►►►แจ้งข่าวรวมเล่มค่ะ @ดินแดนแห่งรัก อาณาจักรแห่งใจ@ (แฟนตาซี) (19/3/2019) P.23
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►►►แจ้งข่าวรวมเล่มค่ะ @ดินแดนแห่งรัก อาณาจักรแห่งใจ@ (แฟนตาซี) (19/3/2019) P.23  (อ่าน 126790 ครั้ง)

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


“ดินแดนแห่งรัก  อาณาจักรแห่งใจ”



สารบัญ

บทนำ เรือนทาส?
บทที่ 1 คำทำนาย
บทที่ 2 คำลา
บทที่ 3 หัวใจอัคคีกับความในใจคุณหญิงอินทิรา @หัวใจอัคคี
บทที่ 3 หัวใจอัคคีกับความในใจคุณหญิงอินทิรา @คุณหญิงอินทิรา
บทที่ 4 ไข่เหี้ย???
บทที่ 5 ก้อนหิน
บทที่ 6 ที่นี่ที่ไหน???
บทที่ 7 กระท่อมกลางป่า
บทที่ 8 แก๊งทวงหนี้
บทที่ 9 F5
บทที่ 10 บิน
บทที่ 11 จอมปราชญ์
บทที่ 12 เรือนวสุธา
[url=http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58607.msg3632410#msg3632410]บทที่ 13 ทุ่ม

บทที่ 14 ฝึก
บทที่ 15 ความแตก
บทที่ 16 พิษรัก
บทที่ 17 สำนักแพทย์
บทที่ 18 ชัดเจนพอไหม ?
บทที่ 19 ออกเดินทางสู่บาอัล
บทที่ 20 เห็ดเรืองแสงฯ
บทที่ 21 รุค
บทที่ 22 โจทย์เก่า
บทที่ 23 แรกพบ
บทที่ 24 จำจาก
บทที่ 25 ความทรงจำที่หายไป
บทที่ 26 ไข่หงส์
บทที่ 27 ถอนพิษ
บทที่ 28 แค่ฝัน... รึเปล่า?
บทที่ 29 ก้อนหิน
บทที่ 30 ตามหาหัวใจ
บทที่ 31 ต้นสายปลายเหตุ
บทที่ 32 เตรียมการ
บทที่ 33 สะสาง
บทส่งท้าย ผูกจิตร่วมคู่



เพิ่งเริ่มทำเพจค่า เอาไว้เวิ่นเว้อ แหะๆ แวะไปติดตามกันได้นะคะ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2019 10:04:14 โดย maneethewa »

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
บทนำ
เรือนทาส?

   “ดิน ไอ้ดิน ไอ้ดินโว๊ย! ถุงเท้าฉันอยู่ไหนวะ? รีบมาหาถุงเท้าให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ”

   เสียงตะโกนเลื่อนลั่นสนั่นเรือนทาส เอ๊ย! คฤหาสน์ขนาดนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘คุณอัคคี’  หรือ ‘คุณไฟ’ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณหญิงอินทิรากับท่านทูตศรายุทธ แค่ได้ยินเสียงก็รู้สึกเหมือนไมเกรนกำเริบขึ้นมาทันที ทำได้แค่วิ่งตาลีตาเหลือกจากครัวขึ้นไปหาเสียงเรียกจากชั้นบน

   พอไปถึงก็เห็นฤดี สาวใช้คนใหม่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างตู้เสื้อผ้าส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาให้ รอบๆ ห้องมีเสื้อผ้ากระจัดกระจายเต็มไปหมด ดูจากตู้เสื้อผ้าที่เปิดอ้าและลิ้นชักที่เปิดมาแทบจะครบทุกช่องก็รู้แล้วว่าคนรื้อจงใจหาเรื่อง

   ผมรีบเดินไปที่ตู้ที่อยู่ติดกันแล้วดึงลิ้นชักหยิบถุงเท้ามายื่นให้คุณไฟที่ยืนกอดอกส่งเสียงฮึดฮัดอยู่หน้าตู้ คุณไฟกระชากถุงเท้าจากมือผมแล้วโยนใส่ฤดีอย่างแรงจนฤดีสะดุ้งอุทานอย่างตกใจ

   “ดูซะนังโง่ว่าถุงเท้ามันอยู่ตรงไหน ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามาในห้องฉัน ออกไป!” ท้ายเสียงตะโกนอย่างไม่กลัวเจ็บคอ ทำให้ฤดีรีบวิ่งตาเหลือกออกนอกห้องไป

   ผมเดินไปหยิบถุงเท้ามายื่นให้คุณไฟใหม่ ก็โดนกระชากไปแบบเดิมเป๊ะ แล้วนายท่านของบ่าวก็เดินกระแทกเท้าไปนั่งลงที่เตียงแล้วเริ่มใส่ถุงเท้าพร้อมบ่น

   “นายก็เหมือนกัน หายหัวไปไหนฮะ! แทนที่จะมารอรับใช้ฉันที่ห้อง กลับปล่อยให้ยัยโง่นั่นเข้ามาในห้องของฉันได้ยังไง” พอผมเงียบไปก็เงยหน้าจากถุงเท้าขึ้นมาจ้องเขม็ง ผีเข้ารึเปล่าวะ

   “ตอบ!”

   “ผมไปช่วยในครัวอยู่ครับคุณไฟ ปกติวันหยุดคุณไฟไม่ได้ไปไหน ผมคิดว่าคุณไฟยังไม่ตื่น ก็เลยไปช่วยงานในครัวก่อน”

   “ไปช่วยทำไม หน้าที่นายคือต้องคอยรับใช้ฉัน ไม่ใช่ไปทำครัว ต่อให้ฉันยังไม่ตื่นก็ต้องไปรอที่ห้อง ฉันตื่นมาต้องเห็นหน้านายทันที เข้าใจไหม?” ผมชักจะสงสัยนี่คนใช้หรือเมีย ถึงต้องเสนอหน้าไปให้เห็นเป็นคนแรกตอนตื่นนอนด้วย แต่ที่ต้องตอบเพื่อตัดปัญหาไปคือ

   “ทราบแล้วครับ” พอได้ดั่งใจคุณไฟ (ประลัยกัลป์ อันนี้ได้ยินเด็กรับใช้คนอื่นๆ แอบเรียกกัน) ก็เริ่มเย็นลงพอดีกับที่ใส่ถุงเท้าเสร็จ คุณไฟลุกขึ้นกอดอกปรายตามอง ไม่รู้ทำไมไม่มองตรงๆ ตาเหล่ไปนี่ขี้เหร่ตายเลย นิสัยก็ไม่ใช่ว่าจะดี ถ้าหน้าตาไม่ดีอีก แล้วที่นี้ใครจะเอา

   “ฉันจะออกไปข้างนอก มีนัดกับน้องน้ำตาล กลับมาฉันต้องเห็นหน้านายที่บันไดหน้าบ้าน เข้าใจไหม?” คราวนี้น้องน้ำตาล คราวที่แล้วน้องอะไรนะ ลืมแล้ว เปลี่ยนคู่ควงบ่อยเหมือนเปลี่ยนถุงเท้า เนื้อหอมจริงๆ เจ้านายของผม

   ผมขมวดคิ้วแล้วถามไปด้วยความสงสัย

   “แล้วถ้าคุณไฟกลับมาตี 2 ตี 3 ล่ะครับ” คนฟังถลึงตาพร้อมตะโกนลั่น

   “กี่โมงก็ต้องไปรอ เป็นแค่คนใช้สั่งอะไรก็ต้องทำ” ตะโกนบ่อยๆ แบบนี้ เดี๋ยวเส้นเสียงก็อักเสบ กลายเป็นมะเร็งกล่องเสียงเข้าสักวัน นี่ผมไม่ได้แช่งจริงๆ นะ

   “ครับๆ ทราบแล้วครับ” พอได้ยินคำตอบเป็นที่พอใจแล้วก็ลดระดับการถลึงตาลงมาอีกระดับ แล้วเดินกระแทกเท้าปึงปังไปหยิบกระเป๋าเงินกับกุญแจรถแล้วเดินจากไป สักพักก็ได้ยินเสียงเร่งเครื่องยนต์กระหึ่มขับออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงซากอารยธรรมจากพายุอารมณ์ของเจ้าตัวไว้เกลื่อนกลาดภายในห้องให้ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วเริ่มเก็บ

   ระหว่างที่เก็บของบนพื้นไป ผมก็ขอเล่าวงเวียนชีวิต เอ๊ย! วงจรชีวิต เอ๊ย! เล่าชีวิต เอ๊ย! ถูกแล้ว แหะๆ ผมขอเล่าชีวิตของตัวเองให้ฟังไปพลางๆ ก็แล้วกันครับ

   เท้าความมาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่เลิกทาส บรรพบุรุษของผมเป็นข้ารับใช้ในต้นตระกูลของท่านทูตศรายุทธสืบทอดทายาทอสูรมาเรื่อยๆ จนถึงรุ่นย่าของผม ตอนเด็กๆ ย่าบอกเสมอว่าครอบครัวของท่านมีพระคุณกับพวกเรามาก ให้ตอบแทนท่านด้วยการเชื่อฟัง ขยันทำงานและจงรักภักดีต่อเจ้านายทุกคน อะไรยอมได้ก็ยอมไป

   จนผมเข้าโรงเรียนในวิชาประวัติศาสตร์เรื่องการเลิกทาส ผมแทบจะวิ่งไปบอกย่าเดี๋ยวนั้นว่าสมัยนี้เค้าเลิกทาสกันแล้วนะ ย่าลืมไปหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังยอมทำตามคำของย่า เพื่อความสบายใจของท่าน ญาติที่เหลืออยู่คนเดียวของผม เพราะพ่อผมเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุตอนแม่ท้องผมได้ 6 เดือน ส่วนแม่ก็เสียชีวิตหลังคลอดผมได้ไม่กี่วัน เนื่องจากตรอมใจที่พ่อเสียไปทำให้เจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอด

   ย่าเลยไปขอให้คุณผู้หญิงตั้งชื่อให้ผม ท่านจึงตั้งชื่อให้ผมว่า ‘ก้อนดิน’ หรือ ‘ดิน’ จะได้คล้องกับชื่อคุณอัคคี หรือคุณไฟ (ประลัยกัลป์) ลูกชายของท่าน ซึ่งผมก็ยังสงสัยมาจนบัดนี้ว่ามันคล้องกันตรงไหนวะ เสียดายที่ตอนนั้นท่านทูตอยู่ต่างประเทศ ไม่งั้นผมคงได้ชื่อเพราะๆ กว่านี้ แต่ช่างเถอะ ชื่อนี้ก็เก๋ ไม่เหมือนใครดีครับ

   พอจัดของเสร็จก็เกือบเที่ยงพอดี ผมลงไปที่ครัว อุ่นข้าวต้มที่ทำไว้ตั้งแต่เช้ายกไปที่ห้องพักของย่าซึ่งตอนนี้กำลังป่วยนอนพักอยู่ที่ห้อง ผมวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะ แล้วเดินไปแตะและเขย่าแขนท่านเบาๆ

   “ย่าครับย่า ตื่นมากินข้าว กินยาก่อนครับ” เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆ แง้มออกช้าๆ สายตาฝ้าฟางคู่หนึ่งมองกลับมาที่ผม

   “ดินเหรอลูก” เสียงแหบพร่าถามขึ้น พร้อมกับมือที่วางแนบลำตัวยกมาแตะแขนผม ผมยื่นมือไปจับมือท่านพร้อมตอบรับ

   “ครับย่า ลุกมากินข้าวหน่อยนะครับจะได้มีแรง” ผมจับท่านตะแคง แล้วค่อยๆ ประคองให้ท่านลุกขึ้นนั่ง พอท่านทรงตัวได้ก็หยิบหมอนหลายๆ ใบมาพิงหลังให้ท่านนั่งสบายๆ แล้วเดินไปลากที่วางถาดอาหารแบบล้อเลื่อนมาวางถาดข้าวต้มให้ท่าน พอหยิบช้อนตักข้าวต้มเป่า กำลังจะป้อน ย่าก็ยึดข้อมือผมไว้

   “ดิน” นัยน์ตาฝ้าฟางคู่นั้นมองผมอย่างจริงจัง

   “ครับย่า”

   “รับปากย่าได้ไหม ว่าดินจะไม่ทิ้งคุณไฟ”

   ผมเงียบไป เพราะที่จริงแล้วผมต้องการจะไปจากที่นี่ทุกเวลา ผมต้องการเป็นอิสระ ที่จริงเราพอมีสมบัติที่เป็นของตัวเองที่พอจะเป็นทุนให้ผมเรียนจนจบมหาวิทยาลัยและเลี้ยงปากท้องเราสองคนย่าหลานได้ เพียงแต่ย่าไม่ยอมไปจากที่นี่ เพราะเป็นห่วงคุณศรายุทธกับคุณไฟ ผมเลยต้องจำใจอยู่ด้วย

   บอกตามตรงว่าถ้าไม่มีย่า ผมก็คงจะไม่ทนอยู่ที่นี่อีกต่อไป คุณไฟไม่เท่าไหร่ ถึงจะขี้โมโห ปากร้าย ชอบอาละวาด เอาแต่ใจ แต่พอขึ้นมัธยมปลายมาก็ไม่เคยตั้งใจทำร้ายผมเลยสักครั้ง แต่คุณหญิงนี่สิ ถ้าท่านทูตกับคุณไฟไม่อยู่ แล้วผมทำอะไรไม่ถูกใจจะถูกทำร้ายแทบทุกครั้ง บางครั้งตบ บางครั้งก็ตี แล้วส่วนใหญ่จะตีในร่มผ้า เพื่อไม่ให้ท่านทูตกับคุณไฟเห็น เพราะคุณไฟเคยเห็นผมโดนตบแล้วอาละวาดจนบ้านแทบแตก พอเห็นผมเงียบไปท่านก็เริ่มพูดอีกครั้ง

   “ดิน ย่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน ดินเป็นคนเข้มแข็ง ย่าไม่เป็นห่วงเราสักเท่าไหร่ เพราะเชื่อว่าเอาตัวรอดได้ ย่าเป็นห่วงคุณไฟ ถึงภายนอกจะดูเข้มแข็ง แต่คุณไฟไม่ได้แข็งอย่างที่เห็นจริงๆ หรอกนะลูก” ท่านพูดยาวๆ จนหอบ ทำให้ผมต้องหยิบแก้วน้ำส่งให้ท่านจิบ

   ผมถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ใครล่ะตามใจคุณไฟจนเสียคน ท่านทูตก็งานยุ่งจนไม่มีเวลาให้ คุณหญิงก็ตามใจทุกอย่าง อยากได้อะไรก็หามาประเคนให้ ไหนจะย่าเขาอีกล่ะ อาศัยบารมีของคุณพ่อกับอำนาจของเงินหรอกถึงได้มีคนคบ ถ้าไม่มีเงิน ก็แทบจะไม่มีใครเอา ถ้าไม่มีท่านทูตกับคุณผู้หญิงแล้วไม่มีใครรั้งไว้ ชีวิตคุณไฟก็คงจะดิ่งลงเหวได้ไม่ยาก ก็ดูคบเพื่อนแต่ละคน

   “ดิน ย่าขอร้อง ไม่อย่างนั้นย่าคงตายตาไม่หลับ” คำขอร้องของย่า ทำให้ผมลอบถอนใจ ถึงย่าจะไม่ฝาก ด้วยความที่โตมาด้วยกัน ถึงอย่างไรผมก็คงทิ้งคุณไฟไม่ลงอยู่ดี

   “ก็ได้ครับย่า ดินรับปากว่าจะช่วยดูแลคุณไฟให้ จนกว่าคุณไฟจะไม่ต้องการดินอีกต่อไป”

   “ขอบใจนะลูก ย่าขอโทษที่เอาแต่ใจ ไม่ใช่ว่าย่าไม่รักดิน แต่ย่าเชื่อว่าคนเข้มแข็งอย่างดิน จะอยู่ได้ทุกที่อย่างมีความสุข” ผมยิ้มให้ท่านอย่างเข้าใจและลูบมือท่านเบาๆ

   “ทานข้าวได้แล้วครับ จะได้ทานยา ย่าจะได้หายเร็วๆ” ซึ่งพอผมป้อน ท่านก็อ้าปากรับแต่โดยดี

   หลังจากป้อนข้าวป้อนยาแล้วผมก็นั่งคุยกับท่านต่อเพื่อรอให้อาหารย่อยก่อน พอท่านเริ่มเพลีย ก็ค่อยๆ ประคองท่านลงนอนต่อ   

   ปีนี้ย่าผมอายุ 87 ปีแล้ว ถึงจะรู้ว่าคนอายุมากๆ ก็เหมือนแสงตะเกียงที่สักวันต้องดับไป แต่ผมก็แทบจะทำใจไม่ได้ ที่จริงท่านทูตอยากจะพาท่านไปโรงพยาบาล แต่ท่านขอร้องไว้บอกว่าต้องการจะใช้ชีวิตในบั้นปลายที่ ‘บ้าน’ ที่ท่านเกิดและอาศัยมาตลอดชีวิต ท่านทูตเลยต้องยอม โดยมีผมคอยดูแลด้วยตัวเอง ทั้งป้อนข้าว ป้อนน้ำ เช็ดตัว ใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ผมพยายามใช้เวลาในช่วงนี้กับท่านให้มากที่สุด ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ต้องกลับมาเสียใจภายหลัง เพราะวันเวลามันไม่เคยย้อนกลับ ผมอยากจะเก็บความทรงจำที่มีร่วมกันไว้คอยหล่อเลี้ยงชีวิตต่อไปในอนาคต

    พอย่าหลับแล้วผมก็หยิบหนังสือมานั่งอ่านข้างๆ หน้าต่าง เพราะนี่ก็ใกล้จะถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว คุณหญิงจะให้คุณไฟเข้าเรียนบริหารในมหาวิทยาลัยเอกชน เพื่อมาช่วยงานธุรกิจของครอบครัวทั้งสองตระกูล ส่วนผมอยากเรียนสัตวแพทย์ในมหาวิทยาของรัฐ แต่คุณไฟอยากให้ผมไปเรียนด้วย บังคับให้เรียนเอกเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่ยอมคุณไฟ ในเมื่อมันเป็นชีวิตทั้งชีวิตของผม คุยเรื่องนี้ทีไรทะเลาะกันทุกที จนบัดนี้ก็ยังไม่จบเพราะไม่มีใครยอมใคร

    ผมเลิกคิดเรื่องที่ชวนให้ปวดหัวก่อนที่สมาธิจะจมอยู่กับหนังสือที่อ่าน พอพักสายตาและเปลี่ยนอิริยาบถก็หันไปมองย่าบนเตียงและหันไปมองในสวนสวยๆ นอกหน้าต่างเป็นระยะ จนเมื่อรู้สึกว่าฟ้าเริ่มมืดก็ไปเตรียมอาหารมาป้อนย่า จัดการเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเข้าครัวไปหาอะไรกิน วิ่งขึ้นไปอาบน้ำ แล้วหยิบหนังสือมานั่งอ่านรอคุณไฟที่เชิงบันไดหน้าบ้าน

    “อ้าว! ดิน มานั่งรอคุณไฟเหรอ” ลุงเชิด คนสวนเก่าแก่ของบ้านถามขึ้น

    “ครับลุง ลุงไปนอนได้เลยครับ เดี๋ยวผมรอเปิดประตูให้คุณไฟเอง” ลุงพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความสงสาร อยู่มานานจนรู้เห็นอะไรมากมาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเห็นใจ เพราะก็เป็นแค่คนรับใช้เหมือนกัน

    “งั้นลุงไปนอนก่อนนะ เอายาทากันยุงไหม เดี๋ยวลุงไปเอามาให้”

    “ผมทามาแล้วครับ ขอบคุณมากครับลุง ฝันดีนะครับ”

    “เออๆ ฝันดี” ลุงเดินมาตบบ่าเบาๆ แล้วเดินจากไป พอลับหลังลุงผมก็ก้มหน้าก้มตาลงอ่านหนังสือต่อ เวลาได้ยินเสียงรถผ่านมาสักคันก็แหงนหน้าขึ้นมามองประตูรั้วที ก้มลงมองนาฬิกาก็บอกว่าเป็นเวลาตี 1 แล้ว เจ้านายที่เคารพก็ยังไม่กลับสักที ผมถอนหายใจส่ายหัว ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อไป

   “ดิน ไอ้ดินตื่น” เสียงเรียกพร้อมกับแรงเขย่าที่บ่าจนหัวคลอนโขกกับราวบันไดไปหนึ่งที ทำให้ผมตื่นขึ้นมาคลำหัวป้อยๆ แล้วเผลอค้อนให้ตัวต้นเหตุ ที่ยืนกอดอกมองจากมุมสูง

   “คุณไฟเข้ามาได้ไงครับ ทำไมไม่ได้ยินเสียงรถ” ผมยืนขึ้นแล้วถามไปอย่างงงๆ

   “เพื่อนมันยืมรถไป เลยให้มันมาส่งหน้าบ้าน ฉันพกรีโมทประตูไปด้วย นี่ไง” พูดจบก็ยกรีโมทประตูบ้านโบกไปมา

   “แล้วจะให้ผมมารอทำไมเนี่ย ในเมื่อเข้าบ้านเองได้” ผมถามอย่างไม่พอใจ

   “พอใจ มีปัญหาอะไรไหม” พูดจบก็เดินเข้าบ้านไปก่อน นิสัยจริงๆ ผมเดินไปดูความเรียบร้อยของประตูรั้ว จัดการล็อคประตูบ้านเรียบร้อยแล้วก็เดินหาวตามไป

   “เดินให้มันเร็วๆ หน่อยได้ไหม ชักช้า” ตัวปัญหายืนรออยู่ตรงโถงด้านหน้า ผมถอนหายใจ แล้วทำไมไม่เดินไปก่อน จะรอทำไมไม่รู้ พอเดินไปใกล้ถึงตัว เจ้าตัวก็เดินจ้ำๆ ไปที่ประตูข้างๆ ที่ทะลุไปที่เรือนเล็ก แล้วเดินไปยืนอยู่หน้าห้องข้างๆ ของผมแล้วกอดอกมอง

   “คุณไฟมีอะไรจะสั่งรึเปล่าครับ” คนฟังขมวดคิ้วฉับ

   “ไม่มี เข้าห้องได้แล้วไป” ผมมองหน้าคุณไฟงงๆ ก่อนจะเดินไปเข้าห้องชะโงกไปมองก็เห็นคุณไฟยังยืนกอดอกมองมาตาเขียว เลยหดหัวกลับไปแล้วปิดประตูอย่างเบามือ เพราะย่าหลับอยู่ ผมเดินไปก้มลงมองย่าที่หลับหายใจอย่างสม่ำเสมอบนเตียง ก่อนจะมาทิ้งตัวลงนอนที่เก้าอี้ผ้าใบข้างๆ เตียงย่า

    ที่จริงห้องคุณไฟต้องอยู่เรือนใหญ่ แต่เจ้าตัวร้องจะเอาห้องข้างๆ ย่าผม คุณไฟบอกคุณหญิงว่าเอาไว้เผื่อเปลี่ยนบรรยากาศแก้เบื่อ แล้วมีหรือคุณหญิงจะขัดลูกชายคนโปรดได้ ส่วนผมก็มีห้องเล็กๆ อยู่ที่เรือนใหญ่ติดกับห้องคุณไฟเหมือนกัน เพราะนายท่านอยากให้ผมสามารถไปหาได้เร็วๆ เวลาเรียก ซึ่งคุณหญิงก็ไม่สามารถจะขัดใจได้เช่นเดียวกัน เพราะพ่อคุณอาละวาดบ้านแทบแตก แต่พอย่าป่วย ผมก็ลงมานอนเป็นเพื่อนย่าที่เรือนเล็ก คุณไฟก็ตามมานอนห้องข้างๆ แทบทุกคืน ประหลาดคนจริงๆ คิดเรื่องคุณไฟทีไรปวดหัวทุกที คนอะไรเข้าใจยาก นอนดีกว่า

++++++++++++++++++++++++++++++++

ลองลงดู เผื่อเป็นการกระตุ้นตัวเองไปในตัวค่ะ แหะๆ มีแค่เรื่องราวคร่าวๆ ในหัว รอดูซิว่าน้องดินจะจบก่อนหรือจะมีเรื่องอื่นผุดขึ้นมาขัดในขมองอีก


:ruready

ส่วนเรื่องนี้ เรื่องแรกในชีวิตที่แขนได้จบค่ะ ถถถ ไม่ถึง 50 หน้าแต่เล่นเอาหืดขึ้นคอ รอลุ้นอยู่ว่าจะมีตามมาอีกไหม

"เริ่มที่รัก" ลงในหมวดเรื่องสั้นค่ะ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58101.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-06-2017 13:13:18 โดย maneethewa »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แปลกทั้งแม่ทั้งลูก คุณไฟก็ซึน ส่วนแม่ทำไมถึงต้องทำร้ายดิน

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
บทที่ 1 คำทำนาย

   วันนี้เป็นวันที่คฤหาสน์วุ่นวายเป็นพิเศษ เพราะคุณหญิงอินทิราเธออยู่บ้าน เธอบอกว่าจะเชิญหมอดูชื่อดังมาดูดวงให้ที่บ้าน แล้วบังคับให้คุณไฟอยู่ด้วย ตอนแรกคุณไฟฮึดฮัดจะอาละวาด แต่ไม่รู้ตกลงกันอีท่าไหนถึงได้ยอมอยู่อย่างว่าง่าย เพียงแค่ออกอาการต่อต้านเล็กน้อยด้วยการรออยู่ที่ห้องนอน ไม่ยอมมานั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก บอกแค่ว่าถ้าถึงเวลาค่อยให้คนไปตาม แถมจะลากผมขึ้นห้องไปด้วย แต่คุณหญิงไล่ให้ผมไปช่วยงานในครัว ทั้งคู่ส่งสายตาทำสงครามประสาทกันอยู่สักพัก จนผมต้องบอกว่าอยากไปช่วยป้านิ่มในครัว คุณไฟจึงยอมเดินกระแทกเท้าขึ้นไปที่ห้อง

   ในครัวยุ่งกันหัวปั่น เพราะคุณหญิงเธอบอกจะเลี้ยงอาหารสูตรชาววัง ให้ทำให้สุดฝีมือที่สุด ผมยืนล้างผัก หั่นผัก หยิบจับอะไรช่วยได้ก็ช่วยเพราะอาหารชาววังวิธีการทำทั้งประณีตและยุ่งยาก ผมเลยให้ป้าๆ สอนแค่วิธีการทำอาหารง่ายๆ ที่เหมาะกับคนธรรมดาๆ อย่างผมเท่านั้น แต่การมาช่วยในครัวบ่อยๆ ก็ทำให้จำและทำได้ แต่ไม่ถนัดเท่าอาหารพื้นๆ ที่เป็นของโปรดของตัวเอง

   มือทำงานไป หูก็ฟังสาวๆ เม้าท์กันไป เห็นคนที่ไปเสิร์ฟน้ำบอกว่าหมอดูมาถึงและไปที่ห้องรับแขกแล้ว คุณหญิงให้ไปตามคุณไฟซึ่งหน้าบูดสนิทไปหาที่ห้องรับแขก ดูนาฬิกาก็เกือบจะ 11 โมงเข้าไปแล้ว แต่ละคนเลยเร่งงานมือเป็นระวิง พอใกล้เที่ยงอาหารทุกอย่างก็พร้อมเสิร์ฟ ทั้งอาหารคาวหวานที่จัดอยู่ในโถเซรามิคลายเบญจรงค์งดงาม บางอย่างก็จัดไว้ในฟักทองแกะสลัก ผักผลไม้แกะสลักสวยงามจนเห็นแล้วกินแทบไม่ลงเพราะความเสียดาย สาวๆ ทยอยยกอาหารไปตั้งที่โต๊ะรับประทานอาหาร ผมเลยมีเวลาอุ่นข้าวต้มและแว้บไปดูแลย่าตามปกติ

   ผมเดินออกมาจากห้องย่า เพื่อยกถาดอาหารกลับไปเก็บที่ห้องครัว ระหว่างทางก็เห็นกระเป๋าเงินใบหนึ่งหล่นอยู่ ผมก้มลงหยิบ แล้วมองไปรอบๆ ก็เห็นหลังคนไวๆ อยู่ข้างหน้า เลยรีบจ้ำตามไป

   “คุณครับ คุณ” เสียงเรียกผมดังพอที่จะทำให้คนข้างหน้าชะงัก แล้วหันกลับมาทั้งตัว เขาเป็นผู้ชายที่อยู่ในวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่ แววตามีแววปราณี รอยยิ้มอ่อนโยน น่าจะเป็นคนใจดีคนหนึ่ง ผมยื่นกระเป๋าให้

   “กระเป๋าเงินคุณตกหรือเปล่าครับ”

   “ใช่ครับ ขอบคุณมาก” คนตรงหน้ายิ้มรับ แล้วยื่นมือมารับกระเป๋าไป ขณะรับกระเป๋ามือบังเอิญสัมผัสกัน เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มให้ผมอีกครั้ง

   “คุณจะได้สิ่งที่ต้องการที่สุดในชีวิต แต่จะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเหมือนกัน” พูดจบก็ก้มหัวให้เล็กน้อยแล้วก็เดินจากไป ปล่อยให้ผมยืนเอ๋ออยู่ที่เดิม

   “อะไรของเขาวะ” พอหันหลังกลับเพื่อจะเดินไปที่ครัวก็สะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ เมื่อคุณไฟมายืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ข้างหลังเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

   “อะไร?” อยู่ๆ คุณไฟก็ถามขึ้นมา ทำให้ผมได้แต่งงว่าถามถึงอะไร

   “หือ อะไรนี่คืออะไรครับคุณไฟ”

   “ที่หมอดูคนนั้นพูดคืออะไร สิ่งที่นายต้องการคืออะไร” อ๋อ ผู้ชายคนนั้นคือหมอดูที่มาวันนี้นั่นเอง ดูยังไงก็ไม่เหมือนสักนิด รู้ว่าน่าจะเป็นแขกเพราะไม่คุ้นหน้า ตอนแรกคิดว่าเป็นผู้ติดตามซะอีก เพราะมัวแต่นึกถึงคนที่เพิ่งเดินจากไปจนลืมตอบคำถาม คนตรงหน้าจึงโมโหหนักขึ้นอีก

   “ดิน ตอบคำถามมาเดี๋ยวนี้นะ!” ผมหันมามองคุณไฟงงๆ ว่าทำไมต้องโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้

   “ไม่มีอะไรหรอกครับ”

   “บอกมา สิ่งที่นายต้องการที่สุดคืออะไร?” มือแข็งแรงยื่นมาจับแขนผมแน่น ท่าทางกระวนกระวายของคุณไฟยิ่งทำให้ผมงงหนักกว่าเดิม

   “คุณไฟเชื่อหมอดูด้วยเหรอครับ เขาอาจจะพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็ได้” ผมถามไปด้วยความสงสัย แต่คุณไฟเม้มปากแน่น พร้อมทั้งบีบมือผมแน่นขึ้นจนต้องขมวดคิ้ว

   “คุณไฟผมเจ็บ” เจ้าของชื่อเพียงลดแรงลงแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือผมสายตายังคงจ้องมองมานิ่งนาน ผมถอนหายใจเฮือก

   “หมอดูก็คู่กับหมอเดา คุณไฟอย่าไปเชื่ออะไรมากเลยครับ เก็บมาคิดแล้วเครียดเปล่าๆ ปล่อยผมเถอะครับ ผมจะเอาถาดอาหารไปเก็บ ผมหิวข้าวแล้วด้วย” คุณไฟยังคงมองมานิ่งๆ ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือลง ผมยกมือตบต้นแขนคุณไฟเบาๆ ในเชิงปลอบโยน ไม่รู้ว่าหมอดูทักคุณไฟเรื่องอะไรถึงทำให้สติแตกได้ขนาดนี้ ผมเดินกลับไปที่ห้องครัวตามความตั้งใจเดิม เพราะตอนนี้หิวจนไส้กิ่วแทบจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว


   “นายเป็นของฉัน” ไฟพึมพำออกมาเบาๆ สายตายังคงมองตามแผ่นหลังของดินแน่วแน่
   “ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้นายไปไหนเป็นอันขาด!!!”

   สามวันต่อมา ย่าผมก็จากไป
   ผมตื่นมาแต่เช้า แล้วลุกไปดูท่านตามความเคยชิน ผมยื่นมือไปแตะแขนท่านดูเหมือนทุกวัน แต่ปรากฏว่าแขนของท่านเย็นเฉียบ พอๆ กับหัวใจของผม ผมลองจับไปที่จุดอื่นๆ ในตัวของท่านก็ยังคงเหมือนเดิม ผมลองเขย่าและเรียกท่านเบาๆ ท่านก็เพียงแต่นอนนิ่ง หน้าตาผ่องใส มีเพียงรอยยิ้มประดับริมฝีปาก แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาให้ผมได้ยินอีกเลย

   น้ำตาผมไหลออกมาเงียบๆ ผมยกมือท่านมาวางไว้บนหัว ซึมซับความรู้สึกนั้นไว้สักพัก ก่อนจะวางไว้ข้างตัวเหมือนเดิม แล้วขยับลงมาก้มกราบที่เท้าของท่าน

   ผมเช็ดน้ำตาแล้วเดินออกมาจากห้อง เจอกับคุณไฟที่กำลังจะเข้าห้องพอดี

   “คุณไฟ ย่าจากพวกเราไปแล้วครับ” นัยน์ตาคนฟังไหววูบ ก่อนจะเดินมาดึงผมเข้าไปกอด น้ำตาผมไหลลงมาอีกรอบ ก่อนที่คุณไฟจะจับจูงผมไปในห้อง แล้วเจ้าตัวไปก้มลงกราบแม่นมที่เลี้ยงและใช้ชีวิตด้วยกันมามีเวลาร่วมกันยิ่งกว่าแม่แท้ๆ ทำให้คุณไฟเชื่อฟังย่าผมยิ่งกว่าคุณหญิงซะอีก

   หลังจากนั้น ท่านทูตก็กลับมาจากต่างประเทศ ท่านจัดงานศพให้ย่า 7 วัน 7 คืน เพราะย่าเป็นแม่นมของท่านและยังเป็นคนสนิทของคุณแม่ของท่านด้วย ผมวิ่งวุ่นช่วยงานศพทุกอย่างเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่าน จนงานศพผ่านพ้นไป ผมรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก สมบัติทุกอย่างโอนเป็นชื่อของผมมานานแล้วจึงไม่มีปัญหาอะไร ท่านทูตเรียกผมไปพบที่ห้อง ถามว่าวางแผนชีวิตยังไง ตอนแรกผมขอออกไปอยู่ข้างนอกเพราะเกรงใจ แต่ท่านรั้งไว้และขอร้องให้อยู่กับคุณไฟไปก่อน ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหาเพราะรับปากกับย่าไว้แล้ว พอออกจากห้องมาก็เห็นคุณไฟยืนอยู่หน้าห้อง พอผมออกมาก็จับแขนลากไปที่ห้องของตัวเอง แล้วล็อคประตู พอล็อคเสร็จก็หันมาถามตามประสาคนใจร้อน

   “คุณพ่อคุยเรื่องอะไร?”

   “ก็... เรื่องทั่วๆ ไปแหละครับ” ผมตอบพร้อมหลบตา

   “ดิน” เสียงหนักๆ คาดคั้น

   “ท่านถามว่าจะเอายังไงต่อไป”

   “แล้วนายตอบไปว่าไง” คุณไฟถามอย่างร้อนรน

   “ผมบอกว่าอยากออกไปอยู่ข้างนอก”

   “ดิน!!!!” เสียงตะโกนลั่นห้อง แล้วคุณไฟก็จับผมเขย่าจนหัวคลอน

   “ฉันไม่ให้ไปไหนทั้งนั้นได้ยินไหม นายต้องอยู่ที่นี่ต่อไปเข้าใจไหมดิน”

   “คุณไฟหยุด เดี๋ยวหยุดก่อน” ผมพยายามห้ามเพราะเขย่าขนาดนี้ถ้าเกิดสมองไหลไปทำไง

   “โอ๊ย! คุณไฟหยุดดดด ผมไม่ไปแล้วครับ” ผมตะโกนขึ้นแล้วจับคุณไฟเขย่าบ้างเพื่อความเท่าเทียม เอ๊ย! เพื่อเรียกสติ คุณไฟนิ่งไป เสียงหายใจหอบเหนื่อย ก่อนจะดึงผมไปกอดแน่นจนอึดอัด

   “อย่าไปได้ไหม นมก็ทิ้งฉันไปแล้ว ฉันไม่เหลือใครแล้วนะ”

   “คุณไฟยังมีคุณพ่อคุณแม่ไงครับ” ผมเถียงเบาๆ ทำใจกล้าลูบหลังปลอบโยนไปด้วย

   “มันไม่เหมือนกัน” พูดแค่นั้นก็เงียบไป

   “ดิน”

   “ครับ”

   “สัญญากับฉันได้ไหมว่าจะไม่ทิ้งฉันไปไหน” ผมถอนหายใจเฮือกจนคุณไฟเกร็งตัวขึ้นมา ผมเลยลูบหลังปลอบก่อนจะตอบไป

   “ครับ ผมจะอยู่กับคุณไฟ จนกว่าคุณไฟจะไม่ต้องการผม” ผมแอบถอนหายใจอีกครั้ง ทำไมใครๆ ชอบบังคับให้ผมสัญญานักนะ เฮ้อ! ก้อนดินเซ็ง!

****************************
กระดึบๆ มาทีละนิด ฝึกฝีมือกันไปทีละหน่อย

 :katai5:

ฝากน้องกีไว้ด้วยนะคะ

เรื่องสั้น "เริ่มที่รัก"
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58101.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-03-2017 15:23:44 โดย maneethewa »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ชื่อเรื่องโคตรมุ้งมิ้งสดใสสุด ๆ แต่ทำไมดูท่าเนื้อเรื่องจะไม่มุ้งมิ้งเหมือนชื่อ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
บทที่ 2 คำลา

   ผมนั่งจัดกระเป๋าอยู่ในห้องของคุณไฟ เพราะได้บัญชาจากนายท่านว่าเราจะไปเที่ยวป่ากับเพื่อนๆ ของท่านกัน ตั้งแต่ย่าเสีย ผมก็โดนบังคับให้ขึ้นมานอนห้องข้างๆ เป็นการถาวร แถมคุณไฟยังดีกับผมมากกว่าแต่ก่อนมาก (แถม ก.ไก่ ให้อีกล้านตัวก็ยังไม่พอ) ย้อนกลับไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ระหว่างที่นั่งจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ให้คุณไฟ พ่อเจ้าประคุณก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย (ถ้ามีผมจะลุกขึ้นรำให้ดู)

   “ดิน”

   “ครับ” ปากตอบไปมือก็พับเสื้อผ้าเก็บลงตามช่องไป

   “อาทิตย์หน้า ไปเที่ยวป่ากัน” เสื้อผ้าในมือร่วงผล็อย

   “ฮะ!! คุณไฟว่ายังไงนะ” ผมคงหูฝาดไป คุณไฟเนี่ยนะจะไปเที่ยวป่า

   “ก็บอกว่าจะไปเที่ยวป่าไง ตกใจอะไรนักหนา” คุณไฟขึ้นเสียงกลับมาทันที จะตกใจก็เพราะคุณไฟจะไปป่านี่แหละครับ ขืนไปไฟก็ไหม้ป่าหมดสิ แหะๆ ยังมีอารมณ์เล่นมุกอีกนะ ผมวางเสื้อผ้า แล้วหันมามองหน้าคุณไฟอย่างจริงจัง

   “คุณไฟจะไปจริงเหรอครับ”

   “เออสิ มีปัญหาอะไร”

   “ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ เข้าป่านี่ลำบากนะครับ ไม่ได้สบายเหมือนไปเดินห้าง”

   “รู้น่า” ตอบกลับอย่างรำคาญ

   “คนอื่นไปได้ ฉันก็ไปได้สิ ทีนายยังไปกับเพื่อนได้เลย” ผมถอนหายใจมันเหมือนกันที่ไหนล่ะครับ คนที่ทั้งอึด ทั้งถึก คูลๆ ง่ายๆ อย่างผมไปไหนก็ได้ แต่คนที่ไม่เคยลำบากอย่างคุณไฟนี่สิ จะไปอยู่ยังไงผมยังนึกภาพไม่ออก

   “ไปแล้วงอแงกลับกลางทางไม่ได้นะครับคุณไฟ”

   “ฉันไม่ใช่เด็ก” คำตอบห้วนๆ หน้าบึ้งๆ บูดสนิท ครับๆ ไม่เด็กเล้ย เฮ้อ!

   ผมทั้งกล่อม ทั้งไซโคสารพัดแต่คุณไฟก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ พออ้างคุณหญิงก็บอกว่าท่านอนุญาตแล้ว เลยหมดปัญญาจะทัดทาน ดื้อจริงๆ ลูกใครวะ ผมทำได้แค่ถอนหายใจ แล้วเตรียมซื้อของ เตรียมยา จัดเสื้อผ้าเช็คความพร้อมให้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเผื่อไปทุกอย่างเพราะไม่อยากให้คุณไฟไปอาละวาดกลางป่า เดี๋ยวสัตว์ป่าจะตกใจกันไปซะหมด

   พอถึงวันเดินทาง ผมค่อนข้างแปลกใจ เพราะเพื่อนๆ กลุ่มนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อน พอถามคุณไฟก็บอกว่าเพิ่งรู้จักและไม่มีคำอธิบายหรือขยายความเพิ่มเติม แต่ดูเป็นผู้เป็นคนกว่ากลุ่มไฮโซที่เคยคบกันอีกครับ

   ระหว่างเดินทางเข้าป่า คุณไฟอดทนได้อย่างน่าแปลกใจ ถึงหน้าจะบูดยิ่งกว่าอาหารค้างปี แต่ก็ไม่ปริปากบ่นอะไรมาสักคำจนผมรู้สึกทึ่งเป็นที่สุด อยากจะปรบมือให้แล้วชมว่าเก่งมาก แต่กลัวถูกถีบลงข้างทางซะก่อน

   เพื่อนคุณไฟมีประมาณ 10 กว่าคน แต่ละคนอัธยาศัยดีและเป็นกันเองมาก ขนาดเดินทางกันยังไม่ถึงจุดหมายก็ชักจะสนิทกันรวดเร็วเหมือนรู้จักกันมาหลายปี โดยเฉพาะพี่นนท์ที่เข้ามาชวนคุยมากกว่าคนอื่น เพื่อนๆ พี่แกก็มองมาอย่างล้อเลียนจนผมรู้สึกตงิดๆ พิกล ส่วนคุณไฟก็ฮึดฮัดมองมาตาขวางอย่างกับจะแดกหัวเราสองคน แต่ก็ยังไม่ออกฤทธิ์ออกเดชอะไรอย่างที่นึกกลัว

   เราเดินทางมาถึงจุดหมายในเวลาบ่ายๆ สถานที่ที่เรามาเป็นลานกว้างบนยอดเขาที่มองลงไปเห็นเมฆสีขาวลอยตัวเป็นแพสวยงามเหมือนปูพรม เห็นเพียงยอดเขาแต่ละลูกโผล่มาให้เห็นลิบๆ แต่ละคนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไว้ คนกางเต็นท์ก็กางไป คนทำอาหารก็ทำไป พี่นนท์ไปอยู่กลุ่มทำอาหาร ก่อนไปก็มองตาละห้อยจนโดนเพื่อนตบหัวไปหลายที ผมไปช่วยกางเต็นท์ โดยมีคุณไฟคอยหยิบจับของยื่นให้อยู่ข้างๆ ไม่ห่าง ดูคุณไฟอารมณ์ดีขึ้น ผมรู้สึกดีใจที่คุณไฟรู้จักปรับตัวแบบนี้ รู้อย่างงี้ชวนเข้าป่าพร้อมมาด้วยกันก็ดีหรอก แต่คงยาก เพราะคุณหญิงคงไม่ปล่อยให้คุณไฟมาลำบากแบบนี้บ่อยๆ แน่ แค่ครั้งนี้อนุญาตให้มาผมก็รู้สึกอัศจรรย์ใจจะแย่แล้ว

   พอทำหน้าที่เสร็จเราก็ผลัดกันไปอาบน้ำที่ห้องน้ำรวมของทางอุทยาน ผมเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำใส่เป้ทั้งของตัวเองและของคุณไฟ เราสองคนเดินไปอาบน้ำพร้อมกัน พออยู่กับผมสองคนคุณไฟก็บ่นเป็นหมีกินผึ้ง ว่าทำไมผมถึงชอบมานัก ทั้งๆ ที่มันลำบากขนาดนี้ ผมได้แต่ยิ้มรับ แล้วแยกย้ายกันเข้าห้องน้ำ

   เราก่อกองไฟย่อมๆ ล้อมวงกินข้าวด้วยกัน พอกินข้าวเสร็จก็นั่งดีดกีต้าร์ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน โดยมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นมาร่วมวงด้วย พี่นนท์ร้องเพลงไปมองมาที่ผมไป ฟังความหมายของเพลงนี่ชัดเลยครับ ผมไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ว่าพี่แกกำลังจะสื่ออะไร ไหนจะเพื่อนๆ ที่โห่แซวมาเป็นระยะ ถ้ายังไม่เข้าใจก็คงต้องไปกินหญ้าแล้วละ

   แต่ผมละแปลกใจจริงๆ ว่าพี่แกมาสนใจผมได้ยังไง ผมไม่ใช่ผู้ชายอ้อนแอ้นบอบบางอะไร ถึงจะสูงไม่เท่าคุณไฟ แต่ก็สูงอยู่ในระดับมาตรฐาน สูง 175 นี่ก็ไม่ถือว่าตัวเล็กมั้ง ผิวก็ไม่ได้ขาวจัดเพราะไปช่วยลุงเชิดทำสวนบ่อยๆ กล้ามเนื้อก็พอมีตามประสาคนทำงานหนัก หน้าตาก็ออกจะธรรมดาๆ แต่เพื่อนมันเคยบอกว่าผมสีน้ำตาล และตาสีน้ำตาลอ่อนที่ได้มาจากแม่ทำให้หน้าดูอ่อนโยน น่าเข้าใกล้

   ส่วนคุณไฟสูงเกือบ 190 ได้ ผมสีดำขลับ นัยน์ตาดำวาววับ ผิวขาว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางที่ชอบเม้มแน่นตลอดเวลา รูปร่างดีเพราะชอบออกกำลังกาย จัดว่าเป็นคนหล่อมากๆ คนหนึ่งเลย การันตีได้จากคู่ควงหลายคนที่เปลี่ยนบ่อยจนผมจำหน้าไม่ได้ และจากสายตาสาวๆ กลุ่มอื่นๆ ที่ลอบมองและทอดสายตามาบ่อยๆ เสียแต่ชอบมองคนเหยียดๆ ท่าทางไว้ตัวเข้าถึงยาก ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

   ฟังเพลงไปก็ขำไป มีผู้ชายตัวควายๆ ร้องเพลงจีบ นี่กูควรอายไหม ถามใจดู ถ้าน่ารักอย่างน้องญาญ่าก็ว่าไปอย่าง ผมไม่ได้ถือสาอะไรหรอกครับ เพื่อนที่ชอบผู้ชายก็รู้จักหลายคน แต่ละคนนิสัยดี เป็นคนดี แค่รสนิยมไม่เหมือนคนอื่นเท่านั้นเอง ปล่อยให้พี่แกจีบไป ถ้าผมไม่เล่นด้วย เดี๋ยวพี่แกก็เลิกไปเอง มีแค่คุณไฟนี่แหละ ที่นั่งตาขวาง ทำเสียงฮึดฮัดอยู่ข้างๆ จนผมต้องแตะแขนปรามๆ กลัวท่านอาละวาดจริงๆ ครับบอกตรงๆ

   ผมเข้าใจว่าคุณไฟน่าจะหวงผม เพราะคุณไฟเป็นคนหวงของ ผมที่โตมาด้วยกันก็คงเป็นเหมือนสมบัติอย่างหนึ่งที่คุณไฟหวงก็เป็นได้

   พอเริ่มดึกก็แยกย้ายกันไปนอนในเต็นท์ที่ตั้งกระจายอยู่รอบๆ ผมนอนกับคุณไฟสองคน ผู้ชายตัวใหญ่ๆ สองคนอยู่ในเต็นท์เดียวกันก็ทำให้เต็นท์แคบไปถนัดตา อากาศหนาวๆ นี่อบอุ่นขึ้นมาเลยครับ กำลังเคลิ้มๆ จะหลับ แต่คุณไฟพลิกไปพลิกมาจนผมอดจะถามทั้งที่สะลึมสะลือไม่ได้

   “เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณไฟ”

   “นอนไม่หลับ”

   “อึดอัดรึเปล่าครับ ให้ผมไปนอนที่อื่นไหม”

   “ไม่” คุณไฟตอบกลับมาทันควัน เสียงดังจนผมเผลอยกมือปิดปากไว้ คุณไฟจับมือผมไว้แล้วมองตานิ่งๆ ในความมืด ผมถอนหายใจก่อนจะปล่อยมือออก

   “ไปดูดาวกันไหม” ผมทำหน้าประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าคำถามนี้จะออกมาจากปากคนตรงหน้า

   “ได้สิครับ” ผมตอบรับ เพราะถ้าคุณไฟนอนไม่หลับ ผมก็คงจะนอนไม่หลับไปด้วย เราสองคนจึงออกมานั่งที่หน้าเต็นท์แล้วแหงนมองดาวที่ดารดาษเต็มท้องฟ้า

   “สวยนะ” เสียงของคนข้างๆ ทำให้ผมประหลาดใจได้อีกครั้ง จนต้องหันไปมองหน้ายิ้มๆ

   “อะไร” เจ้าตัวคงรู้สึกว่าถูกมองจึงหันมาถามเสียงเขียว ผมหัวเราะเบาๆ

   “วันนี้คุณไฟแปลกๆ”

   “แปลกตรงไหน ฉันก็เป็นแบบนี้ปกติ” ผมหัวเราะขำอย่างไม่เกรงใจ

   “ไม่รู้สิครับ ดูคุณไฟโรแมนติกแปลกๆ”

   “พูดมาก เงียบไปเลย” พอเงียบไปสักพักคุณไฟก็ถามมาใหม่

   “ไปเรียนด้วยกันไม่ได้เหรอ” ผมถอนหายใจ ตอบทั้งที่ยังแหงนมองดาว

   “เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ผมให้ไม่ได้ครับคุณไฟ เรื่องเรียนมันคืออนาคตของผม มันเป็นสิ่งที่ผมจะต้องอยู่กับมันไปจนตลอดชีวิต ผมอยากอยู่กับสิ่งที่ผมรัก มันจะทำให้ผมมีความสุขมากกว่าต้องฝืนใจ คุณไฟเข้าใจไหมครับ” คนข้างๆ เงียบไป ผมหันไปมองแล้วถามด้วยความห่วงใย

   “แล้วคุณไฟล่ะครับ แน่ใจแล้วเหรอว่าจะเรียนในสายที่คุณหญิงต้องการ แน่ใจไหมครับว่าคุณไฟจะมีความสุข” คุณไฟหันมาสบตากับผม แล้วถามกลับ

   “ฉันเลือกได้เหรอ” ฟังแล้วหัวใจหนักอึ้ง เพราะรู้บทสรุปของเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ถึงคุณไฟจะดื้อรั้น เอาแต่ใจขนาดไหน มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวเหมือนกันที่คุณหญิงอินทิราไม่ยอมลงให้คุณไฟ เธอทำทุกวิถีทางทั้งอ้อนวอน ทั้งขู่ ทั้งบังคับจนคุณไฟต้องยอมแพ้ เรานั่งกันอยู่เงียบๆ สักพักผมก็ชวนคุณไฟเข้านอน เพราะโดนน้ำค้างนานๆ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา
   

   พอรุ่งเช้า แต่ละคนก็แยกย้ายกันทำหน้าที่ตัวเองเหมือนเดิม ผมรู้สึกเพลียเล็กน้อย เพราะเก็บสิ่งที่คุยกับคุณไฟไปคิดจนนอนไม่หลับ พอๆ กับคุณไฟที่ตื่นมาขอบตาคล้ำคู่กันเหมือนช่วงช่วงกับหลินฮุ่ย พอกินข้าวกันเรียบร้อยแล้ว โปรแกรมในช่วงเช้าคือเดินไปน้ำตกและส่องนกในป่ากัน โดยมีเจ้าหน้าที่อุทยานนำทาง ผมเตรียมของบางอย่างใส่เป้สะพายหลังไป ทั้งน้ำ มีดพก ไฟแช็ค ไฟฉาย ยาแก้ไข้ แก้แพ้ แก้ปวดท้อง ฯลฯ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าขนหนู กับเสื้อผ้าเผื่อเปลี่ยนอีกคนละชุด เผื่อนั่นเผื่อนี่จนเต็มกระเป๋าเท่าที่จะแบกไหวและไม่เป็นภาระมากนัก? (เอิ่ม...)

   ระหว่างเดินป่า เราก็พยายามคุยกันเบาๆ เพื่อไม่ให้สัตว์ป่าตกใจ พี่นนท์ก็เดินมาอยู่ใกล้ๆ แล้วคอยเล่าโน่นเล่านี่ให้ฟังเป็นระยะ พอคุยกับคนคอเดียวกันมันก็อดจะลืมตัวไม่ได้ บางทีพอกระซิบเสียงเบาไปก็เงี่ยหูฟังจนหัวแทบจะโขกกัน คุณไฟก็กระตุกเป้จนแทบจะหงายเงิบทุกครั้ง ได้มาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้ผมโคตรมีความสุขเลยครับ รู้สึกผ่อนคลายและเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ของสังคมเมือง ผมถึงชอบหนีมาเที่ยวป่ากับเพื่อนๆ ประจำ

   เราเดินไปไม่ไกลนึกก็ถึงน้ำตกแต่ละคนถอดเสื้อผ้าแล้วลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน พอเจอน้ำเย็นๆ คุณไฟก็ดูอารมณ์ดีขึ้น ยิ้มง่ายขึ้นจนสาวๆ มาล้อมหน้าล้อมหลัง ผมยืนมองขำๆ ระหว่างนั้นพี่นนท์ก็เข้ามาใกล้ๆ แล้วถามขึ้น

   “น้องดิน พี่ถามจริงๆ เถอะ” ผมหันไปมองหน้าพี่นนท์แล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงให้พูดต่อได้เลย

   “น้องดินกับน้องไฟนี่เป็นแฟนกันเหรอ” ผมขำพรืด แล้วอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้

   “ไม่ใช่หรอกครับ ผมเป็นแค่เด็กรับใช้ในบ้านของคุณไฟ พี่ดูยังไงว่าเราเป็นแฟนกัน แค่คิดก็ขนลุกแล้วเนี่ย” ผมลูบแขนประกอบคำพูดไปด้วย

   “ก็ดูน้องสองคนสนิทกัน แล้วน้องไฟก็หวงน้องดินมาก” ผมยิ้มๆ แล้วหันไปมองคุณไฟที่อยู่ท่ามกลางสาวๆ

   “พอดีเราโตมาด้วยกันครับ ก็เลยดูสนิทกัน คุณไฟมีแฟนแล้วครับ” หลายคนด้วย เจอแต่ละทีไม่เคยซ้ำหน้าอีกต่างหาก อันนี้คิดในใจ หันมามองพี่นนท์ก็เห็นยิ้มหน้าบาน อ่า ผมคิดผิดรึเปล่าครับที่พูดความจริงออกไป

   “ว่าแต่... ผมอยากรู้ว่าคุณไฟมารู้จักกับพี่นนท์ได้ยังไงครับ เพื่อนคุณไฟทุกคนผมรู้จักดี ผมมั่นใจว่าไม่เคยเจอพี่นนท์มาก่อนแน่ๆ” ผมรีบตัดบทก่อนที่จะโดนจีบอีก

   “อ๋อ นี่น้องไฟไม่ได้บอกน้องดินเหรอว่า...”

   “ดิน!” พอหันไปมองก็เห็นคุณไฟมองมาตาเขียว คุณไฟว่ายมาหาผม แล้วลากขึ้นไปกินบนบก เอ๊ย! ลากขึ้นบก อดเลยครับ อดเล่นน้ำต่อ แต่ไม่เป็นไร แช่น้ำนานๆ ก็ไม่ดีต่อสุขภาพ กัดฟันพูดมากครับ บอกตรงๆ

   คุณไฟกัดฟันกรอดๆ จนผมเป็นห่วงว่าฟันจะสึก แต่ก็ไม่ออกฤทธิ์เดชอะไรนอกจากจับข้อมือผมจนแน่นจนผมนิ่วหน้า ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกไป ให้คุณไฟได้ระบายอารมณ์กับผมดีกว่าให้ระเบิดกับคนอื่น

   ขากลับคุณไฟจับแขนผมเดินด้วยสีหน้าบูดสนิท แผ่รังสีอำมหิตจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ คนที่อยู่ในรัศมีเงียบกริบจนแทบจะได้ยินเสียงนกร้อง นี่ถ้าปล่อยมือออก ข้อมือผมคงเป็นรอยนิ้วมือแน่นอน

   พอไปถึงที่พักก็แยกย้ายกันเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ระหว่างที่คุณไฟไปเข้าห้องน้ำอยู่พี่นนท์ก็เดินมาหาผม ผมอดจะถอนหายใจไม่ได้ ยังไม่เข็ดอีกนะพี่

   “คือ พี่ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”

   “ได้สิครับ” คงถึงเวลาต้องพูดกันอย่างจริงจังซะที

   “ไปคุยกันตรงนั้นไหม” พี่นนท์เดินนำผมไปอีกฝั่งที่เงียบๆ หน่อย ผมเดินตามไปโดยที่ยังสะพายเป้ไว้ข้างหลัง เพราะขี้เกียจวาง อีกอย่างผมเก็บของใกล้จะเสร็จแล้ว จะได้รีบกลับบ้านกันซะที

   “ดิน คือ พี่บอกตรงๆ เลยนะ ว่าพี่ชอบดิน ถึงจะเจอกันเวลาสั้นๆ แต่พี่ก็มั่นใจว่าชอบจนอยากจะใช้เวลาในการทำความรู้จักกับดินให้มากกว่านี้ พี่ขอโอกาสได้ไหม” พูดจบก็จ้องหน้าผมนิ่งๆ อย่างจริงจัง จนผมต้องถอนหายใจอีกรอบ

   “ผมก็ขอบอกตรงๆ ว่าผมคิดกับพี่แค่พี่ชายครับ ไม่ได้รู้สึกอะไรไปมากกว่านั้น ผมต้องขอโทษด้วยที่ต้องปฏิเสธพี่ แต่ผมไม่อยากให้พี่มาเสียเวลากับผม ผมขอโทษด้วยนะครับ” พูดจบผมก็ก้มหัวขอโทษพี่นนท์ไป

   “เฮ้อ! ถึงทำใจไว้บ้างแล้ว แต่ก็อดใจหายไม่ได้ว่ะ แต่ก็ขอบคุณที่พูดตรงๆ งั้นถ้าพี่ขอติดต่อในฐานะของพี่ชายจะได้ไหม ดินรังเกียจรึเปล่า” พี่นนท์ฝืนยิ้มให้แล้วยื่นมือมาให้ผม ผมยื่นมือไปจับแล้วเขย่า

   “ได้สิครับ พี่ชาย” พี่นนท์ดึงผมมากอดโดยไม่ให้ตั้งตัวแล้วขยี้ผมหนักๆ อย่างมันเขี้ยวจนผมดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขน

   “โอ๊ย! เบาๆ สิครับ เดี๋ยวผมเสียทรงหมด” แล้วเราก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนที่ผมจะถูกดึงออกจากอ้อมกอดพี่นนท์ แล้วพี่นนท์ก็โดนต่อยจนล้มลง

   “พี่นนท์!” ผมร้องด้วยความตกใจ พอเห็นคุณไฟจะไปซ้ำ ก็รีบไปรั้งแขนคุณไฟไว้

   “คุณไฟ หยุด! คุณไฟไปทำร้ายพี่เขาทำไม”

   “ห่วงมันนักรึไง ชอบมันรึไง ฮะ!” คุณไฟจับไหล่ผมเขย่าจนหัวคลอน ก่อนจะผลักจนล้มลง แล้วเดินหนีไป พี่นนท์ลุกมาพยุงผมลุกขึ้น ผมรู้สึกแสบหัวเข่าเพราะตอนล้มคงไปครูดกับก้อนหินเข้า

   “ไม่เป็นไรครับพี่นนท์ ผมขอตามไปดูคุณไฟก่อน ตรงนั้นมันจุดอันตรายนี่ครับ” พูดจบก็รีบตามไปโดยไม่ได้ฟังคำตอบจากพี่นนท์

   “คุณไฟครับ คุณไฟหยุดก่อน ตรงนั้นมันอันตราย” ผมวิ่งไปทันแล้วดึงแขนคุณไฟไว้ คุณไฟสะบัดออกทันที

   “ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน จะไปไหนก็ไป ถ้าห่วงมันมากจะไปหามันก็ไป”

   “คุณไฟเป็นอะไรครับ” ผมถามด้วยความงงจริงๆ พักนี้คุณไฟอาการแปลกๆ จนผมตามไม่ทัน

   “นายชอบมันรึเปล่า” ด้วยความมึนผมยังไม่ทันตอบคุณไฟก็จับผมเขย่าอีกรอบ

   “ฉันถามว่านายชอบมันรึเปล่า! ตอบมาสิ ตอบ!!!”

   “โอ๊ย! คุณไฟหยุดก่อนผมมึน ไม่ชอบครับ ผมไม่ได้ชอบพี่นนท์”

   “โกหก! แล้วไปอยู่ใกล้มันทำไม ให้มันกอดทำไม จะให้ท่ามันใช่ไหม ทำไมใจง่ายอย่างนี้!”

   “คุณไฟ!” ผมชักจะโมโหกับคำพูดที่พูดอะไรไม่คิด

   “ทำไม ฉันพูดแทงใจดำล่ะสิ” สีหน้าคุณไฟตอนนี้กวนอวัยวะเบื้องล่างอย่างที่สุด นี่ถ้าเป็นคนอื่นคงได้ฟาดกันไปสักตั้งแล้ว

   “คุณไฟ! พูดอะไรนึกถึงใจคนฟังบ้างสิครับ กับผมไม่เป็นไร ถ้าพูดกับคนอื่นนี่เป็นเรื่องเลยนะ คุณไฟหัดคุมอารมณ์บ้างสิ ต่อไปจะอยู่ในสังคมยังไง?”

   “ทำไมฉันต้องแคร์ สังคมอะไรฉันไม่ต้องการ ฉันอยู่คนเดียวได้ นายมันก็แค่คนใช้ ไม่ต้องมาสั่งสอน คิดว่าฉันต้องง้อนายรึไง จะไปไหนก็ไป คนอย่างนายฉันไม่ต้องการ!” ผมยืนอึ้งกับคำพูดที่ได้ยิน จนคุณไฟเดินไปข้างหน้า ผมใจหายวาบ เมื่อเห็นป้ายจุดอันตรายอยู่ข้างหน้า

   “คุณไฟระวัง!” ผมรีบไปคว้าแขนคุณไฟไว้ แล้วคุณไฟเผลอสะบัดแขน ผมรู้สึกวูบโหวง เมื่อเท้าเหยียบตะไคร่น้ำลื่นจนเสียหลักบวกกับเป้ที่อยู่ข้างหลังรั้งไว้ทำให้เสียการทรงตัวจนหงายหลังลงไป

   “เฮ้ย!” พอได้ยินเสียงอุทานคุณไฟหันมาทันที ผมเห็นสีหน้าคุณไฟตกใจสุดขีดก่อนจะรีบเอื้อมมือมาจะคว้ามือผมไว้ ชั่วขณะที่มือจะสัมผัสกัน ผมนึกขึ้นได้ว่าถ้ารั้งไว้จะต้องตกไปทั้งคู่แน่ๆ ผมเลยกำมือไว้ เอ่ยคำลา แล้วยิ้มให้อย่างปลอบโยน ถือเป็นการทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับทุกคน ปกป้องคุณไฟไว้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปล่อยให้ร่างร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่าง แล้วหลับตายอมรับกับความตายที่กำลังจะมาเยือน


   “ดิน! ม่ายยยยยยยยยยย!!!”


*******************************

บอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่สายดราม่าค่า อาจจะเครียดๆ นิดหน่อยตอนปูเรื่อง (คนเขียนนี่แหละเครียด ถถถ)
ต่อไปคงไม่เครียดแล้ว... มั้งคะ แหะๆ ใครจะรู้ว่าตัวละครจะพาไปทางไหน จริงไหม (ถามใคร?)
:hao3:

ฝากน้องดินของเราไว้ด้วยนะคะ
แค่แวะมาอ่านบ้าง เม้นท์หน่อยก็ดีใจมากแล้วค่ะ
ขอบคุณค่า

:3123: :3123: :3123: :3123: :3123:

ส่วนอันนี้น้องกีฏะลูกชายคนแรก
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58101.0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อย่าบอกว่า...แล้วดินก็ไปโผล่ที่มิติอื่น ฮา

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จุดเปลี่ยนนิสัยของไฟแน่ๆ

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
บทที่ 3 หัวใจอัคคีกับความในใจคุณหญิงอินทิรา

หัวใจอัคคี

   ตั้งแต่วันที่ดินจากไปผมก็เหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ

   ผมมองรอบห้องของดินด้วยความโหยหา ห้องที่ว่างเปล่า ไร้เงาของดิน

   วันที่เกิดเหตุ ผมแทบจะกระโดดตามดินไป เพราะถ้าไม่มีดิน ต่อให้อยู่ไปก็เหมือนไร้ความหมาย แต่เพื่อนที่ไปด้วยกันวิ่งมาดูซะก่อนเลยรั้งไว้ทัน หลายคนช่วยกันยึดผมไว้แน่นทำให้ผมไม่สามารถทำได้อย่างใจปรารถนา ไม่อย่างนั้นป่านนี้ผมคงได้ไปอยู่กับดินแล้ว

   ตั้งแต่จำความได้ผมก็มีดินอยู่เคียงข้างมาเสมอ เพราะพ่อทำแต่งาน แม่ก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านออกแต่งานสังคม ปล่อยให้นมชื่นเลี้ยงผมมาพร้อมกับดินหลานกำพร้าของท่าน

   ตอนเด็กๆ แม่บอกผมว่าเป็นเพราะดิน ทำให้พ่อไม่รักผม แม่บอกให้ผมเกลียดดินมากๆ ผมจึงชอบแกล้งและทำร้ายดินมาตลอด เพื่อให้แม่พอใจและสนใจผมบ้าง แต่ก็เรียกร้องความสนใจได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว แล้วแม่ก็ทิ้งผมไว้เหมือนเดิม ส่วนดินก็ไม่เคยโต้ตอบกลับมาเลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่ปัดป้อง ซ้ำยังมีแต่ความปรารถนาดีคอยอยู่เคียงข้างตลอดทั้งยามสุขยามทุกข์ ผมจึงยึดดินเป็นสมบัติของผมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

   จนเมื่อไม่นานมานี้เอง ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าความรู้สึกที่มีต่อดิน คือ ความรัก รักที่ไม่ใช่แบบพี่น้อง แต่รักเหมือนคนที่อยากได้มาครอบครองเป็นแค่ของผมคนเดียวตลอดไป

   แต่ด้วยความสับสนและหวาดกลัว ทำให้ผมพยายามปฏิเสธความรู้สึกตัวเอง ด้วยการควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า หลอกแม้กระทั่งตัวเองว่ายังปกติ ยังไม่มีรสนิยมเบี่ยงเบนแต่อย่างใด

   ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหวงดินจนแทบบ้า ใครเข้ามาใกล้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายผมก็แทบคลั่ง จนได้มาฟังคำทำนายของหมอดูที่คุณแม่เชิญมาที่บ้าน ที่จริงผมไม่ได้อยากอยู่ฟังหรือรับรู้สักนิด แต่ผมมีข้อแลกเปลี่ยนกับคุณแม่ว่าจะขอไปเที่ยวป่ากับดิน จึงยอมอยู่บ้านแต่โดยดี หลังจากดูดวงให้แม่แล้วหมอดูคนนั้นก็หันมาดูดวงให้ผม แม่เขียนวันเดือนปีเกิด เวลาตกฟากให้ คนตรงหน้าก็เอาไปขีดๆ เขียนๆ บน iPad สักพักก็หันมาบอกผม

   “อนาคตจะได้เป็นเจ้าคนนายคน มีคนนับหน้าถือตามากมาย” คุณแม่ฟังแล้วยิ้มหน้าบาน หมอดูคนนั้นเงียบไปสักพัก ก่อนจะสบตาผมนิ่งๆ

   “แต่จะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไป” หัวใจผมวูบโหวงขึ้นมาทันที ระหว่างที่เขาขอตัวไปเข้าห้องน้ำผมก็ไปดักรอที่หน้าห้องน้ำ

   “มีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่าครับคุณอัคคี”

   “ถ้าไม่อยากเสียไปต้องทำยังไง” คนตรงหน้าเพียงแค่ยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะตอบ

   “ความรักความผูกพัน สามารถยึดเหนี่ยวใจเอาไว้ได้ ใจอยู่ที่ไหน ตัวก็จะอยู่ที่นั่น แล้วคุณอัคคีผูกไว้แน่นหนาพอรึเปล่าล่ะ” พูดจบก็เดินจากไป ก่อนที่จะได้เจอกับดิน และทิ้งคำทำนายที่ทำเอาผมแทบคลั่ง

   “นายเป็นของฉัน” ผมพึมพำออกมาเบาๆ สายตายังคงมองตามแผ่นหลังของดินแน่วแน่

   “ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้นายไปไหนเป็นอันขาด!!!”

   แต่ผมก็ยังทำดินหลุดมือไป

   ผมพยายามขอร้องให้เจ้าหน้าที่อนุญาตให้ลงไปค้นหาดิน ไม่ว่าเสียเงินเท่าไหร่ผมก็ยอม แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าข้างล่างเป็นเหวลึกและชันมาก คนที่ตกลงไปยังไงก็ไม่มีทางรอด และมันอันตรายเกิดกว่าจะให้ใครลงไปเสี่ยงชีวิตด้วย เมื่อคุณพ่อเดินทางมาถึง คุณพ่อกอดผมเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ผมขอร้องให้พ่อมาช่วยพูดกับเจ้าหน้าที่ให้ แต่ก็ยังได้รับคำตอบเหมือนเดิม

   งานศพของดินจึงจัดขึ้นด้วยโลงเปล่าๆ ไร้แม้กระทั่งร่างที่จะนำมาสวด เพื่อนๆ ของดินและอาจารย์ที่โรงเรียนมาร่วมงานอย่างมากมาย แสดงให้เห็นว่าดินเป็นที่รักของทุกคนแค่ไหน บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความเศร้าโศก แม้แต่ในบ้านก็เต็มไปด้วยความหดหู่ เราเพิ่งจะเสียนมชื่นไป ตอนนี้ก็ต้องมาจัดงานศพของดินต่อกันอีก คนในบ้านซึมกันไปหมดไม่เว้นแม้แต่คุณพ่อ
 
   ผมไม่น่าชวนดินไปเลย เพราะเห็นดินยังคงเสียใจเพราะการจากไปของนมชื่น ถึงภายนอกจะดูร่าเริงสดใสดี แต่บางวันผมยังเห็นดินเข้าไปในห้องของนมนานๆ พอไปแอบดูก็เห็นดินแอบร้องไห้ ผมเลยหาทางติดต่อกับชมรมเดินป่า เพื่อจะพาดินไปผ่อนคลายบ้าง ไม่คิดเลยว่าจะเป็นที่ที่เราได้อยู่ด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย

สิ่งที่ติดตาที่สุดคือคำพูดที่เอ่ยออกมาจากปากของดินพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยน

“อย่าโทษตัวเอง”

“ขอให้มีความสุข”

จะมีความสุขได้ยังไง ในเมื่อมือคู่นี้ทำร้ายหัวใจตัวเองกับมือ
จะมีความสุขได้ยังไง ในเมื่อหัวใจได้ตายจากไปแล้ว
ผมได้แต่ซบหน้าลงกับฝ่ามือแล้วร้องไห้ออกมาเหมือนคนที่หัวใจแหลกสลาย

*********************************************************

สมน้ำหน้า เอ๊ย! น่าสงสารเนอะ ถถถ รักใครให้ดื่มนม เอ๊ย! ให้ทำดีด้วยมากๆ ค่ะ ก่อนที่จะ ‘สายเกินไป’ หึๆๆ (หัวเราะแบบชั่วร้าย)

 :laugh: :laugh: :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Mynun

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
เห้ย ดินจะไปผจญภัยในวันเดอแลนด์แล้วป่ะ 5555555
ต่อๆค้าง
ชื่อเรื่องเหมือนแนวแฟนตาซีเลย #หรือเราคิดไปเอง :katai4:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
แล้วดินไปไหนเนี่ย ถ้าจะรอดแล้วจะไปเรียนต่อยังไง มาแต่ตัวเอกสารสำคัญไรก็ไม่มี
แต่แอบคิดว่ารอดนะ
ถ้าไม่รอดจะไปเกิดใหม่แล้วสิงร่างคนอายุใกล้เคียง กับตัวเองตอนตายแล้วมาบังเอิญเจอกันใหม่ป่าว #มโนหนักมากล่วงหน้าคนเขียนไปแล้วค่ะ

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
ความในใจของคุณหญิงอินทิรา

   ฉันมองเก้าอี้ข้างกายด้วยแววตาที่ว่างเปล่า คนรับใช้เพิ่งมาบอกว่าสามีและลูกของฉันยังไม่หิว จึงไม่ลงมาทานข้าวด้วย ฉันลงมือรับประทานอาหารเงียบๆ เพียงลำพัง อีกทั้งยังรู้สึกเจริญอาหารมากกว่าปกติอีกด้วย

   จะผิดไหม ถ้าฉันจะบอกว่าฉันดีใจกับการจากไปของเด็กคนนั้น

   ‘ก้อนดิน’ เด็กที่ฉันตั้งชื่อให้ในวันนั้น เพื่อจะสื่อว่าเป็นเพียงสิ่งที่ไร้ค่า ไร้ความหมาย แต่ในวันนี้กลับมีอิทธิพลต่อลูกชายฉันที่สุด

   ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าไฟรู้สึกอย่างไรกับเด็กนั่น สายตาที่มองเหมือนกันไม่มีผิด

   เหมือนสายตาที่สามีเธอใช้มองนายชลลูกชายของแม่นมชื่น สายตาแห่งความรักและโหยหา


   ฉันถูกพ่อแม่จับคลุมถุงชนกับท่านทูตศรายุทธ เพราะคำสัญญาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าว่าถ้ามีลูกชาย ลูกสาวจะให้แต่งงานกัน แต่รุ่นพ่อของฉันเป็นชายทั้งคู่ คำสัญญานั้นจึงมาถึงรุ่นฉันที่สองครอบครัว มีหลานชายและหลานสาวพอดี ด้วยความที่ผู้หญิงสมัยก่อนไม่มีทางเลือกมากนัก และด้วยหน้าตาที่หล่อเหลา กิริยามารยาทเรียบร้อย รวมถึงชาติตระกูลที่เพียบพร้อมของเขา ทำให้ฉันเพ้อฝันไปว่าการแต่งงานจะทำให้ฉันมีความสุข

   จนกระทั่งฉันสังเกตได้หลังจากที่แต่งงานแล้ว ว่าสายตาของสามีที่มักจะมองไปยังนายชลลูกชายแม่นมชื่นนั้นมีความหมายว่ายังไง ฉันร้อนรนทุรนทุรายกับความผิดหวัง ฉันเสียใจจนแทบบ้า รู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนเก็บสิ่งที่รับรู้เอาไว้เพื่อรักษาหน้าตาของวงษ์ตระกูล

   ฉันเกลียดสามีที่มาหลอกแต่งงานกับฉันเพื่อบังหน้า เกลียดนายชลที่ได้รับความรักจากสามีฉันไป ทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะอะไรจึงโดนกระทบกระทั่งเสมอ จนนายชลตายไป ก็ยังทิ้งลูกไว้เป็นหนามแทงใจฉันอีก

   ในเมื่อฉันเจ็บ เด็กนั่นก็ต้องเจ็บด้วย ฉันจึงลงโทษเด็กนั่นเสมอเวลาที่ทำอะไรไม่ถูกใจ ทั้งทุบ ทั้งตีด้วยมือ ฟาดด้วยไม้เรียว เคยแม้กระทั่งตบหน้า แต่ลูกชายฉันเห็นแล้วอาละวาดหนัก ฉันจึงเปลี่ยนไปทำในร่มผ้าที่มองไม่เห็นแทน

   ฉันเกลียดเด็กนั่นที่สามีเอ็นดูยิ่งกว่าลูกตัวเอง ฉันพยายามยัดเยียดและปลูกฝังให้ลูกเกลียดไปด้วย แต่ด้วยความที่อยู่บ้านแล้วฉันไม่เคยมีความสุข ฉันจึงออกไปงานสังคมตลอด ไปในที่ที่ฉันรู้สึกมีค่า มารู้ตัวอีกที ลูกชายก็สนิทกับแม่นมชื่นและเด็กก้อนดินยิ่งกว่าฉันไปซะแล้ว

   ฉันแทบคลั่ง เมื่อรู้ว่าลูกชายคนเดียวของฉันรักเด็กนั่น รับรู้จากสายตาที่ลอบมองยามเด็กนั่นไม่รู้ตัว เห็นจากการกระทำที่หวงแหน และเห็นไฟแอบจูบหน้าผากยามเด็กนั่นเผลอหลับไป

   เด็กนั่นตายไปซะได้ก็ดี
   ถึงจะสงสารยามเห็นลูกเสียใจ
   แต่เชื่อเถอะ ว่าสักวันไฟก็จะลืม
   เหมือนกับที่ฉันลืมไปแล้ว ว่าความสุขมันเป็นยังไง
   
************************************

ถ้าถามว่าเรื่องนี้สงสารใครที่สุด ก็คงบอกว่าสงสารคุณหญิงเธอที่สุดค่ะ ถ้าเป็นเรา เราก็คงแค้นจนแทบกระอักเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นเรา เราก็คงจะไม่ทน ท่านทูตก็ท่านทูตเถอะ โดนเตะผ่าหมากแน่ๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ (บ้าไปแล้ว)

ส่วนน้องดินนั้น.... ปีหน้า เอ๊ย! ตอนหน้าเจอกันค่ะ

 :katai2-1:

ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ กอดรวบทุกคน

 :กอด1: :L2: :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-03-2017 14:54:15 โดย maneethewa »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เราเชื่อว่าทุกคนมีทางเลือกของตัวเอง (ในแต่ละปัญหา) ทางที่คุณหญิงเลือก (การทนอยู่) ทำให้ใจไม่เป็นสุข ทุรนทุราย แต่เธอก็ยังไม่คิดเปลี่ยนเส้นทาง ก็แสดงว่าเธอยอมรับที่จะอยู่กับความทุกข์แบบนั้นเอง โทษใครไม่ได้หรอก มองจากมุมของคุณหญิง เธอเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ถ้ามองจากมุมของคนอื่นที่เกี่ยวข้อง พวกเขาก็อาจจะเป็นฝ่ายถูกกระทำเหมือนกัน
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
บทที่ 4 ไข่เหี้ย???

   แสงแดดที่ส่องลอดใบ้ไม้ตกลงมากระทบใบหน้าทำให้รู้สึกแสบหนังหน้าจนผมต้องลืมตาตื่นขึ้นมา แต่ต้องหลับตาลงไปใหม่เมื่อเจอกับแสงที่จ้าจนเกินไป

   ผมค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมานั่ง แล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมนั่งทบทวนความทรงจำสักพักก็จำได้ว่าเพิ่งจะตกหน้าผาลงมา นี่ผมตายไปแล้วใช่ไหม? ว่าแต่ที่นี่สวรรค์หรือนรก?

   ผมลองขยับตัวดูก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย นอกจาก... ผมก้มลงมองแผลที่หัวเข่า ใช่! นอกจากเจ็บแผลตรงหัวเข่านี่แหละ หือ? ผมชักจะงงกับสถานะของตัวเอง

   เดี๋ยวนะ  ขอทบทวนสถานการณ์อีกรอบ ผมตกเหว -- ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีแผลไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่เจ็บปวดนอกจากเจ็บแผลตรงหัวเข่าที่ได้ก่อนตกเหว

   มันหมายความว่ายังไงวะ เอ๊ะ! หรือว่าผมจะฝัน? ผมลองหยิกแขนตัวเองดู อูย! เสือกหยิกแรงเกินไป เจ็บ!

   ผมนั่งเอ๋ออยู่สักพัก ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเพิ่งจะรู้ตัวว่ายังคงแบกเป้ใบเดิมอยู่ ผมมองไปรอบๆ ตัวอย่างงงๆ ด้านหน้าตัวผมคือต้นไม้สูงที่แผ่กิ่งก้านปกคลุมไปทั่วบริเวณจนดูครึ้ม มีเพียงบางจุดที่แสงลอดลงมาได้บ้าง บรรยากาศร่มรื่นสายลมพัดมาตลอดทำให้รู้สึกเย็นสบาย ด้านหลังห่างไปไม่กี่เมตรคือกำแพงหินที่เงยขึ้นมองแล้วสูงลิบ ขนาดมองจากตรงนี้ยังไม่เห็นยอด ผมคงไม่มีปัญญาปีนกลับขึ้นไปได้แน่ๆ

   ตรงหน้าผมมีอยู่จุดหนึ่งที่ภูเขานั้นเว้าเข้าไปเหมือนถ้ำแต่ไม่ลึกนักเพราะยังเห็นแสงสว่างกระทบถึง ความสูงไม่เกินอก ผมลองเดินเข้าสำรวจเผื่อเย็นนี้อาจจะใช้เป็นที่ซุกหัวนอนได้ เพราะนี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว

   ระหว่างที่เดินเข้าไปใกล้ สายตาก็มองไปที่จุดอื่นๆ ของภูเขาเผื่อมีอะไรน่าสนใจอีก ผมก้าวผ่านพุ่มไม้เตี้ยๆ ก่อนจะสะดุดอะไรสักอย่างจนล้มหน้าคว่ำ

   “เหี้ย!” ไอ้เป้ที่อยู่บนหลังนี่ทำเอาเสียศูนย์จริงๆ ให้ตายสิ! จะทิ้งก็ไม่ได้เพราะไม่รู้เมื่อไหร่จะกลับถึงข้างบนได้ คงจำเป็นต้องใช้ของในเป้อีกสักระยะนั่นแหละ ผมค่อยๆ ตะกายตัวลุกขึ้นมานั่งแล้วหันไปมองสิ่งที่ทำให้ผมล้มหัวทิ่มมาแบบนี้

   “เหี้ย!” สิ่งที่เห็นทำให้ผมอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ ‘ไข่’ ที่มีขนาดใหญ่กว่าลูกฟุตบอลได้ มันตั้งอยู่บนกองก้อนหินเล็กๆ ที่ยกขึ้นเป็นแท่นเหมือนฐานรองรับไข่เอาไว้ ส่วนปลายที่แหลมกว่าฐานตั้งอยู่ด้านบน

   “ไข่เหี้ยอะไรไรวะใหญ่ขนาดนี้” ผมเอามือแตะไปที่เปลือกไข่ มันเรียบและอุ่น ผมหันซ้ายหันขวาไปดูรอบๆ เพราะถ้ามีไข่ก็คงจะมีพ่อกับแม่มันอยู่แน่ๆ ไข่ใบใหญ่ขนาดนี้พ่อแม่มันคงตัวไม่เล็กหรอก ว่าแต่มันเป็นไข่อะไรวะ เกิดมายังไม่เคยเห็นไข่ที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ผมค่อยๆ ยกไข่ขึ้นมาพิจารณา เปลือกไข่สีออกเทาๆ พื้นผิวเรียบทั่วกันทั้งหมด ผมเขย่าเบาๆ ก็ได้ยินเสียงขลุกๆ เหมือนมีอะไรอยู่ข้างใน

   โครก!

   ผมชะงักเมื่อท้องร้องประท้วงขึ้นมา ก็ตั้งแต่กลับมาจากน้ำตกยังไม่ทันได้กินข้าวเที่ยงเลย เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองหิวมาก หิวจนน่าจะกินช้างได้ทั้งตัว แต่จะกินอะไรล่ะ อาหารก็ไม่มีมาด้วย

   ผมมองไข่ในมือ หึๆ ไข่เหี้ยอะไรไม่รู้ละ แต่ที่รู้ตอนนี้คือหิวมาก และสงสัยว่ามันแดกได้ไหม

   ไข่ทุกชนิด = กินได้

   ไข่เหี้ย? ก็น่าจะกินได้นะ

   ผมวางไข่เอาไว้ที่เดิม ก่อนจะเดินออกไปหากิ่งไม้เล็กๆ เอามาทำฟืน ระหว่างทางก็สังเกตรอยเท้าไปด้วย น่าแปลกที่ไม่มีรอยเท้าสัตว์อยู่แถวๆ นี้เลย พ่อแม่มันคงจะไข่ทิ้งไว้ล่ะสิ โถ น่าสงสาร มาเป็นอาหารพี่ซะดีๆ

   พอได้ฟืนมากพอที่จะเป็นเชื้อไฟได้ตลอดคืนนี้แล้ว ผมก็เอามากองไว้ใกล้ๆ ปากถ้ำ แล้วเริ่มหักฟืนเป็นชิ้นเล็กๆ เอาใบไม้แห้งๆ คั่นไว้ แล้วค้นไฟแช็คออกมาจากกระเป๋า จุดกับใบไม้ที่คั่นไว้จนไฟค่อยๆ ลุกขึ้นมา

   ผมหยิบฟืนเติมเข้าไปเรื่อยจนได้กองไฟกองใหญ่พอควรก็หันมามองไข่เจ้าปัญหาที่วางไว้ข้างๆ กองไฟตรงหน้า ผมจับมาพลิกๆ ดูอีกที กะว่าจะย่างให้ข้างในมันสุก แต่ต้องหาอะไรทุบก่อนไม่งั้นถ้าโดนความร้อน แรงดันข้างในคงทำให้ไข่ระเบิดแน่ ผมมองหาก้อนหินขนาดเหมาะมือ กำลังยกขึ้นจะทุบเปลือกไข่ด้านบน

   เปรี๊ยะ! หือ?

   เปรี๊ยะๆๆ เปลือกไข่ค่อยปริแตกจากด้านบนมาทีละนิด เอ หรือว่าเอาวางไว้ใกล้ไฟเกินไป

   แกร็บ!

   “เฮ้ย!” ผมอุทานอย่างตกใจจนหงายหลังเอามือค้ำพื้นไว้ เมื่อจู่ๆ ก็มีตีน เอ๊ย! เท้าทะลุเปลือกไข่ด้านบนออกมาข้างหนึ่ง

   แกร็บ! ก่อนที่มันจะผลุบเข้าไป แล้วถีบเปลือกไข่ออกมาอีกครั้ง จนเปลือกไข่ด้านบนแตกเป็นรูใหญ่

   ผมสบตากับไอ้ตัวที่อยู่ข้างใน ที่กำลังจ้องมาตาแป๋ว

   “ก๊าส” แถวนี้ไม่มีปั๊มแก็ส มึงไม่ต้องมาร้องหา ตึ่ง โป๊ะ! ยังจะมีอารมณ์เล่นมุกอีกนะตัวกู ตัวเหี้ยอะไรสักอย่างนี่กำลังเอาเท้าถีบเปลือกไข่ที่ล้อมตัวเองไว้ออกแต่ตายังจ้องมาเขม็งจนผมเผลอถดตัวถอยหลังไปเรื่อยๆ พอเปลือกไข่แตกจนเหลือแค่ฐาน มันก็กระโดดตุบลงมายืนพื้น

   “ก๊าส” โว๊ะ! บอกแล้วไงว่ากูไม่มีให้ ไปไกลๆ เลย

   “ชิ่วๆ” ผมส่งเสียงไล่มัน เพราะหน้าตามันไม่น่าคบ โดยเฉพาะฟันในปากของมันที่ดูคมกริบวาววับยิ่งโคตรไม่น่าคบเลยมึงอ่ะ แต่แทนที่มันจะไป มันกลับเอียงคอมอง ไม่ต้องมาทำแบ๊วเลยสาด ผมเตรียมตัวจะลุกขึ้นไปตั้งหลัก แต่ยังไม่ทันได้ขยับ ไอ้ตัวประหลาดตรงหน้ากลับวิ่งพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

   “แว้กกกกก! อย่าเข้าม๊า”

   ตุ้บ! มันกระแทกเข้าที่พุงผมอย่างแรงจนผมล้มตัวลงไปนอนหงายหลังคลุกดิน

   “โอ๊ย! มึงจะแดกกูเหรอ ม่ายยย ออกป๊ายยยย” ผมร้องอย่างโหยหวน พยายามปัดตัวมันออก แต่ทุกอย่างนิ่งสนิท เอิ่ม! ไม่เจ็บ แสดงว่าผมยังไม่โดนมันแดก ผมค่อยๆ ผงกหัวขึ้นมาดู ก็เห็นไอ้ตัวตรงหน้าเอาหัวซุกกับพุง มือ อ่า น่าจะเรียกว่าเท้าทั้งบนและล่าง เอ๊ะ! หรือหน้ากับหลังขยุ้มเสื้อไว้แน่น ก่อนจะเอาหัวถูกับพุงไปมา สาด มึงไม่ได้น่ารักเหมือนแมว ไม่ต้องมาอ้อน ว่าแต่ไอ้ท่านี้นี่อ้อน? หรือเปล่า?

   ผมกระพริบตามองมันปริบๆ คือ ณ ตอนนี้คืองงแดกมากครับ ทำอะไรของมึงฮึ พอถูจนพอใจ? มันก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมแล้วร้องอยู่คำเดิมๆ คือ

   “ก๊าส” ผมรู้สึกไปเองรึเปล่าว่าเหมือนน้ำเสียงมันจะมุ้งมิ้งแปลกๆ ร้องจบก็นอนราบเอาคางเกยพุงมองหน้าตาแป๋ว คือ มึงจะเล่นเกมจ้องตากับกูเหรอครับ บอกกูที

   พอจ้องตากันจนตาแห้ง มันก็ยังนิ่ง ผมเลยลองขยับตัว มันก็ยังนิ่ง เลยยันตัวลุกขึ้นนั่ง มันก็ขยับลงมานั่งตักพอดี แต่ยังคงเกาะเป็นลูกลิงอยู่เหมือนเดิม พอแน่ใจว่ามันไม่ได้ตั้งใจจะแดกผม ผมก็ทำใจกล้ายื่นมือไปแตะหัวมันเบาๆ เมื่อเห็นมันยังคงนิ่ง เลยลองลูบดู มันหลับตาพริ้มเอียงหัวซบกับฝ่ามือเหมือนฟินเต็มที่

   เอิ่ม! อย่าบอกนะว่ามึงคิดว่ากูเป็นแม่มึง? จากที่เคยดูสารคดีสัตว์โลกน่ารัก ไอ้ตัวอะไรก็ตามที่ออกจากไข่ สิ่งมีชีวิตที่มันเห็นเป็นอย่างแรก มันจะโมเมว่าเป็นแม่ไปซะหมด คือ มึงจะรู้ไหมว่ากูตัวผู้ กูก็มีไข่ กูเป็นแม่ให้ใครไม่ได้

   ว่าแต่ไอ้ตัวนี้นี่มันคือตัวอะไรวะ ผมเอามือไปจับซอกขาหน้า? แล้วดึงออกมา อย่าซุกพุงกูนาน เห็นฟันมึงแล้วกูเสียว เผลองับไปนี่ไส้ไหลได้เลยนะ ผมยกเจ้าตัวตรงหน้าขึ้นในระดับสายตาเพื่อพิจารณาดูอีกที หน้าตาอย่างนี้ผมมั่นใจว่าไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตแน่นอน

   ไอ้สัตว์ประหลาดตรงหน้ามีสีเขียวแบบ อืม... เรียกว่าสีเขียวมรกตละมั้ง เวลาโดนแสงแดดจะเป็นประกายวาววับ เท่าที่ลูบดูผิวเหมือนมีเกล็ดเล็กๆ แข็งๆ ปกคลุมอยู่ทั่วตัว ตรงกลางหลังมีปุ่มเล็กๆ สีดำเรียงตัวไล่ลงไปเกือบถึงหาง ปลายหางที่กำลังโบกไปมามีปลายแหลมๆ สีดำรูปร่างเหมือนรูปหัวใจ เท้าหน้ากับเท้าหลังสั้นกว่าลำตัวมีนิ้วอยู่ห้านิ้วปลายเล็บแหลมสีดำสนิท ตรงไหล่ด้านหลังมีปุ่มสองปุ่ม คล้ายๆ จะเป็นปีกเล็กๆ ยาวเท่านิ้วก้อย ระหว่างนิ้วเหมือนมีพังผืดยึดกันไว้ ตรงหัวมีครีบคล้ายๆ หูทั้งสองข้างและปุ่มปูดๆ สีขาวข้างหน้าเหมือนจะเป็นเขา ตากลมโตสีดำสนิทแต่ขอบตาดำเหมือนจะเหลือบสีทอง ฟันขาววาววับท่าทางจะแหลมและคมอยู่เต็มปาก

   นี่มันตัวเหี้ยอะไรวะ?

   หรือว่าจะมีใครอุตริลักลอบเอาสัตว์แปลกๆ เข้าประเทศแล้วเสือกเลี้ยงไม่ไหวเลยเอามาปล่อยในป่า จนผสมพันธุ์กับสัตว์ป่าของพื้นเมืองของเราอย่างกิ้งก่า แมลงทับ ตัวเหี้ย หรือจระเข้? ลูกออกมาหน้าตาถึงได้พิสดารขนาดนี้ ไอ้พวกไม่มีจิตสำนึก ระบบนิเวศน์เสียหมด แม่ง!ถ้าสัตว์ป่าสูญพันธุ์ขึ้นมาจะทำยังไง จิตสำนึกเรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมถูกปลุกขึ้นมาทันที น้ำตาจะไหล

   โครก! อุย แต่ตอนนี้น้ำตาจะไหลเพราะหิวแทน มัวแต่ยุ่งกับไอ้ตัวตรงหน้า จนลืมไปว่าตัวเองหิวจนไส้กิ่ว ไข่ที่ตั้งใจจะแดกก็ฟักออกมากลายเป็นตัวเหี้ยอะไรไม่รู้ จะจับย่างก็ไม่รู้ว่าจะแดกได้หรือเปล่า หน้าตาไม่น่าไว้ใจพิกล ถ้ามีส่วนผสมของคางคกด้วยละจบเห่เลย แดกไปโดนเส้นพิษนี่คงตายห่าไปเฉยๆ ไม่มีใครช่วยได้เลยนะ?

   ผมวางมันลงกับพื้นก่อนจะสังเกตว่าตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว คงจะออกไปไหนไกลจากตรงนี้ไม่ได้ การออกไปเดินท่อมๆ ในป่าตอนกลางคืนไม่น่าจะเป็นความคิดที่ฉลาดนัก ได้แต่ถอนหายใจแล้วตัดสินใจสำรวจแค่บริเวณใกล้ๆ แทน

   ผมเดินไปรื้อของในเป้แล้วหยิบไฟฉายออกมาส่องดูตามพุ่มไม้ใกล้ๆ ไอ้ตัวประหลาดก็เดินตามหลังมาติดๆ ผมเห็นลูกอะไรสักอย่างสีแดงๆ ผิวขรุขระลูกเท่าหัวแม่มือ เลยเด็ดออกมาพิจารณา แม่ง ไม่คุ้นเลยสักนิด จะกินก็ไม่กล้ากลัวมีพิษ หางตาเห็นไอ้ตัวประหลาดทำอะไรยุกยิกเลยก้มไปมอง

   “เฮ้ย!” ผมร้องอย่างตกใจแล้วจับมันเขย่า เพราะมันงับผลไม้นั่นเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ

   “คายออกมา เดี๋ยวก็ตายห่าหรอก” มันฟังผมไหม ไม่เลย ขนาดจับห้อยหัวเขย่ามันก็ยังเฉย พอเคี้ยวเสร็จก็กลืนลงคอไป แล้วยังมีหน้ามาเอียงคอมองหน้าอีก

   ผมเลยจับมันวางไว้บนพื้นเหมือนเดิม แล้วนั่งจ้องมันแทน อืม... น้ำลายไม่ฟูมปาก แสดงว่าไอ้ลูกไม้นี่คงกินได้ มันเกิดในป่าก็น่าจะมีสัญชาติญาณสัตว์ป่าบ้างสิน่า ผมเลยเลือกเก็บลูกที่สีแดงจัดๆ ใส่เสื้อจนคิดว่าน่าจะอิ่มทั้งสองตัว เอ๊ย! หนึ่งคนกับหนึ่งตัว แล้วเดินกลับมาที่ข้างกองไฟ ส่วนมันก็เดินเตาะแตะตามมา เอาวะ ตายก็ตายสิ มีเพื่อนตายด้วยจะกลัวอะไร อย่างน้อยก็ไม่เหงาแน่

   ผมหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีเขียวเข้มผืนใหญ่จากกระเป๋ากางเกงออกมากาง แล้วเทผลไม้ลงไป ก่อนจะหยิบมาชิม อืม... รสชาติคล้ายสตรอเบอร์รี่แต่หวานมากกว่า ไอ้ตัวประหลาดก็นั่งแปะลงข้างๆ แล้วหยิบกินมั่ง ต่างฝ่ายต่างกินเงียบๆ จนอิ่ม ผมก็หยิบขวดน้ำแร่จากกระเป๋าที่เตรียมไว้ให้คุณไฟมากินล้างปาก ก่อนจะยื่นให้ไอ้ตัวข้างๆ ที่กินผลไม้หมดก็เรอเอิ้กออกมา

   มันเอียงคอมองแล้วก็งับหลอดที่ยื่นให้ ผมมองน้ำที่ไหลขึ้นไปตามหลอด รู้อีกอย่างว่ามันแสนรู้ เวลาทำอะไรแล้วมักจะทำตามเหมือนกำลังเลียนแบบพฤติกรรมอยู่

   ผมหยิบมีดมา มองหาท่อนไม้ขนาดเหมาะมือแล้วเหลาปลายให้แหลม เผื่อว่ามีสัตว์ร้ายมาจะได้ใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวเองได้บ้าง เพราะมีดพกก็อันเล็กนิดเดียว ถ้าต้องต่อสู้ระยะใกล้ก็คงเสียเปรียบ

   พอเหลาเสร็จก็หยิบฟืนเติมไฟให้แรงขึ้น เพื่อกันสัตว์ร้ายเข้ามาใกล้ และเพื่อให้ความอบอุ่น เพราะดูท่าแล้วตอนดึกๆ อากาศน่าจะเย็นมากกว่าตอนนี้ ก่อนจะขยับเข้าไปในซอกหิน ตอนแรกจะถอดเสื้อคลุมออกแต่นึกขึ้นได้ เลยหยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งออกมา วางเป้ไว้บนหัว ก่อนจะตบข้างตัวแปะๆ ตัวประหลาดก็เดินเตาะแตะมาข้างๆ ผมล้มตัวลงนอนตะแคงหันหน้าไปทางกองไฟ มันก็ล้มตัวลงนอนตาม ผมจึงเอาผ้าขนหนูห่มคลุมตัวเราทั้งคู่ รู้สึกว่ามันเอาหน้าลงซุกพุงผม ถูเบาๆ สองสามทีก่อนจะนิ่งไป ผมกระชับมีดพกในมือ มองไม้ปลายแหลมที่วางไว้ข้างๆ ให้อุ่นใจ ก่อนจะหลับลงไปด้วยความอ่อนเพลีย
   


*************************************************

ลงไว้ก่อน ก่อนที่จะไปตบพล็อตให้เข้าที่เข้าทาง เข้าป่าเข้าดง เข้ารกเข้าพง
เป็นนักหัดเขียน ค่อยๆ คลานไปเรื่อยๆ ฝึกบ่อยๆ ค่อยๆ ชินนน ชินกับอาการตัน ถถถ ไม่ใช่เอเจดีวีดีนี่ จะได้หัวดีคิดอะไรก็ออก

 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:


ฝากลูกชายคนแรกไว้ด้วยค่า น้องกีฏะ กับ เรื่องสั้น 13 ตอน จบแล้วนะคะ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58101.0

 :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2017 09:05:26 โดย maneethewa »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ก้อนดินเจอไข่มังกรหรือเปล่า (มีจินตนาการไปอี๊ก)
ว่าแล้วว่าต้องไปโผล่ที่อื่นที่ไม่ใช่โลกใบเดิม

ออฟไลน์ Melonlove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
บทที่ 5 ก้อนหิน
[/color]

   ผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความเคยชิน มองไปข้างนอกก็เห็นฟ้ายังไม่สว่างดียกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เข็มนาฬิกาบอกว่าเป็นเวลาตี 5 กว่า ผมค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นมา แล้ววางผ้าขนหนูห่มเจ้าตัวประหลาดไว้เหมือนเดิม หยิบเป้และมีดย่องออกมาจากซอกหิน เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็หันไปมองกองผ้าในซอกหินแล้วถอนหายใจ

   ขอให้แม่แกกลับมาเร็วๆ นะ ผมภาวนาในใจก่อนจะเดินจากมา

   ผมต้องรีบออกเดินทาง เพราะไม่รู้ว่าป่านนี้คุณไฟกับท่านทูตจะเป็นห่วงกันสักแค่ไหน ป่านนี้คงออกตามหากันให้วุ่นแล้วละมั้ง จะโทรไปบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงก็หาโทรศัพท์ไม่เจอ จำได้ว่ามันอยู่ในกระเป๋ากางเกงแท้ๆ สงสัยมันอาจจะหล่นจากกระเป๋า ตอนออกไปหาฟืนพยายามเดินหาก็ยังไม่เจออยู่ดี

   แถมนี่ก็ใกล้จะถึงวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยเต็มทีแล้ว จะเอามันไปด้วยก็ไม่ได้ เพราะคิดว่ารังมันน่าจะอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวพ่อกับแม่ของมันก็คงกลับมา ถ้าไม่เจอลูกต้องตามหาแน่ แถมผมยังไม่สามารถดูแลมันได้ด้วย แค่ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ไม่รู้ทางข้างหน้าจะต้องเจออะไรบ้าง ให้มันอยู่กับครอบครัวของตัวเองน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

   ระหว่างทางมีแต่ต้นไม้ใหญ่ขึ้นสูงครึ้มตลอดทาง มีแสงแดดส่องลอดใบ้ไม้มาได้บ้าง อากาศเย็นสบายไม่เหมือนอยู่ในเมืองไทยสักนิด เดินมาได้สักพักก็เจอกับลำธาร ที่ทอดยาวไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด น้ำไหลเอื่อยๆ ใสแจ๋วจนเห็นก้อนหินและพื้นดิน ผมเดินต่อไปอีกสักพัก ก่อนจะหยุดหยิบผ้าเช็ดหน้าเอนกประสงค์มาซักแล้วบิดให้พอหมาดๆ แล้วใช้เช็ดหน้า เช็ดคอ เช็ดลำตัวและแขนที่โผล่พ้นจากแขนเสื้อ แล้วซักอีกรอบสะบัดให้หมาดผูกหลวมไว้กับซิปเป้ด้านหลังให้มันแห้ง กะว่าจะเดินไปทางต้นน้ำอีกหน่อยก่อนค่อยกรอกน้ำลงขวดเผื่อไว้กินระหว่างทาง

   ผมออกเดินทางต่อ คิดว่าถ้าเดินไปทางเหนือน้ำน่าจะได้เจอกับหมู่บ้านหรือเจอกับมนุษย์บ้าง เพราะถ้าเป็นผม ผมก็คงสร้างบ้านอยู่เหนือน้ำ ไม่ไปสร้างที่ปลายน้ำหรอก เพราะเสี่ยงต่อ ผมสะบัดหัว ไม่ อย่าไปคิดถึงขี้ อ่า ผมหมายถึงสิ่งปฏิกูลที่จะลอยมาตามน้ำ บรึ๋ย! แค่คิดก็ยังขนลุก ถึงการเดินเลียบแหล่งน้ำจะเสี่ยงกับการเจอสัตว์ป่า แต่ก็ดีกว่าอดน้ำตายละครับ

   เดินไปสักพักก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังแว่วๆ มาจนต้องหยุดเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าต้นเสียงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทำให้ผมต้องเร่งฝีเท้า

   “ก๊าส”

   ผมเร่งฝีเท้าขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง พอหันไปก็เห็นไอ้ตัวนั้นมันวิ่งตามมาลิบๆ ขาหน้าลากผ้าขนหนูระพื้น ส่วนขาหลังสั้นๆ ของมันก็ซอยมาอย่างสุดชีวิต

   มึงจะตามมาทำมายยย!

   “ก๊าสสสส” ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า ถึงรู้สึกว่าเสียงมันสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้

   “ก๊าสสสสส” เรียงนั้นร้องดังใกล้มาอีกก่อนที่จะได้ยินเสียงดังตุบ จนผมชะงักเท้า เผลอหันกลับไปมองก็เห็นมันล้มหน้าคว่ำ แต่ยังรีบตะกายลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งต่อ ผมทำใจแข็งหันหลังกลับ แต่เท้าแทบจะก้าวไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่จนมันวิ่งมาถึงตัวแล้วพุ่งมาชนขาอย่างแรงก่อนที่จะเกาะขาข้างหนึ่งของผมไว้แน่น

   “ก๊าส” เสียงสั่นๆ นั่นร้องอีกครั้ง ผมก้มลงไปมองก็เห็นมันใช้ขาหน้ากำขากางเกงเอาไว้แน่น เล็บจิกลงไปจนถึงผิวด้านใน มันใช้หัวถูขาผมแรงๆ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามอง ตากลมๆ คู่นั้นมองมาอย่างตัดพ้อ น้ำตาเม็ดโตๆ ไหลพรากๆ จนใจผมอ่อนยวบ

   กูยอมแล้วครับ

   เห็นแบบนี้ใครยังใจแข็งได้ ผมยอมให้เตะ ต่อให้พ่อแม่มันกลับมาลากไปแดกตอนนี้ผมก็ยอม

   ผมย่อตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น มือกระตุกผ้าเช็ดหน้าด้านหลังออกมาค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้มัน แต่น้ำตามันก็ไม่หยุดไหลซะทีอย่างกับเปิดก๊อก ผมเลยอ้าแขนออก มันโผมากอดแน่นจนเล็บจิกทะลุเสื้อแล้วเอาหัวถูพุงร้องสะอึกสะอื้นจนเสื้อผมเปียก ผมได้แต่ลูบหัวลูบหลังมันอย่างปลอบโยน น้ำตาหยดแหมะๆ ใส่หัวมัน เอาสิ มึงร้องได้กูก็ร้องบ้าง ตั้งแต่ย่าเสีย ผมก็ได้แต่กลั้นน้ำตาไว้แล้วแอบร้องไห้คนเดียว แต่ตอนนี้อยู่ในป่าในเขาไม่มีอะไรให้ต้องอาย ไม่มีอะไรให้ต้องแคร์ ร้องให้สาสมใจกันไปเลย

   เราร้องไห้แข่งกันสักพัก ผมเป็นฝ่ายที่หยุดร้องก่อน แต่มือยังไม่หยุดลูบหัวมัน เพราะมันยังสะอื้นฮั่กๆ อยู่ในอ้อมแขนอยู่เลย

   โครก!

   เสียงท้องร้องทำให้มันชะงักกึก ผละตัวออกจากพุงผมแล้วแหงนขึ้นมองตาละห้อย น้ำตาหยุดไหลอัตโนมัติจนผมอดจะหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

   “หิวล่ะสิ” ผมจับตัวมันยกขึ้นมาสำรวจ ก็เห็นว่าเนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่น ระหว่างที่วิ่งมาก็น่าจะล้มลุกคลุกคลานไปหลายรอบอยู่ ถึงเกล็ดภายนอกจะแข็งแต่เนื้อในที่โดนกระแทกก็คงจะเจ็บน่าดู ผมจับมันมากอดอีกรอบ พยายามกลืนก้อนแข็งๆ ในอก ก่อนจะก้มลงหยิบผ้าขนหนูคลุกฝุ่นที่มันลากมาด้วย แล้วเดินไปที่ลำธาร ผมวางมันไว้บนก้อนหินเบาๆ พอจะขยับออกมันก็จับหมับเข้าที่แขนเสื้อ จนผมต้องหันไปลูบหัวแล้วบอก

   “ไม่ได้จะไปไหน แค่จะเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้” มันจึงยอมปล่อยมือ เหมือนกับฟังรู้เรื่อง

   ผมเอาผ้าเช็ดหน้าสีเขียวผืนเดิมชุบน้ำ บิดหมาดๆ แล้วลงมือเช็ดเนื้อตัวมันอย่างเบามือจนสะอาดทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดหาง กำลังจะก้มลงซักผ้า มันก็จับมือไปวางบนหัวแล้วเอียงหัวถูกับฝ่ามืออย่างออดอ้อนจนผมแทบจะละลาย มึงจะน่ารักเกินไปแล้วนะ
 
   “อย่าทำแบบนี้สิ เดี๋ยวกูก็ปล่อยมึงไปไม่ได้หรอก” ผมยกตัวมันขึ้นมามองแล้วพูดกับมัน

   “เรามาตกลงกันก่อน”

   “ก๊าส” แน่ะ รับคำอย่างกับเข้าใจ

   “กูจะอยู่เป็นเพื่อนมึงที่นี่ 7 วัน ภายใน 7 วันนี้ถ้าพ่อแม่มึงไม่มา มึงต้องเลือกว่าจะอยู่รอที่นี่ หรือจะไปกับกู ตกลงไหม ที่สำคัญถ้าพ่อแม่มึงจะแดกกู มึงต้องห้ามไว้ด้วย”

   “ก๊าส” โอเค รู้เรื่อง

   “อืม... ไหนๆ ก็จะอยู่ด้วยกันอย่างน้อยตั้ง 7 วัน กูตั้งชื่อให้มึงด้วยดีไหม”

   “ชื่ออะไรดีหว่า” มันเอียงคอมองตาแป๋ว

   “กัสจังดีไหม ไม่ดี ไม่ดี ชื่อแบ๊วไป ไม่เหมาะกับหน้าโหดๆ ของมึง” อ่า รู้สึกเหมือนคนบ้าที่กำลังคุยอยู่คนเดียวพิลึก ผมมองไปที่พื้น หันมองหน้ามันนิ่ง แหงนหน้ามองข้างบน (ไม่รู้จะมองหาอะไร) ก่อนจะยิ้มออกมา

   “กูชื่อก้อนดิน” ผมชี้มาที่ตัวเอง มันเอียงคอไปอีกข้างแล้วร้องออกมา

   “ก๊าส” มึงไม่เบื่อบ้างรึไง ร้องแต่คำนี้เนี่ย

   “งั้นมึงชื่อก้อนหินละกัน จะได้คล้องกัน โอเคไหม”

   “ก๊าสสส” ลากเสียงยาวๆ แสดงว่าเข้าใจ แถมหางมันยังสะบัดไปมาเหมือนพอใจ ตีความเอาว่ามึงชอบชื่อนี้ก็แล้วกัน ผมวางมันลงที่ก้อนหินก้อนเดิม แล้วชี้ไปที่อกข้างซ้ายของมันแล้วจิ้มเบาๆ

   “ก้อนหิน”

   “ก๊าสสส” ไม่รู้ว่ามโนไปเองไหม ถึงรู้สึกว่ามันกำลังยิ้ม บ้าไปแล้วผม สัตว์มันจะยิ้มได้ยังไง แต่ผมนี่แหละที่ยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงรูหู แบมือแล้วยื่นไปข้างหน้า

   “ไหนขอมือซิก้อนหิน” มันวางมือลงมาหางกระดิกตีกับพื้นดังพั่บๆ โอ๊ย! น่าร๊ากกกก

   โครก!

   โอเค คงต้องพักเรื่องชื่อไว้ แล้วไปหาอะไรแดกกันก่อน



   ผมอุ้มก้อนหินขึ้น แล้วเดินย้อนกลับไปทางเดิม ระหว่างทางก็พยายามมองหาผลไม้ไปด้วย แต่ก็ไร้วี่แวว น่าจะต้องกลับไปกินผลไม้ต้นเดิมที่ตีนเขาซะแล้ว แต่ระหว่างที่เดินอยู่ก็ได้ยินเสียงในลำธาร

   จ๋อม!

   ก้อนหินหันขวับไปมอง แล้วดิ้นลงจากอ้อมแขนผม ผมค่อยๆ ปล่อยลงบนพื้น มันหันมามองอย่างลังเล แล้วก็จับขากางเกงผมลาก ผมก็ขยับเดินตาม พอไปถึงริมน้ำมันก็จ้องไปในน้ำตาเป็นประกาย แปลกที่น้ำในลำธารตรงนี้เหมือนจะลึกกว่าจุดอื่นๆ ที่ผ่านมา ตอนขามาผมก็ไม่ทันได้สังเกต เพราะเดินไปมองทั้งฝั่งป่ากับลำธารสลับกันไป เห็นปลาโผล่มาฮุบอากาศเป็นระยะ ในขณะที่กำลังนึกว่าจะจับปลายังไงดี ก้อนหินก็โดดตูมลงไปในน้ำจนผมตกใจ

   “เฮ้ย! ก้อนหิน” ผมผวาจะลงไปตาม แต่มันโผล่ขึ้นมาซะก่อน ในปากคาบปลาตัวใหญ่ที่ยังดิ้นกระแด่วๆ อยู่ ก่อนที่จะว่ายมาตะกายขึ้นฝั่งแล้วทิ้งปลาลงบนพื้นแล้วสะบัดหางไปมา

   “เอ่อ... เก่งมาก” ผมลูบหัวมันมันก็เอียงคอให้ลูบ แล้วก็เดินไปกระโดดลงน้ำแล้วคาบว่ายมายื่นให้ ก่อนจะมุดลงไปอีก พอได้ปลาสามตัวผมคิดว่าน่าจะพอสำหรับกระเพาะเราทั้งคู่เลยรั้งมันไว้เมื่อมันทำท่าจะว่ายกลับไปอีกครั้ง

   “พอแล้วมั้งหิน แค่นี้ก็น่าจะอิ่ม ตัวใหญ่ขนาดนี้กูกินแค่ตัวเดียวก็อิ่มแล้ว อีกสองตัวยกให้มึงเลยแล้วกัน” ผมจับมันยกขึ้นมาจากน้ำแล้ว แล้วค้นผ้าเช็ดตัวอีกผืนมาเช็ดตัวให้

   “ทนไหวไหม กลับไปย่างที่เดิมดีกว่านะ จะได้ไม่ต้องก่อไฟหลายรอบ อีกแป๊บเดียวก็น่าจะถึงแล้ว”

   “ก๊าส” ถือว่ามึงตอบรับแล้วนะ

   ผมจับมันยัดใส่เป้ ให้หัวโผล่มาข้างนอก มันขยับตัวมาซบคางเข้ากับบ่า ขาข้างหน้าเกาะบ่าอีกข้างจับหลังไว้ ผมดีดหน้าผากมันไปเบาๆ ทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ จะสบายเกินไปแล้วนะ ก่อนจะมองไปรอบๆ ตัว เห็นต้นไม้ที่คล้ายๆ ต้นกล้วย ก็หยิบมีดพกที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปตัดมาห่อปลา ก่อนจะหอบแล้วเดินกลับไปยังจุดเดิมที่นอนกันเมื่อคืน

   ระหว่างทางก็หยิบกิ่งไม้ไปเท่าที่จะหยิบไปได้ เมื่อไปถึงก็วางปลาลง ผมลงมือจุดไฟแล้วเอาไม้เสียบปลาปักลงกับดินแล้วย่าง ก้อนหินตะกายลงจากกระเป๋ากระโดดมาบนพื้นแล้วมานั่งจ้องปลาในกองไฟ ก่อนจะหยิบปลาอีกตัวที่อยู่บนใบไม้ขึ้นมา อ้าปากทำท่าจะงับทั้งอย่างนั้น

   “เฮ้ย!” ผมร้องพร้อมกับดึงปลาออกมาจนมันงับลมแทน ก้อนหินหันมาค้อนงอนๆ

   “แดกไม่ได้มันดิบ”

   “ก๊าส” แน่ะมีเถียง มันก้มลงหยิบปลาอีกตัวที่ยังวางอยู่บนใบไม้ขึ้นมาแทน

   “ก้อนหิน!” ผมเรียกมันเสียงดุๆ จากที่กำลังอ้าปากจะงับปลา มันก็ยกลงแล้วเบะปาก น้ำตาคลอเบ้า

   “มึงแดกดิบๆ ได้หรือไง”

   “ก๊าส” มันผงกหัวให้แล้วส่งสายตาอ้อนวอนมา ผมถอนหายใจเฮือก

   “งั้นเอาที่มึงสบายใจเลยครับหิน จะแดกก็แดกไป แต่ถ้าไม่สบายท้องอย่ามาร้องนะ เพราะกูช่วยอะไรไม่ได้” นอกจากร้องไห้เป็นเพื่อนมัน

   พอได้รับคำอนุญาต มันก็เดินเอาหัวมาถูขา ก่อนจะนั่งลงอ้าปากงับปลาดิบกินอย่างเอร็ดอร่อย

   งั่ม! ฟันของมันคมมากขนาดงับลงไปเนื้อปลาก็หลุดเข้าปากไปเลย ผมเห็นแล้วก็อดสยองไม่ได้ อย่านึกอยากแดกกูขึ้นมานะมึง ไม่งั้นกูจะงอน?

   พอเห็นผมมอง มันก็ชะงัก มองปลาที่เหลือในมือก่อนจะยื่นมาให้ ผมอดจะโยกหัวมันด้วยความเอ็นดูไม่ได้

   “อ่านปากก้อนดินนะครับก้อนหิน กู แดก ไม่ ได้ ครับ” มันผงกหัวหงึกหงักก่อนจะเอากลับไปกัดกินต่อ เออ เข้าใจด้วยเว้ยเฮ้ย แสนรู้จริงๆ

   พอปลาผมสุก ปลาตัวแรกของมันก็หมดเหลือแต่ก้าง ผมบอกให้โยนลงไปในกองไฟมันก็ทำตามอย่างว่าง่าย แล้วก้อนหินก็เริ่มแทะปลาตัวใหม่ทันที ตอนแรกผมกลัวจะกินไม่หมด เพราะปลาตัวใหญ่พอควร แต่สงสัยจะหิวจัด เราซัดปลาจนหมดเกลี้ยงกันทั้งคู่
 
   ผมนั่งรอให้ท้องย่อยสักพัก มองดูฟืนที่มีอยู่ถ้าจะอยู่อีกหลายวันก็ดูท่าน่าไม่พอ เลยออกเดินหาฟืนแล้วสำรวจบริเวณรอบๆ ไปด้วย ต้นไม้พุ่มเตี้ยๆ หลายต้นยังคงมีผลทั้งที่สุกและยังเขียวๆ อยู่คงเด็ดมากินได้อีกหลายวัน ไม่ไกลกันก็มีลำธารที่ยาวจนไม่เห็นจุดสิ้นสุด ปลาในลำธารก็อุดมสมบูรณ์ ตรงตีนเขามีซอกแคบๆ ให้ซุกหัวนอน แต่แปลกที่เดินไปตั้งไกลก็ยังไม่เห็นสัตว์ชนิดอื่นๆ เลย ป่าเงียบสงบเหมือนมีเราอยู่แค่สองตัว เอ๊ย! หนึ่งคนกับหนึ่งตัว ผมเก็บฟืนไปเรื่อยๆ โดยมีก้อนหินทำตาม ในอ้อมแขนของมันก็เต็มไปด้วยฟืนท่อนเล็กๆ เต็มแขน พอเริ่มจะขนไม่ไหวแล้วก็พากันเดินกลับมา

   พอเห็นว่าแดดเริ่มคล้อยก็หยิบเป้และอุ้มก้อนหินเดินไปที่ลำธาร ผมถอดเสื้อออกแล้วเดินลงไปในน้ำ รู้สึกแสบแผลที่เข่านิดหน่อย แต่ดูแล้วไม่ใช่แผลใหญ่อะไร ไอ้ตัวดีก็กระโดดลงตาม ผมนั่งลงล้างหน้าขัดถูตัวสักพัก ก็จับก้อนหินมานั่งหันหลังแล้ววักน้ำทำความสะอาดขัดถูทั่วทั้งตัว เกล็ดสีเขียวเวลาโดนน้ำแล้วกระทบแสงแดดเป็นประกายวาววับ พอปล่อยมือปุ๊บ ก็ว่ายน้ำเล่นวนๆ อยู่ใกล้ๆ เด็กจริงๆ

   พอรู้สึกว่าเริ่มหนาวก็ลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าไปเปลี่ยนแถวพุ่มไม้ ออกมาก็เห็นปลาดิ้นกระแด่วๆ อยู่บนพื้นสองตัวโดยไอ้ตัวที่จับมายืนกระดิกหางอวดผลงานอยู่ข้างๆ ผมเดินไปลูบหัวแล้วชมมัน ก่อนจะเดินไปตัดใบไม้มาวางปลา เอาชุดเก่ามาซักในน้ำ รวมทั้งผ้าขนหนูที่ก้อนหินลากไปด้วย พอเรียบร้อยแล้วก็รอสักพักก่อนจะหยิบขวดน้ำมากรอกน้ำไว้กินหลังอาหารเย็น ไม่รู้สะอาดไหม แต่ตอนนี้คงต้องกินกันตายไว้ก่อนครับ เรียบร้อยแล้วก็เก็บของแล้วหอบทุกอย่างเดินกลับ โดยมีก้อนหินเดินตามต้อยๆ

   ผมเอาผ้าที่ซักตากไว้ตามพุ่มไม้ หักกิ่งไม้โยนใส่กองไฟเพิ่ม ถึงจะเริ่มมืดแล้ว แต่ปลาที่กินไปเมื่อบ่ายก็ยังไม่ย่อยหมดดี เลยปล่อยให้ก้อนหินกินที่จับมาใหม่ให้หมดทั้งสองตัว ส่วนผมก็ไปเด็ดผลไม้มานั่งกินเล่นไป พอมันกินเสร็จผมก็เอาน้ำให้มันกิน แล้วจับล้างมือ ผมนั่งแหงนมองดูท้องฟ้าก็เห็นแต่ใบไม้ที่ปิดท้องฟ้าไว้มิด

   บรรยากาศที่นี่เงียบสงบ แม้แต่เสียงแมลงยังไม่มี นั่งนิ่งๆ ก็ชักง่วง ผมเลยเติมฟืนลงไปเพิ่ม ก่อนจะเดินมุดเข้าซอกโดยมีก้อนหินเดินตามไปเหมือนลูกเจี๊ยบตามแม่ไก่ ผมถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกปู เมื่อวานเตรียมชิ่งเลยต้องทนนอนบนหินแข็งๆ แต่เมื่อตัดสินใจอยู่ต่อแล้ว ก็ถอดออกปูให้นอนสบายขึ้น พอผมล้มตัวลงนอนมันก็ล้มตัวลงข้างๆ เอาหน้าซุกพุงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมือจิกเสื้อผมแน่น ผมหยิบผ้าขนหนูอีกผืนที่เตรียมไว้มาห่มเราทั้งคู่ ก้อนหินขยับตัวจนโผล่ขึ้นมาจากผ้า ตาปรือๆ นั้นพยายามฝืนลืมตาเอาไว้ เหมือนกลัวผมหายไป ผมเลยลูบหัวมันแล้วเอ่ยปลอบด้วยความอ่อนโยน

   “นอนเถอะ สัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ไปไหน ถ้าไปก็จะไปด้วยกัน โอเคไหม”

   “ก๊าส” นั่นแหละมันถึงได้ยอมหลับตา แต่มือเปลี่ยนมากำคอเสื้อผมไว้แน่นแทน

   ผมนอนมองมันนิ่งๆ อย่าว่าแต่มันไม่อยากให้ผมทิ้งเลย ผมก็ชักไม่อยากจะให้พ่อแม่มันกลับมาเหมือนกัน เจอกันแค่สองวันกลับผูกพันเหมือนรู้จักกันมานาน ถ้าต้องจากกัน ผมคงใจหายน่าดู

   เดิมทีผมก็ชอบสัตว์อยู่แล้ว โดยเฉพาะหมา แต่คุณไฟเกลียดสัตว์ทุกชนิด ถ้าแค่เกลียดก็คงไม่เท่าไหร่ ยังพอแอบเลี้ยงได้ แต่นี่คุณไฟแพ้ขนสัตว์ด้วย เล่นกับหมาแมวมาทีไร คุณไฟภูมิแพ้กำเริบจามไม่หยุดทุกที เลยต้องตัดใจอยู่ห่างๆ จากสัตว์พวกนี้แทน

   ถ้าเอาสัตว์ป่าออกไปนี่โทษหนักไหมหว่า ถ้าต้องเข้าตะรางก็หวังว่าคุณไฟกับท่านทูตคงมาประกันตัว และหวังว่าคุณไฟจะยอมให้เลี้ยงก้อนหินไว้ ก็มันไม่มีขนนี่นา คุณไฟคงไม่แพ้หรอกมั้ง ผมกระชับอ้อมแขนกอดก้อนหินเข้ามาแน่นอีกนิดแล้วเคลิ้มหลับไป

*************************************************

#about ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ
#Mynun สนใจไปด้วยกันไหมคะ เอร๊ยยยย
#naruxiah รอดค่ะ รอดดด เพราะน้องดินเป็นตัวเอก 5555 ขอบคุณที่ช่วยกันมโนนะคะ
#sirin_chadada เดาเก่งมากเลยค่ะ อ่านเม้นท์แล้วนั่งหัวเราะเป็นบ้าอยู่คนเดียว สนใจไปเที่ยวด้วยกันไหมคะ
#Melonlove ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า
#B52 สารรูปว่าเป็นแฟนตาซีค่า

ขอบคุณทุกๆ เม้นท์นะคะ เป็นกำลังใจให้นักหัดเขียนอย่างเราได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

 :3123: :3123: :L2: :3123: :3123:

สารรูป เอ๊ย! สารภาพว่าเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีค่ะ ทุกคนน่าจะเดาได้ตั้งแต่เจอไข่เหี้ย แค่กๆ หมายถึงไข่ของก้อนหินแล้วใช่ไหมคะ แหะๆ

ผิดพลาดตรงไหนก็ขออภัยด้วยนะคะ
กระดึบๆ ต่อไป

 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-03-2017 08:43:29 โดย maneethewa »

ออฟไลน์ arissara

  • ดาดาเดเด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
สนุกดีๆๆๆ แต่แบบตอนกลับขึ้นไปจากป่าได้ คนในเมืองได้วิ่งหนีเมืองรายแน่ๆ55555 จัดงานศพละด้วย

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
น่าสนใจ ตามด้วยคน มาต่อบ่อยๆน้า

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ก้อนดินเหมือนมีลูกเลย :D
ก้อนหินก็น่ารัก
ว่าแต่ทำไมป่านี้ไม่มีสัตว์อื่นเลยนอกจากปลาในน้ำล่ะ
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ rivayu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
 :laugh:+ ให้นะคะ ขำแรงค่ะ เข้ามาอ่านทีแรกนึกว่านิยายธรรมดา อ่านไปอ่านมา แฟนตาซีเฉยเลย สงสารทางโน้นนะคะ เค้าดราม่ามาเต็มกัน ทั้งคุณหญิง ทั้งคุณไฟ นายดินของเรากลับชิคแอนด์ชิล เป็นคุณแม่จำเป็นเสียอย่างนั้น เลี้ยงเด็ก(สัตว์ประหลาด)วนไปค่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
ตอนที่ 6 ที่นี่ที่ไหน???
[/color]

   ผมพยายามขยับตัวด้วยความอึดอัด แต่กลับขยับไม่ได้ดั่งใจ ขนาดจะหายใจยังลำบาก ทำไมถึงขยับตัวไม่ได้วะ เฮ้ย! หรือว่า ผีอำ?

   ผมเปิดเปลือกตามาช้าๆ สิ่งแรกที่เห็นในสายตาคือ ส้นตีน! ครับ ส้นตีนที่มีเล็บแหลมๆ สีดำ อยู่ใกล้เกือบถึงปลายคาง ถีบหน้ากูเลยไหมก้อนหิน!

   สาเหตุที่ทำให้ขยับตัวได้อย่างยากลำบาก คงจะเป็นเพราะก้อนหินที่ขึ้นมานอนบนตัวผมทั้งตัว แต่มันดันหันขามาข้างบน ส่วนหัวมันซุกอยู่ที่พุง มือกอดแน่นอยู่แถวๆ ข้างสะโพก

   มึงตัวเล็กมากครับก้อนหิน ขึ้นมานอนทีซี่โครงแทบหัก

   ว่าแต่ขึ้นมานอนตอนไหนหว่า ทำไมผมไม่รู้สึก นี่นอนหรือตาย? ถ้ามีสัตว์ร้ายเข้ามาเมื่อคืน เราคงตายห่าไปแล้วครับ

   ตอนแรกกะจะปล่อยให้ก้อนหินนอนต่อสักพัก แต่ไม่ไหวครับ เมื่อยและหนักมาก เลยต้องจับขามันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างก็ประคองหลังมันแล้วจับพลิกลงล่างอย่างเบามือก่อนจะลุกขึ้นมานั่งให้มันนั่งตักแทน แต่มันกลับสะดุ้งเฮือก ผวาตัวหันกลับมากอดเอาไว้แน่น จนผมต้องลูบหลังมันเบาๆ

   “จุ๊ๆ ไม่ได้ไปไหนหรอก กูเมื่อย แค่เปลี่ยนท่าเฉยๆ นอนต่อเถอะ” มันเอาหัวถูได้สักพักก็เงยมามองหน้า มันคงยังฝังใจกับเรื่องที่ผมแอบหนีไปอยู่ จนทำให้ผวาแบบนี้ ผมขยับไปเอนพิงผนังแก้เมื่อย มือก็ยังคงลูบหลังมันไปเรื่อยๆ หวังจะปลอบให้มันวางใจ สักพักก้อนหินก็เริ่มตาปรือๆ แล้วหลับไป

   ในเมื่อตั้งใจจะอยู่เป็นเพื่อนมัน ผมก็ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ใช้ชีวิตแบบสโลไลฟ์บ้างก็ดีเหมือนกันนะ ถือว่าเป็นการพักผ่อนไปในตัวก็แล้วกัน

   พอสายๆ หน่อย ก็พาก้อนหินไปล้างหน้าล้างตา แล้วก็เดินหาอะไรกิน ลองเดินสำรวจใกล้ๆ นอกจากปลาในลำธารก็ไม่เจอสัตว์ชนิดอื่นเลยครับ แม้แต่รอยเท้าก็ยังไม่มี แปลก... แปลกมากด้วย ป่าอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ อะไรที่ทำให้สัตว์ป่าไม่กล้าเข้ามาอาศัยกันนะ หรือจะเป็นเพราะมนุษย์เข้ามาแถวนี้บ่อยๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจ จะถามใครก็ไม่ได้ ยิ่งก้อนหินยิ่งแล้วใหญ่ ร้องได้อยู่คำเดียว อยากได้ซากุระ เอ๊ย! วุ้นแปลภาษาจริงๆ เผื่อฟังภาษามันออก

   แต่ละวันผมก็ขยับพื้นที่สำรวจไปไกลเรื่อยๆ จนวันนี้เป็นวันที่ 7 แล้วที่อยู่เป็นเพื่อนก้อนหินมัน แต่ก็ยังคงไม่มีวี่แววของพ่อกับแม่มันสักนิด ไม่แน่ว่าอาจจะโดนสัตว์ชนิดอื่นฆ่าหรืออาจจะถูกมนุษย์ล่าไปแล้วก็ได้ นึกแล้วก็อดสงสารมันไม่ได้ เกิดมาไม่ทันได้เห็นหน้าพ่อแม่ก็เป็นกำพร้าซะแล้ว ชีวิตมันนี่เหมือนผมเลยแฮะ

   วันนี้ผมพามันเดินไปไกลหน่อย ก้อนหินไม่มีทีท่าว่าเหนื่อยสักนิด ยังคงเดินนำไปเรื่อยๆ มองซ้ายมองขวาอย่างสนอกสนใจ แต่ไม่ลืมหันกลับมามองผมเป็นระยะ จะอึดไปไหน ส่วนผมขนาดก่อนจะมาเที่ยวออกกำลังกายบ่อยๆ ก็ยังหอบน้อยๆ เลย พอเหนื่อยก็พักแล้วเดินต่อ เดินมาจนไกลโข ระหว่างทางก็ยังไม่เจอสัตว์อื่นนอกจากปลาเหมือนเคย ผมละสายตาจากลำธารไปเจอภาพข้างหน้าทำให้ต้องชะงักฝีเท้าแล้วยืนอึ้ง

   มันคือซุ้มต้นไม้...

   กิ่งของต้นไม้ทั้งสองฟากลำธารโค้งมาจรดกันเป็นซุ้มคล้ายกับซุ้มเข้างานแต่งที่สูงเลยหัวไปเล็กน้อยก่อนที่จะไล่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนเห็นยอดลิบๆ แล้วลำธารที่เดินผ่านมาแทนที่จะทอดยาวต่อไปกลับหายไปใต้พื้นดินที่ยกตัวขึ้นสูงเหมือนกับน้ำไหลออกมาจากท่อกลายเป็นน้ำตกเตี้ยๆ ผมมัวแต่อึ้งกับภาพตรงหน้า ก้อนหินก็วิ่งผ่านซุ้มที่เหลือพื้นดินอยู่น้อยนิดพอให้ผ่านได้คนเดียวขึ้นเนินออกไปแล้ว

   “เดี๋ยวสิ ก้อนหิน!” ผมวิ่งตามออกไปด้วยความเป็นห่วง พอทะลุออกมาเจอแสงสว่างจ้าเลยต้องหยีตาลงเพื่อให้สายตาได้คุ้นชินสักพักก็ลืมขึ้นมา แล้วสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผมยืนอึ้งไปอีกรอบ

   “สัตว์!”

   เอ่อ... ผมไม่ได้ด่าใครนะครับ แต่ผมหมายถึงสัตว์ สัตว์จริงๆ สัตว์ตัวเป็นๆ ทั้งกระต่าย กวางและตัวอะไรสักอย่างที่เหมือนหนูเล็มหญ้า เล็มใบไม้ กินผลไม้อยู่ไม่ไกล

   บริเวณนี้เป็นป่าโปร่งๆ ต้นไม้เตี้ยกว่าป่าที่ผมออกมามาก มีพุ่มไม้เตี้ยๆ ที่มีผลไม้หลากสีอยู่หลายต้น กอหญ้าอ่อนๆ และดอกไม้เล็กๆ ขึ้นกระจายไปทั่ว แหงนมองข้างบนก็เห็นท้องฟ้าสดใส เมฆสีขาวลอยตัวเป็นกลุ่มอยู่บนฟ้า มีนกอะไรสักอย่างกำลังบินอยู่ข้างบน สวยเหมือนอยู่ในสวรรค์จนอยากจะหยิกตัวเองดูอีกซะที

   พอหันกลับไปมองป่าที่เดินออกมาก็เห็นต้นไม้สูงใหญ่ที่แทบจะมองไม่เห็นยอดปกคลุมล้อมรอบเป็นรั้วจนเหมือนเป็นโดมต้นไม้คลุมอาณาบริเวณนั้นอยู่ ข้างในก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวเหมือนตัดขาดจากโลกภายนอก เหมือนป่าช้ากับตลาดสด ยิ่งดูก็ยิ่งมึน ยิ่งคิดก็ยิ่งงง

   ตกลงที่นี่มันที่ไหนวะ???

   ผมละสายตามามองหาก้อนหินก็เห็นมันวิ่งไล่งับผีเสื้ออยู่ พองับได้ก็เอามาอวด เอ่อ... กูต้องชมมึงไหมหิน แต่ก็ตบหัวมันไปสองสามที มันก็ไปวิ่งเล่นกับกระต่าย แต่ดูท่าหน้าตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรของมันทำน้องกระต่ายหนีกระเจิดกระเจิงไปหมด เหลือแต่กวางที่กินผลไม้ไป เหล่มองไปอย่างไม่ไว้วางใจ ผมมองแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

   ผมเดินสำรวจต่อไปเรื่อยๆ เผื่อจะเจอมนุษย์ให้ถามเพื่อไขข้อข้องใจได้บ้างว่าที่นี่มันที่ไหนกันแน่ และที่สำคัญผมจะหาทางกลับบ้านได้ยังไง?

   เดินไปสักพักก็รู้สึกเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง ป่าเงียบสงัดขึ้นมาทันควัน ก้อนหินขยับมายืนข้างๆ แล้วจ้องเขม็งตรงไปด้านหน้า ก่อนสัตว์ป่าน้อยใหญ่จะเริ่มวิ่งหนีกันอุตลุด

   ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นตัวอะไรสักอย่างโผล่จากพุ่มไม้มางับกระต่ายในระยะไม่เกินร้อยเมตร ไม่สงสัยว่ามันเป็นตัวเหี้ยอะไร และไม่ต้องรอให้มันมาทักทาย รีบคว้าก้อนหินมากอดแล้วออกตัววิ่ง! โกยสิครับ จะอยู่รอให้มันมาแดกทำไม!!!

   โฮกกกกกกก!

   ไม่ต้องขู่ กูก็กลัวแล้วโว๊ยยยยย!

   ผมเร่งฝีเท้าอย่างสุดตีนไม่ต้องหันกลับไปดูก็รู้ว่ามันวิ่งตามพวกผมมา เพราะเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ถึงจะมีสองเท้า แต่ผมก็เป็นนักกรีฑาเก่านะครับ ไม่อยากจะอวด (มันใช่เวลาไหม?)

   ผมวิ่งกลับไปทางเก่าที่เราเพิ่งออกมา คิดว่ากลับไปหลบที่เดิมก็น่าจะไหว เพราะตัวใหญ่ขนาดมันคงมุดเข้าซอกไปไม่ได้ ที่สำคัญมองซ้ายมองขวาแล้วไม่น่ามีที่ไหนให้สามารถหลบได้ ไม่รู้ว่าสัตว์ป่าตัวอื่นๆ หนีไปหลบที่ไหนกันหมด ที่สงสัยอีกอย่างคือทำไมมึงตามแต่กูหา สาดดดดดดดด

   ซุ้มต้นไม้ที่เห็นอยู่ข้างหน้าทำให้ผมเร่งฝีเท้าขึ้น ในชั่วขณะที่ใกล้จะถึงซุ้ม ก็ได้ยินเสียงคำรามของมันพร้อมกับรู้สึกเจ็บแปลบที่แผ่นหลังจนผมล้มผ่านซุ้มเข้าไป

   ผมรีบพลิกหงายมาก็เห็นมันค่อยๆ ย่างสามขุมเข้ามาใกล้ก่อนจะกระโจนเข้าใส่

   ตึง!

   เฮ้ย!

   ผมอ้าปากค้างเบิ่งตากว้าง เมื่อเห็นมันสะท้อนกลับ!

   ฟังไม่ผิดหรอกครับ ขณะที่มันจะกระโจนเข้ามาขย้ำผม ตัวมันเองกลับปะทะกับกำแพงใสๆ ที่กั้นอยู่ตรงซุ้มจนกระเด็นกลับออกไป ผมกระพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นมันทำเหมือนเดิม แต่ผลก็ยังคงเป็นแบบเดิม จนแน่ใจแล้วว่ามันไม่มีทางผ่านซุ้มเข้ามาได้ เลยถือโอกาสพิจารณาไอ้ตัวที่วิ่งไล่กวดมาถึงที่นี่

   หน้าตามันเหมือนสิงโต แต่เขี้ยวขาวยาวมากกว่า ตัวก็ใหญ่มากกว่าเป็นเท่าตัว แถมมีเขาที่หัวสองเขาแหลมเปี๊ยบ อ่า บรรพบุรุษมึงผสมพันธุ์กับควายมาใช่ไหม? กูมั่นใจ...

   พอมันรู้ตัวว่าเข้ามาไม่ได้ มันก็ยื่นขาเข้ามาแทน เฮ้ย! ขามันเข้ามาได้ซะงั้น ผมเผลอหดขากลับมาทั้งที่อยู่ห่างจากมันพอควร มึงมีความพยายามมาก รู้ว่าเข้ามาไม่ได้มึงก็ควรยอมแพ้ไหม จะอาฆาตอะไรกูนักหนา เราไม่เคยเจอกันมาก่อน มึงมาทำร้ายกูทำม๊ายยยย! นึกแล้วก็แสบหลัง อูย! รู้สึกเหมือนเลือดซึมๆ ถึงจะโดนแค่เฉี่ยวๆ ก็เถอะ

   “เฮ้ย! หิน” ผมร้องอย่างตกใจเมื่อก้อนหินดิ้นออกจากอ้อมแขนไปอย่างรวดเร็วจนคว้าไว้ไม่ทัน

   มันกางเล็บออกมาแล้วตะปบลงที่ขาเจ้าสัตว์ประหลาดที่ตามเรามาจนมันร้องเสียงหลง เล็บของก้อนหินเหมือนจะงอกยาวขึ้นมากกว่าเดิมอย่างน่าตกใจ นี่มึงเป็นญาติกับวูล์ฟเวอรีนเหรอก้อนหิน!!!

   ก้อนหินขยับหลบขาที่ยื่นออกมาอย่างรวดเร็ว มือ เอ๊ย! ขาหน้าก็ตะปบซ้ำๆ เหมือนจะกรีดให้เป็นริ้วๆ พอได้จังหวะก็กัดเข้าจมเขี้ยว จนโดนสะบัดออก มันม้วนตัวกลิ้งกับพื้นก่อนกลับมายืนได้อย่างสวยงาม หูย เทพมากหิน ผมเผลอปรบมือเปาะแปะให้

   ส่วนไอ้ตัวนั้นก็ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะวิ่งหนีไป ผมขยับเข้าไปจับตัวก้อนหินมาสำรวจ นอกจากฝุ่นดินตามตัวก็ดูเหมือนจะไม่มีแผลอะไรเลย เลยถอนหายใจด้วยความโล่งอก พอจับมือมันมาดูก็เห็นว่าเล็บสั้นเท่าเดิมแล้ว ผมจับหัวมันโยกเบาๆ แล้วเอ่ยชม

   “เก่งมาก”

   “ก๊าส” มันรับคำพร้อมกระดิกหางฟาดพื้นอย่างอารมณ์ดี จนบัดนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ แต่ช่างเถอะ แค่มันไม่ทำร้ายผมก็พอแล้ว แถมดูจากเมื่อกี๊ก็เหมือนมันจะพยายามปกป้องผมด้วย

   ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ซุ้มต้นไม้ด้านหน้า ลองยื่นแขนออกไปก็ออกไปได้ตามปกติ ยังไม่เสี่ยงออกไปทั้งตัวกลัวไอ้ตัวนั้นมันจะกลับมา

   มันคืออะไรกันวะ? ทำไมสิงโตควายตัวนั้นพยายามเข้ามาถึงเข้ามาไม่ได้ ไม่ได้อยากให้มันเข้ามานะ แค่สงสัย มันแปลกตรงที่ผมกับก้อนหินเข้าออกได้ตามปกติ แต่มันเข้ามาไม่ได้นี่แหละ

   ยิ่งนึกยิ่งสงสัย ไล่เรียงไปตั้งแต่แรกก็ยิ่งงง ทุกอย่างดูเป็นปริศนา เจอแต่คำถามมากมายที่ไม่มีคำตอบ

   ผมถอนหายใจ รู้สึกเหมือนไมเกรนจะกำเริบ!

   ถ้าจะหาคำตอบคงต้องออกไปหาเอาข้างนอก อยู่ในนี้อาจจะปลอดภัยก็จริง แต่ถ้าทนกับความอยากรู้ได้ก็ไม่ใช่มนุษย์ และผมยังเป็นมนุษย์ครับ ผมอยากรู้!

   ผมพาก้อนหินเดินกลับไปทางเดิม ระหว่างทางก็แวะหาอะไรกิน แล้วก็เตรียมตัวเก็บของเพราะวันนี้ครบ 7 วันพอดี พรุ่งนี้ผมจะออกเดินทางหาคำตอบจากโลกภายนอก!


******************************************************************************

จำคำย่าก้อนดินได้ไหมคะ ที่เคยบอกไว้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก้อนดินก็มีความสุขได้ เพราะไอ้นิสัยยังไงก็ได้ แบบจะเจออะไรก็ค่อยๆ แก้ไป ด้วยความที่ไม่คิดอะไรมากนี่แหละที่ทำให้มีความสุขกับชีวิตได้ง่ายๆ


*****************************************************************************

#arissara ถ้าได้กลับไปนะคะ หึๆๆๆๆ (หัวเราะแบบชั่วร้ายอีกรอบ)
#•♀NoM!_KunG♀• ขอบคุณที่แวะมาอ่านและทักทายค่า จะพยายามนะคะ
#sirin_chadada มาแล้วค่า แอบเอ็นดูก้อนหินยิ่งกว่าก้อนดินอีกค่ะ ฮ่าๆๆๆ
#rivayu ฮ่าๆๆๆ ปล่อยให้ทางโน้นดราม่าไปค่ะ ก้อนดินหนีมาเที่ยวเฉยยยยยย
#B52 รักเหมือนกันค่ะ อุตส่าห์แวะมาเม้นท์ให้บ่อยๆ

รักคนอ่านและคนเม้นท์ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ

:mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Melonlove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด