ยกที่ 1 : เจ็บจี๊ดๆ “ เฮ้ยว่าไง”
“ เออ”
คนที่ทักผมมันกำลังยกมือทักทายโบกไม้โบกมืออยู่ฝั่งตรงข้ามถนนมันคือ
“ ไอ้จ๊อบ” ครับ เพื่อนสนิทผมเอง ผมจึงก็พยักหน้ารับแต่แล้วรอยยิ้มกว้างของผมก็ต้องมีอันได้หุบเพราะมือหนาของมันกำลังกุมมือสาวน้อยร่างบอบบางข้างๆ เธอคนนั้นหันมายิ้มกว้างพร้อมกับโบกมือทักหยอยๆให้ผมเช่นกัน
...เหมือนหายใจไม่ออกเลยหว่ะ เจ็บที่หัวใจแปล๊บๆ... อย่างที่ทุกคนเข้าใจแหละครับ เหอะ ผมคิดกับมันเกินเพื่อน เรียกได้ว่าแอบรักมันมาข้างเดียวตลอดสี่ปี จริงๆแล้วผมกับมันสนิทกันมาตั้งแต่ม.หนึ่ง แต่ผมเพิ่งมารู้ใจตัวเองว่าชอบผู้ชายครั้งแรกก็ตอนที่อยู่ม.สามซึ่งไอ้ผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ผมคิดเกินเลยก็มีแต่มันคนเดียวนี่แหละ เฮ้ย เข้าตำราแอบรักเพื่อนสนิทของตัวเอง
“ ไปไหนวะ” มันถามแต่มือนี่ลูบหน้าลูบตา
“ลูกตาล” แฟนสาวแค่อาทิตย์เดียว มันเพิ่งเริ่มคบกันได้อาทิตย์เดียวตอนเปิดเทอม
“ เรียน”
ผมบุ้ยปากไปที่ตึกคณะวิทยาศาสตร์ จริงๆแล้วผมไม่ได้เรียนคณะนี้หรอกครับ คณะผมอยู่อีกโยชน์จากแถวนี้เลยคณะหมอยาครับแต่บังเอิญว่าปีหนึ่งมันตอนเรียนวิทยาศาสตร์พื้นฐานเหมือนกันเลยต้องถ่อมาเรียนถึงที่นี่ ส่วนไอ้หน้าหล่อที่ประหารหัวใจผมให้เจ็บช้ำมาตลอดสีปีนี่เรียนวิศวะครับ หล่อ รวย เริศ สมกับคณะมันนั่นแหละ
“ มึงอ่ะ”
“ พาลูกตาลไปกินข้าว”
“ อ๋อ” ผมคงเผลอสตั้นไปหลายวิมั้งมันเลยเอื้อมมือมาจะตบบ่าผม แต่ผมดันเอี้ยวตัวหลบมันจึงยิ้มให้อย่างเห็นใจแกมสมเพชมั้ง อันหลังนี่เดาเอานะ
“ มึงโอเคป่ะ” น้ำเสียงมันดูห่วงใยนะแต่ขอโทษไม่สมกับความผิดที่ทำให้ผมต้องเสียน้ำตามาตลอดปิดเทอมหรอก กูไม่ให้อภัยโทษฐานที่มึงลวงหัวใจกู ...น้ำเน่าได้อีก...
“ เรื่องของกู”
ผมกวนตีนมันกลับพร้อมกับรีบสาวเท้าหนีก่อนที่มันจะเล็งฝ่ามือใส่กระบาล ผมหัวเราะให้มันก่อนจะเดินตามกลุ่มเพื่อนที่ล่วงหน้าไปในอาคารเรียนก่อนแล้วแต่จู่ๆท่อนแขนแข็งแรงของไอ้จ๊อบก็พาดอยู่ที่บ่าผมก่อนที่มันจะกระซิบเสียงแผ่วเบาๆ
“ กูห่วงมึงนะ” ผมหันไปสบสายตากับมันตรงๆ แววตาคู่นี้แหละที่ผมหลงละเมอมานานแต่พอมองเข้าไปก็เห็นแต่ความห่วงหาอาทรในฐานะของเพื่อนจริงๆ แค่เพื่อนจริงๆ ไม่มีกระแสของความรู้สึกอย่างอื่นเลย
...เจ็บอีกแล้วหว่ะ... “ พอๆอย่าดราม่า” ผมแกล้งสะบัดตัวหนีจากมันแต่ไอ้นี่มันแข็งแรงครับกระตุกทีเดียวผมก็เซแล้วทั้งๆที่รูปร่างผมไม่ต่างจากมันมากนัก เตี้ยกว่ามันแค่สองเซนเอง
“ อ่ะ” มันยัดอะไรไม่รู้ใส่มือผม
“ อะไรวะ”
“ ยาแก้เศร้า”
“ อะไรของมึง”
พูดจบมันก็รีบวิ่งไปหาแฟนสาวหน้าสวยซึ่งรอท่าอยู่หน้าเซเว่นก่อนจะจูงมือกระหนุงกระหนิงหายลับไป ผมถอนหายใจก่อนจะก้มมองซองยาอะไรสักอย่างในมือซองยาสีขาวกึ่งน้ำเงินครึ่งล่าง มีรูปผู้หญิงอยู่ซ้ายมือพร้อมกับตัวอักษรฉวัดเฉวียนตัวโตๆที่เขียนว่า
“ทัมใจ” ...แม่ง โดนจังๆเลยกู... “ ทำใจสักทีสิวะกู” ผมถอนหายใจอีกรอบก่อนจะยิ้มปลงๆให้กับซองยาและเจ้าของที่ให้มา
‘ทำใจเถอะ’ นั่นเป็นสิ่งที่ผมย้ำกับตัวเองมาตลอดช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ผมกำซองยาแน่นด้วยใจที่หวิวๆเพราะมันกำลังเสียวแปลบๆคล้ายกับมีใครมาทุบตรงหัวใจ อย่างที่บอกผมแอบรักมันมาตลอดสี่ปี ใช้ความเป็นเพื่อนเฝ้ารักเฝ้าติดตามมันมาตลอดจนวันหนึ่งคงเป็นความรู้สึกที่สุกงอมมันถึงได้ประทุออกมา วันที่จบการศึกษาตอนม.หกผมรวบรวมความกล้าและกำลังใจเต็มเปี่ยมเพื่อไปสารภาพรักมันครับ แต่ผลที่ได้หน่ะเหรอ
“ กูชอบมึงหว่ะ”
“ เต้ยอย่าล้อกูเล่น”
“ กูพูดจริง...” ผมทำหน้าจริงจัง “...กูชอบมึงหว่ะชอบมานานแล้ว ชอบตั้งแต่ม.สาม กูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้กับมึง แค่มึงคนเดียว กูก็คิดนะโว้ยว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเองตลอดไปแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวหว่ะ กูต้องบอกอะไรมึงสักอย่างไม่งั้นมันคงค้างคาแบบนี้ตลอดไป” มันทำหน้าอึ้งไปพักนึงแต่ก็นานพอดูดีว่ามันไม่ตกใจจนแขกกระตุกฟาดปากผม คงไม่คิดจริงๆว่าผมจะรู้สึกแบบนี้กับมัน มันยิ้มเครียดๆก่อนจะเงยขึ้นมองท้องฟ้า
“ กูไม่รู้มาก่อน..” มันถอนใจ “...ไม่รู้จริงๆหว่ะ ว่ามึงรู้สึกแบบนี้ แต่กูเป็นผู้ชายและกูไม่เคยชอบผู้ชาย” ประโยคหลังมันพยายามพูดให้เบาเพื่อไม่กระทบใจผม แต่ไม่ทันละบังเอิญมันพูดจบปุ๊บผมก็เจ็บปั๊บ
“ ขอบคุณนะโว้ยที่รู้สึกดีๆกับกู” มันลูบบ่าผมเบาๆ “...แต่กูไม่ได้เป็นเกย์และคงไม่มีทางชอบผู้ชาย” ผมน่าจะรู้นานแล้วว่ามันไม่มีทางคิดแบบนั้น แต่มันก็ยังถนอมน้ำใจผมไม่ด่าให้ก็บุญเท่าไหร่แล้วตอนนั้นผมจำไม่ได้ว่าวันนั้นเราแยกย้ายกันกลับเมื่อไหร่หรือยังไง มารู้ตัวอีกทีผมก็นั่งร้องไห้ซบตักแม่แล้ว วันเดียวกันนั่นแหละที่แม่ผมรู้ว่าผมชอบผู้ชายท่านไม่ว่าอะไรเพียงแค่กอดผมไว้แล้วปลอบประโลมด้วยไหล่ที่บอบบาง ผมร้องไห้ให้มันอย่างหนักวันนึงเต็มๆหลังจากนั้นผมก็ตั้งสติแล้วบอกกับตัวเองว่าอย่างน้อยผมก็ได้บอกออกไปถึงผลลัพธ์ที่ได้จะเจ็บขนาดนี้
หลังจากนั้นผมก็เลือกเรียนเภสัชฯที่นี่ตอนแรกที่มันรู้ก็ตกใจเหมือนกันเพราะผมกับมันเราสัญญาว่าจะเรียนวิศวะด้วยกันเพราะเราทั้งคู่ต่างไปติวเข้มเพื่อสอบเข้าคณะนี้ แต่สุดท้ายผมก็หันหลังให้กับสิ่งที่ผมทุ่มเทมาตลอดปีเพียงแค่ว่าจะได้อยู่ใกล้ๆมันทั้งๆที่ผมไม่มีหัวด้านนี้ด้วยซ้ำ พอทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้ผมจึงเลือกในสิ่งที่อยากเรียนและต้องการห่างจากมันเพื่อทำใจให้ได้ แต่สุดท้ายเราก็ติดที่เดียวกัน จากวันที่ผมสารภาพรักกับมันผ่านไปเป็นอาทิตย์มันก็ติดต่อผมมาและทำตัวปกติเหมือนเดิมราวกับเราไม่เคยพูดกันเรื่องนั้น ในเมื่อมันยังคงวางผมไว้ในฐานะของเพื่อนสนิทซ้ำยังปฎิบัติกับผมเหมือนเดิมไม่มีแม้แต่กระแสแห่งความรังเกียจ ผมจึงต้องทำตัวและทำใจปฎิบัติแบบที่เราเคยเป็นกันมา
...เอาน่าสักวันผมต้องตัดใจได้...
...แต่ในเมื่อยังทำไม่ได้ตอนนี้ก็ขอเก็บความรู้สึกดีๆเอาไว้แบบนี้ก่อนละกัน... “ น่ารักดีหว่ะ”
ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของ
“ ไอ้แท็ค” เพื่อนสนิทในคณะซึ่งเพิ่งมาสนิทกันตอนรับน้อง ไอ้นี่มันถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของกลุ่มด้วยคุณสมบัติสูง หล่อ ดูดีชนิดที่ใครเห็นต้องเหลียวหลังเสียอย่างเดียวคือมันประกาศตัวชัดเจนว่าชอบผู้ชายโดยเฉพาะผู้ชายอย่าง
‘ว่าน’ คนที่กำลังอยู่ในหัวข้อสนทนาที่เป็นผู้ชายหน้าหวานร่างเล็ก ตัวขาว ปากแดง รูปหน้าจิ้มลิ้มราวกับเกิดมาผิดเพศเพราะไม่มีส่วนใดคล้ายกับบุรุษเพศเลยสักนิด
เห็นแล้วอดอิจฉาไม่ได้เพราะมันเป็นลักษณะที่ผมอยากเป็นเหลือเกินให้ตายเถอะ คิดแล้วถอนใจเซ็งๆก้มมองสภาพตัวเองไอ้ผมนี่ตรงกันข้ามกับว่านที่ไอ้แท็คมันยิ้มถูกใจจริงๆ ตัวก็สูงถึงจะสูงโปร่งไม่หนามาก แต่ก็สูงตั้ง 180 หน้าก็เฉยๆธรรมดาเหมือนผู้ชายตัวไป แต่ดีหน่อยเพราะเป็นคนขาว โดยรวมเลยเหมือนผู้ชายน่าตาพอไปวัดไปวา มีคนแวะเวียนมาขายจนมจีบบ้างประปรายพอให้กระชุ่มกระชวยแต่ไม่ใช่สเป็คเกย์น้อยๆน่าทะนุถนอมเลยจริงๆ เฮ้ยยย
“ หน้าจะย่นติดกับปากล่ะ”
พูดไม่ยังแหย่หลอดน้ำดื่มเฉียดปากที่แบะน้อยๆของผม
“ เหี้ย เล่นสกปรก”
“ ฮ่าๆๆๆ”
“ ไอ้นี่ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ” ผมโบกมือไปมาป้องกันไม่ให้น้ำจากปลายหลอดดูดที่ไอ้แท็คกำลังเป่ากระเด็นโดนตัว ผมขยับตัวหนีไอ้เวรนี่ก็ขยับตามแกล้งกันไปมาไม่รู้เลยว่าใต้อาคารเรียนที่เต็มไปด้วยม้านั่งซึ่งมีคนจับจ้องเต็มไปหมดกำลังจ้องมองอย่างสนใจ เหอะ ผู้ชายตัวโตสองคนกำลังหยอกล้อกันคงเป็นภาพที่ไม่น่าพิศมัยมั้ง
“ คิกคิก”
“....”
ผมยืนเอ๋อมองไปยังกลุ่มของว่านซึ่งพร้อมใจกันหันมามองพวกผมสองคนก็จะปิดปากหัวเราะคิกคักเท่านั้นไม่พอยังยิ้มกริ่มถูกใจราวกับเพิ่งพบเจอสิ่งมหัศจรรย์ ไอ้ผมก็สะดุ้งโหย่งสิครับแต่ไอ้แท็คนี่สิพอเห็นว่านยิ้มจนแก้มแดงถึงกับสติสะตังแทบจะหลุดจากร่าง จังหวะมันเพ้อที่แหละที่ผมคอยโอกาสมานานโบกหัวมันไปเต็มแรงแล้วพอมันรู้ตัวก็หันมาวิ่งไล่เตะผมจนเรียกเสียงหัวเราะจากคนแถวนั้น
“ แฮกๆ”
“ เหนื่อยฉิบหาย”
“ มึงจะวิ่งไปไหนเต้ย”
ผมเบรกตัวโกร่งเมื่อเจอร่างสูงใหญ่ของไอ้จ็อบที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ แถมโผล่พรวดมาตัดหน้ากระชั้นชิดอีกดีนะเบรกทันไม่งั้นงานนี้ได้มีฉากที่ผมกระแทกมันอย่างจังจนอาจเผลอล้มแล้วอะไรสักอย่างคงจะได้สัมผัสกัน เหอะๆ พอๆละครมากไปแล้วผมส่ายหัวไปมา
“ เหี้ย กูตกใจหมด”
“ เหี้ยอะไรหล่อขนาดนี้” มันชมตัวเองแล้วยืดตัวขึ้นทำให้รู้ว่าแม่งสูงกว่ากูอีก ผมเบ้หน้าใส่มัน
“ ชิ หล่อตายละมึง”
“ ก็ทำเอาคนแถวนี้เพ้อมาตั้งนานสองนานละวะ” มันแซวๆไอ้ผมจึงเท้าเอวมองหน้าแบบจะเอาไง คราวนี้มันจึงยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ หลังจากเมื่อหลายเดือนก่อนที่ผมสารภาพรักกับมันก็อย่างที่เห็นแรกๆมันคอยระมัดระวังที่จะพูดจาสนิทสนิทและทำตัวใกล้ชิดเพื่อให้ผมสบายใจ และมันคงเห็นว่าผมก็ปฎิบัติกับมันเหมือนเดิมไอ้นิสัยขี้หยอกขี้แซวของมันเลยกลับมาอีกครั้ง จริงๆมันเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันเพราะมันไม่ทำให้ผมกระอักกระอ่วนใจเวลาที่จะคุยกับมันตามลำพัง เพราะบรรยากาศระหว่างเรามันเหมือนกับเมื่อก่อนเหมือนตอนที่มันยังไม่รู้ความรู้สึกของผม
ผมชอบนิสัยแบบนี้ของมันนะถึงมันจะเจ้าชู้ตัวพ่อ แต่มันแยกแยะออกระหว่างแฟนกับคู่นอนเพราะมันไม่เคยมีปัญหาเรื่องผู้หญิงในสต๊อกมาหึงหวงแสดงความไม่พอใจเลยสักคน และที่สำคัญมันเป็นที่ชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเองชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็ปฎิเสธ เหอะคงเหมือนที่มันปฎิเสธผมนั่นแหละ...คิดแล้วเศร้า...
...แต่ช่างแม่ง เดี๋ยวถ้าวันไหนแม่งรู้ว่ารักกูขึ้นมาจะเล่นตัวซะเข็ด กูฝันอยู่เหรอ ฮา... “ ว่าแต่มึงวิ่งทำไมเนี่ย”
“ วิ่งให้หมาถาม” มันทำหน้าเอือมลืมบอกไปอย่างว่าผมนี่ก็กวนตีนใช่ที ทั้งๆที่ในใจผมรักมันจะตายแต่บางทีมันก็อดไม่ได้ทีจะกวนตีนอย่างว่าแหล่ะผมกับมันคล้ายๆกันคือนิสัยที่พูดดีๆไม่ค่อยเป็นชอบแง่งๆใส่กัน
“ เก่งนี่หว่า...” ผมหรี่ตามองมันที่ยิ้มกวนๆ “...คุยกับหมารู้เรื่องแบบนี้สงสัย หมาเหมือนกัน”
...ผลั๊ก...
ผมทุบอกมันไปเต็มๆทีนึงทำเอามันทำหน้าแหยแต่ยังยิ้มกริ่มกวนส่วนล่างเหมือนเดิม เหอะ ต่อให้กูยังรักมึงอยู่แต่กวนตีนแบบนี้ก็ไม่มีละเว้นนะครับ
“ แล้วมึงถ่อมาทำอะไรที่คณะกู”
“ นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว” ผมจิ๊ปากเตรียมยกเท้าใส่มัน
“ ซักทีมั้ยไอ้จ็อบ”
“ เออๆ...” มันทำหน้าจริงจัง “...จะมาชวนไปกินของดีเย็นนี้แถวสวนหลวง” หน้าตาตอนที่บอกว่าของดีนี่เต็มไปด้วยประกายวิบวับเชียวนะ
“ ไม่ไปอ่ะ”
“ มัยวะ” มันทำหน้าเสียดายแทนก่อนจะสะกิดบ่ายิกๆ “...ถ้ามึงไปกูเลี้ยง” ผมส่ายหน้าไปมาจะให้ตอบรับไปกับมันยังไงไหวก็แถวสวนหลวงนั่นมีร้านที่เลื่องชื่อลือชาพวกเหล้าเบียร์ทั้งนั้น ผมไม่ได้กระแดะหรือรังเกียจอะไรหรอกเพราะก็เป็นนักดื่มพอตัว แต่ที่กลัวคือพอเหล้าเข้าปากแล้วผมจะเผลอแสดงอาการประหลาดๆ ที่สำคัญผมอยู่หอในถึงแม้หอชายจะไม่จำกัดเวลาเข้าหอแต่ด้วยความที่เป็นเด็กดีของคุณนายแม่บวกกับขี้เกียจเป็นทุนเดิมผมจึงเลือกปฎิเสธ
“ ถ้ามึงกลัวดึกคืนนี้ไปนอนคอนโดกู” คอนโดที่ว่านี่เป็นคอนโดหรูแถวพญาไทซึ่งพ่อแม่มันซื้อไว้ให้ตอนที่ตัดสินใจมันเรียน กรุงเทพฯตอนแรกผมก็ตกลงกับมันว่าจะอยู่ด้วยกัน แต่พออะไรๆมันเปิดเผยก็เป็นผมเองที่ตัดสินใจถอยห่างมาอยู่หอในดีกว่าเพราะอย่างที่บอกผมต้องระวังหัวใจของตัวเองมากๆ เพราะจนถึงวันนี้มันก็ยังไม่รักดีเหมือนเดิม
“ เออๆ”
พอเห็นว่าชวนให้ตายยังไงผมคงไม่ตอบรับผมสักทีมันเลยเลิกที่จะเซ้าซี้ ก่อนจะยื่นถุงที่เต็มไปด้วยยาคูลย์สี่ห้าขวดในมือซึ่งผมไม่ได้สังเกตเลยว่ามันอยู่ในมือของไอ้จ็อบตั้งนานสองนาน
“ อ่ะ กูรู้ว่าชวนยังไงมึงก็ไม่ไป...” มันยิ้มๆพร้อมกับชูถุงยาคูลย์ซึ่งคงซื้อจากพนักงานสาวยาคูลย์ซึ่งมีจักรยานเป็นพาหนะคู่กายเจ้าประจำที่ปั่นไปมารอบมหาวิทยาลัย “ เอาไปๆแต่อย่าแดกเยอะนัก ข้าวเปล่ากินซะบ้าง มึงยิ่งเป็นโรคกระเพาะอยู่เดี๋ยวคุณนายสารภีรู้เข้ามึงโดนแน่” เอ่อ คุณนายสารภีคือแม่ผมเองครับ
“ ขอบใจ”
...เหี้ยแล้ว...ผมรีบกุมหน้าอกตัวเองไม่ใช่อะไรกลัวว่ามันจะเต้นดังเกินไปจนคนตรงหน้าได้ยิน ผมทำท่าประหลาดจนมันเลิกคิ้วมองงงๆก่อนจะยิ้มให้แต่เหมือนเดิมรอยยิ้มนั้นไม่เจือกระแสอื่นใดนอกจากความห่วงใยตามประสาเพื่อน แต่แค่นั้นใจเจ้ากรรมก็สั่นไหวไปหมดแค่มันทำอะไรเล็กๆน้อยๆก็พร้อมจะเต้นระรั่วราวกับจะหลุดจากอก ใจง่ายฉิบหายผมนึกชังหัวใจตัวเอง ทั้งๆที่สิ่งที่มันทำให้เป็นเรื่องปกติตั้งแต่มัธยมแล้วเพราะผมเป็นคนไม่ชอบกินข้าวแต่ถ้าเป็นยาคูลย์นี่สู้ตายกินได้ทั้งวันไม่รู้เบื่อ เพราะติดขนาดหนักมันเลยรู้ว่าผมชอบกินทุกเช้าก่อนเข้าเรียนมันเลยซื้อติดมือมาฝากผมประจำ
แต่หลังๆนี่แหละตั้งแต่อ่านหนังสือเพื่อสอบแอดแล้วพอติดช่วงปีหนึ่งเป็นอะไรที่วุ่นวายมาก เลยทำให้ไม่ค่อยได้กินข้าวเช้าจนเป็นโรคกระเพาะ มันอีกแหละที่รู้เรื่องคนแรกพร้อมกับเขี่ยวเข็ญให้ผมกินข้าวให้เป็นเวลา คิดแล้วก็ยิ้มกว้างทั้งๆที่รู้ว่ามันทำไปเพราะเป็นเรื่องปกติไม่มีอะไรเกินเลย แค่เศษความห่วงใยแต่เล่นเอากูใจสั่นฉิบหาย มันก็อย่างเนี้ยชอบใจดีกับเขาไปทั่วห่วงไปซะทุกคน ซ้ำยังมีมนุษย์สัมพันธ์ดีเยี่ยมตีคู่ไปกับหนังหน้าแล้วบอกเลยว่า.
..กูกรี๊ดลืมตาย ฮา... “ กูไปนะ”
“ เออ” ผมแกล้งทำหน้ารำคาญมันก่อนจะหันหลังแล้วเดินกลับขึ้นตึกไม่อยากให้มันเห็นหรอกว่าตอนที่หันหลังกลับนี้ผมกลั้นยิ้มจนปวดแก้มขนาดไหน เชี่ยเอ้ยหมดกันอุตส่าห์ห้ามใจตัวเองมาตลอดหลายเดือน
“ กินให้อร่อยนะ”
“ เฮือก..” ไม่ให้ตกใจยังไงไหวเล่นมากระซิบข้างหูแบบนี้
“...กินข้าวและดูแลตัวเองบ้างเต้ย มึงก็รู้ใช่มั้ยว่ากูห่วง” “ อืม”
“ กูยังเป็นเพื่อนรักของมึงนะ” พูดจบมันก็โบกมือลาพร้อมกับรอยยิ้มสว่างเจิดจ้าราวกับเทพบุตร เหอะ ถ้าติดปีกนี่คงได้บินกลับสวรรค์ พระเอกเหลือเกิน เฮ้ยยย
...เอาวะ อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนรัก...
...เป็นคนรักสักวันก็‘ต้องเลิก’ เป็นเพื่อนนี่แหละต่อให้ทะเลาะจะตายยังไงก็ ‘ไม่เลิกกัน’ ... .
.
.
.
‘ แต่ยังไงก็ยังอยากเป็นมากกว่าเพื่อนหว่ะ’ ยังไม่เข็ดอีกหัวใจกูเนี่ย
***คืนนี้อัพรักข้างเดียวนะจ๊ะ
