Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-1-
รุ่งอรุณที่แสนสดใส ผมตื่นเช้าด้วยจิตใจที่เบิกบานมาทำบุญตักบาตรกับคุณยายและแม่มลเหมือนทุกวัน แต่วันนี้พิเศษนิดนึงเพราะเมื่อวานผลสอบแอดมิดชั่นออกมาเป็นที่น่าพอใจครับ ผมจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษที่ได้เรียนตามที่ตั้งใจไว้ทุกอย่าง นี่ล่ะครับน้องจันทร์สุดหล่อหลานครูเอี่ยมยายสร้อยและลูกพ่อต้อมแม่มล นอกจากหน้าตาจะดีมากแล้ว นิสัยผมก็ดี๊ดี แถมยังเรียนดีอีกต่างหาก อยากเป็นแฟนผมมั๊ยละครับ
“คุณจันทร์โว้ยยย!”
“สัส!” สะดุ้งกับเสียงตะโกนที่ความดังทำเอาแก้วหูของผมสะเทือน แต่พอสติกลับมาผมก็รีบเหวี่ยงสายตาใส่ตัวการครับ
“ใจลอยไปถึงไหนเนี่ยครับ”
ใครใจลอย? ผมหันซ้ายหันขวามองหาคนที่ไอ้โซ่บอกว่าใจลอยแต่ก็ไม่เห็นมีใครสักคน หรือมันจะพูดกับต้นมะม่วง?? ผมหันไปมองหน้าไอ้โซ่อีกครั้ง มันนั่งมองผมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นผสมการรู้ทัน ผมจึงจิ๊ปากใส่ไปหนึ่งที
“มีอะไร?”
ไอ้โซ่เป็นเพื่อนผมเองครับ เกิดปีเดียวกัน มันเกิดต้นปีเลยแก่เดือนกว่าผม เราโตมาด้วยกัน เรียนมาด้วยกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน (แต่ทำไมมันสูงกว่าผมล่ะ?) มันเป็นลูกชายคนเล็กของลุงฟ้อนกับป้าณีคนงานเก่าแก่หัวเรี่ยวหัวแรงคนสำคัญของพ่อต้อม จะว่าไปไอ้โซ่เป็นมากกว่าเพื่อนด้วยซ้ำครับ พูดง่ายๆ ว่าเป็นเหมือนญาติพี่น้องสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของผมเลยก็ว่าได้ครับ
“เมื่อกี้ผมถามคุณจันทร์ว่า.. คุณเดือนเธอจะหมั้นกับพ่อม่ายมหาเศรษฐีญี่ปุ่นจริงเหรอครับ?”
“เหรอ?” เลิกคิ้วแอ๊บแบ๊วถามกลับมันไป
“อ้าว”
เป็นไงล่ะ เผือกต่อไม่ได้ถึงกับทำหน้าเหวอเลย ฮ่าๆ เห็นแบบนี้ก็สงสารมันเหมือนกันนะครับ อุตส่าห์ตั้งใจมาเผือกเต็มที่แต่โดนผมตัดอารมณ์แบบนี้จ๋อยเลยล่ะสิ
“ไม่รู้” นี่ผมตอบตามความจริงครับ อย่าว่าแต่เรื่องคุณเดือนจะหมั้นกับใครเลย ขนาดจะหมั้นวันไหนผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
“ถ้าอยากรู้ทำไมโซ่ไม่ไปถามคุณตาคุณยาย หรือไม่ก็แม่มลล่ะ อ้อ.. ป้าณีต้องรู้แน่ๆ”
“ถามแล้ว”
“หืม??” ถามแล้ว?? แล้วคุณมึงมาถามผมอีกเพื่อ?? ก็รู้อยู่เต็มอกว่าผมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับบ้านโน้นหรอก ไอ้นี่กวนตีนนี่หว่า
“แน่ะ” มันทำยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วยื่นมือมาหยิกแก้มผม
“ชั้นไม่ได้อยากรู้สักหน่อย” รีบเถียงมันกลับครับ เพราะผมไม่ใช่พวกชอบเผือก
ไอ้โซ่เงียบไปหลายวินาที ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ ว่า
‘อืมๆ ไม่อยากรู้ก็ไม่อยากรู้’ ผมจึงแอบเหลือบมองมันไปนิดนึง ก่อนจะรีบหันกลับแกล้งทำเป็นเงยมองหามดแดงแฝงพวงมะม่วง
“ว่าที่คู่หมั้นของคุณเดือนชื่อ อิเคดะ ยู ผมลองไปเสิร์ชหาในกูเกิ้ลดูโปรไฟล์แล้วก็พบว่านอกจากคำว่า
‘พ่อม่าย’ เพราะภรรยาเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุแล้วที่เหลือก็
‘เพอร์เฟค’ ครับ”
“มดแดงเยอะจริงโว้ย” ยืนยันครับว่าผมไม่ได้ฟังที่ไอ้โซ่มันพูด ตอนนี้ผมกำลังสนใจมดแดงอยู่ต่างหาก
“ตระกูลอิเคดะนี่เป็นตระกูลเก่าแก่แถมยังเป็นตระกูลนักธุรกิจรายใหญ่ชนิดที่ว่ารวยอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นเชียวนะครับ”
“รังมันอยู่ไหนวะเนี่ย?”
“เมื่อสองปีก่อนทายาทสาวสวยเพียงคนเดียวจากตระกูลนี้ก็แต่งงานกับคนไทยนะครับ ตามข่าวรู้สึกว่าลูกเขยคนเล็กของตระกูลนี้จะเป็นคุณหมอเจ้าของโรงพยาบาลที่ครูเอี่ยมแกไปตรวจสุขภาพอยู่ทุกปีนี่แหละครับ”
“โอ๊ยยย! ไอ้มดแดงบ้า แมร่มเอ้ย! กัดเจ็บฉิบหาย”
“ผมเห็นรูปคุณหนูอิเคดะในข่าวเมื่อตอนแต่งงานกับคุณหมอ ทั้งคู่โคตรน่ารักโคตรหล่อเหมาะสมกันทีเดียว ก็น้องสาวน่ารักขนาดนั้น ก็ไม่แปลกที่ว่าที่คู่หมั้นของคุณเดือนจะโคตรหล่อด้วย”
“อะแฮ่มๆ”
“แต่ถึงยังไงคุณจันทร์ของโซ่ก็หล่อที่สุดในปฐพีครับ”
“หึหึหึ”
“ว่าแต่มดแดงมันไม่กัดคุณจันทร์แล้วเหรอครับ?”
“มดแดงอะไร? ชั้นเห็นแค่สไปเดอร์แมนชักใยอยู่ตรงโน้น” ชี้มือมั่วๆ ไปแล้วรีบจ้ำเท้าหนีไอ้คุณโซ่ครับ เพราะตอนนี้ผมมีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ
ขึ้นบ้านมาผมก็ตรงดิ่งเข้าห้องนอนทันที นั่งประจำที่หน้าคอมพ์เตรียมจิ้มชื่อๆ หนึ่งลงไปในหน้าเว็บเสิร์ชเอ็นจิ้นด้วยหัวใจที่เต้นระทึก ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกตื่นเต้นและกังวลแบบแปลกๆ ขนาดนี้
“จันทร์”
เหยดดดดดดดดดดดดดดดด สะดุ้งจนแทบตกเก้าอี้เลยครับ
“ค ครับ”
“ยายเห็นหนูรีบร้อนขึ้นบ้านมา มีอะไรรึเปล่าลูก?”
รีบส่ายหน้าปฏิเสธสิครับ
“ผมสบายดีครับยาย”
“สบายดีแล้วทำไมหน้าซีด เหงื่อโซกขนาดนี้ล่ะลูก?”
“อ่อ ค คือ..”
“มลเอ้ยย มล! มาดูลูกจันทร์หน่อยเร็ว ไม่สบายแล้วเนี่ย”
เอาแล้วไง งานเข้าแล้วไงไอ้จันทร์เอ้ยยย
“ย ยายจ๋า หนูไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ”
ไม่ทันแล้วล่ะครับ เสียงแม่มลมามาพร้อมฝีเท้าอันรวดเร็ว
“จันทร์เป็นอะไรเหรอคะคุณแม่?”
และไม่เกินอึดใจก็แห่กันมาทั้งบ้าน เอิ่มมมมมมม....... แล้วแบบนี้ผมก็เลยยังไม่ได้เห็นหน้าคนที่ไอ้โซ่บังอาจชมว่า
‘เพอร์เฟค’ น่ะสิครับ T^T
.
.
หลังจากสถานการณ์ความห่วงใยที่ทุกคนมีให้ผมเริ่มคลี่คลาย บ้านสวนก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ตกเย็นคุณตากับพ่อต้อมออกไปงานแต่งงานลูกสาวนายห้างใหญ่ในตัวเมือง ดังนั้นมื้อเย็นวันนี้เหลือแค่ผมกับคุณยายและแม่มล
“กินเยอะๆ นะลูก จะได้ตัวโตทันเพื่อนเค้า”
คุณยายตักกับข้าวของโปรดใส่ให้ผมจนแทบล้นจาน ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธหรอกครับ ฝีมือทำกับข้าวของคุณยายสุดยอดสำหรับผมอยู่แล้ว ผมเป็นประเภทที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนดื่มนมมากแค่ไหนความสูงก็ไม่ได้พัฒนาล้ำหน้าไปเท่าที่ควร บางทีผมก็กลุ้มใจนะครับ ก็ดูไอ้โซ่สิ กินข้าวหม้อเดียวกันแท้ๆ แต่มันสูงกว่าผมตั้งเกือบยี่สิบเซนติเมตร ทั้งๆ ที่บุพการีผู้ให้กำเนิดผมก็สูงโปร่งเฉลี่ย 170 เซนติเมตร ด้วยกันทั้งคู่ หรือแม้กระทั่งคุณตาพ่อต้อมและแม่มลก็มีระดับความสูงในมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด จะเหลือก็แค่คุณยายนี่แหละครับที่ตัวเล็กกะทัดรัดและผมก็คิดว่าผมได้กรรมพันธุ์จากท่านมาเต็มๆ เสียด้วย
“วันมะรืนคุณแม่กับคุณเดือนจะมาค้างที่บ้านสวนกับเรานะลูก”
แม่มลมองหน้าผมแล้วยิ้มบางๆ ด้วยความรักและเอ็นดู ผมก็พยักหน้ารับฟังพร้อมกับตักข้าวใส่ปากไปด้วย ผมได้รับข้อความเรื่องการมาเยือนของคุณแม่กับคุณเดือนตั้งแต่เมื่อวานแต่ก็ไม่ได้รู้รายละเอียดว่าจะมาเมื่อไหร่และมาทำอะไร รู้แค่ว่านี่เป็นการกลับมาบ้านสวนครั้งแรกในรอบ 5 ปีของพวกท่าน
“เห็นบอกว่าจะมาคุยเรื่องงานหมั้นของคุณเดือน และจะพาว่าที่คู่หมั้นมาไหว้ตายายตามธรรมเนียม”
“อ่อ”
“เค้าจะจัดงานหมั้นกันเดือนหน้าที่ฮ่องกง ตากับยายไม่ได้ไปร่วมงานกับเค้าหรอก”
“อ่อ ครับ”
“จันทร์เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ เพราะฉะนั้นหนูต้องอยู่ต้อนรับคุณแม่กับคุณเดือนรู้มั๊ยลูก?”
