Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]  (อ่าน 278888 ครั้ง)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
« เมื่อ08-01-2016 01:02:02 »

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-08-2019 01:05:54 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book
«ตอบ #1 เมื่อ08-01-2016 01:07:38 »

Intro

‘To study the phenomena of disease without books is to sail an uncharted sea,
While to study books without patients is not to go to sea at all’
William Osler

‘การศึกษาโรคภัยไข้เจ็บโดยไม่อาศัยความรู้จากตำราก็เหมือนกับการล่องเรือไปในทะเลโดยปราศจากแผนที่
ในขณะที่การเรียนรู้ด้วยการอ่านตำราโดยไม่ใส่ใจศึกษาผู้ป่วยเท่ากับว่ายังไม่เคยไปทะเลเลยสักครั้ง’

...และความรักก็เช่นกัน...

ถ้าคุณไม่เดินเข้าไปหาต่อให้มาอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีวันได้ครอบครอง

สารบัญ

บทที่ 1 Deny
บทที่ 2 Anger
บทที่ 3 Bargain
บทที่ 4 Stay
บทที่ 5 Asking
บทที่ 6 when the 'rain' come
บทที่ 7 Let's dance in the rain
บทที่ 8 Pandora
บทที่ 9 Like father like son
บทที่ 10 Brothers
บทที่ 11 Heart Beat
บทที่ 12 Beside(s) My side(1)
บทที่ 12 Beside(s) My side(2)
บทที่ 12 Beside(s) My side(3)
บทที่ 13 Depress
บทที่ 14 Still
บทที่ 15 Compensate
บทที่ 16 Restart
บทที่ 17 In my wind, in my view
บทที่ 18 Accept
บทที่ 19 Determine

ภาคผนวก
ก.
ข.

ตอนพิเศษ
รักของเรา กับกาวน์ตัวเก่าในวันที่ฝนพรำ
Part 1
Part 2
Part 3

Special Moment:Valentine's day

Text_book#2
บทที่ 1 Sign
บทที่ 2 Awake
บทที่ 3 Fate
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2018 17:04:29 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 1 Deny

“อาจารย์คะ ญาติถามว่าคนไข้จะ ‘ไป’ เมื่อไหร่”

เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างกังวลทำให้ผู้ที่สวมเสื้อกาวน์ยาวสีขาวซึ่งนั่งอ่านแฟ้มผู้ป่วยอยู่หน้าเคาน์เตอร์เหลือบสายตาหลังกรอบแว่นขึ้นมองเล็กน้อย ผ่านกระจกของห้อง ICU ไปยังห้องหมายเลข 4 ที่มีกลุ่มญาติราว 5-6 คนยืนล้อมอยู่รอบเตียง บ้างยืนจับมือให้กำลังใจกันกัน บ้างหันมองมาที่เขาเป็นระยะๆ 

คำว่าจะ ‘ไป’ ในที่นี้หมายถึง ‘ตาย’ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เป็นนักเรียนแพทย์จนมาเป็นศัลยแพทย์ระบบประสาทวิทยาเต็มตัวนี่คือคำถามที่นรกรมักจะได้ยินจากญาติหรือพยาบาลเสมอๆ ในกรณีที่คนไข้ได้รับบาดเจ็บทางสมองหรือมีโรคอื่นๆ เช่นเนื้องอกขนาดใหญ่จนถูกวินิจฉัยว่า ‘สมองตาย’ หรือ Brain death ทางการแพทย์ถือว่าคนไข้ประเภทนี้ได้ตายไปแล้วเนื่องจากไม่มีการตอบสนองต่างๆ ตามเกณฑ์การวินิจฉัยเพียงแต่หัวใจยังคงเต้นอยู่เท่านั้น

เรียกว่า ‘มีลมหายใจ’ แต่ ‘ไร้ชีวิต’ ก็คงไม่ผิดนัก

เหมือนเขา... ที่มีร่างกายแต่ไร้หัวใจ นับตั้งแต่วันที่ใครคนนั้นจากไป

‘นายแพทย์นรกร นุศาสตร์ศิลป์’ ปิดแฟ้มและลุกขึ้นเดินไปซึ่งทุกคนก็พร้อมใจกันเปิดทางให้เขาเข้าไปยืนข้างเตียง 

ใบหน้าคนไข้ซีดเซียวแทบปราศจากสีเลือด มีสายน้ำเกลือต่างๆ ต่อห้อยระโยงระยางเต็มสองแขน ศีรษะโล้นเลี่ยนปิดพลาสเตอร์ทับแผลผ่าตัดลากยาวคล้ายที่คาดผมกับรอยเส้นจางๆ สีแดงของการฉายแสงแสดงให้เห็นว่าเธอผ่านการต่อสู้กับโรคร้ายมามากมายแค่ไหน

เธอชื่อลลินเป็นเด็กสาวอายุแค่ยี่สิบแต่กลับต้องมาเป็นเจ้าหญิงนิทราด้วยโรคเนื้องอกในสมองแต่กำเนิดและพัฒนาไปเป็นเนื้อร้าย

นรกรไม่เคยลืมวันแรกที่เธอเข้ามาเป็นคนไข้ในการรักษา เด็กหญิงหน้าตายิ้มแย้มที่พูดกับเขาซ้ำๆ ว่า ‘หนูจะต้องชนะมันให้ได้’

เธอสู้สุดใจกับทั้งเนื้อร้ายและผลข้างเคียงจากการให้ยาเคมีบำบัดที่ทำเอาทรุดจนนึกว่าจะไม่ไหวอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกๆ ครั้ง ที่ลืมตาขึ้นมาเธอยังคงยิ้มให้เขา จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งหลังจากกลับมาจากมหาวิทยาลัยที่เธอบ่นเหนื่อย ปวดหัวก่อนจะขอตัวไปนอนพัก

และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ทุกคนได้เห็นรอยยิ้มของเธอเพราะเธอไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลย

ผล CT scan แสดงให้เห็นภาพก้อนมะเร็งที่กระจายไปทั่วจนเกินกำลังจะผ่าตัดออกได้หมดหรือให้ยาใดๆ ซึ่งทั้งทีมแพทย์และญาติของเธอมีความเห็นตรงกันว่าพวกเขามาถึงจุดที่ควรพอเพื่อให้เธอได้หลับอย่างสบายในวาระสุดท้ายของชีวีต

นรกรยกมือขึ้นสัมผัสหลังมือเล็กเซียวที่ครั้งหนึ่งเจ้าของเคยใช้มันเขียนฝันและจับมือทำสัญญาใจกับเขาเสมอ แต่มาวันนี้มันกลับเยียบเย็นจนน่าใจหาย

“น้องจะทรมานอีกนานไหมคะ” หญิงวัยกลางคนที่เป็นแม่ถาม

“น้องอายุยังน้อยและไม่มีภาวะแทรกซ้อน หมอไม่อาจบอกระยะเวลาที่แน่นอนได้ แต่ตามสถิติแล้วไม่น่าจะเกินหนึ่งเดือนครับ”

ถ้าเป็นสมัยก่อน คุณหมอหนุ่มคงแค่ตอบไปตามพยาธิสภาพการดำเนินของโรคและตามผลงานวิจัยที่ได้ศึกษามา แต่นับจากวันที่ได้เจอ ‘ใครคนนั้น’ เขาก็ได้เรียนรู้ว่าชีวิตของคนเรานั้นยังมีสิ่งที่อยู่นอกเหนือตำราและทฤษฏีบท

“เธอยังมีอะไรที่ติดค้างหรือกำลังรอ ‘ใคร’ อยู่หรือเปล่าครับ” 

“ไม่มีแล้วค่ะคุณหมอ เราตามญาติๆ และเพื่อนๆ ของเธอตามที่คุณพยาบาลแนะนำมาหมดแล้ว”

นัยน์ตาคมหลังกรอบแว่นกวาดมองกลุ่มญาติที่ยืนจับมือกันรอบเตียง “ถ้าเช่นนั้นเราคงทำได้แค่รอและอยู่กับเธอจนนาทีสุดท้าย” คุณหมอหนุ่มค้อมศีรษะให้ครั้งหนึ่งก่อนจะเดินไปที่ประตูเมื่อมือหนึ่งเอื้อมมือมาสัมผัสเบาๆ ที่หลังมือ เขาก็หยุดราวกับนึกอะไรขึ้นได้และหันกลับมา “คุณแม่ครับ บางที... น้องเขาเคยมีแฟนหรือแอบชอบใครอยู่หรือเปล่า” 

“แม่ไม่รู้”

หญิงสาวสองคนซึ่งน่าจะเป็นเพื่อนสนิทที่สุดลอบมองหน้ากันเล็กน้อยและพากันก้าวเข้ามายืนตรงหน้า “เอ่อ คุณแม่คะจริงๆ แล้ว...”

คุณหมอหนุ่มหันไปสบตาเจ้าของมือคู่นั้นที่ส่งยิ้มบางมาให้และเดินกลับออกไป

“คุณหมอคะ ญาติคนไข้ฝากมาให้ค่ะ” นางพยาบาลที่เคาน์เตอร์ร้องบอกพลางหยิบถุงใส่ขนมไทยที่เขาแสนชอบให้พร้อมกับช่อดอกไม้ขนาดเล็กที่มีอยู่ราวสิบดอก แต่ละดอกมีกลีบบางสีฟ้าสดใสล้อมรอบกลุ่มเกสรสีเหลืองตรงกลาง มันถูกห่อง่ายๆ ด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์แต่กลับดูน่ารักและสวยงาม

“ขอบคุณครับ”

“เป็นของฝากที่น่ารักดีนะคะ” นางพยาบาลอมยิ้มแซวซึ่งนรกรชินเสียแล้ว เขามักจะได้รับของขวัญจากคนไข้หรือญาติเสมอๆ เพื่อแทนคำขอบคุณ แต่ของขวัญที่แปลกที่สุดก็เห็นจะเป็นช่อดอก Forget me not ในกระดาษหนังสือพิมพ์ฉบับเก่าซึ่งได้รับติดต่อกันมาร่วมเดือนแล้ว โดยที่เขายังไม่เคยเห็นหน้าผู้ให้หรือทราบที่มาที่ไปว่าเคยไปดูแลรักษากันตอนไหน

“เขาแอบชอบคุณหมอหรือเปล่าคะ” เธอยังคงกระเซ้าต่อเพราะย่างเข้าวัยสามสิบกลางๆ แล้วแต่ศัลยแพทย์หนุ่มยังคงไม่ยอมปล่อยให้ใครเข้ามาจับจองหรือดูแลหัวใจ

“ใครหรือครับ”

“ก็เจ้าของดอกไม้นี่ไงคะ”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นละครับ” เขาถามกลับยิ้มๆ “ผมเข้าใจว่าความหมายของมันคือ ‘อย่าลืมฉัน’ แต่ผมว่าคนไข้พยายามจะสื่อว่าเขาเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่านะ เพราะดอกฟอร์เก็ตมีน็อตเป็นดอกไม้ประจำวันอัลไซเมอร์โลกและวันนี้ก็เป็นวันที่ 21 กันยายนพอดี... เพราะฉะนั้นทุกคนอย่าลืมผมนะครับ”

“แหม คุณหมอก็ช่างไม่โรแมนติกเอาเสียเลย แบบนี้ละน้า ถึงไม่มีแฟนกับเขาสักที”

“ไปแซวอาจารย์อะไรแบบนั้น” พยาบาลที่อาวุโสกว่าสะกิดแขนรุ่นน้อง “อาจารย์อย่าไปสนใจยัยนี่เลยค่ะ นั่งมองดอกไม้ไปพลางนึกถึงคนให้ไปพลางแล้วทานขนมให้อร่อยนะคะ”

นรกรหลิ่วตาให้ครั้งหนึ่งก่อนจะออกเดินอีกครั้ง ห้องไอซียูที่เพิ่งออกมาอยู่ชั้นสามเขาจึงตัดสินใจเดินลงบันไดเพราะไม่อยากเสียเวลารอลิฟต์ ตรงชานพักที่ชั้นสองมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งกอดเข่าฟุบหน้าอยู่ “ขอผ่านหน่อยนะครับ”

หญิงสาวพยักหน้าให้เขาจึงเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยและเป็นจังหวะเดียวกับที่นักศึกษาแพทย์กลุ่มหนึ่งเดินสวนขึ้นมา

“สวัสดีครับอาจารย์” พวกเขายกมือไหว้ทักทายก่อนจะสบตากันแปลกๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

ทีแรกเขาตั้งใจเดินกลับไปห้องพักแพทย์ซึ่งอยู่อีกตึกแต่กลับไปไม่ถึง เมื่อเดินผ่านสนามหญ้าที่โรงพยาบาลจัดไว้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและกราบไหว้ขอพรพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงพยาบาลก็อดที่จะนั่งลงบนหน้านั่งใต้ต้นปีบไม่ได้

“วันนี้อากาศดีนะครับ” เอ่ยกับคุณลุงในชุดคนไข้สีฟ้าของโรงพยาบาลซึ่งนั่งอยู่ก่อน “แต่อย่าไปไหนไกลนะครับเดี๋ยวใครๆ จะพากันเป็นห่วง”

คุณลุงเจ้าของใหน้าซีดเซียวไม่ตอบได้แต่หันมาพยักหน้าให้เขา
นรกรเอนหลังพิงพนักพลางทอดสายตามองท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าสดปราศจากเมฆ ลมหนาวที่เริ่มพัดมาทำให้ดอกปีปสีขาวซึ่งบานตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมร่วงโรยลงเต็มพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่มที่ไม่นานก็คงเริ่มแห้งออกเป็นสีน้ำตาลตามสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนไป

เรื่องราวของคนไข้ที่ดูแลรักษากันมาแรมปีกับคราบน้ำตาของผู้เป็นแม่ยังคงติดอยู่ในตา เช่นเดียวกันกับเรื่องราวของคนๆ หนึ่งซึ่งยังตรึงอยู่ในใจแม้เวลาล่วงเลยมานานแล้ว

ย้อนกลับไปเกือบสองปีก่อน ก่อนที่เขาจะได้รับตำแหน่งอาจารย์แพทย์ของโรงพยาบาลรัฐย่านใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ ในสมัยที่เขายังเป็นแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ห้าซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการเรียนเฉพาะทางด้านระบบศัลยกรรมประสาทและสมองที่ใช้เวลาเรียนนานกว่าสาขาอื่นๆ

ในห้องล็อกเกอร์ซึ่งเป็นสถานที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเข้าห้องผ่าตัดจะถูกแบ่งย่อยออกเป็นบล็อกสำหรับแต่ละสาขาวิชา ซึ่งไม่ได้กว้างมากนักแค่พอหันหลังชนกันได้ เพราะมีชั้นปีเรียนเยอะแต่คนที่เรียนดันมีน้อยกว่าสาขาอื่นจึงมีล็อกเกอร์ว่างเกือบครึ่งแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พื้นที่ในโซนนี้เงียบเหงาเลยแม้แต่น้อย กลับกันออกจะเอ็ดตะโรและอื้ออึงจนสายศัลยกรรมทั่วไปที่อยู่ข้างๆ ต้องทุบกำแพงส่งเสียงเตือนบ่อยๆ นี่ถ้ามีช่องแอร์หรือรูอะไรสักอย่างคงได้เอาน้ำสาดมาแล้ว

และไม่ว่าจะเลิกการผ่าตัดดึกดื่นค่อนคืนแค่ไหนเสียงนั้นก็ยังคงดังสนั่นไม่เกรงใจใครเหมือนเดิม

“ผมไปก่อนนะคร้าบบบ พี่ๆ ทุกคน ขอขอบพระคุณที่กรุณาสอนสั่ง” จิงโจ้ แพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่หนึ่งน้องเล็กสุดในสายยกมือไหว้ไปรอบๆ ห้องราวกับจะหาเสียง

ตามปกติแล้วปีหนึ่งยังไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการช่วยผ่าตัดและมีหน้าที่รับเรื่องจากหอผู้ป่วย OPD และER ถ้าเคสไหนไม่เกินความสามารถก็สั่งการรักษาหรือตามรุ่นพี่ชั้นปีสูงกว่าไปประเมิน แต่เพราะวันนี้เคสไม่ยุ่งเขาจึงได้มีโอกาสเข้ามาร่วมสังเกตการณ์ด้วย

“ไปไหนล่ะแก” พัฒนพงศ์ที่อยู่ปีสี่ตะโกนถามทั้งที่แค่อยู่ล็อกเกอร์ติดกัน

“น้ำหน้าอย่างมันจะไปไหนได้พี่พัฒน์ นัดหญิงไว้ล่ะสิ ” สิทธิชัยที่อยู่ปีสามตอบให้แทน “คนที่เท่าไหร่แล้วล่ะเดือนนี้”

“คนที่เท่าไหร่อะไรกันเฮีย แหมๆๆ ไม่เอา ไม่อิจฉาดิ เหงาก็บอกว่าเหงาเดี๋ยวหาให้คนนึง เอาป่ะ”

ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะควักเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดอวดรายชื่อสาวในสต๊อกก็เกิดเสียงดังปังมาจากล็อกเกอร์ที่อยู่ด้านหลัง

“ประตูติดอีกแล้วเหรอพี่วัฒน์”

“เออ!” อนุวัฒน์ซึ่งอยู่ปีสองพ่นลมออกจมูกพลางใช้เท้าเตะประตูสนิมเขรอะให้เข้าที่ “อย่าให้มันมากนักเดี๋ยวผัวยัยผู้หญิงพวกนั้นมันเอาไม้หน้าสามมาฟาดหัวแบะฉันไม่ผ่าให้นะเว้ย!”

“ผมก็ไม่เอาหรอกพี่วัฒน์เย็บแผลเบี้ยวจะตาย ให้พี่วินทร์เย็บดีกว่า”

“ฉันเย็บไม่เก่งถนัดตัดทิ้งอย่างเดียว เดี๋ยวจะแถมเลาะหมาออกจากปากกับตัดน้องชายให้ด้วยเลยเอาไหมล่ะ” พี่ใหญ่สุดของครอบครัวศัลยกรรมชะโงกหน้ามาตอบ

“ไม่เอาล่ะเกรงจายยย เหยยย ป่านนี้แล้ว ผมไปนะเดี๋ยวน้องเค้าจะรอนานพรุ่งนี้เจอกันครับ”

จิงโจ้คว้าเป้และวิ่งตื๋อออกไป ต่อมาคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยตามกันไป ห้องล็อกเกอร์คับแคบที่เคยแน่นขนัดจึงเหลือแค่ประตูล็อกเกอร์ที่อยู่ตรงซอกหลืบด้านในสุดซึ่งยังคงเปิดอยู่

ไม่มีใครสนใจหรืออายที่จะแก้ผ้าต่อหน้ากัน ไม่ใช่คุ้นเคยกันดี แต่เพราะหน้าด้านยิ่งกว่ากะโหลกหนาๆ ที่ผ่าตัดกันอยู่ทุกวี่วัน แต่สำหรับนรกรแล้วไม่ภูมิใจสักนิดกับหุ่นผอมบางและผิวที่ขาวซีดจนเหมือนกระดาษของตนเอง จึงมักจะมาเป็นคนแรกหรืออ้อยอิ่งอยู่เป็นคนสุดท้าย เขาค่อยถอดชุดหมีสีเขียวสำหรับใช้ในห้องผ่าตัดออกและสวมเสื้อกาวน์สั้นทับ ไม่มีธุระปะปังให้รีบร้อนไปไหน

“กว่าจะเสร็จให้ตายสิเหนื่อยเป็นบ้า ยืนจนขาสั่นเลย” เสียงวินทร์ดังมาจากอีกฟากของประตู เขาเป็นอีกคนที่มักจะออกเป็นคนท้ายๆ เพื่อตรวจความเรียบร้อยก่อนปิดห้องตามประสาพี่ใหญ่

“ว่าแต่นายก็นะ เคสนี้ไม่น่ารอดแท้ๆ ยังอุตส่าห์ผ่าอีก”

“เลือดออกที่ใต้เยื่อหุ้มสมองส่วนหน้า ขนาด 5x5 cm. และมี Midline shift 1cm. ก็เข้า Citeria ที่ต้องผ่าอยู่แล้วนี่ครับพี่วินทร์” แม้จะเรียนรุ่นเดียวกันแต่ด้วยความที่วินทร์อายุมากกว่าหนึ่งปีเขาจึงให้เกียรติเรียกว่าพี่ทั้งที่เจ้าตัวย้ำนักย้ำหนาว่าไม่จำเป็นสักนิดก่อนจะพ่ายแพ้และยอมให้เรียกแต่โดยดี

“คุณตัดสินใจได้ดีมากเลย ผมว่าเขาอยากสู้สุดๆ ไปเลย” เสียงทุ้มดังมาจากหลังล็อกเกอร์

“ตามผลการวิจัยอัตรารอดอยู่ที่ประมาณ 50% ผมครับแจ้งให้ทราบญาติแล้ว”

“ฉันรู้แล้ว ฉันไม่ลืมหรอกนายบอกฉันแล้วไงพ่อนักเรียนดีเด่น” วินทร์ตอบ

เสียงซึ่งดังมาจากที่ต่างกันทำให้นรกรเงยหน้าจากกระดุมเสื้อที่ติดค้างอยู่และปิดประตูตู้ เจ้าของล็อกเกอร์ข้างๆ ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว เขาหันซ้ายแลขวาหาที่มาของเสียงก่อนจะเห็นแผ่นหลังกว้างของร่างสูงที่คุ้นเคยนั่งคุกเข่าอยู่ข้างประตูเพื่อผูกเชือกรองเท้าผ้าใบ “ขอบคุณนะครับที่อยู่ช่วย”

“นั่นๆ คุณดูสีหน้าเขาสิ ผมว่าเขาอยากขอบคุณคุณนะอย่างน้อยคุณก็ทำให้เขาอยู่ได้นานพอจะรอให้ลูกสาวมาหาถึงจะไม่สามารถตอบสนองได้ก็เถอะ” เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน “เมื่อกี้พี่วินทร์พูดว่าอะไรนะครับ”

“เปล่านี่” วินทร์หันมามองงงๆ เพราะเขายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ “ฉันไปก่อนนะฮาร์ฟ นายอย่ามัวชักช้าล่ะนี่ตีสามได้เวลาปล่อยผีแล้ว นายก็รู้นี่เรื่องอาถรรพ์ห้องล็อกเกอร์ที่พี่พยาบาลเคยเล่าให้ฟัง เห็นว่าเธอชอบมานั่งบนหลังตู้คอยหลอกคนที่ชอบออกช้าด้วย” หันมายักคิ้วให้ครั้งหนึ่งและผิวปากเดินออกไป

“เอ่อ รอ...” นรกรพยายามเรียกแต่วินทร์ก็หายตัวไปเสียแล้ว เขากวาดมองไปรอบๆ ห้องที่ว่างเปล่า เพราะเป็นกลางดึกสงัดทำให้บรรยากาศที่ทึบทึมอยู่แล้วยิ่งวังเวงขึ้นไปอีก จนดูเหมือนมีเงาตะคุ่มของคนยืนอยู่ข้างๆ ทั้งที่ในห้องนั้นมีเขาอยู่แค่คนเดียว

เสียงลมพัดมาหวีดหวิวทั้งที่ไม่มีแม้ช่องแอร์พาให้ขนลุกซู่
นัยน์ตาหลังกรอบแว่นเหลือบมองบนหลังตู้ที่อยู่อีกฟากอีกครั้งก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ

เขาเป็นคนไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ ในบทความของคาโรลัส ลินเนียสบิดาแห่งอนุกรมวิธานไม่มีอาณาจักรภูตผีหรือไฟลัมวิญญาณ หรือถ้าจะเถียงว่าผีไม่ใช่สิ่งมีชีวิต อัลเบิร์ต ไอสไตน์ก็เคยให้ทฤษฏีไว้ว่าภาพเงาหรือกลุ่มควันที่อธิบายไม่ได้คือการรวมตัวพลังงานจนเกิดการกระทบกัน หรือที่เรียกว่า Impulse จนมีพลังงานสะสมอย่างน้อย 60 จูลล์และสามารถทำงานร่วมกันได้เหมือนหน่วยหนึ่งของสิ่งมีชีวิต ซึ่งถ้าคิดตามนั้นมันก็ยังเป็นแค่กลุ่มพลังงานไม่ใช่ผีอยู่ดี

สิ่งอธิบายอาการของเขาในตอนนี้ได้ดีที่สุดคือ Delusion หรืออาการหลงผิด ซึ่งเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่ทำให้ประสาทการรับรู้ผิดปกติเกิดอาการหูแว่ว ประสาทหลอน โดยสาเหตุหนึ่งมาจากการพักผ่อนน้อยหรือความเครียดสะสม

และช่วงนี้เขาเข้าเคสผ่าตัดทั้งเล็กใหญ่ข้ามวันข้ามคืนต่อด้วยออกตรวจ OPD ตอนเช้าประกอบกับต้องเร่งทำวิจัยที่ต้องส่งเพื่อให้เรียนจบ ทำให้เฉลี่ยแล้วในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีเวลานอนติดต่อกันมากสุดก็ไม่เกินสามชั่วโมงต่อวัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สารสื่อประสาทในร่างกายหรือการผลิตฮอร์โมนจะมีผิดเพี้ยนไปบ้าง

นรกรกะพริบตาถี่ๆ หลายต่อหลายครั้งเพื่อปรับโฟกัสภาพให้ชัดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดเพลงในเพลย์ลิสและเสียบหูฟังก่อนจะเร่งเสียงขึ้นจนสุด มันเป็นวิธีบรรเทาความเครียดที่ใช้ได้ผลดีเสมอโดยเฉพาะบทเพลงของบีโธเฟนที่กล่อมให้เขาหลับได้ตั้งแต่อินโทรท่อนแรก

“ผีมีจริงที่ไหนกัน”

“มีจริงสิครับ ก็ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ไง”

เสียงทุ้มเดิมที่ดังสวนกลับมาทันทีบอกให้รู้ว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล

“โห นี่เปิดเพลงดังซะขนาดนั้นไม่กลัวหูพังเหรอครับคุณหมอ”

นรกรเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นพาดบ่า ใส่รองเท้าลวกๆ โดยไม่ผูกเชือกและรีบเร่งฝีเท้าเพื่อกลับไปให้ถึงหอ ในหัวคิดอยู่เรื่องเดียวคือต้องไปนอน เขาต้องหลับสักตื่นเพื่อปรับการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ

ทว่า เสียงนั้นยังคงตามติดมาไม่เลิกราวกับมันเป็นเงาของตัวเองที่ต่อให้วิ่งเร็วเท่าใดก็ไม่มีวันหนีพ้น เขามาหยุดยืนที่หน้าลิฟต์และทั้งที่มันจอดอยู่ถัดขึ้นไปอีกแค่สามชั้นแต่กลับเคลื่อนที่ลงมาได้เชื่องช้าเสียเหลือเกิน

เขากระแทกนิ้วซ้ำๆ ลงบนปุ่มกดแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น

“เร็วๆ สิ”

“ใจเย็นๆ สิคุณเขาก็ติดป้ายไว้ทนโท่ว่ากดลิฟต์ครั้งละสิบบาท ไม่ช่วยชาติประหยัดเลยคอยดูนะผมจะฟ้องท่านนายก”

มือกำสายกระเป๋าแน่นจนชื้นเหงื่อ นัยน์ตาหลังกรอบแว่นเหลือบมองบันไดที่อยู่ติดกันตอนนี้เขาอยู่ชั้นสามจะวิ่งลงก็ใช่ว่าจะไม่ไหว แต่ว่า...

ระหว่างลิฟต์กับบันไดถ้าต้องเลือก

“นอ...ระ...กอน... ง่า... ชื่อคุณหมอนี่สะกดง่ายแต่อ่านยากชะมัด ไม่มีสระแบบนี้สงสัยจะเกิดวันจันทร์ นี่ๆ ตกลงผมอ่านถูกป่าว”

นรกรมองขั้นบันไดที่ทอดยาวสู่ชั้นล่างก่อนจะกลืนน้ำลาย ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้วแม้ลิฟต์เพิ่งจะมาหยุดลงตรงหน้าแล้วเลื่อนเปิดออก เขาหันหลังให้และกระโดดลงบันไดทีละสองขั้น

“อ้าว เดี๋ยวสิครับคุณหมอ จะรีบไปไหนล่ะรอผมด้วย”

เขาหลับหูหลับตาวิ่งลัดสนามหญ้ามาจนถึงหอพักแพทย์หากเสียงนั้นยังคงตามมาหลอกหลอนเหมือนเทปที่เล่นวนซ้ำไปซ้ำมา

“คุณหมอออ”

เสียงนั้นแทบจะร้องเป็นเพลงแข่งกับเสียงนักร้อง

นรกรรีบไขกุญแจเปิดประตูห้องพักไม่ต้องถามถึงเรื่องเปิดไฟเพราะเขากระโจนลงเตียงทั้งที่ยังไม่ได้ถอดรองเท้าด้วยซ้ำ คว่ำหน้าซุกกับเตียงเอาหมอนปิดหัวทับหูฟังอีกชั้น พยายามปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับท่วงทำนองที่ขับกล่อมอยู่ข้างหู

‘เราไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น’

นรกรท่องคำนี้ซ้ำไปซ้ำมาราวกับมันเป็นบทสวดก่อนผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าในที่สุด


(มีต่อ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 1 (ต่อ)

คนเกิดวันเสาร์เป็นคนดวงแข็ง

นี่เป็นข้ออ้างสุดท้ายที่นรกรใช้เป็นเหตุผลให้ตัวเองเพื่อหลีกหนีจากสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ แต่เชื่อเถอะ! ไม่ว่าตอนนี้จะสักกี่ร้อยตำรา พันทฤษฎีบท หมื่นตรรกะก็ไม่มีอะไรจะมาอธิบาย ‘ร่างโปร่งแสง’ ที่เดินหรือลอย... ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันตามเขาที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังห้องตรวจผู้ป่วยนอกนี่ได้เลย

เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะแสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ที่แยงผ่านผ้าม่านสีชมพูตุ่นเข้ามา รู้สึกสดชื่นที่ได้นอนหลับเต็มตื่น ภาพที่พร่าเลือนเพราะไม่ได้สวมแว่นทำให้เห็นเพียงเงาเลือนรางของใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่าง

บางทีคงเป็นรูมเมทละมั้ง... คิดเช่นนั้นก่อนร่างโปร่งลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวเดินโผเผเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาเตรียมไปทำงาน แต่ทันทีที่น้ำเย็นจากก๊อกสัมผัสหน้าสมองก็ตื่นพอที่จะประมวลผลว่า ‘เขาไม่มีรูมเมท’

   นรกรวิ่งพรวดออกมาทั้งที่หยดน้ำยังเกาะพราวเต็มหน้า เขาควานหาแว่นตามาสวมเพื่อมองดูภาพพร่าเลือนนั้นให้ชัด และนั่นก็ยิ่งชัดเจน

‘คุณมาอยู่ในห้องผมได้ยังไง!’

แขกผู้ไม่ได้รับเชิญคลี่ยิ้มพร้อมกับสืบเท้าเข้าหา เขาถอยจนหลังติดกำแพง มันยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อเห็นเขาสิ้นหนทางหนีและยื่นใบหน้าที่โปร่งใสราวกับผิวไข่มุกเข้ามาใกล้ ‘สวัสดีครับคุณหมอ ตกลงคุณหมอเห็นผมจริงๆ ใช่ไหม’

   หลังจากเสียเวลาทำความเข้าใจกันอยู่นานสองนานทั้งอาบน้ำล้างหน้าใหม่ ตบหน้าตัวเองแรงๆ ซัดกาแฟดำ หรือแม้กระทั่งเปิดหน้าต่างห้องทุกบานให้แสงสาดส่องเข้ามา แต่ความสว่างก็เพียงแค่ทำให้ร่างนั้นดูจางลงหาได้หายไปในแสงอาทิตย์ไม่
และในที่สุดเพื่อไม่ให้ตัวเองไปทำงานสาย เขาจึง ‘จำใจ’ ยอมให้ ‘เจ้าสิ่งนั้น’ ตามมา

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นลอบมองเป็นระยะ “คุณเป็นอะไร”

“เป็นคำถามที่ใจร้ายจัง อย่างน้อยคุณควรถามว่าผมเป็น ‘ใคร’ ไม่ใช่ ‘อะไร’ นะครับ” ร่างโปร่งแสงยอกย้อนกลับมา

นรกรไม่มีทางเลือกนอกจากถามใหม่ “ตกลงคุณเป็นใครครับแล้วต้องการอะไรจากผม” นักเรียนแพทย์ที่เดินสวนไปหันมามองทำให้เขาต้องรีบควานหาหูฟังในกระเป๋าขึ้นมาสวมแสร้งทำเป็นคุยโทรศัพท์กับใครสักคน

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

คำตอบที่เกือบๆ จะไร้ความรับผิดชอบทำเอาคุณหมอหนุ่มหยุดฝีเท้าและหันควับไปทันที

“ก็ผมไม่รู้จริงๆ นี่นา” ร่างโปร่งแสงก็หยุดเช่นกัน เขาไหวไหล่ครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเริ่มออกเดินไปด้วยกันอีกครั้ง “รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว อย่าว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับผมเลย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร พูดกับใครก็ไม่มีใครได้ยินแล้วผมก็เริ่มคิดได้ว่าตัวเองคงเป็น ‘ผี’... ก็โอเค ตายก็ตาย ก็คงต้องไปเกิดใหม่ ผมก็มองหาป้ายบอกทางไปตึกสูติฯ พยายามไปเข้าสิงคนท้องแต่ก็ทำไม่ได้เพราะทารกทุกคนมีวิญญาณจับจองหมดแล้ว จะให้ไปนรกหรือสวรรค์ก็ไม่เห็นมีแผนที่ สิ่งเดียวที่ผมเห็นว่าใกล้เคียงที่สุดคือห้องดับจิตซึ่งผมก็ลองแวะไปมาแล้วเหมือนกัน”

“แล้วผลเป็นยังไง”

“หนาวเป็นบ้าเลย แถมยังมีแต่ศพน่ากลัว ผมเลยรีบเผ่นออกมา”

“แล้วทำไมคุณไม่ถามวิญญาณคนอื่นๆ ล่ะ ว่าต้องทำยังไง”

“ไม่มีใครคุยกับผม คือ... ฟังนะ ผมพยายามแล้วจริงๆ แต่ไม่สำเร็จ คุณนึกออกไหม ตอนนี้ผมเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ที่แม้แต่วิญญาณยังไม่พูดด้วย ยมบาลก็ไม่มารับหรือเขาอาจจะเอาผมมาปล่อยทิ้งไว้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน หลงไปวนมาอยู่นานแค่ไหนก็จำไม่ได้จนมาเจอคุณนี่แหละที่มองเห็นและคุยกับผมได้เป็นคนแรก ผมงี้โคตรดีใจเลย”

“มิน่าล่ะ ถึงได้จ้อไม่หยุดเลยที่แท้ก็เก็บกดนี่เอง” นรกรพึมพำกับตัวเอง “ก็เลยมาตามติดหนึบเพื่อให้ผมช่วยใช่ไหม”

“จะว่างั้นก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกช่วยก็ไม่เป็นไร ผมขอแค่ให้คุณอยู่เป็นเพื่อนคุยจนกว่าผมจะรู้ว่าต้องทำยังไงถึงไปสู่สุขคติก็ได้”

“ขอโทษนะแต่ผมเป็นหมอรักษาคนไม่ใช่หมอผี คุณไปหาพวกร่างทรงอะไรแบบนั้นดีกว่าไหม”

“พวกเขาอยู่ที่ไหนล่ะ คุณช่วยพาผมไปหน่อยสิ”

“คุณก็ลองทำแบบในหนังที่ แว้บ... หายตัวหรืออะไรแบบนั้นไม่ได้เหรอ”

ร่างโปร่งแสงส่ายหน้าดิก “ก็บอกแล้วไง ว่าผมลองพยายามแล้วไม่งั้นผมจะมาเดินตามคุณต้อยๆ ให้เมื่อยตุ้มแบบนี้เหรอ”

นรกรถอนหายใจ “ก็ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้เพราะผมต้องทำงาน” พลางพยักเพยิดไปทางป้ายหน้าแผนกตรวจโรคผู้ป่วยนอกที่เขียนว่า ‘แผนกศัลยกรรมประสาทและสมอง’ ที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน พยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลที่หน้าเคาน์เตอร์กำลังวุ่นวายช่วยกันลงทะเบียน จัดคิวผู้ป่วยและวัดสัญญาณชีพ น้ำหนัก ส่วนสูงเตรียมพร้อมเพื่อรอให้หมอตรวจ

“งั้นผมไปด้วย” บอกอย่างกระตืนรือร้น

“ไม่ได้”

“ทำไมละครับ”

“เพราะคุณกำลังละเมิดสิทธิ์ผู้ป่วยโดยการเข้าไปแอบฟังน่ะสิ”

“ผมเป็นผีนะ ผมจะทำอะไรได้” ร่างโปร่งแสงโอดครวญ “ขอผมเข้าไปด้วยนะๆ ผมจะนั่งเฉยๆ เป็นกุมารทองเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน แถมไม่ต้องบนน้ำแดงด้วยเพราะผมกินไม่ได้... คุณอย่าทิ้งผมไว้ข้างนอกเลยนะ นะ น้า~”

“ทำไม” ถามอย่างเหนื่อยหน่ายจะต่อกร ตอนนี้เก้าอี้หน้าห้องรอตรวจของเขามีคนไข้นั่งเต็มจนต้องยืนต่อคิว และวันนี้เขาก็มีคนไข้ที่นัดไว้ 50คน นั่นยังไม่รวมคนที่มาไม่ตรงวันนัด คนไข้ใหม่ที่ไม่ได้นัดซึ่งต้องตรวจให้เสร็จก่อนไปเข้าเคสผ่าตัดตอนบ่ายโมงตรง

“ผมไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว... ผมเหงา”

แววตาเศร้าสร้อยกับเสียงชวนหดหู่ซึ่งไม่ได้เสแสร้งทำให้ใจที่แข็งเป็นหินยอมเอื้อมมือไปเลื่อนประตูห้องตรวจเปิดออกพร้อมกับพยักเพยิด ร่างโปร่งแสงยิ้มแก้มแทบปริและรีบผลุบเข้าไปเมื่อร่างสูงในชุดกาวน์สั้นเดินงุ่นง่านมาตามทางเดิน

หมอแต่ละสาขาจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคล้ายๆ กับเป็นยีนเด่นของวงศ์ตระกูล และสำหรับครอบครัวศัลยกรรมคือขนาดตัว ถ้าไม่ขึ้นไปทางความสูงก็ออกไปทางความกว้าง นิสัยค่อนข้างดิบ เซอร์ไปจนถึงเถื่อนมากถึงมากที่สุด และวินทร์ก็เก็บรายละเอียดทุกอย่างนั้นมาจนครบถ้วน เขามีหุ่นขนาดน้องๆ หมี ไม่ได้อ้วนแต่สูงใหญ่ ไหล่กว้าง เอวสอบ ผมรองทรงยาวระต้นคอ ใบหน้าคมอุดมด้วยไรหนวดเขียวครึ้มตลอดเวลาจากการเข้าเคสผ่าตัดเป็นเวลานานทำให้ไม่มีเวลาโกนจนใครๆ พากันแซวว่านั่นน่าจะเป็นตะไคร่น้ำเกาะคางมากกว่าแต่เจ้าตัวก็ยังแถจนตกคลองไปได้ว่ามันเป็นสไตล์ของเขาที่ไม่คิดจะโกนทิ้งง่ายๆ

และถ้าวินทร์เป็นยีนเด่น นรกรก็คงเป็นยีนด้อย ถึงจะสูงพอๆ กันแต่ก็ผอมบางจนดูเก้งก้าง ผิวขาวจัดเพราะแทบไม่เคยโดนแดด อันที่จริงนอกจากแสงไฟนีออนกับไฟดวงกลมในห้องผ่าตัดแล้วก็คงมีแค่แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์เท่านั้นที่ตกกระทบผิว ประกอบกับแว่นตาหนาเตอะและผมสีอ่อนที่ยาวปรกหน้าทำให้เขาดูเหมือนนักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลองมากกว่าจะเป็นหมอ

ร่างสูงเท้าแขนลงบนกรอบประตูพลางยกมือขึ้นปิดปากหาวก่อนจะเการักแร้แล้วยกขึ้นดมทำจมูกฟุดฟิดอย่างไม่อายสายตาเจ้าหน้าที่และคนไข้ที่นั่งรอเต็มหน้าห้องตรวจ “ว่าไงฮาร์ฟ เมื่อคืนหลับสบายไหม”

“ครับพี่วินทร์”

“คงจะสบาย วันนี้ไม่พกแพนด้าน้อยมาทำงานด้วย” ไม่พูดเปล่าคนอายุมากกว่ายังถือวิสาสะเอื้อมมือมาใช้ปลายนิ้วโป้งไล้เบาๆ ที่ใต้ขอบตาก่อนจะช่วยจัดแว่นตาวางให้ได้ตำแหน่ง “ขี้ตาติดอยู่น่ะ” แกล้งพูดไปอย่างนั้นทั้งที่จริงไม่มีอะไรติดอยู่สักนิด

“ขอบคุณครับ” ตอบอย่างไม่ใส่กับสกินชิพแปลกๆ พร้อมกับหมุนตัวเพื่อเข้าห้องเมื่อมือใหญ่เอื้อมมารั้งสายหูฟังข้างหนึ่งไปจ่อที่ข้างหูตัวเอง

“ไม่ได้เปิดเพลงแล้วใส่หูฟังทำไม”

นรกรเหลือบมองร่างโปร่งแสงที่อยู่หลังประตูอึดใจ “เอ่อ... เปล่า... คือเพลงมันจบพอดี”

“เหรอ” น้ำเสียงคล้ายไม่เชื่อทั้งที่อมยิ้มน้อยๆ แทบไม่มีเวลาไหนที่จะไม่เห็นนรกรเสียบหูฟังจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าตัวกำลังฟังอะไรอยู่หรือแค่เสียบไว้เฉยๆ เพราะโลกส่วนตัวสูงไม่อยากคุยกับคนอื่น “วันหลังขอฉันฟังบ้างสิว่านายฟังเพลงอะไร”

“ก็แค่เพลงน่าเบื่อน่ะครับ”

“ก็แค่อยากฟัง” วินทร์ยิ้มมุมปากก่อนจะเสียบหูฟังคืนให้และเดินเข้าไปในห้องตรวจที่อยู่ติดกัน

“ดีจัง” ร่างโปร่งแสงที่ตอนนี้ยึดเก้าอี้ว่างตรงมุมห้องซึ่งมีไว้เผื่อนักศึกษาแพทย์เข้ามาสังเกตการณ์พูดขึ้น

ทีแรกนรกรคิดว่าการที่ ‘เจ้าสิ่งที่ตามเขามา’ จะทำให้บรรยากาศรอบตัวดูอึมครึมและรู้สึกเย็นลงตามข้อมูลที่อ่านเจอมาในอินเตอร์เน็ตระหว่างเข้าห้องน้ำ แต่กลับกันนอกจากจะไม่รู้สึกเย็นเขายังรู้สึกว่าตรงจุดที่ร่างโปร่งแสงนั่นนั่งอยู่คล้ายกับดูสว่างเรืองๆ ขึ้นนิดหน่อย เหมือนแสงที่ตกกระทบผ่านปริซึมแต่แทนที่จะแยกออกเป็นเฉดสีรุ้งกลับออกมาเป็นรูปร่างมนุษย์

“อะไร”

“ก็พวกคุณดูสนิทสนมกันดีนี่ เรียกชื่อเล่นด้วย ผมเองก็อยากสนิทกับคุณแบบนั้นบ้างจัง ไม่อยากเรียกคุณๆ แบบนี้เลย”

