CHAPTER 1
“ผมกลายมาเป็นพ่อคน” จากตอนแรกที่ใช้ชีวิตแบบชายโสดคนเดียว ตอนนี้ผมมี ‘ลูก’ มาแล้วหนึ่งคน
ช่วงเลี้ยงพระพายแรกๆ ผมรู้สึกคิดถึงพ่อกับแม่ของตัวเองขึ้นมาจับใจ ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าการดูแลเด็กจะยากถึงเพียงนี้ ยังดีที่พระพายเป็นเด็กเอาการเอางาน ไม่ทำตัววุ่นวายหรือน่าปวดหัว นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังจัดการกับเธอได้
แต่ดูเหมือนผมจะมีปัญหานิดหน่อยเข้าเสียแล้ว “พระพายปิดเทอมวันไหนคะ”
“วันที่ยี่สิบห้าค่ะ”
คำตอบนั้นทำให้ผมอยากจะกุมขมับเสียจริงๆ มันอีกแค่ห้าหกวันเองไม่ใช่เหรอ!
ผมยุ่งกับงานใหม่ของตัวเองตลอดเกือบเดือนที่ผ่านมาที่รับพระพายมาอยู่ด้วย งานผมไม่ได้เลิกเย็นอะไร ยังสามารถปล่อยให้พระพายอยู่ที่โรงเรียนได้ก่อนที่จะไปรับหลานประมาณห้าโมง แต่ใช่... นั่นมันในกรณีที่พระพายเปิดเทอม ผมไม่ได้คิดไว้ก่อนเลยว่าจะดูแลหลานอย่างไรตอนช่วงแกปิดเทอม
ครั้นจะเอาไปอยู่กับบ้านของพ่อแท้ๆ ผมก็ไม่อยากไว้วางใจ คุณปฐพีมีงานทำ ในขณะที่ภรรยาของเขาว่างงาน ถ้าเอาไปฝากก็เท่ากับเอาไปอยู่กับต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องรับแกมาอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ ถ้าหากหล่อนคิดจะผลักพระพายตกบันได หรือเกิดบีบคอแกในอารมณ์ชั่ววูบผมจะทำอย่างไรกัน
“เดี๋ยวพระพายนอนดีกว่าเนอะ” ผมเอ่ยขึ้นมาเมื่อเหลือบดูนาฬิกา พบว่าตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มครึ่ง “พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะ เดี๋ยวอาพาไปส่งแต่เช้า” เตือนนิดหน่อยเพราะว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ เดี๋ยวเด็กจะเคยตัว
“ค่ะ” พระพายพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปที่ห้องนอนของแกซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับห้องของผม
ปัง...
ทันทีที่มือเล็กๆ นั่นปิดประตูลงผมก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
ผมรับพระพายมาอยู่ด้วยแล้วเกือบเดือน หลานเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมลำบากใจเลยแม้แต่น้อย ไม่มีท่าทีงอแงว่าอยากกลับไปหาพ่อแต่อย่างใด มันผิดวิสัยเด็กวัยนี้ ผมพยายามจะพาแกไปหาพ่อทุกวันเสาร์ ถ้าหากไม่เช่นนั้นคุณปฐพีก็จะมาหาแกเอง มันคงชดเชยความเหงาของพระพายได้บ้าง
ผมพยายามจะเป็นพ่อและเป็นแม่ให้กับแก แต่บางทีนั่นอาจจะยังไม่ดีพอ...
