ตอนที่๒ #รีไรท์
ตำหนักท้ายบึงที่เรียกกันจนติดปากนั้นจะเรียกว่าตำหนักเต็มปากก็คงยาก เพราะเรือนไม้ชั้นเดียวทรงปั้นหยา บุด้วยกระจกใสทั้งหลังยกพื้นสูงราวครึ่งเมตรซึ่งตั้งอยู่ริมบึงบัวใหญ่ มีขนาดกะทัดรัดเพียงหนึ่งห้องนอนเท่านั้น จริง ๆ มันถูกสร้างเอาไว้สำหรับเปลี่ยนบรรยากาศในการบรรทมของพระราชาองค์ก่อน ที่ชอบเสด็จมาชมดอกไม้ซึ่งถูกปลูกไว้รอบ ๆ หรือสารพัดปลาสวยงามและดอกบัวที่อยู่ในบึงเพียงแค่นั้น หลังจากการปราบกบฏและขึ้นครองราชย์ของวิรัล ตำหนักหลังนี้จึงถูกทิ้งร้าง อีกทั้งตัวตำหนักยังอยู่ส่วนหลังสุดของราชวังติดกำแพงวังฝั่งที่ด้านหลังเป็นหน้าผา จึงไม่ค่อยมีใครผ่านไปมามากนัก
“ลงมาเพคะท่านเธรา เดี๋ยวตกลงมา ว้าย ๆ ๆ ระวังนะเพคะ”
เสียงตะโกนโหวกเหวกของรารี นางกำนัลฝ่ายในที่ส่งเสียงเรียกให้พระสนมลงมายืนบนพื้นแบบปกติ ไม่ใช่ขึ้นไปโหนเป็นลิงเป็นค่างอยู่บนต้นนุ่นอย่างนั้น ขณะที่เธรานั่งอยู่บนกิ่งต้นนุ่นใช้ไม้ยาวตีลูกนุ่นแก่ที่อยู่บนกิ่งสูงขึ้นไป นางทั้งวิ่งเก็บลูกนุ่นและคอยตะโกนเตือนเจ้านายด้วยความเป็นห่วง
“พอรึยังล่ะรารี ปีนี้คงหนาวหนักถ้าไม่เตรียมเย็บผ้าห่มผ้านวมเสียแต่เนิ่น ๆ จะลำบากเอา ถ้านุ่นไม่พอจะได้หาเพิ่มทัน” เธราเอ่ยถามนางกำนัลคนสนิทอย่างอารมณ์ดี ปากบางฉีกยิ้มน้อย ๆ เมื่อรารีบ่นอุบถึงอาการดื้อดึงของเขา ที่ยืนยันจะปีนขึ้นมาเก็บนุ่นเองทั้งที่ใช้ทหารก็ได้
“น่าจะพอได้อยู่เพคะ แต่ถ้าไม่พอจริง ๆ เราน่าจะขอแบ่งจากชาวบ้านได้บ้าง” รารีเอ่ยบอกพลางก้มเก็บลูกนุ่น
หญิงสาวทำหน้าที่รับใช้พระสนมมาตั้งแต่วันแรกที่มีการจัดการอภิเษก ตระกูลเธอเป็นนางกำนัลมาตั้งแต่รุ่นยาย เมื่อมีการแต่งตั้งพระสนม จึงถูกเลือกให้มารับตำแหน่งนางกำนัลประจำตัว รารียังจำได้ถึงเสียงกระแทกประตูดังลั่นขององค์วิรัล ร่างสูงใหญ่ของเจ้าเหนือหัวพรวดพราดออกมาจากห้องหอ ทั้งที่เสด็จเข้าไปเพียงไม่นาน รารีทำใจกล้าเข้าไปดูพระสนมที่ถูกทิ้งไว้ในห้องหอตั้งแต่คืนส่งตัว ก็พบกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่กำลังถอดผ้าคลุมหน้าออก ใบหน้าแสนธรรมดานั้นหันมายิ้มอ่อน ๆ ให้กับเธอ
‘ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ’ ประโยคง่าย ๆ ที่รารีไม่คิดว่าจะได้ยินกับท่าทางสบาย ๆ ของคนตรงหน้านั้นช่างแตกต่างกับองค์วิรัลที่เพิ่งออกไปจากห้องลิบลับ
‘ปกติองค์วิรัลจะประทับอยู่ตำหนักไหนเหรอ’
แม้จะไม่เข้าใจกับคำถามที่ไม่เหมาะกับเวลาสักนิด แต่รารีก็ตอบไป ‘องค์วิรัล ประทับที่ตำหนักหยาดหมอกทางทิศเหนือเพคะ’
‘แล้ว... ตำหนักอะไรอยู่ทางทิศใต้บ้าง’
‘ถ้าทางทิศใต้ติดกำแพงวัง ฝั่งนั้นจะเป็นหน้าผาเพคะ ส่วนมากจะเป็นสวนดอกไม้ มีตำหนักท้ายบึงแต่ว่าค่อนข้างทรุดโทรมพอดู เพราะไม่มีใครไปอยู่นานแล้ว ปกติก็ไม่มีเจ้านายพระองค์ไหนประทับเพราะเป็นตำหนักเล็ก ๆ องค์เหนือหัวองค์เก่าจะเสด็จไปประทับเวลาทรงต้องการความเงียบสงบเพคะ’
เธราพยักหน้ารับรู้เบา ๆ ก่อนยิ้มให้คนตอบคำถาม ‘เขาให้เจ้ามาดูแลข้าใช่ไหม ชื่ออะไรล่ะ’
‘รารีเพคะ’
‘งั้นรารีช่วยเก็บเสื้อผ้ากับข้าวของของข้าให้ที มีไม่เยอะนักหรอก ข้าจะย้ายไปตำหนักท้ายบึง’
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ร่วมเกือบสองปีแล้ว รารียังเคยไม่เห็นพระสนมถวายงานองค์วิรัล หรือแม้กระทั่งเข้าใกล้ตำหนักหยาดหมอกเลยสักครั้ง ที่ตำหนักท้ายบึงนี้จะมีเพียงรารีกับเธราเท่านั้นที่ใช้ชีวิตอยู่เป็นประจำ มีทหารยามผลัดเปลี่ยนมาดูแลตามหน้าที่บ้าง อาจมีนางกำนัลมาช่วยทำงาน นำอาหารและผลไม้มาให้บ้าง
ตำหนักท้ายบึงที่ตอนแรกมีเพียงตัวตำหนักเก่า ๆ และบึงบัวร้าง ตอนนี้ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยสมุนไพรที่เธราไปสรรหามาปลูกไว้ ห้องครัวเล็ก ๆ ถูกสร้างขึ้นด้านข้าง สวนดอกไม้เก่าถูกแทนที่ด้วยผักสวนครัว บึงบัวที่เคยเต็มไปด้วยดอกบัวและปลาสวยงาม ตอนนี้กลับมีปลาหลากชนิดที่ใช้ประกอบอาหาร เครื่องทอผ้าตั้งอยู่บนระเบียง ทุกอย่างในที่นี้ล้วนไร้ซึ่งความสวยงามตามแบบวังหลวง หากทุกอณูล้วนมีประโยชน์แก่การดำรงชีวิต
“เหนื่อยไหม” รารีหลุดจากความคิดของตัวเอง ก่อนหันไปมองคนถามที่กำลังแบกลูกนุ่นมากองรวมกันจนเป็นกองใหญ่ นุ่นแก่จัดบางลูกแตกจนลอยฟุ้งติดหน้าติดตาคนทั้งคู่
“เช็ดหน่อย นุ่นติดเต็มหน้าเลย” เธราบอกก่อนเช็ดหน้าให้รารีด้วยชายแขนเสื้อตัวเอง ท่าทางที่เป็นธรรมชาติด้วยความสนิทสนมเพราะทั้งสองไม่มีใครคิดอะไรเกินเลย หากไม่ใช่กับบุคคลอื่นที่แอบยืนมองอยู่เป็นครู่แต่ไม่ยอมแสดงตัว
“ทำอะไรกัน!?” เสียงที่พูดไม่ได้วางอำนาจแต่อย่างใด หากกลับเรียกความประหม่าปนตกใจได้ไม่น้อย รารีรีบก้มลงทำความเคารพแล้วถอยไปยืนหลบด้านหลัง ส่วนเธราตอนนี้ได้แต่ตกใจระคนแปลกใจเมื่อร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏตรงหน้าคือองค์วิรัล พระสวามีในนามของตัวเอง
“ทำอะไร?” คำถามเดิมถูกส่งมาอีกครั้ง เรียกสติของคนถูกถามให้กลับมา เธราทำความเคารพองค์วิรัลก่อนตอบคำถามที่ถูกถามย้ำถึงสองครา
“เก็บนุ่นกระหม่อม”
“เอาไปทำอะไร”
“เย็บฟูกกับนวมกระหม่อม”
“ทำไปทำไม”
“จะหน้าหนาวแล้วกระหม่อม”
“นางกำนัลที่รับผิดชอบเครื่องนอนทำไม่ถูกใจเจ้ารึไง”
“หม่อมฉันไม่ได้ทำใช้เองกระหม่อม”
“งั้นทำให้ใคร” การถามตอบที่ทำท่าจะยืดยาวกลับสะดุดลงทันที่เมื่อถึงคำถามสุดท้าย
วิรัลมองพระสนมของตัวเองเต็มตาครั้งแรก ร่างสูงโปร่งวันนี้ไม่มีผ้าพันคอคลุมหน้าอีกแล้ว ผมสีน้ำตาลอ่อนยาวระต้นคอดูยุ่งเหยิง เสื้อผ้าที่สวมใส่คงผ่านการใช้งานมาพอสมควร สภาพที่เห็นดูดีกว่าครั้งที่แล้วจะติดก็ตรงเศษนุ่นเต็มตัวเหมือนเด็กซนๆ คนหนึ่ง นี่น่ะหรือพระสนมของเขา ทั้งตัวคนตรงหน้าไม่มีเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียว หากไม่บอกก็คงไม่มีใครเชื่อว่านี่คือสนมเอกแห่งนันทานคร หรือแม้แต่บอกไปก็คงทำใจ... เชื่อยาก
“เอ่อ... คือ... หม่อมฉันทำ...ไว้ให้” เสียงที่เอ่ยออกมากระท่อนกระแท่นเหมือนเด็กกลัวโดนดุ ใบหน้าที่เปรอะปุยนุ่นเหลือบมองพระสวามีอย่างชั่งใจ
เป็นครั้งแรกที่วิรัลเห็นดวงตาสีน้ำตาลนั้นชัด ๆ แม้ตอนนี้จะมีแววกังวลเคลือบคลุมฉายอยู่แต่มันก็สะดุดตาไม่น้อย ชายหนุ่มเลือกที่จะรออย่างใจเย็น รอฟังคนตรงหน้าตอบคำถามที่ดูจะตอบยากเสียเหลือเกิน
“ให้พวกที่อยู่ในคุกใต้ดินกระหม่อม” คำตอบเรียบง่ายหากเรียกความเงียบให้ครอบคลุมทั่วบริเวณ วิรัลเลิกคิ้วและดูเหมือนเธราจะได้ยินเสียง ‘หึ’ เบา ๆ จากคนตรงหน้า
“ข้าคิดว่าเราคงจะต้องคุยกันหลายเรื่องนะเธรา”
นี่เป็นครั้งแรกที่วิรัลเสด็จมายังตำหนักท้ายบึง สายตาคมกวาดมองทั่วบริเวณอย่างแปลกใจ ไม่มีอะไรสักอย่างที่บ่งบอกว่านี่คือตำหนักของพระสนมเอก ผู้มีสิทธิ์รองลงมาจากเขา สมุนไพรมากมายถูกแบ่งแยกหมวดหมู่ตามคุณสมบัติอย่างชัดเจน ทั้งผักสวนครัวที่แตกยอดออกผลเต็มไปหมดบ่งบอกถึงการดูแลอย่างดี
นางกำนัลประจำตำหนักนำน้ำใส่ถาดมาถวาย ก่อนถอยไปนั่งชิดผนังริมระเบียงรอรับใช้เจ้านายยามเรียกหา หากแต่ทิ้งระยะห่างพอให้ความเป็นส่วนตัว เธราเดินตามมานั่งลงตรงข้ามพระสวามี แม้จะยังคงใส่เสื้อผ้าชุดเดิมแต่ดูสะอาดสะอ้านขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“มีอะไรจะบอกข้าไหม พระสนมของข้า”
คำพูดที่ฟังดูธรรมดา แต่เธรากลับขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ท่าทางของคนตรงหน้า ทำไมเธราถึงรู้สึกว่าองค์วิรัลกำลังกวนอารมณ์เขาอยู่นะ
“หม่อมฉันกำลังจะเย็บฟูกกับนวมให้พวกที่ถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินกระหม่อม” เธราตอบออกไปอย่างจนใจจะเลี่ยง ถ้าหากองค์วิรัลอยากรู้ยังไงสักวันเขาก็ต้องได้รู้เพราะที่นี่คือนันทานคร
“งั้นถ้าข้าถามว่าทำไปทำไมล่ะ”
“หน้าหนาวที่นี่หนาวหนักมาก คุกใต้ดินทั้งอับชื้นไม่เคยได้รับแสงตะวัน คนในนั้นต้องอาศัยนอนบนเสื่อเก่า ๆ เสื้อผ้าก็มีแค่ติดตัว พวกเขาคงทรมานน่าดู หม่อมฉันเลยคิดว่าถ้าได้ฟูกกับนวมก็คงสบายขึ้นบ้าง”
“เจ้าอาจลืมอะไรไปเธรา” กษัตริย์หนุ่มเอ่ยเสียงเรียบราวผู้ใหญ่กำลังสั่งสอนเด็กน้อย “ที่เจ้ากำลังพูดถึงคือคุก สำหรับกักขังนักโทษ ไม่ใช่วังหรือแม้กระทั่งบ้าน คนที่ติดคุกคือพวกนักโทษหากในนั้นอบอุ่นสะดวกสบาย คนพวกนั้นคงไม่เกรงกลัวการทำผิดเพราะสบายไม่ต่างจากบ้าน”
“ถ้าอย่างนั้นพระองค์ก็อาจทรงจะลืมไปกระหม่อม” แต่เด็กน้อยตรงหน้าดูจะไม่ได้ฟังคำสอนสักเท่าไร ดวงตาสีน้ำตาลสบสายตากับคนตรงหน้าตรง ๆ ก่อนเอ่ยตอบเสียงเรียบ
“พวกที่ติดคุกใต้ดินไม่ใช่นักโทษ คนพวกนั้นเป็นทหารเป็นแม่ทัพนายกองของต่างบ้านต่างเมืองที่รบเพื่อปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง เมื่อพระองค์ทรงทำศึกและได้ชัยชนะจึงทรงจับตัวพวกเขามาขังไว้เป็นเชลย และถึงแม้จะเป็นนักโทษจริง ๆ หม่อมฉันก็คิดว่าพวกเขาสมควรได้รับการดูแลในแบบที่มนุษย์คนหนึ่งสมควรได้รับ การติดคุกคือการลงโทษให้หลาบจำ ไม่ใช่การทรมานให้ตายทั้งเป็นกระหม่อม”
เธราตอบออกไปตามที่ใจคิดแม้ลึก ๆ จะกลัวอยู่บ้าง แต่คราวนี้เขาไม่ได้เสนอหน้าไปให้องค์วิรัลทรงเห็น อยู่ดี ๆ ก็เสด็จมาหาเองแถมทรงถามอะไรเสียเยอะแยะ โดนซักไซ้มาก ๆ เขาเองก็เริ่มโมโห คำตอบเลยไม่ค่อยรื่นหูเท่าไรนัก
หลังจบคำตอบยืดยาวของเธราความเงียบก็ปกคลุมทั่วบริเวณ เงียบจนรารีที่นั่งฟังอยู่ข้าง ๆ แทบกลั้นหายใจ หากทำได้นางคงอยากจะแทรกตัวเป็นเนื้อเดียวกับผนังไปแล้ว
คนสองคนที่กำลังเผชิญหน้ากัน ตอนนี้ไม่มีฝ่ายไหนหลบตา วิรัลอธิบายความรู้สึกนี้ไม่ได้เขาไม่ได้โกรธที่คนตรงหน้าตอบคำถามด้วยถ้อยคำที่เหมือนจะต่อว่าเขากลาย ๆ แม้เขาจะไม่ชอบคนต่อล้อต่อเถียง แต่ในใจเขากลับยอมรับว่าสิ่งที่พูดนั้นคือความจริงอีกเสี้ยวที่เขา...มองข้ามไป
สุดท้ายเมื่อหมดคำพูด ผู้มาเยือนจึงเป็นฝ่ายหันไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเข้าไปอึกใหญ่ แต่รสชาติที่ประหลาดฝาดเฝื่อนจนจับลิ้นก็ทำเอาชายหนุ่มถึงกับสำลักกระอักไอ
“แค่ก ๆ ๆ น้ำอะไร เจ้าเอาน้ำอะไรมาให้ข้ากิน” คิ้วเข้มขมวดอย่างขัดใจ น้ำสีเขียวข้นกระจายเลอะไปทั่วตัว
“รารีเอาน้ำใส่ขันมาที ขอผ้าสะอาดด้วย” เธราออกคำสั่งกับรารี ก่อนขยับตัวมานั่งข้าง ๆ องค์วิรัลอย่างลืมตัวตกใจไม่น้อยเมื่ออยู่ ๆ พระองค์ก็ทรงดื่มน้ำสมุนไพรเข้าไปเสียอึกใหญ่
“ขอประทานอภัยกระหม่อม” ชายหนุ่มพูดพลางรับเอาผ้าสะอาดชุบน้ำบิดจนหมาด เช็ดตามเนื้อตัวคนตรงหน้าปากก็พูดขอโทษขอโพยไม่หยุด “หม่อมฉันเห็นพระองค์ทรงตกลงมาจากหลังม้า กลัวว่าจะมีอาการช้ำในเลยคั้นน้ำสมุนไพรมาถวาย ไม่คิดว่าพระองค์จะทรงเสวยเลยกระหม่อม ปกติต้องผสมน้ำผึ้งเสียก่อน”
วิรัลมองเห็นถ้วยน้ำผึ้งเล็ก ๆ วางอยู่ข้างแก้วน้ำจริง ก่อนเลื่อนสายตามามองคนตรงหน้าที่กำลังวุ่นอยู่กับการเช็ดคราบเลอะตามเนื้อตัวของเขา ผิวเนื้อส่วนใต้ร่มผ้านั้นขาวเนียนตัดกับนอกร่มผ้าชัดเจน พระองค์ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าตลอดเวลาสองปีของการปล่อยปละละเลย คนตรงหน้าได้ทำอะไรไปบ้าง และใช้ชีวิตอยู่มาได้ยังไงในบ้านเมืองที่ไม่คุ้นเคย ทรงจำอะไรเกี่ยวกับคนตรงหน้าแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะโกรธมากที่โดนชนเผ่าเล็ก ๆ หลอกลวง แต่แล้วตอนนี้ล่ะไม่โกรธแล้วหรือถึงได้ลงทุนมาหา วิรัลได้แต่ถามตัวเองทั้งที่สายตาไม่ได้ละไปจากภาพตรงหน้าเลย
เธรามัวแต่สาละวนกับการทำความสะอาด จนเผลอขยับเข้าใกล้คนที่หลบหน้ามาเกือบสองปีอย่างลืมตัว มือเรียวหันไปเอาผ้าชุบน้ำและบิดให้หมาดอีกรอบ ก่อนแตะผ้าลงบนใบหน้าของคนตรงอย่างเบามือ ค่อย ๆ เช็ดอย่างตั้งใจสายตาจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ จนเริ่มรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดลงมาบนหน้าผาก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณก็ต้องสะดุดกับดวงตาสีดำสนิทที่ทอดมองมาอยู่ก่อนแล้ว
‘จงทำตัวเองให้เป็นอากาศธาตุ อย่ามาให้ข้าเห็นหน้า ไม่ต้องเสนอหน้ามาปรนนิบัติข้า ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าได้ยินเสียง หรือแม้กระทั่งได้กลิ่นน้ำหอมของเจ้า’ คำพูดในอดีตฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง เธราผละตัวออกอย่างแรงก่อนเสียหลักตกลงไปที่พื้น ส่งผลให้ของที่วางอยู่ใกล้ ๆ ทั้งขันน้ำและแก้วตกกระจายเต็มพื้น
“ว้าย! ระวังเพคะ” รารีร้องอุทาน นางกำนัลรีบคลานเข้ามาช่วยเจ้านายของตน
“ขอทรงอภัย หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ” ชายหนุ่มละล่ำละลักตอบ ก่อนลุกลี้ลุกลนก้มหน้าก้มตาเก็บของจนมือไม้แทบพันกัน
ท่าทางตกใจจนลนลานของคนตรงหน้าทำเอาวิรัลเริ่มไม่พอใจ ท่าทางที่แสดงออกมาของเธราไม่ใช่อาการเขินอายหรือประหม่า ออกจะเป็นแนวหวาดกลัวความผิดเสียมากกว่า วิรัลไม่เข้าใจมากลัวอะไรเขาทั้งที่เมื่อกี้ยังเถียงฉอด ๆ ทำไมพอเข้าใกล้เพียงนิดถึงออกอาการเสียขนาดนั้น
“เป็นอะไร กลัวอะไรนักหนาเธรา” วิรัลลุกขึ้นคว้าแขนช่วยพยุง ร่างของเธราสะดุ้งตกใจหันไปมองคนที่อยู่ดี ๆ ก็มาคว้าหมับโดยไม่ทันตั้งตัว
“หม่อมฉันไม่ได้ อ๊ะ!!” เธราอุทาน ก่อนยกมืออีกข้างขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้าย
“เป็นอะไร?” วิรัลเอ่ยถามพลางดึงคนตรงหน้ามาใกล้ ๆ ใบหน้าของเธราเหยเกนิด ๆ มือข้างที่กุมหน้าอกด้านซ้ายออกแรงขยุ้มลงไปก่อนจะกำมือและทุบลงไปหนัก ๆ สองสามที
“ทำอะไรเธรา เป็นอะไร” คราวนี้เป็นวิรัลเองที่ยื้อมือข้างที่ทำร้ายตัวเองของเธราไว้
“พระสนมทรงเป็นอะไรเพคะ” รารีเอ่ยถามอย่างร้อนใจในท่าทางแปลก ๆ ของพระสนม
“ไปตามหมอหลวงเร็ว!!” วิรัลออกคำสั่ง
“ไม่ต้องรารี” เธราออกปากห้าม “หม่อมฉันไม่เป็นอะไรกระหม่อม แค่รู้สึกแปลก ๆ” หันไปตอบคนที่ประคองอยู่
วิรัลมองคนที่บอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรทั้งที่คิ้วยังขมวดมุ่น “แปลกยังไง”
“หม่อมฉัน... รู้สึกว่า หัวใจมันเต้นผิดปกติเหมือนกำลังเหนื่อยหรือกำลังอยู่ในสถานการณ์อันตราย แล้ว...แล้วหม่อมฉันก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อตัวเองซ้ำไปมา”
ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากถามอะไรต่อ คาเซกับทหารอีกสามคนก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน เขาทำความเคารพนายเหนือหัวของตัวเองก่อนหันมาทำความเคารพเธรา
“เกิดเรื่องที่ประตูวังพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันตามหาพระองค์ซะทั่ววังไม่คิดว่าจะทรงประทับอยู่ที่นี่”
“เกิดเรื่องอะไร?”
“สิงห์รากระหม่อม สิงห์ราบุกมาที่ประตูวัง ตอนนี้หม่อมฉันให้ทหารรับมือไว้ แต่คิดว่าคงต้านได้อีกไม่นาน นายกองที่มีฝีมือของเราตอนนี้ก็ออกลาดตระเวนหมดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“สหัสน่ะเหรอ” เธราถามออกไป หัวใจเต้นแรงกว่าเดิม เสียงเรียกชื่อตัวเองที่ก้องอยู่ในหัวยิ่งกังวานมากขึ้น ทำไมกันเธราเองก็ไม่เข้าใจ
วิรัลเองกลับเป็นฝ่ายที่เข้าใจอะไรเร็วที่สุด ชายหนุ่มคว้าแขนของเธราเดินลิ่วไปยังหน้าประตูวังที่กำลังเกิดเรื่องทันที
เมื่อไปถึงร่างของทหารนับสิบนอนหมดสติอยู่บนพื้น สิงห์ราตัวใหญ่ในร่างครึ่งสัตว์ถูกพันด้วยโซ่เส้นเขื่อง ทหารสี่ห้าคนกำลังช่วยกันดึงโซ่คนละด้านอย่างทุลักทุเล ร่างที่มีเรี่ยวแรงเกินมนุษย์ออกแรงสะบัดจนทหารที่จับโซ่อยู่กระเด็นไปกองกับพื้น พร้อมเสียงคำรามอย่างขัดใจดังกึกก้อง
“สหัส” เสียงเรียกอันอ่อนโยนดับอารมณ์คลุ้มคลั่งเกรี้ยวกราดของสหัสลงได้ฉับพลัน ร่างสูงใหญ่ครึ่งสิงห์หันมามองเจ้าของช้า ๆ เสียงหอบหายใจฟืดฟาดยังดังกังวาน
เธรายกมือห้ามทหารที่เตรียมพร้อมอยู่รอบตัว ก่อนเดินเข้าไปหาสหัสที่ตอนนี้หน้าท้องด้านซ้ายอาบไปด้วยเลือดสีน้ำเงินเพราะมีกริชเล่มใหญ่ปักคาอยู่ ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ช้าๆ จ้องมองร่างตรงหน้าตาไม่กะพริบ น่าแปลกที่เขากลับรับรู้ถึงความเจ็บปวดและกังวลใจของสิงห์ราตรงหน้า อุ้งมือขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยกรงเล็บคมเอื้อมมากุมมือเจ้าของชีวิต ก่อนนำไปจับด้ามกริชที่ฝากคมไว้ในร่าง สิงห์ราพยักหน้าและคำรามเบา ๆ ในลำคอเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง เธรารับรู้ได้ทันที ชายหนุ่มกำด้ามกริชไว้แน่นแล้วออกแรงดึงจนกริชหลุดพ้น เสียงคำรามดังกึกก้องด้วยความเจ็บปวด ร่างครึ่งสัตว์กลับกลายเป็นคนเต็มตัวทันที
“ข้าบอกให้กลับบ้าน ทำไมถึงบาดเจ็บกลับมา”
ยังไม่ทันได้คำตอบร่างตรงหน้าก็หมดสติลงเสียก่อน เธราขอร้องให้ทหารช่วยนำร่างของคนเจ็บกลับไปยังตำหนักท้ายวัง แพทย์หลวงถูกตามตัวมาทันที เมื่อทำแผลเสร็จเรียบร้อย ความสงบก็กลับมาครอบคลุมตำหนักอีกครั้ง
ร่างของสหัสนอนหมดสติ สีหน้าซีดเผือดจากการเสียเลือดมาก มีรารีคอยดูแลทำความสะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เธรามองกริชในมืออย่างกังวล
“เพราะพระสนมทำสัญญาเลือดเป็นนายสิงห์ราแล้ว พระองค์เลยทรงรับรู้ความรู้สึกของสิงห์ราได้พ่ะย่ะค่ะ” คาเซไขความกระจ่างให้เธรา เมื่อดูเหมือนเจ้าตัวยังกังวลกับอาการแปลก ๆ ของตัวเอง
“ข้าพอเข้าใจนะคาเซ แต่ว่า...” เธรามีท่าทีลังเลก่อนส่งกริชให้วิรัลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “หม่อมฉันกังวลเรื่องนี้มากกว่า”
วิรัลมองกริชในมือก่อนขมวดคิ้ว “อักษรเวท” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาเมื่อเห็นอักขระที่สลักอยู่บนกริช
“อักษรเวทตอนนี้พวกที่ใช้ก็มีแต่พวกนอกรีต พวกพ่อมดแม่มดนี่กระหม่อม” คาเซบอกก่อนรับกริชจากวิรัลมาดู
“ก่อนสหัสหมดสติข้ารู้สึกว่าเขาพยายามบอกบางอย่าง เสียงมันดังอยู่ในหัวเหมือนที่ข้าได้ยินชื่อตัวเอง” เธราชั่งใจอยู่เป็นครู่ก่อนเอ่ยออกไปอย่างกังวล “เขาบอกว่า...อันตราย กองทัพเลือดกำลังมา”
“กองทัพเลือด? กองทัพในตำนานของพวกจอมเวทแห่งกัชธา เมืองแห่งเวทน่ะรึ” เป็นวิรัลที่เอ่ยออกมา
“แต่เมืองกัชธา ปิดตัวเองอยู่หลังม่านหมอกเวทมาจะร้อยปีแล้วนะกระหม่อมหลังจากเหตุการณ์นั้น” คาเซตอบเหนือหัวของตัวเอง
“แต่ม่านหมอกเวทเริ่มจางลงเรื่อง ๆ ติดต่อกันมาเกือบปีแล้วนะคาเซ” เธราพูดออกไป เขาออกไปหาชาวบ้านตามหมู่บ้านที่อยู่เขตชายแดนเมืองหลวงบ่อย ๆ ข่าวลือเรื่องการเจือจางของหมอกเวทเริ่มลือสะพัดมาสักพักแล้ว
“เจ้ารู้ได้ยังไง” วิรัลถามอย่างสงสัย ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้
“เป็นข่าวลือของพวกชาวบ้านตามชายแดนเมืองหลวงกระหม่อม”
“เจ้าออกไปตามชายแดนเมืองหลวงรึ”
“ใช่กระหม่อม เมื่อปีกลายไข้สามราตรีระบาด หมู่บ้านตามชายแดนเมืองหลวงป่วยกันหนัก ยาที่ส่งไปจากเมืองหลวงก็ไม่ค่อยจะถึง พวกทหารแอบเอาไปขายกันซะเยอะ กว่าจะรักษากันจนทุเลาก็เป็นเดือนกระหม่อม”
“เจ้าจะบอกว่ามีทหารลอบนำของหลวงไปขาย ชาวบ้านเจ็บป่วยกันหนักหนาแต่ข้าไม่เคยรู้เลยสินะ” วิรัลเอ่ยขึ้นมา ส่งผลให้คนที่เพิ่งหลุดปากพูดออกไปตาโตรีบแก้ตัว
“เอ่อ...หม่อมฉันไม่ได้ว่าพระองค์เอาแต่ทรงออกรบจนละเลยประชาชนนะกระหม่อม” คำแก้ตัวที่เหมือนจะฝังกลบตัวเองลงดินมากขึ้นทำเอาเธราอยากตีปากช่างพูดให้หนักสักที คาเซที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงขั้นหลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจคนโดนว่าที่ยืนหน้านิ่งอยู่ข้าง ๆ
“เธรา...นับตั้งแต่พรุ่งนี้ เจ้าจะต้องขึ้นไปหาข้าที่ตำหนัก และเขียนรายงานให้ข้าวันละหนึ่งเรื่อง ว่าตลอดสองปีที่ผ่านมาเจ้าทำอะไรไปบ้าง บอกข้าหน่อยพระสนมของข้า ว่านอกจากเรื่องรบที่ข้าถนัดมีอะไรที่ข้ายังไม่รู้”
คำสั่งกะทันหันที่ได้รับทำเอาเธราหน้าเหวอ ชายหนุ่มหันไปหาคาเซอย่างต้องการตัวช่วยแต่ดูเหมือนไม่ได้ผลเมื่อคาเซส่ายหน้าให้อย่างไม่ไยดี
“แต่ว่ากระหม่อมมีงานต้องทำ”
“ขึ้นไปหลังเจ้าทำงานเสร็จ หากงานที่เจ้าว่ามันเยอะนักให้นางกำนัลมาช่วย”
“แต่ว่า...”
“นี่เป็นคำสั่ง!” วิรัลพูดสั้น ๆ ก่อนเดินจากไปโดยไม่สนใจคำโต้แย้งอีก
“คาเซ ข้าไม่อยากไป” คนโดนลงโทษหันไปบอกคาเซอย่างจนปัญญา
“เจอกันพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะพระสนม หม่อมฉันจะให้นางกำนัลเตรียมชากุหลาบที่พระองค์ทรงโปรดไว้ถวาย” คาเซทำความเคารพก่อนเดินตามวิรัลไป ไม่ได้สนใจพระสนมเอกที่ทำท่าจะเป็นจะตายเลยสักนิด
***
มาต่อแล้วคะ ชอบไม่ชอบยังไงติชมคอมเม้นบอกกันได้เลยค่าา จะปรับปรุงให้ดีขึ้นค่ะ
**ขอบคุณที่่รัก เธรากันนะคะ
ฝากเธรากับวิรัลด้วยนะคะ
นิยายเรื่องนี้เป็นแฟนตาซี อะไรก็เกิดขึ้นได้ค่าา