“ก็เรียกสิ ไม่ได้จดลิขสิทธิ์สักหน่อย แค่ชื่อแปลกๆ เอง”

“แปลกตรงไหน ผมว่าชื่อคุณเพราะดีออก”

เจ้าของชื่อนิ่งขึงไปอึดใจ ฝ่ามือที่กำลังพลิกหน้าแฟ้มผู้ป่วยชะงักค้าง นัยน์ตาหลังกรอบแว่นเหลือบขึ้นมองป้ายชื่อตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะ

“นรกร... ตั้งแต่จำความได้ผมพยายามเปิดตำราเพื่อหาความหมายของมัน และสิ่งที่ผมค้นพบคือมันไม่มีความหมาย ต่อให้พยายามแยกคำ รากศัพท์ของมันคือ ‘นรก’ กับ ‘กร’ คุณคงไม่ต้องให้ผมรวมให้ฟังใช่ไหมว่ามันแปลว่าอะไร ส่วนชื่อเล่น ฮาร์ฟ แปลว่าครึ่ง... ครึ่งอะไรดีล่ะ อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ไหวไหล่ครั้งหนึ่ง นั่นคือความพยายามอย่างที่สุดแล้วนอกเหนือจากการเฝ้าถามพ่อกับแม่ที่ยืนยันคำเดิมว่าให้ค้นหามันด้วยตัวเอง

“ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้นี่ครับ” ร่างโปร่งแสงไหวไหล่ แม้จะไม่เหลือความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับตัวเองบนโลกแม้แต่ชื่อ แต่เขาก็ไม่คิดว่าคนที่แปลชื่อตัวเองว่า ‘นรก’ จะมีความทรงจำที่ดีกับมันหรือคนที่ตั้งมันสักเท่าไหร่ “บางสิ่งก็ไม่จำเป็นต้องมีความหมาย แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่ ‘เกิด’ ขึ้นมาแล้วย่อมดี เหมือนกับการที่เราได้พบกันไง”

“จริงเหรอ” คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย เสี้ยววินาทีหนึ่งที่เหมือนหัวใจได้รับการปลอบประโลม แล้วก็นึกขันเล็กๆ ว่าทำไมจู่ๆ ก็เอ่ยหนึ่งในเรื่องที่อยู่ลึกสุดในหัวใจให้คนแปลกหน้าฟังได้ง่ายดาย ขนาดวินทร์ที่ทำงานด้วยกันมาห้าปียังไม่รู้เลยแท้ๆ หรือบางทีอาจเป็นเพราะมันเหมือนเขากำลังพูดอยู่กับตัวเองมากกว่าจะเป็นคนอื่น

“จริงสิ หมอฮาร์ฟ”

“เรียกฮาร์ฟเฉยๆ ก็พอ”

“ฮาร์ฟฟฟ~”

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นเหลือบมองยิ้มหวานที่แถมมากับเสียงกังวานใส นรกรส่ายศีรษะเบาๆ ครั้งหนึ่งพลางเปิดแฟ้มในมืออีกครั้งก่อนจะนั่งหลังโต๊ะตรวจและเริ่มต้นเรียกคนไข้คิวแรกให้เข้ามา

“หมอฮาร์ฟสวัสดีค่ะ” เสียงหวานเจื้อยแจ้วดังมาก่อนจะเห็นตัว ลลินเป็นเด็กสาวอายุ18ปีแต่ตัวเล็กและหน้าอ่อนกว่าวัยเหมือนเด็กประถมจากการมีก้อนเนื้องอกไปกดการทำงานของสมองส่วนหน้าซึ่งมีหน้าที่ผลิต Growth Hormone ที่ควบคุมการเจริญเติบโต

“สวัสดีครับ วันนี้มาแอดมิทเตรียมผ่าตัดพรุ่งนี้นะ”

“ค่ะ” ลลินพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น เธอเป็นคนไข้ในความดูแลของเขาตั้งแต่เรียนแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งและเป็นเพียงคนเดียวที่ยังคงมาตรวจตามนัดสม่ำเสมอไม่เคยหนีไปไหนไม่ว่าจะทั้งในแง่ของตายจากหรือหายดี

เขายังจำได้เสมอวันที่เจอกันครั้งแรกเธอตัวเล็กกว่านี้เกือบครึ่ง นั่งจับเข่าขัดสมาธิอยู่บนเตียงเอาแต่เหม่อมองไปนอกหน้าต่างทว่าพอเขาถามว่ามองอะไรก็กลับหันมาพูดจ้อไม่หยุด

‘มองพระจันทร์ค่ะ หนูชื่อลลินแปลว่าพระจันทร์... พระจันทร์เต็มดวงโต๊โตด้วยนะคะไม่ใช่จันทร์เสี้ยวเล็กๆ’

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันพลางเหลือบมองท้องฟ้าที่พระอาทิตย์ยังคงส่องกระจ่าง

‘คุณหมอนรกรจะมาเป็นหมอคนใหม่ที่ดูแลหนูแทนหมอนิรมลที่จบไปแล้วใช่ไหม คุณหมอชื่อแปลกจังแปลว่าอะไรคะ’

เพราะเป็นคนคุยไม่เก่งซ้ำยังไม่รู้ความหมายของชื่อตัวเองจึงตอบไปเพียงสั้นๆ ‘เรียกหมอฮาร์ฟก็ได้ครับ’

แล้วเธอก็ยิ้มกว้างให้เขา ยิ้มประหนึ่งพระจันทร์ข้างขึ้นบนท้องฟ้าและยังคงเป็นเช่นนี้ตลอดห้าปีแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอาการของตัวเองนั้นมีแต่ทรงกับทรุด

การตรวจเป็นไปอย่างเรียบร้อย ร่างโปร่งแสงนั้นทำตามสัญญาอย่างเคร่งครัดแม้แต่ตอนที่เขาขอให้คนไข้ถอดเสื้อเพื่อฟังเสียงปอดก็ยังอุตส่าห์หันหลังให้แม้จะเป็นผู้ชาย แต่บางทีก็เข้ามาด้อมๆ มองๆ จ้องดูวิธีการที่ใช้ตรวจเส้นประสาทต่างๆ อย่างสนอกสนใจจนเขาเกือบจะเผลอหันไปเรียกมาสอนหลายต่อหลายครั้งเพราะคิดว่าเป็นนักศึกษาแพทย์จริงๆ มานั่งดู

คนไข้คนสุดท้ายกลับออกไปนรกรจึงได้มีโอกาสเอนหลังพิงพนักเก้าเพื่อพักช่วงสั้นๆ พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอ่านข้อมูลที่หาค้างไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า

“คุณหมอยังไม่กลับเหรอครับ ได้เวลาปิด OPDแล้วนะ” พยาบาลหนุ่มคนหนึ่งเยี่ยมหน้าเข้ามาบอก

“อีกสักครู่นะครับ” คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน ทำงานที่นี่มาห้าปีแต่เขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อน

“อธิษฐ์” เสียงพึมพำดังแทรกมาจากเก้าอี้ด้านหลังราวกับจะตอบคำถามในหัว

เหลียวดูร่างโปร่งแสงอึดใจก่อนจะหันมาสบคนในชุดขาวที่ยังคงยืนอยู่ เพื่อเป็นการเช็กให้แน่ใจนรกรจึงเอ่ยปากถาม “คุณเพิ่งมาใหม่เหรอครับ ทำไมผมไม่คุ้นหน้าคุณเลยล่ะ”

“เปล่าครับ” พยาบาลหนุ่มตอบ “ปกติผมทำงานอยู่วอร์ดอายุรกรรมหกวันนี้แค่มาแทนเพื่อนที่ป่วยน่ะครับ หมอจะเรียกโปรดก็ได้”

“แล้วชื่อจริงล่ะครับ”

พยาบาลหนุ่มเหลือบมองหน้าอกตนที่วันนี้ลืมติดป้ายชื่อมา “อธิษฐ์ครับ”

“อาทิตย์?” นรกรถามย้ำให้แน่ใจ

“ไม่ใช่ครับ... อธิษฐ์ ที่มาคำว่าอธิษฐานครับ”

“ถึงได้ชื่อโปรดสินะ”

“ครับ”

“เดี๋ยวผมขอดูประวัติคนไข้อีกแป๊บนะครับ”

“หมอศัลย์นี่ขยันกันทุกคนเลยนะครับ” อธิษฐ์บอก “เมื่อกี้ผมไปหาหมอวินทร์มาก็พูดแบบนี้เลย”

ทันที่ผู้ชายคนนั้นกลับออกไปนรกรก็หันควับไปหาคนข้างหลัง “คุณรู้จักเขาเหรอ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน!” แม้แต่ผีเองก็ยังตกใจตัวเองไม่น้อย “จู่ๆ ชื่อของเขาก็ผุดขึ้นมาในหัว จริงนะๆ หรือว่าผมจะรู้จักเขาและบางทีเขาอาจจะรู้จักผมก็ได้นะ เราลองไปถามเขาดูไหม”

“คุณชื่ออะไรยังไม่รู้แล้วจู่ๆ จะให้ผมเดินดุ่มๆ ไปถามเขาว่าอะไรล่ะ”

“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ โอยยย ช่วยกันคิดหน่อยสิคุณ ผมร้อนใจอะ”

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นเหลือบลงมองโทรศัพท์ในมืออีกครั้ง มันตวัดไปมาได้รวดเร็วพอๆ กับนิ้วเรียวที่สไลด์ไปบนหน้าจอก่อนจะสรุปบทความยาวเหยียดที่เพิ่งค้นหาได้ให้ฟัง “ผมว่าเราต้องพาคุณไปหาผู้มีสื่อกับวิญญาณ... เรียกง่ายๆ ก็หมอผีนั่นแหละ”

“แล้วเราจะไปหาที่ไหน”

“ไม่รู้” นรกรตอบสั้นๆ

ร่างโปร่งแสงหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยก่อนจะถอยไปนั่งลงบนเก้าอี้เฝ้าดูคุณหมอหนุ่มที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาดูโทรศัพท์และไม่พูดอะไรอีกก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆ อย่างสิ้นหวัง

ให้ตายสิ! นี่เขาเป็นใครกันแน่ แล้วทำไมถึงต้องมาติดแหงกอยู่ที่โรงพยาบาลบ้านี่ด้วย

คิดด้วยความท้อแท้เมื่อเสียงทุ้มกระซิบขึ้นจากคนที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่เป็นนานจนเขาต้องลุกขึ้นไปเกาะขอบโต๊ะเพื่อฟังใกล้ๆ ให้แน่ใจ

“อทิฏฐ์”

“คุณว่าอะไรนะครับ”

“ชื่อคุณไง” นรกรพูดซ้ำอีกครั้งพร้อมกับกดแป้นพิมพ์และหันหน้าจอโทรศัพท์ให้ดู “ก็คุณไม่รู้ว่าตัวเองชื่ออะไรจะให้เรียกคุณๆ แบบนี้ก็แปลกๆ ใช่ไหมล่ะ งั้นก็ใช้ชื่อเดียวกับชื่อแรกที่นึกออกไปละกัน แต่ผมกลัวจะซ้ำเพราะฉะนั้นชื่อของคุณจะสะกดด้วย ‘ฏ’ กับ ‘ฐ’ การันต์แปลว่าผู้มองไม่เห็น แบบนี้โอเคไหม”

เขามองคนตรงหน้าอย่างซึ้งใจ ภายใต้ท่าทีที่เหมือนไม่แยแสแต่กลับใส่ใจแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแบบนี้  “ขอบคุณนะครับ”

“เป็นแค่ผีไม่ต้องยิ้มขนาดนั้นก็ได้” นรกรพ่นลมออกจมูกอย่างนึกขันกับท่าทางที่เหมือนเด็กเล็กๆ ได้ของเล่นถูกใจ

“แต่อทิฏฐ์ มันเรียกยากอะคุณ มีชื่อจริงแล้วก็ต้องมีชื่อเล่นสิ”

“ก็ทิดไง”

“หูย ชื่อจริงออกเพราะไหงชื่อเล่นบ้านนอกจัง ไม่เอาอะเอาชื่ออื่น”
“ไม่รู้ คิดไม่ออกแล้ว ไม่ชอบก็คิดเองสิ”

“คนไข้หมดแล้วไปกินข้าวกันเถอะฮาร์ฟ” เสียงของวินทร์ดังขึ้นขัดจังหวะพร้อมกับที่เจ้าของเสียงปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู

นรกรปิดหน้าจอโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋าในขณะที่อทิฏฐ์ถอยหลังไปนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม “ขอบคุณที่ชวนครับพี่วินทร์ แต่ผมอยากไปห้องสมุดมากกว่า พอดีมีหนังสือที่อยากได้มาอ้างอิงงานวิจัยเพิ่มหน่อย”

“ห้องสมุด?” วินทร์ทวนคำพร้อมกับพลิกดูนาฬิกาข้อมือ ห้องสมุดที่ว่าอยู่แค่ชั้นบนสุดของตึกเดียวกันนี้ก็จริงทว่าโรงอาหารนั้นอยู่อีกตึก “แต่เรามีเวลาแค่สามสิบนาทีก่อนไปห้องผ่าตัดให้ทันนะ”

“ทันเหลือแหล่ครับ ผมเล็งไว้แล้วว่าจะเอาเล่มไหนบ้าง”

“ไม่เอาน่าฮาร์ฟ นายไม่จำเป็นต้องลงทุนอดหลับอดนอน ไม่กินข้าวปลาเพื่อมันขนาดนั้น แค่นี้งานวิจัยเกี่ยวกับการรักษาผู้ป่วยมะเร็งสมองของนายก็เพอร์เฟคจนไม่รู้จะเพอร์เฟคยังไงแล้ว”
“มันยังไม่พอหรอกครับ”

วินทร์ถอนหายใจเสียงดังพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก เขาไม่ใช่เพื่อนสนิทของนรกร อันที่จริงเขาแทบไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันมากไปกว่าเป็นแพทย์ประจำบ้านร่วมรุ่นที่มีอยู่แค่สามคน และเขาก็ไม่ได้รู้รายละเอียดเรื่องที่นรกรมีปัญหากับพ่อและแม่ซึ่งเป็นอาจารย์แพทย์ด้านศัลยกรรมประสาทและสมองชื่อดังมากไปกว่าเสียงซุบซิบนินทาของคนอื่นๆ จนควรสอดปากสอดคำ แต่เขาปล่อยให้คนตรงหน้าทำร้ายสุขภาพตัวเองมากไปกว่านี้ไม่ได้
“ฟังนะฮาร์ฟ นายไม่จำเป็นต้องทำเพราะ ‘เขา’ ไม่ใช่กรรมการ และเขาไม่มีทางมาร่วมฟังผลงานวิจัยของนายต่อให้มันดีเลิศเลอแค่ไหน นายก็รู้นี่ว่านายไม่มีวันเรียกร้องความสนใจเขาด้วยวิธีนี้ได้”

นรกรหันควับมาทันที ทุกคำที่วินทร์พูดไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่แต่มันแทงใจดำเขาจนจุกอกไปหมด “ผมไม่ได้ทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากใคร ผมแค่อยากทำให้มันออกมาดีที่สุด”

   “งั้นก็ตามใจนาย อยากทำอะไรก็เชิญแต่อย่ามาถ่วงแข้งถ่วงขาฉันหรือทำอะไรผิดพลาดตอนผ่าตัด!” แล้ววินทร์เดินย่ำเท้าหนักๆ ออกไปโดยไม่หันมามองซ้ำสอง

   “ขอโทษนะครับผมไม่ได้ตั้งใจฟังแต่ถ้าคุณอยากระบายผมว่าผมเป็นนักฟังที่ดีพอนะ” ร่างโปร่งแสงเอ่ยขึ้นเบาๆ รู้ทันทีว่าไปได้ยินกับระเบิดในใจที่ไม่สมควรเข้าเสียแล้ว

   นรกรเม้มปากจนเป็นเส้นบางก่อนจะพูดอีกครั้งถึงริมฝีปากจะไม่สั่นแต่น่าแปลกที่เสียงทุ้มนั้นกลับไม่หนักแน่นและชัดเจนเหมือนอย่างเคย “ช่วยตามมาเงียบๆ ระหว่างผมไปเอาหนังสือ หรือไม่ก็ไปรอที่ห้องผ่าตัดได้ไหมครับ”

   “ผมเลือกข้อแรก”

oooooo

   เพราะสองมือที่หอบหิ้วตำราทางการแพทย์เล่มหนาที่ซ้อนกันสูง
เกือบถึงคางทำให้ร่างโปร่งในชุดกาวน์สั้นต้องใช้หลังดันประตูเปิดออกก่อนจะดันตัวเองผ่านเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างยากเย็น นัยน์ตาหลังกรอบแว่นกวาดมองไปรอบห้องซึ่งว่างเปล่าก่อนจะเหลือบตามองนาฬิกาติดผนังแล้วผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก เขายังเหลือเวลาอีกห้านาทีเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและวิ่งไปห้องผ่าตัด

นรกรกำลังจะเดินเอาหนังสือไปเก็บเมื่อท้องเริ่มร้องเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงนอกจากน้ำเปล่าตั้งแต่เมื่อวานเย็น รู้สึกตัวเบาโหวงจนเซไปข้างหน้านิดๆ จึงเอาศีรษะพิงกับผนัง

“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ” อทิฏฐ์กระซิบถาม

“หน้ามืดนิดหน่อย สงสัยน้ำตาลจะต่ำน่ะ” พยายามยืนให้ตรงและเดินไปให้ถึงตู้ล็อกเกอร์เมื่อเสียงทุ้มที่เกือบจะดุดังขึ้นข้างหลัง

“ฮาร์ฟ!”

ร่างโปร่งออกสะดุ้งเล็กน้อยและหันไปตามเสียงเห็นวินทร์ซึ่งเปลี่ยนชุดเรียบร้อยยืนอยู่ที่กรอบประตูซึ่งเชื่อมกับทางเดินไปห้องผ่าตัดในมือถือแซนวิซคู่หนึ่งยื่นมาตรงหน้า

“กินซะ!”

   นัยน์ตาหลังกรอบแว่นมองร่างสูงในชุดหมีสลับกับขนมปังในมือ ถึงจะเสียงดังแต่มันไม่ได้เจือความโกรธและฟังดูเกือบๆ จะเป็นการขอร้องด้วยซ้ำ

“ขอบคุณครับ” นรกรวางตั้งหนังสือในตู้ล็อกเกอร์และเดินไปรับแซนวิซมาแกะออกดู มันยังอุ่นๆ และอัดแน่นด้วยไส้ไข่หวานผสมชีสจนล้นทะลัก จริงอยู่ว่าเขาไม่ใช่คนกินยากแต่น่าแปลกที่แต่ไหนแต่ไรมาแล้วถ้าซื้ออะไรมาฝากวินทร์มักจะเลือกได้ของที่เขาชอบมาให้เสมอทั้งที่ไม่เคยบอก

“ฉันจะไปเปิดกะโหลกรอนะ นายกินเสร็จแล้วก็รีบตามไปช่วยงมหาไอ้ก้อนมะเร็งนั่นด้วยล่ะ”

   “ผล CT scanแสดงให้เห็นก้อนเนื้อที่อยู่ตรงซีรีเบลลัมติดกับก้านสมอง... ค่อนข้างลึกแล้วก็ผ่ายากมากทีเดียว”

   “เพราะฉะนั้นเราถึงต้องการนายไง ฉันทำคนเดียวไม่ได้” วินทร์ระบายยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นคนตรงหน้าเคี้ยวแซนวิซตุ้ยๆ จนแก้มโย้ไปข้าง “ฮาร์ฟ รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงซื้อขนมปังมาให้นาย”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันนึกแปลกใจที่จู่ๆ มาถามลองภูมิอะไรแบบนี้ “เพราะการย่อยสลายแป้งทำให้ได้น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวคือกลูโคสซึ่งแหล่งพลังงานเพียงชนิดเดียวที่สมองสามารถนำไปใช้ได้”

“ผิด!” ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้างขึ้นอีก วินทร์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจ้องมองคนตรงหน้าราวกับพยายามจะมองผ่านเลนส์แว่นตาหนาเตอะไปให้ถึงอะไรสักอย่างที่อยู่ข้างหลังนั่น ไม่จำเป็นต้องถึงหัวใจ เพียงแค่อยากให้รับรู้ในสิ่งที่เขากำลังพูดออกไป “มันไม่ใช่น้ำตาลแต่มันคือน้ำใจต่างหาก” พร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือช่วยเช็ดเศษขนมปังที่ติดตรงมุมปากก่อนจะกลับหลังหันเดินไปห้องผ่าตัด “รีบตามมานะพ่อนักเรียนดีเด่น”

“มันไม่ใช่น้ำตาลแต่มันคือน้ำใจ” ร่างโปร่งแสงที่เงียบฟังอยู่นานปราดเข้ามาพ่นลมใส่ข้างหูคนที่ยืนเหวอไปทันที “ไม่เสี่ยวจริงคิดไม่ได้นะมุกนี้”

“ทิด” นรกรกระซิบลอดไรฟัน “ผมยอมให้คุณเป็นผี และจะคิดหาชื่อเล่นใหม่ให้ด้วยโดยมีข้อแม้ว่า ‘หยุดพูดซะ’”

“โอเค๊~” อทิฏฐ์ทำท่ารูดซิปปิดปากฉับทั้งที่ยังกลั้นยิ้มจนหน้าขึ้นริ้วก่อนจะถอยไปยืนรอที่มุมห้อง

นรกรกัดคำขนมปังต่อไปเงียบๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าวินทร์เป็นห่วงเขามากขนาดไหน ถึงจะบริสุทธิ์ใจแต่บางทีมันก็มากเกินไปสำหรับคนอย่างเขา... มากเกินไปจนเขากลัวที่จะรับมันไว้ และไม่รู้ว่าจะต้องตอบแทนความหวังดีนั้นยังไงถึงจะคู่ควร

**********************************TBC**************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2016 20:44:41 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ยินดีด้วยที่มาเปิดเรื่องใหม่ค่ะ

รู้สึกถึงพลังลึกลับบางอย่างมาจากพี่วินทร์ที่มีต่อฮาล์ฟค่ะ
ว่าแต่พ่อแม่ฮาล์ฟคิดยังไงตั้งชื่อลูกว่านรกร?

พี่ทิดของเราเป็นวิญญาณคนเป็นหรือเปล่าคะ?
คือคนที่ยังไม่ตายแต่อยู่ในภาวะโคม่าแล้ววิญญาณก็หลุดออกจากร่างออกมา
ถึงไปไหนไม่ได้  ไม่เข้าพวกกับหมู่ที่ละสังขารไปแล้ว
คนละแบบกับวิญญาณคนเป็น (ikiryō) ตามความเชื่อของญี่ปุ่น
เรามโนเอาเล่นๆนะคะ

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 729
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
ทิดต้องเป็นเหมือนวิญญาณที่กลับเข้าร่างไม่ได้ แบบร่างกายโคม่าไรงี้ไหมนะ แล้วก็ยังเป็น นศษ.แพทย์หรือเป็นหมอด้วยรึป่าว
แล้ววินทร์นี่คิดไรกะฮาร์ฟใ9่ป่าว

รอดูต่อไป

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
ยินดีด้วยที่มาเปิดเรื่องใหม่ค่ะ

รู้สึกถึงพลังลึกลับบางอย่างมาจากพี่วินทร์ที่มีต่อฮาล์ฟค่ะ
ว่าแต่พ่อแม่ฮาล์ฟคิดยังไงตั้งชื่อลูกว่านรกร?

พี่ทิดของเราเป็นวิญญาณคนเป็นหรือเปล่าคะ?
คือคนที่ยังไม่ตายแต่อยู่ในภาวะโคม่าแล้ววิญญาณก็หลุดออกจากร่างออกมา
ถึงไปไหนไม่ได้  ไม่เข้าพวกกับหมู่ที่ละสังขารไปแล้ว
คนละแบบกับวิญญาณคนเป็น (ikiryō) ตามความเชื่อของญี่ปุ่น
เรามโนเอาเล่นๆนะคะ

นั่นน่ะสิเราก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมคั้งแบบนี้

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
ทิดต้องเป็นเหมือนวิญญาณที่กลับเข้าร่างไม่ได้ แบบร่างกายโคม่าไรงี้ไหมนะ แล้วก็ยังเป็น นศษ.แพทย์หรือเป็นหมอด้วยรึป่าว
แล้ววินทร์นี่คิดไรกะฮาร์ฟใ9่ป่าว

รอดูต่อไป
ขอบคุณค่า~ ติดตามกันไปยาวๆ นะค้า~

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 2 Anger

“เสร็จแล้วครับคุณป้า เดี๋ยวเอาแฟ้มไปคืนพยาบาลที่เคาน์เตอร์แล้วเอาใบสั่งยานี่ไปรับยาที่ห้องจ่ายยานะครับ”

“รับยาไปห้องยาแล้วถ้ารับหมอฮาร์ฟกลับบ้านนี่ต้องไปห้องไหนครับ”

นรกรเหลือบมองร่างโปร่งแสงที่ปราดเข้ามานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะตรวจทันทีที่คนไข้คนสุดท้ายลุกออกไป พอผ่านไปเกือบสัปดาห์เขาเริ่มชินแล้วกับการมีวิญญาณตามเฝ้าหรือบางทีก็ผลุบเข้าผลุบออกโดยไม่บอกกล่าว “ให้เดานะผมว่าตอนเป็นมนุษย์ถ้าคุณไม่ใช่นักพูดก็เป็นตลกคาเฟต์ หน้าตาก็ดีแต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็ช่วยพูดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ”

“นี่คุณกำลังชมผมว่าหน้าตาดีเหรอ” อทิฏฐ์ตาลุกวาวขึ้นมาทันที “ไหนๆ อธิบายให้ฟังหน่อยสิว่าผมหน้าตาเป็นยังไง” เป็นผีมาหลายเพลาหน้าตาตัวเองเป็นยังไงก็ไม่รู้ เคยพยายามทั้งส่องกระจกหรือยื่นหน้าลงไปดูตามแอ่งน้ำก็ไม่มีเงาให้เห็น

นรกรขยับแว่นและเพ่งดูร่างตรงหน้า “ไม่รู้สิ บอกตามตรงนะผมก็เห็นหน้าคุณไม่ชัดหรอก แค่เห็นเป็นเงาลางๆ คล้ายๆ ภาพสเกตซ์น่ะ หน้ารูปไข่ ตาเรียว คิ้วหนา ปากกระจับไว้ผมรองทรง”

“คุณกำลังอำผีเล่นใช่ไหมเนี่ย” อทิฏฐ์แยกเขี้ยวใส่พลางชี้ไปที่ปฏิทินตั้งโต๊ะซึ่งนายแบบคนนั้นตรงตามรูปพรรณสัณฐานที่ว่ามาทุกอย่าง

“นี่อุตส่าห์ชมว่าหน้าเหมือนณเดชเลยนะยังไม่ดีใจอีกเหรอ”

อทิฏฐ์ทำหน้าหงิกและเท้าคางลงบนโต๊ะ “ถ้าเป็นตอนปกติคงดีใจมั้ง แต่ตอนนี้ไม่เลยสักนิด เอาจริงๆ นะผมแค่อยากรู้ว่าตัวเองเป็นใครจะพิการหน้าตาอัปลักษณ์ยังไงก็ได้อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลย”

จริงๆ แล้วนรกรไม่ได้โกหกเลยแต่ถ้าคนตรงหน้าจะคิดแบบนั้นเขาก็ขอตามน้ำแกล้งเล่นอีกสักนิดละกัน “ไหนลองยืนขึ้นสิแล้วก็กางแขนสองข้างออก”

ถึงจะงงๆ แต่อทฏิฐ์ก็ยอมทำตามก่อนจะตบมือฉาด “เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งพูดนะ ผมรู้แล้วว่าคุณจะมามุกไหน คุณกำลังจะใช้ Golden Ratio มาวัดความหล่อให้ผมใช่ไหม ต้องใช่แน่ๆ เอาล่ะคิดเสร็จแล้วก็บอกมาว่าผมหล่อแค่ไหน” พร้อมกับกอดอกยักคิ้วใส่มั่นใจในทฤษฎีและเบ้าหน้าของตัวเองสุดฤทธิ์

“เสียใจด้วยนะเพราะผมเป็นหมอไม่ใช่นักคณิตศาสตร์” นรกรว่า “ผมรู้จักดาวินชี รู้ว่าค่าฟีเท่ากับ 1.618 แต่ผมไม่ได้ว่างพอมาจะนั่งคิดคำนวณค่ายิบย่อยอะไรพวกนั้นหรอกนะ”

“อ้าวถ้างั้นคุณให้ผมยืนกางแขนทำไม”

นรกรลุกขึ้นยืนบ้าง เอามือไพล่หลังและเริ่มต้นเดินวนไปรอบๆ “ตามหลักอนาโตมี...”

อทิฏฐ์หัวเราะคิก “มา จะเอาตำราเล่มไหนมาวัดก็ว่ามาคุณสารานุกรมเคลื่อนที่”

“คุณเรียกผมว่าอะไรนะ”

“สารานุกรมเคลื่อนที่” อทิฏฐ์ทวนคำ “ก็คุณน่ะอะไรๆ ก็ต้องตามตำรา ต้องมีผลงานวิจัยอ้างอิงตลอด ถามจริงนี่เวลาจะมีอะไรกับแฟนต้องเปิดหนังสือปะ”

“ทฤษฎีที่ถูกต้องและแม่นยำนำไปสู่การปฏิบัติที่สมบูรณ์แบบ”

“โอ้แม่เจ้า อย่าบอกนะว่าคุณเปิดตำราจริงๆ น่ะ”

ในขณะที่อทิฏฐ์ตั้งต้นหัวเราะ คนโดนแซวก็เกิดอาการหมั่นไส้ที่จะตอบ นรกรลุกขึ้นเงียบๆ คว้ากระเป๋า และเดินไปที่ประตู

“อ้าวแล้วนั่นคุณจะไปไหนน่ะ คุณยังไม่ได้ตอบเลยนะว่าตกลงผมหล่อไหม แหม~ พูดแทงใจดำแค่นี้ละทำงอน”

นรกรส่งหูฟังเข้าหูและหันหน้ากลับมาครึ่งหนึ่ง “คุณดูดี สูงประมาณ180 อกกว้าง สะโพกแน่นแถมยังมีกล้าม” เว้นวรรคเพื่อกวาดตาดูร่างตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง “แต่ไม่หล่อ เพราะความหล่อของผมวัดกันที่จิตใจไม่ใช่หน้าตาและคุณก็ตกตั้งแต่ข้อแรกเลยด้วย”

อทิฏฐ์เกาหัวแกรก “เอาจริงดิ เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่วันแต่คุณนี่มีอะไรมาเซอร์ไพรส์ผมได้ตลอดเวลาเลยนะ”

“ไม่ชอบใจก็ไปตามคนอื่น แต่ถ้าไม่... ก็เงียบแล้วตามมา”

อทิฏฐ์ทำท่ารูดซิปปากและวิ่งตามไปก่อนจะเบรกจนตัวโก่งเมื่อบานเลื่อนประตูถูกเหวี่ยงปิดแต่มันกลับทะลุผ่านร่างเขาไปง่ายดาย ...เป็นผีมันดีแบบนี้นี่เอง

ในที่สุดก็ตามมาทันที่หน้าลิฟต์และเขาไม่ต้องเสียเวลาตะโกนเพื่อเรียกร้องความสนใจเลยเมื่ออีกฝ่ายแค่ใส่หูฟังไว้หลอกๆ “ตกลงคุณจะพาผมไปไหน”

เสียงดังติ๊งเบาๆ พร้อมกับประตูโลหะตรงหน้าเปิดออกช้าๆ คุณหมอหนุ่มเหลือบมองทางหางตาพร้อมกับกระซิบลอดไรฟัน “พาไปที่ชอบๆ ไง”

oooooo

รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคเลี้ยวเข้าตรอกแคบๆ ขับตรงมาได้สักพักก็มาจอดหน้ารั้วไม้ที่ล้อมกรอบบ้านทรงไทยหลังใหญ่ตามคำบอกทางของเนวิเกเตอร์ประจำรถ

“คุณพาผมมาที่ไหนเนี่ย บรรยากาศมันดูอึมครึมน่ากลัวจังเหมือนจะมีผีออกมาเลย” ร่างโปร่งแสงที่นั่งอยู่ข้างกันใช้สองมือกอดตัวเองทำท่าขนลุกขนพองพลางกวาดตามองไปโดยรอบอาณาบริเวณที่ค่อนข้างเงียบสงัด ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสถานที่แบบนี้แอบซ่อนอยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าและความวุ่นวายของเมืองหลวง ท้องฟ้าสีอมแดงในเวลาผีตากผ้าอ้อมประกอบกับเสียงนกกาที่โผบินขึ้นจากต้นไม้พร้อมๆ กันเพื่อกลับรังยิ่งชวนให้รู้สึกหดหู่

“คุณเองก็เป็นผีไม่ใช่หรือไง” นรกรย้อนถามเสียงเรียบพร้อมกับใช้ปลายนิ้วดันแว่นบนสันจมูกให้เข้าที่ “นี่คือบ้านของอาจารย์องค์อินทร์ ในอินเตอร์เน็ตบอกว่าเขาเป็นร่างทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการติดต่อกับวิญญาณ การปัดเป่าภัยร้ายและภูติผีปิศาจ และเป็นโหราจารย์ที่ดูดวงได้แม่นมาก”

“คุณนี่เมพจริงๆ เลย”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน เป็นผีความจำเสื่อมภาษาอะไรทำไมช่างสรรหาคำอะไรแปลกๆ มาให้ปวดหัวได้เรื่อยเลย “อะไรคือเมพ”

“เป็นคำผสมระหว่างมนุษย์กับเทพไง ตอนนี้ผมรู้แล้วละว่าทำไมพ่อแม่ถึงตั้งชื่อคุณว่าฮาร์ฟ คุณมันอัจฉริยะ!”

“พอๆ เลิกยอแล้วเข้าไปข้างในได้แล้ว”

เมื่อเดินผ่านประตูรั้วไม้ระแนงซึ่งเปิดอ้าอยู่เข้าไป ที่สุดปลายทางของถนนโรยกรวดซึ่งสองข้างทางปกคลุมด้วยต้นไม้สูงคือบ้านไม้สักใต้ถุนสูงตามแบบธรรมเนียมไทยแท้ๆ นอกจากอีกาตัวโตที่เกาะอยู่บนยอดกาแลส่งเสียงร้องกาๆ กับเสียงลมที่พัดวนอยู่รอบๆ ก็ไม่มีกระแสเสียงใดอีก มันดูเงียบสงัดเกินกว่าจะมีคนอาศัยอยู่ ถ้าไม่ติดว่าเห็นประตูที่เปิดไว้และมีคนราวสามถึงสี่คนกำลังนั่งมอบกราบกันอยู่บนเรือนทั้งสองก็คงชวนกันกลับเป็นแน่แท้

“เขาคงกำลังทำพิธีกันอยู่ ในอินเตอร์เน็ตบอกไว้ว่าอาจารย์ไม่ชอบเสียงดังเพราะจะไปรบกวนกระแสจิตในการติดต่อกับวิญญาณ” อธิบายพอเป็นพิธีก่อนจะเดินนำเข้าไป

เมื่อไปถึงตีนบันได ชายในชุดนุ่งขาวห่มขาวหน้าตาถมึงทึงก็โผล่มาจากที่ไหนไม่ทราบเข้ามาประชิดตัวจากทางด้านหลังจนนรกรเผลออุทานลั่น “คุณจะทำอะไรเนี่ย!”

ชายคนนั้นไม่ตอบเพียงยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นการบอกให้เงียบ นรกรรีบยกมือขึ้นปิดปากและผงกศีรษะขอโทษ ชายในชุดขาวชี้มือไปที่อ่างน้ำข้างบันไดที่เตรียมไว้ให้ล้างเท้ากับชั้นวางรองเท้าก่อนจะเดินเข้าใต้ถุนบ้านไป เขารีบทำตามอย่างว่าง่ายกำลังจะก้าวขาขึ้นบันไดชายคนเดินก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับธูปกำใหญ่ในมือเขาเอาวนรอบตัว กลิ่นหอมเอียนกับควันที่พวยพุ่งทำให้นรกรไอโขลกจนน้ำตาไหลอาบแก้มและต้องใช้สองมือปิดปากปิดจมูกแน่น พยามส่งสัญญาณบอกให้พอ แต่ชายคนนั้นก็ไม่มีทีท่าจะหยุดจนกระทั่งวนครบสามรอบจึงยอมถอยฉากเดินกลับเข้าใต้ถุนบ้านไป

เขาไต่ราวบันไดแคบๆ ขึ้นไปจนถึงบนเรือนที่มีคนนั่งอยู่แน่นขนัดผิดกับที่เห็นจากข้างนอก กำลังลังเลว่าควรนั่งลงตรงไหนหรือจะทำอย่างไรต่อไป ลมก็พัดเอาควันธูปจากกระถางใบโตหน้ารูปปั้นของสิ่งที่คล้ายยักษ์ซึ่งตั้งอยู่กลางชานบ้านมาทำให้สำลักอีกครั้ง นัยน์ตาหลังกรอบแว่นแดงจนร้อนและเจ็บหน้าอกจากการไอไม่หยุด

ชายนุ่งขาวห่มขาวอีกคนเดินเข้ามาประกบ “อาจารย์เชิญคุณด้านใน”

“แค่ก! แค่ก! แต่มันลัดคิวคนอื่นนี่ครับ แค่ก!”

