คำทำนาย ทายว่าต้องรัก : 1
เมื่อถูกความรักหักหลังทำให้ไม่อาจอยู่เจอหน้าได้ เด็กหนุ่มที่เพิ่งเรียนจบจำเป็นต้องหอบข้าวของหนีกลับบ้านเพื่อไปรักษาบาดแผลในหัวใจ รอวันที่จะกลับมาเข้มแข็งและยืนหยัดได้อีกครั้ง
สถานีขนส่งผู้คนพลุกพล่าน บางคนก็เพิ่งมาแต่บางคนก็กำลังจะกลับ อย่างเช่นเขา ที่กำลังจะเดินทางออกจากจังหวัดที่มาอาศัยอยู่เกือบสิบปี ตั้งแต่มัธยมจนเรียนจบมหาวิทยาลัย
‘อัษฎา’ หรือเรียกสั้นๆ ว่าอัด เด็กหนุ่มที่ย้ายมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาเรียนในตัวเมืองใหญ่ เขาอาศัยอยู่กับพี่สาวของพ่อที่เสียไปตั้งแต่ยังเด็ก ป้ารักอัดราวกับลูกชายคนหนึ่ง อาจเพราะป้ามีแต่ลูกสาวทำให้เธอรักอัดจริงๆ
คุณป้าเอมอรยืนน้ำตารื้นมองหลานรักที่กำลังจะจากอ้อมอกไป เธอรู้ว่าถึงจะไม่ใช่วันนี้ แต่สักวันอัษฎาก็คงต้องกลับไปหาแม่แท้ๆ ของเขา แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะใจหาย
“มาหาป้าบ้างนะลูก” ป้าเอมอรกอดอัษฎาเป็นครั้งสุดท้าย เด็กหนุ่มยกมือไหว้คนที่เลี้ยงดูมาตลอดอย่างป้า ก่อนหันไปยกมือไหว้พี่สาวที่แสนดีที่รักเขาเหมือนน้องชายแท้ๆ
“เดินทางปลอดภัยนะอัด ไว้พี่หยุดเมื่อไหร่จะไปเที่ยว”
“ครับ อย่าลืมมานะ” อัษฎายิ้มให้กับพี่สาว ก่อนหันไปหอมแก้มคุณป้าฟอดใหญ่ “อัดไปก่อนนะครับ ป้าอย่าลืมทานยาด้วยนะ” ส่งเสียครั้งสุดท้ายก่อนมองไปรอบๆ ตัวอย่างอาลัย ร่างสมส่วนก้าวขาขึ้นบนรถทัวร์ เหมือนหัวใจจะแตกสลายอยู่ตรงท่ารถ ลาก่อนความรักที่แสนเจ็บปวด
อัฎษาแทบนอนไม่หลับเมื่ออยู่บนรถ แม้เวลาจะเข้าสู่วันใหม่ แต่ดวงตาเขาก็ยังไม่ยอมปิด เพราะในสมองกลับฉายภาพเก่าๆ ซ้ำไปซ้ำมา ตั้งแต่แรกรักที่เขาถูกแฟนหนุ่มมาจีบ ด้วยความที่ยังเด็กทำให้ไม่คิดอะไรมาก แต่คำสอนของแม่ยังคงเตือนใจเสมอว่า อย่ายอมมอบกายมอบใจให้ใครโดยง่าย ดังนั้น เขาจึงตกลงกับแฟนหนุ่มเรื่องการหลับนอน และนั่นกลับเป็นเรื่องที่ทำให้ทั้งคู่เริ่มระหองระแหงมาตลอด
ผ่านไปห้าปีที่เขาคบกับแฟน ทั้งคู่มักอยู่กันฉันเพื่อนมากกว่า และอัษฎาไว้ใจเขามาตลอด ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องมาเห็นแฟนกำลังมีร่วมรักกับคนอื่นในห้องของตัวเอง และบนเตียงที่ใช้นอนทุกวัน ครั้งแรกพยายามไม่คิดอะไร แต่พอมีครั้งที่สองที่สามมันก็เริ่มทนไม่ไหว จึงระเบิดออกมาด้วยการบอกเลิก ซึ่งคำตอบจากอีกคนก็บอกตกลงโดยไม่ยอมนึกคิดอะไร
เวลาห้าปีคือเวลาที่อัษฎาทุ่มใจลงไปทุกนาที ไม่คิดว่ามันจะเสียเปล่า ถึงแม้จะพยายามนึกถึงความดี ความสุขที่อยู่ด้วยกันมา แต่เรื่องร้ายๆ มันกลบทุกอย่างไว้หมด จนต้องกลับไปหาแม่เพื่อรักษาหัวใจและจะได้อยู่ไกลจากคนพวกนั้น
ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือคนที่แฟนพามานอนด้วย เป็นคนที่ทำงานบริษัทเดียวกันกับพวกเขา ไม่คิดเลยว่าจะเอาคนที่มีข่าวเสียหายเรื่องชู้สาวมาหลับนอน หรือเป็นเพราะเรื่องเซ็กที่ให้ไม่ได้ถึงถูกหักหลังแบบนี้
Rrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นเรียกสติที่เหม่อลอยกลับมา อัษฎาหยิบขึ้นมาดูพร้อมกับรอยยิ้มที่ถูกจุดขึ้นมา
“ครับแม่” เสียงนุ่มกรอกลงไป
(ถึงไหนแล้วอัด) เสียงมารดาสอบถาม ตอนนี้เวลาเกือบจะหกโมงเช้า ใกล้เวลที่รถจะเทียบท่าทุกที
“น่าจะใกล้ถึงแล้วนะครับ แล้วแม่มารอแล้วเหรอ” แม้จะรู้สึกเกรงใจที่แม่ต้องตื่นเช้ามารอ แต่เพราะไร่ที่แม่อาศัยอยู่ไม่มีรถผ่านแน่นอน ถึงมีก็คงไม่วิ่งเข้าไปถึงในไร่
(จ้า พอดีคุณเล็กมารับของ แม่เลยขอติดรถมาด้วยพอดี) คุณเล็กที่แม่บอก เขาเคยเห็นเมื่อสมัยยังเด็ก ตอนนั้นพ่อเสีย แม่จึงพาเขามาอยู่ที่ไร่ คุณเล็กเป็นเด็กยิ้มแย้ม แต่ข้อเสียคือเอาแต่ใจ และมักจะหาเรื่องแกล้งอัดอยู่เสมอ
“ครับ”
(เดี๋ยวเจอกันนะอัด แม่คิดถึงลูกมาก)
“ผมก็คิดถึงแม่ครับ”
หลังจากวางสาย อัดรีบผงกหัวขอโทษที่เสียงดังปลุกสาวสวยข้างๆ เธอหันมายิ้มพร้อมกับบอกว่าไม่เป็นไร ดวงตากลมเหม่อมองไปนอกรถ ภูเขาสูงปกคลุมด้วยต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวขจีที่ในเมืองกรุงไม่มี หากได้ออกไปอยู่ด้านนอกหรือเปิดประจกได้ อากาศยามเช้าแบบนี้คงจะรู้สึกดีไม่น้อย
รถทัวร์โดยสายจอดเทียบท่ารถ อัษฎาเดินไปรอกระเป๋าที่พนักงานยกลงมาให้ ชายหนุ่มยิ้มขอบคุณก่อนเดินลากกระเป๋าสองใบและสะพายเป้ใบโปรดออกจากห้องพัก
ยามเช้าที่ถึงแม้จะมีคนมายืนรอมากมายแต่คนที่อยู่ในความทรงจำยังคงโดดเด่นอยู่เสมอ ปากแดงยิ้มกว้างเมื่อเห็นแม่เดินเข้ามาหา เขารีบทิ้งข้าวของที่ถือแล้วโอบกอดร่างของแม่อย่างคิดถึง
“อัดคิดถึงแม่ที่สุด” หอมแก้มแม่อีกสองฟอดจนคนที่ยืนอยู่ด้านหลังหัวเราะ “อ่าว คุณ...” ดวงตากลมมองคนด้านหลังอย่างงงๆ
“อ่อ นี่คุณเล็กจ๊ะ จำได้ไหม” เมื่อแม่แนะนำคนที่ยืนยิ้มอยู่ อัดก็หน้างอนิดๆ ก่อนจะยกมือไหว้เพราะอีกคนอายุเยอะกว่า
อยากบอกว่าจำได้แม่น คนที่เคยแกล้งเอาหนอนตัวใหญ่มาใส่ฝ่ามือ
“สวัสดีครับ”
“นี่ลูกนมอิ่มเหรอครับเนี่ย โตจนจำไม่ได้แล้วนะ” คุณเล็กโปรยยิ้มหวานมาให้ พอมองดีๆ ตาหน้าผิดจากตอนเด็กลิบลับ เพราะตอนเด็กคุณเล็กดูตัวเล็กสมชื่อ แถมตัวยังแห้งเหมือนเป็นโรค แต่ตอนนี้กลับตัวโตกว่าเขาเสียอีก แถมยังดูคมเข้มเหมาะกับตำแหน่งหนุ่มในฝันที่แม่โทรมาเล่าให้ฟัง
“ค่ะ ตัวโตขึ้นเยอะ สูงกว่าแม่ซะแล้ว” นมอิ่มที่คุณเล็กเรียกยิ้มหวาน มือที่เริ่มเหี่ยวย่นตามกาลเวลาลูบใบหน้าลูกชายเพียงเดียวที่จำเป็นต้องส่งไปอยู่ที่อื่นเพื่ออนาคตที่ดี
“แม่ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะ” อัดกอดเอวมารดาแล้วซบหัวกับไหล่เล็กอ้อน
“ขี้อ้อนไม่เปลี่ยน ดูสิคะคุณเล็ก ทำตัวเหมือนเด็กไม่มีผิด” แล้วคุณเล็กก็หัวเราะจนอัดหน้างอ
“รีบกลับเถอะครับ เดี๋ยวถึงไร่ช้าอากาศจะร้อน” ร่างสูงใหญ่เดินกลับไปที่รถ โดยมีอัษฎาเดินลากกระเป๋าตาม
รถกระบะแวนคันใหญ่ด้านข้างติดสติ๊กเกอร์ชื่อไร่ พิกุลจันทร์หอม มุ่งหน้าออกนอกตัวเมือง อัดมองรอบๆ ข้างที่เริ่มเปลี่ยนจากตึกรามบ้านช่องเป็นต้นไม้สีเขียวเต็มสองข้างทาง
“เอ่อ ผมขอเปิดกระจกได้ไหมครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยขออนุญาตเจ้าของรถ คุณเล็กหันหน้าไปมองคนที่นั่งด้านข้างก่อนพยักหน้า “ขอบคุณครับ”
เมื่อได้รับคำอนุญาต มือเรียวสวยยิ่งกว่าผู้หญิงกดเลื่อนกระจกลง ทันทีที่ลมเย็นด้านนอกปะทะกับหน้าขาว ความรู้สึกสดชื่นก็พัดความทุกข์ให้ปลิวหาย ยิ่งได้ยื่นหัวออกไปรับลมตรงๆ ยิ่งทำให้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย มิน่า แม่ถึงไม่อยากได้อยู่ที่กรุงเทพ เพราะบรรยากาศที่นี่มันดีแบบนี้นี่เอง
“ระวังหัวชนต้นไม้นะลูก” นมอิ่มเตือนพลางขำเมื่อเห็นลูกตัวเองตื่นตาตื่นใจกับอากาศค่อนข้างเย็นเมื่อใกล้เข้าสู่เขตไร่ อาจเพราะมีต้นไม้ เทือกเขาสูงรายล้อม ทำให้อากาศที่นี่จะเย็นสบาย ยิ่งตอนเช้ามืดหรือตอนดึกจะหนาวจนไม่ต้องเปิดแอร์หรือพัดลม
“เด็กกรุงก็แบบนี้แหละครับ” คำพูดติดขำนิดๆ ทำเอาอัดรีบดึงตัวให้เข้ามานั่งพลางยู่หน้า
“เมื่อก่อนผมก็เป็นเด็กบ้านนอกเหมือนกัน” อัดว่า ยิ่งเรียกเสียงหัวเราะสองเสียงดังขึ้น “หัวเราะเข้าไป โธ่” ใบหน้าหวานง้ำงอจนคุณเล็กต้องชำเลืองมองอยู่หลายรอบ และอดคิดไม่ได้ว่า ลูกชายนมอิ่มได้แม่มาทุกสัดส่วน ทั้งหน้าตา ผิวพัน แต่นิสัยคงจะห่างกันไกลโข
ไม่นานรถที่นั่งมาก็เลี้ยวเข้ามาจอดที่โกดังเก็บของ อัษฎาลงไปช่วยเจ้าของไร่ยกกล่องเครื่องมือที่ซื้อใหม่ลงไปเก็บ แม้จะมีคนงานวิ่งเข้ามาช่วย ความแข็งแรงขัดกับท่าทางที่ดูอ้อนแอ่นสร้างความแปลกใจให้กับเจ้าของไร่พอดู พอกล่องหลังรถถูกจัดเก็บเข้าที่ คุณเล็กก็เรียกลูกนมอิ่มขึ้นรถ
“แข็งแรงไม่เบาเลยนะ” พอขึ้นมาบนรถ คนตัวใหญ่ก็ออกปากชมจนคนที่ได้รับคำชมยิ้มแก้มปริ นมอิ่มมองลูกชายตัวเองกับลูกชายคนเล็กของเจ้าของไร่นิ่งๆ ก่อนเสหน้ามองออกนอกหน้าต่าง
คำทำนายที่ทำให้หวนนึกถึง
อัษฎาลากกระเป๋าเสื้อผ้าตามแม่ตัวเองไปที่เรือนพักหลังบ้านไม้หลังใหญ่ บ้านที่แม่อยู่แยกออกจากบ้านพักคนงานคนอื่นๆ นั่นเพราะนมอิ่มเป็นแม่นมที่ดูแลลูกๆ ของเจ้าของไร่เมื่อครั้งยังเด็ก อีกทั้งยังเป็นคนสนิทของคุณนายพิกุล ไม่แปลกที่จะได้บ้านพักต่างหาก
“บ้านหลังใหญ่ยังสวยอยู่เลยนะแม่” อัษฎาเก็บเสื้อผ้าใส่ไม้แขวนเสื้อที่แม่เตรียมไว้ให้ ตอนเดินผ่านบ้านไม้ที่น่าจะเป็นไม้สักทอง ตัวบ้านยังคงสร้างแบบคนภาคเหนือแต่ก็มีความทันสมัยกลิ่นอายโมเดิร์นทางตะวันตกปนมา
“ก็คุณใหญ่กับคุณเล็กเขาช่วยกันออกแบบใหม่ตอนปรับปรุงน่ะ” แม่ว่า พลางเก็บเสื้อที่มีไม้แขวนใส่ตู้
“แล้วคุณนายพิกุลเขาไม่อยู่ที่นี่เหรอฮะ” อัษฎาเอ่ยถามแม่
“คุณนายต้องไปดูแลกิจการส่งออกที่อยู่เมืองในนู้น นานๆ จะมาพักที่นี่ที” นมอิ่มบอกกับลูกชาย เพราะจากที่นี่ไปนาน ครั้งตอนยังเล็ก สมัยที่สามีเสียก็ได้คุณนายพิกุลพามาทำงานที่นี่และยังพาลูกชายเพียงคนเดียวมาพึ่งใบบุญ จนพี่สาวของสามีส่งจดหมายอยากได้หลานไปอยู่ด้วย ตนเห็นว่า หากไปอยู่ทางนู้นโอกาสด้านการศึกษาน่าจะดีกว่า เลยตัดสินใจส่งลูกชายไป
“แบบนี้นี่เอง” อัษฎาพยักหน้า
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูไม้เนื้อหนาดังขึ้น สองแม่ลูกละความสนใจไปมอง ก่อนคนเคาะจะแง้มบานประตูแล้วโผล่หน้ามาเสี้ยวหนึ่ง
“นมอิ่มจ๋า มีอะไรให้ลูกเจี๊ยบช่วยไหมจ๊ะ” คนที่ยื่นหน้าเข้ามาเป็นเด็กสาวน่าจะอายุไม่เกินสิบห้าปีแน่นอน อัษฎาส่งยิ้มให้เมื่อเด็กสาวเหลือบมาตามอง “อุ้ย ลูกนมอิ่มเหรอจ๊ะ”
“อืม เข้ามาสิลูกเจี๊ยบ” คำชวนของนมอิ่มลูกเจี๊ยบก็รีบเดินเข้ามา ขาสั้นเดินมาตรงหน้าอัษฎา ดวงตารีจ้องหน้าคนแปลกหน้าอย่างสนใจ “มองพี่เขาทำไมน่ะเรา”
“ก็ลูกนมอิ่มหน้าตาเหมือนนมอิ่มเลย สวยด้วย” ลูกเจี๊ยบเอ่ยปากชมตามที่เห็นจนถูกนมอิ่มตีแขนเบาๆ “นมอิ่มตีลูกเจี๊ยบทำไมเนี่ย”
“ก็พี่เขาเป็นผู้ชาย ไปชมว่าสวยได้ยังไงกัน” นมอิ่มดุเด็กสาวคราวหลาน ที่จริงคำว่าสวยก็คงเหมาะกับลูกชายตัวเอง แต่ติดตรงที่ว่าเป็นผู้ชายไม่ค่อยเหมาะกับคำๆ นี้เท่าไหร่
“แหม ลูกเจี๊ยบก็พูดตามที่เห็นเอง สวัสดีค่ะ หนูชื่อลูกเจี๊ยบ อายุสิบสามกำลังจะสิบสี่อีกห้าเดือนข้างหน้า พี่ชื่ออะไรเหรอจ๊ะ” คำแนะนำตัวยาวเหยียดเรียกเสียงขำขันจากอัษฎาได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างเป็นมิตร ยิ่งดวงตาใสซื่อไร้พิษสงอย่างที่เขาต้องประสบพบเจอมามากในเมืองกรุง
“พี่ชื่ออัดครับ” ตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ลูกเจี๊ยบถึงกับยิ้มตาม
“พี่ยิ้มสวยจัง เห็นมั้ยจ๊ะนมอิ่ม พี่เขาสวยจริงๆ” ลูกเจี๊ยบมองดวงหน้าขาวใสไร้สิวเสี้ยน เส้นผมสีน้ำตาลแดงยิ่งช่วยเสริมความขาว คิ้วดำเรียงเป็นเป็นแพสวย นัยน์ตาดำกลมโตราวกับตุ๊กตา จมูกโด่งนิดๆ พอน่ารัก ริมฝีปากก็ดูบางสวย รวมๆ มันเรียกว่าสวยก็ถูกแล้ว
“เอาเถอะๆ ว่าแต่เรามาทำอะไร” นมอิ่มส่ายหน้าอย่างระอา
“อ๋อ ก็ป้านีเรียกจ๊ะ” นมอิ่มพยักหน้ารับรู้ แต่เด็กลูกเจี๊ยบกลับยังไม่ออกไป “พี่อัดชอบน้ำตกไหมจ๊ะ”
“น้ำตกเหรอ ก็ชอบนะ” อัดตอบเด็กสาวไป ดวงตารีหยีตามรอยยิ้มดูน่ารัก
“งั้นพอพี่เก็บของเสร็จลูกเจี๊ยบจะพาไปเที่ยว น้ำตกของไร่เราสวยมากเลยนะ”
“เอาสิ” อัษฎาตอบตกลงเมื่อเห็นความกระตือรือร้นของเด็กสาว ดูท่าจะสวยจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่คะยั้นคะยอแบบนี้
“อย่าพาพี่เขาไปไกลมากนะเรา แล้วก็รีบกลับก่อนมื้อกลางวันด้วย เข้าใจไหม” นมอิ่มสั่งหนักแน่นก่อนขอตัวไปดูป้านีซึ่งเป็นแม่ครัว คงจะมีเรื่องอะไรสักอย่าง
ลูกเจี๊ยบช่วยอัษฎาเก็บเสื้อผ้าและของใช้จนเสร็จเรียบร้อย เด็กสาวกวักมือเรียกให้ซ้อนท้ายจักรยาน แต่ดูแล้วเขาน่าจะเป็นคนปั่นมากกว่า เด็กผู้หญิงตัวเล็กกว่าคงพาเขาไปไม่ไหว
“พี่ปั่นเองมา” อัษฎาหัวเราะก่อนสลับที่นั่งเปลี่ยนให้ลูกเจี๊ยบซ้อนท้าย นิ้วเล็กชี้ตามทางไปเรื่อย
“พี่อัดมาจากกรุงเทพเหรอจ๊ะ ที่นั่นสนุกไหม” คำถามเจื้อยแจ้วดังตลอดทาง
“ไม่สนุกหรอ” ตอบกลับไปพร้อมกับการใส่กำลังปั่นมากขึ้นเมื่อถึงเนินเขา “อีกไกลไหมลูกเจี๊ยบ” เพราะเริ่มเหนื่อยเต็มที ขอให้สวยทีเถอะ อุตส่าห์เอากล้องถ่ายรูปห้อยคอมาด้วย
“อีกเดี๋ยวก็ถึง” อีกเดี๋ยวตั้งแต่เมื่อกี้ก็ยังไม่ถึงสักที
“ลูกเจี๊ยบอยู่ไร่นี้มานานแล้วเหรอ” อัษฎาถามกลับไปบ้าง เพราะบางทีเขาก็ต้องรู้เรื่องราวไร่นี้
“นานแล้ว ตั้งแต่เกิดเลยด้วย” แสดงว่านานจริงๆ
“แล้วรู้จักเรื่องไร่นี้ดีไหม”
“ทุกเรื่องเลย ถามมาได้”
“งั้นเรื่องเจ้าของไร่ล่ะรู้จักไหม” เมื่อเช้าเจอเจ้าของไร่ไป ท่าทางดูจะเป็นมิตรไม่ใช่น้อย
“คนไหนล่ะจ๊ะ คุณเล็กหรือคุณใหญ่” อ่า นั่นสินะ ตอนนั้นเขาก็เคยเห็นว่าลูกเจ้าของไร่มีสองคน
“ทุกคนนั่นแหละ” ตอบแบบกลางๆ เด็กสาวด้านหลังครางอืมในลำคอก่อนพูดต่อ
“คุณเล็กเป็นลูกชายคนเล็กของคุณนายจ้ะ” อันนั้นก็พอรู้ดูจากชื่อ “เธอมีลูกด้วยนะ แต่ไปอยู่กับคุณนายที่ในเมือง”
“คุณเล็กมีลูกแล้วเหรอ” อัษฎาเหลือบไปมองเด็กสาวด้านหลังจนเกือบชนต้นไม้
“พี่อัดปั่นดีๆ สิ” เด็กสาวตกใจรีบบอก
“โทษทีๆ ต่อเลย แล้วภรรยาคุณเล็กล่ะ” เกือบหน้าล้มแล้วไหมล่ะ
“เมียคุณเล็กเหรอ” เขาอุตส่าห์ใช้คำสุภาพ แต่ลูกเจี๊ยบดันเรียกเมียซะเต็มปากเต็มคำ “เมียคุณเล็กหนีไปเกือบจะสองปีแล้วจ้ะ”
“หนีไปเหรอ ทำไมล่ะ”
“ก็สาวชาวกรุงใครล่ะจะชอบมาอยู่ในป่าในเขา ตอนนั้นคุณเล็กตามไปที่กรุงเทพแต่ก็ไม่เจอ กลับมากลายเป็นคนขี้เมาจนคุณใหญ่ต่อยซะเลือดออกเต็มไปหมด คุณเล็กถึงกลับมาเป็นคนเหมือนเดิม” ลูกเจี๊ยบเล่าเรื่องตามที่เห็นและแม่บอก
“แล้วคุณใหญ่ล่ะ” พอรู้เรื่องคุณเล็ก อัษฎาก็ไม่อยากถามต่อ เพราะเรื่องที่เขาต้องรู้คงไม่ได้ลงลึกแบบนี้
“คุณใหญ่เป็นคนดุมาก เมื่อก่อนใจดีนะ แต่พอเมียตายก็เลยเป็นคนเงียบๆ” ลูกเจี๊ยบเบาเสียงพูดลงพร้อมย่นหน้า “ลูกเจี๊ยบเคยเห็นพี่ศรีเลขาไร่ถูกตวาดจนร้องไห้เลยด้วย แค่ทำบัญชีผิดเอง” อัษฎาเลิกคิ้ว ที่จริงมันก็น่าโมโหนะ บัญชีผิดไปก็เท่ากับเงินสูญไปด้วย
“น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ท่าเราไม่ทำผิดคุณใหญ่ก็ไม่ดุหรอกจ้ะ”
คำบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าของไร่ทั้งสองแม้จะไม่ได้ละเอียดมากแต่ก็มากพอที่จะไม่เผลอพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูด ยิ่งถ้าต้องเจอคุณใหญ่ที่ลูกเจี๊ยบว่าดุ เขาคงต้องยอมหลีก
ทางรถถึงจุดสิ้นสุด อัษฎาต้องเดินเท้าเข้าไปในป่าลึกอีก บรรยากาศรอบๆ ดูสดชื่น ต้นไม้นาๆ ชนิดขึ้นเต็มไปหมด เขาไม่ลืมยกกล้องขึ้นบันทึกความงามครั้งนี้ เพราะมัวแต่ถ่ายรูป ลูกเจี๊ยบเลยออกเดินนำหน้าไปไกล อัษฎารีบสาวเท้าให้ไวขึ้นเพื่อจะได้ทันเด็กสาวที่จะพาขึ้นไปชั้นบนของน้ำตก
น้ำตกใสซะจนเห็นโขดหินด้านล่าง น้ำคงจะเย็นน่าดู อัษฎายกกล้องแพนไปรอบๆ ก่อนสะดุดตากับชายคนหนึ่งสวมเสื้อแขนยาวลายสก็อตเก่าๆ นั่งอยู่ริมลำธาร ข้างๆ มีคันเบ็ดวางอยู่ มันน่าแปลก น้ำตกที่น้ำไหลขนาดนี้จะมีปลาอาศัยอยู่
ด้วยความอยากรู้ อัษฎาเลยเดินข้ามฝั่งไปหาโดยการเหยียบก้อนหินที่โผล่ขึ้นมา พอเดินเข้าไปใกล้ๆ เขาก็เห็นถังน้ำมีปลาตัวใหญ่อยู่ ไม่น่าเชื่อจริงๆ
“เอ่อ คุณลุงฮะ ในน้ำตกมีปลาด้วยเหรอฮะ” กล้องถ่ายรูปยกขึ้นมาถ่ายปลาในถังที่กำลังว่ายวนไปมา แต่คนที่ถูกถามไม่ตอบอะไรเพราะมัวแต่สนใจดูปลายเส้นเอ็นที่เริ่มกระตุก ปลาคงติดแน่ เขาเลยรีบเตรียมกล้องเพื่อถ่ายรูป
มือใหญ่รีบยกคันเบ็ดขึ้นจากน้ำเมื่อส่วนลูกเล็กๆ ที่ลอยเหนือน้ำจมลงไป อัษฎาสังเกตเบ็ดไม้ที่ไม่เคยเห็นตามร้านขาย คงจะทำเอง ปลาตัวโตกำลังดิ้นไปมาอยู่ปลายเอ็น มือใหญ่รีบจับปลาแล้วเอาตะขอออกจากปาก มันจะดูทรมานไปหน่อยก็เถอะ แต่เขาก็ชอบกินปลามากที่สุด
“ว้าว ปลาตัวโตมากเลย” อัษฎามองปลาตัวโตอย่างตื่นเต้น ปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ
“ไม่ใช่คนไร่นี้ใช่ไหม” เสียงทุ้มดังขึ้นจากคนที่กำลังพันสายเอ็นเข้ากับตัวไม้เบ็ด “ไม่ใช่คนไร่นี้แล้วเข้ามาในนี้ได้ยังไงกัน” น้ำเสียงดุดันจนอัษฎาต้องรีบก้มหน้า
“เอ่อ ขอโทษฮะ พอดีผมเพิ่งมาจากกรุงเทพ”
“ฉันถามหรือยังว่ามาจากไหน” เสียงเข้มพูดขัด
“อะ เอ่อ ผมเป็นลูกของนมอิ่มครับ” หลังจากบอกไป คนตรงหน้าก็เงียบ อัษฎาเหลือบตาสังเกตคนตรงหน้า ใบหน้าที่ถูกหมวกใบลานใบใหญ่บังไว้ซะมิดทำให้มองไม่เห็นอะไรนอกจากเครื่องแต่งกายที่ดูเก่าและโทรม
“ก็แล้วไป” คนตัวใหญ่ว่าก่อนจะยกถังที่มีปลาขึ้นแล้วเหยียบโขดหินข้ามกลับอีกฝั่งและเดินหายเข้าไปในป่า
คนอะไรดุเกิน กินร็อตไวเลอร์เป็นอาหารหรือเปล่า
อัษฎาค่อนขอดก่อนลูกเจี๊ยบจะเดินย้อนมาตะโกนเรียกให้กลับไปอีกฝั่ง ยอดน้ำตกสวยงามดั่งที่ถูกกรอกหูตลอดการเดินทาง กล้องตัวแพงยกกดชัตเตอร์แม้แต่ลูกเจี๊ยบยังอยู่ในเฟรมด้วย และนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเกือบจะเที่ยง เขาต้องรีบกลับตามที่แม่บอก
“วันหลังเราค่อยมาอีกเนอะ” อัษฎายืนอยู่ริมหน้าผาน้ำตกสูง เขายิ้มให้กับธรรมชาติที่สวยงามแม้จะดูน่าหวาดเสียวหากก้มมองลงไป
“ไร่นี้ยังมีที่สวยๆ อีกเยอะเลย วันหลังลูกเจี๊ยบจะพาพี่อัดไปจ้ะ”
รถจักรยานเคลื่อนมาจอดหน้าบ้านพักของมรดา อัษฎาขยี้ศีรษะเล็กของเด็กสาวอย่างรักใคร่ รู้สึกถูกชะตาก็ว่าได้ เมื่อลูกเจี๊ยบไปแล้วอัษฎาก็เดินไปหาแม่ที่ห้องครัวตามทางที่ลูกเจี๊ยบบอก
ทางเดินที่มีต้นไม้ขึ้นเต็มสองข้างทาง บางต้นมีกล้วยไม้เกาะเป็นกาฝาก ลัดเลาะไปเรื่อยๆ จนมาถึงโรงครัวที่สร้างด้วยปูน เขาเห็นคนในนั้นกำลังวิ่งวุ่น สงสัยจะทำอาหารกัน อัษฎารีบเดินเข้าไปเผื่อจะช่วยอะไรได้ และพอแม่หันมาเห็นก็รีบเรียกลูกชายเข้าไปหา
“ไหว้ป้านีสิอัด” ป้านีที่แม่บอกรูปร่างอ้วนแต่ใบหน้ามีรอยยิ้มอย่างใจดี เด็กหนุ่มยกมือไหว้พร้อมรอยยิ้มสวย
“ลูกนมอิ่มนี่งามแต้เน้อ หน้าเหมือนแม่เป๊ะเลย (ลูกนมอิ่มหน้าสวยเหมือนแม่เลย)” สำเนียงไทยปนคำเมืองดูแปลกๆ จนทุกคนขำ
“พูดคำเมืองก็ได้ครับ ผมพอฟังรู้เรื่อง” อัษฎาบอก ที่ฟังรู้เรื่องเพราะบางครั้งแม่ก็หลุดพูดคำเมืองตอนโทรไปหา
“ดีเน้อ ฟังฮู้เรื่องนา คุณใหญ่เปิ้นไค้หื้อกู้คนอู้กำเมือง เป๋นก๋านฮักษากำเมืองตวย ละอ่อนสมัยนี้อู้บ่จ๊างกั๋น (ดีนะที่ฟังรู้เรื่อง คุณใหญ่ท่านอยากให้พูดคำเมือง เป็นการรักษาคำเมืองด้วย)” คำเมืองพ่นเหมือนแร็บจนอัษฎาหน้าเหวอ เขาหันไปหาแม่ที่ยิ้มขำอย่างขอความช่วยเหลือในการแปล
“ป้านีบอกว่าเด็กสมัยนี้ไม่ยอมพูดคำเมืองกันน่ะ” แม่แปลคร่าวๆ ให้ฟัง
“อ๋อครับ ผมว่าคำเมืองก็น่ารักดีนะครับ” อัษฎาบอกก่อนชะโงกหน้ามองของบางอย่างในถังน้ำที่คุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่น้ำตก “ปลานี่มาจากน้ำตกใช่ไหมครับ”
“แม่นแล้ว คุณใหญ่เปิ้นไปตกมา (ใช่แล้ว คุณใหญ่ไปตกมาเอง)” ป้านีบอกก่อนจะสั่งให้พี่อีกคนเอาปลาไปทุบ
“คุณใหญ่อยากกินต้มส้มปลาน่ะ ลูกรู้จักไหม” ส่ายหน้าเป็นพัลวันแต่สิ่งที่กำลังคิดอยู่คือคนที่เจอคือคุณใหญ่ ตาแก่ปากร้ายนั่นคือคุณใหญ่เหรอ ไม่เหมือนคุณเล็กที่เป็นมิตรสักนิด
ยืนมองเหตุการณ์ชุลมุนในโรงครัวอยู่นานในที่สุดกับข้าวทุกอย่างก็เรียบร้อย อัษฎาช่วยแม่ยกขึ้นไปบนเรือนใหญ่เพราะจะได้แนะนำให้กับเจ้าของไร่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการ
บนเรือนที่อัษฎาขึ้นไปดูสวยกว่าด้านนอก ข้าวของทุกอย่างทำมาจากไม้ทั้งหมด ทั้งโต๊ะ ตู้ ม้านั่ง แถมยังมีชานยื่นออกไปด้านนอก หากฝนดาวตกไปนอนดูตรงชานนั้นคงจะดีไม่น้อย ขายาวก้าวตามแม่มาติดๆ จนสะดุดสายตากับเด็กผู้ชายตัวเล็กที่กำลังวิ่งเล่นเครื่องบินกระดาษ เด็กที่ไหน
“นมอิ่ม น้องต้นคิดถึง” เด็กตัวเล็กนั่นทิ้งเครื่องบินกระดาษแล้ววิ่งมากอดนมอิ่มหรือแม่ของเขา
“นมก็คิดถึงคุณต้นมากค่ะ” นมอิ่มยิ้มให้กับเด็กตัวเล็กแล้วเงยหน้าโค้งศีรษะให้กับผู้หญิงที่เดินออกมาจากด้านใน “คุณนายมานานแล้วหรือคะ”
“เพิ่งมาเอง ต้มส้มปลาหรือนี่ ไม่ได้กินตั้งนาน” คุณนายที่นมอิ่มว่าเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาสวยเหลือบมองไปด้านหลังที่อัษฎายืนอยู่ “นั่นลูกนมอิ่มเหรอ”
อัษฎารีบเดินเอาจานผัดผักมาวางที่โต๊ะก่อนยกมือไหว้ “สวัสดีครับ” รอยยิ้มสวยจนคุณนายมองค้าง
“เหมือนนมอิ่มมากเลยนะ” คำชมที่ได้ยินตั้งแต่ลงรถทัวร์ คุณนายละความสนใจคนยิ้มสวยเมื่อลูกชายสองคนเดินออกมา “ตาเล็ก ตาใหญ่ มานั่งเลยมา ต้มส้มปลานี่น่าอร่อยเสียจริง”
คุณเล็กอัษฎาเคยเห็นแล้ว แต่คุณใหญ่ที่น้ำตกไม่ได้เป็นตาแก่แบบที่คิด ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ใบหน้าเรียบเฉยแต่คมเข้มกว่าคนน้อง ดวงตาดุเหลือบมามองคนแปลกของที่นี่แวบหนึ่งก่อนเลื่อนเก้าอี้นั่งลง
รู้สึกไม่น่าอยู่ใกล้ อัษฎาคิด คนๆ นี้สมกับที่ลูกเจี๊ยบว่า
พอทุกคนนั่งบนโต๊ะ สาวใช้ร่างเล็กก็เริ่มตักข้าวให้กับทุกคน เด็กตัวเล็กที่เกาะแม่เขาเป็นลิงนั่งลงข้างคุณเล็ก หรือว่านี่จะเป็นลูกชายที่ลูกเจี๊ยบว่า ดีที่ได้ยินมาก่อน ไม่อย่างนั้นคงคิดนานพอดู
“เอาล่ะ ก่อนจะกินข้าว ไหนเราลองแนะนำตัวหน่อยสิ” คุณนายเจ้าของไร่หันมามองหน้าอัษฎา เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบๆ ก่อนโค้งศีรษะแนะนำตัว
“สวัสดีครับ ผมชื่ออัษฎา เรียกสั้นๆ ว่าอัดฮะ” หลังจากแนะนำตัวเสียงเข้มๆ ก็ดังขึ้น
“พูดคำเมืองเป็นหรือเปล่า” คนพูดเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ยกมือกอดอกจ้องมาทางเด็กหนุ่มจนคนถูกมองทำตัวไม่ถูก
“ไม่เป็นครับ” ตอบแบบเกร็งๆ เมื่อยังถูกดวงตาดุจ้อง นี่เขาทำผิดขนาดนั้นเลยหรือไง
“ไม่เอาน่าพี่ใหญ่ เขามาจากกรุงเทพจะพูดเป็นได้ยังไง” น้องชายแก้ตัวแทนให้เมื่อเห็นคนถูกถามยืนเกร็ง
“นั่นสิ จะอะไรนักหนากับคำเมืองน่ะเรา เอาล่ะๆ กินข้าวๆ” มารดาเจ้าของไร่ตัดชับเพราะดูเหมือนลูกชายจะเริ่มหาเรื่องอีกแล้ว
การกินข้าวของครอบครัวเจ้าของไร่เป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่ได้มีพิธีรีตองเหมือนกับในละครที่เคยเห็น แต่ที่แน่ๆ คุณใหญ่ไม่ชอบเขาอย่างแน่นอนอัษฎาคิด เพราะดูตั้งแง่กับเรื่องการพูดคำเมืองซะเหลือเกิน ดังนั้นต่อไปต้องอยู่ให้ไกลซะแล้ว
เด็กหนุ่มแปลกหน้ายืนก้มมองพื้นเพราะไม่กล้าสบตา ยิ่งกำลังถูกดวงตาดุจ้องอยู่ตลอดยิ่งทำให้เกร็งไม่รู้จะทำตัวอย่างไร และยังมีดวงตาอีกคู่ที่กำลังจ้องโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ไร่นี้คงไม่ใจร้ายกับคนหัวใจบอบช้ำมาแบบอัษฎาหรอก หวังว่าแบบนั้น
.....TBCตอน 1 ค่าาา ทำไมเรื่องนี้รู้สึกยากกว่า Just you and I หรือว่าเพราะเราไม่ได้เกรียน ฮ่าๆๆ
รับคำติทุกอย่างค่าาาา
