้วก็รีบเป่าๆ คนๆ แล้วกินกาแฟให้หมดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ชายคนที่สองสงสัยก็เลยถามว่าทำไมต้องรีบกินขนาดนั้น รู้ไหมครับว่าชายคนที่หนึ่งตอบว่าอะไร"
เล็กทำท่านึก "เอ...เขาติดกาแฟหนักหรือเปล่าก็เลยรีบกิน"
"เปล่าครับ ทายอีกสิครับ" หนุ่มตี๋ยิ้มภูมิใจที่เล็กยังนึกไม่ออก
"อ๋อ...กลัวเพื่อนอีกคนแย่งกินหรือเปล่าครับ" เล็กทำหน้ามั่นใจเพราะคิดว่าคราวนี้ตอบถูกแน่นอน
"ไม่ใช่" เจหัวเราะชอบใจเบาๆ คนผิวคล้ำกว่าพลันรู้สึกสะดุดใจกับรอยยิ้มนั้นอย่างบอกไม่ถูก
"เฉลยเลยละกันครับ เหตุผลที่ชายคนที่หนึ่งรีบดื่มกาแฟให้หมดก็คือ..." เจทำท่าทางลุ้น "เขากลัวกาแฟที่สั่งจะเย็นซะก่อนไงครับ เพราะถ้ากาแฟเย็นแล้วเขาต้องจ่ายสี่สิบบาท"
"อ๋อ..." เล็กขำไปกับมุกตลกนั้นด้วย "นึกว่าอะไร ที่แท้ก็กลัวเสียเงินเพิ่มนี่เอง"
"นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...ไม่สำคัญหรอกว่าเราได้ยินหรือรู้อะไรมา แต่สำคัญว่าเราเข้าใจมันยังไงต่างหาก จริงไหมครับ"
แน่ะ! มีสรุปข้อคิดให้ด้วย
"ครับ" เล็กรับคำ "คุณนี่ก็ตลกเป็นเหมือนกันนะ นึกว่า..."
"นึกว่าอะไรครับ" เจเอียงคอสงสัย
"อ๋อ...เปล่าๆๆ" เล็กรีบบอกปัด ความจริงกำลังจะบอกว่าฝ่ายนั้นโมโหเป็นอย่างเดียว แต่กลัวพูดแล้วจะโมโหขึ้นมาจริงๆ
"อ๋อ...ถึงผมตลกแต่ก็ตลกอย่างมีสาระนะครับ" เจพูดพร้อมกับยักคิ้วให้
"คุณเล็กอยู่กับคุณพ่อคุณแม่หรือเปล่าครับ"
อ้าว...ไปไงมาไงอยู่ดีๆ มาถามเรื่องครอบครัวซะงั้น เปลี่ยนเรื่องไวจริงๆ
"อ๋อ...ไม่ครับ พ่อกับแม่ผมอยู่ที่สิงห์บุรี น้องชายทำงานที่กรุงเทพนี่แหละ แต่ไม่ค่อยได้เจอหรอกครับ ต่างคนต่างทำงาน แล้วก็มีพี่สาวอีกคนอยู่สิงห์บุรี ก็ได้พี่สาวนี่แหละครับช่วยดูแลพ่อแม่ให้" เล็กตอบเท่าที่พอตอบได้ ปกติไม่ค่อยมีใครถามถึงครอบครัวของเล็กเท่าไหร่ พอทำงานแล้วก็มักพูดแต่เรื่องงานมากกว่าอย่างอื่น
"ดาราอย่างคุณเล็กคงมีรายได้เยอะแน่เลย แบบนี้พ่อกับแม่ก็สบายสิครับ"
"ใครว่าล่ะครับ รายจ่ายผมก็เยอะนะ ไหนจะค่าจ้างผู้จัดการส่วนตัว ค่าเดินทางทั้งรถทั้งเครื่องบิน ค่าโทรศัพท์ เยอะมากๆ ค่าเสื้อผ้า ค่าข้าวของเครื่องใช้สำหรับดูแลร่างกาย โอย...แล้วก็อีกหลายๆ ค่าใช้จ่าย เป็นดาราได้เงินเยอะก็จริง แต่รายจ่ายก็เยอะตาม ผมยังไม่กล้าซื้อรถใช้เลย"
"โห...แล้วอย่างนี้รายได้แต่ละเดือนนี่พอไหมครับ"
"ก็แล้วแต่ บางช่วงที่ไม่มีงานใช้เงินเก็บที่มีอยู่บ้าง ช่วงนี้มีงานเยอะก็ได้เยอะหน่อย พอมีเหลือเก็บ แต่ผมก็ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองหรอกว่าจะดังได้นานแค่ไหน เอาเข้าจริงๆ ผมไม่รู้หรอกว่าทางช่องเขาจะดันผมอีกหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ดาราหน้าใหม่ๆ เข้ามาเยอะครับ"
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เล็กเล่าเรื่องส่วนตัวให้เจฟังไปเสียเยอะเลย แต่ดูๆ ไป หมอนี่ดูไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอก เล็กเจอคนในวงการที่เขี้ยวลากดินกว่านี้มาเยอะ พอดูคนออกอยู่บ้าง
"ใช่ครับ เดี๋ยวนี้ผมแทบจำชื่อดาราไม่ได้เลย จำได้แต่รุ่นเก่าๆ" เจขำเบาๆ รู้สึกว่าตัวเองแก่เกินไปที่จะมาคอยจดจำดาราใหม่ๆ เสียแล้ว "แล้วตอนว่างๆ ทำอะไรครับ" เจถามอีกราวกับกำลังสัมภาษณ์ดาราทำข่าว
"ช่วงที่ไม่ค่อยมีงานนี่ก็ว่างเกือบทุกวันนะครับ แต่ช่วงนี้ผมทำงานหนักเกือบทุกวัน ก็ดีครับ ดีกว่าไม่มีอะไรให้ทำ ผมเป็นดาราก็ต้องอยากให้มีงานเข้ามาเยอะๆ อยู่แล้วล่ะ แต่พอมีว่างบ้าง ว่างทั้งวันอาจจะไม่ค่อยมี อย่างวันนี้ผมก็ว่างช่วงเย็น นอกนั้นก็แล้วแต่ว่างานจะติดต่อมาให้ไปตอนไหน เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอกครับ"
"แล้วคุณเล็กชอบทำอะไรเวลาว่างๆ ครับ ผมนะครับ ชอบเล่นกับหมา ที่บ้านจะเลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง ชื่อมิชก้า เป็นพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ หอนเก่งมาก หอนทีไรกลัวข้างบ้านเอาอะไรปาทุกที แต่ไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับมันหรอก ส่วนมากเจ๊ผมจะเล่นกับมันบ่อยกว่า"
ท่าทางคนเล่าดูมีความสุขมากทีเดียว แสดงว่าคงชอบเล่นกับหมาจริงๆ
"อ้อ...ผมก็ชอบหมาเหมือนกัน แต่ไม่ได้เลี้ยง ถ้าผมมีเวลาว่างน่ะเหรอ อืม...อ่านหนังสือมั้งครับ ก็อ่านบ้าง... อะไรอีก...ว่ายน้ำ ไปฟิตเนส แล้วก็ดูหนัง ดูเพราะว่าอยากแสดงให้เก่งขึ้น ก็เลยชอบหาหนังดีๆ มาดู นอกนั้นก็ไปเที่ยวบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยได้ไปหรอกครับ เปลืองเงิน"
"ครับ อืม....ว่าแต่ว่า...คุณเล็กคิดจะทำงานในวงการบันเทิงไปอีกนานแค่ไหนครับ เกิดวันหนึ่งไม่ได้เล่นเป็นพระเอกแล้วจะเล่นเป็นอะไรดีครับ"
"ถามยากนะครับเนี่ย ผมเหรอ...อืม...ไม่รู้สิ ผมคิดว่าผมน่าจะอยู่ได้อีกสัก 4-5 ปี จากนั้น...ก็คงจะไปหาธุรกิจส่วนตัวทำแล้วครับ แต่ถ้ามีบทดีๆ ถึงจะเล่นเป็นพ่อ ผมก็ยังอยากเล่นนะครับ แต่งานในวงการมันไม่ยั่งยืนหรอก ผมก็คงต้องหาลู่ทางเตรียมไว้เหมือนกัน เมื่อก่อนผมเคยคิดอยากเปิดร้านขายกาแฟ แต่เห็นเขาเจ๊งไปเยอะก็เลยไม่เปิดดีกว่า กลัวเจ๊ง อีกอย่างผมว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดีด้วย การเมืองก็ไม่นิ่ง เดี๋ยวธุรกิจจะพลอยซวยไปด้วย"
เจพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ จากนั้นต่างคนต่างหันมาจัดการกับอาหารของตัวเองอีกคำรบเพราะหยุดคุยกันเสียนาน
"ผมมีอะไรให้คุณเล็กเลือก ไม่ต้องถามนะครับว่าทำไมต้องเลือก ให้เลือกมาหนึ่งอย่าง เริ่มเลยนะครับ ผมอยากให้คุณเล็กเลือกของที่ผมจะพูดต่อไปนี้ครับ ไม้จิ้มฟัน ทุเรียน สว่าน เสียม น้ำยาไฮเตอร์ เลือกอะไรครับ"
หืม...อะไรของเขาเนี่ย อยู่ดีๆ ก็ให้เล่นเกมส์อะไรก็ไม่รู้ ยังกะมาออกรายการเกมส์โชว์ซะอย่างงั้น เล็กพยายามนึกทวนว่ามันมีอะไรบ้าง สุดท้ายจึงเลือกเอาที่พอจำได้
"ทุเรียนละกันครับ"
"โจทย์ก็คือ คุณเล็กใช้อะไรขัดหน้าครับ"
"โห! หน้าผมก็พังพอดีสิครับ"
ทั้งเจและเล็กต่างขำพร้อมๆ กัน ท่าทีหวาดระแวงของเล็กค่อยๆ หายไปบ้างแล้ว รู้สึกเป็นกันเองกับชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้มากขึ้น
น่าแปลก ทำไมเล็กดูไว้ใจผู้ชายคนนี้มากกว่าคนแปลกหน้าทั่วไปที่เล็กเคยเจอ ไม่เคยมีคนแปลกหน้าที่ไหนทำให้เล็กไว้ใจได้ง่ายๆ แบบนี้เลย
"คุณเล็กรู้ไหมครับ หลายคนชอบเลือกทำอะไรโดยไม่รู้ว่าโจทย์ของชีวิตตัวเองคืออะไร สุดท้ายเราก็เลือกผิด ผมมีนิทานอีกเรื่องจะเล่าให้ฟังครับ"
ตอนนี้เล็กชักนึกสนุกและอยากฟังนิทานของนายขนม เอ๊ย นายเจขึ้นมาเสียแล้วสิ ตอนแรกนึกว่าจะมาหลอกเด็ก แต่พอเห็นว่ามีสาระก็เลยชอบ
"มีชายหนุ่มสองคนไปเที่ยวที่เมืองหนึ่ง หลังจากขับรถกลับมาที่โรงแรมที่พักแล้วก็พบว่าไฟดับ เครื่องปั่นไฟก็เสีย ห้องพักของเขาสองคนดันอยู่ชั้นหกสิบ ก็เลยต้องเดินขึ้นไป ชายคนแรกเสนอไอเดียว่าในระหว่างที่เดินขึ้นบันไดไปให้เล่าเรื่องไปด้วย แป๊บเดียวก็น่าจะถึงแล้ว ชายคนที่สองเห็นด้วย พอดินขึ้นบันไดไป ชายคนแรกเริ่มเล่าเรื่องรักครั้งแรกก่อน แล้วชายคนที่สองก็เล่าเรื่องผี จบแล้วชายคนแรกเล่าเรื่องที่เขาไปเที่ยวแอฟริกามา ชายคนที่สองเล่าเรื่องภรรยาขี้บ่น แล้วก็อีกหลายเรื่องจนมาถึงชั้นหกสิบ สุดท้ายก็พบว่า...พวกเขาลืมกุญแจห้องไว้ในรถ ถ้าเป็นคุณเล็ก คุณเล็กจะลงไปเอากุญแจไหมครับ"
เล็กส่ายหน้าเดียะ "ไม่ครับ นอนหน้าห้องนั่นแหละ"
เจขำเบาๆ "คิดเหมือนผมเลย ผมก็จะทำอย่างงั้นเหมือนกัน" เจหยุดเว้นจังหวะและถือโอกาสหยุดขำไปด้วย "ถ้าเป็นตึกหกสิบชั้น ผมว่าเราพอลงมาเอากุญแจได้นะครับ อย่างน้อยก็เสียเวลาอีกสองสามชั่วโมง แต่ถ้าเป็นเรื่องชีวิต วันหนึ่งถ้าเราอายุหกสิบปีแล้วดันพบว่าตัวเองลืมกุญแจเอาไว้ คุณเล็กคิดว่าเราจะย้อนกลับไปเอากุญแจมาได้ไหมครับ"
นั่น...ข้อคิดอีกแล้ว! คมมากซะด้วย!
"ชีวิตสำคัญที่การเลือกครับคุณเล็ก ทิศทางผิด ความพยายามก็สูญเปล่า"
ซี้ด...คมยิ่งกว่าเดิมอีก!
"ทำไมคุณเล็กถึงอยากเป็นดาราล่ะครับ" เจเปลี่ยนคำถาม
ผู้ชายคนนี้กำลังทำอะไรกันแน่ ทำไมแต่ละเรื่องที่พูดหรือถามถึงได้ลึกซึ้งคมคายขนาดนี้ ไม่เคยมีใครพูดหรือถามคำถามแบบนี้กับเล็กมาก่อนเลย
"อืม...ตอบยากเหมือนกันนะครับ เหมือนจะมีหลายๆ เหตุผล" เล็กทำท่านึก "อย่างแรก...อยากมีเงินกับชื่อเสียง ถ้าว่ากันตรงๆ นะครับ ผมก็อยากดัง อยากรวยเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ อย่างที่สอง...ผมคิดว่าผมชอบการแสดงนะ ถึงจะไม่ได้เรียนมาด้านนี้โดยตรง แต่พอได้ทำแล้วผมก็รักการแสดง ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเลย วงการบันเทิงมันก็อย่างว่านั่นแหละ แต่มันก็เป็นงาน เป็นอาชีพ ทำให้เรามีรายได้"
เจขำพร้อมกับยิ้ม "ตอบเหมือนดาราเป๊ะเลยนะครับ ผมควรจะถามคุณเล็กด้วยไหมครับว่าคุณเล็กกลัวอะไรแปลกๆ บ้างไหม อย่างเช่น กลัวจานสีขาว อะไรทำนองนี้"
เล็กหัวเราะบ้าง รู้สึกเป็นกันเองกับคนตรงหน้าเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ
"คุณเล็กจะเอาเงินกับชื่อเสียงไปทำอะไรเหรอครับ แล้วถ้าเงินหมด ชื่อเสียงหมด ชีวิตจะเหลืออะไรครับ"
สาบานได้ว่าเล็กไม่เคยได้ยินคำถามนี้หรือคิดเรื่องนี้มาก่อนเลยในชีวิต จึงได้แต่นิ่งอึ้งไปหลายวินาที
"อืม...ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยครับ" เล็กทำท่าครุ่นคิด ขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะหาคำตอบให้ตัวเองได้ยากไม่น้อย คำถามง่ายๆ แต่คำตอบกลับคลุมเครือ "ก็จริงของคุณนะ ถ้าเงินหมด ชื่อเสียงหมด แล้วผมจะเหลืออะไร" เล็กพูดเหมือนคิดกับตัวเอง ก่อนจะหันไปถามเจด้วยสีหน้าจริงจัง "ถามจริงๆ นะครับ คุณเจกำลังพยายามจะบอกอะไรบางอย่างผมอยู่หรือเปล่าครับ ผมรู้สึกว่าคำถามของคุณหรือเรื่องที่คุณเล่ามันฟังดูแปลกๆ มากเลย ผมไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ตกลงคุณจะให้ผมทำอะไรเหรอครับ"
เจยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่ไม่ตอบคำถามนั้นเสียทีเดียว
"ก่อนผมจะบอกคุณเล็ก ผมจะขอย้อนกลับไปที่ผมถามให้คุณเล็กเลือกสิ่งของก่อนนะครับ ที่คุณเล็กเลือกทุเรียนมาขัดหน้า จำได้นะครับ ก็เหมือนที่คนทั่วๆ ไปเลือกเรียนคณะที่เขาชอบ หรือไม่ก็เรียนไปโดยไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร จบมาก็หางานทำ อยากเป็นวิศวกร อยากเป็นหมอ อยากเป็นนักกีฬา นักร้อง นักแสดง ไม่ผิดนะครับที่อยากเป็น แต่หลายคนไม่รู้โจทย์ชีวิตของตัวเอง ทำงานที่คิดว่าชอบแต่กลับไม่มีความสุข ไม่ตอบโจทย์ชีวิตที่อยู่ลึกๆ ในใจของตัวเอง คุณเล็กรู้ไหมครับ มีเรื่องหนึ่งที่คนเราทุกคนรู้เหมือนกันแต่ไม่เคยถามตัวเองเลย คุณเล็กรู้ไหมว่าคืออะไร..."
เล็กส่ายหน้าทันที ดูเหมือนนายคนนี้จะรู้อะไรลึกซึ้งจนเกินกว่าที่เล็กจะตอบพล่อยๆ ได้
"ก็รู้ว่าเราต้องการชีวิตแบบไหนไงครับ เราถูกถามตั้งแต่เด็กๆ ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เด็กๆ ก็จะตอบว่าอยากเป็นทหาร ตำรวจ หมอ วิศวกร ก็ตอบตามค่านิยมของผู้ใหญ่นั่นแหละ แต่ไม่มีพ่อแม่แม้แต่คนเดียวที่ถามลูกว่า...โตขึ้น อยากมีชีวิตแบบไหน นี่ต่างหากคือสิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่อาชีพ เพราะอาชีพเป็นแค่เครื่องมือ ไม่ใช่เป้าหมายชีวิต"
เล็กพยักหน้าเห็นด้วยและคิดตาม ก็จริงอย่างที่เจว่า แม้เราไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร แต่คนส่วนมากย่อมรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าชีวิตที่ต้องการเป็นแบบไหน
"ผมถามคุณเล็กนะครับ ถ้าวันนี้ไม่ต้องสนใจว่าเราจะมีอาชีพอะไร ชอบหรือไม่ชอบทำอะไร คุณเล็กอยากได้ชีวิตแบบไหนครับ เอาแบบที่คุณเล็กอยากได้จริงๆ ไม่ต้องสนใจเงื่อนไขปัจจุบันเลย" เจถามต่อ
"ผมว่า...ทุกคนก็อยากมีชีวิตที่ดีแหละครับ อยากมีบ้านอยู่สบายๆ อบอุ่นๆ กับครอบครัว แล้วก็คนที่เรารัก มีรถดีๆ ขับ มีที่กว้างๆ บ้านหลังโตๆ มีเงินใช้ไม่ขาดมือ มีอาหารดีๆ กิน มีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ สุขภาพดีไม่เจ็บไม่ป่วย มีเพื่อนดีๆ ได้ไปเที่ยวในที่สวยๆ งามๆ มีเวลาของตัวเอง ไม่ต้องทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง คงอะไรประมาณนี้มั้งครับ ไม่หนีกันมากหรอก" เล็กพูดในสิ่งที่ตัวเองเคยคิดฝันเอาไว้ แต่ไม่เคยเป็นจริงเลย กระทั่งเป็นดารายังมีชีวิตแบบนั้นไม่ได้ คนทั่วไปยิ่งยากเข้าไปใหญ่
"ใช่ไหมครับ ผมคิดว่าใครๆ ก็คงมีความฝันที่จะมีชีวิตแบบนี้ทั้งนั้นแหละ แต่ปัญหาคืออะไรรู้ไหมครับ"
เล็กส่ายหน้าอีกเพราะไม่อยากเดา เดาไปก็ไม่ถูกอยู่ดี เฉลยมาเลยละกัน
"เราเลือกเครื่องมือผิดไงครับ หลายคน...เลือกเครื่องมือผิดเพราะว่าไม่รู้โจทย์ชีวิต เปลี่ยนเครื่องมือกี่ครั้งก็ผิดเหมือนเดิม เพราะว่าวิธีคิดผิด เลือกกี่ครั้งก็เลยผิด แต่บางคนที่รู้โจทย์ชีวิตของตัวเองกลับหาเครื่องมือที่ต้องการไม่ได้ มีไม่กี่คนบนโลกนี้เท่านั้นนะครับที่รู้โจทย์ชีวิตของตัวเอง แล้วหาเครื่องมือที่ใช่ได้"
"เครื่องมือคืออะไรเหรอครับ"
"ก็อาชีพหรืองานที่เราทำไงครับ"
เล็กนิ่งคิดตามไปหลายวินาที ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
"ก็จริงของคุณนะ ฟังที่คุณพูดแล้วก็นึกถึงอาชีพดาราของผมเลย ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะว่าถ้าเป็นดาราแล้วผมจะได้ชีวิตอย่างที่ผมอยากได้หรือเปล่า ถ้าพูดตรงๆ ก็คงไม่ อืม...ขอบคุณที่บอกเรื่องนี้นะครับ ไม่งั้น...ผมก็คงคิดเองไม่ได้ อ้อ...ว่าแต่จะบอกผมได้หรือยังล่ะครับว่าตกลงที่พูดมาทั้งหมด จะให้ผมทำอะไรกันแน่ คุณเจจะให้ผมทำอะไรหรือเปล่าครับ"
"ใจเย็นๆ สิครับคุณเล็ก บางทีถ้าคุณเล็กคิดได้ หาเครื่องมือเองได้ คุณเล็กไม่จำเป็นต้องทำเหมือนผมหรอกครับ ผมแค่อยากให้คุณเล็กคิดเรื่องสำคัญของชีวิตที่เราไม่เคยคิดก็เท่านั้นแหละ ส่วนจะทำอะไรหลังจากที่คิดได้ค่อยมาว่ากันครับ"
เจขอทำตามกฎจรรยาบรรณหน่อยละกันนะ แม้จะคิดไม่ซื่อมาตั้งแต่เริ่มเพราะมีแผนบางอย่าง แต่จะว่าไปก็รู้สึกละอายใจเพราะไม่เคยเอาธุรกิจมาทำแบบนี้กับใครเลย ยกเว้นคนนี้และครั้งนี้เท่านั้น
"อ้อ...อย่างงั้นเหรอครับ" เล็กพยักหน้าช้าๆ
"ถ้าเราจะไปอเมริกา ระหว่างขับเครื่องบินไปกับพายเรือไป คุณเล็กจะเลือกอะไรครับ"
"ก็ต้องขับเครื่องบินสิครับ พายไปเมื่อไหร่จะถึงล่ะครับ ตายก่อนพอดี"
"ใช่ครับ ไม่ว่าผมจะถามใคร ทุกคนตอบได้ทันที แทบไม่ต้องคิดเลย" เจยกยิ้ม "แต่คุณเล็กรู้ไหมครับ ในชีวิตจริง คนส่วนมากเลือกพายเรือไป เพราะมันง่ายกว่าขับเครื่องบิน หรือไม่ก็ไม่เคยรู้ว่ามีเครื่องบินอยู่ ครูผมสอนว่า ความขยันเป็นพันๆ ครั้ง ไม่สู้การเลือกที่ถูกต้องเพียงครั้งเดียว เหมือนเราพายเรือไปอเมริกาไงครับ ต่อให้ขยันพายแค่ไหนก็คงไปไม่ถึงง่ายๆ เลือกเครื่องมือผิด เราก็ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ สุดท้ายก็ต้องยอมลดขนาดความฝันของตัวเองให้เหลือเท่าที่จะพอไปได้ ไปอเมริกาไม่ได้ก็อาจจะไปแค่สิงคโปร์แทน แทนที่เราจะเปลี่ยนเครื่องมือ แต่คนส่วนใหญ่ดันไปลดขนาดความฝันของตัวเองซะงั้น"
เล็กพยักหน้าเห็นด้วยอย่างช้าๆ "อืม...จริงของคุณนะ คมมากๆ เลยครับ ผมชักอยากรู้แล้วสิว่าคุณไปเรียนเรื่องพวกนี้มาจากไหน ตกลงคุณทำงานหรือเรียนกันแน่ ทำไมมีครูสอนเรื่องพวกนี้ด้วย"
เจขำเบาๆ ที่เห็นเล็กทำหน้าแปลกใจมากขนาดนั้น "เดี๋ยวจะบอกครับ อีกซักคำถามละกัน ระหว่างให้เอาถังไปตักน้ำมากินใช้ กับต่อท่อน้ำมาที่บ้านของเรา คุณเล็กเลือกอะไรครับ"
"เลือกต่อท่อสิครับ ใครจะมีแรงไปตักน้ำได้ทุกวัน เกิดป่วยเกิดตายขึ้นมาก็ไม่มีน้ำกินสิครับ" เล็กตอบได้ทันที
"ใช่ครับ ใครๆ ก็ตอบแบบนี้ แต่ในชีวิตจริง คนส่วนใหญ่ก็เลือกไปตักน้ำ ไม่ได้ต่อท่อน้ำ รายได้บนโลกนี้มีสองแบบครับ แบบแรกก็เหมือนเอาถังไปตักน้ำ คนที่การศึกษาเยอะหน่อยก็อาจจะได้ถังใบใหญ่หน่อย แต่ก็ต้องไปตักน้ำเหมือนกัน เหนื่อยเหมือนกัน พอหมดแรงก็ต้องใช้น้ำที่ตักมาเก็บสะสมไว้เหมือนกัน เผลอๆ น้ำอาจจะหมดก่อนที่เราจะตายด้วยซ้ำ ส่วนรายได้แบบที่สองก็เหมือนกับการต่อท่อน้ำ แรกๆ อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่เมื่อต่อเสร็จแล้ว เราก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก เพราะเราจะมีเงินใช้ตลอดไป เหมือนน้ำที่ไหลมาตามท่อ เราแค่เปิดก๊อกน้ำ น้ำก็จะไหลออกมา ตอนนี้...งานที่คุณเล็กทำอยู่ คุณเล็กไปตักน้ำหรือต่อท่อน้ำอยู่ครับ"
นั่น! คมอีกแล้ว ในโลกนี้มันมีรายได้แบบต่อท่อน้ำด้วยหรือ เล็กไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
"ก็...น่าจะตักน้ำมั้งครับ เพราะถ้าวันไหนผมหยุด ผมก็ไม่มีรายได้" เล็กตอบ สีหน้าครุ่นคิดตลอดเวลา เรื่องที่เจพูดหลายเรื่องทำให้เล็กต้องคิดหนักเลยทีเดียว
หลังจากที่ฟังมานาน เล็กคิดว่าผู้ชายคนนี้ต้องมีอะไรดีๆ บางอย่างที่ไม่ยอมบอกแน่ๆ อย่ากระนั้นเลย เล็กขอถามตรงๆ ไปเลยดีกว่า ชักอยากรู้จนทนไม่ไหวแล้ว
"เอางี้ละกันครับ ผมไม่รู้ว่าคุณเจทำอะไรอยู่ แต่ผมว่ามันน่าสนใจมากๆ เลย ผมว่ามันต้องเป็นงานที่ดีแน่ๆ ไม่อย่างงั้นก็ไม่น่าจะสอนมุมมองความคิดชีวิตดีๆ แบบนี้ได้ คุณเจบอกผมได้ไหมครับว่าคุณเจทำอะไร ผมอยากทำด้วย ผมพูดจริงๆ นะครับ"
เสียงพูดหนักแน่นนั้นทำให้เจกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความดีใจ
"บอกได้สิครับ" เจหยุดเว้นจังหวะ ยิ้มมีเลศนัย
"ผมทำ...ยัวร์เวย์ครับ!"
ยัวร์เวย์เหรอ? มันคืออะไร ชื่อคุ้นๆ เหมือนสายการบิน แต่ไม่น่าใช่ เอ...แล้วมันคือธุรกิจอะไรหนอ อ้อ! นึกออกแล้ว เล็กจำได้ว่าพี่สาวของเล็กเคยทำยัวร์เวย์เมื่อหลายปีก่อนแต่เลิกทำไปนานแล้ว
ห๊า!!! ที่พูดมาทั้งหมดเสียดิบดี สรุปว่าเจจะชวนเล็กไปขายยัวร์เวย์เหรอ!!! ไม่นะ!!!
TBC