ชายนุ่งขาวยกมือขึ้นแตะริมฝีปากพร้อมทั้งผายมือเชื้อเชิญเป็นการตัดบท

“ไหวไหมคุณ” อทิฏฐ์กระซิบด้วยความเป็นห่วงแต่ก็อดตื่นเต้นที่จะได้คนเจอคนที่น่าช่วยไขปริศนาชีวิตให้เขาไม่ได้

นรกรหันไปพยักหน้าให้ก่อนจะเดินแทรกคนที่ออกันแน่นตามไปเงียบๆ ได้ลัดคิวก็ดีเหมือนกันเขาอยากออกไปจากที่นี่ใจจะขาดแล้ว

ชายชุดขาวพาเขามาที่หน้าประตูห้องหนึ่งและผายมืออีกครั้ง เมื่อเขาก้าวธรณีประตูเข้าไปก็ดึงประตูปิดตามหลังโดยไม่ยอมพูดอะไรเช่นเคย บรรยากาศในห้องนั้นอวลไปด้วยกลิ่นน้ำมันก๊าดและสว่างไสวด้วยแสงไฟจากตะเกียงจ้าวพายุอันใหญ่ตรงมุมห้อง ผนังทั้งสี่ด้านประดับประดาด้วยลูกแก้วอันใหญ่ หัวกะโกลก ไปจนถึงพวงลูกประคำน้อยใหญ่ดูน่าขนหัวลุกเหมือนในหนังสยองขวัญที่หาดูได้ทั่วไป

ชายวัยกลางคนผิวสองสีนั่งประสานมืออยู่บนเก้าอี้นวมหลังโต๊ะไม้สักรูปทรงกลมที่กลางห้องเพียงลำพัง อาจารย์องค์อินทร์ผายมือไปที่เก้าอี้ เขาค่อยนั่งลงอย่างประหม่าพลางใช้ผ้าเช็ดผ้าซับน้ำออกจากดวงตา

ผมเผ้าของชายตรงหน้าเป็นสีดอกเลายาวรุงรังผิดกับหนวดทรงนายจันทร์หนวดเขี้ยวที่ถูกเล็มอย่างสวยงามใส่เจลจนแข็งปั๋ง รอบคอคล้องสร้อยพระเส้นโตนับคร่าวๆ ได้ราวหกถึงเจ็ดเส้นและสร้อยข้อมือลูกประคำที่ล้นไปจนเกือบถึงข้อศอก ผิวเนื้อที่โผล่พ้นร่มผ้าเห็นลายสักคล้ายตัวอักษที่เขาดูไม่ออก บางทีอาจเป็นบทอาคมกับลายสัตว์ต่างๆ ทั้งงู เสือและอื่นๆ

ในสายตาของนรกรเขาดูเหมือนเป็นคนบ้ามากกว่าคนไข้จิตเวชที่โรงพยาบาลจนอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงมีลูกศิษย์ลูกหามากมายตั้งแต่คนระดับรากหญ้าไปถึงผู้มีอิทธิพลของประเทศ

อาจารย์องค์อินทร์ยังไม่ยอมพูดอะไรเอาแต่นั่งจ้องตาเขม็งจนเขาอึดอัด แต่ครั้นพอขยับปากจะพูดก็ถูกยกมือปรามไว้อีก

จู่ๆ นัยน์ตาที่เริ่มสีออกเทาก็กรอกขึ้นข้างบนจนเหลือแต่ตาขาวจ้องเขม็งมาตรงหน้า นรกกรสะบัดศีรษะพยายามเพ่งให้ชัดว่าตาฝาดไปแต่มันยังคงเป็นเหมือนเดิมจนเขาคิดว่าน่าจะเกิดจากการรับภาพผิดเพี้ยนเพราะตาของเขายังมัวไปด้วยน้ำตาร้อนๆ ตลอดเวลา

“เจ้าเป็นคนอาภัพ” เสียงแหบห้าวดังกังวาลขึ้นทั้งที่ริมฝีปากที่มีหนวดปกคลุมนั้นไม่ได้ขยับสักนิด “ทั้งเรื่องครอบครัวและความรัก”

“ขอโทษนะครับแต่ผมได้ไม่มาเรื่องของผม” นรกรรีบบอก “ผมรู้มาว่าคุณติดต่อกับวิญญาณได้... นี่ไง เขายืนอยู่ตรงนี้ข้างผมนี่” พลางชี้มือไปที่อทิฏฐ์ซึ่งพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น “ผมอยากให้คุณช่วยดูว่าเขาเป็นใคร มาจากไหนแล้วทำยังไงเขาถึงจะไปสู่สุคติได้”

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาแต่อยู่ที่ตัวเจ้า” เสียงแหบห้าวดังขึ้นอีก “ต้องเปิดใจ”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากันเมื่อคนตรงหน้าไม่มีทีท่าสนใจหรือเข้าใจสิ่งที่ตนพูด “ผมบอกว่าไม่ได้มาเรื่องผม แต่เป็นเรื่องของเขาครับ”

“อาจารย์ครับผมอยู่ตรงนี้ อาจารย์เห็นผมใช่ไหมครับ” อทิฏฐ์ขยับเข้ามาเกาะข้างโต๊ะพร้อมทั้งโบกมือไปมาตรงหน้า “อาจารย์ช่วยผมด้วยครับ”

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นมองผีสลับกับร่างทรง “ตกลงคุณเห็นเขาไหมครับ”

“เรื่องนี้ต้องแก้ที่เจ้า”

นรกรเม้มริมฝีปากแน่น เขาคิดว่าเข้าใจดีแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร “คุณกำลังจะบอกว่าผมคิดไปเองเหรอ”

“ฮาร์ฟใจเย็นๆ” อทิฏฐ์เข้ามาเกาะแขน นรกรไม่มีท่าทีเกรี้ยวกราดหรือเสียงดังแต่ในแววตาหลังกรอบแว่นนั่นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาหันไปหาอาจารย์องค์อินทร์อีกครั้งก่อนจะโบกมือตรงหน้าซึ่งก็ให้ผลเช่นเดิม “ผมว่าเรากลับกันเถอะดูท่าเขาจะช่วยอะไรผมไม่ได้”

“นั่นน่ะสิ” นรกรลุกขึ้นยืนและกลับหลังหัน

ดวงตาที่เหลือแต่ตาขาวหมุนกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “พ่อหนุ่ม จะบอกอะไรให้นะ” เสียงทุ้มที่ต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิงดังตามหลัง “อย่ายึดติดกับอดีต อย่าไขว่คว้าหาอนาคตแต่จงอยู่กับปัจจุบัน”

นรกรไม่สนใจอะไรอีกแล้ว การถูกกล่าวหาว่าบ้าเป็นอะไรที่เกินกว่าใจจะรับได้แต่เพราะเสียงดังอาละวาดใส่ใครไม่เป็นเขาจึงทำได้แค่เดินย่ำเท้าหนักๆ ออกมา และเพราะโทสะที่บังตาทำให้เขาไม่ทันสังเกตว่าบัดนี้บริเวณชานบ้านนั้นว่างเปล่า มีเพียงกลิ่นควันธูปที่ลอยวนไปรอบๆ กับประตูที่ปิดปังตามหลังทันทีทั้งที่ไม่มีลมและไม่มีใครไปสัมผัสมัน

คุณหมอหนุ่มเปิดประตูรถและกระแทกตัวลงนั่งสองมือกุมพวงมาลัยแน่นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าจนสุด เมื่อสองเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นในหัว

‘ลูกคิดไปเองหรือเปล่าฮาร์ฟ อย่าทำให้แม่กลัวสิ’

‘เลิกพูดอะไรที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้สักที พ่อผิดหวังในตัวลูกนะ’

ริมฝีปากเม้มแน่น เขาซบหน้ากับพวงมาลัย น้ำตาที่ไหลเป็นเพราะแพ้ควันธูป... ไม่! เขาไม่ได้ร้องไห้

อทิฏฐ์พุ่งตามเข้ามานั่งที่เบาะข้างๆ พยายามจะเอื้อมมือไปสัมผัสแผ่นหลังที่ดูราวกับจะสั่นน้อยๆ นั้นแต่มันก็พุ่งผ่านไปเหมือนกับที่เขาพยามจะจับทุกๆ สิ่ง เขาดึงมือกลับมากำแน่นและวางมันไว้บนหัวเข่า “ฮาร์ฟ โอเคไหม”

เกิดความเงียบขึ้นอึดใจก่อนที่นรกรจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง และมันไม่มีน้ำตา ไม่เหลือคราบของความเจ็บปวดที่อทิฏฐ์เพิ่งได้เห็น เขากลับมาเป็นคุณหมอหนุ่มผู้เคร่งขรึมเหมือนเดิมอีกครั้ง “ขอโทษนะ”

“คุณจะขอโทษผมทำไม ช่วยไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย จริงๆ นะ ขอบคุณนะที่พาผมมา”

อันที่จริงที่เขาลงทุนพาอทิฏฐ์มาถึงที่นี่ไม่ใช่เพราะความใจดีหรือเชื่อเรื่องผีสางแต่ยิ่งเขาช่วยได้เร็วเท่าไหร่ก็ทำให้ไม่ต้องอยู่ด้วยกันนานเท่านั้น นรกรเหลือบมองร่างโปร่งแสงข้างตัว เขาไม่แน่ใจว่าใบหน้านั้นกำลังยิ้มอยู่ไหมแต่เขาคิดว่าเขาเห็นรอยยิ้มที่พยายามให้กำลังใจ หากน้ำเสียงที่ได้ยินมันฟังดูสิ้นหวังเกินกว่าที่คนพูดควรจะยิ้มออก และมันทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่จะผลักไส

“นี่... คุณยังมีผมนะ ผมเห็นคุณ ผมจะช่วยคุณเอง” ก่อนจะหันไปมองยอดกาแลที่อีกาตัวใหญ่ยังคงเกาะอยู่ “เดี๋ยวผมจะลองหาร่างทรงคนอื่นดู เอาที่ดูเป็นผู้เป็นคนกว่านี้หน่อย” บอกพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาข้อมูลดูอีกครั้ง

อทิฏฐ์กวาดตามองคนตรงหน้าอย่างซึ้งใจทั้งที่ปากบอกไม่เชื่อว่าเขาเป็นอะไรแต่กลับตั้งใจและพยายามหาทางช่วยทุกวิถีทาง ไหนจะพาที่นี่ทั้งที่งานของตัวเองก็ล้นตารางจนแทบไม่มีเวลากินเวลานอน

และภาพใบหน้าจริงจังที่กำลังนิ่วหน้าอ่านข้อความพลางยกหลังมือขึ้นขยี้หัวตาหลังกรอบแว่นที่ยังคงแดงก่ำเพราะแพ้ควันธูปพร้อมกับสูดเสียงขึ้นจมูกเหมือนคนเป็นหวัดก็ทำให้เขาตัดสินใจได้

“ไม่ต้องหรอกครับ” เขาไม่ได้ตัดใจเพียงแต่คิดว่ามันพอแล้ว เขาไม่ได้อยากให้ใครต้องลำบากเพื่อเขา “คุณไปพักเถอะยังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อวานนี่” แต่จะให้บอกไปตรงๆ ก็กลัวคนตรงหน้าจะเสียความตั้งใจ

นรกรเงยหน้าขึ้น ทั้งสองสบตากันอยู่อึดใจก่อนที่รอยยิ้มจะผุดพรายขึ้นที่มุมปาก “ดีเหมือนกัน ตอนนี้ผมก็เอียนเต็มทีแล้วกับเรื่องอะไรที่มันพิสูจน์ไม่ได้” โยนโทรศัพท์ไปบนคอนโซลพร้อมกับสตาร์ทรถ “แต่ไหนๆ ก็ออกมาแล้วเราไปหาอะไรที่มันสนุกๆ ทำกันดีกว่า”

“อะไร” อทิฏฐ์ขยับนั่งตัวตรงด้วยความสนใจ

“อะไรที่มันพิสูจน์ได้ไงล่ะ”

oooooo

“ทำไม มีอะไรแปลกเหรอ”

“คือ... สารภาพตามตรงเลยนะ อย่างตื่นเต้นที่สุดที่ผมจินตนาการไว้ว่าคุณจะพาผมไปคือห้องสมุดหรือไม่ก็พิพิธภัณฑ์แล้วชี้ชวนให้ดูแบบ... เฮ้ย! นั่นไง ถั่วงอก! สิ่งที่เมนเดลบิดาแห่งพันธุศาสตร์ค้นพบไรเงี้ย ใครจะไปคิดว่าเด็กเนิร์ดแว่นตาหนาเตอะอย่างคุณจะชอบ... เล่นเกม” อทิฏฐ์ผายมือไปข้างตัวและหมุนไปรอบๆ ร้านรวงที่อัดแน่นไปด้วยเครื่องเล่นนานาชนิด

“สนุกนะ” นรกรหัวเราะเบาๆ พร้อมกับเสียบหูฟัง ปกติเขาก็ใส่หูฟังเกือบตลอดเวลาอยู่แล้วแต่เพื่อคุยกับอทิฏฐ์เขาจึงแค่ใส่ไว้เฉยๆ ไม่เปิดเพลงเหมือนอย่างเคย ก่อนจะเดินไปแลกเหรียญสิบมากำโตและนั่งลงหน้าตู้หนึ่งแล้วเริ่มต้นสาธิตงานอดิเรกที่ไม่ได้แวะเวียนมานานให้ดู

“สุดยอด! ถามจริงคุณจำภาพกับตัวเลขพวกนั้นได้ยังไงน่ะ มีทริคอะไรหรือเปล่า” อทิฏฐ์ถามอย่างทึ่งจัด ไม่ใช่แค่เกมพื้นๆ อย่างจับผิดภาพหรือเกมจับคู่ที่คนซึ่งดูเป็นเด็กเนิร์ดเต็มขั้นจะทำได้ไฮสกอร์แต่พวกเกมต่อสู้ก็เล่นได้ดีไม่แพ้กันจนมีชื่อขึ้นอันดับต้นๆ แถมท่าสะบัดปืนตอนโหลดลูกกระสุนใหม่ยังดูเท่สุดๆ เหมือนพระเอกในหนังไล่ฆ่าซอมบี้ยังไงยังงั้น

“อย่าบอกใครนะ” นรกรขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง หลังจากหมดเงินไปร่วมพันตอนนี้พวกเขาก็ออกจากร้านเกมมาเดินตากลมเล่นอยู่ที่ลานกว้างหน้าห้างสรรพสินค้า “ผมเป็นซาวองน่ะ เป็นออทิสติกพวกที่จำอะไรแบบภาพถ่าย ผมมานั่งเล่นเกมที่ตู้พวกนี้ทุกวันจนรู้หมดแล้วว่ามันมีทั้งหมด 1088 รูปแบบ และแต่ละรูปแบบมันวางเรียงกันยังไงบ้าง” เมื่อเห็นร่างโปร่งแสงอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัดจึงหลุดขำออกมา “ล้อเล่นน่า”

“นี่คุณอำผมอีกแล้วเหรอ ผมหลงเชื่อจริงๆ นะ”

“ฉันแค่เป็นพวกความจำดีน่ะ” นรกรเคาะนิ้วลงข้างขมับ

“ฮาร์ฟ มุกคุณไม่ขำนะ” เสียงของเขาเครียดขึ้นเล็กน้อยเมื่อจับสังเกตได้ถึงความผิดปกติบางอย่างภายใต้ท่าทีที่ดูสนุกสนานนั่น

“ว้า แย่จัง”

“ผมไม่รู้หรอกว่าคุณเป็นโรคจริงๆ หรือแค่ความจำดีแต่คุณมานั่งเล่นมันทุกวันจนจำได้แม่นเพราะคุณไม่มีที่ไปต่างหาก” อทิฏฐ์เม้มปากเล็กน้อยไม่แน่ใจว่าควรพูดออกไปดีหรือไม่ และไม่ใช่เพราะยังต้องติดแหงกกันไปอีกนานแต่เป็นเพราะเขาเป็นห่วงและหวังดีกับคนตรงหน้าจริงๆ “เพราะคุณไม่มีเพื่อนเลยสักคนใช่ไหม... ขอโทษนะที่พูดตรงๆ แต่ผมเห็นคุณมาก่อนที่จะทักคุณวันนั้นและจนมาถึงตอนนี้ผมยังไม่เคยเห็นคุณคุยหรือแชทกับใครนอกจากเรื่องงาน แม้แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยโทรหา อันที่จริงคนเดียวที่คุณคุยนอกเรื่องด้วยคือพี่วินทร์และบทสนทนาทั้งหมดก็เป็นเขาที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วย”

ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาที่ทำให้สะดุดตาแต่เป็นเพราะบุคลิกที่ดูโดดเดี่ยวนั่นต่างหากที่ทำให้สะดุดใจ ทั้งเดินคนเดียว กินข้าวลำพัง แอบอ่านหนังสือในมุมเงียบๆ ที่ไม่มีใครสนใจ แถมยังไม่สุงสิงกับใครจนเขาอดจะมองตามทุกครั้งที่เห็นและส่งเสียงทักออกไปไม่ได้

“เป็นผีแท้ๆ ทำเป็นรู้ดี” ถึงจะเป็นเรื่องจริงแต่ก็อดเจ็บที่ใจเล็กๆ ไม่ได้ “เขาเรียกโอตาคุต่างหาก”

“อย่างน้อยโอตาคุหรือเกมเมอร์ยังมีเพื่อนในเกมออนไลน์ แต่ที่คุณเล่นมันเป็นแบบที่เล่นคนเดียวทั้งหมด” เพราะไม่ได้รับคำตอบใดๆ เขาจึงตัดสินใจรุกต่อ “ผมถามจริง ตกลงคุณ ‘เห็น’ ใช่ไหม... ไม่ใช่แค่ผม แต่คุณเห็น ไม่งั้นคนอย่างคุณไม่ยอมรับหรอกว่าผมเป็นผี ป่านนี้คุณไปหาหมอจิตเวชรับยามากินแล้ว”

“ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” นรกรยืนกรานเสียงแข็ง

อทิฏฐ์เม้มปากอยู่อึดใจ “แน่ใจเหรอฮาร์ฟ เมื่อกี้ที่บ้านนั่น คุณบอกว่าไม่อยากแซงคิวใคร แต่มันไม่มีใคร ไม่มีใครสักคนเลยฮาร์ฟ นอกจากควันธูป... คุณเห็นอะไรที่แม้แต่ผีอย่างผมยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำ”

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นกรอกหลุกหลิกไปมาราวกับจะมองหาทางหนี เนิ่นนานหลายนาทีก่อนที่ริมฝีปากแห้งผากนั้นจะหลุดกระแสเสียงออกมาในที่สุด “ผมเคยพยายามแล้วแต่ไม่มีใครสนใจ”

เขาปิดเปลือกตาลงอึดใจก่อนจะเปิดขึ้นอีกครั้ง และเพียงแค่เสี้ยวนาทีที่โลกมืดลงแล้วสว่างขึ้นราวกับหลุดมายืนอยู่ในโลกคู่ขนาน

ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันขวักไขว่ มีเงาร่างจางๆ ที่ดูเหมือนคนปกติทั่วๆ ไปแต่ก็มีไม่น้อยที่มีรูปลักษณ์บิดเบี้ยวสยดสยองเร้นกายอยู่ตามเงามืด ซอกหลืบหลังเสา หรือไม่ก็ปะปนอยู่ในฝูงชน และนี่คือโลกที่เขาเห็นตั้งลืมตาครั้งแรก

อทิฏฐ์ขยับมือวางบนบ่า ถึงจะสัมผัสไม่ได้แต่อยากบอกให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้และกำลังตั้งใจฟังอยู่

“ผมไม่เคยรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอะไร ผมรู้แค่พวกเขาไม่เป็นอันตราย ไม่ได้มาคุกคาม พวกเขายิ้มแย้มและอยู่กับผมในทุกๆ ที่” สิ่งที่กักเก็บอยู่ในใจมาหลายปีค่อยๆ พร่างพรูออกมาและเหมือนจุกก๊อกที่หลุดออกท่อเมื่อพูดออกมาแล้วก็ย่อมระบายออกมาจนหมด “พอผมเริ่มพูดได้มากขึ้นพ่อกับแม่ก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกตินี้เพราะผมพูดคนเดียว ผมพยายามบอกพวกเขาว่าผมเห็นอะไร ผมพูดกับใครแต่ทุกคนคิดว่าผมบ้า พ่อกับแม่พาผมไปรักษาที่สถานบำบัด ทั้งกินยา สะกดจิตและช็อตไฟฟ้า... ผมเข้าๆ ออกๆ ที่นั่นอยู่หลายปีแต่มันก็ไม่หาย ภาพกับเสียงพวกนั้นไม่เคยหายไป... คุณเข้าใจไหม... คุณก็รู้ มันไม่ใช่โรค มันรักษาไม่ได้ ผมไม่ได้รังเกียจพวกเขาแต่ผมอยากกลับบ้าน ผมอยากเป็นคนปกติ ไม่ใช่คนบ้าของพ่อกับแม่”

จนถึงตอนนี้ทุกครั้งที่หลับตาภาพสีหน้าผิดหวังของบุพการียามเมื่อมองมาที่เขาซึ่งพยายามจะอธิบายในสิ่งที่เห็นยังคงตามมาหลอกหลอน มันเป็นยิ่งกว่าฝันร้าย มันเหมือนรอยแผลเป็นของตราบาปที่ไม่มีวันรักษาให้หายได้

“คุณเลยตัดสินใจโกหก”

นรกรพยักหน้า “พอหมอถามผมก็แค่ตอบว่าไม่เห็น แล้วมันก็ได้ผล หมอเชื่อ ทุกคนเชื่อ พวกเขาลดยาและการรักษาต่างๆ ลง จนในที่สุดผมก็ได้กลับบ้าน”

แล้วเขาก็เงียบไปอีกครั้ง อทิฏฐ์จึงค่อยๆ เริ่มต้นพูดขึ้นช้าๆ

“รู้อะไรไหมฮาร์ฟ มนุษย์เราน่ะมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งคือการหลอกตัวเอง... คุณเลือกที่จะปิดหู ปิดตา ปิดปากพร้อมๆ กับการจินตนาการทับซ้อนขึ้นมาในสมองให้มันเป็นสิ่งที่อยากให้เป็น และพอทำแบบนั้นนานวันเข้ามันก็กลายเป็นนิสัย คุณหลอกตัวเองสำเร็จว่าคุณไม่เห็น แต่ผลของมันคือทำให้คุณไม่มีเพื่อนเลยสักคนเพราะในตอนแรกๆ คุณคงยังแยกไม่ได้ว่านี่คนหรือผี แล้วคุณก็เอาตัวเองไปหมกอยู่กับตำราและพยายามอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยหลักทฤษฎีเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณไม่เหมือนคนอื่น”

นรกรไม่โต้ตอบสิ่งที่ราวกับออกมาจากใจทุกคำ

ไม่ต้องหลับตานึกภาพผู้หญิงชุดขาวผมยาวในห้องล็อกเกอร์ก็ลอยขึ้นมาในหัวซึ่งที่แรกเขาคิดว่าเป็นพี่ยาบาลเข้ามาหาของจนกระทั่งเธอเงยหน้าขึ้นมาให้เห็นใบหน้าซูบตอบจนดูเป็นหัวกะโหลกที่มีเศษเนื้อติดแห้งกรังและนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกใช้ตู้ด้านในสุดเพราะเธอชอบนั่งห้อยขาบนหลังล็อกเกอร์ใกล้กับประตูเพื่อเฝ้าดูพวกเขา

เขาเกลียดการลงบันไดแต่ก็ไม่อยากเข้าลิฟต์สองต่อสองไปกับผู้ชายร่างใหญ่ที่โดนฟันหน้าเละไปข้าง วันนั้นจึงเลือกจะคอยระวังไม่ให้วิ่งไปชนกับเด็กสาวที่นั่งก้มหน้าร้องไห้ตรงชานพักบันไดตรงชั้นสองมานานหลายปีไม่ยอมไปไหน

“ฮาร์ฟ ผมไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่นๆ นิยามมันว่าอะไร แปลก เลอะเลือน หรือคนบ้าแต่สำหรับผมมันคือ ‘พิเศษ’ เพราะมันทำให้เรามาเจอกัน และผมก็อยากให้คุณคิดแบบนั้น ไม่สำคัญว่าคนอื่นจะมองคุณยังไง มันสำคัญตรงที่ว่าคุณมองตัวเองยังไงต่างหาก”

คำพูดของอทิฏฐ์ไม่ได้ทำให้หัวใจที่เป็นแผลเป็นเรื้อรังรู้สึกอบอุ่นขึ้นแม้แต่น้อย หากมันเหมือนถูกลดยาชา งดยาระงับปวด แล้วราดยาฆ่าเชื้อลงไป มันเจ็บเจียนตายแต่ในทางกลับกันก็รู้สึกดีเพราะเขารู้ว่ามันกำลังได้รับการรักษา อาจจะยังไม่หายแต่ก็ยังดีกว่าหลอกตัวเองว่าตรงนั้นไม่เคยมีแผล

“ลองพยายามดูอีกสักครั้งสิ พิสูจน์ให้ใครๆ เห็น... ดูอย่างอาจารย์อะไรนั่นสิ หมอผีเก๊หรือเปล่าก็ไม่รู้ยังมีแต่คนกราบไหว้กันครึ่งค่อนประเทศ”

“คุณก็พูดง่ายสิแต่สำหรับผมน่ะมันยากยิ่งกว่าเปิดกะโหลกมนุษย์อีกนะ” ไม่ใช่ว่าไม่อยากมีใครสักคนเข้าใจแต่เพราะอยู่คนเดียวมานานทำให้ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน

“แล้วคุณไม่เหงาเหรอ จริงๆ นะ ผมว่าคุณน่าจะลองเปิดใจให้ใครดูบ้าง”

“เช่นใครล่ะ”

“ผมไง” อทิฏฐ์เดินอ้อมไปด้านหน้าและมองลึกเข้าไปในตา “ถ้าใจคนมันเข้าใจยากเย็นนักก็มาลองคุยกับผีอย่างผมไปพลางๆ ก่อน โอเคไหม”

นรกรมองตอบสายตาคู่นั้น มันทั้งจริงจังและจริงใจ โดยไม่รู้ตัวริมฝีปากก็ยกมุมขึ้นช้าๆ “ขอบใจนะ”

“ขอบใจคุณเหมือนกัน” อทิฏฐ์คลี่ยิ้มกว้าง เนิ่นนานแค่ไหนไม่รู้ที่เขานั่งร้องไห้คนเดียวกับการที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร กับการที่ติดต่อกับใครต่อใครไม่ได้ ไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน ไม่รู้จะพึ่งใคร จนในที่สุดก็มีใครสักคนยอมหันมา   

ถึงจะไม่มีใครพูดออกมาแต่ทั้งสองก็เข้าใจกันเงียบๆ บางทีการที่พวกเขาได้มาเจอกันเพราะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ อยากให้ใครสักคนได้ยิน

‘เสียงร้องขอความช่วยเหลือในใจที่ตะโกนออกไปสุดเสียงนี้’

ในขณะที่ดูเหมือนม่านบางๆ ระหว่างทั้งคู่ค่อยๆ จาง ลมแรงก็หอบเอากลุ่มเมฆดำลอยลงต่ำ ก่อนจะทิ้งมวลน้ำมหาศาลลงมา

“ฝนบ้าเอ๊ย! จู่ๆ ก็ตกลงมาได้ยังไงเนี่ย รีบๆ เข้าร่มเถอะฮาร์ฟตัวคุณเปียกหมดแล้ว”

หากคุณหมอหนุ่มไม่ขยับ ท่ามกลางฝูงชนที่วุ่นวิ่งหาที่หลบฝนเขายังคงยืนนิ่งและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าราวกับจะตามหาอะไรสักอย่างในม่านเม็ดฝน “เดี๋ยวก่อนนะ ขอผมอยู่ตรงนี้อีกสักพัก”

“ฮาร์ฟ ไปเหอะ ตัวเปียกหมดแล้ว” อทิฏฐ์เรียกอย่างอ่อนแรง พยายามจะคว้าแขนลากเข้าร่มหรือหาอะไรมาช่วยบังฝนแต่ก็ทำไม่ได้ จนใจเริ่มท้อเมื่อนรกรค่อยเบือนสายตาลงมา นัยน์ตาหลังกรอบแว่นที่มองสบมาชั่วครู่ว่างเปล่าจนคนที่หัวใจหยุดเต้นไปแล้วยังรู้สึกเคว้งคว้างและอยากรวบตัวมากอดปลอบแน่นๆ

ร่างโปร่งเดินกลับไปที่รถ รอจนเขาขึ้นนั่งเรียบร้อยจึงสตาร์ทและขับออกไปแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรด้วยอีกเลยจนกระทั่งฝนซาในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

****************************************************TBC**************************************

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เรื่องน่าสนใจดีค่ะ เหมือนหมอฮาร์ฟจะไม่มีเพื่อนแต่บางทีก็รู้จักพูดคุย?กับวิญญาณที่เจอเหมือนกันนะ
เห็นด้วยกับน้องทิด(ฮา)ที่บอกว่าหมอไม่มีเพื่อนเพราะตอนเด็กแยกคนเป็นกับวิญญาณไม่ได้ พอโตขึ้นก็ยังไม่มีเพื่อนอยู่อีก
น่าสงสารหมอฮาร์ฟนะ คงโดดเดี่ยวน่าดู แต่เรื่องอย่างนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันขึ้นอยู่กับมุมมองของคนด้วย
เพราะในวัยเด็กของหมอฮาร์ฟต้องเจอกับความคลางแคลงใจ และความกดดันเรื่องสัมผัสพิเศษ ก็เลยทำให้หมอมีความรู้สึกด้านลบในเรื่องแบบนี้น่าดู เรื่องราวอาจจะดีกว่านี้หน่อยถ้าพ่อแม่หรือคนรอบข้างเปิดใจและพยายามเข้าใจหมอ(ในตอนเด็ก)สักนิด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 3 Bargain

“ฮาร์ฟ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าหน้าคุณซีดมากเลยนะ” อทิฏฐ์ถามด้วยความเป็นห่วงขณะเดินตามคุณหมอหนุ่มไปตรวจคนไข้หลังผ่าตัดที่หอผู้ป่วย

“ผมไม่เป็นไร” นรกรกระซิบลอดไรฟัน เขาไม่อาจพูดได้ตามปกติเพราะไม่ได้เสียบหูฟังและอยู่ระหว่างการตรวจร่างกายผู้ป่วย

“เอาล่ะครับ เดี๋ยวหนูเอานิ้วแตะนิ้วหมอนะ” บอกกับเด็กสาวที่นั่งยิ้มอยู่บนเตียงพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นตรงหน้า

เธอค่อยๆ จรดปลายนิ้วทับ เขาจึงเริ่มขยับนิ้วไปรอบๆ ช้าๆ ก่อนจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอก็ยังสามารถขยับตามได้อย่างถูกต้อง
 
“ดีมาก แล้วยังปวดหัวอยู่ไหม”

“ไม่มีแล้วค่ะ”

“ดีมาก งั้นวันนี้หมอให้กลับบ้านได้แล้วอาทิตย์หน้ามาหาหมอใหม่นะ หมอจะเอกซเรย์ดูว่าก้อนในหัวมันโตขึ้นอีกไหม”

“ขอบคุณค่ะ” ลลินยิ้มแป้นพร้อมกับยกมือไหว้ก่อนจะเอียงคอมองคนที่ก้มหน้าก้มตาเขียนแฟ้มผู้ป่วย “หมอฮาร์ฟไม่สบายหรือเปล่าคะทำไมวันนี้หน้าซีดจัง”

“ครับ”

“ตอบน้องเขาไปสิครับ เขาแค่เป็นห่วง” อทิฏฐ์ที่เดินเตร่ไปรอบๆ ชะโงกมากระซิบที่ข้างหูเมื่อเห็นคนมนุษยสัมพันธ์ต่ำอ้ำๆ อึ้งๆ
“หมอ...”

“ไม่ต้องอ้างตำราคุณ ถ้าไม่อยากให้น้องเขาเป็นห่วงก็แค่ตอบว่า ขอบคุณ หมอสบายดี”

“ขอบคุณครับ หมอสบายดี” นรกรพูดตามรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ยากเย็นเท่าไหร่ อันที่จริงออกจะง่ายกว่าด้วยซ้ำ

“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะที่ช่วยผ่าตัดให้หนู ตอนผ่าตัดหนูฝันด้วยล่ะ ฝันว่าคุณหมอให้กำลังใจหนู หนูก็เลยฮึดสู้”

“หนูเก่งมากเลย” นรกรปิดแฟ้มผู้ป่วยและลุกขึ้นยืนเตรียมจะไปเป็นการตัดบทสนทนาแต่เธอยังไม่ยอมหยุดคุยง่ายๆ

“คุณหมอคะ เดือนหน้าหนูจะไปสอบเข้ามหา’ลัย คุณหมอช่วยอวยพรให้หนูหน่อยได้ไหมคะ”

“เอ่อ... คือ ไว้อาทิตย์หน้ามาหา หมอค่อยพูดนะ”

“ทำไมละคะ อวยพรตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ นะคะหมอฮาร์ฟ” เธอยังไม่ละความพยายาม

นรกรเหงื่อแตกซิก ลำพังแค่คุยกันปกติยังไม่รู้จะพูดอะไรแล้วนี่จะให้อวยพรขอเขาไปตั้งหลักหาข้อมูลก่อนได้ไหมว่าควรจะเริ่มต้นว่าอะไร ต้องบนบานศาลกล่าวหรืออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์โลกไหนมาประสาทพรหรือเปล่า

“ไว้เป็นประกันไง ว่าหนูจะมาหาหมอ” อทิฏฐ์เข้ามาช่วยอีกครั้งเขาไม่สรรหาคำให้กำลังใจให้เพราะคงจะดีกว่าถ้านรกรจะพูดมันออกมาเองจากใจแม้จะเป็นคำสั้นๆ ง่ายๆ อย่าง ‘สู้ๆ นะ’

“ไว้เป็นประกันไงครับว่าหนูจะมาหาหมอ” เขาพูดตามทั้งที่แปลกใจหน่อยๆ ว่ามันฟังดูดีตรงไหนแต่เด็กสาวกลับยิ้มจนแก้มแทบปริ

“คุณหมอสัญญาแล้วนะ”

“ครับ” ในที่สุดนรกรก็สามารถผละออกมาจนได้

“ก็ทำได้ดีนี่คุณ เห็นไหมการพูดเล่นกับคนอื่นๆ บ้างโดยไม่ต้องอ้างอิงตำราอะไรก็ไม่เลวใช่ไหมล่ะ”

นรกรพยักหน้า

“วันหลังยิ้มด้วยสิ เวลาคุณยิ้มน่ะดูดีออก”

“ก็ยิ้มแล้ว”

“นั่นเค้าเรียกแยกเขี้ยวไม่ใช่ยิ้ม” อทิฏฐ์ว่าพร้อมกับเอานิ้วโป้งสอดเข้าไปตรงมุมปากและแยกออกทำท่าล้อเลียนจนนรกรต้องยกมือขึ้นปิดปากแกล้งทำเป็นไอเพราะกลุ่มพยาบาลที่เดินสวนไปเริ่มหันมามองด้วยสายตาแปลกๆ

“ไปเล่นไกลๆ ไปเลยคนจะทำงาน”

ร่างโปร่งแสงแกล้งทำท่าจะลงไปชักดิ้นชักงอบนพื้นก่อนจะร้องด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับชี้ไม้ชี้มือไปที่ทางเดินฝั่งตรงข้ามซึ่งคนในชุดขาวเพิ่งสวนไป “ฮาร์ฟ! นั่นคนที่ชื่ออธิษฐ์นี่”

“ไหน” อารามหมุนตัวกลับรวดเร็วจึงทำให้เกิดอาการหน้ามืดจนเซไปข้างหน้า

“นี่ฮาร์ฟ คุณโอเคจริงๆ นะ” อทิฏฐ์หันกลับมาพยายามจะช่วยประคองแต่ก็คว้าได้แต่อากาศ

“จริงสิ” ยังคงปากแข็งแม้หน้าจะซีดเป็นกระดาษ เขาเท้าแขนข้างหนึ่งลงบนกำแพงพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นขยี้หัวตาเพื่อมองร่างตรงหน้าให้ชัดแต่ภาพกลับยิ่งพร่าเลือนและสั่นไหวยิ่งกว่าเดิม “ผมไม่... เป็นไร”

“เป็นสิ เป็นแน่ๆ ใครก็ได้ช่วยด้วย” อทิฏฐ์พยายามเหลียวซ้ายแลขวาหาคนช่วย นึกอยากเป็นผีที่เข้าสิงใครสักคนได้ จะได้ทำอะไรได้สักอย่าง “อ๊ะ! พี่วินทร์มาพอดีเลย มาดูเจ้าคนหัวดื้อตรงนี้หน่อยครับ” ร้องเรียกร่างสูงที่เห็นอยู่ไกลๆ อย่างลิงโลดราวกับอีกฝ่ายจะได้ยิน

หากยังไม่ทันขาดคำร่างโปร่งก็ค่อยทรุดลงกับพื้น เขาผวาเข้าไปช่วยแต่ก็ไขว่ขว้าได้เพียงความว่างเปล่า ร่างของนรกรล้มผ่านร่างเขาไปช้าๆ ราวกับภาพสโลว์โมชัน และในจังหวะนั้นเองที่มือของใครคนหนึ่งยื่นผ่านร่างเขาเข้ามารับไว้ได้ทัน

 “ช่วย...” อทิฏฐ์ก้าวขาไม่ออกจู่ๆ ในหัวก็กลายเป็นสีขาวโพลน สรรพเสียงโดยรอบอึงอลฟังไม่ออก และท่ามกลางแสงสีขาวนั้นจู่ๆ ภาพของชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งเหมือนกับเมื่อครั้งที่แล้วแต่มันไม่ได้จบลงแค่นั้น

‘คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ’

“คุณหมอเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มในความเป็นจริงดังซ้อนทับขึ้นแล้วภาพทั้งหมดก็หายไป เขากลับมายืนอยู่ในโรงพยาบาลอีกครั้ง ร่างสูงโปร่งในชุดขาวคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นเพื่อช่วยประคองศีรษะนรกรที่ดูเหมือนจะหมดสติไปแล้ว

“ช่วยเขาด้วยครับ” อทิฏฐ์พูดซ้ำๆ เผื่อว่าเขาจะได้ยิน เมื่อใครอีกคนเดินเข้ามา

“เกิดอะไรขึ้นโปรด”

“จู่ๆ คุณหมอคนนี้ก็ทรุดลงไปน่ะครับ แถมยังตัวร้อนจี๋เลย”
พยาบาลหนุ่มหันไปบอกกับคนที่วิ่งเข้ามาช่วย

ร่างสูงในเสื้อกาวน์ยาวสีขาวเหลือบตาลงมองเพียงอึดใจก่อนจะร้องเสียงดังและคุกเข่าลงดึงนรกรมาไว้ในอ้อมแขนตัวเองพร้อมกับตบแก้มเบาๆ เพื่อเรียกสติ “ฮาร์ฟ ไม่เป็นไรนะ”

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นปรือขึ้นเล็กน้อย มือเรียวยกขึ้นอย่างอ่อนแรงเพื่อไขว่คว้าฝ่ามือนั้นไว้พร้อมกับกระซิบเรียกชื่อที่ไม่ได้หลุดผ่านริมฝีปากมาเนิ่นนาน “พี่ปอ”

oooooo

คือผีไม่เข้าใจ และไม่คิดว่าต่อให้ตอนเป็นคนก็จะเข้าใจ ทำไมคนเรามีความหลังฝังใจอะไรถึงต้องไปยืนตากฝน ทำไมไม่ลองกลับบ้านมาดื่มวีต้าแล้วไปนอนซะอะไรแบบนี้บ้าง

อทิฏฐ์กอดอกเดินวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่นหน้าอยู่หน้าห้องของหอพักแพทย์ประจำบ้าน จริงๆ แล้วเขาอยากไปนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงแต่ก็หงุดหงิดตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่างจึงระเห็จตัวเองออกมาอยู่ข้างนอก

แล้วดูสิไม่สบายไข้ขึ้นสูงแบบนี้ใครจะดูแล นี่ก็เป็นผีลำพังตัวเองยังเอาตัวไม่รอดแล้วจะไปทำอะไรได้... โธ่เว้ย! ทำไมไม่มีใครเขียนไอ้พวกตำราสอนการเข้าสิงหรือเข้าฝันคนวางขายตามแผงหนังสือมั่งนะจะได้ขอให้ฮาร์ฟไปซื้อมาใส่บาตรกรวดน้ำให้รู้แล้วรู้รอด

เสียงลิฟต์ที่ดังขึ้นตรงสุดทางทำให้อทิฏฐ์หันไปมอง ร่างสูงที่ปกติสวมชุดกาวน์สั้นวันนี้ดูแปลกตาไปจากทุกทีเมื่อเปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะหูคีบ วินทร์เดินอย่างงุ่นง่านเหมือนหมีตัวโตมาตามทางเดิน เขากำลังเคาะประตูห้องเมื่อลิฟต์ตัวเดิมเปิดออกอีกครั้งและใครอีกคนหนึ่งเดินออกมา
ผู้ชายคนนั้นคือคุณหมอคณิณ แพทย์อายุรกรรมที่เดินผ่านมาช่วยนรกรเมื่อเช้าและช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นจนคนหัวแข็งมีแรงพอจะดื้อเดินกลับห้องด้วยตัวเอง

เมื่อมายืนเผชิญหน้ากันยิ่งเห็นความแตกต่างระหว่างทั้งสอง ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ วินทร์เหมือนคนเหล็กจากเทอร์มิเนเตอร์ เถื่อน ดิบ เซอร์ ในขณะที่คณิณเป็นเจมส์ บอนด์ผู้สุขุมนุ่มลึกตามสไตล์ผู้ดีอังกฤษ

...จริงๆ แล้วฮาร์ฟนี่ก็มีคนเป็นห่วงเยอะเหมือนกันนะ...
อทิฏฐ์คิดอย่างลิงโลดหากยังไม่ทันจะกระโดดโลดเต้นเมื่อวินทร์ลดมือลงกอดอกและหันไปสบตาผู้ที่เพิ่งมาถึง ในขณะที่อีกฝ่ายก็ล้วงสองมือลงในกระเป๋ากางเกงและมองตอบกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง เขาชักได้กลิ่นแปลกๆ จึงแกล้งเขยิบเข้าไปยืนแอบฟังใกล้ๆ

“นายมาที่นี่ทำไม”

อุต๊ะ! เรื่องนี้ผีไม่เกี่ยว... แต่ช่วยไม่ได้นะอยากมาพูดให้ได้ยินเอง งั้นก็ขอฟังหน่อยละกัน

“ฮาร์ฟไม่สบายฉันเลยมาดูแล” คณิณบอกพลางขยับมือให้เห็นถุงพลาสติกใบโตที่หอบหิ้วมาด้วย ในนั้นมีทั้งยาลดไข้ อาหารและวิตามินบำรุงกำลังสำหรับคนป่วย “ฉันเป็นหมออายุรกรรมก็น่าจะรู้เรื่องโรคและทำอะไรได้มากกว่าหมอศัลย์ที่ดีแต่ผ่าหัวอย่างนายละนะ”

ก็ไม่แรงนะ แต่ทำไมฟังแล้วจุกฟะ!

วินทร์กำมือแน่น ด้วยความรีบร้อนทำให้เขามามือเปล่าตั้งใจว่าจะตรวจดูอาการให้เรียบร้อยก่อนค่อยออกไปซื้อให้

ยังไม่ทันที่คุณหมอศัลยกรรมจะทันได้ตอบโต้ ประตูห้องก็เปิดออก ร่างโปร่งในชุดนอนเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวยิ้มบางให้คนตรงหน้า “อ้าวพี่ปอ สวัสดีครับ”

คณิณเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้าง “พี่มาเยี่ยมน่ะ เป็นไงบ้างเมื่อเช้าไข้ตั้ง 39 แน่ะ”

“เริ่มลดลงแล้วครับเมื่อกี้วัดได้ 38 แต่ยังเพลียๆ อยู่เลย”

“พี่เอายากับข้าวต้มมาให้น่ะ” บอกพร้อมกับโชว์ของในมือ “รีบกินตอนที่ยังร้อนๆ เถอะ”

นรกรแง้มประตูให้กว้างขึ้นอีก ทั้งสองเดินเข้าไปพร้อมกับประตูห้องที่ถูกดึงปิดลงหากวินทร์ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เป็นโชคไม่ดีของเขาเองที่ไปอยู่หลังประตูตอนเปิดออกทำให้นรกรมองไม่เห็น แต่ต่อให้ยืนอยู่ตรงหน้าก็คงไม่มีประโยชน์อะไรในเมื่อสายตาคู่นั้นมองตรงไปยังคนเพียงคนเดียว และมันก็เป็นเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว

“หายไวๆ นะฮาร์ฟ” กระซิบคำที่คนป่วยไม่มีวันได้ยินก่อนจะเดินกลับไปตามทางเดินซึ่งว่างเปล่าเหมือนกับหัวใจของตัวเอง
ขอบคุณที่มานะครับพี่วินทร์

อทิฏฐ์โบกมือลา ถึงจะแอบเสียใจแทนเล็กๆ แต่อย่างน้อยการมีใครสักคนคอยอยู่ดูแลนรกรก็ดีกว่าปล่อยไว้กับผีที่ทำอะไรไม่ได้เลยอย่างเขา

เขากลับเข้าไปในห้อง ถ้าไม่นับวันที่เจอกันนี่เป็นวันแรกที่เขาได้เข้าห้องนรกรเพราะคนบ้างานเอาแต่ขลุกอยู่ที่ห้องผ่าตัด ว่างก็ไปห้องสมุด นอนที่ห้องพักแพทย์ไม่ก็ฟุบหลับตามเคาน์เตอร์จะกลับมาห้องก็เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุดแค่ไม่กี่นาทีและเขาก็เป็นผีมารยาทดีที่ยืนรออยู่หน้าห้องตลอด

ห้องของนรกรเป็นห้องที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้แพทย์ประจำบ้านพักขณะมาเรียน เขาอาศัยอยู่คนเดียว ข้าวของเครื่องใช้ไม่ค่อยมีอะไรมากนักซ้ำยังไร้ซึ่งการตกแต่งใดๆ นอกจากผ้าม่านสีชมพูตุ่นของเดิมที่มีอยู่ ตอนนี้นรกรกินข้าวเสร็จแล้วและคณิณก็เพิ่งจะประคองไปนั่งลงบนเตียง

“กินยาก่อนสิฮาร์ฟ” คุณหมออายุรกรรมช่วยใช้ปลายนิ้วดันยาเข้าปากก่อนจะยกแก้วน้ำจรดริมฝีปาก “ค่อยๆ นะ”

“ขม” เม็ดยาที่ใหญ่พอๆ กับนิ้วก้อยทำให้ไอสำลัก น้ำในแก้วกระฉอกหกเลอะเต็มปกเสื้อด้านหน้า

“ก็บอกแล้วไงให้ค่อยๆ” ถึงจะบ่นแต่ริมฝีปากกลับระบายรอยยิ้มเอ็นดู ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีนรกรก็ยังคงเป็นจอมซุ่มซ่ามสำหรับเขาเสมอ

“ไม่เป็นไรครับพี่ปอ ผมจัดการได้” กำลังจะเอื้อมมือไปคว้ากล่องกระดาษทิชชูที่หัวเตียงมาซับน้ำในขณะที่คุณหมออายุรกรรมลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า นรกรเงยหน้าขึ้นมองเสื้อตัวใหม่ที่ถูกยื่นมาตรงหน้าเขารับมาวางไว้บนตักและตั้งท่าจะถอดเสื้อตัวเก่าออกเมื่อเหลือบไปเห็นคณิณที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างเตียง กำลังจะเอ่ยปากถามมือใหญ่ก็ขยับมาแย่งเม็ดกระดุมไปแกะเสียเอง “ผมทำเองได้ครับ” พยายามจะขืนตัวหนีแต่กลับกลายเป็นจนมุมที่ผนังและเปิดช่องให้อีกฝ่ายลุกตามขึ้นมานั่งบนขอบเตียง

“ไม่เอาน่าเรื่องแค่นี้ มากกว่านี้พี่ก็ทำให้เราได้นะ แล้วก็เคยทำมาแล้วด้วยลืมแล้วเหรอ” คณิณยิ้มนัยน์ตามีความหมายจนนรกรต้องเบือนหน้าหนีและปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ

อทิฏฐ์ที่นั่งแอบพิงปลายเตียงดูอยู่แทบไม่เชื่อหู แค่ความสนิทสนมที่ดูยังไงก็เกินกว่าเพื่อนร่วมงานนั่นก็ทำให้แปลกใจมากพออยู่แล้ว

เอาไงดี ไปหลบในห้องน้ำดีไหม แต่ก็อยากฟัง นี่ไม่ได้อยากสอดนะแค่เก็บเอาเป็น Reference ไว้แซวตอนหลัง

“ไม่ลืมครับ”

“ผอมลงหรือเปล่าเนี่ย กินข้าวเยอะๆ หน่อยสิ” คณิณจับเบาๆ ลงบนต้นแขนบางที่แทบจะกำได้รอบก่อนจะตวัดเสื้อตัวใหม่คลุมตัวและช่วยติดกระดุมจนเสร็จ “นอนพักซะนะ”

“พี่ปอกลับมาทำไม” นรกรหลุดคำที่อยู่ในใจออกไปจนได้

“แค่อยากมาดูแล ไม่ได้เหรอ”

“แต่เราเลิกกันแล้ว” ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ ที่พูดเองก็เจ็บเอง

ทั้งสองเคยคบกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นจากรุ่นพี่รุ่นน้องธรรมดาก่อเกิดเป็นความรักก่อนจะจบลงเมื่อแปดปีที่แล้ว วันที่เขาไม่เคยลืมเลยเพราะมันคือวันที่เขารับปริญญา วันแห่งความสำเร็จกับหัวใจที่แหลกสลาย และดอกกุหลาบสีแดงช่อโตที่มาพร้อมกับคราบน้ำตา

“ฮาร์ฟเกลียดพี่แล้วเหรอ” คณิณตัดพ้อ นับจากวันที่เลิกกันมานรกรก็เอาแต่หลบหน้า โทรหาก็แค่ตอบพอเป็นพิธี ตอนเป็นแพทย์ใช้ทุนก็หนีไปอยู่เสียไกล นี่ถ้าไม่ป่วยหนักขนาดนี้คงไม่การ์ดอ่อนยอมให้เข้าถึงตัวได้ง่ายๆ

“เปล่าครับแต่มันก็ไม่ควร...”