ในความหมายของคุณยายก็คือให้ผมทำตัวปกติ ไม่ต้องคิดมาก แม่มลก็พยักหน้าเออออเห็นด้วยกับคุณยาย
“ครับยาย” ผมรับปากคุณยายด้วยรอยยิ้ม ผมเป็นลูกหลานบ้านนี้จะให้ผมหนีไปไหนจริงมั๊ยล่ะครับ
ถ้าถามว่าผมคิดถึงพวกท่านมั๊ย ไม่ได้เจอกันนานตั้งห้าหกปี ผมขอตอบตามตรงว่ามีบ้างครับ แต่มันก็ไม่ได้มากมายแบบที่เรียกว่าโหยหาอ้อมกอดของบุพการีหรือต้องการความใจดีจากพี่สาวอย่างที่ใครหลายคนต้องการ นั่นอาจเป็นเพราะผมได้รับความรักจากทุกคนที่บ้านสวนแห่งนี้มากจนเพียงพอแล้วต่างหาก
.
.
วันมะรืนมาไวกว่าที่คิด เสร็จจากมื้อเช้าผมก็เตรียมตัวเข้าสวนกับคุณตาและพ่อต้อมตามปกติ เหลืออีกไม่กี่สัปดาห์ผมก็จะต้องไปอยู่หอพักในรั้วมหาวิทยาลัย แม้จะมีไอ้คุณโซ่ตามไปอยู่เป็นเพื่อนแต่ชีวิตก็คงจะไม่เหมือนอยู่ที่บ้านสวนหรอกครับ คิดทีไรก็รู้สึกใจหายทุกครั้ง
พักเรื่องเรียนไว้ก่อน ตอนนี้มาเรื่องงานไร่งานสวนกันดีกว่า ผมก็ไม่ได้อยากจะโม้อะไรมากมายแค่อยากจะบอกว่าคุณตากับพ่อต้อมเป็นเกษตรกรที่ทำการเกษตรทฤษฏีใหม่ตามแนวพระราชดำริของในหลวง ดังนั้นบ้านเราจึงไม่มีวันยากจนข้นแค้น มีกินมีใช้อย่างเพียงพอ เอาไว้วันหลังผมค่อยอธิบายเกี่ยวกับการเกษตรทฤษฏีใหม่นี้ให้ทุกคนฟังล่ะกันนะครับ
หลังจากไปดูคนงานตัดทุเรียนอยู่พักใหญ่ผมก็ชวนไอ้โซ่แยกกับคุณตาและพ่อต้อมมาที่โรงเพาะเห็ดที่ผมเป็นคนริเริ่มอยากจะทำด้วยตัวเอง โดยมีคุณตากับพ่อต้อมเป็นครูคอยแนะนำครับ หลังจากศึกษาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ต ผมก็ตัดสินใจเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมฮังการีและเห็ดนางฟ้าภูฐานดำ และวันนี้ผมก็จะลงมือทำฮอร์โมนเร่งดอกด้วยวิธีชีวภาพ เริ่มจากเอานมสดกับน้ำตาลทรายตามสัดส่วนผสมกวนให้เข้ากัน จากนั้นก็เทน้ำปริมาณครึ่งลิตรลงไปผสมแค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ วิธีทำและใช้วัตถุดิบง่ายๆ และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
“เดี๋ยวเอาใส่กระบอกน้ำแล้วฉีดที่ปากถุงเห็ดได้เลย”
“จัดไปครับลูกเพ่จันทร์”
“ถ้าถุงไหนเห็ดมันดูดอกเล็ก ดอกผอม ก็ให้ฉีดน้ำหมักชีวภาพคู่ไปด้วยเลยนะ”
น้ำหมักชีวภาพผมหมักเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อสองอาทิตย์ก่อน วันนี้ได้เอาออกมาใช้แล้วล่ะครับ
“รับทราบครับ!”
ไอ้โซ่ทำท่าตะเบ๊ะรับคำสั่งเสร็จแล้วก็ลงมือปฏิบัติทันที
เมื่อไหร่ที่ผมลงมือทำการเกษตร ผมจะรู้สึกอิ่มเอมใจและจะจดจ่ออยู่เฉพาะเรื่องตรงหน้า อย่างเช่นตอนนี้ที่ผมกำลังสนอกสนใจกับการบำรุงเห็ดลูกรักอย่างขะมักเขม้นจนลืมเรื่องอื่นไปเสียสนิท
“คุณจันทร์”
“หืม?”
“ใกล้เที่ยงแล้วนะครับ”
“ถ้าหิวก็กลับไปก่อน”
“ไม่ได้หิวครับ”
ในเมื่อยังไม่หิวก็จะรีบกลับทำไม ทำงานให้เสร็จแล้วค่อยกลับจะดีกว่า ผมจึงตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อ แต่เพราะเสียงฮึดฮัดจากคนข้างๆ ทำให้ผมต้องเหลือบมองนิดนึงครับ
“ผมว่าคุณจันทร์กลับขึ้นบ้านไปอาบน้ำอาบท่าก่อนดีกว่านะครับ”
“ทำไม?”
“ก็คุณแม่ของคุณจันทร์กับคุณเดือนจะมาถึงบ้านสวนตอนเที่ยงยังไงล่ะครับ”
เออ.. ลืมสนิทเลย
“แน่ะ. อย่าบอกนะว่าลืม”
“อะไร? ใครลืม? แค่จะทำงานให้เสร็จก่อนไง”
ฝ่ายตรงข้ามหรี่ตามองผมอย่างจับผิด ผมเลยต้องแกล้งหันกลับมาเร่งมือทำงาน บางทีก็น่าเบื่อนะครับพวกชอบรู้ทันเนี่ย
จนแล้วจนรอดกว่าจะเสร็จก็เลยเที่ยงไปเกือบครึ่งชั่วโมง คุณยายให้เด็กวิ่งมาตามที่โรงเพาะเห็ดถึงสองรอบ ไอ้โซ่ก็บ่นเป็นหมีกินผึ้ง ไม่ใช่ว่าผมจะพิรี้พิไรอะไรหรอกนะครับ แต่ผมเป็นคนเริ่มที่จะเพาะเลี้ยงเห็ดผมก็ต้องลงมือทำทุกขั้นตอนด้วยตัวเองจะมาทิ้งกลางคันแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หน้าเน่อมือไม้ไม่ทันจะได้ล้างให้สะอาดผมกับไอ้โซ่ก็รีบติดปีกเหาะขึ้นบ้านทันที
“จันทร์มาแล้วเหรอลูก”
แม่มลเห็นผมเดินขึ้นบ้านมาก็ร้องทักเสียงหวานเลยครับ ผมจึงรีบคลานเข่าไปนั่งฉีกยิ้มอยู่บนพื้นข้างๆ คุณยายกับคุณตา
“สวัสดีครับ คุณแม่ คุณเดือน” พนมมือไหว้หญิงสาวที่นั่งบนเก้าอี้รับแขกฝั่งตรงกันข้ามด้วยรอยยิ้มละมุน
ทั้งสองท่านรับไหว้ผมพร้อมระบายยิ้มน้อยๆ เอ่อ.. แบบฝืนเฝื่อน
“ขอโทษด้วยครับ พอดีหนูฉีดฮอร์โมนเร่งดอกเห็ดอยู่น่ะครับ”
บอกตามความจริงด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดครับ
“ไม่เป็นไร หนูไปล้างหน้าล้างตาเถอะ เดี๋ยวมากินข้าวกัน” คุณตาลูบหัวของผมอย่างอ่อนโยน
ผมไหว้ขอโทษทุกคนอีกรอบก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับเข้าห้องนอนตัวเอง จัดการทำความสะอาดเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อยแล้วกลับออกมาตรงโต๊ะอาหารอีกครั้ง ซึ่งทุกคนนั่งประจำที่กันแล้วล่ะครับ และแน่นอนว่าระหว่างกินไปพวกผู้ใหญ่ก็มีเรื่องพูดคุยกันไปด้วย
“เป็นไง คุณเดือนอาหารถูกปากมั๊ย?”
คุณตาชวนหลานสาวคนสวยคุย
“ค่ะ อร่อยทุกอย่างค่ะ”
“อยู่ที่โน่นแม่เค้าทำอาหารให้กินแบบนี้บ้างรึเปล่า?”
“โถ คุณพ่อคะ ยุ้ยจะเอาเวลาที่ไหนมาเข้าครัวล่ะคะ ลำพังแค่งานที่บริษัทก็เหนื่อยและไม่มีเวลามาทำอะไรแบบนี้หรอกค่ะ”
คุณแม่ของผมรีบแย่งตอบครับ ผมแอบเห็นคุณตาส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย
“ยุ้ยคงจะเหนื่อยน่าดูสินะลูก ผอมลงไปเยอะเลย” คุณยายพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เหนื่อยสิคะ ยุ้ยกับคุณเดือนจึงกลับมาไทยได้แค่ไม่กี่วัน ไม่งั้นทางคุณโก้รับงานหนักอยู่คนเดียวจะไม่ไหวเอาค่ะ”
“ทางโน้นเค้ามีครอบครัวเค้าช่วยอยู่ไม่ใช่รึ?” นี่เป็นคำถามจากพ่อต้อมครับ
“มันก็ไม่เหมือนกันหรอกค่ะพี่ต้อม”
ทุกคนเงียบกันไปอึดใจ ผมได้ยินเสียงคุณแม่ถอนหายใจเบาๆ
“บริษัทนี้คุณโก้กับยุ้ยเป็นคนก่อตั้งลงแรงกันมา อีกอย่างบริษัทนี้คุณโก้กับยุ้ยก็ตั้งใจจะยกให้คุณเดือนอยู่แล้วจริงอยู่ว่าญาติๆ ฝั่งคุณโก้ช่วยดูแลแต่มันจะเหมือนดูแลเองได้ยังไงล่ะคะ”
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งจนผมรู้สึกอึดอัดแบบแปลกๆ จึงแอบเหลือบตาขึ้นมองคุณตากับพ่อต้อมที่กำลังก้มหน้ากินข้าวด้วยท่าทางเหมือนจะเหนื่อยหน่ายบางอย่าง ในขณะที่คุณยายและแม่มลมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
มื้อเย็นดำเนินไปอย่างเงียบๆ อีกครู่ใหญ่ จนกระทั่งป้าณีเดินเข้ามาเติมกับข้าวบนโต๊ะ คุณแม่ก็เริ่มบทสนทนาอีกครั้ง เรียกความสนใจจากทุกคนให้เงยหน้าจากจานข้าวได้ดีทีเดียวครับ
“ที่ยุ้ยกับคุณเดือนมาครั้งนี้ ก็ว่าจะพาว่าที่คู่หมั้นของคุณเดือนมาไหว้คุณพ่อคุณแม่ค่ะ”
คุณแม่ส่งยิ้มให้คุณเดือนนิดนึงก่อนจะอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“คุณอิเคดะ ยู เป็นลูกชายคนรองของตระกูลอิเคดะ ซึ่งเป็นตระกูลที่เก่าแก่และร่ำรวยมากของญี่ปุ่นเลยนะคะ”
“เป็นพ่อม่ายด้วย?”
“ใช่ค่ะพี่ต้อม คุณอิเคดะเป็นพ่อม่าย ภรรยาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหลังแต่งงานกันได้แค่สองเดือน”
“อืม พ่อม่ายเมียตาย ไม่มีลูกติด”
“หล่อ รวย และเก่งมากๆ ด้วยนะคะ”
“ตกลงนี่สเปคแม่หรือสเปคลูกสาวกันแน่”
“พี่ต้อมคะ!”
“พอแล้วต้อม แหย่น้องอยู่ได้”
แหม่ กำลังมันส์เลยทีเดียว คุณยายไม่น่าขัดพ่อต้อมเลยนะครับ
“แล้วรู้จักมักจี่เค้าดีแล้วใช่มั๊ย?”
รอบนี้คุณตาเป็นคนถามบ้างครับ
“ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันให้มากหรอกค่ะ แค่คุณเดือนมั่นใจว่าใช่ก็คือใช่ค่ะ”
หลานสาวคนเดียวของคุณตาตอบด้วยความมั่นใจ แต่ผมคิดว่ามันทะแม่งๆ อยู่นะครับ
“หมายความว่ายังไง?” นั่นไง คุณตาคงจะรู้สึกเหมือนผมแน่ๆ
“คุณตาไม่เข้าใจตรงไหนเหรอคะ?”
อ้าว เฮ้ย! ทำไมคุณเดือนพูดย้อนคุณตาแบบนี้เนี่ย
“เมื่อครู่คุณแม่ก็อธิบายเกี่ยวกับคุณอิเคดะไปแล้วว่าเป็นใครมาจากไหนซึ่งเพียงเท่านั้นคุณเดือนก็คิดว่ามันโอเคแล้วค่ะ”
“ดีจริงๆ” ช้อนส้อมในมือพ่อต้อมรวบวางลงบนจานทั้งๆ ที่เพิ่งทานไปได้ไม่ถึงครึ่งจานด้วยซ้ำ
“คุณลุงต้อมไม่พอใจอะไรรึเปล่าคะ?”
“คนแก่บ้านนอกแบบลุงก็เป็นแบบนี้แหละ”
“หมายความว่ายังไงคะ?”
“คุณเดือนไม่เข้าใจตรงไหนเหรอ?”
เหยดดดดดดดดด เป็นไงล่ะ โดนพ่อต้อมย้อนกลับบ้างหน้างี้หงิกเป็นตะขอเชียว หึๆๆ
“คุณแม่ดูพี่ต้อมสิคะ”
คุณแม่ก็แปลกนะครับ แทนที่จะห้ามปรามหรือตำหนิลูกสาวตัวเอง กลับมาว่าพี่ชายซะงั้น
“เอาล่ะๆ ต้อมก็พอเถอะ นานทีปีหนจะได้เจอกันสักที”
ผมรู้ครับว่าคุณยายแค่พูดเพื่อตัดความรำคาญ
“แล้วตกลงยังไงกันล่ะ คุณเดือนกับว่าที่คู่หมั้นแค่เจอหน้ากันแล้วถูกใจก็หมั้นกันเลยแบบนั้นใช่มั๊ย?”
ขอบคุณคุณยายที่ถามคำถามนี้ครับ คุณแม่หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย ในขณะที่คุณเดือนมีใบหน้านิ่งเรียบซะจนผมอ่านความรู้สึกไม่ได้เลยครับ
“คุณเดือนก็ใช่ว่าจะอายุน้อยๆ ซะเมื่อไหร่ ทางคุณอิเคดะเองก็เป็นผู้ใหญ่กว่าตั้งสามปี”
คำตอบจากคุณแม่ทำเอาเงียบกริบกันทั้งโต๊ะเลยทีเดียวครับ คุณยายกับแม่มลเลิกคิ้วตาโตด้วยความตกใจ ทางด้านคุณตากับพ่อต้อมก็ทั้งถอนหายใจและส่ายหน้า ส่วนผมนะเหรอ? แค่ทำตาปริบๆ แล้วตักข้าวเข้าปากกินอย่างเงียบๆ ต่อไป
“พรุ่งนี้ช่วงสายคุณอิเคดะและญาติๆ เค้าจะมาที่นี่ ยังไงก็ช่วยต้อนรับให้อย่างดีด้วยนะคะ”
จบประโยคของคุณเดือน ผมก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมาทางผม
“คุณอิเคดะเค้าชอบเมืองไทยและสนใจวัฒนธรรมวิถีความเป็นอยู่แบบไทยมาก คุณแม่และคุณเดือนจึงต้องการจะให้คุณอิเคดะประทับใจบ้านสวน ได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ ที่บ้านสวนค่ะ”
พูดมาซะยาว แถมคุณเดือนยังเน้นย้ำประโยคสุดท้ายพร้อมกับปลายหางตามาทางผม
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก แม้ที่นี่จะบ้านนอก แต่ตามั่นใจว่าบ้านสวนมีแต่สิ่งที่ดีที่งาม”
ฝ่ามือหยาบกร้านแต่ทว่าเต็มไปด้วยความอบอุ่นของคุณตาลูบลงบนหัวของผม เล่นเอาคุณแม่กับคุณเดือนวางช้อนและยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแทบจะพร้อมกัน
“ยุ้ยกับคุณเดือนอิ่มแล้วเหรอคะ?”
แม่มลที่นั่งเงียบมานานเอ่ยปากทักบ้าง
“อิ่มแล้วค่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวยุ้ยกับคุณเดือนกลับก่อนละกัน ไว้พรุ่งนี้จะมาใหม่ค่ะ”
“อ้าว ไม่ได้ค้างคืนที่นี่ด้วยกันหรอกเหรอคะ?”
“เห็นทีจะไม่ค่ะ กลับไปพักที่โรงแรมจะสะดวกเรื่องติดต่องานกับทางโน้นมากกว่าค่ะ”
คุณตาพยักหน้ารับโดยไม่มีการยื้อยุดฉุดกระชากให้พักด้วยกันก่อนและดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่มีความอยากในอาหารกันแล้วครับ แต่เดี๋ยวก่อน ทุกคนยังไม่ได้กินของหวานกันเลยนะ วันนี้คุณยายอุตส่าห์ลงไปเก็บข้าวโพดที่ท้ายสวนตั้งแต่เช้าเพื่อมาทำแกงบวดข้าวโพดให้กินกัน คุณยายบอกว่าเป็นของโปรดคุณแม่นี่นา
“มีแกงบวดข้าวโพดนะครับ คุณยายลงมือทำด้วยตัวเองเลยนะครับ”
ไม่รอช้า ผมลุกขึ้นวิ่งเข้าครัวไปยกหม้อแกงบวดกลิ่นหอมๆ ที่อุ่นกำลังดีออกมาโดยมีไอ้โซ่ช่วยถือถ้วยถือช้อนตามมาติดๆ แล้วก็ช่วยกันตักใส่ถ้วยเสิร์ฟให้ผู้ใหญ่ครับ วนตั้งแต่อาวุโสสูงสุดอย่างคุณตาและไล่มาจนถึงคุณแม่ ท่านก็รับไปแบบนิ่งๆ แต่เมื่อถึงคุณเดือนเท่านั้นแหละครับ
เคล้ง!!!ถ้วยแกงบวดถูกปัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย
“อย่าเข้ามาใกล้ชั้น!”
พี่สาวตวาดเสียงแหว ผมเองก็ได้แต่ยืนสตั๊นเหมือนถูกสต๊าฟ มันรวดเร็วมากจนผมตั้งสติไม่ทัน จนกระทั่งผมได้ยินเสียงพ่อต้อมที่ดังแข็งกร้าวขึ้นนั่นแหละครับ สติสัมปชัญญะของผมจึงกลับมา
“กลับไปได้แล้ว!”
นานมากแล้วที่ผมไม่เคยเห็นพ่อต้อมโกรธขนาดนี้ ทำเอาคุณแม่และพี่เดือนยังตกใจยกมือไหว้ลาคุณตาคุณยายอย่างรีบร้อน
ผมมองแผ่นหลังของผู้ให้กำเนิดผมและผู้หญิงอีกคนที่มีสายเลือดเดียวกันกับผมเดินลงบันไดบ้านไปด้วยความหน่วงในหัวใจเล็กๆ ว่าทำไมทั้งสองท่านถึงไม่รู้จักถนอมน้ำใจคนแก่เลยสักนิด คอยดูเถอะ ผมจะกินแกงบวดข้าวโพดคนเดียวให้หมดหม้อเลย ชิส์---
.
.
.
.
.
TBC....

มาต่อแล้วนะคะ
ขอบคุณคนอ่านทุกท่านมากๆ ที่ยังจำรินได้ ขอบคุณมากจากใจนะคะ