เดิมทีผมทำงานในอเมริกา พอเรียนจบผมก็ได้ทุนไปต่อโทที่นั่น ผมเลยตั้งใจจะอยู่ยาวเลย แต่เผอิญว่าเกิดเหตุที่พี่สาวผมเสียซะก่อน ช่วงนั้นผมคิดไว้แล้วว่าถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาอยู่บ้านของพ่อกับแม่แห่งนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปทำงานที่นั่นใหม่ ลูกสาวคนเดียวของพี่เพลง หรือก็คือหลานสาวคนเดียวของผมก็ไปอยู่กับคุณปฐพี ซึ่งเป็นพ่อของแก ผมค่อนข้างจะไว้ใจในระดับหนึ่งเมื่อตอนนั้น โอเค... ถ้าว่ากันตามจริงแล้วผมไม่ค่อยชอบเขาหรอกนะ หลังจากที่เขาหย่ากับพี่เพลงเพราะสาเหตุการนอกใจ ยังดีที่คอยจ่ายเงินส่งเสียพระพาย และยังคอยมาหาลูกตัวเองบ่อยๆ เรียกได้ว่าเขาจบกับพี่เพลงด้วยดี มันก็ดูจะไม่มีปัญหา
แต่เมื่อเกือบสองเดือนก่อนผมได้รับโทรศัพท์จากคุณปฐพีว่าพระพายตกบันได สาเหตุเพราะภรรยาใหม่ผลักแกมันทำให้ผมทนไม่ได้ รีบทำเรื่องในการขอย้ายมาทำงานบริษัทในเครือเดียวกับที่ผมทำงานเมื่อตอนนั้นซึ่งตั้งอยู่ในไทย โชคดีที่ผมเป็นพนักงานที่ดีมาตลอด อันที่จริงทางบริษัทเคยถามผมไปแล้ว แต่ผมปฏิเสธ ครั้งนี้เลยจัดการง่ายหน่อย
พอผมรับพระพายมาอยู่ด้วยปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือเรื่องเวลา ปกติผมจะไปส่งพระพายเรียนตอนเช้า พอเย็นก็ไปรับ พอวันเสาร์ก็พาหลานไปเจอคุณปฐพี และวันอาทิตย์พวกเราก็จะอยู่บ้าน มันเป็นแบบนี้มาตลอด เพียงแต่ว่าหลังจากนี้คงลำบากแล้ว ในเมื่อพระพายปิดเทอมผมก็คงไม่สามารถฝากแกไว้กับที่โรงเรียนได้
...จะทำอย่างไรดีล่ะ ในเมื่อผมไม่สามารถหยุดงานได้ ส่วนจะพาแกไปที่ทำงานด้วยก็กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกต่างหาก
ให้ตายเถอะ... ถ้าการมีลูกจะลำบากขนาดนี้ ผมรู้สึกดีใจแล้วที่ตัวเองไม่คิดเรื่องแต่งงาน
นั่งเครียดอยู่สักพักสุดท้ายผมก็เลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรหาเพื่อนสมัยมหา’ ลัยซึ่งเป็นน้อยคนที่ยังติดต่อจนถึงวัยที่อายุเฉียดเลขสามแบบนี้
[ ว่าไงไอ้หมาพ่อลูกอ่อน ]
“เชี่ย” คำแรกที่ยกให้มันเลย ไม่รู้จะเอ่ยคำไหนได้ดีกว่านี้แล้วจริงๆ “เป็นบ้าอะไรของมึง”
[ อ้าวๆ ก็นานวันมึงไม่เคยโทรหากูเลย นึกว่าเลี้ยงลูกจนบ้าไปแล้วซะอีก ]
...อยากวางสายว่ะ คือคิดผิดแล้วที่โทรหาไอ้ธามมัน
ธามเป็นเพื่อนผมตั้งแต่เรียนมหา’ ลัยแล้ว ตอนนั้นไม่สนิทกันหรอกนะแต่เผอิญว่าได้ทุนไปเรียนต่อโทที่อเมริกาเหมือนกัน อยู่ด้วยกันจนรู้ตับรู้ไตรู้ไส้รู้พุงหมดแล้ว หลังจากนั้นผมเลือกที่จะอยู่ทำงานที่นั่นต่อ ส่วนมันเลือกที่จะกลับมาบริหารธุรกิจของบ้านมัน แต่ว่าผมก็ติดต่อมันอยู่เรื่อยๆ แหละ พวกที่ยังพอติดต่อได้เหลือแม่งอยู่นิดเดียว
“กูเครียด”
[ กูไม่เลี้ยงเหล้ามึงหรอก ]
“ฟังกูก่อนได้มั้ยวะ” ผมว่าเสียงขุ่นให้มันเลิกกวนตีนสักที “พระพายจะปิดเทอมแล้ว”
[ แล้วไง? ]
“กูต้องทำงาน แล้วกูจะเอาเวลาที่ไหนมาเลี้ยงดูเขาวะ”
[ ง่ายๆ มึงก็หาแม่เด็กสักคน ] ผมกุมขมับกับคำตอบนั้น มันคิดว่าแม่เด็กมันจะหาได้ง่ายๆ ในอีกห้าหกวันวะ อีกอย่างเข้ามาแม่งจะวุ่นวายแค่ไหนก็ไม่รู้ เกิดเป็นแบบเมียคุณปฐพีทำยังไง
“กูคิดผิดแน่ๆ เลยที่โทรมาหามึง”
[ เออ รู้ก็ดี ] ...มึงช่วยทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีหน่อยได้มั้ยวะเนี่ย [ แล้วสรุปมึงมีอะไรให้กูช่วยรึเปล่า ]
“หาพี่เลี้ยงสักคนได้มั้ยมึง เอามาจากบ้านมึงอ่ะ”
[ โหย จะทำได้เหรอวะ เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจไม่ดีนะเว้ย บ้านกูก็มีเหลืออยู่แค่สามคน ] คำตอบของมันทำให้ผมจนปัญญา อย่างน้อยมันก็บอกว่าเดี๋ยวจะลองติดต่อให้แต่มันก็ไม่รับปากอยู่ดี
ไอ้ครั้นจะไปหาคนในเน็ตก็ไม่กล้าเลยพยายามจะหาจากคนใกล้ๆ ตัว มันจะมีคนใกล้ตัวที่ไหนล่ะวะ สังคมผมในประเทศไทยก็เหลืออยู่ไม่กี่คน ครอบครัวก็ไม่เหลือแล้ว ที่ทำงานก็เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ไม่ค่อยมีมิตรกับใครเสียด้วย ถ้าไม่ไหวจริงๆ ผมคงต้องพูดกับคุณปฐพีเสียละมั้ง
ถามไถ่กันอีกไม่กี่คำผมก็วางสาย มันพยายามชวนผมไปดื่มด้วยในสุดสัปดาห์นี้แต่ผมปฏิเสธไปก่อนเนื่องจากเป็นห่วงหลาน
ผมวางโทรศัพท์ไว้ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องของพระพายซึ่งเป็นห้องที่ผมจัดแต่งขึ้นใหม่ให้แกโดยเฉพาะ เดิมทีบ้านหลังนี้เป็นบ้านของพ่อ พี่เพลงเองก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นหลังจากที่พ่อเสีย (แม่ผมเสียตั้งแต่ผมยังเด็กๆ แล้ว) บ้านหลังนี้เป็นกรรมสิทธ์ของพี่เพลงซึ่งพี่เพลงให้เช่ามาตลอด จนเมื่อสามเดือนก่อนผู้เช่าหมดสัญญาเช่าเลยได้โอกาสย้ายออก ตอนแรกๆ ผมให้คุณปฐพีจัดการให้ก่อน พอผมกลับมาเลยถือโอกาสมาอยู่ซะเลย
ไฟในห้องปิดสนิท ผมเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบเนื่องจากกลัวหลานจะตื่น ก่อนที่จะค่อยๆ ไปที่เตียง เสียงหายใจสม่ำเสมอทำให้ผมรู้ว่าพระพายหลับลงแล้ว
ผมก้มหน้าลงจูบหน้าผากหลานเบาๆ อย่างรักใคร่
“ฝันดีนะพระพาย” ...ผมได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ดีของแก
ทำไมวันนี้งานต้องเสร็จช้ากว่ากำหนดด้วยก็ไม่รู้ ปกติผมไปรับพระพายก็ห้าโมงกว่าเข้าไปแล้ว วันนี้ผมกลับได้ออกจากที่ทำงานเกือบหกโมง ยังโชคดีบ้างที่บริษัทผมอยู่ใกล้กับโรงเรียนของหลาน แต่ปัญหาคือเวลานี้เป็นเวลาที่รถติด ผมยอมแพ้ที่จะนั่งรถเมล์เหมือนกับทุกวันแล้ววิ่งไปรับพระพายที่โรงเรียนเห็นทีจะดีกว่า เห็นทีผมต้องคิดเรื่องซื้อรถจริงๆ จังๆ เสียแล้ว
“วันนี้งานเลิกช้าหรือคะ” ทันทีที่ผมเดินเข้ามาในโรงเรียนอนุบาล ครูประจำชั้นของพระพายก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ
“ครับ... ขอบคุณครูน้ำมากที่อยู่ดูพระพาย” ผมตอบอย่างอ่อนแรง
“พยายามเข้านะคะ” คุณครูว่านวารีว่าด้วยรอยยิ้มจางๆ ตามประสาคนวัยเกือบสี่สิบ ผมรู้สึกว่าเธอเป็นครูที่ใจดีมาก เด็กๆ ต้องชอบเธอแน่นอน อีกอย่างผมรู้สึกขอบคุณเธอมากจริงๆ ที่อยู่รอจนผมมารับพระพาย ปกติแล้วเธอจะอยู่ดูแลเด็กช่วงเย็นๆ อยู่แล้ว แต่ปกติจะมีเด็กคนอื่นๆ ด้วย หากแต่วันนี้เหลือเพียงหลานผมคนเดียวที่นั่งอยู่ข้างๆ แก
“น้าเพชร!” หลานสาวร้องเสียงแหลมเมื่อเห็นผมเดินเข้ามา
“ว่าไงคนเก่ง” ผมอุ้มพระพายที่กระโดดเข้ามากอดผมก่อนจะหอมแก้มซ้ายขวาอย่างรักใคร่ “ขอโทษนะคะที่มาช้า หิวมั้ย”
“ครูน้ำให้ทานขนมแล้วค่ะ” เด็กน้อยยิ้มจนเห็นลักยิ้ม
อา... นี่ก็เป็นอีกอย่างที่แกเหมือนพี่สาวของผมแหละนะ
“ขอบคุณคุณครูมากจริงๆ นะครับ” ผมเอ่ยปากขอบคุณคุณว่านวารีอีกที
“แล้วนี่ปิดเทอมจะทำอย่างไรล่ะคะ?” เธอถามถึงสารทุกข์สุขดิบไปตามเรื่อง คงเป็นเพราะเธอรู้ว่าตอนนี้ผมเลี้ยงหลานด้วยตัวคนเดียวแล้วล่ะมั้ง “จะพาน้องไปฝากไว้ที่ใครรึเปล่า”
“เอ่อ... ผมหาพี่เลี้ยงเด็กอยู่น่ะครับ แต่ไม่รู้จะได้มั้ย”
คุณครูวัยสามสิบปลายทำหน้าเหนื่อยใจ “เดี๋ยวนี้คนรับงานแบบนั้นน้อยนะคะ เราก็อยากหาคนมาช่วยดูแลลูกน่ะเนอะ” แกถอนหายใจ “คุณพชรไม่คิดจะหาแฟนบ้างเหรอคะ” ตามด้วยการว่ายิ้มๆ คล้ายล้อเลียน
“ขอผ่านล่ะครับ โสดดีกว่า” ผมหัวเราะเบาๆ กับสีหน้าเสียดายของคุณว่านวารี “งั้นเดี๋ยวผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ต้องขอบคุณจริงๆ ที่ช่วยอยู่ดูพระพายจนเย็น”
“ค่ะ ด้วยความยินดี มันเป็นหน้าที่ของครูอยู่แล้ว” ...ผมบอกแล้วว่าเธอเป็นครูที่ดีจริงๆ
ผมเอ่ยปากชวนเธอไปทานข้าวนิดหน่อยตามมารยาท แต่เธอปฏิเสธบอกว่าน้องชายจะมารับแล้ว ผมเลยได้แค่ให้คำสัญญากับหลานว่าจะกลับไปทำอาหารแบบที่แกชอบให้ทานด้วยตัวเอง ถือว่าเป็นการไถ่โทษที่มารับแกช้าด้วย
“ลาครูสิพระพาย”
“สวัสดีค่ะครูน้ำ วันนี้ขอบคุณมากนะคะ” พระพายยกมือไหว้ครูซึ่งกำลังโทรศัพท์ด้วยถ้อยคำเหมือนกับท่องจำมา ผมมองภาพนั้นยิ้มๆ ดีใจที่หลานเป็นคนมีมารยาท
“คุณพชรคะ เดี๋ยวก่อนค่ะ!”
“ครับ?” แต่พอผมกำลังจะเดินออกไปคุณว่านวารีกลับรั้งตัวผมไว้แทน
“คุณกลับไปทางรังสิตใช่มั้ยคะ”
“เอ่อ ครับ”
“น้องชายครูมารับแล้ว เดี๋ยวกลับด้วยกันมั้ยคะ น้องจะได้ไม่เหนื่อย นี่เย็นแล้วด้วย”
“แต่...” ผมกำลังจะเอ่ยปฏิเสธด้วยความเกรงใจแต่พอมองพระพาย และเงยหน้าขึ้นมาเจอรอยยิ้มของคุณครูที่แสนดีแล้วผมก็ตอบอย่างหน้าไม่อายเท่าไหร่นัก “ขอบคุณมากครับ ผมขอติดรถไปด้วยนะ”
“ด้วยความยินดีค่ะ”
“ขอบคุณครูอีกครั้งสิคะพระพาย”
“ขอบคุณครูมากค่าที่ให้หนูกลับบ้านด้วย” หลานผมพูดอย่างว่าง่าย ผมว่าพระพายเป็นคนมือไม้อ่อนอยู่นะ เป็นเรื่องที่ดีๆ
ผมคุยกับคุณว่านวารีอีกสักพัก แกมักจะให้เรื่องดีๆ ในการเลี้ยงเด็กมา คงเป็นเพราะเป็นทั้งครูอนุบาลและเป็นแม่ลูกสองแล้วล่ะมั้งถึงมีวิธีการต่างๆ ในการช่วยผมได้มากขนาดนี้ เผื่อทุกคนลืมว่าผมเป็นคนโสดที่ไม่มีประสบการณ์ใดๆ ทั้งสิ้นในการเลี้ยงเด็กนะครับ... แถวๆ บ้านผมก็ไม่ค่อยมีคนที่เป็นแม่เสียด้วยสิ ส่วนใหญ่เป็นคนวัยผมนี่แหละ ถ้ามองๆ ไปผมว่าคนเขาก็คงแปลกใจนะที่คนอย่างผมมีลูกแล้ว ยังเป็นซิงเกิ้ลปะป๋าอีกต่างหาก
ครืด~
โทรศัพท์ในมือของคุณครูสั่นเสียเสียงดัง แกหยิบมันขึ้นมารับก่อนจะกรอกเสียงลงไปทันที“ว่าไง มาถึงแล้วใช่มั้ย” คุยกันไม่กี่คำก่อนที่จะวางสาย คุณครูหันมายิ้มให้ผม “ไปเถอะค่ะ รถจอดอยู่ทางนั้น”
ผมขอบคุณแกอีกทีอย่างซาบซึ้งใจ อย่างน้อยในประเทศนี้ก็ยังมีน้ำใจดีๆ ให้กับเพื่อนร่วมโลกอยู่ล่ะนะ
รถโฟลก์สีขาวจอดอยู่ที่หน้าโรงเรียนอนุบาลเล็กๆ แห่งนี้ คุณว่านวารีเดินเข้าไปเปิดประตูนั่งก่อนที่จะเอ่ยปากบอกกับคนในรถซึ่งแกบอกผมว่าเป็นน้องชายของตัวเองว่ามีผมมานั่งด้วย
“ขึ้นมาสิครับ”
“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยปากขอบคุณ รู้สึกกระดากนิดหน่อยที่ขึ้นมานั่งบนรถที่คนไม่รู้จักมักคุ้นเป็นคนขับ กำชับให้หลานพูดคำว่าขอบคุณกับน้องชายครูของแกอีกสักที ซึ่งพระพายก็ทำตามอย่างอ่อนน้อม
“ลูกน่ารักนะครับ”
ผมผงะเมื่อคนที่กำลังขับรถอยู่หันมาทักผมซึ่งนั่งด้านหลังด้วยรอยยิ้มเมื่อติดไฟแดง
น้องชายคุณครูใส่ชุดนักศึกษา ผมนึกว่าจะวัยประมาณสามสิบต้นๆ หรือไม่ก็อ่อนกว่าผมไม่กี่ปีเสียอีก ไม่คิดว่าจะห่างกับพี่สาวขนาดนี้ ที่สำคัญเป็นเด็กที่หน้าตาดีมาก ผิวพรรณดี เครื่องหน้าก็ดูดี ใบหน้าดูคมคายนิดหน่อยแตกต่างกับผู้ชายสมัยนี้ (เดี๋ยวนี้มีแต่ผู้ชายหน้าเล็กๆ เรียว ดูตี๋ๆ) แต่ว่าเป็นคนขาว ไม่ค่อยเหมือนกับคุณว่านวารีเสียเท่าไหร่
“จริงๆ เป็นหลานผมครับ” ผมหัวเราะเบาๆ “แต่แกน่ารักมากนะ” อันนี้ชมด้วยความเห่อหลานเล็กน้อย
เด็กหนุ่มหัวเราะ “อ๋อ ผมก็แปลกใจว่าทำไมคุณพ่อหนุ่มจัง”
อายุจะสามสิบนี่ยังถือว่าหนุ่มเหรอ หรืออาจจะเป็นเพราะผมเป็นพวกคนที่หน้าเด็กกว่าวัยอยู่พอควรก็ได้ละมั้ง เอาเถอะ มันถือว่าเป็นคำชม
“เลี้ยงน้องคนเดียวไม่ลำบากหรือครับ” น้องชายคุณว่านเอ่ยถามต่อ
“ไม่ครับ พระพายเป็นเด็กดี” ผมตอบยิ้มๆ “แต่ผมกำลังหาพี่เลี้ยงให้อยู่ เพราะคงไม่มีเวลาดูแลแกช่วงแกปิดเทอม”
“เหรอครับ”
“ฟ้า มีเพื่อนคนไหนทำงานพิเศษบ้างล่ะ” คุณครูเอ่ยถาม “เผื่อแนะนำได้ไง”
...เห ผู้ชายชื่อฟ้าเหรอเนี่ย? จริงๆ มันก็ไม่แปลกเท่าไหร่หรอก เพียงแต่ไม่ค่อยเหมาะกับหน้าน้อง
เขาเท่าไหร่เลยนะ
“ผมไม่มั่นใจแฮะ” ไฟจารจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว เด็กหนุ่มที่ชื่อฟ้าเลยหันกลับไปขับรถต่อ
“แต่ผมก็ว่างอยู่นะ” ผมขมวดคิ้วอย่างงุนงงกับคำพูดนั้น เห็นรอยยิ้มเจิดจ้าของน้องชายคุณครูประจำชั้นหลานตัวเองสะท้อนผ่านกระจกหน้ารถแล้วรู้สึกแปลกๆ ชอบกล
...ทำไมเด็กนี่มันดูมี ‘รอยยิ้มเทวดา’ จังวะ?
“ให้ผมเป็นพี่เลี้ยงให้มั้ยล่ะครับ
ผมรักเด็กนะ”
ผมกระพริบตาปริบๆ อย่างมึนๆ ในสถานการณ์เช่นนี้
...เออ บทจะได้มันก็ได้มาง่ายๆ เลยวุ้ยเนี่ย!------------------------------------------------------------------
มาต่อแล้วค่า <3 ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันนะ
สรุปคุณปฐพีเป็นพระเอกรึเปล่าหนอ?
ขอประชาสัมพันธ์นิดนึงค่ะ นี่เป็นเพจนิยายของเรา (ทั้งสองนามปากกาเลย)
> จิ้ม <
และมีการจองรวมเล่มนิยายชายหญิง
(ซึ่งที่นี่คงไม่สนใจแต่เผื่อไว้ 55555)
สามารถอ่านรายละเอียดได้ในลิงค์นี้ค่ะ
> จิ้ม <