คณิณพ่นลมหายใจเสียงดัง “เอางี้ พี่ขอถามหน่อย ฮาร์ฟเลือกคนไข้ที่มารักษาได้ไหม”

“ไม่ได้ครับ”

“งั้นก็นอนพักซะเดี๋ยวพี่จะดูแลเราเอง” พร้อมกับดันไหล่ให้นอนลงก่อนจะช่วยดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าอก

“แต่คนไข้มีสิทธิ์เลือกหมอได้นะครับพี่ปอ” นรกรกระซิบทำเอาคุณหมออายุรกรรมชะงักไปเล็กน้อย “แต่ก็ช่วยไม่ได้นะก็ตอนนี้ผมมีแค่ตัวเลือกเดียวนี่นา”

คณิณยิ้มขัน สมัยก่อนมีแต่คนแซวว่าทำยังไงนรกรถึงจีบเขาติด แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลยจนแม้แต่ตัวเองยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงได้ติดใจมุกตุ่นๆ อิงวิชาการนี้นัก แต่พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ละสายตาไปจากคนๆ นี้ไม่ได้เสียแล้วจนเฝ้าตามจีบอยู่นานกว่าจะได้หัวใจที่เกือบจะปิดตายนั้นมาครอบครอง

เขาใช้ปลายนิ้วไล้ไปบนแก้มใสที่ครั้งหนึ่งเป็นเจ้าของเรื่อยไปจนถึงริมฝีปากอิ่มที่ออกแดงระเรื่อเพราะพิษไข้ ชั่วขณะหนึ่งที่อยากจะก้มลงขโมยจูบเหมือนที่เคยทำในวันวาน ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้อีกนิดจนปลายจมูกโด่งได้กลิ่นหอมสบู่จากผิวเนื้อก่อนที่คุณหมออายุรกรรมจะเม้มริมฝีปากแน่นและลุกขึ้นยืนหันหลังให้

คณิณก้มลงมองมือตัวเอง ที่นิ้วนางข้างซ้ายสวมแหวนทองเกลี้ยงวงหนึ่งซึ่งไม่เคยถอดออกมาหลายปีก่อนจะกำเป็นหมัดแน่น

จริงอย่างที่นรกรว่า ...เลิกกันแล้วมันไม่ควร...


(ต่อด้านล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 3 (ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ดีขึ้นหรือยัง” อทิฏฐ์ถามคนป่วยที่ค่อยยันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับคว้าแว่นตาที่หัวเตียงมาสวมเพื่อดูเวลา “ตอนนี้ทุ่มกว่าแล้ว พี่หมอคนนั้นเพิ่งกลับไปเมื่อสักห้าโมงนี่เองได้ยินแว่วๆ ว่าโดนโทรตามน่ะ คงมีเคสด่วนมั้ง”

“เขาชื่อคณิณ”

“ชื่อเล่นชื่อปอ ผมได้ยินคุณเรียกเขาอยู่ อ้อ! เขาเขียนโน้ตทิ้งไว้ให้บนโต๊ะแน่ะ... ผมไม่ได้แอบอ่านนะแค่มองผ่านๆ”

นรกรเหน็บปรอทดิจิตัลเข้าที่ซอกรักแร้ก่อนจะดึงออกมาดูค่าตัวเลขที่ลดลงเกือบมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ “ถ้าจะมองผ่านถึงขนาดนั้นก็ช่วยอ่านให้ฟังไปเลยดีกว่า”

“ถึงฮาร์ฟ...”



“ประชดน่ะ... เข้าใจไหม” พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกระดาษโน้ตให้พ้นจากสายตาผีชอบสอดที่แกล้งลอยหน้าลอยตาทำไม่รู้ไม่ชี้

อทิฏฐ์ยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง “แกล้งน่ะ... เข้าใจหน่อย” พลางชะเง้อคอมองคนบนเตียงที่เอาแต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และมันเป็นรอยยิ้มที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นจนเขาอดที่จะชะโงกหน้าไปอ่านข้อความนั่นออกเสียงดังๆ ด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ “หายไวๆ นะครับพี่เป็นห่วง”

“เงียบน่า!” นรกรเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุดของโต๊ะเขียนหนังสือ รื้อค้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยิบสมุดไดอารี่เล่มเก่าขึ้นมา ครั้งหนึ่งมันเคยถูกบันทึกความทรงจำอันมีค่าทั้งในวันสุขและเศร้าที่พวกเขามีร่วมกัน เขาพลิกไปที่หน้าสุดท้ายที่เขียนค้างไว้ซึ่งมีเพียงแค่ตัวเลขบอกวันที่เมื่อแปดปีก่อนกับกุหลาบแดงหนึ่งดอกที่ถูกทับจนแห้งเหน็บไว้ มือเรียวค่อยประคองมันขึ้นมาด้วยกลัวว่ากลีบบางกรอบนั้นจะแหลกสลาย มันเป็นเสี้ยวความรู้สึกดีๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่จากช่อกุหลาบที่ได้มาในวันจบการศึกษา

“คุณยังชอบเขาเหรอ” อทิฏฐ์ไม่เสียเวลาท้าวความแค่สิ่งที่เห็นและได้ยินก็เพียงพอจะคาดเดาเรื่องราวได้บ้างแล้ว

“ต้องเรียกว่าไม่เคยลืม” เขาพินิจดูดอกกุหลาบอีกอึดใจก่อนจะวางไว้ที่เดิมแล้วพลิกกระดาษไปที่หน้าถัดไปเพื่อสอดกระดาษโน้ตและปิดสมุดเก็บใส่ลิ้นชักเหมือนกับที่เก็บความรู้สึกทั้งหมดที่มีไว้ลึกสุดของหัวใจ “แต่ก็อย่างที่คุณเห็นมันเป็นอดีตไปแล้ว”
อทิฏฐ์เดินมานั่งลงข้างๆ “เขาคือคนที่เป็นสาเหตุให้คุณไม่อยากเปิดใจให้ใครหรือเปล่า”

“ก็คงใช่” นรกรตอบ “ใจที่ไม่เคยให้ใครเข้ามา เมื่อเผลอรับใครมาแล้วพอถึงวันที่ต้องจากกันมันเจ็บนะ... เจ็บจนผมสงสัยว่าแล้ววันที่ไม่มีใครผมอยู่มาได้ยังไง แต่ผมไม่เคยโกรธเขานะ ผมรู้ว่าทุกๆ ความสัมพันธ์ต้องมีจุดสิ้นสุดและจนถึงตอนนี้ช่วงเวลาสามปีที่คบกันมันยังคงเป็นความทรงจำที่สวยงามสำหรับผมเสมอ

“แล้วทำไมเมื่อวานต้องไปยืนตากฝน”

“เพราะวันนั้นฝนตก” ถ้าจะถามว่ามีวันไหนบ้างที่คิดถึงก็คงตอบได้ง่ายดายว่ามีแค่สองวัน คือวันที่ฝนตกกับวันที่ฝนไม่ตก

อทิฏฐ์พยักหน้าเข้าใจและเปลี่ยนเรื่อง “นี่ก็เริ่มมืดแล้วคุณทานอะไรสักหน่อยสิจะได้กินยา”

“ไม่เอาหรอก กินยาแล้วนอนต่อเลยดีกว่า”

“แต่นั่นมันยาหลังอาหารไม่ใช่เหรอเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก แล้วถ้าคุณไม่กินอะไรจะมีแรงได้ยังไง”

“ก็มันไม่มีอะไรให้กินนี่นาจะให้ออกไปซื้อก็ไม่ไหวแล้วผมก็ทำกับข้าวไม่เป็นด้วย”

“ถ้าผมแนะนำให้โทรหาใครสักคนคุณก็คงไม่ทำสินะ” อทิฏฐ์กอดอกมองคนหัวดื้อที่ตวัดขาขึ้นเตียงเตรียมจะนอนต่อ “คุณพอลุกไหวไหม เมื่อกี้ตอนคุณหมอคนนั้นเปิดตู้เย็นผมแอบเห็นว่ามีไข่กับนมสด ผมเป็นผีหยิบจับอะไรไม่ได้แต่บอกสูตรคุณได้นะ แค่เอามาเทๆ รวมกันคนสองสามทียกเข้าไมโครเวฟก็คงไม่ยากเกินความสามารถเด็กเกียรตินิยมเหรียญทองอย่างคุณหรอกมั้ง”

คำปรามาสกลายๆ กับท้องที่ร้องเบาๆ ทำให้นรกรยอมลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้าไปในโซนทำครัว

“แล้วจะทำอะไรล่ะ” ถามพลางหยิบส่วนประกอบที่อทิฏฐ์พูดถึงออกมาวางเรียงบนโต๊ะถึงจะบอกว่าทำกับข้าวไม่เป็นแต่จริงๆ แล้วเขาก็พอทำอาหารบ้านๆ อย่างไข่ดาว ไข่เจียวหรือต้มมาม่าใส่เครื่องได้บางตามประสาเด็กหอทั่วๆ ไป

“ไข่ตุ๋น” อทิฏฐ์บอก “คุณกินคนเดียวงั้นก็ใช้ไข่ไก่สองฟองกับนมอีกครึ่งกล่องก็พอ”

“ใส่ชีสด้วยได้ไหมผมชอบกินชีส” นรกรเปิดประตูตู้เย็นและนั่งค้นอยู่พักหนึ่งจำได้เลาๆ ว่าเคยซื้อมากินกับขนมปังเมื่อนานมาแล้ว โชคดียังเหลือค้างอยู่อีกสองแผ่นและไม่เลยวันหมดอายุ

“งั้นคุณก็หั่นชีสให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วโรยลงไป... เหย อะไรน่ะ นี่ถามจริงเป็นหมอผ่าตัดจริงหรือเปล่าทำไมจับมีดได้น่าหวาดเสียวแบบนั้น แล้วนั่นแน่ใจนะว่าหั่นแล้ว โอ๊ย! เชฟกะทะเหล็กมาเห็นนี่ร้องไห้ตายเลย” อทิฏฐ์โวยวายพร้อมกับวิ่งผลุบๆ โผล่ๆ ไปทางซ้ายทีขวาทีด้วยความหวาดเสียวว่าคุณหมอศัลยกรรมจะหั่นนิ้วตัวเองใส่ลงไปผสมด้วย

“มันเรื่องของผม ผมทำกินเองคนเดียวนี่”

“แต่มันสูตรผมนะ ให้เกียรติกันบ้างเซ่... ที่นี้ก็ใส่น้ำปลา เฮ้ย! เยอะไปป่าว ครึ่งช้อนก็พอมั้งคุณ ชีสก็เค็มนะ เป็นคนป่วยอย่ากินเค็มนักสิ แล้วทีนี้ก็คนให้เข้ากัน ใช้ส้อมตีแรงๆ หน่อย อีกๆ นั่นแหละ เยี่ยม”

“เสร็จแล้ว ทำไงต่อ” นรกรถามเมื่ออทิฏฐ์พยักหน้าให้สัญญาณว่าเขาคนไข่ได้ขึ้นฟูพอแล้ว

“ทีนี้ก็เอาไปเข้าไมโครเวฟนะ ใช้ไฟแรงครั้งละ 4 นาที 3 ครั้ง”
“งั้นก็ตั้งไปที่ 12 นาทีเลยไม่ได้เหรอ”

“การเว้นช่วงจะทำไข่มีระยะพักและเซ็ตตัว หน้าจะไม่แห้งแตก แล้วเราก็ได้คอยเช็กดูด้วยว่ามันโอเคไหมสุกหรือยัง หรือว่าไหม้ไปแล้ว” อทิฏฐ์อธิบายก่อนทั้งสองจะมานั่งลงที่โต๊ะรอผลงานชิ้นโบแดง “ตอนที่คุณล้มลงแล้วคนที่ชื่ออธิษฐ์เข้ามาช่วยไว้ผมเห็นภาพอะไรอีกแล้วนะ”

“อะไร” นรกรถามอย่างสนอกสนใจ

“แสงสีขาวกับเสียง... ผมไม่รู้ว่าเสียงอะไรแต่มันดังมาก อื้ออึงไปหมดกับความรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งตัว สงสัยนั่นอาจจะเป็นตอนที่ผมตายละมั้ง”

“แล้วยังไงต่อ”

“แล้วก็มีคนเข้ามาจับตัวผม” อทิฏฐ์หลับตานึกภาพนั้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้และทุกๆ ครั้งมันยิ่งชัดเจนทว่ากลับนึกอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น “เขาถามว่า ‘คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม’ ผมไม่เห็นหน้าเขาแต่เห็นป้ายชื่อบนหน้าอกน่ะ ผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าผมกับเขาคงต้องมีความเกี่ยวพันอะไรกันสักอย่างแน่ๆ ทีนี้ตอนคุณหลับผมเลยแอบกลับไปหาเขาที่วอร์ดมา”

“แล้วเป็นยังไง เห็นหรือนึกอะไรออกอีกไหม”

อทิฏฐ์ส่ายหน้า “ผมตามเขาอยู่ครึ่งค่อนวันแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลยกลับมาหาคุณดีกว่าสงสัยผมจะนึกออกก็ต่อเมื่อมีคุณเป็นสื่อให้ด้วยละมั้ง”

เสียงไมโครเวฟดังติ๊งพอดี นรกรจึงเดินไปเปิดดูไข่ตุ๋น มันยังเป็นแค่น้ำเหลวๆ แต่ดูข้นขึ้นมานิดหนึ่งเขาปิดประตูและตั้งเวลาต่อ “แล้วผมจะเอาข้อมูลอะไรไปถามเขาล่ะ”

“ก็ยังไม่ต้องถามแค่หาเรื่องคุยทั่วๆ ไปเพื่อเปิดโอกาสให้ผมได้เข้าใกล้เขาไง และต่อให้ผมนึกอะไรไม่ออกแต่อย่างน้อยคุณก็จะได้เพื่อนเพิ่มมาอีกหนึ่งคนนะ”

“พูดง่ายแต่ทำยาก คุณก็รู้แล้วนี่ว่าผมชวนใครคุยไม่เก่ง แทนที่จะได้เรื่องจะเปลี่ยนเป็นมีเรื่องแทนน่ะสิ” นรกรลุกไปดูไมโครเวฟอีกครั้งคราวนี้มันเริ่มขึ้นฟูนิดๆ แต่ยังไม่สุกดี เขาจึงหมุนเวลาอีก 4 นาทีเป็นครั้งสุดท้าย

“เดี๋ยวผมช่วยบอกบทให้แบบตอนคุยกับน้องคนนั้นก็ได้นะ พอคุณพูดตามผมแล้วก็ดูไม่เคอะเขินนี่เดี๋ยวพอทำไปสักพักก็น่าจะชินจนสามารถคุยเล่นกับคนอื่นได้เองแล้ว”

“เอางั้นก็ได้แต่ถ้าเริ่มแล้วต้องอยู่ช่วยจนจบห้ามชิ่งนะ”

“ผมจะหนีคุณไปไหนได้ล่ะ ไม่มีคุณให้ทะเลาะด้วยผมเหงาแย่เลย จะว่าไปคุณก็แค่คุยกับคนอื่นๆ เหมือนตอนคุยกับผมไม่ได้เหรอ”

“จะลองดูนะ” นรกรลุกไปเปิดไมโครเวฟเป็นครั้งสุดท้าย ใส่ถุงมือหยิบเอาชามไข่ตุ๋นสีเหลืองนวลนุ่มฟูดูน่ากินออกมาวางบนโต๊ะ กลิ่นหอมนมอ่อนๆ กระจายไปทั่วทั้งห้อง เขาหยิบช้อนขึ้นมาตักไข่ที่เด้งเหมือนเยลลี่ส่งเข้าปาก

“เป็นไงบ้างสูตรผีบอก รสชาติโอเคไหม”

“หนักน้ำปลาไปหน่อยกินกับข้าวสวยร้อนๆ น่าจะพอดี แต่นี่ผมกินเปล่าๆ ไง” นรกรว่า “แสดงว่าคุณน่าจะเป็นพวกความจำเสื่อมประเภทที่ยังใช้ชีวิตประจำวันได้นะ”

“ยังไง”

“ก็คุณน่ะแค่จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครแต่คุณรู้นี่สิ่งรอบตัวคืออะไร รู้จักดารา นายแบบ พอมีความรู้วิชาการแถมยังทำกับข้าวเป็น”

“ป่วยอยู่แท้ๆ ยังมีกะใจวิเคราะห์อีกนะ” อทิฏฐ์นั่งเท้าคางนั่งลงตรงหน้าคนที่เอาแต่เคี้ยวตุ้ยๆ ไม่ต้องบรรยายให้ฟังก็รู้ว่าถูกปากมากแค่ไหน “แต่มันเป็นอย่างที่คุณว่าจริงๆ แหละ ทีแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่ากับข้าวมันต้องทำยังไงแต่พอเห็นไข่ โน่นนี่นั่น ภาพวิธีการทำมันก็ลอยขึ้นมาเองในหัว”

“เป็นสัญญาณที่ดีว่าคุณกำลังค่อยๆ จำได้ไง”

“นั่นน่ะสิ บางทีผมอาจจะเป็นเชฟชื่อดัง หรือถึงจะไม่ดังอย่างน้อยก็รู้ว่าผมก็ทำไข่ตุ๋นอร่อยล่ะ”

“อันนี้ไม่เถียง”

“ง่วงก็ไปนอนบนเตียงอย่ามานอนตรงนี้เดี๋ยวไข้ก็กลับหรอก” อทิฏฐ์ดุคนที่พอท้องอิ่มก็ยกมือขึ้นปิดปากหาว ตาปรือแทบจะปิดและทำท่าจะฟุบลงบนโต๊ะอาหาร

นรกรลุกขึ้นไปกินยาก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยมีร่างโปร่งแสงคอยประกบไม่ให้ไปแวะนอนกลางทาง เขาเอื้อมมือไปปิดไฟก่อนจะดึงผ้าขึ้นห่มและนอนตะแคงข้างหันหน้ามาคุยด้วย

“แล้วคุณนอนที่ไหน”

“ตั้งแต่เป็นผีมาผมไม่เคยง่วงเลย ปกติก็เดินวนเวียนอยู่รอบๆ หรือนั่งเฝ้าปัดยุงให้จนกว่าคุณจะตื่นน่ะแหละ”

“มิน่าสองสามวันมานี่หลับสบายดีจัง” นรกรยิ้มบาง รู้ต็มอกว่าคนตรงหน้าไม่ได้พูดเอาดีเข้าตัวหลายต่อครั้งที่เขาสะลึมสะลือขึ้นมาเห็นอทิฏฐ์นั่งทะเลาะกับยุงตามที่เจ้าตัวบอก ทั้งยังนั่งฟังเขาบ่นเรื่องคนไข้หรือญาติไปจนถึงนักศึกษาแพทย์ได้โดยไม่นึกรำคาญ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้กินข้าวไปหัวเราะไปหรือนอนหันหน้าคุยกับใครสักคน “นี่ทิด ขอบใจนะที่ดูแล อ้อ ผมยังติดเรื่องคิดชื่อใหม่ให้คุณนี่ พรุ่งนี้ตื่นมาไข้ลดผมสัญญาว่าจะคิดให้นะ”

“ไม่ต้องแล้วล่ะ ผมเริ่มชินกับมันแล้ว และมันก็ไม่สำคัญหรอกว่าผมจะชื่ออะไร ขอแค่คุณเป็นคนเรียกก็พอเพราะมีแค่คุณคนเดียวที่เห็นผม”

อทิฏฐ์หันไปหาคนบนเตียงที่หลับปุ๋ยไปเสียแล้ว “อ้าว คนเขาอุตส่าห์จะซึ้งสักหน่อย” ริมฝีปากระบายยิ้มเล็กน้อยพลางยกมือขึ้นไล้ข้างแก้มแม้สัมผัสไม่ได้แต่ยังรับรู้ได้ถึงไออุ่นของผิวเนื้อและลมหายใจที่พุ่งผ่านไป เขาเลื่อนมือผ่านไปโอบรอบแผ่นหลังก่อนจะดึงตัวขึ้นเพื่อกระซิบถ้อยคำเบาๆ ที่ข้างหูราวกับกลัวคนฟังจะตกใจตื่น

 “ฝันดีนะครับ”

**********************************TBC******************************

Good night นะคะทุกคน

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
น่าสนใจ ติดตามๆ

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 4 Stay

“ไข้ลดแล้วเหรอ” วินทร์ถามคนที่เปลี่ยนชุดอยู่อีกฟากของประตูตู้ล๊อกเกอร์ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
   
“เมื่อวานวัดได้ 37.5 เช้านี้ยังไม่ได้วัดเลยแต่รู้สึกดีขึ้นมากแล้วครับ”
   
“จริงเหรอ” ร่างสูงที่ยังสวมเสื้อค้างอยู่ในแขนข้างหนึ่งดึงประตูปิดก่อนจะโน้มตัวลงเล็กน้อยเอาหน้าผากทาบทับกับอีกฝ่ายที่นิ่งขึงไปทันทีด้วยสัมผัสเย็นชื้นนิดๆ กับลมหายใจอุ่นๆ จากปลายจมูกโด่งซึ่งแตะลงเหนือริมฝีปากโดยไม่ทันได้ตั้งตัว “อืม ตัวเย็นลงแล้วจริงๆ ด้วย”  มุมปากกระตุกขึ้นยิ้มพร้อมกับดึงตัวกลับไปยืนตามเดิม “โทษทีมือไม่ว่างน่ะ” เขาใส่เสื้อจนเสร็จและเดินเข้าห้องผ่าตัดไปทิ้งให้คนเพิ่งหายป่วยยืนมองตามหลังจนสุดสายตา
   
“นั่นวิธีวัดไข้ตำราไหนน่ะ” อทิฏฐ์กระซิบแซวคนที่แก้มขาวซับสีเลือดฝาดน้อยๆ จนดูไม่ออกว่าเป็นเพราะพิษไข้หรือว่าเป็นอะไรอย่างอื่น “ผมว่าคุณลืมพี่ปออะไรนั่นไปซะแล้วมาสนใจพี่วินทร์ดีกว่า คราวที่แล้วก็แซนวิซนี่ก็วัดไข้นอกตำราผมว่าเขาเป็นห่วงเป็นใยคุณแปลกๆ นะ ออกจะพิเศษใส่ไข่สองฟองเลยด้วยซ้ำ”
   
นรกรคิดตาม ไม่ใช่แค่เรื่องนี้หากสม่ำเสมอตลอดห้าปีที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อยากเข้าข้างตัวเองบางทีมันอาจเป็นแค่ความเป็นห่วงทั่วๆ ไปตามประสาเพื่อนร่วมงาน “พี่วินทร์เขาไม่ค่อยเต็มน่ะ บางทีก็มีทำอะไรหลุดๆ แปลกๆ ไปบ้าง”
   
อทิฏฐ์ถลึงตาพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก “นั่นคือวิธีที่คุณใช้ปฏิเสธคนที่เข้าหาคุณเหรอ”

“จริงๆ นะพี่วินทร์เคยเล่าให้ฟังเองว่าเคยป่วยนอนโรงพยาบาลตอนไปเป็นแพทย์ใช่ทุนที่ต่างจังหวัดน่ะเลยมาเรียนเดนท์ช้ากว่าคนอื่น” นรกรเริ่มต้นเล่า “ตอนเจอกันครั้งแรกวันที่เลี้ยงรับแพทย์ประจำบ้านใหม่จู่ๆ พี่เขาก็พุ่งเข้ามากอดซะแน่นจนหายใจไม่ออก เสร็จแล้วก็บอกว่าเห็นผมดูแห้งๆ แกร็นๆ เลยอยากลองวัดขนาดตัวน่ะ กลัวไม่มีแรงจะยืนผ่าตัดนานๆ ไม่ไหว... แล้วเขาก็ทำแบบนั้นกับทุกคนแม้แต่กับพวกอาจารย์ไม่ใช่แค่ผม”

“ถ้างั้นก็แปลกจริงๆ ด้วย”

“คงจะมีสมองกระทบกระเทือน หรือเป็นผลข้างเคียงจากอาการช็อคจนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอน่ะ”

“ไม่ก็ PTSD” อทิฏฐ์เสริม

คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง

“Post Traumatic Stress Disorder โรคที่เกิดจากความเครียดหลังเจ็บป่วยหรือเผชิญเหตุการณ์ร้ายแรงไง... ทำไม คุณไม่รู้จักเหรอ ต๊าย ตาย เป็นหมอสมองภาษาอะไรเนี่ย”

“ปากดีเดี๋ยวจับลงหม้อถ่วงน้ำแบบแม่นาคซะเลยนี่ ผมน่ะรู้จักว่าแต่คุณน่ะรู้ได้ยังไง”

“เออ... นั่นสิ ทำไมผมรู้ล่ะ” อทิฏฐ์จับคางครุ่นคิดอยู่อึดใจ “อ้อ! นึกออกล่ะก็เมื่อวันก่อนคุณเพิ่งจะอธิบายให้คนไข้ฟังไปนี่นาแล้วยังแนะนำให้เขาไปปรึกษาหมอจิตเวชด้วยไง”

นรกรพยักหน้าตามนึกทึ่งเล็กๆ ที่อทิฏฐ์ดูจะเรียนรู้และจดจำอะไรได้รวดเร็วเว้นก็เพียงเรื่องเดียวคือเรื่องของตัวเขาเองที่ไม่ว่าจะนึกเท่าใดก็นึกไม่ออกสักที เขาอยากจะคุยต่อแต่เพราะวินทร์เยี่ยมหน้าเข้ามาเรียกจึงรีบใส่เสื้อจนเสร็จและวิ่งเหยาะๆ ตามเข้าห้องผ่าตัดไป

oooooo

“พี่ฮาร์ฟ สวัสดีครับ”

นรกรที่กำลังนั่งอ่านหนังสือในห้องพักแพทย์พยักหน้ารับไหว้น้องๆ แพทย์ประจำบ้านชั้นปีอื่นๆ ที่ทยอยเข้ามา ทุกคนกำลังคุยติดพันหัวเราะสนุกสนานในเรื่องที่เขาไม่เข้าใจหรือมีส่วนเอี่ยว และวันนี้ก็เหมือนเช่นทุกๆ วัน เพราะทำตัวไม่ถูกและรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินเขาจึงปิดหนังสือเก็บ กำลังจะผลักประตูออกไปเงียบๆ เมื่อจิงโจ้พูดขึ้น

“น่าเสียดายจังที่พี่ฮาร์ฟไม่ได้ไปด้วยปาร์ตี้เมื่อคืนสนุกมากเลย”

“ใช่ๆ พี่วินทร์งี้เมาแอ๋เลย นึกว่าต้องทิ้งไว้ที่ร้านซะแล้ว เห็นว่าเป็นเจ้าของงานหรอกนะถึงยอมลากกลับมาด้วย” อนุวัฒน์เสริม
นรกรหันกลับมา “เอ่อ ขอโทษนะพวกนายพูดถึงงานอะไรเหรอ”

“ก็งานวันเกิดพี่วินทร์ไงครับ” จิงโจ้ตอบ “เห็นพี่วินทร์บอกว่าพี่ฮาร์ฟเพิ่งหายป่วยเลยไม่อยากให้มากินเหล้า”

“ทุกคนไปกันหมดเลยขาดพี่ฮาร์ฟคนเดียว”

“ใช่ครับ อีกไม่กี่เดือนพวกพี่ก็จะจบแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจังผมยังรู้สึกว่าไม่ได้เรียนรู้อะไรจากพี่ฮาร์ฟที่สอบบอร์ดผ่านตั้งแต่ปีสี่แถมยังได้คะแนนเป็นที่หนึ่งของประเทศอีก”

“ไอ้นี่ก็เวอร์ไป๊!” อนุวัฒน์ถองเข้าให้ “เก่งๆ อย่างพี่ฮาร์ฟน่ะต้องได้มาเป็นอาจารย์อยู่แล้ว แล้วก็จะมาสอนพวกเราต่อนี่แหละ... อ๋อ หรือว่านี่กำลังเลียเพื่อหวังผลประโยชน์ระยะยาวหึไอ้โจ้”

วิชาศัลยกรรมประสาทและสมองนั้นเป็นสาขาวิชาที่ยาก ถึงในปีหนึ่งๆ จะมีผู้มาสมัครเป็นจำนวนมากแต่ผู้ที่สอบผ่านจะมีแค่หนึ่งถึงสองคนเต็มที่ก็ไม่เกินสาม อย่างในรุ่นเขามีสามคนคือเขา วินทร์ และธีร์ซึ่งตอนนี้ขอทำเรื่องไปดูงานที่ต่างประเทศช่วงก่อนจบ ในขณะที่แพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 1-4 ตอนนี้มีแค่ชั้นปีละหนึ่งคนเท่านั้น

คนมาเรียนที่ว่าน้อยยังไม่ยากเท่ากับการเฟ้นหาอาจารย์ที่จะมาทำหน้าที่สอนต่อ ไม่ใช่แค่มีความสามารถและบุคลิกเข้าตากรรมการ เพราะถ้าเป็นแพทย์ที่มาจากสถาบันอื่นอย่างวินทร์เมื่อเรียนจบก็ต้องกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลหรือสถาบันที่ส่งมาเรียน นรกรจึงเป็นที่จับตามองว่าต้องได้ตำแหน่งนี้ไปแน่ๆ ด้วยคุณสมบัติที่เพียบพร้อม ในขณะที่เจ้าตัวก็มุ่งมั่นเช่นนั้นอยู่แล้วถึงได้ทุ่มเทกับการทำงานและการทำวิจัยจนไม่เป็นอันกินอันนอน ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพื่อไม่ให้ใครครหาได้ว่าได้มาง่ายๆ เพราะใช้เส้น

“เบื่อพี่วัฒน์ว่ะ” จิงโจ้ขำที่โดนรู้ทัน “พี่ฮาร์ฟกรุณาอย่ากดคะแนนผมเหมือนอ.สรวิชญ์นะครับ ตอนสอบออสกี้คราวที่แล้วนี่ซักผมซะขาสั่น ฉี่แทบราดแน่ะ”

“ไอ้โจ้!” อนุวัฒน์สะกิดพร้อมกับชี้นิ้ว ทุกคนพากันเงียบกริบแต่จิงโจ้เพิ่งมาใหม่จึงยังไม่ค่อยเข้าใจอะไร

“ก็จริงๆ นี่พี่วัฒน์ อ.สรวิชญ์อะโคตรดุเลย นี่เวลาอยู่บ้านเขาดุพี่ฮาร์ฟแบบนี้หรือเปล่าครับ” ถึงตอนนี้รุ่นพี่แพทย์ประจำบ้านทุกคนแทบจะกระโดดตะครุบตัวจิงโจ้ไม่ให้พล่ามไปมากกว่านี้ นรกรไม่พูดว่าอะไรได้แต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและผลักประตูออกไป

“สองคนนั่นไม่ถูกกัน” เสียงใครสักคนกระซิบดังแว่วตามหลังมาเบาๆ “นายไม่สังเกตหรือไงว่าแม้แต่ตอนราวน์ด้วยกันอาจารย์ก็แทบไม่พูดกับพี่ฮาร์ฟด้วยซ้ำ”

นรกรเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่ออีกไปให้พ้นจากตรงนั้นจนอทิฏฐ์ต้องวิ่งเหยาะๆ เพื่อตามให้ทัน

“คุณไม่เป็นไรนะ” ถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่นี่” นรกรกระซิบเรื่องพ่อเขาชินเสียแล้วก็แค่ไม่อยากฟัง แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่คือเรื่องที่ทุกคนได้รับเชิญไปงานเลี้ยงวันเกิดวินทร์ยกเว้นเขา “ผมบอกคุณแล้วเห็นไหมว่าคนเราเข้าใจยากผมไม่มีวันรู้เลยว่าใครคิดอะไรอยู่ ทั้งที่เมื่อวานเข้าเคสผ่าตัดอยู่ด้วยกันทั้งวันแท้ๆ แต่พี่วินทร์กลับไม่มีท่าทีจะชวนผมหรือพูดถึงเรื่องนี้เลย”

ไม่มีหรอกคำว่าสนิท ไม่มีคำว่าพิเศษ ก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่เขาจะพูดด้วยเหมือนคนอื่นๆ ไม่สิ! อันที่จริงน้อยกว่าคนอื่นด้วยซ้ำเพราะถ้าเห็นว่าสำคัญอย่างน้อยคงจะเอ่ยให้ได้ยินบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้เขาไม่รู้อยู่คนเดียว

“ก็ถามสิ”

“ถามว่าอะไร” เขาถามกลับ “พี่วินทร์ก็บอกแล้วไงว่าไม่อยากให้ผมไปเพราะเพิ่งหายไข้ ไม่มีอะไรสักหน่อย”

“นั่นคือสิ่งที่พี่วินทร์บอกกับทุกคนไม่ใช่บอกคุณ อย่างน้อยเขาก็ควรบอกคุณด้วยตัวเอง และนี่ไม่ใช่เหรอคือสาเหตุที่ทำให้คุณโกรธ”

“ผมจะไปโกรธเจ้าของวันเกิดทำไม เขามีสิทธิ์ชวนหรือไม่ชวนใครไปก็ได้”

“แต่คุณเจ็บ” อทิฏฐ์ว่า “ชีวิตคนเรามันสั้นนะคุณ ดูอย่างผมสิ จู่ๆ ก็ตายกลายเป็นผีโดยที่ไม่รู้อะไรด้วยซ้ำ ถ้าอยากรู้อะไรคุณต้องถามไม่ใช่มานั่งคิดเองเออเองว่าเขาไม่สนใจ”

“แล้วจะให้ผมทำยังไง เดินดุ่มๆ เข้าไปถามน่ะเหรอ ว่าทำไมถึงไม่ชวนผมไปงานวันเกิดเขา ถ้าสี่ปีที่ผ่านมาเขาไม่บอก จนปีที่ห้านี่ผมก็คงไม่จำเป็นต้องรู้แล้วล่ะ”

“เขาไม่บอกหรือคุณไม่สนใจจะถาม เอาให้แน่” อทิฏฐ์พูดจี้ใจดำและมันได้ผลนรกรชะงักงันไปทันที “ผมจะบอกอะไรให้นะฮาร์ฟ จริงๆ แล้ววันที่คุณป่วยพี่วินทร์ไปเยี่ยมคุณนะ”

“ตอนไหน” นรกรออกตกใจไม่น้อยเพราะเขาจำไม่ได้สักนิดและวินทร์ก็ไม่เคยพูดถึงเลย

“พร้อมกับพี่ปอ บังเอิญเขายืนอยู่หลังประตูตอนคุณเปิดประตูออกมาน่ะคุณเลยไม่เห็น ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงไม่ส่งเสียงทักคุณออกไป บางทีเขาอาจจะรู้ว่าคุณชอบพี่ปอเลยอยากเปิดโอกาสให้อยู่ด้วยกันสองต่อสองก็ได้”

“พี่วินทร์เรียนคนละมหา’ลัยกับผม เขาจะรู้เรื่องพี่ปอได้ยังไง”

“อันนี้ผมไม่รู้” อทิฏฐ์ว่า “ผมรู้แค่เขาเป็นห่วงพอจะไปเยี่ยมคุณ และแคร์พอจะยอมกลับไปเงียบๆ โดยไม่สนใจว่าคุณจะรู้หรือเปล่า ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาทำมันมากพอจะทำให้เขามีค่าพอที่คุณจะสนใจไหม แต่อย่างน้อยผมว่าเขาควรได้รับคำขอบคุณในความตั้งใจที่ไปเยี่ยมคุณนะ”

นรกรไม่พูดว่าอะไรอีกและเข้าไปอยู่ในวังวนความคิดของตัวเองเงียบๆ

กว่าจะเดินตรวจผู้ป่วยตามหอผู้ป่วยจนเสร็จก็ปาเข้าไปจนบ่ายคล้อย แต่ไม่ว่าจะยุ่งสักแค่ไหนก็ไม่อาจทำให้เขาสลัดเรื่องของวินทร์ออกไปจากสมองได้ จนกระทั่งเห็นร่างสูงระหว่างทางเดินไปโรงอาหาร ผมเผ้าของเขาดูยุ่งมากกว่าปกติและยกมือปิดปากหาวตลอดเวลาซึ่งคงเป็นผลจากการเมาแฮงค์เมื่อคืนตามที่น้องๆ แพทย์ประจำบ้านบอก เขาค่อยๆ เดินตามไปข้างหลังพลางคิดหาคำถามเมื่อเจ้าตัวหันมาทักเข้าเสียก่อน

“อ้าวฮาร์ฟ เดินตรวจผู้ป่วยตามวอร์ดเสร็จแล้วเหรอ”

“ครับ”

“ฉันก็เพิ่งเสร็จจาก OPD กำลังจะไปกินข้าว” พร้อมกับสะบัดศีรษะไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปสู่โรงอาหารซึ่งผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ชวนให้ไปด้วยกัน ถ้าเป็นปกตินรกรคงปฏิเสธ เขาไม่ชอบที่คนเยอะๆ และอยากไปนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ คนเดียวที่ห้องสมุดมากกว่า แต่เมื่อวินทร์พูดต่อว่า “ไปด้วยกันนะ” เขาก็พยักหน้า

ทั้งสองเดินคู่กันไปเงียบๆ โดยไม่มีใครว่าอะไรในขณะที่อทิฏฐ์ซึ่งเดินตามมาข้างหลังนึกบ่นอยู่ในใจเป็นหมีกินผึ้งด้วยความอึดอัดตันใจจนอกจะแตกตายไปอีกรอบ แต่ไอ้ครั้นจะให้พูดออกไปตรงๆ ก็ไม่อยาก เขาต้องการให้นรกรคิดและทำด้วยตัวเองไม่ใช่ทำเพราะเขาบอกให้ทำ

และในที่สุดเมื่อวินทร์ยกมือขึ้นปิดปากหาวอีกรอบเป็นการย้ำเตือนถึงเรื่องราวที่ปกปิดไว้เมื่อคืนก็ดูเหมือนความต้องการของอทิฏฐ์จะประสบผล

“เมื่อวานวันเกิดพี่วินทร์เหรอครับ” เขาหลุดปากออกไปโดยไม่รู้ตัว

มือใหญ่ที่ยกขึ้นปิดปากค้างไว้เช่นนั้นอีกหลายวินาทีด้วยความตกใจก่อนจะลดมือลงช้าๆ “นายรู้ได้ไง”

“น้องๆ เล่าให้ฟัง... ขอโทษครับ คือผมไม่ได้ ผมแค่... คือผมรู้ว่าเพิ่งหายป่วยแต่...” นรกรพูดตะกุกตะกักจนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองคิดอะไรอยู่หรืออยากจะพูดอะไรกันแน่ เมื่อคนข้างๆ แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

“ขอโทษนะ”

“พี่วินทร์ขอโทษผมทำไมครับ”

“ที่ไม่ชวน” วินทร์ยกมือเกาศีรษะ “คือยังไงดีล่ะ เจ้าพวกนั้นมันวางแผนจะมอมเหล้านายเพราะอยากรู้ว่าเด็กเนิร์ดอย่างนายตอนเมาจะเป็นยังไง... พวกมันไม่ได้คิดร้ายอะไรหรอกก็แค่ห่ามๆ ตามประสาผู้ชายน่ะ ฉันจะห้ามก็ไม่ได้เพราะมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่... จะว่ายังไงดีล่ะ ก็แค่เป็นห่วงน่ะ เลยคิดว่าไม่บอกดีกว่าแล้ววันเกิดฉันมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรนักหนาด้วยใช่ไหมล่ะ”

“สำคัญสิครับเพราะเป็นวันที่พี่วินทร์เกิดมานี่นา” นรกรสวนออกไปโดยไม่รู้ตัวแต่อย่างน้อยจากก้นบึ้งของหัวใจเขาก็คิดแบบนั้นจริงๆ “สุขสันต์วันเกิดครับ ขอโทษที่ช้าไปหน่อย พอดีผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรมาให้ ขอโทษนะครับ”

วินทร์หยุดยืนมองคนตรงหน้าราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันที่จะได้ยินคำๆ นี้จากปากคนที่เคยคิดว่าไม่มีเขาอยู่ในสายตา “ถ้านายอยากจะให้งั้นฉันขอของขวัญเองได้ไหม”

“ได้สิครับ”

“งั้นไปกินข้าวด้วยกันนะ”

“ก็กำลังไปไม่ใช่เหรอครับ” นรกรถามพาซื่อ

“ไม่ใช่วันนี้ฮาร์ฟ” ถึงตอนนี้วินทร์แทบจะใช้สองมือเกาศีรษะแล้ว “คือ... วันอาทิตย์นี้หลังออกเวร ไปกินข้าวกันเดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”

“ครับ”

นัยน์ตาใสซื่อหลังกรอบแว่นที่มองตรงมายังเขาทำให้วินทร์หายตกประหม่า เขาหลุดยิ้มออกมาในที่สุดพร้อมกับลดมือลงสอดในกระเป๋ากางเกง “แล้วนายอยากกินอะไร”

“ผมเลือกร้านไม่เก่งเอาที่พี่วินทร์ชอบเลยครับ ผมกินได้ทุกอย่าง”

“พวกน้ำตก ส้มตำ ลาบเลือดอะไรแบบนี้ก็ได้เหรอ” วินทร์แซว “ฮะฮะ ล้อเล่นน่า นายคงกินอะไรพวกนี้ไม่เป็นใช่ไหมล่ะ”

“ก็ได้นะครับ พี่เลี้ยงผมเป็นคนอีสานตอนเด็กๆ เขาทำให้ผมกินบ่อย”

วินทร์ยิ้มกว้างขึ้นอีก นอกจากจะได้รู้จักคนอายุน้อยกว่ามากขึ้นอีกนิด นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนกินอะไรง่ายกว่าที่คิด “งั้นวันอาทิตย์สองทุ่มตรงเจอกันนะ”

“ตกลงครับ” นรกรเงียบไปอึดใจก่อนจะพูดต่อ “ขอบคุณพี่วินทร์ที่ไปเยี่ยมผมเมื่อวันก่อนนะครับ”

คิ้วหนาเลิกขึ้นสูง “นายรู้ได้ไง ปอบอกเหรอ”

“ไม่ใช่พี่ปอแต่เป็น เอ่อ... คนอื่น”

“ใคร? นี่นายมีพรายกระซิบด้วยเหรอ”

“พี่วินทร์จะเรียกอย่างงั้นก็ได้ครับ แต่ผมว่าหน้าเขาเหมือนคนมากกว่าพรายนะ”

คิ้วหนาเลิกสูงขึ้นอีกพร้อมกับยกหลังมือขึ้นแตะไปรอบๆ กรอบหน้าคนที่มาด้วยกัน “ไข้ก็ไม่มีสักหน่อย... วันนี้นายแปลกไปนะนอกจากจะไม่พูดถึงตำราแล้วยังรับมุกอีก”

“แล้วมันไม่ดีเหรอครับ”

“ไม่ใช่ไม่ดีแค่ยังไม่ชิน” วินทร์บอก “แต่วันหลังสะกิดบ้างก็ดีนะจะได้ช่วยขำ มุกนายนี่เข้าใจยากชะมัด”

“ก็ยังดีกว่ามุกน้ำตาลเสี่ยวๆ ของพี่วินทร์แหละน่า” นรกรโพล่งออกไป

วินทร์ถึงกับทรุดลงไปนั่งขำบนพื้นกับคำที่โดนย้อนและท่าทีเหมือนเด็กหัวดื้อที่ดึงดันจะเอาชนะ เขายังคงหัวเราะอยู่อีกนานจนนรกรต้องก้มลงฉุดมือดึงให้รีบไปกินข้าวเพราะคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มหันมามองพวกเขาด้วยสายตาแปลกๆ

oooooo

“ผมนึกว่าคุณจะปฏิเสธพี่วินทร์เสียอีก” อทิฏฐ์ถามในขณะที่ช่วยนรกรเดินหาหนังสือตามชั้นในห้องสมุดของโรงพยาบาล

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ” ในที่สุดเขาได้หนังสือเล่มที่ต้องการมากพอ ร่างโปร่งหอบตั้งหนังสือไปวางลงบนโต๊ะและนั่งลงหยิบเล่มแรกขึ้นมา ทันทีที่เปิดกลิ่นกระดาษเก่าลอยมาแตะจมูก มันหอมเสียจนเขาอดใจไม่ยกขึ้นมาแอบสูดสักฟอดไม่ได้

ในยุคสมัยที่การสื่อสารรวดเร็วทุกสิ่งทุกอย่างสามารถหาได้จากอุปกรณ์เครื่องเล็กๆ ในมือ ถึงมันจะสะดวกและรวดเร็วแต่ถ้ามีเวลานรกรจะมีความสุขมากกว่ากับการได้มายืนในเขาวงกตของห้องสมุดแล้วลงมือค้นหาความลับไปตามกำแพงหนังสือแต่ละชั้น อันที่จริงที่อทิฏฐ์เคยแซวเขาไว้นั่นก็ไม่ผิดนักหรอก จะว่าเสพติดหนังสือก็ได้แต่คนที่ไม่เคยน้ำหมึกเปื้อนมือจะมาเข้าใจอรรถรสของการอ่านจากเล่มได้ยังไง

อทิฏฐ์ไหวไหล่ “ก็คุณดูเป็นคนแบบนั้น... เดี๋ยวก่อนคือผมหมายความว่าที่คุณตอบไปแบบนั้นน่ะดีแล้ว”

“ก๊อกๆ” เสียงทุ้มดังขึ้นขัดจังหวะพร้อมกับร่างสูงในชุดกาวน์ยาวสีขาวมาหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะ “ขอพี่คุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ”

“พี่ปอมีอะไรหรือครับ”

“พี่มีเรื่องอยากคุยกับเราน่ะ วันอาทิตย์นี้พอจะมีเวลาว่างไปกับพี่ได้ไหมครับ” คณิณรู้ว่าคนตรงหน้าต้องปฏิเสธแน่ๆ จึงรีบมัดมือชก “ถือว่าตอบแทนที่พี่ไปดูแลตอนเราป่วยไง นะฮาร์ฟพี่มีเรื่องอยากคุยด้วยจริงๆ”

นรกรไตร่ตรองอยู่อึดใจ “ก็ได้ครับ”

“งั้นตอนหกโมงเจอกันร้านเดิมนะ”

ยังไม่ทันที่คณิณจะคล้อยหลังไปไกล อทิฏฐ์ก็ยกมือขึ้นกอดอกพร้อมทั้งจิกตาใส่ “คุณเพิ่งตอบตกลงไปกินข้าวกับพี่วินทร์”

“พี่วินทร์นัดสองทุ่มแต่พี่ปอนัดหกโมงนี่” ตอบตามตรงพร้อมตวัดสายตาหลังกรอบแว่นกลับไปมองตามบรรทัดบนหน้าหนังสือ

อทิฏฐ์ผ่อนลมหายใจเล็กน้อยพร้อมลดมือที่กอดอกไว้ลง ถ้าเป็นคนอื่นสิ่งที่ทำคงไม่ต่างอะไรกับการจับปลาสองมือแต่สำหรับหนอนหนังสือผู้คงแก่เรียนคนนี้ มันก็แค่ ‘เวลานัด’ เหมือนกับการจัดคิวตรวจผู้ป่วยก็เท่านั้น มันจึงไม่มีประโยชน์อันใดเลยที่จะไปหงุดหงิดใส่นอกจากจะช่วยทำอะไรที่เป็นประโยชน์มากกว่านั้น

เขาเดินวนไปวนมารอบชั้นหนังสือพร้อมกับใช้นิ้วเคาะปลายคางไปด้วย พลางสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ เผื่อจะได้คำตอบ
ผู้ชายในกรอบภาพสีน้ำมันบนผืนผ้าใบบานใหญ่ที่ประดับเรียงรายอยู่บนฝาผนังขมวดคิ้วให้เขา

อทิฏฐ์หยุดยืนมองชายศีรษะล้านไว้หนวดหนาปกคลุมเหนือริมฝีปากบน เขาสวมชุดทักซิโด้ผูกหูกระต่ายนั่งไขว้ห้างอยู่ในสวน ทั้งๆ ที่เป็นแค่ภาพวาดธรรมดาแต่นัยน์ตาคมกริบที่ทอดมองลงมากลับสะกดให้เขาไม่อาจถอนสายตาได้ราวกับผู้ชายคนนี้ยังคงมีชีวิตและกำลังพยายามบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้เขาฟัง

คำบรรยายบนป้ายดุนนูนสีทองใต้ภาพบอกให้รู้ว่าเขาคือ เซอร์วิลเลียม ออสเลอร์ (Sir William Osler) แพทย์ชาวแคนาดาผู้เป็นบิดาแห่งอายุรแพทย์

แต่ต่อให้คุ้นยังไงก็ไม่เข้าใจว่ามีความหมายอะไรกับตน อทิฏฐ์มองเลยไปยังภาพวาดถัดไปซึ่งเป็นภาพคุณหมอหนุ่มหน้าตาใจดีด้วยอมยิ้มที่มุมปากนั่งอยู่ในห้องสมุดชื่อ ฮาร์วี่ คูชชิ่ง (Harvey Williams Cushing)

อทิฏฐ์หลุดขำออกมาเล็กน้อยโดยไม่รู้สาเหตุ บางทีอาจเป็นเพราะตำแหน่งบิดาแห่งแพทย์ศัลยกรรมประสาทและสมองที่ต่อท้ายชื่อมาทำให้เขานึกถึงคนที่นิ่วหน้าอ่านหนังสืออยู่ เขาเริ่มสนุกและสนใจศิลปะในห้องสมุดจึงเริ่มเดินต่อไปยังกรอบรูปถัดไปซึ่งเป็นภาพของนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังที่แม้แต่คนความจำเสื่อมอย่างเขายังรู้จักเป็นอย่างดี

ทันทีที่อ่านเกียรติคุณที่ต่อหลังชื่อจบ หลอดไฟแห่งความคิดก็สว่างวาบขึ้นในหัว เขารีบพุ่งกลับไปหานรกรทันที

แต่จะจู่โจมทันทีเลยคงไม่เหมาะ ร่าโปร่งแสงแกล้งผิวปากเดินวนไปรอบๆ สองสามรอบ “ฮาร์ฟ ผมว่าผมหน้าคุณยาวแล้วนะไม่คิดจะไปตัดออกสักหน่อยเหรอ” ทำเป็นเลียบๆ เคียงๆ ถาม

นรกรเงยหน้าจากหนังสือแล้วใช้ปลายนิ้วจับปอยผมหน้าที่เริ่มแยงตาและบังกรอบแว่นไปถึงหนึ่งในสาม “นั่นสิผมก็ชักจะรำคาญแล้วเหมือนกันงั้นเราก็ไปกันเลยดีกว่าเดี๋ยวร้านจะปิดเสียก่อน”

oooooo

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 4 (ต่อ)

“หมอฮาร์ฟตัดผมใหม่เหรอคะ” พยาบาลสาวที่เคาน์เตอร์หน้าห้องตรวจโรคร้องทักหลังจากเหลือบตามองเขาถึงสามครั้ง เพราะจำกันไม่ได้

“คือมันยาวแล้วน่ะครับเลยไปเล็มออก” คุณหมอหนุ่มตอบเขินๆ พลางยกมือขึ้นลูบปอยผมหน้าที่ถูกตัดออกจนสั้นเปิดให้เห็นหน้าผากและกรอบหน้าชัดเจน ซ้ำยังถอดแว่นออกและเปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์

“น่าจะทำทรงนี้ตั้งนานแล้วนะคะหน้าตาดูสดใสมากเลย”

“พี่ฮาร์ฟ!” จิงโจ้และแพทย์ประจำบ้านคนอื่นที่ทยอยมาถึงร้องทักพร้อมกับวิ่งมายืนจ้องหน้าอย่างไม่คิดจะปิดบัง “พี่ไว้ผมทรงนี้หล่ออะ ยังกะดาราเกาหลีแน่ะไว้ผมจะไปตัดบ้าง”

“อย่าแม้แต่จะคิดเลยไอ้โจ้ เบ้าหน้าไม่ได้สักครึ่งของพี่เขาทำเป็นพูด” อนุวัฒน์ว่า

ทุกคนพากันชมเปราะจนเจ้าตัวที่ขี้อายอยู่แล้วได้แต่ยืนนิ่งพูดไม่ออก ในขณะที่ตัวต้นเหตุยืนกอดอกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยภาคภูมิใจในความสำเร็จของตัวเอง

การหลอกล่อพ่อสารานุกรมเคลื่อนที่ไปร้านตัดผมไม่ยากเท่าโน้มน้าวให้ลองเปลี่ยนทรงผมดู เขาแอบเห็นมานานแล้วว่านรกรเป็นคนหน้าใส ผิวก็ขาวละเอียดเพราะไม่เคยโดนแดดแถมตาก็กลมโตแต่เพราะแอบอยู่หลังกรอบแว่นกับผมที่ปรกหน้าทำให้ไม่มีใครมองเห็นจนยิ่งดูเป็นคนมืดมนไม่น่าคบหา

‘ผมหน้ามันแยงตาแถมยังต้องเสียเงินมาตัดบ่อยๆ ผมว่าคุณตัดสั้นเปิดหน้าผากไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ’

‘แบบนั้นมันก็ต้องเสียเวลาเซ็ตน่ะสิ’

‘ไม่หรอกน่า แค่ปัดๆ เสยๆ ขึ้นไปเอง น่านะ... เชื่อผมสักครั้งสิ’ นรกรยังมีท่าทีลังเลเขาจึงงัดมุกที่คิดว่าอีกฝ่ายต้องยอมฟังมาใช้ ‘ผมที่ปรกตาทำให้เลนส์ทำงานหนักต้องปรับโฟกัสตลอดเวลา การตัดผมสั้นเป็นการถนอมสายตาอย่างหนึ่งนะ’

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันอึดใจ เขาไว้ผมทรงนี้มาตั้งแต่เด็กและไม่เคยมีความคิดที่จะเปลี่ยน แต่ที่อทิฏฐ์พูดมาก็ถูก นรกรพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหันไปบอกกับช่าง ในขณะที่คนช่างยุยืนยิ้มแก้มแทบปริ

และหลังจากช่างทำผมสาวประเภทสองตวัดกรรไกรแสดงฝีไม้ลายมืออยู่ครู่ใหญ่ๆ หล่อนก็สะบัดผ้าคลุมไหล่ออกพร้อมกับหมุนเก้าอี้กลับมาเพื่อนำเสนอผลงานของตน แล้วทุกคนในร้านก็กรีดร้องไม่ต่างอะไรกับคนที่โรงพยาบาลนี่แหละ

ทีนี้ก็เหลือแค่กำจัดไอ้แว่นบ้านั่นออกไปซึ่งนับว่าเป็นงานมหาหินมากทีเดียว
   
‘คุณไม่ลองใส่คอนแทคเลนส์ดูบ้างเหรอ’

‘มันทำให้ระคายเคืองตา เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าให้ผมตัดผมสั้นจะได้ถนอมสายตาไม่ใช่เหรอ’
ไอ้คนความจำดี!

อทิฏฐ์ทำปากขมุบขมิบไม่คิดว่าจะโดนย้อนคำ เขากำลังจะหาเรื่องแถต่อเมื่อนรกรพูดอย่างรู้ทัน

‘ทิด คุณมีแผนการอะไรกันแน่บอกผมมาตรงๆ เลยดีกว่า’

อทิฎฐ์ยิ้มแหย ‘ผมแค่อยากแปลงโฉมให้คุณ’

‘ทำไม สภาพผมในตอนนี้มันดูแย่มากเลยเหรอ’

‘ไม่ใช่อย่างนั้น แต่คนเราน่ะมันตัดสินกันเสี้ยววินาทีที่แรกพบสบตากันใช่ไหมล่ะ ดังนั้นถ้าคุณอยากเข้าหาคนอื่นได้ง่ายๆ คุณก็ต้องเปลี่ยนตัวเองให้ดูสดใสน่าคบหาเสียก่อน’

‘ผมคิดว่าผมทำได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรนะ’

‘ใช่คุณทำได้’ อทิฏฐ์ว่า ‘ถ้ามันเป็นสิ่งที่คุณทำได้อยู่แล้วน่ะนะ’

‘หมายความว่าไง’

‘ถ้าคุณอยากได้ในสิ่งที่ไม่เคยได้ คุณต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ’ อทิฏฐ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ‘คุณลองคิดดูสิ ถ้าเอดิสันยังยืนยันที่จะใช้วิธีเดิมๆ ในการประดิษฐ์หลอดไฟ เขาก็จะไม่มีวันคิดค้นหลอดไฟได้ แต่เขาทำได้หลังจากที่ทดลองวิธีการใหม่ๆ ถึง 999 วิธี’

‘หมายความว่าผมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองถึง 999 อย่างเลยเหรอ’

‘ไม่หรอก’ อทิฏฐ์ละคำว่า... เพราะบางทีมันอาจจะมากกว่า ไว้ในใจ ‘แต่อย่างน้อยถ้ามันไม่ประสบผลสำเร็จคุณก็จะค้นพบวิธีที่ไม่เวิร์คเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวิธีไม่ใช่เหรอ’

นับว่าการนั่งนโมท่องไดอาล็อกนั่นอยู่นานสองนานไม่ถือว่าเสียเวลาเปล่าเมื่อนรกรยอมเดินเข้าร้านแว่นเพื่อไปวัดสายตาและลองใช้คอนแทคเลนส์



“เสียงดังอะไรกัน” พี่ใหญ่สุดอีกคนของสายศัลยกรรมประสาทและสมองเดินอ้าปากหาวจนเกือบเห็นไส้ติ่งเข้ามาร่วมวง

“อ้าวพี่วินทร์” จิงโจ้หันไปยกมือไหว คนอื่นๆ ก็เช่นกัน “ไม่มีอะไรครับพวกเราแค่แซวที่พี่ฮาร์ฟตัดผมใหม่หล๊อหล่อ พี่วินทร์ว่าปะ”

ร่างสูงลดมือลงล้วงกระเป๋ากางเกงพร้อมก้มหน้าลงมาจ้องใกล้ๆ จนแทบจะชิด “ก็งั้นๆ อะ ไม่เห็นจะหล่อขึ้นตรงไหน แล้วนี่นึกยังไงใส่คอนแทคฯ เดี๋ยวก็ไปทำร่วงใส่สมองคนไข้ตอนผ่าตัดหรอกอันตรายจะตาย”

“เหยยยย พี่วินทร์อะพูดอะไรแบบนั้น ทีตัวเองไว้หนวดเป็นตะไคร่น้ำเกาะคางคิดว่าดูดีตายล่ะ”

“ทำไมมีปัญหาหรือไง แล้วถ้านี่ว่างมาจับกลุ่มคุยเล่นกันละก็ ทำไมไม่รีบไปเข้าห้องแล้วลงมือตรวจคนไข้จะได้เสร็จเร็วๆ ไป๊!”

“คร้าบบบ”

“พี่วินทร์ใจร้ายยยย”

“ทำไมไปว่าพี่ฮาร์ฟแบบนั้น”

ทุกคนแซวแกมบ่นก่อนจะแยกย้ายกันไปเข้าห้องตรวจของตน

“ผมไปนะครับ” นรกรค้อมศีรษะและก้าวเร็วๆ เข้าห้องตรวจไป

“ฮาร์ฟ เดี๋ยวก่อน” อทิฏฐ์ร้องเสียงหลง “ไอ้พี่วินทร์บ้าเอ๊ย! คนเขาอุตส่าห์เชียร์ ผีหมาบ้าที่ไหนเข้าปากมาละเนี่ย” เขาพุ่งตามเข้าไปในห้องเห็นคุณหมอหนุ่มนั่งก้มหน้าอ่านแฟ้มคนไข้ ในขณะที่ใช้หลังมือขยี้ตาเร็วๆ “ไม่เป็นไรนะ”

“อืม”

“ไม่เอา ไม่ขยี้ตาน่า วันนี้คุณใส่คอนแทคฯ มานะอย่าลืมสิ เดี๋ยวตาก็แดงหรอก”

“ผมโอเค” นรกรรีบบอกเมื่อเห็นร่างโปร่งแสงเกาะขอบโต๊ะอยู่ไม่ห่างด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าทะเล้นเจื่อนไปด้วยความรู้สึกผิด “จริงๆ นะ ที่ขยี้นี่แค่เคืองเพราะไม่ชินเฉยๆ ผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนหน้าตาดี และก็ชินแล้วด้วยกับการโดนแกล้ง หนักกว่านี้ก็เคยโดน แค่นี้ถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก”

“ที่ว่าแกล้งนี่คืออะไรเหรอ”

“ก็อย่างตอนม.ปลาย” นรกรละสายตาจากแฟ้มผู้ป่วยพลางเริ่มต้นเล่า “มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาน่ารักเป็นขวัญใจของห้อง เธอมาขอให้ผมสอนการบ้านทุกวันแล้วก็เอาขนมมาให้เป็นการตอบแทน เราเลยเริ่มคุยกันมากขึ้น เหมือนเคมีมันเข้ากันน่ะ เราชอบหนังสือแบบเดียวกัน ฟังเพลงสไตล์เดียวกันแถมยังมีนักวิทยาศาสตร์ในดวงใจคนเดียวกันอีก”

“ก็ฟังดูน่ารักปั๊บปี้เลิฟดีออกแล้วคุณไปโดนแกล้งตอนไหน”

“วันวาเลนไทน์ เธอหอบเอากุหลาบช่อโตมาโรงเรียนแต่ดันโดนครูฝ่ายปกครองยึด ผมเลยอาศัยความเป็นหัวหน้าห้องไปขอคืนมาบอกว่าต้องใช้ประกอบการพรีเซนต์ยีนเด่นยีนด้อยตามหลักของเมนเดลในชั่วโมงชีววิทยาน่ะ แล้วมันก็ได้ผลครูคืนดอกไม้มาให้ เธอนี้ยิ้มแก้มปริเลย”

“แล้ว...”

“แล้วเธอก็บอกรักผมโดยใช้กุหลาบช่อนั้น”

“เฮ้ยยยย! แกล้งแบบนี้น่ารักอะ”

“ก็คงจะน่ารักถ้าอีกฟากหนึ่งของบานประตูไม่ได้มีเพื่อนกว่าครึ่งห้องแอบฟังอยู่” อทิฏฐ์ค่อยหุบยิ้มลง ถึงน้ำเสียงของคนตรงหน้าจะไม่ได้เศร้าสร้อยแต่เขาไม่รับรู้คลื่นของความสุขในถ้อยคำที่กำลังจะพูดต่อมา “พวกเขาพนันกันว่าผมจะรับรักเธอภายในกี่วันแล้ววันนั้นก็เป็นวันสุดท้าย”

“ทุเรศอะ!” ถ้ามือของอทิฏฐ์สัมผัสโต๊ะได้คงได้ยินเสียงปังดังไปทั้งฟลอร์ “เฮ้ย! ทำอย่างงี้ได้ไง มาล้อเล่นอะไรกับหัวใจคนแบบนี้”

“ใจเย็นๆ ทิด” นรกรกระซิบ “ผมโอเค จริงๆ นะ เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว” เขาย้ำอีกครั้งเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจก่อนจะก้มหน้าลงอ่านแฟ้มผู้ป่วยต่อ

หากในสายตาของคนที่เฝ้ามองอยู่ เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่ มีความอ่อนไหวซ่อนอยู่ในแววตาที่แน่วนิ่งและใบหน้าเรียบเฉยนั่น แต่ไม่รู้จะปลอบยังไงเขาจึงใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้วางบนโต๊ะก่อนจะทำปูไต่ไปหยุดข้างมือเรียวที่วางอยู่บนโต๊ะ ใช้ปลายนิ้วสะกิดเบาๆ ก่อนจะวางลงไว้ข้างกัน

นรกรเหลือบตามามอง นัยน์ตาสองคู่จึงสบกันนิ่ง จริงอยู่ว่าฝ่ามือนั้นไม่สัมผัสโดนเขา แต่เขารับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่อีกฝ่ายมีให้

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นก่อนจะค่อยๆ ถูกแง้มออกทำให้ทั้งสองละสายตาจากกันและหันไปมอง

เด็กสาวร่างเล็กเยี่ยมหน้าเข้ามาก่อนจะร้องเสียงหลง “ขอโทษค่ะ หนูเข้าห้องผิด” เธอรีบยกมือไหว้ขอโทษก่อนจะชะโงกหน้าออกไปดูป้ายหน้าห้องอีกครั้ง “เอ๊ะ! ก็ถูกนี่นา”

“เชิญนั่งครับ” นรกรลุกขึ้นพร้อมกับกวักมือเรียก

“หมอฮาร์ฟ!” ลลินจ้องมองคุณหมอหนุ่มไม่วางตาพร้อมกับเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความคุ้นเคย “คุณหมอไปทำอะไรมาทำไมหล่อจัง อ๋อ! รู้แล้ว ตัดผมใหม่กับเปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์ใช่ไหมคะ”

นรกรไม่สนใจคำชมและเริ่มต้นซักถามอาการทันทีโดยไม่ให้เสียเวลา “เป็นไงบ้าง มีปวดหัว เดินเซ การมองเห็นลดลงหรืออาการผิดปกอื่นๆ บ้างไหม”

“ไม่มีเลยค่ะนอกจากตกใจที่เห็นหมอฮาร์ฟหล่อขึ้น”

“ผลสแกนสมองออกมาแล้วนะก้อนที่เหลือจากการผ่าตัดยังมีขนาดเท่าเดิมและไม่มีก้อนใหม่เพิ่มขึ้นมา”

“เย้! แบบนี้หนูก็น่าจะไปเรียนไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ”

ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ลลินเป็นเด็กซิ่วเพราะเมื่อปีที่แล้วเธอต้องแอดมิทเพื่อผ่าตัดในช่วงสอบพอดี เขายังจำความผิดหวังในแววตานั้นได้ดีทั้งที่ปากพูดซ้ำๆ คล้ายจะปลอบใจตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไรปีหน้ายังมี’ “แต่ต้องมาให้เคโมให้ครบนะ แล้วช่วงที่ให้ก็ต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ถ้าออกไปข้างนอกที่คนเยอะๆ ก็ใส่หน้ากากปิดปากปิดจมูกด้วยเพราะร่างกายเราอ่อนแอสามารถรับเชื้อโรคได้ง่าย”

“รับทราบค่ะ” เธอยกมือขึ้นตะเบ๊ะท่าทางขึงขังก่อนจะยกมือไหว้อีกครั้งพร้อมกับรับใบนัดครั้งต่อไป

“เดี๋ยวก่อน...”

“มีอะไรคะหมอฮาร์ฟ”

“คือ... หมอไม่รู้ว่าช้าไปไหม แต่... เอ่อ... เรื่องสอบน่ะ สู้ๆ นะ”

นัยน์ตากลมเบิกโตขึ้นเล็กน้อยก่อนจะลดขนาดลงจนเล็กยิบหยีจากการโดนพวงแก้มใสเบียดบัง “ขอบคุณค่ะ” เธอยกมือไหว้อีกครั้งก่อนจะปิดประตู

“เหย ไม่เลวนี่คุณ” ร่างโปร่งแสงยิ้มกว้างพร้อมกับชูนิ้วโป้งให้สองมือ

“ผมพบวิธีที่ได้ผลเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวิธีแล้วใช่ไหม”

อทิฏฐ์พยักหน้า คนไข้คนต่อไปเดินเข้ามาพอดีเขาจึงรีบเขยิบไปยืนด้านหลัง

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งการตรวจเสร็จสิ้น นรกรกำลังเก็บของเมื่อร่างสูงเดินเข้ามา เขาแกล้งทำเป็นก้มหน้าอ่านแฟ้มคนไข้ “พี่วินทร์มีอะไรครับ”

ร่างสูงเดินมาหยุดยืนเกาศีรษะที่ข้างโต๊ะสองสามทีก่อนจะคว้าไหล่นรกรให้หันมาพร้อมเชยคางให้เงยหน้าขึ้นสบตา “ว่าแล้วเชียวตาแดงหมดแล้ว” วินทร์บ่นในลำคอก่อนจะล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อและหยิบเอาขวดน้ำตาเทียมออกมาเปิดฝาแล้วจัดแจงหยอดให้ข้างละสองหยด “เป็นไงดีขึ้นไหม”

นรกรกะพริบตาเร็วๆ เพื่อให้ตัวยาเคลือบเลนส์ตาเต็มที่ รู้สึกงุนงงไม่น้อยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า “ครับ”

“นายน่ะมันพวกตาบอบบางนี่ โดนอะไรนิดอะไรหน่อยก็เคืองแล้ว นี่ไอ้บ้าที่ไหนมันไปยุมาฮึ!” วินทร์จิ๊ปากอย่างขัดใจ

นรกรเหลือบมองร่างโปร่งแสงที่ยืนกอดอกแยกเขี้ยวทำหน้ายักษ์ล้อเลียนอยู่ข้างๆ “เปล่าครับ ผมแค่อยากลองเปลี่ยนดูน่ะ”

“ถ้างั้นก็หัดพกพวกน้ำตาเทียมไว้ด้วยสิ” บอกพร้อมกับวางขวดยาลงบนโต๊ะ

นรกรเหลือบตามองเล็กน้อย วินทร์ไม่ใส่แว่น ไม่ใส่คอนแทคเลนส์แล้วทำไมเขาถึงมียาหยอดตาติดตัว “พี่วินทร์ไปเอายามาจากไหนครับ”

“ขอเพื่อนที่อยู่แผนกตามาน่ะ”

แผนกตาหรือ OPD Eye ที่พูดถึงอยู่ถัดขึ้นไปอีกสองชั้น นรกรพินิจดูเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดพรายตามไรผมทั้งที่แอร์ในห้องเย็นเฉียบกับหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ริมฝีปากค่อยคลี่ออกจนคนที่แอบมองอยู่อดยิ้มตามไม่ได้

“ขอบคุณนะครับ”

คนตัวสูงกว่าเหลือบมองทางหางตา “เดี๋ยววันอาทิตย์นี้ฉันไปรับนายที่ห้องนะ ไปรถคันเดียวกันสะดวกดี”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” นรกรบอก “พอดีผมจะไปธุระกับพี่ปอก่อนเดี๋ยวจะตามไปทีหลัง พี่วินทร์บอกร้านมาก็พอครับ”

วินทร์หน้าเครียดขึ้นมาทันที “ร้านมิดไนท์ เดี๋ยวฉันส่งที่อยู่ให้ในไลน์”

“ตกลงครับ”

“ครับ”

“อย่าลืมนะว่าเรามีนัดกันตอนสองทุ่ม”

“ครับ ไม่ลืม”

oooooo

เมื่อวันอาทิตย์มาถึงคนที่เครียดที่สุดกลับกลายเป็นอทิฏฐ์ซึ่งนั่งกุมขมับอยู่บนเตียงรอดูคนที่หายเข้าไปแต่งตัวอยู่ในห้องน้ำนานสองนาน แป๊บๆ ก็ลุกขึ้นไปพิงประตูตะโกนเรียกคนที่อยู่ข้างใน

“นี่คุณให้ผมช่วยเลือกชุดไหม”

“ไม่เป็นไรไม่ต้องช่วย”

ยิ่งนรกรปฏิเสธเขายิ่งเครียดไปกันใหญ่ “แต่ผมอยากช่วยนี่นา ให้ผมช่วยเถอะน่า นะ นะ... เฮ้อ~ หน้าตาก็ออกจะดีแต่อย่าแต่งอะไรเป๋อๆ เลยนะ คิดแล้วเสียดายของชะมัด” บ่นกับบานประตูที่ปิดสนิทก่อนมันจะเปิดผัวะออกพร้อมกับคนซึ่งถูกนินทาก้าวออกมา

“คุณว่าอะไรนะ”

“ก็ว่า...” อทิฏฐ์กรอกตาขึ้นข้างบนกำลังจะตั้งต้นบ่นเมื่อเห็นคนตรงหน้าเต็มตา เขากวาดมองร่างโปร่งตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง และอีกครั้ง “เฮ้ย! นี่มันใช่ไอ้เด็กเนิร์ดสารานุกรมเคลื่อนที่ที่นั่งแทะหนังสืออยู่กับผมทุกวันหรือเปล่าเนี่ย”

“เดี๋ยวฟาดด้วยคู่มือตรวจโรคเลยดูพูดเข้า” ร่างโปร่งยกหลังมือที่ยังติดกระดุมข้อมือไม่เสร็จขึ้นกึ่งจริงกึ่งเล่น

“ขอโทษคร้าบบบ ” อทิฏฐ์แกล้งยกมือท่วมหัวเพราะตำราเล่มที่ว่าความหนาและหนักของมันนี่คนปกติทำหล่นใส่เท้าก็มีสิทธิ์กระดูกแตกซ่อมไม่ได้เลย “แหม ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าคุณจะแต่งตัวดีแบบนี้”

ร่างสูงโปร่งจนดูเก้งก้างในชุดเสื้อกาวน์สั้นตัวหลวมกลับดูพอเหมาะพอเจาะกับกางเกงสแลคและเสื้อเชิ้ตสีฟ้าแขนยาวเข้ารูปกับรองเท้าหนังมันปลาบ

“แบบนี้เรียกว่าดีเหรอ” นัยน์ตาหลังกรอบแว่นพินิจดูเงาตัวเองในกระจก

“ไม่ใช่แค่ดี แต่โคตรเพอร์เฟคเลยล่ะ คุณไปหัดแต่งตัวแบบนี้มาจากไหน”

“พ่อกับแม่น่ะ” นรกรบอกพลางถอดแว่นออกและหยิบตลับคอนแทคเลนส์มาเปิดฝา “พวกเขาเป็นคนที่อะไรๆ ก็ต้องเนี้ยบ อย่างที่บอกผมไม่รู้หรอกว่าแต่งแบบนี้มันดีหรือเข้ากับผมไหม ผมรู้แค่ว่าแต่งแบบนี้แล้วพวกเขาชอบ”

“ฟังเหมือนจะดูดีเลย ผมชักอยากรู้แล้วสิว่าคุณถูกเลี้ยงดูมายังไง เป็นประเภทที่อะไรๆ ก็ต้องเป็นที่หนึ่งหรือเปล่า”

“ไม่ถึงขนาดนั้น” นรกรว่า “ก็แค่รับไม่ได้กับการเป็นที่สอง”

คอนแทคเลนส์ถูกใส่จนเสร็จ นัยน์ตากลมมองลึกเข้าไปในกระจก ในดวงตาของตัวเองราวกับเขาเห็นเด็กชายคนหนึ่งยืนซ้อนทับเงาของตัวเองอยู่ในนั้น

“ตอนขึ้นป.หนึ่งผมสอบได้ที่หนึ่งของห้องแต่เป็นที่สองของชั้นปี ทั้งครู เพื่อน และผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างพากันชมว่าผมเก่ง ผมกอดสมุดพกเดินตัวลอยเท้าแทบไม่ติดพื้นเหมือนมีลูกโป่งสวรรค์พวงใหญ่ผูกอยู่ที่หลังกลับไปบ้าน แต่ทันทีที่พวกท่านเห็นสมุดเล่มนั้นก็ถูกปิดและโยนลงตรงหน้าเงียบๆ พร้อมกับคำถามว่า ‘ที่หนึ่งไม่ใช่คนเหรอ’... ผมไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้เสียใจ แต่ผมได้เรียนรู้ว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้พ่อกับแม่ซึ่งเป็นอาจารย์หมอด้วยกันทั้งคู่หันมามองได้คือผมต้องไม่เป็นรองใคร”

ไม่ต้องหลับตานึก ภาพทั่วทุกตารางนิ้วบนฝาบ้านที่เต็มไปด้วยใบประกาศและเกียรติบัตรรางวัลเรียนดีก็ลอยขึ้นมาในหัว นั่นยังไม่นับรวมถึงโล่กับถ้วยรางวัลที่วางโชว์อยู่บนชั้นและในตู้ แต่ไม่ต้องมองหาภาพครอบครัวซึ่งมีน้อยแทบนับใบได้

นรกรเหลือบมองภาพถ่ายใบเดียวที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงซึ่งเป็นของประดับชั้นเดียวในห้อง ภาพวันที่เขาจบการศึกษาชั้นม. 6 และนั่นเป็นภาพถ่ายใบสุดท้ายที่เขาถ่ายกับครอบครัว เพราะวันที่เขารับปริญญาทั้งพ่อและแม่ติดเข้าเคสผ่าตัดใหญ่ด้วยกันทั้งคู่

‘ชีวิตคนสำคัญกว่า’ นั่นคือสิ่งที่เขาเฝ้าบอกตัวเองมาตลอดชีวิตนักเรียนแพทย์และการเป็นหมอ

“คุณไม่เป็นไรนะ”

“ผมโอเค” นรกรรีบบอก “ผมอยู่กับความรู้สึกนี้มาสามสิบสองปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ก็แค่ทำยังไงก็ได้ให้เป็นที่หนึ่ง”

“ผมถามจริง แล้วมันได้ผลไหม”

นรกรไหวไหล่ “ก็ดีพอที่จะทำให้เขาไม่ส่งผมกลับไปโรงพยาบาลบ้าตอนเห็นผมพูดคนเดียวเพราะคิดว่าผมกำลังนั่งท่องจำสูตรอะไรสักอย่าง... ป่านนี้แล้วไปกันเถอะเดี๋ยวพี่ปอจะรอ” เขาหันมาพยักเพยิดอีกครั้งเมื่อเห็นร่างโปร่งแสงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม “ไม่ไปด้วยกันเหรอ”

“ไม่ดีกว่าวันนี้วันพิเศษของคุณ”

“ตรงไหนกันแค่ไปกินข้าวเอง ผมอยากให้คุณไปด้วย”

“แต่ผมไม่อยากไป” ริมฝีปากคลี่รอยยิ้มบาง มันเกือบๆ จะเป็นเดทและเขาไม่อยากเป็นก้างขวางความสุขใคร “เห็นคุณมีความสุขผมเลยอยากไปนั่งเฝ้าโซลเมทของผมบ้างน่ะ เผื่อจะนึกอะไรออก”

“งั้นคืนนี้เจอกันนะ”

อทิฏฐ์ชะโงกหน้ามองผ่านผ้าม่านส่งคนที่กำลังไขประตูรถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิค นรกรเงยหน้าขึ้นมาโบกมือให้ เขายิ้มตอบแต่ไม่รู้ทำไมแววตานั้นถึงไม่ยอมยิ้มตามไปด้วยกันเลย

ร่างโปร่งแสงเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่เจ้าของไม่อยู่ กลิ่นหอมสบู่ที่นรกรใช้ประจำติดอยู่บนผืนผ้า กดปลายจมูกสูดดมจนเต็มฟอดนึกดีใจเล็กๆ ที่ถึงไม่มีกายเนื้อแต่ยังอุตส่าห์ได้กลิ่น เขาโกหกเรื่องออกไปข้างนอก จริงๆ แล้วไม่คิดจะออกไปไหนเลย อยากนอนนิ่งๆ อยู่แบบนี้ บางทีก็รู้สึกเหนื่อยกับการตามหาตัวเองที่หลงลืมไป

หลายวันที่ผ่านมานรกรจะช่วยเขาเปิดหาข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับเก่า และเข้าเว็บแจ้งคนหายเผื่อจะเจอใครสักคนที่ดูแล้วน่าจะเป็นเขาแต่ก็ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด ยิ่งดูก็ยิ่งคิดงานศพเขามีใครมาไหม จะมีใครร้องไห้ให้บ้างไหม และจนถึงตอนนี้ยังมีใครสักคนคิดถึงเขาไหม แล้วทำไมเขาถึงจำอะไรไม่ได้ ทำไม...

อทิฏฐ์ปิดเปลือกตาลงพร้อมกับคำถามเดิมๆ ที่วนเวียนอยู่ในหัว บรรยากาศรอบกายมืดลงเมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้า ทุกอย่างภายในห้องพักนิ่งงันเหมือนเวลาหยุดหมุนยกเว้นแต่ภาพนิมิตบางอย่างที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในจิตใต้สำนึก

oooooo

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 4 (ต่อ)

รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคเลี้ยวเข้าจอดหน้าร้านที่คุ้นเคย สมัยที่ยังคบกันคณิณมักพาเขามานั่งที่นี่ทุกวันหยุด ท่ามกลางผู้คนที่วุ่นวายนรกรกวาดตาเพียงอึดใจก็เห็นคนที่มองหาโบกมือเรียกที่หน้าร้านตรงจุดที่เขามักจะมายืนรออยู่เสมอๆ

“พี่ก็มองตั้งนานแน่ะว่าใคร” คณิณทัก “ตัดผมเหรอ แถมยังไม่ใส่แว่นด้วย”

“แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศน่ะครับ”

“เสียดายจังพี่ก็หลงดีใจนึกว่าเราแต่งหล่อเพราะจะมากับพี่ซะอีก... คิดถึงจังหน้าของเราเวลาไม่มีอะไรมาบัง” เพราะนรกรเหลียวมองทางหางตาคณิณจึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องทั้งที่ยังยิ้มกว้าง “รีบเข้าไปข้างในกันเถอะเดี๋ยวโต๊ะจะเต็ม พี่ไม่ได้จองไว้ซะด้วยสิ”
เพราะเป็นคืนวันอาทิตย์ที่คนแออัดทำให้พวกเขาได้ที่ว่างแคบๆ ตรงมุมบาร์ ซึ่งถ้าเป็นปกติคงนั่งได้แค่คนเดียวแต่การต้องเบียดๆ กันก็ทำให้ไม่ต้องตะโกนดังๆ แข่งกับเสียงเพลงและเปิดโอกาสให้นรกรได้มองคนที่ไม่ได้เห็นเต็มตามาหลายปีโดยไม่ต้องแอบอีกต่อไป

ใบหน้าหล่อเหลาที่แก่กว่าหนึ่งปีดูภูมิฐานและมีริ้วรอยขึ้นตามวัย กระดุมเม็ดบนของเสื้อเชิ้ตมีที่มักถูกติดเรียบร้อยอยู่เสมอเวลาทำงานถูกแกะออกถึงสองเม็ดกับแขนเสื้อพับลวกๆ ขึ้นเหนือข้อศอกเผยให้เห็นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เจ้าตัวหมั่นเข้ายิมสม่ำเสมอไม่เคยขาดมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย   

“ได้ข่าวว่าพี่ปอเพิ่งไปดูงานที่อเมริการมาเป็นไงบ้างครับ” ถามพลางยกแก้วคอกเทลขึ้นจิบ แต่จะว่ากันจริงๆ มันก็แค่น้ำแอปเปิ้ลปั่นเพราะสั่งแบบไม่ใส่แอลกอฮอล์สักหยด ดูท่าว่าร่างกายของเขาจะไม่ถูกโฉลกกับแอลกอฮอล์เท่าไหร่ ครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่กินคือตอนไปงานบายเนียร์ของคณิณ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นแต่หลังจากลืมตาตื่นมาในห้องพักคณิณก็ห้ามเขาแตะของพวกนี้เด็ดขาด

“ก็สนุกดี ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะทั้งโรคที่เราไม่เคยเจอและการรักษาใหม่ๆ”

“ดีจังเลยนะครับ” กำลังจะถามต่อเมื่อแก้วเหล้าถูกยกขึ้นตรงหน้าเป็นเชิงบอกให้หยุด

“คุยเรื่องพี่เยอะแล้ว คุยเรื่องอื่นบ้างเหอะ”

“ยังเหลือเรื่องอะไรอีกล่ะครับ ผมเพิ่งโดนพี่ปอซักฟอกจบไปเองนะ”

“งั้นเรื่องของเราล่ะ” ทันทีที่พูดจบใบหน้าที่กำลังแย้มยิ้มแทบไร้สีเลือดฝาด นรกรลุกหนีรวดเร็วจนเขาแทบกระโดดลงจากเก้าอี้เพื่อตามไปคว้าตัวให้ทัน “เดี๋ยวฮาร์ฟ”

“มันจบแล้วครับ” บอกเสียงแข็งทั้งๆ ที่ไม่หันมามองหน้า
   
“พี่รู้ แต่เราตกลงกันแล้วนี่ฮาร์ฟว่าเรายังเป็นพี่น้องกันได้”
   
เมื่อถูกทวงถามเข้าก็พูดอะไรไม่ออกเพราะเขาเป็นคนยื่นข้อเสนอนี้เองในวันที่ผู้ชายคนนี้เดินเข้ามาขอเลิกอย่างตรงไปตรงมา น้ำตาลูกผู้ชายจากคนที่คิดว่าเข้มแข็งมากที่สุดทำให้รู้ว่าสิ่งที่คณิณกำลังแบกรับไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยและมันทำให้เขาเข้าใจทุกอย่างอย่างง่ายดาย

‘ขอโทษนะฮาร์ฟ เป็นความผิดพี่เองที่ไม่เข้มแข็งพอจะพาเราผ่านเรื่องนี้ไปได้ สักวันเราจะเจอคนที่ดีกว่าพี่’

วันนั้นเขาได้แต่ยื่นสองมือออกไปกอดและตบบ่าแรงๆ ไม่รู้จะสรรหาถ้อยคำใดมาตอบได้เพราะคนที่ดีกว่าผู้ชายคนนี้คงไม่มีอีกแล้ว พี่ชายแสนดีที่คอยให้กำลังใจน้องชายที่มักท้อแท้และสับสนในทางเดินของตัวเอง ติวเตอร์ที่นั่งติวไปเปิดตำราไปเพราะตัวเองสมองช้ากว่าเพียงแต่สอนได้เพราะอยู่ชั้นปีสูงกว่า พ่อครัวที่นั่งต้มมาม่าให้กินตอนตีสามในวันที่ฝนตกหนักทั้งที่ทอดไข่ดาวยังไหม้ ฮีโร่ที่กล้ามีเรื่องกับแก๊งสี่แยกปากหมาหน้ามหา’ลัยในวันที่เขาโดนแซวทั้งที่ปกติยุงกัดยังไม่อยากตบ รุ่นพี่แพทย์ที่วิ่งมาช่วยอินเทิร์นผู้ไม่ประสาทุกครั้งที่โทรไปปรึกษาแม้จะไม่ได้อยู่เวร ลูกชายคนเดียวของครอบครัวที่ดีพร้อมแต่กลับเข้าใจหัวอกคนที่พ่อแม่ไม่ใยดีแบบเขา สุดท้าย... ผู้ชายที่ไม่ได้เป็นเกย์แต่กลับมารักคนอย่างเขา

มันจะยังมีใครที่ไหนอีก คนที่ดีกว่านี้

‘เรายังเป็นพี่น้องกันได้นะครับ’

ไม่รู้ว่าเทวดาหรือผีห่าซาตานตนใดดลใจให้บอกออกไปแบบนั้น แต่ตอนนั้นสาบานได้ว่าเขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ จนกระทั่งการ์ดแต่งงานใบสวยถูกส่งมาถึงมือ ทั้งที่เคยรับปากดิบดีว่าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ทั้งที่ชุดทักซิโด้ในงานเลี้ยงมงคลสมรสนั้นคือชุดที่เขาเลือกให้เองกับมือ

แต่เพียงแค่อ่านชื่อเจ้าสาวจบ การ์ดใบนั้นก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลงถังขยะไปโดยไม่รู้ตัว ทว่าเขากลับไม่เคยลืมใบหน้าอ่อนหวานและชื่อผู้หญิงคนนั้นไปจากใจได้เลยแม้สักวินาทีเดียว

‘เพียงพิรุณ’

รู้ดีว่ามันไม่ยุติธรรม รู้ตัวดีว่าแพ้แล้วพาล ทั้งหมดทั้งปวงไม่ใช่ความผิดเธอ แต่ขอโทษนะที่เขา ‘เกลียด’ เธอไปเสียแล้ว

“พี่ขอโทษนะ”

เสียงที่เริ่มแตกพร่าทำให้คนที่พยายามจะหนียอมหันมาในที่สุด “พี่ปอขอโทษผมทำไม”

“ตอนที่พี่ไม่เห็นเราที่งานแต่ง พี่ก็รู้ตัวทันทีว่าสิ่งที่ทำมันงี่เง่าและโหดร้าย กล้าดียังไงเชิญเราไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว คนที่ควรร้องไห้ไม่ใช่พี่แต่เป็นเราต่างหาก แล้วใครจะเป็นคนปลอบใจเมื่อเราไม่มีใครนอกจากพี่... พี่ขอโทษนะฮาร์ฟ แต่ในเมื่อสัญญานั่นเราเป็นคนให้พี่เอง ดังนั้นพี่ขอรักษาสิทธิ์นั้นเรียกร้องให้ฮาร์ฟอยู่ข้างๆ พี่ได้ไหม ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม”

ทันใดนั้นแสงไฟสปอร์ตไลท์หลากสีดับพรึบลงพร้อมๆ กับเสียงเพลงที่ดังอื้ออึงเหลือเพียงความเงียบงันในแสงสลัวสีอมส้ม

“ทุกคนเหนื่อยกันหรือยังครับ” เสียงดีเจประจำวันดังแทรกผ่านลำโพงมา “พักกันสักครู่แล้วมาฟังเพลงซึ้งๆ กันดีกว่าครับ”

อินโทรเพลงทำนองคุ้นหูดังขึ้น บางคนพากันหันหลังกลับที่ ในขณะที่หลายคนยังอยู่บนฟลอร์และหลายๆ คู่เริ่มหันหน้าเข้าหากันก่อนจะให้สองมือตระกองคนรักของตนไว้ในอ้อมกอดแล้วปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเสียงเพลง

ไม่จำเป็นต้องหลับตานึก ภาพวันคืนเก่าๆ ก็ไหลย้อนมาดั่งสายน้ำ ทั้งที่ไม่น่าหวนกลับ

It’s amazing how you can speak right to my heart
Without saying a word you can light up the dark
Try as I may I can never explain
What I hear when you don’t say a thing

มันน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกินที่คุณพูดได้ตรงกับใจผม
ไม่ต้องมีคำพูด คุณก็เป็นเหมือนแสงที่ทอประกายในความมืดมน
พยายามเท่าไร ผมก็ไม่อาจจะอธิบายได้
ว่าผมได้ยินอะไร ในเมื่อคุณไม่เคยจะพูดสักคำ
When you say nothing at all Ost. Nothing hill https://www.youtube.com/watch?v=7xrxrEEGVdM

‘ฮาร์ฟฟังนี่สิ’ ยังไม่ทันจะได้รับการอนุญาตหูฟังอันจิ๋วที่ต่อเข้ากับเครื่องเล่นซีดีข้างหนึ่งก็ถูกยัดเข้ามาในหู ในขณะที่อีกข้างอยู่กับคนที่นั่งขัดสมาธิอมยิ้มอยู่ตรงหน้า

กำลังจะถามหาเหตุผลคนอายุมากกว่าก็ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปิดริมฝีปากให้เงียบทำให้เขาต้องจำใจนั่งฟังเพลงไปจนจบ

แต่ในคอรัสท่อนสุดท้ายที่น่าจะเป็นเสียงแหบทรงเสน่ห์ของ Ronan Keating กลับกลายเป็นเสียงสูงๆ ต่ำๆ ของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

หูฟังถูกรั้งกลับไปโดยไม่รู้ตัวเพราะเจ้าตัวอายจนหน้าแดงก่ำ ก่อนจะกระซิบเสียงอ้อมแอ้มทว่าหนักแน่นด้วยประโยคร้องขอความรักจากหนังที่พื้นเรื่องของเพลงนี้

‘พี่ก็แค่ผู้ชายธรรมดาที่กำลังขอร้องให้เรามารักเท่านั้นเอง’

“พี่ก็แค่ผู้ชายเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากเสียเราไปก็เท่านั้นเอง” คณิณคนที่อยู่ตรงหน้าพูดกับเขา ทั้งที่ไม่ได้อยากร้องไห้แต่น้ำตาที่กักเก็บไว้ตลอดระยะเวลาแปดปีก็ไหลอาบสองแก้ม

นรกรไม่พูดว่าอะไรเพียงแต่พยักหน้าเงียบๆ และยอมให้มือคู่นั้นรั้งเข้าไปกอดเหมือนเช่นวันวานในความทรงจำ อ้อมกอดนั้นยังเหมือนเดิมและมันอบอุ่นมากเสียจนเขาไม่อยากปล่อยไปเป็นครั้งที่สอง

oooooo
   
“ขอโทษนะครับพี่วินทร์ที่ให้รอ” นรกรกระหืดกระหอบวิ่งแทรกตามโต๊ะเข้ามาในร้านอาหารซึ่งเป็นเวลาที่คนแน่นที่สุด เขาทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามพลางใช้ปลายนิ้วขยี้หัวตา การร้องไห้กับหน้าอกคณิณทำให้คอนแทคเลนส์เลื่อนและตาแดงไปหมดแต่ถึงอยากจะเปลี่ยนไปใส่แว่นก็ทำไม่ได้เพราะไม่ได้พกมาด้วย

“ไม่เป็นไร ฉันเองก็เพิ่งมาถึง” วันนี้วินทร์แต่งตัวง่ายๆ เสื้อยืดกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะเหมือนเดิม จริงๆ แล้วเขามารอตั้งแต่หกโมงด้วยแอบหวังเล็กๆ ว่านรกรจะแคนเซิลนัดกับคณิณและตรงดิ่งมาหาเขาเลยแต่เรื่องกลับกลายเป็นว่าเขาต้องแกร่วรอจนเกือบถึงสามทุ่ม

นรกรกวาดสายตามองไปรอบโต๊ะที่ว่างเปล่า “แล้วคนอื่นๆ ล่ะครับ”

“จะมีใครอีกล่ะ ฉันนัดนายแค่คนเดียวนะ” วินทร์คลายมือที่กอดไว้ออกและหยิบเมนูที่อ่านซ้ำๆ ฆ่าเวลามาตั้งแต่หัวค่ำขึ้นมาพร้อมกับกวักมือเรียกบริกรประจำร้าน

นรกรรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เขาคิดว่าวินทร์ชวนคนอื่นๆ มาด้วยจึงคิดว่าไม่เป็นไรถ้ามาสายสักเล็กน้อย “ขอโทษครับ”

“ช่างเถอะ มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา” ปากตอบไปแบบนั้นแต่กลับไม่เลยหน้าขึ้นมามองแม้แต่น้อย
   
มื้ออาหารเป็นไปอย่างเงียบเชียบเมื่อคนไม่พูดไม่รู้จะชวนคุยอะไร ในขณะที่คนช่างคุยเอาแต่เงียบ

ทันทีที่เช็กบิลเสร็จวินทร์ลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินนำออกไป นรกรยิ่งหน้าเสียเขาคิดว่าวินทร์คงโกรธมากจนอยากหนีกลับเร็วๆ เมื่อเห็นร่างสูงยืนเอามือล้วงกระเป๋าอยู่หน้าร้านและออกเดินอีกครั้งตอนที่เห็นเขาเดินผ่านหน้าไป

นรกรเหลียวหลังไปดูคนที่เดินตามมาห่างๆ โดยไม่พูดอะไร คิดว่าแค่มาทางเดียวกันจนกระทั่งเปิดประตูขึ้นรถ ร่างสูงจึงหันหลังกลับเดินไปอีกทาง เขามองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินหายเข้าไปให้ความมืดของลานจอดรถก่อนจะเหลือบมองถุงกระดาษที่วางอยู่บนเบาะข้างๆ ริมฝีปากเม้มแน่นอยู่อึดใจแล้วตัดสินใจคว้าถุงใบนั้นวิ่งลงจากรถ
   
“พี่วินทร์ครับ”

เจ้าของชื่อหยุดฝีเท้าและหันหน้ากลับมาเพียงครึ่งเดียว “มี’ไร”

เสียงนั้นห้วนสั้นจนฟังดูเหมือนจิ๊กโก๋หาเรื่องกัน แต่นรกรคิดว่ามันไม่ใช่ เขาสืบเท้าเข้าไปใกล้พร้อมกับยื่นถุงกระดาษที่ถือมาด้วยส่งให้ “นี่ครับ”

“อะไร” วินทร์เหลือบตาลงมองเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมรับไป

“ให้”

“อะไร”

“ของขวัญวันเกิด แล้วก็... ขอบคุณนะครับที่วันนี้พามาเลี้ยงข้าว”

ทันทีที่พูดจบหน้าที่บูดบึ้งมาตลอดของคนตรงหน้าค่อยคลายปมออก ใช่แล้ว! วินทร์ไม่ได้โกรธหรือนึกรำคาญที่เขามาสายแต่กำลังงอนเรื่องที่มาช้าเพราะคิดว่าเขา ‘ไปกับพี่ปอ’ จนลืมนัดตัวเองต่างหาก

วินทร์เหลือบตามองอีกครั้งก่อนจะยื่นมือออกมารับถุงไปเปิดเทของขวัญข้างในออกมา “ไหนดูสินายซื้ออะไรให้เนี่ย เสื้อเชิ้ต... สวยดีนะให้พี่ปอช่วยเลือกเหรอ”

“เปล่าครับ ผมเลือกเอง” นรกรรีบบอก “ผมคุยกับพี่ปอเสร็จตั้งแต่ทุ่มนึง แล้วก็เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ซื้อของขวัญให้พี่วินทร์เลยรีบไปซื้อแต่เพราะไม่รู้จะซื้ออะไรให้ดีเลยเสียเวลาเลือกนานไปหน่อย ขอโทษนะครับเลยทำให้พี่วินทร์รอนาน”
   
นัยน์ตาคมเบิกโพลง ก่อนจะยื่นมือทั้งสองออกไปข้างหน้าและรวบตัวคนอายุน้อยกว่าเข้ามากอดแนบอก นึกอยากเตะตัวเองแรงๆ สักทีที่ดันไปคิดน้อยใจเรื่องไม่เป็นเรื่องจนทำให้มื้ออาหารที่น่าจะสนุกสนานต้องกร่อยไปถนัด
   
“พี่วินทร์คือ... ผมหายใจไม่ออก” เสียงของของนรกรดังอู้อี้ออกมาจากแผ่นอกกว้าง เขายกมือขึ้นสัมผัสต้นแขนเพื่อให้ปล่อยแต่มันกลับรัดแน่นขึ้นอีก

เมื่อดิ้นยังไงก็ไม่หลุดนรกรจึงจำยอมให้กอดจนพอใจ และเพราะไม่รู้จะเอามือตัวเองไปไว้ที่ไหนจึงแตะเบาๆ ไว้บนสะโพกอีกฝ่าย
ผ่านไปเกือบสองนาทีในที่สุดวินทร์ก็ยอมปล่อยเขาออกจากอ้อมแขนและถอดเสื้อยืดตัวเก่าของตนส่งให้ “ฝากถือหน่อย”

นรกรรับมางงๆ “พี่วินทร์จะทำอะไรครับ”

วินทร์แกะถุงพลาสติกและดึงเอาเสื้อเชิ้ตสีครีมออกมาสะบัดแรงๆ ไล่รอยยับก่อนจะสอดแขนทั้งสองข้าง “ก็จะลองใส่ดูไงว่ามันพอดีไหม”

“แต่ผมว่า...”

จะห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อวินทร์ติดกระดุมจนถึงเม็ดสุดท้าย “พอดีเลย เป็นไงหล่อไหม”

“จะหล่อกว่านี้ถ้าให้ผมแกะป้ายยี่ห้อออกก่อน” นรกรหลุดขำกับคนที่ใช้มือจับคางทำเป็นเก๊กหล่อแล้วเอื้อมมือไปดึงป้ายออกขยำใส่กระเป๋ากางเกง ถึงจะดูแปลกตาไปนิดแต่ก็เหมาะจนเขาอดจะยิ้มให้กับความพยายามของตัวเองไม่ได้

“ขอบใจนะ” วินทร์บอกอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูรถตัวเองขึ้นนั่ง หยิบกุญแจรถออกมาเสียบแต่ยังไม่ทันจะสตาร์ทก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ร่างสูงเอี้ยวตัวข้ามเบาะไปเปิดเก๊ะรถ แต่เพราะสนิมที่เกาะเขรอะทำให้ต้องตบแรงๆ สองสามครั้งจึงจะแคะมันออกมาได้ เขาค้นก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่ครู่หนึ่งก็เจอสิ่งต้องการ “ถ้าไม่รังเกียจก็เอาไปสิ ตาแดงหมดแล้วน่ะ”

นรกรรับกล่องแว่นมาเปิดออกดู มันเป็นทรงกลมสีน้ำตาลอ่อนดูเรียบหรู

“เมื่อก่อนเคยใส่น่ะ แต่ตอนนี้ไปทำเลสิกแล้ว”

“พี่วินทร์สายตาเท่าไหร่”

“สายตาสั้น 500”

“เท่าผมเลย” นรกรว่าพร้อมกับใส่แว่นใส่กล่องและส่งคืน “ไม่เป็นครับ ผมมีหลายอันแล้วอันนี้ท่าทางจะแพงด้วย”

“เอาไปเถอะ ฉันไม่ใช้แล้ว”

“ขอบคุณครับ”

“งั้นก็ใส่เลยสิ” วินทร์ถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ถือไว้เฉยๆ

“ผม... เอ่อ...”

“มีอะไร”

“คือผมเพิ่งเคยใส่คอนแทคเลนส์ยังใส่ถอดไม่คล่องเลย แถมตรงนี้มืดด้วย เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนเองในห้องน้ำ” ร่างโปร่งทำท่าจะกลับหลังหันเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาคว้าไว้

“เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวฉันใส่ให้ก็ได้” โดยไม่รอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย วินทร์ใช้สองมือประคองใบหน้าคนตัวเล็กกว่าให้เงยขึ้นสบตา “ไม่ต้องกลัวนะ จะทำเบาๆ”

“ครับ” สัมผัสของมือใหญ่ที่แทบจะโอบได้รอบหน้าทำให้นรกรรู้สึกใบหน้าอุ่นวาบไปทั่วทั้งใบหน้า อยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเสียเฉยๆ เมื่อนัยน์คมนั้นมาจ้องมาพร้อมทั้งขยับเข้ามาใกล้

“มองตรงมาที่ฉันนะ ห้ามมองทางอื่น”

“ครับ”

“เอามือจับเสื้อฉันไว้สิ เดี๋ยวนายตกใจแล้วเผลอเอามาปัด”

“ครับ” นรกรรับคำและคว้าชายเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น

วินทร์หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยกับท่าทีประหม่าของคนมาดนิ่งคิดว่ากลัวจริงๆ โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเป็นเพราะตัวเองนั่นแหละที่เป็นสาเหตุ เขาใช้ปลายชี้กดตรงคิ้วเพื่อเปิดเปลือกตาไว้ก่อนจะใช้นิ้วนางของมืออีกข้างแตะลงตรงกลางดวงตาดึงเอาเลนส์ใสออกไปง่ายดาย “ฉันทิ้งเลยนะ” แล้วดีดมันทิ้งไปก่อนจะทำเช่นเดียวกับอีกข้าง แล้ววางแว่นลงบนสันจมูก “เป็นไงดีขึ้นไหม”

“ครับ”

“พูดคำอื่นบ้างก็ได้นะ” วินทร์หัวเราะในลำคอ “แล้วก็ปล่อยเสื้อฉันได้แล้ว นายจับจนมันยับหมดแล้วเนี่ย”

“ขอโทษครับ”

“ล้อเล่นน่า มันยับอยู่แล้วนายก็เห็น” วินทร์ยิ้มกว้าง “ขับรถกลับดีๆ ล่ะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ”

“ครับ” นรกรค้อมศีรษะให้คนที่โบกมือหยอยๆ เขาเดินไปได้ครึ่งทางแล้วเมื่อได้ยินเสียงสตาร์ทเครื่องติดๆ ดับๆ จึงย้อนกลับมาอีกครั้ง “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“อยู่ๆ ก็สตาร์ทไม่ติดน่ะ ไม่รู้เป็นอะไร” วินทร์ตบมือลงบนพวงมาลัยรถกระบะคันเก่าที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากพ่อ ในเวลาแบบนี้ชอบมาเสียซะทุกทีสิน่า

“ให้ผมไปส่งไหมครับ”

“อย่าเลยรบกวนนายเปล่าๆ นายต้องรีบกลับไปทำงานวิจัยนี่ ฉันกลับแท๊กซี่ก็ได้” วินทร์จัดแจงล๊อกรถและวิ่งไปที่ถนน

เมื่อถูกปฏิเสธ นรกรจึงไม่มีทางเลือกเขาเดินกลับไปที่รถตัวเอง หมุนกุญแจสตาร์ทรถพลางกวาดตามองไปยังท้องถนนยามค่ำคืนที่แทบไม่มีรถขับผ่าน ก่อนจะเหยียบคันเร่งออกไป

วินทร์ยืนหันรีหันขวางอยู่บนฟุตปาธ พยายามเรียกรถแท๊กซี่ที่เปิดไฟว่างแต่ไม่ยอมจอดรับคันแล้วคันเล่า เขากำลังจะหันไปตะโกนบ่นตามหลังเมื่อรถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคเลี้ยวมาจอดเทียบ กระจกข้างเลื่อนลงพร้อมกับที่คนขับชะโงกหน้าข้ามเบาะออกมา

“พี่วินทร์ ให้ผมไปส่งนะครับ”

“แต่...”

“ขึ้นมาสิครับ เราอยู่หอเดียวกันนี่นาหรือพี่วินทร์จะไปธุระที่ไหนผมจะไปส่ง”

ได้ยินดังนั้นวินทร์จึงยอมเปิดประตูขึ้นนั่งคู่กันบนตอนหน้าของรถ “ไม่ได้จะไปไหน ก็กลับหอน่ะแหละ”

“แล้วทำไมถึงดื้อนักล่ะครับ”

“ก็แค่ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด” วินทร์ตอบอ้อมแอ้ม

นรกรเหลือบมองทางหางตา “ใครครับ”

“ก็ ‘หมอนั่น’ ไง”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันอึดใจพร้อมกับออกรถ “ผมว่าพี่วินทร์เข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ พี่ปอแต่งงานแล้วนะครับ”

วินทร์ทำหน้าเหมือนจะเข้าใจก่อนจะชี้มือไปที่ปุ่มเปิดวิทยุในรถ “เปิดเพลงได้ไหม ปกตินายฟังอะไร เพลงสากล?”

“ฟังได้หมดแหละครับแต่ส่วนมากก็เป็นแนวป๊อบ ร็อกฟังได้เป็นบางเพลงจังหวะมันหนักไปฟังแล้วปวดหู”

เขาหมุนหาคลื่นอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยุดที่ช่องเพลงหนึ่ง ทำนองเพลงรักฟังสบายดังขึ้นในความเงียบที่เกือบจะมีแต่เสียงเครื่องยนตร์ “งั้นฟังนี่ละกัน”

มันคือเพลง Stay ของปาล์มมี่ที่วง Gatsunova นำมาร้องใหม่ซึ่งวินทร์มักฮัมเพลงนี้เป็นประจำเวลาเข้าผ่าตัดด้วยกัน ทั้งที่ไม่ได้ร้องเพราะอะไรมากมายเสียงทุ้มร้องคลอสูงๆ ต่ำๆ ติดจะเพี้ยนซะมากกว่า แต่มันกลับทำให้อุ่นใจทุกครั้งที่ได้ฟัง และนรกรก็เพลิดเพลินจนเผลอเคาะพวงมาลัยเข้าจังหวะตามไปด้วย

ทั้งที่แต่เดิมเคยเป็นเพลงเศร้าที่ฟังแล้วเหงาแทบขาดใจแต่เพียงแค่เปลี่ยนเมโลดี้อารมณ์เพลงก็เปลี่ยน

ริมฝีปากกระตุกมุมขึ้นอมยิ้มน้อยๆ พลางเหลือบมองคนนั่งข้างกันก่อนจะรู้ตัวว่าโดนแอบมองอยู่

“เราไม่เคยจะรักกันมีแต่วันที่อ่อนไหวผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา...”

นรกรเบี่ยงสายตาหลบกลับมามองท้องถนนและแอบพ่นลมหายใจออกจมูก เมื่อคิดดูดีๆ มันก็ทำให้เขานึกถึงใครอีกคนที่เพิ่งเจอเมื่อเย็นถ้าวินทร์คิดจะแซวก็ถือว่าคิดผิดแล้วล่ะ อย่างน้อยครั้งหนึ่งระหว่างเขากับพี่ปอมันคือความรัก มันอาจไม่ได้จบแบบสวยงาม Happy Ending เหมือนในหนังหรือนิยายแต่นี่คือชีวิตจริงที่ไม่มีเจ้าหญิง เจ้าชายแค่ความรู้สึกของคนสองคนกับความรับผิดชอบต่อครอบครัวที่ทิ้งไปไม่ได้

และในความเจ็บปวด ความรักก็สอนให้เขาเลือกจดจำแต่เรื่องราวดีๆ ที่เคยมีให้กันเพื่อที่จะยังยิ้มได้ในวันที่หวนกลับมาคิดถึง

“อ้าว จบซะแล้ว” วินทร์รำพึงเมื่อเสียงเพลงหยุดลง

“ดีแล้วครับ”

“อะไรคือดี นี่นายจะบ่นรำคาญที่ฉันร้องเพี้ยนเหรอ”

“พี่วินทร์พูดเองนะครับ” นรกรว่า “ผมแค่จะบอกว่าพี่วินทร์เป็นหมอผ่าตัดน่ะดีแล้วอย่าไปแย่งอาชีพนักร้องเลยเดี๋ยวเขาจะพากันตกงานซะหมด”

“ฮาร์ฟ!” อยากจะจับขย้ำคอสักทีโทษฐานหมั่นไส้แต่เพราะอีกฝ่ายขยับรถอยู่วินทร์จึงทำได้แค่ทำท่าพ่นไฟใส่อากาศก่อนทั้งคู่จะหัวเราะไปด้วยกัน

[สวัสดีครับท่านผู้ชมขอต้อนรับเข้าสู่รายการ The Ghost’s Secret!]

เสียงวิทยุรันรายการต่อไปขึ้นมา วินทร์กำลังจะเอื้อมมือไปเปลี่ยนช่องใหม่เมื่อนรกรขัดขึ้น

“เปิดไว้ก็ได้ครับ”

“คนที่อะไรๆ ก็วิทยาศาสตร์อย่างนายไม่น่าชอบเรื่องผีเลยนะ”

“ก็ไม่ได้ชอบหรอกครับก็แค่... สนใจ” นรกรว่าบรรศกาศตอนนี้กำลังไปได้สวยบางทีมันอาจเป็นโอกาสดีที่เขาจะลองเล่าความลับของตนให้ใครสักคนฟัง “พี่วินทร์เชื่อเรื่องผีไหมครับ”

“นายถามอะไรแบบนั้น ของแบบนี้ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่นะเว้ย” ทำเสียงสูงพร้อมกับยกมือพนมขึ้นท่วมหัว

นรกรลอบมองทางหางตาพร้อมทั้งยิ้มขัน มั่นใจว่าเลือกคนที่จะเริ่มต้นไม่ผิดถึงบางครั้งจะดูหลุดๆ บ้าบอไม่ค่อยจริงจังแต่ตลอดห้าปีที่ผ่านมาวินทร์เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและพี่ชายที่ดีเสมอ และเป็นคนที่คิดว่าเข้าใจเขามากที่สุด

[วันนี้เราจะปลดเปลื้องความทุกข์ให้กับวิญญาณเร่ร่อนที่ยังไม่ยอมไปสู่สุขคติและคนที่จะมาช่วยเราติดต่อกับพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน... อาจารย์องค์อินทร์สวัสดีครับ] แล้วดีเจประจำรายการก็เล่าเกียรติคุณของเขาเสียยาวยืด

“ไอ้อาจารย์เก๊เอ๊ย!” นรกรทำเสียงขึ้นจมูกทันทีที่ได้ยินชื่อแขกรับเชิญ

“อ้าวๆ ยังไม่ทันจะฟังก็บ่นเขาซะล่ะ สนใจจริงเปล่าเนี่ย อาจารย์คนนี้นะบอกเลย สุดยอดมาก ที่หนึ่งของวงการ ให้หวยแม่นเหมือนใส่สน๊อกเกิลลงไปงมลูกบอลในตู้ขึ้นมาบอกเอง แม่ฉันงี้กราบไหว้เช้าเย็นไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์”

“แม่นขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

วินทร์แทบจะหันมาหาเขาทั้งตัวพร้อมกับยกไม้ยกมือประกอบไปด้วย “แม่นวัวตายควายล้ม คิดดูมีบ้านขายบ้านมีรถขายรถอย่างงวดที่ผ่านมาใบ้ 90 ออก 45 รับเละ!”

“แบบนั้นมันเรียกโดนกินไม่ใช่เหรอครับ”

วินทร์หันกลับไปมองถนนตรงหน้าพร้อมกับไหวไหล่ครั้งหนึ่ง “แม่ฉันเป็นเจ้ามือน่ะ”

เมื่อคิดได้ว่าเป็นมุกนรกรก็หลุดขำออกมาในที่สุดเพราะเคยได้ยินว่าพ่อแม่ของวินทร์เป็นเป็นครูประชาบาลทั้งคู่

“ไร้สาระน่า! ผีเผอมีที่ไหนกัน” วินทร์ยังคงพูดต่อโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าคนข้างๆ ที่หม่นลงเล็กน้อย “ถ้ามีจริงนะป่านนี้เดินชนกันจนไม่มีที่ยืนแล้ว ที่โรงพยาบาลเรามีคนตายวันละเป็นสิบ”

ได้ยินดังนั้นนรกรก็หมดความมั่นใจที่จะเล่า เขาปิดปากเงียบและปล่อยให้ดีเจวิทยุทำหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆ 

[มีด้วยเหรอครับอาจารย์วิญญาณที่จำเรื่องราวของตัวเองไม่ได้ ผมเองก็เพิ่งเคยได้ยินนะเนี่ย]

[เรียกว่าเป็นสภาวะช็อกทางวิญญาณเพราะเขายังไม่ถึงที่ตายแต่ดันมาตายเสียก่อน]

“อะไรของมันวะ สภาวะช็อกทางวิญญาณ พูดไปเรื่อย” คนไม่เชื่อเรื่องผีขำในลำคอ

“พี่วินทร์เร่งเสียงหน่อยสิครับ”

คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยอมทำตาม

[วิญญาณกลุ่มนี้น่าสงสารมากไปสู่สุคติก็ไม่ได้เพราะอายุขัยยังไม่หมด แถมยังมีอะไรติดค้างอยู่ในโลกมนุษย์ อะไรบางอย่างที่เขาต้องทำให้สำเร็จหรือต้องการการอโหสิ]

“มีอะไร”

“ชี่...”

[อาจารย์หมายถึงพวกที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุหรือถูกฆาตกรรมใช่ไหมครับ]

[อันนั้นก็ใช่ แต่สำหรับผมคนที่น่าสงสารมากกว่า] เสียงในวิทยุเงียบไปอึดใจก่อนจะตามมาเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูกคล้ายกับพยายามสะกดเสียงไม่ให้สั่น [คือพวกที่ฆ่าตัวตาย]

“จริงเหรอเนี่ย” มือเรียวกำพวงมาลัยแน่นกับทฤษฎีที่เพิ่งได้ยิน จู่ๆ หัวใจก็เบาหวิวคล้ายกับมีลางสังหรณ์แปลกๆ นึกเป็นห่วงคนที่ทิ้งให้อยู่ลำพังเป็นครั้งแรก เขาไม่พูดอะไรอีกและกดเท้าเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้น

oooooo

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 4(ต่อ)

ทันทีที่เปิดประตูห้องพัก นรกรก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติไปบรรยากาศหนักอึ้งเหมือนติดอยู่ท่ามกลางเมฆฝน อยากจะสูดหายใจเข้าแต่เหมือนมีอะไรหนักๆ มากดอยู่บนหน้าอก

อึดอัด!

ความรู้คล้ายโดนผีอำทั้งที่ยังลืมตาตื่น แต่ไม่ใช่แค่นั้นมันมากกว่านั้น เขาเอื้อมมือไปกดสวิซต์ไฟแต่กดเท่าไหร่มันก็ไม่ติด

“ทิด เกิดอะไรขึ้นคุณอยู่ในนี้หรือเปล่า”

“ฮาร์ฟ มีอะไรหรือเปล่า” เสียงวินทร์ตะโกนถามมาจากอีกฟากของประตู เขาเดินขึ้นมาส่งและยังคงไม่ไปไหน

เสียงลูกบิดดังกรอกแกรก นัยน์ตาเบิกโพลงเขารีบหันไปล็อกประตูและดึงไว้ไม่ให้คนที่อยู่อีกฟากเข้ามาได้ “ไม่มีอะไรครับพี่วินทร์”

เกิดเสียงปังเบาๆ เมื่อวินทร์เคาะประตูหลังจากการพยายามเปิดเข้ามาไม่เป็นผลสำเร็จ “แน่ใจนะฮาร์ฟ”

นรกรเม้มริมฝีปากแน่นพยายามทำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุดเพื่อไม่ให้วินทร์สงสัย “จริงๆ ครับ”

ร่างสูงแนบหูเข้ากับบานประตู มันเย็นเยียบผิดปกติจนเขาสะดุ้งถอยออกห่าง “ฮาร์ฟ”

“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับพี่วินทร์ไปเถอะ”

“แน่ใจนะ”

“ครับ”

“งั้นฉันกลับนะ” กระแสเสียงยังเต็มไปด้วยความเป็นห่วงแต่เพราะเจ้าของห้องยืนยันหนักแน่น วินทร์ตัดใจเดินกลับห้องของตัวเองทั้งที่ยังเหลียวหลังมองไปยังบานประตูนั้นจนกระทั่งประตูลิฟต์เลื่อนปิดลง

เมื่อเสียงย่ำเท้าบนทางเดินเงียบหายไป นรกรจึงปล่อยมือจากลูกบิดและหันมาเผชิญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

“ทิด”

ร่างโปร่งแสงที่เห็นจนคุ้นตายืนก้มหน้ามองพื้น ร่างนั้นดูขุ่นมัวคล้ายควันไฟจนแทบจะกลืนกินไปกับความมืดด้านหลัง

ไม่ใช่! ที่มืดไม่ใช่เพราะไม่มีแสงแต่เป็นบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากร่างนั้นต่างหาก

ในมือข้างหนึ่งกำอะไรบางอย่างที่เขามองเห็นไม่ถนัด

“คุณเป็นอะไร อทิฏฐ์ ได้ยินผมไหม” นรกรพยายามเรียกสติก่อนจะคิดได้ว่านั่นไม่ใช่ชื่อจริงๆ ต่อให้เรียกให้ตายก็คงไม่เกิดผล

ร่างนั้นเดินลากเท้าเข้ามาช้าๆ เหลือระยะห่างกันไม่ถึงคืบเขาหยุดฝีเท้าและเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าซีดเซียวบิดเบี้ยวไม่เหลือเค้าของความหล่อเหลาที่เคยเห็น ร่างกายซูบตอบจนเห็นแนวกระดูกไหปลาร้า ฝ่ามือแห้งเหี่ยวข้างที่กำอะไรไว้ค่อยๆ ยกขึ้นตรงหน้าและยื่นเข้ามา ใกล้เข้ามาจนรับรู้ได้ถึงความหนักของอากาศเมื่อฝ่ามือวางลงบนบ่าทั้งที่ไม่เย็นแต่ขนอ่อนทั่วสรรพางค์กายกลับลุกชูชัน นรกรหลับตาแน่นไม่เคยเจอผีคุกคาม จะสวดมนตร์อัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ทำมานักต่อนักแล้วเมื่อวัยเยาว์และพบว่ามันไม่เคยได้ผล

“ทิด เกิดอะไรขึ้นกับคุณ” กระซิบทั้งที่ยังหลับตาแน่น คลื่นความเย็นหนักๆ แผ่เข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที เขารู้สึกเหมือนอากาศถูกขโมย ทั้งที่ยังหายใจแต่มันกลับไม่มีออกซิเจนเข้าปอด ยิ่งพยายามสูดลมหายใจเข้ามากเท่าใดแต่มันยิ่งเหนื่อยมากขึ้นเท่านั้น

และเขารู้สึกเหมือนกำลังจะตาย!

“ทิด! นี่ผมนะ ฮาร์ฟไง คุณไม่คิดจะทำร้ายผมใช่ไหม”

“ผมจะทำร้ายคุณทำไม”

เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังตอบกลับมา นรกรลืมตาขึ้นคลื่นความเย็นและอึดอัดหายไปในบัดดลทั่วทั้งห้องกลับมาสว่างไสวด้วยแสงไฟนีออนที่พยายามเปิดเมื่อครู่ เขากวาดตามองร่างตรงหน้าที่กลับมาเป็นเหมือนเดิมและยืนเอียงคอมองดูเขาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“คุณเป็นอะไร”

นรกรปลดกระดุมคอเสื้อ และมันไม่ใช่ความฝันรูปรอยฝ่ามือชัดเจนยังประทับเป็นรอยแดงเหนือกระดูกไหปลาร้า “ผมต่างหากที่ต้องถามว่าคุณเป็นอะไร”

“ผมไม่รู้... ผม...” อทิฏฐ์พูดขัดด้วยความรู้สึกผิด ไม่เชิงจำไม่ได้แต่มันเหมือนไม่รู้ตัว เสียงที่ดังแว่วอยู่ในหูยังคงก้องกังวานซ้ำไปซ้ำมา เขายกสองมืออุดหูแต่เสียงนั้นยิ่งแจ่มชัด และทั้งที่หัวใจน่าจะหยุดเต้นไปแล้วแต่กลับรู้หนักอึ้งและเจ็บไปทั่วหน้าอก “เห็น... ตอนที่ผมน่าจะตาย”

ในห้องที่มืดมิด มีเพียงแสงจันทร์ส่องสลัวผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่ง

แกร๊ง!

ขวดแก้วสีชาตกกระทบพื้นพร้อมกับยาเม็ดกลมเล็กสีส้มกระจายไปบ้างก็กลิ้งออกไปตามทาง มีเม็ดหนึ่งที่ยังคงกลิ้งไปไกลราวกับมันกำลังพยายามวิ่งหนีตายออกจากสถานที่คุมขังก่อนจะไปชนเข้ากับรองเท้าคู่หนึ่งและล้มลง

...รองเท้าส้นสูง...

นัยน์ตาเบิกโพลงขึ้น ร่างโปร่งแสงทรุดตัวลงนั่งยองๆ กับพื้นและเริ่มต้นหอบเหมือนคนพยายามจะสูดอากาศหายใจ “ผมกำลังกินยาแล้วจู่ๆ ก็ล้มลงบนพื้น”

นรกรกลั้นหายใจ คำพูดของอาจารย์องค์อินทร์ในรายการวิทยุดังซ้ำขึ้นในหัว 

[วิญญาณพวกนี้จะถูกความมืดในใจที่เกิดจากความเศร้า ความอาฆาตหรือการไม่ให้อภัยตัวเองกัดกร่อนไปทีละนิดจนวิญญาณแตกดับหรือกลายเป็นผีสัมภเวสีเร่ร่อนไปผุดไปเกิดไม่ได้]

ลางสังหรณ์ไม่ผิดไปจากจากที่คิด เขาย่อตัวลงนั่งข้างๆ “ใจเย็นๆ นะค่อยๆ เล่า”

“มี... คนอยู่ที่นั่นกับผม...”

นิ้วมือเรียวสวยทาเล็บสีชมพูนู้ดดูงดงามคว้าขวดยาขึ้นมา เรือนผมสีดำยาวสยายกระทบแสงจันทร์เป็นมันเงา ร่างบอบบางนั้นดูไม่สะทกสะท้าน ใบหน้าหวานยังคงนิ่งสนิทแม้จะเห็นคนเพิ่งล้มลงต่อหน้า 

“เห็นหน้าเขาไหม”

อทิฏฐ์พยักหน้า “ชัด... ชัดมาก”

“ผมจะพาคุณไปหาคนชื่ออธิษฐ์” ไม่รู้จะเชื่อคำอาจารย์นั้นได้แค่ไหนแต่เขาไม่มีอะไรจะเสีย “เดี๋ยวนี้เลย! ต่อให้ไม่รู้จักคุณแต่ถ้าเขาอยู่ในเหตุการณ์ที่มีคนกำลังจะตายต่อหน้า เขาต้องไม่มีทางลืม”

“ไม่ใช่เขา แต่เป็นเธอ... เธอเป็นผู้หญิง” 

นรกรตกใจหนักยิ่งกว่าเดิม “แล้วยังไงอีกผู้หญิงคนนั้นเขาช่วยคุณเหรอ เธอเป็นแฟน แม่ พี่ น้องหรือเพื่อนของคุณหรือเปล่า”

“ผมไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เธอไม่ได้ช่วยผม เธอแค่หยิบขวดยาขึ้นมา... แล้วก็เดินออกประตูไป” เสียงของอทิฏฐ์สั่นจนควบคุมไม่ได้เงาของอะไรบางอย่างคล้ายน้ำตาเอ่อคลอเบ้าไหลรินมาถึงปลายคางก่อนจะสลายหายไปก่อนจะร่วงลงพื้น นรกรไม่เคยเห็นใครหวาดกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน “บางทีผมคง...” เขาพูดไม่ออก ยังไม่กล้าจะยอมรับแม้กับตัวเองว่าฆ่าตัวตายเพื่อหนีอะไรบางอย่าง เพราะยาขวดนั้นทั้งขวดเขาเป็นคนกลืนมันลงคอไปเอง

แต่นรกรเข้าใจ “ไม่เป็นไร ไม่ว่าคุณจะ... จากโลกนี้ไปด้วยวิธีการไหน...” พยายามจะปลอบแต่อีกฝ่ายก็ตะโกนขัดขึ้นมาเสียก่อน

“แต่ผมกลัว! ผมไม่อยากรู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร บางทีอาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ก็ได้ผมถึงได้ลืม เพราะชีวิตที่ผมจากมามันไม่มีอะไรให้น่าจดจำ ผมมัน...”

“ไม่เป็นไร” นรกรย้ำอีกครั้งด้วยเสียงดังฟังชัดอยากคว้าไหล่กว้างที่สั่นเทานั้นไว้ แต่เพราะสัมผัสไม่ได้จึงทำได้แค่พยายามเข้าไปใกล้ให้มากที่สุด “ไม่ว่าคุณจะเคยเป็นใคร หรือคุณจะตายเพราะอะไร แต่ขอให้คุณจำไว้ว่าตอนนี้คุณคืออทิฏฐ์ เป็นเพื่อนของผม และผมสัญญาว่าจะหาทางทำให้คุณไปสู่สุขคติให้ได้หรือต่อให้ไม่ได้ผมก็จะไม่ทอดทิ้งคุณ”

น้ำเสียงหนักแน่นดึงอทิฏฐ์ให้ได้สติและควบคุมตัวเองได้ในที่สุด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาเงยขึ้นสบสายตาเต็มที่ “คุณพูดจริงเหรอ ผมอยู่กับคุณได้เหรอ”

นรกรพยักหน้า รู้ซึ้งจากก้นบึ้งของหัวใจในความเหงาของวันที่ไม่มีใคร วันที่ร้องไห้จนไม่น้ำตา วันที่ต่อให้กอดตัวเองแน่นแค่ไหนก็ไม่มีวันอุ่น และมันคงจะดีถ้าเพียงแต่เขาจะได้เป็นกำลังให้ใครสักคน “นานเท่าที่คุณอยากอยู่”
************************************************TBC******************************************
 
พิมพ์เสร็จเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ยาวมากเลย
ถือว่าชดเชยที่อาทิตย์ที่แล้วไม่ได้ลงนะคะ

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


รอติดตามค่ะ ^^


ออฟไลน์ Patronus

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ติดนิยายเรื่องนี้เสียแล้วว  อ่านทีเดียวรวด 4 ตอนเลย(วางไม่ลงจริงๆค่ะ)
แอบสงสัยว่าใครคู่กับหมอนรกร ความจริงคือเชียร์อทิฏฐ์ แต่ก็ยังหาหนทางที่เขาจะคู่กันไม่ได้
อยากให้อทิฏฐ์เป็นแค่วิญญาณที่ออกจากร่างชั่วคราว แล้วร่างยังนอนอยู่ใน รพ. ที่ไหนสักที่

แต่ถึงจะอยากให้อทิฏฐ์คู่กับนรกร แต่พี่วินทร์ก็มาแรงสุด การกระทำช่างพระเอกเหลือเกินน
หวังว่าพี่วินทร์คงจะเจอคนที่ใช่ คนใดคนนึงในเรื่องนี้
(พี่ปอไหมล่ะ? แต่งงานแล้วก็หย่าได้ เผื่อพี่ปออยากเปลี่ยนบทบาท 55)


ยังไงรอติดตามอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้เขียนตอนใหม่ออกมาเร็วๆนี้นะคะ

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
อยากรู้เลย จะเป็นยังไง ไม่เชียร์ปอ นรกรเก่งจัง ที่ยังรักษาตัวตนตัวเองได้จนทุกวันนี้ เห้อ
รอตอนต่อไปคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ฮาล์ฟกับทิดจะไปตามหาผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม อยากรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ทิดทำแบบนั้น
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 5 Asking คำร้องขอจากพระจันทร์

“ผมคิดว่าเราคุยเรื่องนี้กันเรียบร้อยแล้วซะอีกนะครับอาจารย์” วินทร์กล่าวเสียงดังจนเกือบจะตะโกนกับผู้อาวุโสที่หนังอยู่หลังโต๊ะทำงานในภาควิชาศัลยกรรมประสาทและสมอง เขามีรูปร่างสูงใหญ่ผมสีดำเข้มแซมเทาเล็กๆ บริเวณไรผมข้างขมับ หน้าตาดุดันด้วยคิ้วเข้มหนาที่เกือบจะพุ่งมาชนกัน ถ้าไม่บอกก็คงไม่มีใครเชื่อว่าเขาเป็นบิดาแท้ๆ ของนรกร เพราะคนทั้งคู่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยจริงๆ นอกจากโครโมโซมวาย

ศาสตราจารย์นายแพทย์สรวิชญ์ นุศาสตร์ศิลป์ โน้มตัวมาด้านหน้าเพื่อจ้องหน้าลูกศิษย์ตนให้ชัดๆ พร้อมประสานมือลงวางบนโต๊ะ “ผมแค่อยากให้คุณลองไปคิดดูอีกที”

วินทร์กำมือแน่นเมื่อรู้ซึ้งว่าชายคนนี้ไม่เข้าใจถ้อยคำปฏิเสธที่เคยพูดไปหลายต่อหลายครั้งนับตั้งแต่เขาเลื่อนขึ้นมาเป็นแพทย์ประจำบ้านชั้นปีสุดท้าย “พวกเราจะพรีเซนต์งานวิจัยในอีกสองอาทิตย์ ผมอยากให้คุณฟังมันก่อนจะมาตัดสิน ขอบคุณครับ” ตัดบทพร้อมกับหมุนตัวเดินไปที่ประตูเมื่อเสียงแหบห้าวดังตามหลัง
   
“ผมไม่มีอะไรต้องฟัง”
   
เขาหันไปมอง “คุณไม่มีสิทธิ์ตัดสิน”

“แต่ผมมีอำนาจที่จะทำให้คนตันสินคล้อยตาม” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ยกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาอ่านเป็นการบอกเป็นนัยว่าเขาไม่มีสิทธิ์โต้แย้งอะไรได้อีก

วินทร์หันกลับกำลังจะผลักประตูออกไปแต่มันกลับถูกเปิดสวนเข้ามาเสียก่อน

“สวัสดีครับพี่วินทร์”

คนตรงหน้ายิ้มทักทายอย่างอารมณ์ดี เขาเหลือบมองผู้อาวุโสหลังโต๊ะทำงานที่ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมาก่อนจะพยักหน้าให้เร็วๆ และผลุนผันออกไป

“เขาเป็นอะไรน่ะ” อทิฏฐ์ที่ตามมาด้วยเป็นปกติบ่นก่อนจะหันไปชี้มือชี้ไม้ด้วยความตื่นเต้น “เอ๊ะ! อาจารย์หมอคนนั้น นามสกุลเดียวกับคุณเลย คุณพ่อของคุณใช่ไหม ตายล่ะ! ไม่รู้มาก่อนว่าต้องมาเจอพ่อตาเอ๊ย! พ่อคุณไม่งั้นจะได้แต่งตัวดีๆ กว่านี้มา”

นรกรมองทางหางตาเป็นเชิงบอกให้เงียบซึ่งอทิฏฐ์ก็รีบยกมือปิดปากอย่างว่าง่ายแต่ก็ยังไม่วายกรอกตาล้อเลียน เขาเดินเข้าไปยืนตรงหน้าและเพราะสองมือหอบหิ้วเอกสารมาเต็มจึงใช้วิธีค้อมศีรษะให้ “สวัสดีครับอาจารย์”

ถ้าเจอกันที่ทำงานห้ามเรียกว่า ‘พ่อ’ มันเป็นกฏเหล็กที่ตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยหัดพูดได้ และนั่นทำให้เขาเรียกบุคคลตรงหน้าว่าอาจารย์บ่อยกว่าเสียอีก

“อืม”

“ผมมาส่งความคืบหน้าของงานวิจัยครับ” ถึงจะไม่ใช่กรรมการเพราะตำแหน่งในตอนนี้ถูกเลื่อนเป็นจากหัวหน้าภาควิชาไปเป็นผอ.กองศัลยกรรม แต่ศาสตราจารย์สรวิญช์ยังคงให้เกียรติมาช่วยสอนและเข้าเคสผ่าตัดกับแพทย์ประจำบ้านปีสูงอยู่เสมอ

นรกรมองดูบิดาแท้ๆ ที่แทบไม่ได้คุยกันแม้จะเห็นหน้ากันทุกวัน เขาออกจากบ้านมาอยู่หอตั้งแต่จบมัธยมปลายเพราะสอบติดแพทย์และแทบไม่เคยกลับไปอีกเลย

แต่นั่นกลับทำให้เขาสบายใจ บ้านหลังใหญ่ที่มีแต่ความเงียบเหงาไม่รู้บุพการีจะกลับมาเมื่อไหร่ สู้อยู่ห้องพักเก่าๆ ของมหาวิทยาลัยหรือของโรงพยาบาลเพียงลำพังให้รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีใครรอและไม่ต้องรอใครดีกว่า

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ชี้นิ้วเร็วๆ ไปตรงที่ว่างหลังโต๊ะทำงานซึ่งอยู่ติดกับถังขยะ ก่อนจะเหลือบมองเอกสารงานวิจัยของวินทร์ซึ่งคงมาส่งเมื่อสักครู่ที่ข้างคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ นรกรมองงานวิจัยของตัวเองในมือและตัดสินใจวางลงตรงหน้า

“รบกวนอ่านด้วยนะครับ อาจารย์”

บอกสั้นๆ และกลับหลังหันออกมา

oooooo

“อย่างพี่วินทร์น่ะนะจะมาเป็นอาจารย์” เสียงอนุวัฒน์ดังขึ้นในห้องพักแพทย์ซึ่งเป็นแหล่งรวมพลของเหล่าแพทย์ประจำบ้าน “ไม่ใช่พี่ฮาร์ฟหรอกเหรอ”

“ก็นั่นน่ะสิตอนที่ฉันได้ยินก็ตกใจเหมือนกัน” พัฒนพงศ์ที่แอบไปได้ยินและเป็นคนเอาเรื่องนี้มาบอกกวักมือให้ทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะชะโงกเข้ามาใกล้ “ทะเลาะกันดังลั่นเลย พวกนายก็รู้ว่าเสียงพี่วินทร์ไม่ใช่เบาๆ”

“ไม่เห็นน่าตกใจเลยพี่วินทร์ออกจะเก่ง” จิงโจ้แทรกขึ้นและนั่นสร้างความแปลกใจให้ทุกคนยิ่งกว่าเดิม

“เฮ้ย! พี่พัฒน์เขาไม่ได้ว่ามหา’ลัยแกไม่ดี” อนุวัฒน์รีบแก้ กลัวว่าจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ เพราะทั้งสองจบมาจากที่เดียวกัน “แค่ไม่คิดว่า... แกก็รู้ระหว่างพี่วินทร์กับพี่ฮาร์ฟถ้าต้องเลือกใครสักคน ผลมันนอนมาชัดๆ”

“แต่เห็นแบบนั้นน่ะพี่วินทร์เขาเป็นตำนานของรุ่นเลยนะครับ เป็นทั้งเดือนคณะ เป็นพี่ว้ากขวัญใจปีหนึ่ง” จิงโจ้เว้นวรรคเมื่ออนุวัฒน์ปรายตามาบอกว่าให้ข้ามตรงนั้นไปก่อนก็ได้ “พี่วินทร์จบเกียรตินิยมเหรียญทองด้วยคะแนนเฉลี่ย 4.00 ตลอดหกปี ที่หนึ่งของการสอบบอร์ดทั่วประเทศ ถ้าไม่เชื่อเสิร์ชในอินเตอร์เน็ตดูก็ได้ พี่เขามีเฟสที่แฟนคลับทำให้ด้วยนะ ไม่ก็ดูในเว็บมหา’ลัย”

สิ้นคำจิงโจ้ทุกคนรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดค้นหาโดยพร้อมเพรียงกัน และถึงภาพที่ปรากฏบนหน้าจอแต่ละเครื่องจะแตกต่างไปตามเว็บไซต์และอิริยาบทแต่ทั้งหมดนั่นก็ช่วยยืนยันคำบอกเล่าได้ดี

“พี่วินทร์เพิ่งมาเป็นแบบนี้หลังจากที่ป่วยเข้าโรงพยาบาลตอนเป็นแพทย์ใช้ทุนที่เขาเคยเล่าให้ฟังไง”

“นี่อาการหนักเลยหนักนะเนี่ย” พัฒนพงษ์ว่าเพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาดูสะอาดสะอ้านเป็นสุภาพบุรุษในภาพก็ไม่น่าใช่คนๆ เดียวกับมนุษย์หมีถ้ำคนนั้นไปได้

“เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังตีนเลยด้วย” อนุวัฒน์เสริม “แสดงว่าอ.สรวิชญ์แกคงรู้ว่าพี่วินทร์มีกึ๋นเลยอยากเอามาปั้นแน่ๆ เลย”

“จะนินทากันก็ให้มันเบาๆ หน่อย” วินทร์เดินเข้ามาพอดีทุกคนพากันปิดปากสนิท

“ขอโทษครับ”

“ช่างเถอะ” วินทร์โบกมืออย่างไม่ใส่ใจพลางดึงเก้าอี้ตรงหัวโต๊ะนั่งลงและยกเท้าขึ้นพาดบนเก้าอี้ว่างอีกตัว การยืนเถียงกันเพียงแค่ชั่วเวลาสั้นๆ ทำเขาเครียดขาแข็งยิ่งกว่าเข้าผ่าตัดทั้งวันอีก “ยังไงก็อย่าให้ฮาร์ฟรู้ล่ะ”

แต่มันสายไปเสียแล้วเพราะนรกรเดินตามหลังวินทร์ออกจากภาควิชากลับมาเงียบๆ และก็ยืนอยู่นานพอจะได้ยินเรื่องราวทั้งหมดเสียด้วย

“ผมรู้แล้วทำไมเหรอครับ”

ทุกคนสะดุ้งโหยงโดยเฉพาะวินทร์ที่แทบตกเก้าอี้

“ใช่! ผมอยากเป็นอาจารย์แต่ถ้าพี่วินทร์จะได้เป็นมันก็เป็นเรื่องดี หรือถ้าสุดท้ายผมได้ขึ้นมาก็จะไม่มีใครครหาว่าผมใช้เส้น” ก่อนจะเปิดประตูและหมุนตัวเดินออกไป

“ฮาร์ฟเดี๋ยวก่อน!”

วินทร์พยายามเรียกไว้แต่อีกฝ่ายก็เดินไปไกลเสียแล้ว

“พวกผมขอโทษครับ” พัฒนพงษ์เอ่ยขึ้น น้องๆ คนอื่นพากันพยักหน้าตามหงึกหงัก

เมื่อเห็นว่าตามไปก็ไม่ประโยชน์เพราะอีกฝ่ายยังใจร้อนและตัวเองยังไม่หายหงุดหงิดจึงทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ตามเดิม “ไม่เป็นไรหรอก ช้าหรือเร็วหมอนั่นก็ต้องรู้อยู่ดี แบบนี้ก็ดีเหมือนกันฉันจะได้รีบเคลียร์ทั้งกับหมอนั่นและกับอ.สรวิชญ์ให้มันจบๆ ไป”

“พี่วินทร์ไม่อยากมาสอนพวกผมขนาดนั้นเลยเหรอครับ” จิงโจ้ถามเสียงแผ่ว

วินทร์ส่ายหน้า “ก็เพราะว่าอยากเป็นน่ะสิ ถึงได้ลำบากใจอยู่นี่ไง เพราะตำแหน่งนั้นมันมีที่ว่างแค่ที่เดียว”

oooooo

“ฮาร์ฟ เสียบหูฟังหน่อยสิ ผมอยากคุยด้วย” อทิฏฐ์ที่วิ่งตามหลังมาตะโกนเรียกคนที่เอาแต่เดินดุ่มๆ ไปตามทางแต่เพราะไม่ได้รับคำตอบสักทีซ้ำยังถูกเมินใส่ เขาจึงวิ่งแซงไปดักด้านหน้าและยกสองแขนขึ้น

“นั่นคุณจะทำอะไรน่ะ” นรกรร้องโวยวาย ไม่ใช่แค่ยืนขวางแต่อทิฏฐ์ทำท่าเหมือนจะโผเข้ากอดเขา

“ก็คุณไม่ยอมพูดด้วยผมก็เลยไม่รู้จะปลอบคุณยังไงน่ะสิ” อทิฏฐ์กระซิบรู้ดีว่าไม่ใช่แค่เรื่องที่เพิ่งได้ยินแต่เป็นเพราะก่อนที่จะเดินออกจากภาควิชาทั้งสองดันเหลือบไปเห็นศาสตราจารย์สรวิชญ์หยิบงานวิจัยของเขาไปโยนทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ใยดีก่อนจะหยิบงานของวินทร์ขึ้นมาอ่านอย่างสนอกสนใจ นั่นยังไม่รวมถึงวิธีการสื่อสารห้วนๆ เหมือนคนไม่รู้จักกันระหว่างทั้งคู่ ถ้าเขาเป็นนรกรเรื่องคงไม่จบแค่คำว่าน้อยใจแล้วเดินออกมาแต่ต้องพูดต้องเถียงอะไรสักอย่าง “รู้สึกยังไงบ้าง”

“ไม่รู้สึกอะไรเลย”

อทิฏฐ์ย่นปาก “ไม่สักนิดเลยเหรอ”

ไม่ใช่ที่ร่างกายแต่เป็นที่หัวใจ เขารับรู้ได้ถึงความตั้งใจที่อยากจะช่วยปลอบ นรกรทรุดตัวนั่งลงบนขั้นบันไดและหยิบหูฟังขึ้นมาสวมเพื่อคุยกันให้ถนัดขึ้น “ไม่... โกหกน่ะ”

อทิฏฐ์เองก็นั่งด้วยเหมือนกันและถึงจะรู้ว่าไม่มีใครเห็นหรือสัมผัสได้แต่ก็มีสำนึกกลัวว่าจะขวางทางคนที่อาจจะเดินขึ้นลงเขาจึงเขยิบไปนั่งเบียดจนชิด “คุณโกรธพี่วินทร์?”
   
“เปล่า”

“พ่อ?”

“เปล่า”

“งั้นคุณโกรธใคร”

“ผมโกรธตัวเองที่ทำไม่ว่าจะทำอะไร จะพยายามมากแค่ไหนสุดท้ายก็ไม่ได้อยู่ในสายตา”

“แล้วยังไง” อทิฏฐ์ถามกลับ “ถ้าไม่ได้เป็นอาจารย์นั่นจะทำให้คุณเลิกเป็นหมอหรือเปล่า”

“...”

คำถามของเขาทำเอานรกรตอบไม่ถูก หลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจเรียนหมอตามเส้นทางที่พ่อกับแม่วางไว้เขาคิดแค่เพียงจะเป็นหมอศัลยกรรม จะต้องเป็นอาจารย์แพทย์

แต่ไม่เคยคิด... ว่าจริงๆ แล้วตัวเองอยากเป็นอะไร... ถ้าไม่ได้เป็นหมอ จริงๆ แล้วเขาอยากทำอะไรกันแน่

“เอาจริงๆนะ คุณจะไปแคร์เขาทำไม ทำไมเลือกที่จะเดินตามหลังเขาต้อยๆ ในเมื่อคุณมีความสามารถมากกว่านั้น ลาออกแล้วไปทำอย่างอื่นซะเก่งๆ อย่างคุณมีงานให้เลือกอีกร้อยแปด” อทิฏฐ์เว้นวรรคไปเล็กน้อยพร้อมกับจ้องตาคนตรงหน้า “แต่ผมว่าคุณไม่ทำหรอก เพราะฉะนั้นพิสูจน์สิว่าต่อให้ไม่ได้เป็นอาจารย์คุณก็เป็นอะไรได้มากกว่านั้น”

ถึงปากจะบอกว่ามาเป็นหมอเพื่อให้พ่อกับแม่ภูมิใจแต่ภาพที่เขาเห็นทุกๆ วันตอนที่ออกตรวจคนไข้ ตอนผ่าตัดหรือตอนเดินเยี่ยมตามหอผู้ป่วยแม้จะดึกดื่นค่อนคืนแค่ไหนมันไม่ใช่ บางทีเจ้าตัวอาจจะไม่รู้สึกแต่ความตั้งใจที่แสดงออกมามันเกินกว่าการทำไปตามหน้าที่หรือความต้องการจะเอาชนะ

“แล้วมันคืออะไรล่ะ”

“ไม่รู้สิคุณต้องคิดเอง นี่มันอนาคตของคุณนะ ลืมความฝันของพ่อแม่ทิ้งอดีตไปซะแล้วสร้างทางเดินของคุณเองสิ”

นรกรพยักหน้าเข้าใจ แต่ในขณะที่ยังคิดอะไรไม่ออกเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน มันเป็นสายเรียกเข้าจากอนุวัฒน์

“พี่ฮาร์ฟแย่แล้วครับ”

เสียงนั้นร้อนรนจนทำให้ลืมเรื่องที่กำลังกลุ้มใจไปเสียสนิท “มีอะไร”

“ตอนนี้ผมอยู่ที่ ER เคสน้องลลินชักไม่ได้สติมาครับ”

“เดี๋ยวพี่ไป” กดวางสายและออกวิ่งไปทันทีโดยมีอทิฏฐ์วิ่งตามมาติดๆ

แต่เมื่อนรกรวิ่งไปถึงห้องฉุกเฉินเด็กสาวก็ได้สติและลุกขึ้นมานั่งยิ้มแป้นอยู่บนเตียงทั้งที่ใบหน้ายังซีดเซียวรอให้หมออนุญาตกลับบ้าน

“หมอฮาร์ฟสวัสดีค่ะ ขอโทษที่ทำให้หมอตกใจนะคะหนูไม่เป็นอะไรแล้ว” เธอหันไปจับมือผู้เป็นแม่ “แม่ขาเรากลับบ้านกันเถอะ”

อนุวัฒน์เดินเข้ามาสะกิดแขนเขาไปดูฟิล์มเอกเรย์สมองที่เพิ่งทำไปเมื่อสักครู่ ทันทีที่เห็นผลนรกรหน้าเครียดขึ้นมาทันทีทุกอย่างเป็นไปตามคาดเพราะเธอไม่เคยมีอาการชักมาก่อน

“คุณแม่ครับ ลลิน หมอมีข่าวร้ายต้องบอกให้รู้”

ผู้เป็นแม่ยกมือขึ้นปิดปากในขณะที่เด็กสาวบีบมือแม่แน่นขึ้นอีกและถามต่อ “มันเกี่ยวกับที่หนูชักใช่ไหมคะหมอ”

นรกรพยักหน้า

“ก้อนมันโตขึ้นอีกแล้วเหรอคะ”

ริมฝีปากเม้มสนิท เขาไม่ได้กลัวการแจ้งข่าวร้ายแต่เขาเกลียดความรู้สึกหลังจากที่พูดมันออกไป “ก้อนเก่ายังมีขนาดเท่าเดิมครับ แต่มันมีก้อนใหม่ตรงบริเวณใกล้กับก้านสมองและหมอต้องให้หนูแอดมิทเพื่อสังเกตอาการและทำการตรวจเพิ่มเติม”

“แต่หนูมีสอบเข้านะคะ ไม่ใช่แค่พรุ่งนี้แต่เป็นทั้งอาทิตย์ ขอหนูไปสอบให้เสร็จก่อนได้ไหมคะคุณหมอ”

...ว่าแท้จริงแล้วเขาไม่เคยทำอะไรได้เลยกับเกมชีวิตที่มีแต่คำว่าแพ้กับแพ้...

“หมอไม่อยากให้หนูออกจากโรงพยาบาลเพราะเกรงว่าอาการชักจะกำเริบและแย่ลงอีก ซึ่งความเครียดเป็นปัจจัยกระตุ้นอย่างหนึ่งถ้าหากมันเกิดขึ้นตอนสอบ และถ้าหนูมาถึงโรงพยาบาลช้าเกินไปหมอเกรงว่าหนูจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย การแอดมิทเพื่อสังเกตอาการและปรับยาเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดนะครับ”

oooooo

มันเป็นหนึ่งวันแย่ๆ ที่นรกรอยากจะกลับห้องไปล้มตัวลงนอน ไม่ใช่เรื่องพ่อ ไม่ใช่เรื่องวินทร์แต่เป็นนัยน์ตาเว้าวอนของเด็กสาวที่เขาให้การดูแลรักษามาตลอดห้าปีเต็ม

‘ขอหนูไปนะคะคุณหมอ’

‘ไม่เอาน่าลิน อย่าทำให้คุณหมอลำบากใจสิจ๊ะ’

‘หมอไม่อยากให้หนูอาการแย่ลงนะ’

ทันทีที่เขาพูดจบเธอก็ไม่ต่อรองอะไรอีก ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ แต่ประกายเปี่ยมด้วยความหวังในแววตาที่เห็นเสมอมากลับจางลงจนน่าใจหาย นรกรถอนหายใจและเหลียวมองออกไปนอกหน้าต่างตอนนี้ดึกมากแล้วและท้องฟ้าก็มืดทึบไม่เห็นแม้เงาจันทร์

“คุณคิดว่าผมทำผิดหรือเปล่า” เอ่ยถามกับร่างโปร่งแสงที่เดินมาข้างๆ “คงคิดว่าผมใจร้ายมากใช่ไหมที่ไม่ยอมให้ลลินไปสอบ”

“คุณแค่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้คนไข้” อทิฏฐ์ไม่ได้ตอบเพื่อเอาใจแต่เขาเข้าใจเหตุผลของนรกรดี

“ตลกดีนะ”

“ยังไง”

“ผมคิดว่าเธอเหมือนผม” นรกรหยุดยืนพิงกรอบหน้าต่างและเหม่อมองออกไปบนท้องฟ้า “ไม่ใช่ไม่อยากรักษา ก็แค่อยากกลับบ้าน... เพราะเราต่างก็รู้ดีว่าสิ่งที่เป็นมันไม่มีวันหาย”

ภาพเด็กผู้ชายตัวผอมแห้งยืนเกาะขอบหน้าต่างมองออกไปผุดขึ้นมาในความคิด การมองท้องฟ้าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยเยียวยาจิตใจได้ว่ากำลังออกไปท่องโลกกว้างทั้งที่ร่างกายถูกกักขังด้วยโรคและสิ่งที่เป็นอยู่

เขาผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อย “เดี๋ยวผมขอไปเยี่ยมอาการเธออีกทีแล้วเราค่อยกลับไปนอนกันนะ”

“ทำเป็นชวนเห็นคุณก็นอนหลับปุ๋ยคนเดียวทุกที”

“ใครใช้ให้คุณไม่หลับไม่นอนเองล่ะ” บ่นพลางเปิดประตูเข้าไปในหอผู้ป่วย กำลังจะเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อหยิบแฟ้มเมื่อหูแว่วได้ยินเสียงพยาบาลกำลังคุยกัน

“หายไปไหนกันนะ”

“เราจะทำยังไงกันดีคะ”

พวกเธอมีสีหน้าเคร่งเครียดและหวั่นวิตก นรกรรู้สึกใจคอไม่ดีแปลกๆ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”

“แย่แล้วค่ะคุณหมอน้องลลินหายไปไหนก็ไม่รู้ค่ะ” พยาบาลประจำหอผู้ป่วยบอกอย่างร้อนใจ “พวกเราหาจนทั่วตึกแล้วก็ยังไม่เจอ หนีกลับบ้านแล้วไปถึงบ้านยังไม่เท่าไหร่แต่หนูกลัวจะไปอาการกำเริบระหว่างทางแล้วไม่มีใครเห็นน่ะสิคะ”

“ติดต่อพ่อแม่น้องเขาหรือยังครับ”

“ยังเลยค่ะ เราคิดว่าจะลองหากันอีกสักที”

นรกรนิ่งคิดอยู่อึดใจ “บางทีมันอาจไม่มีอะไรก็ได้เธออาจจะแค่ไปเดินเล่นแถวๆ นี้ เดี๋ยวผมจะช่วยหาด้วยคนนะครับ”

เขารีบเดินกึ่งวิ่งออกจากหอผู้ป่วย ไปตามทางที่แทบจะร้างผู้คนในยามค่ำคืนเข้าไปในลิฟต์และกดไปที่ชั้นล่างสุด

“คุณรู้เหรอว่าน้องเขาไปไหน” อทิฏฐ์ถามเมื่อคุณหมอหนุ่มไม่มีทีท่าลังเลเมื่อตัดออกจากเส้นทางหลักเดินลัดเข้าไปในสนามหญ้า

นรกรเม้มปากแน่นความมั่นใจแทบไม่มี เขาแค่นึกถึงวันที่เจอกันครั้งแรกเด็กสาวที่เอาแต่นั่งมองท้องฟ้าและบอกว่าตัวเองเป็นพระจันทร์ ถ้าเธอจะคิดเหมือนเขา ถ้าเราจะมีความคิดคล้ายๆ กัน “ก็ไม่รู้หรอก แค่เดาเอาน่ะ”

โชคดีที่การคาดเดานั้นถูกต้อง เด็กสาวนั่งอยู่ตรงม้านั่งใต้ต้นปีบในสวนหย่อมของโรงพยาบาล ถ้าอยากมองเห็นพระจันทร์ให้ชัดๆ ในโรงพยาบาลใหญ่ใจกลางเมืองหลวงที่มีแต่ตึกสูงขึ้นเบียดกัน ก็คงจะมีแต่ลานกว้างนี่เท่านั้น

ผ่อนลมหายใจออกจมูกอย่างโล่งอก ยังดีที่เธอเลือกนั่งในที่เห็นตัวได้ง่ายเพราะเขาชอบไปนั่งแอบพิงตามหลังต้นไม้ใหญ่มากกว่า

“มานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ”

ลลินเบือนสายตาจากพระจันทร์เสี้ยวบนฟากฟ้าลงมามองเขา เป็นครั้งแรกที่นัยน์ตานั้นเหม่อลอยและว่างเปล่า “หนูอยากหนีค่ะ... หนูไม่อยากอยู่โรงพยาบาล หนูอยากกลับบ้าน... อยากไปสอบ”

“แต่หนูก็อยากหายใช่ไหม” เด็กสาวพยักหน้า นรกรค่อยเดินไปนั่งลงอีกฟากหนึ่งของเก้าอี้ “หมอเข้าใจนะ”

“หมอจะเข้าใจได้ยังไง ในเมื่อหมอไม่เคยป่วย ในเมื่อหมอไม่เคยเข้าออกโรงพยาบาลนานเป็นปีๆ แบบหนู” เสียงหวานดื้อรั้นและเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

“เคยสิ” เสียงของเขาแหบพร่า “สมัยเป็นเด็ก... หมอสายตาไม่ค่อยปกติน่ะ หมอเห็นอะไรที่คนอื่นเขาไม่เห็นกันพ่อกับแม่หมอเลยพาไปรักษาที่สถานบำบัด”

“อะไรที่ว่ามันคืออะไรคะ”

ริมฝีปากเม้มสนิทยังขลาดกลัวเกินกว่าจะเล่าต่อให้จบเมื่อเสียงทุ้มกระซิบขึ้น

“พูดสิครับ”

นรกรเหลือบมองร่างโปร่งแสงข้างกายที่ถูกแสงจันทร์ส่องผ่านจนเป็นสีออกนวลคล้ายกับกำลังเปล่งแสงเรื่อๆ

“ความลับต้องแลกด้วยความลับ ถ้าอยากให้ใครสักคนเปิดใจให้เรา คุณต้องเปิดใจให้ใครคนนั้นก่อน” อทิฏฐ์คลี่ยิ้มกว้างให้พร้อมกับพยักหน้า “คุณทำได้”

นรกรขบซี่ฟันลงบนริมฝีปากซ้ำๆ จนห้อเลือด สองมือกำเป็นหมัดแน่นก่อนจะกระซิบเสียงแผ่ว “หมอเห็นผี”

พูดจบก็แทบกลั้นหายใจรอฟังเสียงหัวเราะ แต่เด็กสาวกลับยืดตัวขึ้นตรงและชะโงกตัวเข้ามาใกล้

“แล้วหมอทำไงคะ”

นรกรเหลือบมองอทิฏฐ์ที่พยักหน้าให้อีกครั้งก่อนจะเล่าต่อ “หมอแกล้งทำเป็นหายเพื่อจะได้กลับบ้าน”

เมื่อลลินเริ่มกระเถิบเข้ามาใกล้เพื่อตั้งใจฟัง อทิฏฐ์ก็ทรุดตัวลงนั่งเหยียดยาวบนพื้นข้างม้านั่งพลางทอดสายตามองท้องฟ้าที่ค่อยๆ กระจ่างตาขึ้นเรื่อยๆ ตามพระจันทร์ที่ค่อยขยับขึ้นสูง

เขาชอบเวลานรกรเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมบางทีอาจเป็นเพราะเขาจดจำอะไรไม่เลยสักอย่างเลยอยากรู้ อยากฟังเรื่องของใครสักคนแล้วจินตนาการตามไปว่าเรื่องราวของตนมันเริ่มขึ้นเช่นไร

จุดแสงสีทองกะพริบวาบขึ้นบนพื้นสีหมึกในห้วงความคิดพร้อมกับความอุ่นไอของอะไรบางอย่างที่โอบรัดรอบร่างกาย... นานมาแล้วครั้งหนึ่งเขาเคยแหงนหน้ามองฟ้าพร้อมกับที่ใครสักคนโอบกอดเขาไว้ชี้ชวนให้ดูหมู่ดาว

อุ่นจัง... นั่นอ้อมแขนของใครกันนะ

เงามืดของใครคนหนึ่งทาบทับขึ้นในห้วงความคิด รอยยิ้มสดใสเห็นฟันซี่ขาวครบสามสิบสองซี่แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใครแต่ทำไมถึงทำให้หัวใจอบอุ่นได้ถึงเพียงนี้

“หมอไม่ได้ว่ามันดีนะ เพราะทุกวันนี้หมอก็ยังต้องโกหกทุกคนว่าหมอไม่เห็นอะไรเพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับไปที่นั่นอีก แต่การที่เห็นผีไม่ได้ทำให้หมอตาย ไม่เหมือนไอ้ก้อนมะเร็งนั่น ถ้าเป็นไปได้หมอก็อยากให้หนูรักษา” นรกรสรุปเมื่อเล่าเรื่องของตัวเองจบ

“หนูก็อยากรักษาแต่ก็อยากไปสอบด้วย”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน ทุกๆ ครั้งที่คุยกันเด็กสาวจะยืนยันคำนี้กับเขาเสมอ “หนูอยากเป็นอะไรเหรอ”

เด็กสาวก้มลงมองสมุดบันทึกปกหนังเล่มใหญ่ในมือที่หอบหิ้วมาด้วย มันเป็นสมุดบันทึกที่เธอใช่จดเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเมื่อได้ออกจากโรงพยาบาล คุณหมอหนุ่มไม่เคยเห็นว่าเธอจดอะไรแต่ดูจากโพสอิทและเศษกระดาษที่คั่นออกมาจากตรงนั้นตรงนี้เธอคงใช้มันเป็นอย่างดี และอดอมยิ้มมุมปากไม่ได้เพราะสมุดเล่มนี้เขาเป็นคนซื้อให้เธอเป็นของขวัญเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการผ่าตัดครั้งหนึ่งเมื่อสี่ปีก่อน และวันนั้นคือวันที่เขาได้ลงมีดด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก

“หมอฮาร์ฟลองทายดูสิคะ”

นรกรยกมือขึ้นกอดอก “หมอเล่นทายใจไม่เก่งแต่จะลองดูนะ อืม... หนูอยากเป็นหมอเพื่อจะได้มารักษาโรคที่ตัวเองเป็นอยู่หรือเปล่า”

“ไม่เฉียดเลยค่ะ” ลลินหัวเราะคิกคักไม่คิดว่าคุณหมอผู้เคร่งขรึมจะมีมุมน่ารักยอมเล่นกับเธอด้วย

“ก็บอกแล้วไงว่าหมอทายใจไม่เก่ง” นรกรยิ้มเขินในขณะที่อทิฏฐ์หันมาชูนิ้วโป้งให้กำลังใจ

เธอยิ้มกว้างมากขึ้นอีกก่อนจะเฉลยออกมา “หนูอยากเป็นทนายค่ะ หนูมีคนที่อยากฟ้องร้องและหนูต้องเอาชนะเขาให้ได้”

“ใครเหรอ”

“มะเร็งค่ะ”

“แต่มันเป็นโรคไม่ใช่คนนะครับ”

“ใช่ค่ะ” เธอตอบเสียงดังฟังชัด “หนูจะฟ้องมันโทษฐานมารุกรานชีวิตหนู และหนูจะเอาชนะให้ดูโดยการทำให้เห็นว่าหนูจะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ อยู่ให้นานจนมันยอมแพ้และไม่มายุ่งกับชีวิตหนูอีกเลย” แววตามุ่งมั่น น้ำเสียงจริงจังไม่เคลือบแฝงการโกหกหรือประชดประชันใดๆ

และมันจริงใจเสียจนหมออย่างเขายังยอมแพ้

“นี่ดึกแล้วเราเข้าไปข้างในกันเถอะเดี๋ยวจะไม่สบาย”

“หมอให้หนูไปสอบนะคะ หนูขอร้องเพราะถ้าต้องรอถึงปีหน้าหนูก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกไหม หนูไม่อยากตายก่อนที่จะทำมันสำเร็จ หรือต่อให้ไม่สำเร็จหนูจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจที่ไม่ได้ทำ”

“หนูขอร้องหมอไม่ได้หรอกเพราะหมอไม่ใช่เจ้าของชีวิตหนู” นรกรบอก “หมอไม่ใช่ทนายไปฟ้องร้องเอาชีวิตหนูกับพระเจ้าหรือยมบาลไม่ได้... แต่หมอเป็นหมอและหมอมีหน้าที่รักษา” อทิฏฐ์เหลียวมามองทางหางตาพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นสูงเขาจึงขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง “ถ้าไม่ไหวต้องพอห้ามฝืน และตอนเย็นต้องกลับมาตรวจกับหมอทุกวัน ตกลงไหม”

นัยน์ตากลมหลุบลงมองพื้นอึดใจก่อนจะเบิกกว้าง รอยยิ้มกว้างคลี่เต็มเรียวปาก เด็กสาวมองคุณหมอหนุ่มอย่างซึ้งใจ “ขอบคุณค่ะคุณหมอ”

ทั้งสองลุกขึ้นยืนและพากันเดินกลับไปที่หอผู้ป่วยเงียบๆ แล้วทั้งหมอและคนไข้ก็ถูกพยาบาลดุอยู่เกือบๆ ห้านาทีด้วยข้อหาทำให้เป็นห่วงเพราะแก้ตัวแค่ว่าออกไปเดินเล่นข้างนอก ทั้งสองมองหน้ากันยิ้มๆ โดยไม่พูดว่าอะไรอีกก่อนจะนรกรจะพาเธอมาส่งที่เตียง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้หมอจะไปคุยกับอาจารย์เจ้าของเคสให้นะ”

ลลินยกมือไหว้ขอบคุณ ทั้งเขาและเธอรู้ว่ามันยากหนักหนาเพราะอาจารย์คนนั้นคือศาสตราจารย์สรวิชญ์ นรกรกำลังจะกลับหลังหันเมื่อเธอเรียกไว้อีกครั้ง “หมอฮาร์ฟคะ”

“มีอะไรครับ”

“หมอจำวันที่หมอผ่าให้หนูครั้งแรกได้ไหมคะ”

“ได้สิครับ”

“หนูโกหกเรื่องที่ว่าหนูฝันเห็นหมอตอนผ่าตัด” มือเล็กเซียวกำผ้าห่มแน่น ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด “หนูไม่ได้ฝันแต่หนูเห็น... หนูยืนอยู่ในห้องผ่าตัด อากาศมันเย็นเฉียบจนขนลุกซู่ หนูมองไปที่ตัวเองเห็นสมองที่ถูกเปิดออกมีแต่เลือดเต็มไปหมด แล้วหนูก็คิดว่าพอเถอะ หนูจะสู้ไปทำไมให้เจ็บตัวเปล่าๆ หนูกลับหลังหันให้ร่างตัวเอง แล้วออกจากประตูเดินไปตามแสง ระหว่างทางหนูเห็นพ่อกับแม่นั่งกุมมือช่วยกันสวดมนตร์ให้หนูปลอดภัยอยู่หน้าห้องผ่าตัด และตอนที่กำลังลังเลว่าจะอยู่หรือจะไปดีหนูก็ได้เสียงที่บอกให้หนูสู้... เสียงคุณหมอ ในขณะที่ทุกคนบอกว่าไม่ไหว หมอบอกทุกคนว่าไหวเพราะหนูพูดไว้แบบนั้น ถ้าหนูสู้ หมอจะสู้ไปกับหนู... หนูก็เลยกลับมา หนูไม่ยอมแพ้ไปก่อนหมอหรอก”

“หมอก็ไม่ยอมแพ้หนูเหมือนกัน” นรกรยิ้มกว้างและกว้างมากขึ้นอีกเมื่อหันไปสบตากับใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ 

“คุณพูดได้ดีมากเลย” อทิฏฐ์เอ่ยชมเมื่อทั้งสองออกมาอยู่กันตามลำพังตรงทางเดิน “เท่จนผมเกือบตกหลุกรักแน่ะ”

“คุณไม่ต้องกังวลหรอกนะ ผมเลือก”

“โอ้โห ใจร้ายกว่านี้มีอีกไหม” อทิฏฐ์หัวเราะลงคอ “เรากลับห้องกันเถอะผมอยากล้มตัวลงนอนจะแย่แล้ว”

“ไหนเคยบอกว่าเป็นผีไม่หลับไม่นอนก็ได้ไง”

“แต่ผมชอบมองหน้าคุณเวลานอนนี่นา”

“ยังไม่เลิก”

“ทำไมล่ะก็หน้าตอนคุณนอนน่ะมันน่ารักจริงๆ นี่ คนอะไรใจร้ายผิดกับหน้าตาเดี๋ยวก็ขู่จะเอาผมใส่หม้อไปถ่วงน้ำบ้างล่ะ จะเอาไปฝังบ้างล่ะ”

“ก็คุณอยากมากวนประสาทกันก่อนทำไมล่ะ นี่ดีนะที่เป็นผีถ้าลองเป็นคนนะผมจับส่งไปแอดมิทจิตเวชแล้ว” นรกรเงียบไปอึดใจก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอบใจนะ”

“ขอบใจผมทำไมผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“ที่อยู่ข้างๆ ผมและคอยเป็นกำลังใจให้ผม” นรกรพูดจากใจ “ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมอยากทำอะไร คุณพูดถูก จริงอยู่ว่าผมเป็นหมอเพราะอยากให้พ่อกับแม่หันมามองแต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอยากเป็นหมอที่ดีเพื่อคนไข้ของผม ไม่ใช่แค่รักษาชีวิตแต่ผมต้องทำให้พวกเขามีชีวิต”

ภาพแววตาแห้งแล้งเหมือนต้นไม้ยืนต้นตายกลางทะเลทรายกลับมามีประกายแห่งความหวังอีกครั้งยังคงติดอยู่ในใจ ไม่ได้คิดฝันว่าตัวเองจะเป็นหยาดฝน ขอแค่ได้เป็นเพื่อนร่วมทางที่จะเดินไปด้วยกันก็พอ

“จะอยู่หรือไปงั้นเหรอ” จู่ๆ อทิฏฐ์ก็กระซิบขึ้น

“อะไรเหรอ”

“ที่ลลินพูดไง... จะอยู่หรือไป ต้องใช้ความเข้มแข็งมากแค่ไหนกันนะที่จะหันหลังให้ทางสบายแล้วกลับมาเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบาก”

“แล้วถ้าเป็นคุณจะทำยังไงล่ะ”

“ไม่รู้สิ... ก็ผมเลยจุดนั้นมาแล้วนี่นา”

เพราะหน้าทะเล้นที่เครียดขึ้นมาทันทีนรกรจึงไม่ถามอะไรต่ออีก ทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์ในขณะที่ใครคนหนึ่งเลี้ยวออกมาจากมุมตึก

วินทร์มาตามหานรกรที่หายไปอีกทีหลังจากได้ยินเรื่องจากคุณพยาบาลและเมื่อทราบว่านรกรพาลลินกลับมาส่งเรียบร้อยจึงรีบเดินตามออกมาเพื่อเคลียร์เรื่องตั้งแต่เมื่อเช้า แต่ได้ยินเสียงแว่วคุยอยู่กับใครจึงไม่อยากขัด

ทว่า หลังจากที่แอบฟังอยู่เนิ่นนานหลายนาทีเขาก็พบตรงนั้นไม่มีใครนอกจากทางเดินที่ว่างเปล่า

แล้วนรกรคุยอยู่กับใคร?



(ต่อด้านล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-04-2020 14:23:51 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 5 (ต่อ)


เจ็ดโมงเช้าวันอังคารเป็นวันที่อาจารย์ทุกท่านของภาควิชาศัลยกรรมประสาทและสมองซึ่งมีทั้งหมดสามท่านรวมทั้งศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่ให้เกียรติมาช่วยจะทำการเดินตรวจเยี่ยมคนไข้ตามหอผู้ป่วยพร้อมแพทย์ประจำบ้านเพื่อประเมินผลการรักษาที่ผ่านมาและร่วมกันวางแผนการรักษาในขั้นตอนต่อไป แต่สำหรับแพทย์ประจำบ้านแล้วมันคือวันขึ้นเขียงเตรียมเชือด

ถึงจะไม่ได้พกมีดผ่าตัดมาด้วยแต่วาจาสอนสั่งของศาสตราจารย์สรวิชญ์นั้นเชือดเฉือดหัวใจและความมั่นใจให้ขาดสะบั้นได้ดียิ่งกว่าศาตรามีคมใดๆ

“วันหลังพกซีรีบลัม(Cerebrum:สมองส่วนหน้า)มาด้วยนะไม่ใช่สักแต่ใช้สไปนัลคอร์ด(Spinal cord:ไขสันหลัง) ทำงานอย่างเดียว” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พูดเสียงเรียบกับจิงโจ้หลังจากทวนถามหน้าที่ของสมองแต่ละส่วนเป็นการวอร์มอัพเบาๆ ก่อนเริ่มราวน์แต่กลับได้คำตอบผิดๆ ถูกๆ กลับมาเพราะเจ้าตัวลนลานจนเกินไป “วาดภาพสมองพร้อมคำอธิบายอย่างละเอียดมาส่งผมภายในเช้าวันพรุ่งนี้... สามชุด! วาดและเขียนเองทีละแผ่นห้ามใช้กระดาษก๊อปปี้ด้วย อย่าคิดนะว่าผมไม่รู้น่ะ... เอาล่ะ เริ่มต้นเคสแรกได้”

เคสแรกของวันนี้มีวินทร์เป็นเจ้าไข้ถึงจะไม่มีคำชมใดๆ หลุดลอดออกจากปากแต่นั่นก็ถือเป็นความสำเร็จอย่างสูงสุด

“แล้วต่อไปเป็นเคสใคร”

“ของผมครับ” นรกรก้าวเข้าไปยืนข้างหน้า พลางส่งแฟ้มผู้ป่วยของลลินให้ศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่รับไปตรวจดูทีละแผ่นพร้อมกับรายงานเคส

“ตกลงคุณจะอนุญาตให้คนไข้ไปสอบได้” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามทันทีเขาพูดจบทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากแฟ้ม

“ครับ” นรกรยืนยันในแผนการรักษาของตน

“แล้วหลังจากเธอออกจากโรงพยาบาลไปแล้วคุณจะทำยังไงต่อ” อาจารย์ธนบดีถามเพิ่มเติมเพื่อลงความเห็น

“เธอจะเดินทางไปกลับระหว่างโรงพยาบาลกับสถานที่สอบโดยผมจะมาเป็นคนตรวจประเมินอาการทุกวันตอนเช้าและเย็นเพื่อให้การอนุญาตเป็นวันๆ ไปครับ”

“การรักษาไม่ใช่แค่ต้องดูที่ร่างกายแต่เราต้องดูแลให้ครบองค์รวมถึงจิตใจและสังคมของผู้ป่วยด้วย” อาจารย์วิมลภา ผู้หญิงเพียงคนเดียวในภาควิชาและผู้เป็นมารดาของเขาเอ่ยขึ้น 

“นั่นแปลว่าอาจารย์เห็นด้วยเหรอครับ”

“แค่ดีแต่ไม่เห็นด้วยค่ะ” อาจารย์วิมลภากล่าว “แผนการรักษาที่ว่ามามันยังไม่รอบคอบพอเท่าไหร่”

“เท่าที่ฟังผมก็คิดว่าไม่เลวนะ” อาจารย์ภูมิศิลป์ที่เงียบอยู่นานพูดบ้าง “อย่างคนไข้ที่ต้องทำกายภาพก็ยังมีการให้ออกไปทำธุระหรือลากลับบ้านได้เป็นครั้งๆ ไป”

ความเห็นจากอาจารย์ท่านอื่นแม้จะยังไม่เห็นด้วยเต็มร้อยแต่ก็ทำให้นรกรใจชื้นขึ้นมาหน่อย กำลังจะอธิบายเพิ่มเติมเมื่อศาสตราจารย์สรวิชญ์แทรกขึ้น

“แล้วถ้าเกิดอาการกำเริบระหว่างสอบล่ะ ถ้าเกิดอาการมันแย่ลงจนรักษาไม่ได้และถ้าเกิดเธอ ‘ตาย’ คุณจะรับผิดชอบไหวไหม” 

คำพูดไม่ได้กระแทกกระทั้นแต่เน้นย้ำราวกับเขาเป็นฆาตกรที่กำลังวางแผนจะฆ่าเธอ สายตาสีเทาคมกริบที่มองมาดั่งคมมีดกรีดความมั่นใจของเขาขาดวิ่นจนไม่เหลือชิ้นดีก่อนจะเขวี้ยงทิ้งลงถังขยะ จู่ๆ ลำคอก็แห้งผากขึ้นมาเสียเฉยๆ เมื่อทุกคนพากันหันมามองเขาเป็นตาเดียวราวกับจะคาดคั้น

“ผมถามว่าคุณรับผิดชอบชีวิตเธอไหวไหม!”

“ไม่ครับ”

“ยังไงผมก็ไม่อนุญาต” ศาสตราจารย์สรวิชญ์สรุปความเห็นของตัวเองอีกครั้งพร้อมกับปิดแฟ้มและโยนลงบนเคาน์เตอร์ ถึงจะไม่ดังแต่ก็ทำเอาทุกคนสะดุ้งโหยงโดยเฉพาะจิงโจ้ที่ไม่กล้าสบตาต้องเขยิบไปยืนแอบหลังอนุวัฒน์

ศาสตราจารย์สรวิญ์กำลังจะเดินออกไป นรกรเม้มริมฝีปากแน่นไม่ว่าเหตุผลจะดีงามแค่ไหนแต่เขาไม่เคยชนะผู้ชายคนนี้ เขาก้มลงมองมือตัวเองนึกสงสัยจับใจว่าทำไมถึงทำอะไรไม่ได้สักอย่างเมื่อมือของใครอีกคนยื่นมาแตะเบาๆ ที่หลังมือ

นรกรเงยหน้าขึ้นสบสายตากับร่างโปร่งแสงข้างกายที่พยักหน้าให้เขาครั้งหนึ่ง

“แต่ผมก็รับผิดชอบความฝันของเธอไม่ไหวเหมือนกัน” แม้แต่ตัวเองยังแปลกใจ นับจากประโยคแรกที่พยายามอธิบายกับผู้ชายคนนี้ว่าไม่ได้บ้า นี่ก็ถือเป็นครั้งที่สองในชีวิต และมันไม่ใช่เรื่องของการเอาชนะ เขาแค่เป็นตัวแทนพูดในสิ่งที่คนไข้ของเขาต้องการ

ศาสตราจารย์สรวิญ์หันหลังกลับมา ยกมือขึ้นกอดอกและถามเสียงเหยียบเย็น “คุณว่าไงนะ”

มือทั้งสองกำเป็นหมัดแน่น ไม่ใช่ไม่กลัวแต่เขาต้องทำก่อนจะความกล้าที่มีจะหายไปและก่อนที่มันจะสายเกินไป “ผมยกสถานที่สอบมาให้เธอที่นี่ไม่ได้แต่ผมตามไปดูแลเธอได้ถ้ามีอาการผิดปกติ... ผมแจ้งให้ผู้ปกครองและเจ้าตัวทราบถึงความเสี่ยงแล้ว ทุกคนยอมรับครับ” นรกรสูดลมหายใจเข้าจนสุด “ลลินครบอายุ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว ตามกฏหมายและ Patient’s right คนไข้มีสิทธิ์เลือกการรักษา และผมเคารพในการตัดสินใจของเธอครับ” เขาสรุปอีกครั้ง

นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยมองสบมาที่ครั้งนี้นรกรไม่คิดจะหลบเขาต้องยืนหยัดเพื่อคนไข้ของเขา เมื่อเสียงทุ้มดังลอดผ่านริมฝีปากที่แทบไม่ขยับ “รับผิดชอบคำพูดตัวเองด้วย”

“ขอบคุณครับ” นรกรค้อมศีรษะให้ศาสตราจารย์สรวิชญ์ก้าวฉับๆ ออกไปจนแทบได้ยินเสียงชายเสื้อกาวน์สะบัด ในขณะที่น้องๆ หันมาชูนิ้วโป้งและกระซิบกระซาบให้กำลังใจโดยเฉพาะจิงโจ้ที่ดูจะออกนอกหน้ากว่าคนอื่น

“วันนี้พี่ฮาร์ฟเท่มาก”

ยกเว้นวินทร์ที่เพียงแค่ยืนมองเฉยๆ ไม่สื่ออารมณ์หรือความหมายใด

ทุกคนพากันเดินไปดูเคสอื่นต่อ แต่นรกรยังอยู่รั้งท้ายอีกครู่หนึ่งเพื่อเดินไปแจ้งข่าวดีให้ลลินทราบ เธอร้องตะโกนด้วยความดีใจและเป็นอีกครั้งที่พวกเขาถูกพยาบาลหันมาทำตาเขียวใส่โทษฐานำเสียงดังรบกวนผู้อื่น เขาผงกศีรษะขอโทษก่อนจะรีบวิ่งเหยาะๆ กลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ

หลังจากการตรวจเยี่ยมเสร็จสิ้น เขาก็รีบวิ่งกลับมาที่หอผู้ป่วยอีกครั้งเพื่อมากำชับลลินซึ่งตอนนี้เปลี่ยนไปใส่ชุดนักเรียนเตรียมไปสอบเรียบร้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเธอในชุดนี้และทั้งที่คิดมาตลอดว่าเธอเหมือนเด็กประถมแต่กลับดูเหมาะเจาะจนเขาอดจะยิ้มและจินตนาการถึงวันที่เธอใส่ชุดนักศึกษาไม่ได้

“สอบเสร็จสี่โมงเย็น หมอให้เวลาถึงหกโมงเพื่อมาให้ถึงโรงพยาบาลไม่งั้นหมอจะโทรตามทุกห้านาที ตกลงไหม”

ผู้เป็นแม่พยักหน้าพลางจดโน้ตลงในสมุดบันทึกการรักษาของลูกสาว ในขณะที่เจ้าตัวตอบเสียงใส “รับทราบค่ะ”

นรกรยกมือขึ้นกอดอกปั้นหน้าเครียด “มีอะไรที่หมอลืมบอกหนูอีกไหม”

“หนูว่าไม่มีแล้วนะ” เธอเปิดกระเป๋าสะพายพลางตรวจดูของ “มาร์สเอามาแล้ว ยาเช้ากินแล้ว ยาเที่ยงก็เตรียมมาแล้ว ถ้ามีอาการปวดหัว มองอะไรพร่ามัวมากขึ้นต้องรีบหยุดพักและให้ใครพามาส่งโรงพยาบาล”

“หมอว่าไม่ใช่นะ” ก่อนจะขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง “ถ้าคิดคำตอบไม่ออกให้เลือกข้อที่ยาวที่สุด... เชื่อหมอสิหมอผ่านมาก่อน”

เธอยิ้มจนตาแทบปิดพร้อมกับยกมือไหว้อีกครั้ง “ขอบคุณนะคะคุณหมอ”

หลังจากส่งลลินเรียบร้อยเขาก็วิ่งกลับไปห้องผ่าตัดเพื่อเตรียมเข้าเคสแต่ที่นั่นมีใครคนหนึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว

วินทร์คลายมือที่กอดอกไว้ออกและเดินเข้ามาหา “ฮาร์ฟ ฉันอยากคุยด้วย”

“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว” นรกรอาศัยตัวที่ผอมบางเบี่ยงหลบไปที่ล๊อกเกอร์ตู้ในสุดเขาเปิดประตูเพื่อถอดเสื้อเมื่อร่างสูงเดินเข้ามาคว้าแขนและดึงให้หันมา

“แต่ฉันมี”

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นมองสบสายตาคม มันจริงจังและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดจนเขาต้องยอมแพ้และหมุนตัวกลับมา

เมื่อเจ้าตัวไม่มีทีท่าขัดขืนอีกวินทร์จึงยอมปล่อยมือแต่ยังยกขึ้นวางพาดหน้าประตูไว้กันเหนียวเพื่อให้แน่ใจว่าจะตะครุบตัวได้ทันเผื่ออีกฝ่ายเกิดเปลี่ยนใจ

“ผมไม่ได้โกรธเรื่องที่พี่วินทร์จะมาเป็นอาจารย์ ผมแค่โกรธที่พี่วินทร์ไม่ยอมบอกผม ทำไมครับ... กลัวผมเสียใจ?”

“ไม่ใช่” วินทร์เม้มปากอยู่อึดใจ “จริงๆ แล้วฉันอยากรับข้อเสนอนั่นแต่เพราะมันมีตำแหน่งเดียวและฉันก็อยากให้นายได้เหมือนกัน”

“ทำไมถึงอยากให้ผมได้ล่ะครับ ในเมื่อไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะดึงตัวคนจากสถาบันอื่นมาเป็นอาจารย์ได้ การที่อาจารย์ต้องการพี่วินทร์ถึงขนาดนั้นแสดงให้เห็นแล้วนี่ครับว่าพี่วินทร์มีความสามารถ”

“ฉันไม่ได้อยากเป็นอาจารย์เพราะอยากสอน แต่มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ฉันไม่ต้องกลับไปใช้ทุนที่ต่างจังหวัด เพราะฉัน...”

“เพราะอะไรครับ”

“ฉันอยากอยู่กับนายที่นี่”

“งั้นพี่วินทร์ต้องรับนะเพราะผมก็อยากให้พี่วินทร์อยู่ที่นี่เหมือนกัน”

“จริงเหรอ”

“จริงสิครับ” นรกรหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เขายังไม่เลิกล้มความตั้งใจเดิมแต่จริงอย่างที่อทิฏฐ์ว่าเขายังมีเส้นทางอื่นให้เลือกอีกเยอะ ทางที่เขาจะสร้างและเดินต่อไปด้วยตนเองไม่ต้องตามรอยเท้าใคร “ ‘ตำแหน่ง’ ไม่ได้สำคัญกับผมเลย ถึงไม่ได้เป็นอาจารย์แต่ผมก็ยังเป็นหมอที่นี่ ไม่ได้ไปสอนที่มหา’ลัยก็ต้องช่วยสอนตอนเข้าเคสผ่าตัด แล้วพี่วินทร์ก็ดูรุ่นน้องเราแต่ละคนสิแสบๆ ทั้งนั้น มีคนอยู่ช่วยกันเยอะๆ ดีออก”

“ไม่ใช่ ฉันหมายความว่านายอยากให้ ‘ฉันอยู่กับนาย’ เหรอ”

คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อย จะว่าเข้าใจก็ไม่เชิงแต่เขาคิดว่ามันไม่น่าเป็นไปได้มากกว่า “พี่วินทร์หมายความว่าไง”

“ก็หมายความว่า...” ร่างสูงเขยิบตัวเข้าไปใกล้ขึ้นอีก

“ว่า...” ลมหายใจอุ่นชื้นที่แทรกผ่านอากาศมากระทบลงบนสันจมูกกับเสียงหัวใจที่เต้นแรงจนได้ยินราวกับมนต์สะกดให้เคลิบเคลิ้มจนไม่อาจเคลื่อนไหว

“ฉัน...”

“เฮ้ยๆ นั่นนายจะทำอะไรน่ะ!” อทิฏฐ์ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่นานพยายามเข้ามาแทรก “ถอยออกไปห่างๆ เลยนะ”

แต่ก็ไร้ประโยชน์ วินทร์เขยิบเข้าไปใกล้มากขึ้นทุกทีจนกระทั่งประตูเปิดผัวะเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะดังกระหึ่ม

“นี่นะเว้ยแล้ว...เอ๊ย! อ้าว พวกพี่ทำอะไรกันอยู่ครับ” จิงโจ้เดินเข้ามาเป็นคนแรกก่อนคนอื่นๆ จะตามมา

อทิฏฐ์ถอนหายใจอย่างโล่งอกและถอยกลับไปยืนซ้อนหลังตามเดิน

“เปล่า” นรกรกระซิบอ้อมแอ้มพร้อมทั้งหลบเข้าหลังประตูตู้ล็อกเกอร์ของตนเอง

วินทร์เหลือบมองคนตัวเล็กกว่าที่โดนประตูบังจนมิดทางหางตาก่อนจะถอดเสื้อกาวน์ของตนออกบ้างและตอบหน้าตาเฉย “ขอคืนดีอยู่”

“แล้วผลเป็นไงครับ”

สิ้นคำถามจิงโจ้ก็โดนปาด้วยเสื้อในมือจนหน้าหงายพร้อมกับที่วินทร์ชี้นิ้วประกาศก้อง “วันนี้เลิกเคสแล้วไปกินเหล้ากันเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง ส่วนแกไอ้โจ้! คืนนี้แกเตรียมหมอนไปนอนกะหมาข้างถังขยะได้เลย ไม่เมาไม่เลิก!”

การจับมอมเหล้าเป็นการลงโทษตามสไตล์วินทร์ ซึ่งให้เหตุผลว่าไม่มีอะไรน่ากลัวและน่าอ้วกมากไปกว่าการเมาแฮงค์แต่ต้องแหกขี้ตาตื่นมาราวน์ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าอีกแล้ว

“เหยยย ผมทำผิดอะไรทำไมผมต้องโดนคนเดียวด้วยล่ะ”

“เพราะแกมันปากหมาไง” วินทร์แจ้งข้อหา

“สมน้ำหน้า!” อนุวัฒน์ซ้ำ

“พี่ฮาร์ฟ ช่วยพูดอะไรสักอย่างสิครับ”

“อะไรล่ะ” นรกรที่เปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยปิดประตูล็อกเกอร์และหันมาถาม

จิงโจ้ปราดแทรกผ่านวินทร์เข้ามาเกาะแขน “ไปกับพวกผมป่าววว”

“ฮาร์ฟต้อง...”

“เอาสิ” นรกรรับคำ “แล้วแบ่งไปรถผมบ้างก็ได้นะ ไปกันตั้งเจ็ดคนรถพี่วินทร์คันเดียวคงไม่พอ”

“เย้!” จิงโจ้ร้องเสียงดังพร้อมกับชูมือในอากาศประหนึ่งทีมฟุตบอลในดวงใจได้เลื่อนชั้นก่อนที่วินทร์จะทนไม่ไหวต้องเอามือดันหัวออกไปให้พ้นทาง เขาเหลือบมองคนที่ยืนยิ้มขันกับท่าทางโอเวอร์แอคติ้งของรุ่นน้องก่อนเจ้าตัวจะรู้ตัวและหันมาสบตา

“มีอะไรครับ”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง “กินเหล้าเป็นกับเขาด้วย”

“ไม่เป็นครับ” นรกรกระซิบ “แต่ผมกินกับเก่งแล้วก็แค่อยากให้แน่ใจว่าพรุ่งนี้จะมีคนมาช่วยออกตรวจ OPD ตอนเช้า เพราะได้ข่าวว่าคราวที่แล้วคนบางคนต้องให้น้องช่วยกันลากกลับมา”

วินทร์หัวเราะในลำคอ “เมาแล้วไง สุดท้ายแล้วฉันเคยทิ้งนายด้วยเหรอ... แล้วก็นะ เรื่องอาจารย์น่ะยังไงฉันก็ไม่รับหรอกเรามาตัดสินกันแบบแฟร์ๆ ดีกว่า”

“ผมก็ไม่คิดจะยกให้ง่ายๆ อยู่แล้ว” นรกรยิ้มให้อีกครั้งและกำลังจะหมุนตัวเข้าประตูห้องผ่าตัดเมื่อเสียงทุ้มกระซิบขึ้นเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน

“ฮาร์ฟ ใครคือคนที่เจ็ดเหรอ” รุ่นน้องแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่หนึ่งถึงสี่มีแค่สี่คนรวมกับพวกเขาอีกสองคน บวกลบคูณหารยังไงก็ได้แค่หก

เขาเหลือบไปสบตากับอทิฏฐ์ที่ยืนอยู่ข้างกันก่อนจะหันมา “ก็พรายกระซิบของผมที่เคยบอกไงครับ... ล้อเล่นน่า! แค่นับเลขผิดน่ะ ผมไปก่อนนะพี่วินทร์รีบตามมาล่ะ”

oooooo

เมื่อไปถึงที่ร้านทุกคนก็เดินไปนั่งลงตามตำแหน่งที่ตัวเองเคยชิน ถึงจะมีไปสัมมนาหรือกินข้าวควบประชุมกลุ่มด้วยกันบ่อยๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ออกมาเที่ยวนอกรอบกับคนอื่นๆ นรกรเหลียวมองซ้ายขวาอยู่อึดใจเมื่อวินทร์เอื้อมมือไปเขยิบเก้าอี้ว่างข้างตัวเลื่อนออก

ร่างโปร่งกำลังจะทรุดตัวลงนั่งแต่จิงโจ้กลับลุกเดินอ้อมโต๊ะมาหาเสียก่อน “พี่วินทร์น่ะชอบยึดพี่ฮาร์ฟไว้คนเดียว”

“อะไรของแกวะ”

“หรือไม่จริงครับ อย่างตอนผ่าเมื่อเย็นก็เห็นกระซิบกระซาบกันสองคนงุ้งงิ้งๆ ไม่เห็นหันมาคุยกับพวกผมบ้างเลย”

“นั่นเขาปรึกษากันเว้ยว่าจะทำยังไง แล้วถ้าพูดน้ำลายแตกฟองแบบแกสมองคนไข้ก็ติดเชื้อหมดน่ะสิ ไอ้บ้า!” วินทร์ยกเท้าขึ้นถีบหยอกๆ ในแบบที่ถ้าโดนก็นับเป็นกำไร

จิงโจ้กระโดดหลบและหันไปรุนหลังพี่ใหญ่อีกคนไปนั่งเก้าอี้ “เชิญทางนี้ดีกว่าครับพี่ฮาร์ฟเจ้าภาพต้องนั่งหัวโต๊ะครับ”

“อ้าว พี่วินทร์ไม่ได้เลี้ยงหรอกเหรอ” นรกรถามยิ้มๆ และเดินไปนั่งตามที่บอกก่อนที่จิงโจ้จะไปนั่งตรงที่ว่างข้างวินทร์เสียเอง

“ใครเลี้ยงก็ไม่สำคัญครับ ผมสนแต่ว่ามื้อนี้ฟรีหรือเปล่า” ว่าแล้วก็จัดแจงหยิบขวดเหล้าขึ้นมาชงแจกจ่ายให้ทุกคนตามประสาคนเป็นน้องเล็กผู้รู้หน้าที่แต่อย่างหนึ่งก็เพื่อกันไม่ให้วินทร์หรือคนอื่นจับเขามอมได้ก่อนต่างหาก

“พอแล้วไอ้โจ้ ฮาร์ฟมันคออ่อน” วินทร์ร้องเมื่อเห็นสัดส่วนของแอลกอฮอล์ที่เทลงไปกว่าค่อนแก้วและยังไม่มีท่าทีจะเติมมิกเซอร์ลงไปผสม

“ไม่เป็นไรพี่กินได้” นรกรรีบบอกพลางรับมาเพราะไม่อยากให้งานกร่อยถ้าเขาเอาแต่นั่งจิบเป๊ปซี่

แต่ยังไม่ทันที่เครื่องดื่มในแก้วจะพร่องไปถึงครึ่งด้วยซ้ำนรกรก็ต้องเท้าแขนลงบนโต๊ะเพื่อช่วยยันปลายคางไม่ให้เซ

“คุณโอเคนะ” อทิฏฐ์ที่วันนี้ติดสอยห้อยตามมาเดินวนเวียนอยู่รอบๆ ชะโงกไปกระซิบถามที่ข้างหู

“ถ้าแค่แก้วสองก็น่าจะพอได้อยู่”

แล้วเวลาก็ล่วงผ่านไปเรื่อยๆ จนเหล้าเริ่มหมดไปหลายขวด แต่ละคนเริ่มคึกคักและเสียงดังมากขึ้น ถึงหลายๆ เรื่องที่ทุกคนคุยกันอย่างฟุตบอลนรกรจะไม่เข้าใจเพราะไม่เคยดูก็อดจะหัวเราะตามและฟังอย่างสนอกสนใจไปด้วยไม่ได้

จนกระทั่งหันมาอีกทีคนที่เคยยืนอยู่ข้างๆ ก็หายไปเสียแล้ว เขาจึงลุกขึ้นจากโต๊ะเงียบๆ เพื่อออกไปตามหา และพบอทิฏฐ์เดินเตร็ดเตร่อยู่ริมถนนหน้าร้าน

“มาทำอะไรตรงนี้”

“เปล่าครับ แค่ไม่รู้จะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหน”

นรกรเหลือบมองผู้คนที่แน่นขนัดในร้านและเสียงเพลงที่ดังสนั่น แต่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นไม่มีใครสักคนที่จะมองเห็นผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ “งั้นกลับกันเถอะ ผมเองก็เริ่มจะมึนแล้วขืนนั่งต่อคงโดนเจ้าพวกนั้นมอมเข้าจริงๆ”

“ไม่เป็นไรคุณอยู่ต่อเถอะ อุตส่าห์ได้มาเที่ยวกับทุกคนทั้งที”

“แต่...”

“ผมเป็นผีนะอย่าลืมสิ” อทิฏฐ์รีบบอก “แต่พวกเขายังมีชีวิตยังอยู่กับคุณนะ รีบไปใช้เวลาร่วมกับพวกเขาก่อนจะไม่มีโอกาสเหมือนผม”

“งั้นคุณก็ไปนั่งกับผม คอยเตือนผมว่าอย่าดื่มเยอะ ไปสิ” นรกรยื่นคำขาด “มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันสิ”

“แต่ผม...” อทิฏฐ์ยังคงมีท่าทีลังเลเมื่อวินทร์ที่ออกมาตามหานรกรอีกทีเดินมาสมทบ

“ฮาร์ฟ” ร้องทักพลางถอนหายใจอย่างโล่งอกนึกว่าไปเมาล้มพับอยู่แถวไหน “เป็นยังไงเหม็นควันบุหรี่? แสบตา? หรือว่าเมา? ถ้าไม่ไหวจะกลับก่อนก็ได้นะเดี๋ยวฉันบอกเจ้าพวกนั้นเอง”

นรกรเหลือบมองอทิฏฐ์เป็นเชิงบังคับ “ไม่เป็นไรครับ ผมกำลังจะเข้าไป”

ทั้งสามกำลังจะกลับเข้าไปด้านในเมื่อหญิงสาวสวยกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ พวกเขาเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้พวกเธอไปก่อนเมื่อหนึ่งในนั้นหันมาและหยุดฝีเท้าลง

ร่างบอบบางในชุดเดรสสีสันสดใสรองเท้าส้นเข็มสูงสามนิ้ว เรือนผมดำเป็นลอนยาวจนถึงสะโพกรับกับเอวคอดกิ่ว ใบหน้าเล็กเรียวสวยหวานโดยไม่พึ่งเครื่องประดับใดๆ ให้รกเอียงนิดๆ ขนตาที่แพหนาตามธรรมชาติกะพริบถี่ๆ สามสี่ครั้ง

“พี่วินทร์?”

คนถูกทักหันไปตามเสียงเรียก “ฝน”

นรกรมองคนทั้งสองสลับกันไปมา หญิงสาวตรงหน้าดูเป็นไฮโซมาจากตระกูลผู้รากมากดีในขณะที่คนข้างตัวเขาเหมือนหนุ่มบ้านนาเพิ่งเข้ากรุงนั่นยังไม่นับรวมเสื้อผ้าที่เป็นเสื้อยืดคอกลมลายการ์ตูนดีสนีย์กับกางเกงขาสามส่วนและลากรองเท้าแตะหูคีบ “พี่วินทร์รู้จักเธอด้วยเหรอครับ”

“เพื่อนสมัยเด็กน่ะ”

“ไม่เจอกันนานพี่วินทร์สบายดีนะคะ”

“อืม”

“งั้นฝนไปก่อนนะคะ เพื่อนเรียกแล้ว” หญิงสาวค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเดินตามกลุ่มเพื่อนๆ ไป

“เราก็ไปกันเถอะฮาร์ฟ เดี๋ยวเจ้าพวกนั้นจะโวยวาย”

นรกรพยักหน้ากำลังจะเดินตามหลังร่างสูงเข้าไปเมื่อร่างโปร่งแสงข้างกายยกมือขึ้นกุมศีรษะพร้อมกับทรุดตัวลงนั่ง “เป็นอะไร”

“มีอะไรเหรอฮาร์ฟ”

“เปล่าครับ” นรกรแกล้งทำเป็นเหยียบเชือกรองเท้าให้หลุดและก้มลงผูกใหม่ “พี่วินทร์ไปก่อนเลยเดี๋ยวผมตามไป”

“นายจะตามมาใช่ไหม”

“ครับ” นรกรพยักหน้าและเขาไม่จำเป็นต้องใช้หูฟังเพื่อคุยกับอทิฏฐ์เพราะตรงนี้ค่อนข้างมืด เขาแกล้งทำเป็นผูกเชือกรองเท้าพลางคุยไปเรื่อยๆ “ทิด คุณเป็นอะไร”

ร่างโปร่งแสงหันมาคว้าตัวเขาไว้ “ฮาร์ฟ ผมเห็นอีกแล้ว” แต่ไม่ได้ตื่นตระหนกเหมือนครั้งที่แล้ว กลับกันแววตานั่นดูเป็นประกายกล้าด้วยความดีใจ “บางทีผมอาจจะยังไม่ตาย”

“แล้วคุณอยู่ไหน” นรกรเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน

“เดี๋ยวนะ ขอผมนึกก่อน” อทิฏฐ์พยายามตั้งสติและถ่ายทอดสิ่งที่เห็นเป็นฉากๆ ราวกับภาพถ่ายบนแผ่นฟิล์มออกมาเป็นคำพูด

ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนหลับเหยียดยาวอยู่บนเตียงสีขาว ในปากคาบท่ออะไรสักอย่างต่อกับเครื่องจักรที่ตั้งอยู่หัวเตียงส่งเสียงฟืดฟาดตามจังหวะการหายใจ ร่างกายเต็มไปสายต่อระโยงระยางออกมาจากแขนและขา มีเงาคนเดินไปเดินมาด้วยความร้อนรนอยู่รอบๆ เตียง ชายในชุดกาวน์ยาวสีขาวพูดอะไรสักอย่างกับผู้หญิงที่เสื้อซาฟารีสีม่วงก่อนที่เธอจะพยักหน้าเร็วๆ แล้วรีบวิ่งออกไป   

“ผมนอนอยู่บนเตียง... มีสายน้ำเกลือต่อออกมาจากตัวผมเต็มไปหมด ผมพยายามพูดแต่พูดไม่ได้ แล้วก็เสื้อกาวน์... หมอ... ใช่แล้วมีหมอกับผู้หญิง... ผมไม่แน่ใจ เธอไม่ได้ใส่ชุดพยาบาล ไม่มีหมวกแต่เป็นเสื้อสีม่วงกับกางเกงสีขาว ”

นรกรแทบกลั้นหายใจ “แล้วไงอีกเห็นอะไรอีก”

“แล้วก็... เลข 4”

“ตรงไหน คุณเห็นตรงไหน”

อทิฏฐ์หลับตาเพื่อให้ภาพนั้นชัดเจนขึ้น “หัวเตียง... ใช่แล้ว! ผมนอนเตียงหมายเลขสี่”

“ไปกัน” นรกรโพล่งขึ้นพร้อมกับออกเดินไปที่รถ

“ไปไหน” อทิฏฐ์ถามเมื่อตามมาทันที่ข้างรถ

“ไอซียู” เขาสตาร์ทรถและขับออกไป

“คุณรู้ได้ไง แค่ใส่ท่อช่วยหายใจไม่จำเป็นต้องนอนไอซียูก็ได้นี่”

“เพราะพยาบาลแต่ละแผนกแต่งตัวไม่เหมือนกัน” นรกรอธิบาย “แบ่งตามลักษณะงานและพื้นที่ปลอดเชื้อ ซึ่งที่คุณพูดมามันตรงกับลักษณะชุดไอซียู โรงพยาบาลนี้มีทั้งหมด 7 ไอซียู 2 ที่เป็นของเด็กกับทารกแรกเกิด เพราะฉะนั้นเหลืออีกแค่ 5 ที่ และเราจะไปพิสูจน์กัน”

นรกรกดเท้าเหยียบคันเร่งเร็วขึ้นอีกเพื่อให้ทันกับความรีบร้อนในหัวใจ เขาไม่ใช้วิธีโทรไปถามแต่ละที่เพราะการไปเห็นกับตาตัวเองย่อมดีกว่า และโรงพยาบาลมีกฏชัดเจนว่าไม่ตอบอาการทางโทรศัพท์ถึงเขาจะเป็นหมอแต่ก็ไม่ใช่คนไข้ในความดูแลการไปให้เห็นตัวจึงนับเป็นการให้เกียรติคนตอบและเคารพสิทธิ์คนไข้



(ต่ออีกนิดค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 5 (ต่อ)


หลังจากฝ่าการจราจรบนท้องถนนมาได้ รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคก็เลี้ยวผ่านประตูโรงพยาบาล

“แต่ผมไม่เข้าใจน่ะฮาร์ฟ” อทิฏฐ์ถามขณะก้าวเร็วๆ ไปด้วยกันตามทางเดิน “ถ้าผมยังไม่ตายแล้ววิญญาณผมมาอยู่ที่นี่ได้ยัง”

“คุณอาจจะอยู่ในสภาวะโคม่า” นรกรอธิบาย “ครึ่งหลับครึ่งตื่นเหมือนอย่างที่ลลินเล่าให้ฟังไง”

“จริงด้วย”

“นี่ทิด ในเมื่อตอนนี้เรื่องมันเปลี่ยนไปแล้ว คุณมีทางเลือก ถ้าคุณเจอตัวเอง ถ้าคุณจำได้ว่าคุณเป็นใคร คุณจะตัดสินใจยังไง”

“ไม่รู้สิ” อทิฏฐ์สารภาพตามตรง “ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมคิดมาตลอดว่าตัวเองตายไปแล้วแต่กลายเป็นว่าผมยังมีชีวิตอยู่ ผมก็อยากกลับไปนะแต่ถ้ากลับไปแล้วมันไม่มีอะไรดีขึ้นล่ะ ถ้ามันต้องทรมานสู้ให้ผมไปตายไปจริงๆ ดีกว่าไหม... คือเอาจริงๆ นะ ตอนนี้ผมคิดแค่ว่าจะเป็นยังไงก็ได้ขอแค่ให้อยู่กับคุณต่อไปเรื่อยๆ”

คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย “นั่นไม่ใช่คำตอบนะ แต่เอาเถอะ ไว้ค่อยคิดทีหลังก็ได้”

ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงหน้าประตูไอซียูแห่งแรก พวกเขาหันมาสบตากันอีกครั้ง “คุณพร้อมจะเจอตัวเองหรือยัง”

อทิฏฐ์พยักหน้า “ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมล่ะ”

นรกรผลักบานประตูเข้าไป

“คุณเป็นใครคะ” หนึ่งในพยาบาลสาวที่เคาน์เตอร์ร้องถามคนแปลกหน้าที่โผล่พรวดพราดเข้ามาในยามวิกาล

“ผมเป็นหมอครับ” นรกรรีบรายงานตัว “พอดีเพิ่งกลับมาจากธุระขอเยี่ยมคนไข้เตียงสี่หน่อยนะครับ”

พยาบาลสาวหันมองหน้ากัน “คุณหมอจำเตียงผิดหรือเปล่าคะ”

“ไม่น่าจะผิดนะครับ ทำไมเหรอ”

“เตียงสี่ไม่มีคนไข้มาสักพักแล้วค่ะ”

นรกรเหลียวมองไปยังห้องหมายเลขสี่ที่ว่างเปล่า และปิดไฟมืดสนิท “ผมคงมาผิดไอซียู ขอบคุณมากครับ”

ทั้งสองกลับออกมาวิ่งเหยาะๆ บนทางเดินอีกครั้งเพื่อไปยังเป้าหมายถัดไป แต่ที่นั่นก็ไม่มีใครนอนอยู่เหมือนกันและเป็นเช่นนี้ทั้งสี่ไอซียู

“เตียงสี่ว่างทุกที่เลย” อทิฏฐ์รำพัน

“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” นรกรกระซิบ “ทีนี้เราก็เหลือแค่ตัวเลือกเดียวคุณจะได้ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจไงว่าจะเข้าร่างไหนดี”

ฉับพลันภาพตัวอักษรโลหะสีเงินบนฝาผนังลอยขึ้นมาในหัว อทิฏฐ์หลับตาลงเพื่อให้ภาพนั้นชัดเจนขึ้นและเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ราวกับภาพนั้นหลุดออกมาจากห้วงความคิด และตอนนี้พวกเขาก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าไอซียูศัลยกรรม

“ใช่แล้วคุณ ที่นี่แหละ”

“อืม” นรกรค่อยผลักบานประตูเข้าไป หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้เจ้าของร่าง

บรรยากาศด้านในค่อนข้างวุ่นวายมากกว่าปกติ นางพยาบาลและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เดินสวนกันขวักไขว่ “ท่าทางจะมีคนไข้อาการหนักมา”

สิ้นคำเจ้าหน้าที่สองนายก็เดินตามหลังเข้ามาและเข็นเปลเปล่าตรงไปยังห้องหมายเลขสี่

“คุณ นั่น!” อทิฏฐ์ร้องเสียงดังเมื่อเห็นพยาบาลช่วยกันยกร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงวางลงบนเปลนอนก่อนจะคลุมผ้าให้เรียบร้อย “เขาจะพาผมไปไหน”

นรกรรีบเดินเข้าไปหา “เกิดอะไรขึ้นครับ”

“อ้าวหมอฮาร์ฟ มาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ คะ”

เพราะเป็นไอซียูที่รับผู้ป่วยหลังผ่าตัดเป็นหลักเจ้าหน้าที่ที่นี่จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเขาเพราะส่งคนไข้ผ่าตัดสมองมาฝากนอนบ่อยๆ นึกแปลกใจตัวเองไม่น้อยเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่รู้จักเคสเตียงสี่เลยสักนิด

“ผมมาเยี่ยมคนไข้เตียงสี่น่ะครับ”

“หมอฮาร์ฟเป็นอะไรกับคนไข้คะ”

“พอดีเพื่อนฝากมาดูเคสน่ะครับ”

“เสียใจด้วยนะคะคุณหมอ” พยาบาลสาวบอก “คนไข้เสียชีวิตเมื่อสักครู่นี่เอง เราเพิ่งจัดการศพเสร็จกำลังจะส่งไปห้องฝากศพรอญาติมารับค่ะ”

เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ เขาเหลือบตามองอทิฏฐ์ที่หน้าซีดลงได้อีกเมื่อความหวังที่เริ่มจุดติดขึ้นมาเพียงน้อยนิดดับสลายลงในพริบตา

“ขอผมดูเขาหน่อยได้ไหมครับ”

“เชิญค่ะคุณหมอ”

“ขอบคุณมากครับ” นรกรเดินไปเข้าไปในห้องเพื่อดูร่างบนเปลให้ชัด ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดนอนสงบนิ่งบนเตียง ฝ่ามือแห้งเหี่ยววางประสานไว้บนอกที่ไหวติง เขาค้อมศีรษะให้ครั้งหนึ่งเป็นการแสดงความเคารพก่อนจะกลับออกมา “อทิฏฐ์ ผมเสียใจด้วยนะ” นรกรกระซิบเสียงแผ่วเมื่อเจ้าหน้าที่เปลเข็นร่างไร้วิญญาณนั้นผ่านหน้าไป

“ไม่เป็นไร... ผมทำใจไว้แล้ว”

“นั่นไม่ใช่คุณ”

อทิฏฐ์เงยหน้าขึ้นและหันมามองอย่างไม่เชื่อหู “ไม่ใช่ผม”

“ไม่ใช่แน่ๆ” นรกรยืนยัน “ถึงเขาจะเป็นคุณลุงสูงอายุแต่ไม่ว่าจะดูยังไงก็ไม่คล้ายคุณเลยสักนิด แล้วก็...” พยักเพยิดไปที่หน้าประตู “เจ้าตัวยืนอยู่นั่นไง”

อทิฏฐ์หันไปดู ชายชราร่างผอมสูงในชุดสุดท้ายที่สวมใส่ยืนกุมมือราวกับเป็นไว้อาลัยให้ตัวเองก่อนออกเดินตามหลังเจ้าหน้าที่เข็นเปลเข้าไปในลิฟต์

“ถ้าผมยังไม่ตาย แล้วผมอยู่ที่ไหนล่ะ ก็เตียงหมายเลขสี่ในโรงพยาบาลนี้ไม่มีแล้วนี่ ตอนนี้ร่างผมอยู่ที่ไหนกัน”

“ผมไม่รู้ แต่ถ้าคุณอยากรู้ผมจะหาคำตอบให้คุณให้ได้” นรกรให้คำมั่น “ไม่มีทางที่คุณจะไม่เคยมีตัวตน สสารไม่เคยสูญหายไปจากโลกแค่เปลี่ยนสถานะและที่อยู่เท่านั้น บางทีตอนนี้คุณอาจถูกย้ายเตียงหรืออาจอาการดีขึ้นจนย้ายไปนอนห้องสามัญ... ภาพนั้นมันเป็นปัจจุบันแค่ไหน แน่ใจจริงๆ นะว่าคุณยังไม่ตาย”

“แน่ใจครับ ผมยังไม่ตายและเธอเพิ่งมาเยี่ยมผม” เขาก้มลงมองมือตัวเองที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอุ่นวาบที่ฉาบขึ้นชั่วครู่ และนั่นก็เป็นเหมือนประกายไฟเล็กๆ แห่งความหวังที่ทำให้เขาอยากจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง “ผู้หญิงคนนั้น”

“หมายความว่าไง”

อทิฏฐ์เงยหน้าขึ้นสบตานรกรอยู่อึดใจก่อนจะพูดออกมา “ขอโทษนะที่บอกช้า ผมแค่ไม่อยากให้คุณอึดอัด... ผู้หญิงคนนั้นคือเพื่อนของพี่วินทร์ที่เราเจอที่ร้านเมื่อกี้ ดูเหมือนว่าเราจะเป็นแฟนกันหรืออย่างน้อยผมก็รักเธอ”

เขาหลับตาลง ภาพความทรงจำไหลคืนมาดั่งสายน้ำตกที่พร่างพรู

ใบหน้าจิ้มลิ้มกับรอยยิ้มหวานที่หักแบ่งไอศกรีมแท่งส่งให้เขาครึ่งหนึ่ง เด็กสาวตัวเล็กผูกผมเปียที่ซ้อนท้ายจักรยานคันเก่าของแม่เกาะบ่าเขาไปโรงเรียน หญิงสาวในชุดนักศึกษาที่กระโลดเต้นไปรอบๆ ห้องด้วยความดีใจจนกระโปรงอีดพลีทเปิดและเขาต้องโยนเสื้อคลุมส่งให้แก้เขิน และสาวสวยซึ่งสวมชุดครุยยาวที่โผเข้ามากอดเขาเต็มแรงจนแทบหงายหลังล้มลงบนพื้นหญ้า

‘สุดยอดเลยคนเก่งของพี่ คว้าเกียรติยมอันดับหนึ่งมาจนได้’

รอยยิ้มของเธอยังคงตราตรึงในหัวใจ เช่นเดียวกับเสียงหวานที่ยังกังวานอยู่ในหู

‘ขอบคุณนะคะ’

ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขาหลงรักจนหมดใจ
 
“และผมก็นึกชื่อเธอออกแล้วด้วย เธอชื่อ...”

“เพียงพิรุณ” นรกรกระซิบเสียงแผ่ว

“คุณรู้ได้ยังไง”

เหมือนโดนตบหน้าซ้ายขวาด้วยแท่งน้ำแข็งเย็นจัดพร้อมกัน ทำไมเขาจะไม่รู้จักเธอ ทำไมถึงจะลืมเธอไปได้ “เธอคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายของพี่ปอ”

 อทิฏฐ์เองก็นิ่งขึงไปทันที ไม่ใช่แค่คนที่เคยรักไปเป็นคนรักของคนอื่นแต่คนอื่นที่ว่าคืออดีตแฟนของคนที่อยู่ตรงหน้าเขานี่เอง “คุณไม่จำเป็นต้องไปพบเธอเพื่อผม”
   
“ไม่ใช่แค่เพื่อคุณหรอก” นรกรหยุดยืนทบทวนหัวใจตัวเองอยู่อึดใจพลางทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างที่ท้องฟ้าทึบทึมแทบมองไม่เห็นแสงสีนวลบนฟากฟ้า ขนาดไม่คิดจะร้องขอพระจันทร์ยังไม่ยอมเยี่ยมหน้าออกมาให้เห็น “เพราะผมก็อยากจะมั่นใจว่าจะผ่านอดีตนั้นไปได้” ถึงน้ำเสียงจะแหบพร่าแต่ก็หนักแน่นด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่

“เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”

ฝ่ามือหนึ่งวางทาบลงบนหลังมือ เขาละสายตาจากท้องฟ้าพร้อมๆ กับที่สายลมพัดมาผะแผ่วทำให้กลุ่มเมฆเคลื่อนตัวออกจากกัน แสงจันทร์สีนวลส่องกระทบเสี้ยวหน้าของร่างโปร่งแสงเห็นรอยยิ้มจางที่ลากขึ้นบนเรียวปากและโดยไม่รู้ตัวริมฝีปากก็ค่อยคลี่ออกตามคนตรงหน้า

ถ้าพระจันทร์ใจดีอยากจะอวยพรขอแค่เพียงส่งยิ้มให้กันบ้างก็พอ เพราะสำหรับกำลังใจและความเข้มแข็งตอนนี้เขาคิดว่าได้รับมันมามากพอแล้ว

********************************************TBC**********************************************

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์นะคะ

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
ติดเรื่องนี้อีกเรื่องแล้ววว  :mew1:

ความสัมพันธ์ของตัวละครซับซ้อนมากเลย อ่านแล้วสนุกค่ะติดมากอีกเรื่องนึงเลย

หรือเพียงพิรุณจะวางยาอทิฏฐ์ แต่ก็บอกว่าเป็นคนกลืนยานั่นเอง
จากเหตุการณ์ที่อทิฏฐ์เล่ามา ผญคนนี้ไม่ธรรมดาซแน่ๆ

ปม ปม ปมเต็มไปหมดเลยยยย :z2:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จุดร่วมอยู่ที่เพียงพิรุณสินะ
ว่าแต่เพียงพิรุณนี่ใช่คนเดียวกับเด็กผู้หญิงที่เคยรวมหัวกับเพื่อนๆในห้องแกล้งฮาล์ฟตอนเด็กๆรึเปล่า
รอตอนต่อไปค่ะ
ให้กำลังใจคนเขียน  :L1:

ออฟไลน์ Paracetamol

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-2
ชอบมากเลยค่ะ นรกรเท่มากตอนไฟท์กับคุณป๋า

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :pig4:สนุกมากคะ  รอลุ้นต่อคะ

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด