แอบมารัก ... ก็ไม่บอก 20/05/2015
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แอบมารัก ... ก็ไม่บอก 20/05/2015  (อ่าน 412321 ครั้ง)

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

**http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

:|-- ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: ...
แอบมารัก ... ก็ไม่บอก

"เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริงใดๆทั้งสิ้นค่ะ ^^"

:กอด1: เนื้อเรื่องย่อ?

         จะทำอย่างไร เมื่อรู้ว่าเพื่อนสนิท(มั้ง) แอบชอบอยู่?!

        .
        .
        .
        .
        .
        ผมเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว ทำอะไรไว้ก็กล้าทำกล้ารับ...

       "ที่จริงกูก็ไม่อยากจะพูดสักเท่าไหร่... แต่เรื่องที่มึงแย่งหัวใจของกูไป แน่ใจว่าจะรับผิดชอบ"

        แน่นอน...

        กูไม่รับผิดชอบโว้ย!!!

         

 :L2:  สารบัญ :::

ตอนที่ 1 : แมลงปอ
ตอนที่ 2 : จีบสาว
ตอนที่ 3 : คู่แข่ง
ตอนที่ 4 : เจ้านาย
ตอนที่ 5 : ค้างคืน...กับแมลงปอ
ตอนที่ 6 : มาสคอตและแซนด์วิชสื่อรัก
ตอนที่ 7 : ลอกข้อสอบ
ตอนที่ 8 : เหตุเกิดที่ร้านหมูกระทะ
ตอนที่ 9 : ความรู้สึก
ตอนที่ 10 : ปั่นปาวน
ตอนที่ 11 : อ่อนไหว
ตอนที่ 12 : เผชิญหน้า
ตอนที่ 13 : หวั่นไหว
ตอนที่ 14 : ชัดเจน
ตอนที่ 15 : ้หตุผล
ตอนที่ 16 : คุณครูจำเป็น
ตอนที่ 17 : ตะกอนหัวใจ
ตอนที่ 18 : คำตอบ
ตอนที่ 19 : ความในใจ
ตอนที่ 20 : ยอมรับ
ตอนที่ 21 : เพื่อน...แฟน
ตอนที่ 22 : ไปทะเล
ตอนที่ 23 : เจ้าของ
ตอนที่ 24 : หึงหวง
ตอนที่ 25 : ทำเค้ก...กับดิว
ตอนที่ 26 : ผู้หญิงคนนั้น
ตอนที่ 27 : มือที่สาม
ตอนที่ 28 : งานโรงเรียน
ตอนที่ 29 : แฟน
ตอนที่ 30 : ความจริง
ตอนที่ 31 : เพราะว่า...รัก
ตอนที่ 32 : เรื่องของเรา



:|-- ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: ...


เปืดจอง "แอบมารัก...ก็ไม่บอก"
By: :: Marionetta


   

(เอาหน้าปกมาให้ชมครบ 2 เล่มแล้วนะคะ สมกับการสนองนี้ดของตัวเองจริงๆ อิอิ:)


รายละเอียด

จำนวนหน้า ::: 500+ มีทั้งหมด 2 เล่มจบ
ประกอบด้วยตอนหลัก และตอนพิเศษ 6 ตอน
ราคา 700 บาท (รวมค่าจัดส่ง)
ของแถมเป็นที่คั่นจ้า

ระยะการเปิดจอง - โอน :::
1. รอบส่งกุมภาพันธ์
   ระยะจอง - โอน ::: วันนี้ - 6 มกราคม 2557

2. รอบส่งมีนาคม
  ระยะจอง - โอน ::: วันนี้ - 3 มีนาคม 2557

3. รอบเก็บตก
  ระยะจอง - โอน ::: วันนี้ - 4 พฤษภาคม 2558


สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
 http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39590.0


:|-- ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: ...

ตอนนี้มีแฟนดพจแล้ว อิอิ ช่วยกดไลด์ให้ด้วยนะคะ

★ Marionetta FANPAGE ★



Recommend  o18

 :กอด1:Adorable Couple
 :กอด1:PLAYBOY LOVER 
 :กอด1:ฺBetween us ... รักข้างเดียว
 :กอด1:Between us... รักเลื่อนขั้น
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2019 14:56:51 โดย marionatte »

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
ตอนที่ 1 ::: แมลงปอ




ถ้าหากต้องอยู่ใกล้ใครสักคนที่ไม่ชอบหน้า แถมยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณจะทำอย่างไร....






ผมรีบวิ่งผ่านประตูหน้าโรงเรียนในเวลาที่ใกล้จะเคารพธงชาติได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะวิ่งไปเข้าแถวต่อ เมื่อเห็นเพื่อนร่วมห้องที่คุ้นตา

“ไอ้ปอ...มาแต่เช้าเลยนะเว้ย” ไอ้กี้ทักทาย มันเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผมครับ

“ปากดีว่ะ” ผมบ่นพลางสะบัดเสื้อนักเรียนที่ตอนนี้ชุ่มเหงื่อ

ไอ้กี้หัวเราะรับ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อ ความเย็นที่สัมผัสกับต้นแขน ทำให้ผมต้องหันไปมอง

คนที่อยู่ตรงหน้าของผมตอนนี้ชื่อโต้งครับ โต้งเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มของผม โดยรวมแล้วเป็นผู้ชายที่ดูดีมาก ถ้าไม่ติดว่ามีโลกส่วนตัวสูงไปหน่อย ผมยิ้มตอบ ก่อนจะรับขวดน้ำที่คนตรงหน้ายื่นมาให้ดื่มแก้ร้อน

“ขอบใจว่ะ” ผมบอก พร้อมกับส่งขวดน้ำคืนให้

แต่แล้วรอยยิ้มของผมก็เริ่มหายไป เมื่อเห็นขวดน้ำเมื่อครู่ไปอยู่ในมือของใครอีกคนแทน และดูเหมือนโต้งจะอ่านสีหน้าของผมได้ คนเข้าใจยากเลยไขความกระจ่างที่ผมไม่ได้อยากรู้เลยสักนิด

“ของไอ้ดิว”

สามพยางค์ที่กระแทกใส่หน้าของผมเข้าอย่างจัง ทำให้ผมต้องหันไปมอง ก่อนจะเห็นเจ้าของขวดน้ำตัวจริงที่กำลังรับขวดน้ำคืน แล้วดื่มต่อหน้าตาเฉย ใบหน้าขาวมีเหงื่อซึมออกมารวาวกับจะบอกว่าตอนนี้อากาศมันร้อนมากขนาดไหน ผมไม่นึกสนใจ เพราะไม่อยากอารมณ์เสียตั้งแต่เช้า

วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกครับ ตอนนี้พวกเราอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นวันแรกของการเรียน ทำให้ผมปรับเวลาตื่นนอนไม่ทันเท่าไหร่นัก เมื่อผมมายืนอยู่ในแถวได้ไม่เกินห้านาที พวกเราก็เริ่มเคารพธงชาติกันตามธรรมเนียม

ทันทีที่พิธีการในตอนเช้าจบลง ผู้อำนวยการก็มาพูดอะไรเล็กน้อย เพื่อกล่าวต้อนรับปีการศึกษาใหม่ ผมไม่ได้ตั้งใจฟังหรอกครับ แต่กำลังนั่งคุยกับไอ้กี้อยู่

“นี่กูทำฉลากมา เพื่อความยุติธรรมที่มึงเรียกร้องมาตั้งแต่เทอมที่แล้ว” ไอ้กี้พูดขึ้น พร้อมกับโชว์กระดาษชิ้นเล็กที่มีจำนวนสี่ชิ้นในมือ

อย่างที่มันว่านั่นแหละครับ ก่อนหน้านี้ผมกับไอ้กี้ตัวติดกันแทบจะเป็นปาท่องโก๋ ถ้ามีมันอยู่ที่ไหนจะต้องมีผมอยู่ที่นั่น แต่แล้วความสุขกับเพื่อนซี้ของผมก็หมดลง เพราะมีมารมาผจญ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก...

ไอ้ดิว!

‘ไอ้หน้ายิ้ม’ คนที่เอาแต่ปั้นหน้าว่าชีวิตมีแต่ความสุขอยู่ตลอดเวลานั่นแหละครับ

ผมขอยอมรับแบบลูกผู้ชายวัยสิบหกปีเลยว่าเป็นคนที่นิสัยไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ยิ่งผมเป็นลูกชายเพียงคนเดียวในบ้าน ทำให้ผมมีนิสัยเสียที่เรียกว่า‘หวงของ’ ติดตัวมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

แน่นอนว่าการมีไอ้หน้าไหนก็ไม่รู้มาแย่งเพื่อนรักของผมไปแบบหน้าตาเฉยนั้น ทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจไปไม่น้อย และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเจ้าเพื่อนตัวแสบยังยินดีที่จะย้ายฝั่งไปคลุกคลีกับเพื่อนเก่าแทนที่เพื่อนปัจจุบันอย่างผมได้อย่างใจร้ายที่สุด โดยการขับไล่ที่นั่ง ซึ่งควรจะเป็นของผมให้ไอ้ดิวเพื่อนเก่าของมันด้วยเหตุผลที่ผมได้แต่มองหน้าของคนพูดตาปริบๆ

‘เอาน่า...ไอ้ดิวมันเพิ่งมาใหม่ กูว่าจะดูแลมันสักหน่อย... มึงก็นั่งกับไอ้โต้งก็แล้วกัน’

แล้วมึงเห็นกูสนิทกับใครนอกจากมึงหรือไงวะ!

สุดท้ายผมก็ได้แต่ต้องย้ายไปนั่งตามที่มันบอก เพราะหาเหตุผลที่จะยึดเก้าอี้ตัวนั้นไม่ออก ถ้าขืนบอกออกไปแบบนั้น ยิ่งฟ้องชัดเลยว่าผมเป็นพวกไร้เหตุผลเกินจะเยียวยา ถึงแม้ผมจะพูดออกไปอย่างที่ใจคิด  มันก็เป็นสิทธิ์ของเผมใช่ไหมครับ แต่เอาเป็นว่าผมเป็นผู้ใหญ่มากพอก็แล้วกัน

เอาเถอะ! ไม่ใช่ว่าโต้งเป็นคนไม่ดีนะครับ เพียงแต่ผมไม่ค่อยสนิทกับมันสักเท่าไหร่ เรียกว่าพอคุยกันได้เท่านั้น

ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็บ่นให้ไอ้กี้ฟังอยู่เรื่อยจนมันเริ่มรำคาญ และเป็นที่มาของการจับฉลากเลือกที่นั่งในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้กลับมานั่งตำแหน่งเดิมในทันที แต่การเสี่ยงดวงแบบนี้ก็ถือว่ายุติธรรมดีครับ

“มึงหยิบก่อนแล้วกัน” ไอ้กี้หันไปยื่นกองกระดาษในมือให้โต้งที่นั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่

ใบหน้านิ่งสงบนั้นเงยขึ้น แล้วหยิบเศษกระดาษขนาดเล็กที่ถูกพับไว้ไป หลังจากนั้นผมก็หยิบต่อ ก่อนที่ไอ้ดิวจะหยิบตาม และชิ้นสุดท้ายเป็นของไอ้กี้ครับ

เมื่อผมคลี่แผ่นกระดาษขนาดเล็กในมือออก สายตาก็เจอรูปก้อนเมฆที่วาดแบบเด็กอนุบาล ก่อนที่ผมจะรีบเงยหน้าขึ้นไปมองเศษกระดาษของคนที่ผมอยากจะไปนั่งด้วยทันที

“กูได้รูปพระอาทิตย์ว่ะ” ไอ้กี้บอกพลางมองกระดาษในมือของผม

ในวินาทีที่ผมกำลังจะหันไปมองรูปภาพที่โต้งได้รับ ทว่ากลับมีเสียงทุ้มดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน พร้อมกับดวงไฟแห่งความหวังของผมที่ดับวูบลง

“กูนั่งข้างแมลงปอ”

“แจ๊คพอตแล้วมึง!” ไอ้กี้ว่าพลางหัวเราะร่า

ผมได้แต่ตีหน้านิ่งสนิท ก่อนจะหันไปดูหลักฐานที่อีกฝ่ายยื่นให้ดูอย่างเต็มใจ ไอ้ดิวส่งยิ้มมาให้ ทั้งที่ผมไม่อยากจะมองหน้ามันเลย

“จับใหม่ได้ไหมวะ” ผมกระซิบถามไอ้กี้

ให้ตายเหอะ! ถึงผมจะไม่ได้นั่งกับไอ้กี้ แต่อย่างน้อยให้ผมได้กลับไปนั่งกับโต้งเหมือนเดิมก็ได้ แต่ไม่ใช่...

“ซอรี่เว้ย! ครั้งเดียวมติเป็นเอกฉันท์ ห้ามงอแงเข้าใจ?” ไอ้กี้พูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะทิ้งกระดาษแผ่นเล็กในมือลงพื้นอย่างคนมักง่าย

“เทอมนี้ไม่ได้นั่งด้วยกัน เอาไว้เทอมหน้าค่อยเอาใหม่” โต้งบอกผมราวกับปลอบใจ

ผมก็ได้แต่ฝืนยิ้มแห้งส่งไปให้ ตอนนี้ผมเริ่มขยับยิ้มไม่ออกแล้วครับ ไม่อยากจะนึกว่าหนึ่งเทอมต่อจากนี้ ผมจะประสาทเสียขนาดไหน

“แมลงปอ...เทอมนี้เราสองคนได้นั่งข้างกันด้วยอ่ะ”

“เออ! แล้วเมื่อไหร่มึงจะเลิกเรียกกูแบบนั้นสักที กูบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกว่า ‘ปอ’ เฉยๆ พอ” ผมบอกมันอย่างหงุดหงิด

นอกจากจะแย่งเพื่อนรักของผมไปแล้ว ไอ้ดิวยังทำตัวกวนประสาทด้วยการเรียกชื่อเล่นเต็มของผม

ความจริงแล้วผมมีชื่อเล่นจิ้มลิ้มน่ารักว่า ‘แมลงปอ’ ครับ สมัยยังเด็กตัวยังเล็กใครมาเรียกก็น่ารักน่าเอ็นดู แต่พอโตขึ้นผมว่าต้องมาคิดเรื่องชื่อเล่นนี่กันใหม่แล้ว

ผมจึงตัดทอนชื่อเล่นของตัวเองให้เหลือแค่ ‘ปอ’ และไม่อนุญาตให้ใครรื้อฟื้นเรียกชื่อนี้อีก ถึงจะมีคนที่รู้ว่าชื่อเล่นของผมเป็นอย่างนั้น แต่ส่วนใหญ่จะเรียกว่า ‘ปอ’ อยู่แล้ว คงไม่มีใครเพี้ยนเรียก ‘แมลง’ หรอกครับ

ดังนั้นผมเลยไม่เคยเจอปัญหาเรื่องการเรียกชื่อเล่นแบบเต็มให้รำคาญใจ นอกจากคนที่บ้าน ซึ่งผมคงไม่มีปัญญาไปห้าม

ดูเหมือนผมเป็นคนไร้สาระ แต่คนมันไม่ชอบ พอจะเข้าใจใช่ไหมครับ!

เมื่อก่อนไอ้ดิวก็เรียกผมว่า ’ปอ’ นะครับ แต่เพราะเหตุบังเอิญที่แม่เอาของที่ผมลืมไว้มาให้ที่โรงเรียน และในตอนนั้นมันยืนอยู่ด้วย ความลับที่ไม่ลับเรื่องชื่อเล่นของผมก็เลยถูกเปิดเผย นับจากวันนั้นมันก็เลิกเรียกผมว่า ‘ปอ’เแต่หันมาเรียกว่า ‘แมลงปอ’ แทน

เวรกรรมจริงๆ…

“ทำไมล่ะ กูว่า...ชื่อแมลงปอก็น่ารักดีออก” ไอ้ดิวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ถ้าไม่มองอย่างคนที่มีอคติ ไอ้ดิวก็เป็นคนที่มีอัธยาศัยดีคนหนึ่งเลยล่ะครับ แต่เพราะมันมาสร้างรอยร้าวในใจของผม ต่อให้มันเป็นคนดีแห่งชาติ ผมก็ไม่ชอบมันอยู่ดี นอกจากนั้นเรายังเคยทะเลาะกันเรื่องชื่อเล่นของผมด้วย

ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความดื้อด้านของมันหรือความหัวรั้นของผมกันแน่ แต่สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ เพราะเหนื่อยกับการต้องหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยินไอ้ตัวดีเรียกชื่อแบบนั้น

“เอาน่า...ที่จริงกูก็เห็นด้วยกับมันเหมือนกัน กูคิดว่า...ชื่อ ‘แมลงปอ’ ก็ดูแปลกดี” ไอ้กี้พูดขึ้นอย่างสนับสนุน

ตั้งแต่ไอ้ดิวเข้ามา ผมก็กลายเป็นหมาหัวเน่าไปแล้วครับ

“ต่อไปกูจะเรียกมึงว่า ’ตุ๊กกี้’ ดีหรือเปล่าวะ” ผมถามเสียงแข็ง ทว่าไอ้เพื่อนตัวแสบกลับหัวเราะรับ

“เอาสิ! กูว่าฮาดี เอาไว้กูซ้อมเต้นท่ากินตับไปด้วยดีกว่า” ไอ้กี้พูดกลั้วหัวเราะอย่างชอบใจ

“เอาเลย! กูอยากเห็น” ไอ้ดิวพูดขึ้นบ้าง ก่อนจะหัวเราะกันสองคน 

โต้งหันมาส่ายหน้า แล้วนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนในมือต่อ พร้อมกับผมที่แค่นเสียงในลำคอออกมา ก่อนจะแสร้งทำตัวเป็นนักเรียนที่ดี โดยการตั้งใจฟังผู้อำนวยการที่ไม่รู้เอาอะไรมาพูดนักหนา



:: +++++++++++++++  ::



หลังจากการปฐมนิเทศแบบย่อจบลง พวกเราก็เดินไปยังห้องเรียนห้องเดิมที่ใช้เรียนตั้งแต่เทอมที่แล้ว มีแต่คนที่นั่งข้างผมในตอนนี้ที่เปลี่ยนไป

ตอนนี้ผู้ชายที่มีความสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรกำลังนั่งลงบนเก้าอี้ ใบหน้าขาวใสหล่อเหลากับนัยน์ตาคมคู่สวยที่เรียกเสียงคลั่งไคล้ของบรรดาหญิงสาวในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้องหรือรุ่นเดียวกันกำลังทอประกายบางอย่าง

ภาพลักษณ์โดดเด่นที่ดึงดูดสายตาได้ไม่ยาก ทำให้นักเรียนใหม่อย่างไอ้ดิวที่เพิ่งเข้ามาเรียนได้แค่เทอมเดียวกลับเป็นที่รู้จักมากกว่าผมที่เรียนที่นี่มาแล้วสามปีเสียอีก

มึงนี่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ ว่ะ...

“แมลงปอ...กูลืมหยิบกล่องดินสอมา มึงมีปากกาให้ยืมบ้างหรือเปล่า” 

ไอ้ดิวหันมาถาม พร้อมกับสีหน้าที่แสดงความเกรงใจออกมา

แค่วันแรกมึงก็เบียดเบียนกูแล้ว...

ผมพยักหน้า แล้วหยิบปากกาที่มักเอาติดมามากกว่าหนึ่งแท่งเสมอให้

“กูต้องทำยังไง มึงถึงจะเลิกเรียกชื่อกูแบบนั้นสักทีวะ” ผมถาม พร้อมกับมองใบหน้าของคนที่นั่งข้างกัน ไอ้ดิวทำสีหน้าสงสัยในทีแรกก่อนจะยิ้มให้

 “ไม่รู้สิ”

ผมถอนหายใจแรงอย่างไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ เอาเป็นว่าผมจะทำใจให้ชิน ก่อนจะระเบิดอารมณ์แล้วทะเลาะกับมันเข้าสักวัน

คาบเรียนช่วงเช้าไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการแนะนำบทเรียนครับ ผมไม่ได้สนใจคนที่นั่งข้างกันอีก และนึกว่ามันไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้ ซึ่งทำให้การนั่งคู่กับคนที่ไม่ชอบหน้ากันนั้นมีความสุขขึ้น

ตอนนี้ผมกำลังนั่งจดโน้ตย่ออยู่ครับ โดยรวมแล้วผมเป็นคนหัวไม่ดีนัก แต่ใช้ความขยันเข้าสู้ ซึ่งผลตอบรับกลับมาก็คุ้มค่าครับ ส่วนใหญ่คะแนนสอบของผมออกมาดูดีจนไอ้กี้บ่นอิจฉาอยู่บ่อยๆ และเมื่อผมหันไปมองคนข้างตัวโดยไม่ได้ตั้งใจก็ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วขึ้น

ไอ้ดิวกำลังนั่งหลับอยู่ครับ อย่างน้อยมันก็เลือกทำท่าอ่านหนังสือหลับดีกว่านอนฟุบหลับไปกับโต๊ะแบบจงใจ แน่นอนว่าท่าทีแบบนั้นลบความตั้งใจของผมไปกว่าครึ่ง ทั้งที่มันทำตัวขี้เกียจแบบนี้ แต่คะแนนสอบกลับสูสีกับผมที่พยายามแทบเป็นแทบตาย

โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม!

“มีอะไรเหรอ” ไอ้ดิวปรือตาขึ้นมาถาม แต่ผมไม่ได้ตอบ พร้อมกับชักสีหน้าใส่แบบไม่สนใจ

เชิญมึงหลับไปตามสบายเถอะ...

ผมตั้งใจว่าจะไม่สนใจมันแล้วนะครับ แต่เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นแผ่วเบา ทำให้ผมคิดขึ้นมาด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า สูตรคณิตศาสตร์ชวนมึนหัวที่หน้ากระดานมันตลกตรงไหน และทันทีที่ผมหันไปมองก็ต้องเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นมันนั่งเท้าคางมองผมอยู่ก่อนแล้ว

“มองอะไร” ผมถามเสียงขุ่น

ไม่ใช่ว่ามันไม่รู้ว่าผมไม่ค่อยชอบ ไอ้ดิวมันรู้ดีเลยล่ะครับ แต่เลือกที่จะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน

“มองหน้ามึงไง”

“มองหน้ากูหาเลขหรือไง”

ไอ้ดิวยิ้มรับโดยไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองกระดานที่อยู่ตรงหน้าแทน ผมได้แต่บ่นด่าคนกวนประสาทอยู่ในใจ



:: +++++++++++++++  ::



เมื่อถึงเวลาพักกลางวัน พวกเราทั้งสี่คนก็เดินตรงไปที่โรงอาหารกันครับโรงเรียนนี้มีแค่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย โชคดีที่มีการแบ่งเวลาพักกันคนละช่วง ไม่อย่างนั้นโรงอาหารคงได้แตก

ไอ้กี้เป็นพวกตาไวครับ นี่ยังไม่รวมถึงความกว้างขวางของมันที่ดันรู้จักคนอื่นเขาไปทั่ว รวมกับใบหน้าใสเปล่งประกายของไอ้ดิวที่เดินมาด้วยกัน ทำให้พวกเราได้ที่นั่งในโรงอาหารโดยไม่ต้องเดินหากันจนเมื่อย

หลังจากที่ผมซื้อข้าวเสร็จและกลับไปที่โต๊ะอีกครั้ง ผมก็ต้องชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงข้างไอ้กี้ที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว

ผมมองหญิงสาวคนใหม่ที่คุ้นหน้ากันดี เธอมองมาที่ผม ก่อนจะหลบตา แล้วหันไปคุยกับไอ้ดิวต่อ

 ผมพยายามไม่สนใจ แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะหันไปลอบมอง ในขณะที่ผมกำลังกินข้าวอย่างตั้งใจ ทว่าไอ้กี้กลับแทงศอกเข้าที่เอว ทำให้ผมต้องเงยหน้าไปมองคนทำร้ายอย่างสงสัย

“มึงอิจฉามันล่ะสิ” ไอ้กี้พูดเสียงเบา พร้อมกับจุดยิ้มที่มุมปาก

“กูเปล่า”

“ไอ้ปอ...มึงจะบอกกูว่า...มึงไม่ได้คิดอะไรแล้ว” ไอ้กี้พูดขึ้นพลางแสร้งตีสีหน้าประหลาดใจอย่างที่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำ

“เออ! กูคิดอยู่นิดหน่อย มึงพอใจไหม กูจะกินข้าว”

ไอ้กี้หัวเราะรับ ในจังหวะเดียวกับที่ผมถอนหายใจออกมา ความสุขของมันล่ะที่ได้แหย่ให้ผมได้หงุดหงิด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2013 21:12:00 โดย marionatte »

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
ผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่นั่งข้างไอ้ดิวตอนนี้ชื่อรุ้งครับ เธออยู่คนละห้องกับผม รุ้งเป็นคนที่ผมแอบชอบตอนอยู่ห้องเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว และดูเหมือนเธอเองก็รู้แต่ไม่แสดงท่าทีอะไร จนเมื่อไม่กี่เดือนก่อนผมก็รู้มาว่า ตอนนี้เธอชอบไอ้ดิวอยู่ครับ

ผมไม่รู้ว่าสองคนนี้รู้จักกันได้อย่างไร พอรู้ตัวอีกทีรุ้งก็มักจะแวะมาทานข้าวกลางวันด้วยกันแล้ว และนี่ก็คงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผมยิ่งไม่ชอบไอ้ดิว เข้าไปใหญ่ มันจะทำอะไรก็รู้สึกขวางหูขวางตาไปหมด และที่สำคัญตอนนี้ผมยังชอบรุ้งอยู่ครับ

“เมื่อเดือนก่อนรุ้งไปเที่ยวมา แล้วซื้อของมาฝากดิวด้วย แต่ลืมหยิบมาให้” รุ้งพูดขึ้นพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย ส่วนไอ้ดิวก็ยิ้มรับหน้าชื่นตาบาน

“ไม่เห็นต้องซื้อมาให้เลย เกรงใจรุ้งเปล่าๆ” ไอ้ดิวตอบ

ผมได้ยินแล้วรู้สึกหมั่นไส้มันขึ้นมา บางทีผมอาจเป็นคนขี้อิจฉาอย่างที่ไอ้กี้บอกก็ได้

“ไม่หรอกจ๊ะ รุ้งตั้งใจซื้อมาให้”

“จริงเหรอ... ทำไมเอามาฝากไอ้ดิวคนเดียวล่ะครับ ไม่เอามาฝากคนอื่นบ้าง” ไอ้กี้ร้องถาม ก่อนจะตบไหล่ของผม “แบบนี้ใครบางคนก็เสียใจแย่สิ”

ไอ้กี้! มึงไม่ต้องชัดเจนขนาดนั้นก็ได้...

“รุ้งก็เอามาฝากทุกคนนั่นแหละจ๊ะ” เธอบอก ก่อนจะหันมามองผม

ผมสบตาเธอเพียงครู่เดียว ก่อนใบหน้าหวานจะเลื่อนไปมองไอ้ดิวที่พูดเรื่องของฝากที่ว่าต่อ ผมเลยเลิกสนใจ เพราะรู้ดีว่าเธอไม่เคยนึกถึงผมอยู่แล้ว

“สองคนนั้นยังไม่ได้เป็นแฟนกันหรอกนะ”

ผมหันไปมองตามทิศทางของเสียงนั้น แล้วเห็นโต้งที่กำลังดูดน้ำพลางมองคนสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกเรา ใบหน้าเรียบเฉยหันมามองผมเล็กน้อย ก่อนจะลุกออกไปก่อน

ผมถอนหายใจออกมา ในเมื่อไอ้ดิวเองก็เป็นพวกมีอัธยาศัยดี ส่วนรุ้งก็เป็นผู้หญิงที่ร่าเริงคุยง่าย พอได้มารู้จักกันอะไรก็ดูลงตัวไปหมด ไม่เหมือนผมที่เป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง

“ก็อย่างที่ไอ้โต้งมันว่า มึงยังไม่หมดหวังหรอกเว้ย ไอ้ปอเพื่อนรัก” ไอ้กี้พูดเสียงเบา

“กูคิดว่ามึงจะเชียร์เพื่อนมึงเสียอีก” ผมค่อนแคะขึ้นมาเล็กน้อย

“กูก็เชียร์ทั้งคู่นั่นแหละ” ไอ้กี้พูดขึ้น พร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก



:: +++++++++++++++  ::



ในที่สุดวันแรกของการเรียนการสอนก็หมดลง พวกเราเลยตัดสินใจไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าแถวนั้นเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยสำหรับเทอมใหม่

หลังจากเดินเที่ยวกันพอเป็นพิธีและไปกินไอศกรีมรองท้องแล้ว ไอ้กี้ก็เสนอความคิดว่าอยากจะร้องคาราโอเกะขึ้น พวกเราเลยอพยพไปใช้บริการที่ร้านคาราโอเกะชื่อดัง

ทันทีที่เข้าไปในห้องขนาดกลางเป็นที่เรียบร้อย ทว่าไม่ทันได้จัดแจงหาตำแหน่งของตัวเอง ไอ้กี้ก็คว้าไมโครโฟนไปกดเลือกเพลงของศิลปินคนโปรดแบบไม่รอใคร

ลองเดาดูสิครับว่า...คนอย่างไอ้กี้จะร้องเพลงแนวไหน? ป็อป ร็อค อินดี้ หรือเกาหลีที่กำลังอินเทรนอยู่ตอนนี้

ไม่ครับ.. .แนวของมันก็คือ...

“บัวลอยเจ้าเพื่อนยาก ทำไมจากข้าเร็วเกินไป บัวลอยไปอยู่ที่ไหน เคยรู้บ้างไหมโหนกคิดคำนึง ถึงบัวลอย!”

นั่นล่ะครับไอ้กี้สไตล์ มันได้รับอิทธิพลมาจากอาม่าที่เปิดให้ฟังบ่อยจนมันชอบ ที่จริงแล้วไอ้กี้เป็นคนที่ร้องเพลงเพราะครับ

เมื่อปีที่แล้วมันเคยประกวดร้องเพลงสากล และได้รับรางวัลชนะเลิศมาครองอย่างเหนือความคาดหมาย ผมที่ไม่อยากจะเชื่อเลยต้องเชื่อครับ

ผมนั่งลงบนโซฟา แล้วปล่อยให้ไอ้กี้โซโล่ไป โดยโซฟาอีกด้านหนึ่งมีโต้งจับจองพื้นที่อยู่ ทว่าเพื่อนผู้มีโลกส่วนตัวสูงกลับหยิบหูฟังมาเสียบหูแบบไม่ไว้หน้านักร้องเลยสักนิด

อะไรของมันวะเนี่ย!

ส่วนไอ้ดิวกำลังเลือกเพลงต่อไปอยู่ครับ มันไม่ได้เลือกเพลงมาร้องเองแต่เป็นฝ่ายบริการให้ไอ้กี้ เพื่อความรวดเร็วต่างหาก

หลังจากจบเพลงบัวลอย ซึ่งเป็นการเทสเสียงของตัวเองแล้ว ไอ้กี้ก็จัดหนักต่อไปแบบไมคิดจะสนใจว่าเพื่อนอีกสามคนจะอยากร้องต่อหรือไม่ ส่วนไมโครโฟนอีกอันก็วางเอาไว้เฉยๆ ครับ

ผมก็ได้แต่นั่งขำกับท่าทางการร้องเพลงจนล้นของมัน ที่จริงแล้วผมร้องเพลงไม่เก่งครับ แถมเป็นพวกเสียงเพี้ยนด้วย

“ไอ้กี้! หมดเวลาของมึงแล้ว”

ในที่สุดโต้งก็พูดขึ้น แล้วเดินไปเลือกเพลงที่สวนทางกับไอ้กี้อย่างสิ้นเชิง เมื่อไม่กี่นาทีก่อนผมยังนั่งฟังเพลงที่เต็มไปด้วยจังหวะเร้าใจและสนุกสนาน ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเพลงหวานละมุนรื่นหู ไอ้ตัวแสบทำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยพลางนั่งลงข้างผม

“ไอ้ปอ...มึงไปเลือกร้องสักเพลง” ไอ้กี้หันมาบอก

ผมส่ายหน้า พร้อมกับคนบอกที่ขมวดคิ้ว และไม่รอให้ผมได้ขัดขืนไอ้ตัวแสบก็ลากผมไปที่หน้าจอเลือกเพลง ซึ่งตอนนี้มีไอ้ดิวกำลังควบคุมอยู่

“อย่าเล่นตัวไอ้ปอ กี่ครั้งแล้วที่มึงปล่อยให้กูเอาเปรียบ ในเมื่อพวกเราก็เสียเงินเท่ากัน มันถึงเวลาที่เพื่อนอย่างกูต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องสักที”

“กูไม่ได้เดือดร้อน  มึงไม่ต้องเรียกร้องสิทธิ์นั้นให้กูหรอก” ผมตอบด้วยสีหน้ายุ่งยาก

“ไม่ได้!” ไอ้กี้พูดขึ้นอย่างไม่สนใจ แล้วหันไปหาไอ้ดิวต่อ “มึงเลิกบริการกูชั่วคราว แล้วไปเลือกมาหนึ่งเพลง ด่วนเลยครับ!”

“กูร้องไม่เป็น” ไอ้ดิวบอก พร้อมกับมองใบหน้าของเพื่อนเก่า “มึงอยากร้องก็ร้องไปสิ”

นี่คงเป็นความคิดแรกในรอบหลายเดือนที่ผมนึกเห็นด้วยกับมัน โอกาสของมึงมาถึงแล้ว จะมายัดเยียดให้กูเพื่อ!

“ไม่เอา! กูเริ่มเบื่อเสียงตัวเองกับไอ้โต้งแล้ว มากี่ทีกูก็ร้องกับมันแค่สองคน พวกมึงต้องร้องบ้าง”

ไอ้กี้ยืนยันเจตนารมณ์ของตัวเอง แล้วหันไปมองไอ้ดิวที่ทำหน้าเหนื่อยใจออกมาและผมที่ทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างที่สุด

“ไอ้ดิว...มึงอย่ามาเล่นตัว กูรู้ว่ามึงเสียงดี ส่วนไอ้ปอ...มึงก็มั่นใจหน่อยเว้ย”

ไอ้ดิวหันมามองหน้าของผม ก่อนรอยยิ้มบางจะฉายชัดขึ้น ผมไม่รู้ว่ามันยิ้มอะไร ในขณะที่ผมกำลังจะหันไปด่าไอ้กี้ที่เซ้าซี้ไม่เลิก ไอ้ตัวดีก็ดันโพล่งขึ้นมาเสียก่อน

“กูร้องกับแมลงปอก็แล้วกัน”



:: +++++++++++++++  ::



บ้าเอ๊ย!

ผมก็ได้แต่สบถอยู่ในใจ แล้วปลงกับตัวเองในวินาทีต่อมา

ตอนนี้ไอ้กี้กับโต้งนั่งอยู่บนโซฟา ส่วนผมกับไอ้ดิวก็ถือไมโครโฟนกันคนละอัน และเมื่อผมหันไปมองก็เห็นไอ้ตัวแสบที่ทำท่ากรี๊ดเหมือนสาวแฟนคลับที่มาเจอศิลปินในดวงใจจนน่าหมั่นไส้ ซึ่งผิดกับเพื่อนอีกคนที่ตอนนี้กำลังนั่งกดโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่

ผมไม่ได้เลือกเพลงนี้เองหรอกครับ แต่ไอ้กี้เป็นคนเลือกให้ ก่อนที่มันจะยัดไมโครโฟนใส่มือของผม ส่วนไอ้ดิวเองก็เอาแต่ยืนยิ้มแก้มตุ่ย ไม่ได้รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนเหมือนผมเลยสักนิด ตอนนี้ไอ้หน้ายิ้มไม่ได้มองมาที่ผม แต่ยืนมองหน้าจอที่ปรากฏชื่อเพลงขึ้นมา

‘หนุ่มบาว สาวปาน’

ไอ้กี้...มึงคิดอะไรถึงเลือกเพลงนี้มาให้กู!

ผมหันไปตั้งใจจะด่ามัน เพลงก็ดันขึ้นมาเสียก่อน ไอ้ดิวเลยอาศัยช่วงที่ผมกำลังอึ้งและโมโห แล้วชิงร้องท่อนผู้ชายพลางหัวเราะไปด้วย

มึงก็บ้าตามไอ้กี้ไปอีกคน...

“กรีดยางอยู่ใต้ไม่ปลอดภัย...มาขับวินมอเตอร์ไซค์อยู่ในกทม. ไอ้ไข่นุ้ยลูกทักษิณรูปหล่อ...ไม่ชอบเพลงฮาร์ดคอร์...ชอบเพลงคาราบาว”

ผมได้แต่ยืนมองไอ้ดิวร้องตาปริบๆ นึกไม่ถึงเลยว่าหน้าหล่อใสแบบมันจะร้องเพลงแนวนี้ได้ สงสัยคงได้รับอิทธิพลมาจากไอ้กี้แน่ โชคดีที่ผมไม่ได้ติดเชื้อนี้มาด้วย

“เพื่อนปอ...อย่าป๊อดครับ!” ไอ้กี้ตะโกนแทรก ผมก็ได้แต่ถลึงตาใส่ แล้วอ้าปากค้าง เมื่อเห็นโต้งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเหมือนถ่ายอะไรบางอย่าง

มึงกำลังทำอะไรวะเพื่อนโต้ง!

“ท่อนของมึงแล้วแมลงปอ” ไอ้ดิวพูดผ่านไมโครโฟน ผมก็ได้แต่อึ้ง

เพลงนี้ผมเคยฟังผ่านหูและเคยเห็นไอ้กี้ร้องเล่นบ้าง แต่ไม่ค่อยได้สนใจ

ตอนนี้เนื้อเพลงผ่านไปหลายวรรคแล้ว แต่ผมก็ยังเริ่มไม่ถูก

“เวอร์ชันนี้สาวปอใบ้แดก หรือเจอหนุ่มดิวเข้าไปแล้วร้องไม่ออกวะ” ไอ้กี้แซวพลางหัวเราะร่า

ผมหันไปทำหน้าบึ้งใส่ ตอนนี้ท่อนผู้หญิงจบไปแล้วครับ โดยที่ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาที่ขาดน้ำ

อะไรวะ!

จนมาถึงท่อนที่ร้องพร้อมกันอีกครั้ง ผมถึงพอจะได้ออกเสียงของตัวเองบ้าง เพราะมีเนื้อร้องที่ซ้ำกัน แต่แทนที่ไอ้ดิวจะมองที่หน้าจอ ไอ้หน้ายิ้มกลับมามองหน้าของผมแทน พร้อมกับส่งยิ้มให้ทั้งที่ยังร้องเพลงอยู่

ผมก็ได้แต่มองพลางขมวดคิ้ว เสียงที่ร้องนั้นก็กระท่อนกระแท่น เพราะต้องคอยอ่านเนื้อเพลงอยู่ตลอด

เมื่อเพลงจบลงไอ้ดิวก็หัวเราะขึ้น แล้วเดินไปแท็กมือกับไอ้กี้ ส่วนโต้งก็ส่งยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะนั่งดูโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ในนาทีนี้คงมีแต่ผมที่หน้าบึ้งอยู่คนเดียว

“ไม่เอาน่า... ขำๆ” ไอ้กี้บอก ก่อนจะส่งยิ้มมาให้ ผมถอนหายใจ แล้วตบกะโหลกมันไปหนึ่งทีเป็นของตอบแทน

“เสือกเลือกเพลงที่กูร้องไม่ได้”

“มันเป็นเพลงคู่ ไม่เห็นไอ้ดิวจะมีปัญหา”

ไอ้กี้พูดเสร็จก็เดินไปเลือกเพลงต่อ ก่อนไอ้ดิวจะนั่งแทนที่ ไอ้หน้ายิ้มก็ทำหน้าที่ของมันคือการส่งยิ้มมาให้ พร้อมเสียงทุ้มที่ดังขึ้น

“สนุกดีเนอะ”

พวกมึงสนุกกันสามคนนั่นแหละ...

ผมชักสีหน้ารับคำพูดนั้น ก่อนจะหันไปสนใจโต้งที่กำลังยืนร้องเพลงอยู่แทน


TBC :: +++++++++++++++  ::





สวัสดีค่ะ ^^

มิ้นเป็นนักเขียนมือใหม่ และนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกด้วย มีอะไรก็แนะนำกันมาได้เต็มที่นะคะ

นิยายเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากต้องการให้ผู้อ่านได้พบกับความสุขและรอยยิ้มหลังจากอ่านจบจ้า ยังไงก็ขอฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

Marionetta


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2013 22:04:41 โดย marionatte »

ออฟไลน์ jilantern

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ติดตามค่ะ รอตอนต่อไปค่ะ ^.^

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
แมลงปอนี่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยยยย

ออฟไลน์ jimmyFG

  • Ich Liebe dich.
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2276
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +203/-4
    • @Facebook
 :L1: รอติดตามนะ

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
ตอนที่ 2 ::: จีบสาว


หลังจากผ่านมาได้ราวสองอาทิตย์ ผมก็เริ่มปรับตัวเข้ากับบทเรียนใหม่และเริ่มจัดตารางเวลาของตัวเองสำหรับอ่านทบทวน

แรงสะกิดที่ต้นแขนไม่ได้ทำให้ผมสนใจครับ ผมยังคงตั้งใจฟังอาจารย์ที่สอนอยู่หน้าห้อง พร้อมกับนั่งดูเนื้อหาในหนังสือ เพื่อเพิ่มความเข้าใจ เพียงครู่เดียวการก่อกวนทางกายก็หยุดลง แต่เป็นการก่อกวนทางเสียงแทน

“แมลงปอ”

ไม่สนใจครับ เดี๋ยวมันก็หยุดไปเอง...

“แมลงปอๆ”

ยังครับ อีกนิดเดียว เดี๋ยวมันก็เบื่อ...

ในที่สุดเสียงข้างตัวก็เงียบไป มันคงเลิกกวนใจผมแล้ว ผมถอนหายใจและเพ่งสมาธิกลับไปยังเนื้อหาที่อาจารย์สอนอีกครั้ง แต่ทว่า...

“โว้ย! หยุดเดี๋ยวนี้นะเว้ย!”

ซวยแล้ว!

“มีอะไรอย่างนั้นเหรอ...กนกพล”

ทุกสายตาหันมามองผมเป็นทางเดียว เพราะไอ้ดิวแท้ๆ ไม่รู้นึกบ้าอะไรถึงได้มาจี้เอวแบบนี้ ผมหันไปมองมันตาขวาง ส่วนตัวก่อเหตุกลับมองผมแบบคนไม่รู้เรื่องเสียอย่างนั้น

“ว่าไง?” อาจารย์ยังคงถามเสียงเข้ม ผมเลยต้องปั้นหน้ายิ้มส่งให้
 
“เปล่าครับ พอดีผมกำลังเรียกสมาธิตัวเองให้กลับมาน่ะครับ” ผมบอกพลางหัวเราะกลบเกลื่อน โดยไม่ลืมเอามือตบแก้มของตัวเองประกอบ

อาจารย์ก็มองมาแบบไม่พอใจนัก ก่อนจะหันกลับไปเริ่มสอนต่ออีกครั้ง แต่ดูเหมือนความซวยจะยังไม่จบ เมื่อผมที่กำลังง้างมือตบหัวของคนที่นั่งข้างกัน ในจังหวะเดียวกับที่อาจารย์หันมาพอดี

“มีอะไรอีก!”

ผมได้ยินเสียงหัวเราะของไอ้ดิวดังขึ้นมาเล็กน้อย แต่ตอนนี้ปล่อยมันไปก่อน เพราะอาจารย์ที่ยืนทำหน้าโหดกำลังจ้องผมอย่างเอาเรื่อง

“พอดีเห็นผุ่นเกาะเสื้อเพื่อนน่ะครับ” ผมตอบเสียงอ่อน แล้วหัวเราะขึ้นเหมือนไม่มีอะไร แน่นอนว่าไม่ลืมปัดเสื้อของไอ้ดิวที่ตอนนี้กำลังกลั้นขำจนตัวสั่น “เชิญสอนต่อเลยครับ”

ผมได้แต่นั่งเขม่นมองคนก่อเรื่องอย่างนึกเคืองอยู่ในใจ ตั้งแต่ที่เราสองคนนั่งด้วยกันมาระยะหนึ่ง ผมก็รู้สึกว่าสมาธิและความอดทนของตัวเองลดลง

นอกจากไอ้ดิวจะชอบกวนผมเวลาเรียนเป็นประจำแล้ว มันยังชอบนอนหรือไม่ก็เล่นโทรศัพท์มือถือระหว่างเรียนอีกด้วย ผมก็ได้แต่นับวันรอมันพลาดจะได้สมน้ำหน้าซ้ำอยู่

“มึงกวนกูทำไมวะ” ผมถามอย่างไม่พอใจ

“กลางวันนี้กินอะไรดีอ่ะ”

ผมชักสีหน้าใส่คนถามที่ทำหน้าตาไร้เดียงสา แล้วนึกหงุดหงิดกับการก่อกวนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องจนทำให้ผมเดือดร้อน

 “กูยังไม่ได้คิด” ผมตอบกลับ ก่อนจะใช้ปากกาในมือจดไปด้วย

“แมลงปอช่วยคิดหน่อย นี่มันเรื่องปากท้องที่มีผลต่อการใช้ชีวิตเลยนะ” ไอ้ดิวพูดขึ้นพลางทำหน้ายุ่งเหมือนเป็นปัญหาโลกแตก

“เรื่องของมึง” ผมบอก ก่อนจะเลิกสนใจมันแบบถาวรตลอดการเรียนในคาบนั้น


:: +++++++++++++++  ::


“เรื่องแบบนี้จะเรียนไปทำไมวะเนี่ย!” ไอ้กี้บ่นขึ้นทันทีที่อาจารย์เดินออกจากห้อง

 ตอนนี้เพื่อนในห้องส่วนใหญ่ก็เตรียมตัวออกไปพักกลางวัน โดยเฉพาะไอ้ดิวที่กระตือรือร้นเป็นพิเศษ

“เดี๋ยวก่อนทุกคน! ฉันมีเรื่องประกาศ” แววพูดเสียงดัง เธอเป็นหัวหน้าห้องครับ

“อะไรของยายนี่อีกเนี่ย” ไอ้กี้บ่นต่ออย่างไม่ค่อยพอใจ

แววกับไอ้กี้ไม่ค่อยถูกกันครับ ถ้าชนกันเมื่อไหร่ก็ต้องมีเรื่องกันเมื่อนั้นผมไม่นึกเลยว่า ผู้หญิงร่างเล็กตาโตแบบแวว จะมีวาจาเชือดเฉือนที่ทำให้ไอ้กี้ต้องกลับไปกอดขาอาม่าร้องไห้มาแล้ว!

ผมล้อเล่น... ทางที่ดีทำตามที่เธอว่าดีกว่าครับ ถ้าไม่อยากเจอด่าไปถึงโคตรเหง้าบรรพบุรุษ

“ยายนี้มันบ้าอำนาจ นี่เป็นเวลากินข้าวนะเว้ย กูหิวจะตายห่า!” ไอ้กี้หันมาบ่น พร้อมกับผมที่ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

“มึงก็ตะโกนบอกแววไปเลยสิวะ”

“ครั้งก่อนกูยังหูชาไม่หาย ปิศาจชัดๆ” ไอ้กี้บ่นต่อ แล้วทำหน้าแหย ผมหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองไอ้ดิวที่เริ่มออกอาการงอแงขึ้นมา

“กูก็หิว” ไอ้ดิวบ่นเหมือนคนที่โดนขัดใจ พร้อมกับนอนใช้แขนหนุนคางของตัวเอง

“คงใช้เวลาไม่นานหรอกมั้ง” โต้งตอบพลางหยิบหูฟังมาใส่เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย

ในเวลานี้คงมีแต่โต้งคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้อาทรร้อนใจกับเรื่องที่ตัวเองจะถูกลิดรอนเวลาทานข้าวกลางวันเหมือนสองคนก่อนหน้านี้ สรุปคือมันไม่ได้สนใจอะไรนั่นแหละครับ

“ไอ้โต้ง! ตอนนี้เป็นเวลาประชุมนะ ไม่ใช่มาฟังเพลง!”

เสียงตวาดที่ดังขึ้น ทำให้ห้องเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ โต้งเลิกคิ้วมองเล็กน้อย ก่อนจะสบตากับแววด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก ซึ่งผิดกับอีกฝ่ายที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน

แรงกดดันที่ไร้ตัวตนกำจายไปทั่วห้อง ก่อนที่โต้งจะยอมถอดหูฟังที่ใส่อยู่ออก พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความพอใจที่ปรากฏขึ้นของแวว

เอาเป็นว่า...เพื่อนของผมรักสงบ แต่ถึงรบจะขลาดหรือเปล่านั้น... ผมก็ไม่รู้นะครับ

ไอ้กี้เคยบอกผมว่า แววแอบชอบโต้งอยู่ครับ แต่เรื่องนี้ผมไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร เพราะไม่ได้สังเกตหรือจับกระแสเรื่องแบบนี้ได้นัก ผมก็ได้แต่เออออตามมันไปเท่านั้นครับ

“กูว่าชัวร์” ไอ้กี้หันมาบอกพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับ

มึงว่ายังไง กูก็ว่าอย่างนั้นแหละ ...

“อะแฮ่มๆ ฉันมาประกาศเรื่องกีฬาสีที่จะมีในดือนหน้านี้ พวกเราทุกคนจะต้องลงกิจกรรมของสี ไม่ว่าจะเป็นกีฬา พาเหรด กองเชียร์ หรืออะไรก็ได้ที่เราสามารถทำกิจกรรมเพื่อสีได้ ฉันจะให้เวลาคิดจนถึงเย็นนี้ ก่อนเลิกเรียนให้ทุกคนมาลงชื่อว่าตัวเองจะอยู่ส่วนไหน” แววพูดขึ้นอย่างมาดมั่น ก่อนจะหันมาทางผม “จริงสิดิว!”

ไอ้ดิวยกมือขึ้นรับ พร้อมกับสายตาทุกคู่ที่หันมามอง แววมองไอ้หน้ายิ้มที่ตอนนี้ทำหน้าเบื่ออยู่ ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดสมกับเป็นผู้นำ

“รุ่นพี่ฝ่ายพาเหรดขอตัวนายไป ห้ามปฏิเสธ นี่ถือเป็นคำสั่ง! ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว และอย่าลืมเรื่องมาลงชื่อ ถ้าใครโดดงานนี้เรื่องถึงฝ่ายปกครองแน่ ขอบคุณ”


:: +++++++++++++++  ::


“มึงว่า...เขาจะให้กูไปทำอะไรวะ” ไอ้ดิวหันไปถามไอ้กี้อย่างเบื่อหน่ายท่าทางเหมือนมันไม่ได้สนใจเท่าไหร่

“คงไปเดินถืออะไรในขบวนล่ะมั้ง” ไอ้กี้ก็ตอบไปตามเรื่อง “ไม่แน่...มึงอาจจะต้องไปแบกเกี้ยวหรือเสลี่ยงอะไรแบบนั้นก็ได้ หน่วยก้านมึงดีนี่”

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง...กูก็ขอบายว่ะ”

ไอ้ดิวทำหน้าเหมือนมีอะไรเหม็นๆ มาติดตรงจมูก ซึ่งเป็นสีหน้าที่ผมไม่ค่อยได้เห็นนัก ก่อนไอ้หน้ายิ้มจะหันมาหาผม

“กูฝากมึงซื้อข้าวด้วยนะ”

“กูเบ๊มึงหรือไง” ผมตอบกลับเสียงแข็ง พร้อมกับใบหน้าของคู่สนทนาที่หงอยลง ทั้งที่ผมไม่คิดจะสนใจด้วยซ้ำ แต่สีหน้าแบบนั้นกลับเล่นงานผมจนทำหน้าไม่ถูก

“เฮ้ย! อย่าใจดำนักสิวะ... มึงดูหน้ามันก่อน แม่งโคตรโทรม” ไอ้กี้หันมาพูดกับผม พร้อมกับจับใบหน้าของไอ้ดิวพลิกไปพลิกมาพลางขมวดคิ้ว “ว่าแต่มึงเถอะ…เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือไง ทำอะไรวะ? ดูหนังโป๊ไม่บอกกู” แล้วไอ้ตัวแสบก็มองอย่างเอาเรื่อง

“เรื่องล่าสุดเพิ่งส่งให้มึงไปไม่ใช่หรือไง” ไอ้ดิวตอบ แล้วหัวเราะออกมา ท่าทางโคตรหื่นเลยครับ

“คืนนี้กูจะไปค้างบ้านมึง!” ไอ้กี้พูดขึ้นอย่างจริงจัง

ทีเรื่องแบบนี้ล่ะกระตือรือร้นจริงเชียว…

“อาม่ามึงคงอนุญาต” โต้งพูดแทรกขึ้น และทำให่ไอ้กี้หน้าจ๋อยทันที

ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่...ที่ทำให้อาม่าทั้งรักทั้งหวงมัน ยิ่งกว่าจงอางหวงไข่เสียอีก

ผมหัวเราะเยาะ ก่อนจะหันไปเจอไอ้ดิวเข้าพอดี และพอสังเกตใบหน้าของมันอีกครั้ง ผมก็นึกเห็นด้วยว่ามันดูโทรมไป นัยน์ตาสีดำใสสบมองกับผม ก่อนจะส่งยิ้มบางมาให้ ทำให้ผมต้องผ่อนลมหายใจออกมา

ช่วยมันหน่อยก็ได้วะ...

“เดี๋ยวกูไปซื้อให้” ผมบอก ก่อนจะชักสีหน้าใส่ พร้อมกับไอ้ดิวที่อมยิ้มตาใสจนผมหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ใบหน้าขาวจะดูคล้ำไปบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันยังดูดีอยู่


:: +++++++++++++++  ::


ร้านขายอาหารยังได้รับความนิยมจากกลุ่มนักเรียนเหมือนเคย ผมมองอาหารในถาด แล้วยิ้มขึ้น เมื่อคิดอะไรได้บางอย่าง ก่อนจะสั่งกระเพราทะเล แกงส้ม แถมไข่พะโล้ให้มัน ส่วนของผมวันนี้เป็นผัดผักกับยำปลาดุกฟูครับ

วันนี้รุ้งยังคงมานั่งทานข้าวด้วยกันอย่างที่ผมคาดไว้ หลังจากที่ไอ้กี้พูดเรื่องของฝาก พวกเราก็ได้ผลไม้อบแห้งกันคนละกระปุก ผมว่าเธอคงเกรงใจพวกเรามากกว่า ไม่รู้ว่าลำบากไปหาซื้อให้หรือเปล่า แต่ผมก็ดีใจครับ ถึงจะรู้ว่าเป็นแบบนั้นก็เถอะ

เมื่อผมวางจานข้าวลงตรงหน้าคนฝากซื้อ มันก็ก้มลงมองอาหารในจานครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม ไอ้กี้หัวเราะขึ้นอย่างนึกรู้เจตนาของผมส่วนโต้งก็ทำหน้าประหลาด รวมถึงรุ้งที่มองอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

“ไอ้ดิว... ข้าวมึงน่ากินว่ะ” ไอ้กี้พูดกลั้วหัวเราะ

“กูว่า...มึงไปซื้อใหม่เถอะ” โต้งบอก พร้อมกับผมที่ลอบยิ้มขึ้นมา

อันที่จริงผมแอบเห็นด้วยนิดหน่อย แต่ไม่ใช่ว่ามันกินไม่ได้นะครับ ในจานมันก็ของกินทั้งนั้น แต่มันเป็นส่วนผสมที่ดูแปลกไปเล็กน้อยเท่านั้นเอง

“ไม่เป็นไร... กูกินได้” ไอ้ดิวพูดขึ้น แล้วส่งยิ้มขอบคุณมาให้ผมตามแบบฉบับผู้ชายที่แสนดี รุ้งหันมามองผมแบบไม่พอใจเล็กน้อย

สุดท้ายกลายเป็นผมเองที่เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา ผมเลยหันไปมองไอ้กี้ เพื่อหาแนวร่วม แล้วก็เป็นไปอย่างที่หวังครับ

“มันบอกว่ากินได้”

ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะกินข้าวของตัวเองต่อ บางครั้งก็แอบมองมันกินบ้าง ใบหน้าที่มักแต้มด้วยรอยยิ้มกลับนิ่งผิดจากทุกที แต่ไอ้ดิวก็กินเป็นปกติไม่ได้ออกอาการเขี่ยอาหารเล่น พะอืดพะอม หน้าแดงหน้าเขียว หรือว่าโมโหจนเอาข้าวปาใส่หน้าของผม

“เพื่อนปอ...กีฬาสีคราวนี้ มึงจะลงอะไรวะ” ไอ้กี้ถามขึ้น อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่เงียบผิดปกติไปจากเดิม เนื่องจากไอ้คนที่มักจะยิ้มหน้าบานอยู่เสมอกำลังตั้งใจกินข้าว ส่วนรุ้งก็ไม่กล้าพูดอะไรขึ้นมาเสียอีก

“แล้วมึงล่ะ?”

“กะว่าจะลงฝ่ายบริการ เผลอๆ อาจจะแอบโดดได้ด้วย”

“ถ้าแววรู้เข้า มึงคงโดนเล่นงานแน่”

“โอ๊ย! ยายนั่นน่ะเหรอ... กล้าเข้ามาสิ กูจะให้ไอ้โต้งมันจัดการ” ไอ้กี้พูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี พร้อมยักคิ้วหลิ่วตาให้ผม

“เกี่ยวอะไรกับกู” โต้งถามขึ้นอย่างสงสัยพลางเงยหน้าจากจานข้าวของตัวเอง

“เอาเถอะ! สักวันมึงก็คงจะได้รู้นั่นแหละ” ไอ้กี้พูดแค่นั้น โต้งมองคนพูดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองผมเหมือนขอความเห็นเพิ่ม

ผมก็ได้แต่ยิ้มบางส่งไปให้อย่างคนที่ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ในเมื่อผมยังไม่เข้าใจว่าไอ้กี้มันพยายามจะบอกอะไร

มึงต้องการจะสื่ออะไรวะ…

ฝ่ายบริการที่ไอ้กี้พูดถึงไม่ได้มีอะไรมากครับ แค่คอยดูแลความเป็นอยู่ของสมาชิกภายในสี เริ่มตั้งแต่ดูแลเรื่องน้ำ อาหาร รวมถึงอุปกรณ์บ้างไปตามประสา ถ้าจะเหนื่อยหน่อยก็ตรงที่ต้องคอยยกน้ำไปเสิร์ฟตรงโน้นตรงนี้ตลอดช่วงกีฬาสีนั่นแหละครับ

“อืม...กูคงลงบาสมั้ง”

ผมเคยลงแข่งบาสเกตบอลตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้เล่นจริงจังครับ ถือว่าเป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่ผมชื่นชอบ ถ้าได้เล่นปีนี้อีกก็คงจะดีอยู่เหมือนกัน

“ถ้ามึงลงบาส... งั้นกูไปลงบริการฝ่ายบาสดีกว่า จะได้ไปดูมึงเล่นด้วย” ไอ้กี้บอกอย่างร่าเริง

ถ้ามองจากภายนอกอาจจะเห็นว่ามันดูลอยชายไม่ค่อยได้คิดอะไร แต่ความเป็นจริงแล้วไอ้กี้เป็นคนที่รักเพื่อนมากครับ ผมเลยติดมันแจ และในช่วงจังหวะที่ผมกำลังจะหันไปถามโต้ง คนรู้งานก็ดันชิงพูดขึ้นมาก่อน

“กูลงพาเหรด”

งานฝ่ายพาเหรดก็ทำอุปกรณ์ที่ใช้ในขบวนนั่นแหละครับ ส่วนคนที่จะมาเดินก็เป็นพวกรุ่นน้องกับคนที่คัดเข้าไป ดังนั้นคนที่ทำงานฝ่ายนี้เลยต้องมีความคิดสร้างสรรค์มากหน่อย ดูแล้วก็เหมาะกับมันดี

 “เอ่อ...แล้วดิวล่ะ จะลงอะไรเหรอ”

 ในที่สุดรุ้งก็หาเรื่องพูดกับไอ้ดิวที่วันนี้นั่งเงียบผิดวิสัยจนได้ ส่วนความคืบหน้าของอาหารในจานที่ผมแอบดูอยู่ มันกินเกือบหมดแล้วครับ

มึงเก่งมาก!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2013 21:43:55 โดย marionatte »

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ดิวอย่าคุยกับรุ้งต่อหน้าแมลงปอมากนักสิ

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5

“ดิวโดนบังคับให้ลงพาเหรด” ไอ้ดิวตอบ ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา

พอผู้หญิงถามเข้าหน่อยก็ยิ้มออกเขียวนะ....

“จริงเหรอ! รุ้งก็ลงพาเหรดเหมือนกันจ๊ะ”

“แบบนี้ก็คงได้เจอกันสินะ”

ผมได้แต่ฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่ที่กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง มันเป็นความบังเอิญครับที่ห้องของผมกับห้องของรุ้งดันอยู่สีเดียวกัน

แล้วแบบนี้ผมเปลี่ยนใจไปลงพาเหรดด้วยดีไหม..


 :: +++++++++++++++  ::


พอเลิกเรียนเสร็จผมก็ไปลงชื่อตามที่แววบอกเอาไว้ครับ ซึ่งพรุ่งนี้เช้าจะมีประชุมสีกันอีกครั้ง ส่วนไอ้ดิวก็ถูกเรียกตัวไปทันที เพราะมีรุ่นพี่มาตาม

เรื่องกิจกรรมของโรงเรียนจะมีแค่รุ่นพี่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้าเท่านั้นที่มาดูแล ส่วนรุ่นพี่ปีสุดท้ายจะคอยให้คำปรึกษาบ้างเล็กน้อย แพราะทางโรงเรียนจะเน้นการเรียนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยมากกว่า

พวกราเดินกลับออกจากโรงเรียน ก่อนจะเหลือแค่ผมกับไอ้กี้ที่เดินเที่ยวในห้างสรรพสินค้ากันต่อตามประสาคนที่ยังไม่อยากกลับบ้าน

“มึงว่า...ถ้ากูจะจีบรุ้ง มันยังทันไหมวะ”

“หืม?”

ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไอ้กี้ถึงได้สงสัย เพราะผมเองก็สงสัยตัวเองเช่นเดียวกัน ก่อนที่ผมจะมองใบหน้าขาวกับนัยน์ตาเรียวที่ทำท่าครุ่นคิด

“ทันสิวะ คราวนี้มึงเอาจริง?” ไอ้กี้ยิ้มถาม พร้อมกับเข้ามากอดไหล่ของผม ความสูงของเราไล่เลี่ยกัน ประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตรครับ

“แล้วมึงว่า...ไอ้ดิวชอบรุ้งหรือเปล่าวะ”

เรื่องนี้ยังคาใจของผมอยู่เหมือนกัน ถึงผมจะเป็นพวกหวงของ แต่ก็ไม่ชอบแย่งของใครหรอกนะครับ ถ้าไอ้ดิวกับรุ้งชอบกันจริง... ผมก็ไม่อยากเป็นมือที่สาม ถึงโต้งจะเคยบอกผมแล้วว่า สองคนนั้นยังไม่ได้คบกันก็ตาม

“เรื่องนั้นกูก็ไม่รู้ว่ะ” ไอ้กี้ทำท่าคิด ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย “แต่มึงก็อย่าไปเอาอะไรกับไอ้ดิวเลย มันก็ทำอย่างนี้กับผู้หญิงทุกคนนั่นแหละ”

“ทำอย่างนี้...คือยังไงวะ”

“ประมาณยิ้มร่าไปทั่วอย่างที่มึงเห็นนั่นแหละ ผู้หญิงเลยติดมันไง”

ตั้งแต่ไอ้ดิวเข้ามาเรียนที่นี่เมื่อเทอมที่แล้ว เพราะความหน้าตาดีของมันเลยมีคนมาขอเบอร์โทรศัพท์ตั้งแต่วันแรกๆ ก่อนจะมาเกาะแกะกับมันอีกในสัปดาห์ถัดมา

ทั้งที่ไอ้ดิวก็ไม่ได้ดูรำคาญหรือไม่ชอบใจกลับกันยังยิ้มรับอีกด้วย แต่พอมาสังเกตดูอีกที กลับไม่มีใครมาตอแยกับมันจริงจังเลยสักคน มีแต่รุ้งเท่านั้นที่เห็นมาทานข้าวกลางวันด้วยกัน

ผมไม่ได้นึกอิจฉามันที่มีคนมาชอบจนเลือกไม่ถูก แต่รู้สึกอิจฉาที่รักครั้ง

แรกของผมก็ดันเป็นหนึ่งในผู้หญิงเหล่านั้นด้วย

“มึงต้องกล้าๆ หน่อยเว้ย! ไม่ต้องไปสนใจว่าไอ้ดิวจะชอบหรือไม่ชอบมึงชอบ... มึงก็ลุยเลย”

“มึงพูดง่ายนี่”

ข้อเสียของผม...นอกจากนิสัยติดเพื่อนและหวงของแล้ว ผมเป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเองครับ ไอ้กี้เลยชอบด่าว่าผมมันป๊อด ถึงปากจะพร่ำบอกว่าไม่ใช่แบบนั้น แต่มันเป็นแบบนั้นแหละครับ เฮ้อ...

“ไม่ต้องกลัว งานนี้เฮียกี้จะช่วยมึงเอง!” ไอ้กี้พูดขึ้นอย่างมั่นใจ นัยน์ตาเรียวเล็กปิดจนเกือบจะเป็นเส้นตรง ผมมองมันอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก

กูวางใจมึงได้หรือวะ...


 :: +++++++++++++++  ::

 
ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก…

กลอนข้างตันไม่ได้มีความนัยอะไร แค่อยากจะบอกว่าวันนี้ผมเอากีตาร์มาด้วย ถึงผมจะเสียงไม่ดี แต่ผมก็สนใจในเสียงดนตรีนะครับ

ถึงแม้กิจวัตรประจำวันของผมจะจมอยู่กับกองหนังสือ แต่เวลาว่างผมก็จมอยู่กับเสียงดนตรีเหมือนกันนะจะบอกให้

กีตาร์ตัวนี้ผมเพิ่งได้มาจากพ่อเป็นรางวัลที่ผมทำคะแนนได้ตามที่ท่านพอใจ แน่นอนว่าเหนือสิ่งอื่นใดผมไม่ได้นึกอยากได้กีตาร์ตั้งแต่แรก ถ้าหากไม่โดนไอ้เพื่อนตัวแสบมันเป่าหู   

‘เชื่อกู! ถ้ามึงเล่นกีตาร์ได้นะ รุ้งต้องชอบมึงชัวร์ กูได้ข่าวมาว่า...รุ้งชอบผู้ชายที่เล่นกีตาร์ได้’

เพียงเท่านั้นแหละครับ ผมก็เริ่มมุ่งมั่นฝึกเล่นด้วยตัวเอง ทั้งซื้อหนังสือแล้วก็ดูตามอินเตอร์เน็ต ตอนนี้ก็เล่นได้คล่องแล้วครับ พร้อมกับนิ้วที่ด้านเป็นของแถม

ผมยังไม่เคยเล่นให้รุ้งฟังอย่างที่ตั้งใจไว้หรอกนะครับ แต่ก็พอมีโอกาสเล่นให้เธอเห็นบ้าง ผมไม่กล้าแสดงออกจริงจัง เพราะผมเป็นตนขี้อายครับ

หลังจากได้ลองถามเรื่องปัญหาหัวใจกับเพื่อนสนิทแล้ว มันก็แนะนำให้ผมลองใช้วิธีที่เคยคิดจะทำ แต่ยังไม่ได้ทำแบบจริงจัง

 ผมไม่แน่ใจว่ารุ้งชอบผู้ชายที่เล่นกีตาร์ได้อย่างที่ไอ้กี้บอกหรือเปล่า แต่อย่างน้อยมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวไปข้างหน้าและเป็นความทรงจำที่มีความสุขของผม

“แมลงปอ... วันนี้มึงเอาอะไรมาด้วยวะ”

คำถามสิ้นคิดแบบนี้มีอยู่คนเดียวครับ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นกีตาร์ ผมวางกระเป๋าที่บรรจุเครื่องดนตรีชิ้นแรกของผมไว้ข้างตัว แต่ไม่ทันได้หันไปด่ากับความร้ายเดียงสาของมัน ไอ้กี้ก็กระดิกหางยิ้มร่ามาหาผมแล้วครับ

“แจ่มมากมึง!”

บางทีผมอาจจะคิดไปเองว่า มันอยากให้ผมเล่นให้มันร้องมากกว่าเล่นให้รุ้งฟัง

 โต้งหันมามองเล็กน้อย ก่อนจะหมดความสนใจแทบจะทันที ซึ่งผิดกับไอ้สองคนที่เหลือที่ดูจะสนใจผมเป็นพิเศษ

“แมลงปอเล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอ”

“กูเล่นไม่เป็น” ผมตอบเสียงเรียบ ไอ้นี่ก็ถามไม่คิด ผมก็ตอบแบบไม่คิดเหมือนกัน

“ไอ้ปอมันอย่างเซียน เชื่อกู...มันเล่นได้ทุกเพลง!” ไอ้กี้พูดสำทับอย่างกระตือรือร้น

ไอ้นี่ก็อีกคน... จะยกยอกูให้มันฟังไปเพื่อ!

ผมได้แต่บ่นอยู่ในใจ ที่จริงผมก็เล่นได้ธรรมดา ไม่ได้เก่งกาจอย่างที่ไอ้กี้โฆษณาไว้หรอกครับ

“จริงอ่ะ! เล่นเพลงชาติได้เปล่า กูอยากฟัง”

ผมมองหน้าของไอ้ดิวเลยครับ ส่วนไอ้กี้ก็ขำไปแล้วตามระเบียบ ผมยังแอบเห็นโต้งอมยิ้มด้วย สีหน้าของผมตอนนี้คงแสดงอารมณ์อย่างชัดเจน ทำให้คนก่อเรื่องต้องหันมาคลี่ยิ้มเอาใจแทน

สมกับเป็นเพื่อนเก่ากัน สุมหัวกันแกล้งกูเก่งจริงๆ...


:: +++++++++++++++  ::


คาบต่อไปหลังจากนี้เป็นคาบว่างครับ และนั่นเป็นหนึ่งในแผนการที่ผมและไอ้กี้ได้ลองปรึกษาแล้วว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด แถมมันยังย้ำว่าเรื่องแบบนี้ปล่อยทิ้งไว้นานไม่ได้ครับ เดี๋ยวจะมีใครมาตัดหน้าเราไปเสียก่อน

ผมได้ยินเสียงออดหมดเวลาเรียน ผมก็รีบเก็บของ ก่อนจะสะกิดเรียกไอ้กี้ที่นั่งอยู่ด้านหน้า

“เอาจริง?” ผมชะโงกหน้าไปถามมันเสียงเบา

“เออ! จะพิชิตใจสาวมึงต้องกล้าหน่อย” ไอ้กี้ตอบกลับ ผมก็พยักหน้ารับ แล้วรอผู้ร่วมแผนการเก็บของเตรียมตัวออกจากห้อง

“แล้วจะไปไหนกันต่อวะ” ไอ้ดิวถามขึ้น

จนถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่ามันได้ทำอะไร ถึงแม้ในใจของผมจะสงสัยแต่ไม่อยากถามครับ เดี๋ยวมันหาว่าอยากรู้

“งั้นเดี๋ยวไปเจอกันที่หน้าตึกสอง” ไอ้กี้บอก ก่อนที่ไอ้ดิวจะพยักหน้ารับโดยไม่ถามถึงเหตุผล ส่วนโต้งไปคืนหนังสือที่ห้องสมุดก่อนครับ แล้วจะตามไปสมทบกันทีหลัง

ในไม่กี่นาทีต่อมาผมกับไอ้กี้ก็มาถึงตึกสอง อย่างที่เคยเกริ่นไปบ้างแล้วว่า พวกเรามีภารกิจเล็กๆ สุดโรแมนติกที่จะต้องทำกัน

เวลาผ่านไปได้เพียงชั่วครู่ ผมก็เห็นเพื่อนร่วมห้องของรุ้งที่ทยอยเดินมาเพื่อเรียนคอมพิวเตอร์ต่อ พร้อมกับมือของผมที่เกร็งขึ้น

ให้ตายเถอะ! ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสมาทำอะไรแบบนี้ หรือผมจะถอยหลังกลับมาตั้งหลักใหม่ก่อนดี?

“รุ้งครับ!”

ไม่ทันแล้ว!

รุ้งหันมามองอย่างแปลกใจแต่ก็เดินเข้ามาหา พร้อมกับไอ้ตัวแสบที่ยิ้มรับ ส่วนผมนี่เหงื่อแตกแล้วครับ

เป็นไงเป็นกันวะ!

ผมหันหน้าไปมองไอ้กี้ ส่วนมันเองก็หันมามองผมเช่นเดียวกัน ก่อนที่มันจะพยักหน้า และเมื่อได้รับสัญญาณผมก็จับคอร์ดแรกของเพลง แล้วเริ่มดีดจนเกิดเสียง


TBC :: +++++++++++++++  ::






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2013 21:44:48 โดย marionatte »

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ปออกหักแน่ ๆ เลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
ตอนที่ 3 ::: คู่แข่ง



ผมเคยบอกไปแล้วว่าตัวเองเสียงไม่ดี

ถึงจะบอกไปแบบนั้น แต่ไอ้กี้ก็ยังบังคับแกมข่มขู่ให้ผมโชว์เสียงเพี้ยนของตัวเอง โดยจะมีมันเป็นคนร้องคลอตาม เพื่อกลบความไม่น่าฟังเอง

ขอบใจมาก! ไอ้กี้เพื่อนรัก...

ผมมองใบหน้าขาวของรุ้งที่ตอนนี้ขึ้นสีระเรื่อ ถึงแม้ผมจะร้องเพลงได้กระท่อนกระแท่นและผิดคีย์ไปบ้าง แต่เพราะมีไอ้กี้คอยประคองเสียงไว้ เพลงที่ดังขึ้นจึงไม่ได้ดูน่าเกลียดจนทนฟังไม่ได้

นอกจากเสียงเพลงที่ผมเล่นแล้ว ตอนนี้ยังมีเสียงแซวและเสียงหัวเราะคิกคักเป็นระยะ ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้ส่งเสียงดังพอที่จะกลบเสียงเพลงที่กำลังดำเนินอยู่ได้

“เธอน่ารัก...เธอสดใส ...กว่าคนไหน...ตกหลุมรักเธอ”

ผมร้องเนื้อเพลงท่อนหลัก โดยมีไอ้กี้ขับร้องเป็นคอรัสให้ ตอนนี้ผมอายมากเหมือนหน้าจะระเบิดอยู่แล้ว

“เธอน่ารัก...เธอสดใส...โปรดจำไว้...จะรักที่เธอเป็นแบบนี้” ผมร้องด้วยความเขินอาย พร้อมกับเล่นกีตาร์พลางลอบมองใบหน้าหวานที่ขึ้นสีก่ำ

เมื่อการแสดงสดจบลง ความเงียบเคลื่อนตัวเข้าโอบล้อมพวกเราเอาไว้ผมไม่กล้าเงยหน้ามองเธอด้วยซ้ำ ตอนนี้ไม่รู้จะเอามือไปไว้ที่ไหน นอกจากจับกีตาร์บนตักของตัวเองไว้แน่น

“ขอบใจนะปอ” รุ้งพูดเสียงแผ่ว เธอเองก็คงอายเหมือนกัน

ผมพยักหน้ารับ ถึงแม้จะเป็นคำพูดธรรมดา แต่กลับทำให้หัวใจของผมเต้นแรงและใบหน้าร้อนผ่าว นอกจากนั้นยังมีเหงื่อซึมที่ฝ่ามือ แต่ริมฝีปากที่เม้มเอาไว้ไม่อาจกลั้นรอยยิ้มออกมาได้

เสียงแซวกับเสียงโห่ดังขึ้นอีกครั้ง ผมไม่รู้จะทำอย่างไรเลยหันไปมองไอ้กี้ที่ตอนนี้กำลังยิ้มหน้าแป้นอยู่แทน ก่อนที่ไอ้เพื่อนซี้จะเข้ามากระซิบ

“คะแนนมึงพุ่งแน่ๆ”

“เอ่อ...รุ้งไปเรียนก่อนนะ” รุ้งบอกผมอย่างเอียงอาย ใบหน้าหวานยังคงขึ้นสีแดงก่ำที่ข้างแก้ม

ผมพยักหน้าอีกครั้ง พร้อมกับส่งยิ้มให้ เธอเองก็ยิ้มตอบ ก่อนจะเดินไปรวมกับกลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่

เมื่อเหลือแต่ความเงียบและกลิ่นอายความหวานที่ทิ้งเอาไว้ ผมก็ผ่อนลมหายใจ แล้วยกมือขึ้นปิดหน้าของตัวเอง พร้อมกับเสียงหัวเราะของไอ้กี้ที่ดังขึ้น ก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ถึงท่อนแขนที่เข้ามากอดไหล่เอาไว้

“กูอายเป็นบ้า!”

“แต่โคตรเท่เลยว่ะ”

ผมเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือของตัวเอง ในเมื่อมันไม่ใช่เสียงของไอ้กี้อย่างที่คิดไว้ แต่กลายเป็นเสียงของไอ้ดิวแทน ส่วนไอ้ตัวแสบกลับไปยืนโม้กับโต้งที่กำลังยืนตั้งใจฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

ถึงแม้จะยังรับรู้ได้ถึงความร้อนที่แล่นอยู่ทั่วใบหน้า แต่ผมอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เมื่อเห็นว่าไอ้ดิวยังส่งยิ้มมาให้ แถมยังตีเนียนกอดไหล่ของผมไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก

“อิจฉาว่ะ” ไอ้ดิวพูดขึ้นพลางมองไปทางอื่น

“อิจฉาอะไรของมึง” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

คนแบบมึงต่างหากที่มันน่าอิจฉา แล้วก็น่าหมั่นไส้!

“สอนกูเล่นกีตาร์หน่อยสิ อยากเล่นเป็นบ้าง” ไอ้ดิวหันมามอง แล้วพูดขึ้น ใบหน้าขาวใสยังประดับด้วยรอยยิ้มตรงมุมปาก

“เรื่องของกูหรือไง แล้วเมื่อไหร่จะเอาแขนมึงออกไป หนักเว้ย!”

ไอ้ดิวหัวเราะขึ้น แล้วเอาแขนที่กอดไหล่ของผมไว้ออก ใบหน้าขาวมองตรงไปเบื้องหน้า ไอ้กี้กับโต้งเดินเข้ามา พร้อมกับเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นไม่หยุด

“มึงชอบรุ้งอยู่เหรอ”

เพราะคำถามที่ดังขัดขึ้น ทำให้ผมที่กำลังอิ่มเอมกับช่วงเวลาแสนพิเศษต้องหยุดชะงัก ก่อนจะหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาที่มองมาเช่นเดียวกัน ผมสบกับนัยน์ตาสีดำขลับสดใส พร้อมกับความคิดบางอย่างที่วิ่งเข้ามาในสมอง

อาจจะถึงเวลาที่จะได้เคลียร์เรื่องที่คาใจอย่างลูกผู้ชายแล้วก็ได้...

“ใช่...กูชอบรุ้ง แล้วมึงล่ะ? ชอบรุ้งหรือเปล่า” ผมถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย พอต้องมาบอกแบบนี้ก็ตื่นเต้นระคนประหม่าอย่างบอกไม่ถูก

ไอ้ดิวเลิกคิ้วมอง พร้อมกับรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนริมฝีปาก ผมไม่รู้ว่ามันชอบรุ้งอยู่หรือเปล่า แต่งานนี้ผมจะไม่ยอมถอยเด็ดขาด

“ชอบนะ...น่ารักดี” ไอ้ดิวพูดขึ้นพลางจ้องตาผมกลับ ทว่าเมื่อผมขมวดคิ้ว แล้วสบกับดวงตาคู่สวยอย่างจริงจัง เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น “เอาแบบนี้ไหมล่ะ”

“อะไรของมึง”

“แข่งกันไหมว่าใครจะจีบติดก่อนกัน...ระหว่างกูกับมึง”

“ฮะ?”

ผมเบิกตามอง ก่อนจะอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง เพราะไม่นึกว่าจะมาเจอคำท้าต่อหน้าแบบนี้

“มึงเป็นอะไรวะไอ้ปอ ตื่นเต้นจนปวดขี้เลยหรือไง” ไอ้กี้ถามขึ้น ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะใส่

“มึงเองน่ะสิ!”

“ทีแบบนี้มาด่ากู บุญคุณเมื่อกี้นี้ มึงยังจำได้อยู่หรือเปล่าวะ”

เสียงทุ้มดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของที่เดินเข้ามาใกล้ ก่อนไอ้ตัวแสบจะลงมือหยิกแก้มของผม

“ทำเป็นเขินนะมึง”

“เลิกแหย่กูสักที กูอาย...มึงเข้าใจไหมครับ!”

“ถ้ามึงได้เป็นแฟนกับรุ้งเมื่อไหร่... ต้องพากูไปเลี้ยงด้วยนะเว้ย!” ไอ้กี้

“ไอ้ปอ! ตบหัวกูอยู่ได้”

ผมไม่ได้นึกสนใจเสียงร้องโวยวายของไอ้กี้ แต่เพ่งมองใบหน้าด้านข้างของไอ้ดิวที่ตอนนี้กำลังคุยกับโต้งอยู่แทน

ตอนนี้มึงก็ประกาศสงครามรักกับกูอย่างชัดเจนแล้วใช่ไหมวะ ไอ้ดิว!


:: +++++++++++++++  ::


ผมไม่ใช่คนที่ทันเทคโนโลยี พวกสังคมออนไลน์ก็ไม่ค่อยได้เล่น ไม่ใช่ที่บ้านไม่มีอินเทอร์เน็ตนะครับ แต่ผมเป็นพวกเพื่อนน้อย ถ้ามีอะไรก็โทรศัพท์คุยกันเลย ไม่ต้องมาคอยส่งข้อความไปหาให้เสียเวลา

แต่เมื่อวานขณะที่ผมกำลังทำการบ้านที่เหลือค้างไว้ ไอ้กี้ก็โทรศัพท์มาหา เพื่อบอกให้ผมเข้าเฟสบุ๊คร้างของตัวเอง แต่พอถามว่ามีอะไรก็ไม่ยอมบอกแล้วตัดสายหนีไปเสียอย่างนั้น

หลังจากนั้นผมก็เข้าระบบไปพบกับข้อความของรุ้งที่เขียนขอบใจมาในกระดานข้อความของผม รวมไปถึงภาพที่ใครก็ไม่รู้ถ่ายเอาไว้ แถมยังมีคลิปอีกต่างหาก

อะไรมันจะขนาดนั้น!

ส่วนข้อความแสคงความคิดเห็นก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากการแซวและล้อเลียนไปตามระเบียบ แต่ก็ทำให้ผมนั่งเขินอยู่หน้าจอจนยิ้มไม่หุบเลยครับ

วันต่อมาเรื่องของผมก็เป็นที่ซุบซิบนินทาของเพื่อนร่วมชั้น เพราะมีไอ้กี้ที่เป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว อีกทั้งไอ้ดิวที่ตอนนี้กำลังดังในหมู่ผู้หญิงถึงความหน้าตาดีของมัน ทำให้ผมที่อยู่กลุ่มเดียวกันพลอยเป็นที่รู้จักไปด้วยอย่างไม่ได้ตั้งใจ

หลังจากที่ผมได้สารภาพรักด้วยเสียงเพลงไป วันนี้เธอก็ยังมาทานข้าวกลางวันด้วยเหมือนเดิม แต่สิ่งที่แปลกไปก็คือ...เวลาทีรุ้งมองหน้าของผม เธอก็จะหน้าแดงอยู่เสมอ นี่เรียกว่าเป็นนิมิตหมายอันดีหรือเปล่าครับ

ถึงแม้เรื่องราวตอนนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่ทำให้ผมรำคาญใจ และที่เห็นได้ชัดคงหนีไม่พ้นเรื่องของไอ้ดิวที่ทำตัวก่อกวนผมอยู่

มันยังคงเซ้าซี้ให้ผมสอนกีตาร์ให้ ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้ตอบรับ ก่อนจะไล่ตะเพิดไปด้วยความรำคาญ และตอนนี้ไอ้ตัวดีก็เริ่มพูดเข้าเรื่องนี้อีกครั้ง

ในเมื่อมึงประกาศตัวเป็นคู่แข่งขนาดนั้น กูคงยอมเป็นพันธมิตรสอนมึงอยู่หรอก!

“เมื่อวานดิวได้ฟังเพลงที่แมลงปอเล่นให้รุ้งด้วยนะ” ไอ้ดิวหันไปพูดกับรุ้ง พร้อมกับผมที่เหล่ตามองอย่างประเมินสถานการณ์

“เหรอจ๊ะ” รุ้งตอบพลางเอามือมากุมแก้มของตัวเองไว้ เธอหันมามองผมเพียงครู่เดียว ก่อนจะเลื่อนใบหน้าไปมองไอ้ดิวอย่างเดิม

“ดิวเล่นไม่เป็นหรอก อยากให้แมลงปอสอน แต่มันก็ไม่ยอม”

นั่นไง! นี่มึงกำลังกดดันกูอยู่ใช่ไหม!

“ก็...ยังไม่ได้บอกแบบนั้น” ผมรีบตอบออกไป ไม่อยากให้ภาพพจน์ของตัวเองเสียครับ

“สรุปแล้วมึงจะสอนกู?” ไอ้ดิวถามย้ำ เพื่อต้องการความแน่ใจ

ผมเลยได้แต่ทำเป็นดูดน้ำดูท่าทีก่อน เมื่อเห็นว่าทั้งไอ้ดิว รุ้ง แล้วก็ไอ้กี้กำลังมองมา ผมเลยต้องตอบอย่างหมดทางเลือก

“ถ้ากูว่าง”

หึ...ซึ่งแน่นอนว่ากูคงไม่มีเวลาว่างให้มึงแน่ ไอ้ดิว!

“ดีเหมือนกัน กูจะได้ไม่ต้องไปง้อไอ้ปอมัน พอบอกให้เอากีตาร์มาทีไรก็เล่นตัวทุกที กูล่ะหมั่นไส้” ไอ้กี้พูดจีบปากจีบคอ พร้อมกับปั้นสีหน้าประกอบ

“มึงเองก็เล่นเป็นเถอะ” ผมบ่นบ้าง ทำไมผมเหมือนโดนรุมอยู่คนเดียว

“กูเจ็บนิ้ว ไม่อยากหิ้วมาด้วย...มันหนัก” ไอ้กี้บอกพลางทำหน้ายุ่ง

“แล้วมึงไม่คิดว่ากูจะคิดเหมือนมึงบ้างหรือไง”

ไอ้นี่ชักจะเอาเปรียบผมมากไปแล้วนะ...

ผมนึกเคืองอยู่ในใจ พร้อมกับไอ้กี้ที่ทำหน้ามึนใส่ผม ก่อนจะหันไปยิ้มร่ากับรุ้งต่อ

“แล้วเมื่อวานรุ้งว่า...ระหว่างเสียงกี้กับเสียงไอ้ปอ ใครดีกว่ากัน”

“แหม...แบบนี้รุ้งก็บอกยากนะ” เธอบอกอย่างเกรงใจ

ที่จริงแล้วมันบอกไม่ยากเลยครับ เพราะเสียงของไอ้กี้มันดีกว่ามากจนผมเทียบไม่ติด

“แล้วรุ้งชอบหรือเปล่าล่ะครับ” ไอ้กี้ถามขึ้นอีกครั้งอย่างนึกสนุก

ผมเลยเตะไปที่ขามันแรงๆ เมื่อเห็นใบหน้าหวานของรุ้งแต้มด้วยสีแดงระเรื่อ ทว่าไอ้ตัวแสบกลับไม่สนใจ แล้วหันมาต่อว่าผมแทน

“มึงจะทำร้ายกูทำไมวะเนี่ย นี่กูกำลังถามคำถามที่มึงอยากรู้ แต่ไม่กล้าถามให้อยู่นะเว้ย”

 ผมได้แต่จ้องใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มของไอ้กี้อย่างเอาเรื่อง ขณะที่ผมกำลังนึกหาทางเล่นงานไอ้ตัวแสบอยู่ เสียงของรุ้งของดังขึ้นอีกครั้ง

“ชอบจ๊ะ”

หลังจากที่ผมได้ยินคำพูดนั้น ไอ้กี้ก็หัวเราะขึ้น รวมถึงไอ้ดิวที่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ตอนนี้โต้งไม่อยู่ครับ เพราะต้องไปจัดทำอุปกรณ์สำหรับงานพาเหรดส่วนผมเองก็ปั้นหน้าไม่ถูก แต่ไม่อาจฝืนรอยยิ้มที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้

เขินเป็นบ้า...


:: +++++++++++++++  ::


คาบสุดท้ายของวันนี้เป็นคาบที่นักเรียนต้องเข้าชมรมครับ ซึ่งตอนนี้ผมกำลังอยู่ในห้องสมุด แน่นอนว่าผมต้องอยู่ชมรมห้องสมุดอย่างไม่ต้องเดาให้เหนื่อย ส่วนไอ้กี้กับโต้งอยู่ชมรมดนตรีสากล และไอ้ดิวอยู่ชมรมเบเกอรี คราวนี้ต่างคนต่างไปครับ

สาเหตุที่ทำให้คนติดเพื่อนอย่างผมไม่เข้าชมรมดนตรีสากลตามไอ้กี้ไป เพราะผมไม่ได้สนใจด้านดนตรีมากเป็นพิเศษนัก ผมชอบอยู่ในที่สงบมากกว่าที่วุ่นวาย อีกทั้งใครก็ตามที่จะเข้าชมรมดนตรีสากลจะต้องฝึกเล่นเครื่องดนตรีให้ได้อย่างน้อยหนึ่งประเภทครับ

ผมขี้เกียจต้องมานั่งฝึก เอาเวลาไปอ่านหนังสือดีกว่าครับ นั่นคือสาเหตุที่ผมย้ายมาอยู่ชมรมห้องสมุดที่เข้ากับรสนิยมของผมมากกว่าแทน

“มาแล้วเหรอ...กนกพล วันนี้ช่วยเรียงหนังสือที่หมวดทั่วไปหน่อย เละไปหมดแล้ว” อาจารย์ชุติมาพูดขึ้น ท่านเป็นอาจารย์ประจำห้องสมุด แถมยังรู้จักกับผมดี เนื่องจากอายุสมาชิกของผมที่ก้าวเข้าปีที่สี่แล้วครับ

“ครับ” ผมตอบ ก่อนจะดินไปยังส่วนที่เป็นชั้นหนังสือ

ห้องสมุดที่นี่มีทั้งหมดสองชั้นครับ ชั้นล่างก็จะมีคอมพิวเตอร์ไว้สำหรับค้นคว้าและหนังสือทั่วไปสำหรับอ่านเล่น ส่วนชั้นที่สองเป็นส่วนของหนังสือวิชาการและหนังสือต่างประเทศ โดยมีโต๊ะหนังสือไว้ให้บริการสำหรับมานั่ง

อ่านหนังสือหรือนั่งทำการบ้านกันด้วยครับ

ที่นี่มีการจัดหนังสือด้วยระบบดิวอี้ ซึ่งจัดโดยใช้ตัวเลขแทนประเภทของหนังสือ การเข้าชมรมไม่ได้จะมานั่งนอนกันเล่นๆ นะครับ พวกเราต้องมานั่งเรียนเรื่องเกี่ยวกับห้องสมุด และทำแบบทดสอบที่อาจารย์ประจำชมรมจัดทำขึ้นให้ผ่าน ถึงจะผ่านวิชาชมรมนี้ได้ครับ

ผมเดินไปยังชั้นที่สองที่มีชั้นหนังสือวางเรียงเหมือนโดมิโน ก่อนจะเดินไปที่หมวดแรก และเห็นนิ้งกำลังนั่งจัดหนังสืออยู่ก่อนแล้ว

“มาแล้วเหรอ” นิ้งยิ้มทัก เธอก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีอายุสมาชิกในชมรมเท่ากับผม ที่จริงแล้วเราสามารถเปลี่ยนชมรมได้ทุกปีนะครับ

“เดี๋ยวเราช่วย”

นอกจากการจัดหนังสือให้เรียบร้อยแล้ว หน้าที่ของสมาชิกในชมรมยังรวมไปถึงการทำความสะอาด ตลอดจนช่วยอาจารย์ดูแลจัดการระบบบริการภายในห้องสมุดเท่าที่พวกเราสามารถจะทำได้

“นึกว่าหายไปไหนกัน...ไม่เห็นหน้า” พี่หนึ่งพูดขึ้น เธอเป็นรุ่นพี่หัวหน้าชมรมครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2013 22:27:58 โดย marionatte »

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5

“พวกเราไปจัดหนังสือกับทำความสะอาดข้างบนมาค่ะ”

“รู้หรือยังว่าอาทิตย์หน้าจะเป็นสัปดาห์ห้องสมุดแล้วนะ เราต้องมานั่งตกแต่งบอร์ด แล้วก็จัดสถานที่กันด้วย” พี่หนึ่งพูดขึ้น แล้วหันไปมองรอบตัวอย่างสงสัย “แล้วไอ้อั๋นล่ะ”

“อยู่นี่ครับเจ๊! พี่แหวนเพิ่งให้ผมไปทำความสะอาดห้องน้ำมา”

อั๋นเป็นสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้ามาปีนี้ครับ มันเลยโดนรับน้องชมรม โดยการถูกพวกรุ่นพี่ใช้งานหนักสุด ผมรู้สึกเห็นใจ แต่ไม่คิดจะช่วยเหลือให้เหนื่อยแรงหรอกนะครับ

“อะไรกันยะ! แค่นี้ทำเป็นบ่น ไปคัดเอาหนังสือพิมพ์ฉบับเก่าเก็บเรียงให้เรียบร้อยด้วยล่ะ” พี่หนึ่งสั่งเสียงเข้ม

“นี่มันห้องสมุดหรือโรงงานเถื่อนกันแน่วะ ใช้งานกูเยี่ยงทาส” อั๋นหันมาบอกผมกับนิ้ง ผมก็ได้แต่ยิ้มรับ ก่อนที่พี่หนึ่งจะเหวี่ยงใส่มันจนต้องรีบเดินไปทำงานต่อ

“ปอมาช่วยพี่อัพเดตข้อมูลหนังสือ ส่วนนิ้งก็ไปช่วยจอยจัดบอร์ด น่าจะอยู่ด้านหลังนั่นแหละ” พี่หนึ่งแจกแจงงานเสร็จสรรพ

ผมนั่งมองรายชื่อของหนังสือในกระดาษที่บอกรายละเอียดของหนังสือเอาไว้ โรงเรียนของผมสามารถเช็คชั้นหนังสือจากอินเทอร์เน็ตได้ ทำให้เราสามารถตรวจเช็คได้ว่าหนังสือที่ต้องการมีอยู่หรือเปล่า มีคนยืมไปแล้วหรือยังทำนองนี้ ไฮเทคดีใช่ไหมครับ

“งานหนังสือคราวนี้พวกเราคงต้องมาดูแลตอนเย็นทุกวันนะ” พี่หนึ่งที่กำลังนั่งเช็คหนังสือพูดขึ้น

“ผมต้องซ้อมกีฬาสีด้วยนะพี่” ผมตอบอย่างเกรงใจ

“อ้าว...งั้นเหรอ” พี่หนึ่งพูดขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะมองหน้าของผมเหมือนเพิ่งคิดอะไรได้ “จริงด้วยสิ! เขาเริ่มซ้อมกันแล้วนี่ แล้วเล่นอะไรล่ะ”

“ผมลงบาสครับ”

เพราะผมเคยเป็นนักกีฬาตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนี้ตอนคัดตัวเลยผ่านมาแบบสบายตัว ส่วนตารางซ้อมของผมก็เป็นทุกวันหลังเลิกเรียนนั่นแหละครับ

“แบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ งั้นพี่คงต้องให้เราไปทำอย่างอื่นแทน” พี่หนึ่งบอกพลางทำท่าครุ่นคิด นัยน์ตาคู่สวยมองผมอย่างพิจารณา “เดี๋ยวพี่ต้องลองถามตาลว่างานคราวนี้มีกิจกรรมอะไรบ้าง”

“ครับ แต่ตอนเย็นผมคงช่วยไม่ได้จริงๆ”

“อืม...ตาล!” พี่หนึ่งเรียกพี่ตาลที่เพิ่งเดินเข้ามาพอดี

“อะไรวะ” พี่ตาลหันมายิ้มทักผม ก่อนจะหันไปหาพี่หนึ่งอย่างสงสัย

“งานคราวนี้มีอะไรบ้างวะ กูยังไม่รู้เลย เมื่อกี้ปอเพิ่งบอกว่ามาดูแลงานตอนเย็นไม่ได้”

“อ้าวเหรอ...ปีนี้ก็มีการแสดงละคร ประกวดมิสนิวส์เปเปอร์ แล้วก็แข่งตอบปัญหา” พี่ตาลบอก พร้อมกับมองหน้าของผมไปด้วย ก่อนนัยน์ตากลมใต้กรอบแว่นจะเบิกกว้างขึ้น “งานครั้งนี้อาจารย์อยากให้มีการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนหันมาใช้ห้องสมุดมากขึ้นด้วย”

“เออจริงด้วย!” พี่หนึ่งพูดขึ้นเหมือนเพิ่งจะนึกได้

“พวกพี่คิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ปีนี้เราจะทำการเดินประชาสัมพันธ์ตอนพักกลางวันก่อนหน้าวันงานสองสามวันน่ะ” พี่ตาลบอกพลางหรี่ตามองผมที่ยังงงอยู่

“เอ่อ...แล้วไงครับ”

“ปอมาเป็นมาสคอตประจำงานก็แล้วกัน เดี๋ยวไปบอกไอ้แหวนก่อน”

พี่ตาลพูดจบก็รีบเดินจากไปในทันที แล้วพี่หนึ่งก็ยิ้มขึ้นพลางพยักหน้า  เมื่อรู้ว่าผมจะไม่ต้องว่างงานอีกต่อไป ก่อนจะกลับมาทำงานต่อ

กูโดดซ้อมบาสดีกว่าไหม?


:: +++++++++++++++  ::


เสียงลูกบาสเกตบอลกระทบพื้นดังก้องไปทั่ว ก่อนที่ผมจะวิ่งตัดหน้าพี่ต้นที่กำลังรอรับลูกอยู่ และในวินาทีที่ลูกถูกส่งมาถึง ผมก็กระโดดคว้าเอาไว้ก่อนจะเลี้ยงหลบ แล้วส่งต่อให้พี่เอที่รับลูกไปได้อย่างสวยงาม

หลังจากเลิกคาบชมรมไปแล้ว ผมที่ไม่ว่างดูแลงานชมรมในช่วงเย็นเลยได้รับหน้าที่เป็นมาสคอตประจำงานสัปดาห์ห้องสมุดแทน ส่วนจะเป็นตัวอะไรนั้น ผมยังไม่สามารถทราบได้

แต่เรื่องนั้นมันยังมาไม่ถึงก็ปล่อยมันไปก่อน เพราะผมยังมีเรื่องการแข่งบาสเกตบอลที่น่าสนใจกว่า โดยจะเริ่มแข่งกันในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าแล้ว

ทันทีที่เสียงนกหวีดจากอาจารย์ที่ดูแลเป่าให้หยุดพัก ผมก็ปาดเหงื่อที่เปื้อนอยู่ทั่วใบหน้า ทั้งที่เริ่มซ้อมมาได้สองสามวันแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกเหนื่อยมากอยู่ดี คงเพราะไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเลยทำให้ผมล้าง่ายเป็นพิเศษ

“น้ำครับ ไอ้เพื่อนปอ” ไอ้กี้พูดขึ้น พร้อมกับยื่นน้ำมาให้

 ผมรับแก้วน้ำพลาสติกมาดื่มเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงข้างมัน อย่างที่ไอ้กี้เคยบอกเอาไว้ เรื่องลงบริการฝ่ายบาสเกตบอลนั่นแหละครับ

“พรุ่งนี้มีส่งงานวิชาภาษาไทยด้วย มึงทำหรือยังวะ” ผมถามไอ้กี้ที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่

“ยังว่ะ แล้วมึงทำหรือยัง”

“กูก็ยัง พอกลับถึงบ้าน กูก็ไม่อยากจะทำอะไรแล้ว...เหนื่อยมาก”

“นั่นสิ! เอาไว้ค่อยหาลอกดีกว่า แต่เหมือนไอ้ดิวมันทำแล้วมั้ง” ไอ้กี้พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

พอพูดถึงไอ้ดิว ผมก็มักนึกไปถึงใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มของมันก่อนจะนึกย้อนไปถึงคำพูดที่ไอ้ตัวดีเคยท้าแข่งกับผมไว้ ขณะที่ผมตัดสินใจจะเล่าให้ไอ้กี้ฟังเรื่องเพื่อนเก่าของมัน ไอ้แซมก็มาเรียกให้ไปซ้อมต่อ

“ไอ้ปอ! กูต้องกลับก่อนนะเว้ย! อาม่าโทรตาม” ไอ้กี้ตะโกนบอก ก่อนจะเห็นมันไปบอกเพื่อนอีกคนที่ผมไม่รู้จัก แล้วลุกออกไปก่อน


:: +++++++++++++++  ::


ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้วครับ สิ่งเดียวที่ส่องสว่างคงหนีไม่พ้นแสงจากหลอดไฟที่ติดอยู่ข้างทาง

หลังจากเลิกซ้อมผมก็เดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า และในจังหวะที่ผมกำลังจะหันไปหยิบผ้าขนหนูที่วางพาดไว้กลับมีคนส่งมาให้เสียก่อน

ผมเลิกคิ้วมองเจ้าของความหวังดีนั้น ก่อนจะรับผ้าขนหนูที่ถูกยื่นมาให้เช็ดหน้าของตัวเอง

“มึงยังไม่กลับอีกหรือไง”

“กูก็เพิ่งซ้อมเสร็จเหมือนกัน” ไอ้ดิวบอกพลางยืนพิงอ่างล้างหน้า ทั้งที่ตั้งใจจะไม่ถาม ทว่าความสงสัยก็ทำให้ผมเผลอหลุดปากออกไปจนได้

“แล้วมึงได้ทำอะไรวะ แบกของอย่างที่ไอ้กี้บอกหรือไง”

“ไม่ใช่...แต่กูไม่บอกมึงหรอก” ไอ้ดิวบอก ก่อนจะหัวเราะขึ้นมา

กูก็ไม่อยากรู้หรอก ไม่บอกก็เรื่องของมึง...

“มึงเรียกกูว่า ‘มึง’ ยังดีกว่ามาเรียกชื่อเล่นกูอีกว่ะ” ผมบอกอย่างคนเซ็งจัด จะว่าชินก็ชินครับ แต่พอนึกได้ก็อดจะบ่นออกมาไม่ได้อยู่ดี ตอนนี้ชักรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแก่ขึ้นมาทุกที

“มึงก็น่าจะชินได้แล้วนะ” ไอ้ดิวบอกด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับชูถุงใส่ขนมขึ้นมาให้ผมดู “แล้วตอนนี้หิวไหม วันนี้มีวาฟเฟิลเนยสด”

“มึงวางยากูหรือเปล่าเนี่ย”ผมพูดขึ้น ก่อนจะมองอย่างไม่ไว้ใจ

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ” ไอ้ดิวถามกลับพลางยิ้มออกมา

“บางที...มึงอาจวางแผนแกล้งกูอยู่ก็ได้” ผมพูดขึ้น แล้วหยิบกระเป๋านักเรียนที่วางไว้ “ถ้ามึงยังจำได้ว่าเพิ่งประกาศตัวแข่งกับกูอยู่นี่”

“พอได้ยินแบบนี้ กูก็รู้สึกอยากจะวางยาขึ้นมาแล้วสิ” 

ผมหันไปมองด้วยความสงสัย ก่อนจะพบรอยยิ้มมุมปากของไอ้หน้ายิ้ม

“แต่เป็นยาเสน่ห์นะ”

“มึงจะมาวางยาเสน่ห์ใส่กูทำไมวะ ถ้าเป็นกูจะวางยาเบื่อใส่มึง”

ตอนนี้ไม่ต้องวางยา กูก็เบื่อหน้ามึงแล้ว...

“อ้าว...ก็เห็นมึงไม่ค่อยชอบกูเลยว่าจะวางยาให้มึงรักมึงหลง กูขอเวลาร่ายคาถาก่อน โอมเพี้ยง!” ไอ้ดิวทำท่าร่ายมนต์ใส่ขนม ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างนึกอ่อนใจ

“ปัญญาอ่อน”

“โอเคเรียบร้อย เอาไปเลยครับ” ไอ้ดิวบอก แล้วยื่นขนมที่ได้รับการปลุกเสกเมื่อครู่มาให้ผม

นี่ไม่ใช่ขนมชิ้นแรกที่มันเอามาให้หรอกนะครับ ตั้งแต่ข้าชมรมเมื่อเทอมที่แล้ว พอทำขนมเสร็จไอ้หน้ายิ้มก็มักจะเอามาแบ่งให้เพื่อนกินเสมอ ตอนแรกผมก็ไม่สนใจครับ แต่พอได้แอบขโมยของไอ้กี้กินปรากฏว่าอร่อย มีโอกาสอีกครั้งผมเลยตีเนียนกินของมันไป

“กินเลยสิ เดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อย”

“กูยังไม่อยากกินตอนนี้” ผมบอก ก่อนจะชักสีหน้าใส่ เพิ่งเล่นกีฬามาเหนื่อยๆ ยังไม่อยากกินอะไรตอนนี้ ผมกลัวจุกครับ

“ถ้าไม่กินตอนนี้แล้วไม่อร่อย จะมาหาว่าฝีมือกูไม่ดีไม่ได้นะ”

“เรื่องมากว่ะ” ผมบ่นออกมา ก่อนจะตัดสินใจกัดไปคำหนึ่ง

ผมเป็นพวกแพ้ลูกยุครับ เวลาเจอใครอ้อนเก่งๆ หรือเป่าหูใส่บ่อยๆ ไม่นานหรอกครับ เดี๋ยวผมก็คล้อยตาม ถ้าไม่เชื่อไปถามไอ้กี้ครับ มันทำประจำเวลาจะขอให้ผมทำอะไรให้

เมื่อไหร่จะแก้นิสัยแบบนี้ได้สักทีนะ!

“เป็นยังไง” ไอ้ดิวถาม พร้อมกับผมที่ขมวดคิ้วสบกับนัยน์ตาสีดำสว่างท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมทั่วผืนฟ้า

“ก็งั้นๆ” ผมบอก ก่อนจะเหล่ตามองสีหน้าของคนทำที่กำลังลุ้นอยู่ ทว่าในใจตอนนี้อยากจะตะโกนบอกว่า...อร่อยมาก!

“ไม่จริงอ่ะ” ไอ้ดิวพูดขึ้นอย่างไม่ยอมรับ แล้วคว้ามือของผมที่ถือขนมไว้ไปกัดต่อพลางทำหน้าครุ่นคิด “อร่อยดีนี่ แถมยังหวานด้วย”

“ทำขนม...มึงใส่น้ำตาล มันก็ต้องหวานอยู่แล้ว” ผมบอก ก่อนจะกินต่อ อันที่จริงมันก็หอมเนยด้วยนะครับ

“นั่นสินะ” ไอ้ดิวพูดขึ้น แล้วยิ้มออกมา ก่อนจะแย่งขนมวาฟเฟิลในมือของผมคืน อารามตกใจผมเลยรีบเบี่ยงมือหลบพลางมองมันอย่างไม่พอใจ

“มึงจะทำอะไร”

“อย่ากินเลย“

“อะไรวะ! สรุปจะไม่ให้กูกิน?” ผมถาม แล้วมองหน้าอย่างหาเรื่อง

อะไรของมัน…พอกูไม่กินก็จะให้กูกิน พอกูจะกินดันจะไม่ให้กูกินอีก กูชักจะตามใจมึงไม่ทันแล้วนะ!

“อย่าเพิ่งโมโหสิ เห็นตอนแรกบอกาว่าไม่อร่อย กูก็ไม่อยากบังคับ” ไอ้ดิวบอกพลางทำท่าแย่งขนมในมือของผมคืน

ไม่รอช้าผมก็รีบยัดขนมที่เหลือเข้าปากให้หมดในคำเดียว พร้อมกับได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำที่ดังขึ้น

“ไม่ได้บอกว่าไม่อร่อย กูแค่บอกว่าก็งั้นๆ” ผมตอบ ทั้งที่เคี้ยวขนมอยู่

“ครับๆ คุณแมลงปอ เชิญกินตามสบายเลยครับ ไม่ต้องรีบ... เดี๋ยวติดคอ” ไอ้ดิวพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหยิบขวดน้ำที่เหลือค่อนขวดมาให้ผม

“อย่ามองกูแบบนั้น กูอุตส่าห์ยอมกิน จะได้หมดเรื่องหมดราว” ผมบอก  พร้อมกับเคี้ยวไม่หยุด ก่อนจะดื่มน้ำที่มันยื่นมาให้

ผมไม่ได้ตะกละนะ! แค่กลัวคนทำจะเสียน้ำใจ...

“เอาไว้คราวหน้าทำมาให้ใหม่นะ”

“ไม่ต้องแล้ว! กูขี้เกียจกิน”

กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมกับไอ้ดิวก็เดินออกจากโรงเรียน พร้อมกับเสียงบ่นผสมเสียงหัวเราะที่สะท้อนกับแสงไฟนีออนข้างทาง


TBC :: +++++++++++++++  ::

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2013 22:29:05 โดย marionatte »

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
น่ารักจริงๆ
ชอบตัวละครทุกคนเลย

ออฟไลน์ nutsumi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-0
ชอบๆ เรื่องนี้จัง/

mengsama

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักดี มาอัปอีกนะค่ะ ^^

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
ตอนที่ 4 ::: เจ้านาย



ชีวิตเด็กวัยรุ่นไทยคงหนีไม่พ้นการเรียนพิเศษใช่ไหมครับ

ผมเองก็ติดอยู่ในวังวนการเรียนรู้ที่แสนน่าเบื่อนี้เช่นเดียวกัน ตอนนี้ผมกำลังนั่งเรียน พร้อมกับมองโทรทัศน์ตรงหน้าที่มีอาจารย์กำลังสอนอยู่ มันฮิตรุนแรงขนาดที่ว่าต้องอัด แล้วฉายกันตามโทรทัศน์แบบนี้ บางครั้งผมก็คิดว่ามันดูตลกดีเหมือนกัน

หลังจากการเรียนในช่วงเช้าหมดลง ไอ้กี้ก็โทรศัพท์มาชวนไปดูหนังกันต่อครับ โดยมีโต้งกับไอ้ดิวไปด้วย ตอนนี้กว่าจะถึงเวลานัดก็อีกราวสามชั่วโมงผมเลยตัดสินใจไปทานข้าวกลางวัน ก่อนจะไปเดินเล่นรออยู่ที่ร้านหนังสือ ซึ่งเป็นสถานที่นัดหมาย

ผมเป็นคนชอบเข้าร้านหนังสือครับ นอกจากจะชอบกลิ่นอายเบาสบายแล้ว ผมยังชอบเสียงเพลงที่ทางร้านเปิดขึ้นเพื่อเพิ่มบรรยากาศอีกด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงบรรเลงที่ฟังแล้วเพลินและช่วยให้ผ่อนคลาย ผมเดินไปหยิบนิตยสารวัยรุ่นมาเปิดดูเล่นฆ่าเวลา

“เฮ้ย! เกะกะว่ะ”

เสียงเข้มที่ดังขึ้น พร้อมกับแรงเบียดกระแทกมาที่ไหล่เข้าเต็มเปา ทำให้ผมที่กำลังยืนอ่านฟรีต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมา เมื่อเห็นว่าคู่กรณีเป็นผู้ชายหน้าขาวใสที่เจอจนเบื่อ วันนี้มันใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์กับรองเท้าผ้าใบธรรมดาครับ แต่รับรองว่ายี่ห้อดังทุกชิ้น

“เอ้า! มามองหน้ากูอีก เดี๋ยวก็โดนหรอกมึง!”

มันยังไม่หยุดครับ แถมยังทำหน้าเข้มใส่ผม แต่เสือกยิ้มเสียอย่างนั้น

กูควรจะกลัวมึงดีไหม...

“ก็ลองสิ!” ผมบอกพลางมองหน้าของมันอย่างเบื่อหน่าย

“ถ้ากูเอาจริงแล้วมึงจะร้องไม่ออก”

“ถึงกูจะร้องไม่ออก แต่ตีนกูออกเข้าหน้ามึงแน่...ไอ้ดิว”

“แค่นี้ก็ต้องใช้กำลัง” ไอ้ดิวพูดกลั้วหัวเราะ แล้วก็ลากคอผมออกมาจากแผงนิตยสาร เมื่อเห็นว่าคนอื่นกำลังมองอยู่ ผมเลยต้องเดินตามแรงของมันออกมาอย่างจำยอม

“แล้วมึงจะลากคอกูไปไหน”

“เปล่า...กูเมื่อยเลยหาที่วางไหล่ อืม...กำลังดีเลย”

“ปล่อยกูเลย!”

ไอ้ดิวหันมามองผม ก่อนจะทำหน้าสงสัยที่แฝงด้วยรอยยิ้ม ผมก็เลยส่งสายตาที่บอกว่า ‘กูอารมณ์จะขึ้นแล้ว’ ไปให้ ไอ้หน้ายิ้มถึงได้เอาแขนออก

“กินอะไรมาหรือยัง”

“กินแล้ว”

“แต่กูยังไม่ได้กินเลย”

“เรื่องของมึง กูจะเข้าไปอ่านหนังสือรอ”

“เหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งชั่วโมงไปหาอะไรกินเป็นเพื่อนหน่อย กูไม่อยากไปคนเดียว” ไอ้ดิวพูดขึ้น ผมรับรู้ได้ว่ามันเริ่มเข้าโหมดอ้อนแล้วครับ

“กูยังไปกินคนเดียวได้ มึงอย่ามาเรื่องมาก” ผมบ่นอย่างนึกรำคาญ

“เอาอย่างนี้...วันนี้กูจ้างมึงหนึ่งวัน” ไอ้ดิวพูดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับส่งยิ้มสดใสมาให้

“อะไรของมึงวะ?” ผมถามกลับอย่างสงสงสัย เพราะนึกหาเหตุผลของการว่าจ้างไม่ออก

“ตามกูมานี่”

ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากปฏิเสธไป ไอ้ดิวก็ลากผมเดินออกจากร้านหนังสือ ผมนึกอยากจะโวยวายอยู่หรอกครับ แต่มาคิดได้ว่าขืนทำแบบนั้น คงเป็นจุดสนใจให้คนอื่นมองเสียเปล่าๆ

แล้วจะพากูไปไหนเนี่ย....


:: +++++++++++++++  ::


“เป็นยังไง”

ผมหันมามองคนพูดด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะมองไปยังเจ้าตุ๊กตาขนาดยักษ์สีส้มเหลืองที่กำลังอวดพุงพลุ้ยของมันจนน่าเข้าไปขย้ำ ไม่ต้องเดาเรื่องราคาคงไม่แพ้ขนาดตัวของมันอย่างแน่นอน

“หมายความว่ายังไง”

“ถ้ามึงยอมทำตามที่กูบอกวันนี้ เชิญมึงเอาน้องหมีอ้วนนี่กลับบ้านไปนอนฟัดได้เลยครับ”

ทันทีที่ได้ยินข้อเสนอผมก็เบิกตากว้าง ก่อนจะหรี่ตาลงมองคนพูดอย่างสงสัย สมองก็พลันหาเหตุผลที่ไอ้คนตรงหน้าอยากว่าจ้างผมขึ้นมา

“มึงคงไม่คิดจะให้กูเลิกยุ่งกับรุ้งหรอกนะ”

“ไม่หรอกน่า...มึงก็คิดมากไปได้ ค่าจ้างเฉพาะวันนี้ โอเคไหม”

“มึงคิดว่าคนอย่างกูจะอยากได้ตุ๊กตาแบบนี้หรือวะ!” ผมพูดขึ้น พร้อมกับมองหน้าของไอ้ดิวนิ่ง มันเองก็มองกลับ ก่อนจะถอนหายใจออกมา

“ให้เวลามึงคิดห้าวินาที ก่อนที่กูจะเปลี่ยนใจ” ไอ้ดิวพูดขึ้น ก่อนจะเริ่มมองอย่างอื่นแทน แถมยังทำท่าจะเดินออกจากร้านอีกด้วย

ไม่ได้การแล้ว!

“เอ่อ...พี่ครับเอาตัวนี้เลยครับ” ผมรีบหันไปบอกพี่พนักงานที่ยืนมองเราสองคนพูดคุยกัน แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนที่เธอจะรีบหยิบตุ๊กตาตัวยักษ์ไปที่เคาน์เตอร์

ให้ตายเถอะ! มึงรู้ได้ไงวะว่ากูชอบหมีพูห์!

เรื่องนี้เป็นความลับมากครับ นอกจากพวงกุญแจที่ห้อยกระเป๋าและหน้ากากโทรศัพท์มือถือของผมแล้ว ไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าผมชื่นชอบเจ้าหมีอ้วนที่ชอบเอามือแหย่ไหน้ำผึ้งนี่อีก แต่ถ้าได้ไปที่บ้านของผมนั่นก็อีกเรื่องหนึ่งครับ เพราะห้องนอนของผมตอนนี้อัดแน่นไปด้วยเจ้าหมึสีส้มเต็มไปหมด

“ขอบคุณค่ะ” พี่พนักงานพูดขึ้น พร้อมกับยื่นถุงมาให้

หลังจากไอ้ดิวจ่ายเงินเรียบร้อย ผมก็คว้าตุ๊กตาตัวนุ่มมาถือไว้ แล้วมองมันอย่างสงสัย ไอ้หน้ายิ้มมองผม ก่อนจะหัวเราะอออกมา

“ขำอะไรวะ”

“เปล่าๆ เอาเป็นว่า...มึงรับค่าจ้างกูแล้วก็ทำงานให้ด้วยแล้วกัน”

“แล้วจะให้กูช่วยอะไร” ผมถาม ทั้งที่ไม่ได้มองใบหน้าของนายจ้างด้วยซ้ำ เวลานี้สายตาของผมเอาแต่ชื่นชมเจ้าหมีพูห์หน้ายิ้มที่เพิ่งได้มาเมื่อครู่

“ตอนนี้ไปกินข้าวเป็นเพื่อนกูก่อน ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว” ไอ้ดิวบอกคำสั่งแรก ผมได้แต่พยักหน้ารับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


:: +++++++++++++++  ::
 

“มึงถืออะไรมาด้วยวะ” ไอ้กี้ทัก ผมคลี่ยิ้มรับเล็กน้อย ก่อนจะหยิบของที่ถืออยู่ในมือออกมาให้มันดูเป็นบุญตาครับ

“หมีพูห์” โต้งพูดขึ้นพลางมองตุ๊กตา ก่อนจะเลยมามองหน้าของผมที่ยิ้มรับตำคอบนั้น พร้อมกับไอ้กี้ที่รีบแย่งเจ้าหมีอ้วนไป

“โอ้! ตัวโคตรนุ่มเลยมึง กูยืมไปกอดตอนดูหนังได้เปล่าวะ”

“ไม่ให้เว้ย!” ผมตอบกลับทันที แล้วแย่งค่าจ้างของวันนี้ยัดใส่ถุงเอาไว้ตามเดิม ไอ้กี้ที่ไม่สมหวังก็เข้ามากระแซะผม ก่อนจะพูดเสียงเบา

“มึงซื้อมา?”

“ทำไม”

“แค่สงสัยว่ามึงซื้อมาหรือใครซื้อให้?” ไอ้กี้ถามพลางอมยิ้ม

ผมชักสีหน้ายุ่ง ก่อนจะหันไปมองคนจ่ายเงินที่ตอนนี้ยืนดูตารางเวลาฉายหนังอยู่

“หืม? ไอ้ดิวซื้อให้มึง?”

“มันจ้างกูให้ทำตามที่มันขอหนึ่งวัน” ผมบอกคนถามไปตามตรง

“แล้วมึงก็ยอมมัน?” ไอ้กี้ถามต่อพลางมองมาอย่างสงสัย

“กูลองคำนวณแล้ว นี่มันจะหมดวันแล้วเว้ย ที่สำคัญกูก็อยากได้ด้วยไง  กำไรกูเห็นๆ”

ไอ้กี้พยักหน้า แล้วเดินไปหาไอ้ดิวที่หันมามองผมเล็กน้อย ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ผมไม่ได้ยิน

ผมนั่งรอที่ม้านั่งหน้าโรงภาพยนตร์เจ้าดัง ก่อนจะรับป็อปคอร์นสองถุงที่โต้งเพิ่งไปซื้อมาถือไว้ แล้วมองคนส่งของที่เดินกลับไปหาไอ้ดิวที่ยืนรอซื้อน้ำอยู่ ส่วนไอ้กี้ไปซื้อตั๋วครับ

ผมไม่รู้ว่าพวกมันตกลงจะดูเรื่องอะไรกัน ก่อนที่ไอ้กี้จะยื่นตั๋วที่นั่งมาให้  ชื่อของหนังที่ปรากฏอยู่บนกระดาษสีขาวแผ่นเล็ก ทำให้ผมหายใจสะดุด

‘บ้านสาปสยอง’

“ไอ้กี้...มึงดูหนังผีหรือวะ” ผมถามพลางมองหน้าของไอ้กี้ที่ตอนนี้ยิ้มตาหยี ก่อนที่ผมจะกระชากแขนของมันมา แล้วกระซิบให้ได้ยินกันสองคน “มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบดูหนังแนวนี้”

“แต่ไอ้ดิวมันอยากดูนี่หว่า กูว่ามันก็น่าจะสนุกดี”

ไอ้ดิว!

ผมหันไปมองไอ้หน้ายิ้มที่นั่งคุยกับโต้งอยู่ ก่อนจะหันไปหาไอ้กี้อีกครั้ง

“กูไม่ดูได้ไหมวะ”

“มึงจะอะไรหนักหนาวะ มันก็แค่หนัง ไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย” ไอ้กี้บ่น แต่ตอนนี้ผมหน้าเสียไปแล้วครับ

ถ้าจะไปโวยอีกคน มันต้องหัวเราะเยาะผมแน่ ที่สำคัญไปกว่านั้นตอนนี้ไอ้ดิวเป็นเจ้านายของผมอยู่ ผมหันไปมองคนต้นคิดอย่างไม่พอใจ

หรือว่ามันคิดจะแกล้งผมตั้งแต่แรกอยู่แล้ววะ…

“ปอเป็นอะไรหรือเปล่า” โต้งหันมาถาม

สีหน้าของผมคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก่อนที่ผมจะรีบเอามือปิดปากของไอ้กี้ที่กำลังจะพูดไว้ แล้วมองเขม็งสบกับนัยน์ตาเรียวเล็กที่เลื่อนมามองผมอย่างไม่เข้าใจ

“ได้เวลาแล้ว” ไอ้ดิวเดินมาบอก ก่อนจะมองผมกับไอ้กี้อย่างสงสัย ผมถลึงตาใส่มัน แล้วเดินตามโต้งที่เดินนำหน้าไปก่อนแล้ว

นี่ผมต้องเข้าไปดูจริงหรือเนี่ย!


:: +++++++++++++++  ::


ฝันร้ายที่กลายเป็นจริงชัดๆ

ทันทีที่ผมรู้ว่าต้องนั่งข้างใคร ผมก็อดที่จะบ่นขึ้นมาไม่ได้ แต่พออีกฝ่ายอ้างเรื่องสิทธิ์ของนายจ้างไป ผมก็ได้แต่นั่งกอดตุ๊กตาแก้เครียด

“รังเกียจกู?” ไอ้ดิวถามพลางมองหน้าของผม

“แล้วทำไมต้องให้กูมานั่งข้างมึงด้วยวะ”

“แล้วทำไมมึงต้องไม่นั่งข้างกูด้วยล่ะ” ไอ้ดิวถามกลับด้วยน้ำเสียงปกติที่ไร้แววโกรธเคือง

“กูอยากนั่งข้างไอ้กี้” ผมบอกจุดประสงค์ออกไปอย่างชัดเจน

“กูว่ามึงนั่งตรงนี้ดีแล้ว ไหนจะตุ๊กตาของมึงอีก...มันเกะกะ” ไอ้ดิวบอก ก่อนจะส่งแก้วน้ำมาให้ผม “เอาน้ำไหม”

“ไม่!”

แล้วเป็นความผิดกูหรือไงเนี่ย มึงเองนั่นแหละที่ซื้อตุ๊กตาให้!

แต่ผมก็ไม่กล้าบ่นออกไปหรอกครับ เดี๋ยวมันเอาคืน ถือว่าทนๆ ไป แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

ตอนนี้หน้าจอขนาดยักษ์กำลังฉายหนังตัวอย่างอยู่ครับ ผมหันไปมองด้านซ้ายก็พบกับความว่างเปล่าและไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต ก่อนจะหันไปมองด้านขวาก็เจอไอ้หน้ายิ้มที่กำลังหยิบป็อปคอร์นมากิน โดยที่นั่งถัดไปเป็นไอ้กี้ และโต้งตามลำดับ

“ทำไมไม่ค่อยมีคนเลยวะ” ไอ้กี้พูดออกมา

ผมนึกเห็นด้วยในทันที ยิ่งตอนนี้พวกเรากำลังนั่งส่วนชั้นบนด้วยแล้ว ยิ่งดูเงียบเหงาเลยครับ

“เรื่องนี้มันเข้ามาสักพักแล้ว เห็นว่าร้องกันโรงแตก” ไอ้ดิวพูดเสริมขึ้น

คำตอบที่ได้ยิน ทำให้ผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา ผมเลยหยิบตุ๊กตาตัวอ้วนที่วางไว้บนเก้าอี้มาถือไว้

ทำไมมึงต้องเอ่ยสรรพคุณที่กูไม่อยากรู้ด้วยวะ!

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะมองหน้าจอขนาดยักษ์ที่ตอนนี้กำลังฉายภาพวิวทิวทัศน์ชนบทในต่างประเทศ ผมกะพริบตาพยายามคิดว่ามันไม่มีอะไร

โอเค! มันเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น มันเป็นแค่เทคนิคการตัดต่อ มันเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2013 21:59:25 โดย marionatte »

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
:: +++++++++++++++  ::


เสียงกรีดร้องดังขึ้น พร้อมกับเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ดังสะท้อนก้องไปทั่วโรงภาพยนตร์ที่เงียบงัน

อย่าถามว่าผมกำลังทำอะไร นอกจากก้มหน้าก้มตาเหมือนหาอะไรสักอย่าง ก่อนจะตัดสินใจยกแก้วน้ำที่วางตรงแขนเก้าอี้มาดูดอึกใหญ่ แน่นอนว่าไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองที่หน้าจอในตอนนี้ ซึ่งมีฉากไล่ล่าอะไรบางอย่างที่ผมไม่อยากจะนึกถึง

ไม่เคยตั้งใจดูดน้ำขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ...

“ระวังปวดฉี่”

น้ำเสียงทุ้มที่แทรกขึ้น ทำให้ผมต้องเงยหน้าไปมอง ก่อนจะเห็นไอ้ดิวที่กำลังมองมา ใบหน้าขาวไม่ปรากฏรอยยิ้มอย่างเช่นทุกครั้ง ผมพยักหน้ารับ แล้ววางแก้วน้ำลงที่เดิม พร้อมกับเงยหน้ากลับไปมองหน้าจออีกครั้ง

ไอ้บ้าเอ๊ย! มึงจะหน้าเละไปถึงไหนวะ!

เสียงร้องที่ดังขึ้นในโรงภาพยนตร์ผสมกับเสียงประกอบเนื้อเรื่อง ยิ่งทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความระทึกขวัญมากกว่าเดิม ผมรีบหลบสายตาจากฉากนั้น ก่อนจะกลับมาวุ่นวายกับตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับความคิดมากมายที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุด

จะหยิบน้ำมาดูดอีกที...หรือจะกินป็อปคอร์น? ถ้าเอาตุ๊กตามากอดเล่นตอนนี้ มันจะดูผิดปกติไปหรือเปล่าวะ?

ในขณะที่ผมกำลังสับสนกับชีวิตของตัวเอง เสียงกรีดร้องโหยหวนยังดังอย่างต่อเนื่องคละเคล้ากับเสียงดนตรีประกอบที่ทำให้หัวใจสูบฉีด ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นแผ่วเบา

“มึงขำอะไร” ผมถามขึ้นอย่างหงุดหงิดกลบเกลื่อนความกลัวที่เกาะกุมจิตใจในตอนนี้

“เอาป็อปคอร์นไหม”

ไอ้ดิวไม่ตอบคำถาม แต่ยื่นถุงป็อปคอร์นมาให้ ผมรับห่อกระดาษบรรจุข้าวโพดคั่วมา ก่อนจะก้มหน้าก้มตากิน โดยทิ้งความสนใจจากหน้าจอและเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดังขึ้นมาไม่หยุดหย่อน


:: +++++++++++++++  ::


บ้าเอ๊ย...หมดแล้ว!

ตอนนี้ป็อปคอร์นกับน้ำของผมหมดไปแล้วครับ แต่ว่าหนังเจ้าปัญหายังดำเนินไปได้ไม่ถึงไหน ผมเงยหน้าขึ้นมองที่หน้าจออีกครั้ง

จอสี่เหลี่ยมกว้างกำลังฉายภาพหญิงสาวชาวตะวันตกที่กำลังพูดคุยกับเพื่อนของเธอ ก่อนที่ผมจะเบิกตากว้าง เมื่อใบหน้าสวยสุดเซ็กซี่กลายสภาพเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ แล้วเริ่มอาละวาดไล่ล่าอีกครั้ง

ผมเกาะเบาะเก้าอี้ของตัวเองไว้แน่นจนแทบจะจิกลงไป อยากจะร้องแต่ร้องไม่ออก แต่ที่แน่ ๆ มีเสียงร้องของคนดูในโรงภาพยนตร์ดังขึ้น เมื่อภาพตรงหน้ากลายเป็นฉากความสยองขวัญอย่างสมบูรณ์แบบ

ก่อนที่ผมจะสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นที่ทาบทับลงบนหลังมือของตัวเอง ผมระบายลมหายใจออกอย่างเชื่องช้า ก่อนจะปิดระบบการรับรู้ทางสายตาลง ถึงแม้ประสาทการได้ยินยังคงทำงานได้อย่างชัดเจน

ฝ่ามือที่ทาบทับอยู่เมื่อครู่ ทำให้ผมคลายความเกร็งได้ไม่น้อย ก่อนจะหันไปมองใบหน้าด้านข้างของเจ้าของมืออุ่นนั้น

ไอ้ดิวกำลังดูฉากสยองขวัญอยู่อย่างไม่สนใจใครเลยสักนิด ผิดกับมือของมันที่ตอนนี้กำลังคว้ามือของผมมาจับไว้

ผมไม่สามารถบอกความรู้สึกในตอนนี้ได้ชัดเจนนัก นอกจากความอุ่นใจที่ซึมซับเข้ามาทีละน้อย

ผมหันไปมองเก้าอี้ด้านซ้ายที่ว่างเปล่า ก่อนจะกระชับมือที่ชื้นเหงื่อของตัวเองท่ามกลางอากาศที่เย็นจัด ในไม่กี่นาทีต่อมาความเงียบก็กลับมาเยือนอีกครั้ง ผมมองดูหน้าจอที่ดำเนินเนื้อเรื่องตามปกติ ทว่าฝ่ามือข้างตัวยังไม่ได้คลายออก


:: +++++++++++++++  ::


ถึงจะยอมรับว่าเสียฟอร์มที่ดันไปนั่งจับมือไอ้ดิวเกือบตลอดทั้งเรื่อง แต่ผมก็ดีใจ เมื่อหนังที่หาสาระไม่ได้ นอกจากทำให้ขนหัวลุกออกไปจากชีวิตของผมเสียที ตอนนี้พวกเราเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์กันแล้วครับ

“ฉากตอนที่โดนทุบจนหัวเละ สุดยอด!” ไอ้กี้พูดขึ้นอย่างถูกใจ

“กูว่าก็งั้นๆ ไม่เห็นจะน่ากลัว” โต้งพูดขึ้นบ้าง ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ

“ที่จริง...มันก็ออกแนวหลอกให้ตกใจเล่นมากกว่า มึงว่างั้นไหมวะ” ไอ้กี้หันมาถาม ผมได้แต่พยักหน้าทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกอดสู

อย่าถามอะไรเลย กูนั่งปิดหูปิดตาตลอดทั้งเรื่อง...

“ตอนนี้เกือบหกโมงแล้ว กูต้องกลับแล้วว่ะ” ไอ้กี้บอก ก่อนจะโชว์เบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้รับสายให้ดู ไม่ใช่ใครหรอกครับ นอกจากคนที่บ้านมันเอง

“ถ้างั้นแยกเลยแล้วกัน เดี๋ยวกูต้องไปรับน้องเหมือนกัน” โต้งบอกพลางดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง

ผมก็คิดว่าได้เวลากลับแล้วเหมือนกัน ไม่ได้บอกแม่ไว้ว่าไม่ต้องรอทานข้าวเย็น ป่านนี้สงสัยก็ยังคงรออยู่

“แล้วมึงกลับยังไง” ไอ้ดิวหันมาถาม เมื่อเหลือแต่เราสองคนที่ยืนเคว้งคว้างกันอยู่

“เดี๋ยวกูกลับรถไฟฟ้า” ผมตอบ โดยพยายามไม่มองหน้าของมัน โชคดีที่ไอ้ดิวไม่ได้พูดอะไรออกมาเกี่ยวกับเรื่องที่ผมทำตัวน่าอายก่อนหน้านี้

“งั้นกูกลับด้วยแล้วกัน”

ผมไม่ได้พูดอะไร นอกจากเดินออกจากห้างสรรพสินค้า แล้วมุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้า เมื่อเราสองคนอยู่บนชานชาลาได้ไม่นาน รถไฟฟ้าก็มาจอดเทียบที่สถานี และทันทีที่ประตูอัตโนมัติปิดลง ผมก็เลิกสนใจใครอีกคนที่ร่วมเดินทางอย่างสิ้นเชิง

เสียงบอกสถานีเป้าหมายดังขึ้น ผมเดินแทรกผู้คนที่แน่นขนัด ก่อนจะเดินออกจากขบวนรถไฟที่ทันสมัย ทว่าใครอีกคนที่เดินออกมาด้วยกัน ทำให้ผมต้องหันไปมอง

 “แล้วมึงลงสถานีเดียวกับกูหรือไงวะ” ผมหันไปถามไอ้ดิวที่เดินพ้นจากประตูของรถไฟฟ้า

“เปล่า” ไอ้ดิวตอบ ก่อนจะส่งยิ้มออกมาเล็กน้อย

ผมได้แต่ยืนฟังคำตอบอย่างไม่เข้าใจ แต่พอจะรู้มาบ้างว่าบ้านของมันไม่ได้อยู่ละแวกเดียวกับบ้านของผม

“แล้วมึงเดินออกมาทำบ้าอะไรวะ” ผมถามต่ออย่างสงสัย ก่อนจะมองรถไฟฟ้าที่เคลื่อนตัวออกจากสถานี

“กูเพิ่งจะนึกได้...นี่เป็นโอกาสดีที่กูจะได้ไปบ้านมึง โดยไม่ถูกไล่ออกมาน่ะ” ไอ้ดิวบอก พร้อมกับอมยิ้มออกมา

“แล้วมึงจะไปบ้านกูทำไม”

“ไปเที่ยว” ไอ้ดิวตอบ ก่อนจะมองผมอย่างจริงจังชึ้นมาเล็กน้อย “มึงไม่ต้องถามอะไรแล้ว นี่ถือเป็นคำสั่งจากเจ้านาย โอเค?”

ไอ้หน้ายิ้มพูดปิดท้าย โดยไม่ลืมที่จะส่งยิ้มตามแบบฉบับ ผมได้แต่มองตามร่างของเจ้านายประจำวันอย่างไร้ทางเลือก

เมื่อพวกเราเดินออกจากสถานี ผมก็มายืนรอรถเมล์ที่ป้ายรถโดยสารประจำทาง ก่อนที่ไอ้ดิวจะลากผมไปอีกทาง แล้วเรียกแท็กซี่หน้าตาเฉย

 “เฮ้ย! ไม่เอามันแพง”

“ขึ้นไปเดี๋ยวกูออกเอง” ไอ้ดิวบอก พร้อมกับเปิดประตู แล้วดันผมเข้าไปด้านใน ก่อนจะนำร่างของตัวเองเข้ามานั่งข้างกัน “มึงบอกทางด้วยล่ะ”


:: +++++++++++++++  ::


โดยปกติแล้วผมใช้เวลาในการเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงไม่นับเวลารอรถเมล์มานะครับ แต่ตอนนี้ใช้เวลาเพียงยี่สิบนาที ผมก็มายืนอยู่หน้ารั้วไม้สีน้ำตาลแล้ว โดยไม่ได้เสียเงินเลยสักบาท

ผมหันไปมองคนข้างกายที่มองโดยรอบละแวกบ้านของผมอย่างสนใจ ก่อนที่ผมจะเลื่อนรั้วไม้ออก แล้วให้แขกเดินเข้าไปในบริเวณบ้าน

บ้านของผมเป็นบ้านปูนขนาดเล็กสองชั้นครับ มีบริเวณไว้สำหรับจอดรถยนต์ได้หนึ่งคันกับสนามหญ้าขนาดเล็กตรงหน้าบ้าน ผมเดินนำแขกที่ไม่ค่อยอยากรับเชิญมาหยุดที่หน้าประตูกระจกแล้วเลื่อนออก

“บ๊อกๆ!”

เสียงต้อนรับดังขึ้นจากเจ้าของบ้าน ปกติเวลาที่ผมกลับบ้าน มันไม่เห่าหรอกครับ ผมยกยิ้มที่มุมปาก เมื่อเห็นไอ้ดิวชะงักไปเล็กน้อย คงเพราะท่าทีของเจ้าสุนัขตรงหน้าที่ทำท่าจะกัดล่ะมั้ง

“กลับมาแล้วเหรอ แล้วพาใครมาด้วยน่ะ” แม่ร้องถาม ท่านคงรู้ว่าเจ้าตัวเล็กนี่เห่าแสดงว่าต้องมีคนไม่คุ้นหน้ามันมาอยู่ในบ้าน

ผมส่งถุงใส่ตุ๊กตาให้ไอ้ดิวถือ ก่อนจะอุ้มเจ้าตัวเล็กแต่เสียงดังขึ้น

“หมาน่ารักจัง ชื่ออะไรวะ” ไอ้ดิวถาม แล้วมองเจ้าตัวเล็กไม่ละสายตา

“พูห์” ผมตอบพลางลูบหัวของมันที่ตอนนี้กำลังเข้ามาดมไอ้ดิวอยู่

พูห์เป็นสุนัขพันธุ๋พุดเดิ้ลสีคาราเมลครับ มีสถานะเป็นสาวน้อยน้องเล็กในบ้าน แม่เลี้ยงดูดีกว่าเลี้ยงผมอีกครับ

“อืม...หวัดดีพูห์” ไอ้ดิวพูดขึ้น พร้อมกับเอามือไปลูบเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในมือของผม ส่วนพูห์ก็มองไอ้คนตรงหน้าและไม่ได้เห่าใส่อย่างตอนแรกอีก

“พาเพื่อนมาด้วยเหรอ” แม่ถามขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะรับไหว้ผมกับไอ้ดิวที่ตอนนี้หันไปส่งยิ้มให้แม่แทน

“ตายจริง! แม่เคยเห็นเราที่โรงเรียน ชื่ออะไรนะ”

“ชื่อดิวครับ”

“จ๊ะ...เข้ามานั่งทานน้ำก่อน” แม่บอก ก่อนจะหันมาสั่งผม “ แมลงปอไปหาน้ำมาให้เพื่อนเร็ว” แล้วคว้าเจ้าตัวเล็กไปจากมือของผม พร้อมกับส่งยิ้มให้แขกอีกครั้ง  “ทำตัวตามสบายนะลูก มาทานข้าวเย็นด้วยกันเลยใช่ไหม”

“ครับ ฝากท้องด้วยนะครับ”

“ดีเลย อยู่บ้านกินข้าวกันแค่สองคน แม่เบื่อจะแย่”

ไอ้ดิวยิ้มรับ ก่อนที่ท่านจะเดินเข้าไปในครัว พร้อมกับเจ้าตัวเล็ก ผมเลยเดินไปเสิร์ฟน้ำให้แขกที่กำลังนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น

“บ้านน่ารักดี ไม่นึกว่าจะเลี้ยงหมาด้วย” ไอ้ดิวพูดขึ้น ก่อนจะหยิบแก้วน้ำเปล่าที่ผมรินน้ำให้มาดื่ม

“แล้วมึงจะอยู่กินข้าวเย็นด้วยทำไมวะ”

“ก็คุณแม่ท่านชวนนี่” ไอ้ดิวตอบ ผมทำหน้ายุ่งมากกว่าเดิม

บอกมาได้เต็มปาก แม่ของกูนะ ไม่ใช่แม่ของมึง...

“เดี๋ยวก็กลับดึกหรอก” ผมพูดขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ก็ทุ่มเศษแล้วครับ กว่าจะทานข้าวเสร็จ พอดีได้กลับบ้านมืดค่ำ

นี่ผมกำลังเป็นห่วงมันนะเนี่ย…

“ไม่เป็นไร ถ้าดึกมากก็ขอค้างเลยแล้วกันนะ”



TBC :: +++++++++++++++  ::


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2013 22:00:14 โดย marionatte »

mengsama

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักอะ >< คือแมลงปอไม่รู้เลยว่าเค้าจีบอยู่นะ    ดิวน่ารัก ><

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
ขออนุญาตเปลี่ยนสถานะของเรื่องจากเรื่องสั้นมาเป็นเรื่องยาวนะค่ะ

เพราะมันน่าจะเกินสิบตอนขี้นไป (จากโครงที่ร่างไว้) ผิดจากที่คาดไว้ตอนแรก อิอิ

พรุ่งนี้จะมาต่อตอนต่อไปอีกทีค่ะ ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ดิวรุกขนาดนี้ แมลงปอก็ยังอึนอยู่เลยนะเนี่ย 555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






tonkhaw

  • บุคคลทั่วไป
ดิวจ่ายไปหน่อยเดียว ได้กำไรกลับมาเต็มๆๆ

nightsza

  • บุคคลทั่วไป
ดิวอ่ะ รักนะ แต่ไม่แสดงออกล่ะสิ วางแผนอะไรไว้หรือเปล่าเนี่ย ตามมาถึงบ้านเลย

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
ตอนที่ 5  ::: ค้างคืน


“อร่อยมากเลยครับ คุณแม่!”

“จ้า... ทานเยอะๆ เลยนะลูก”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นดิวไม่เกรงใจแล้วนะครับ”

ผมกำลังเคี้ยวหมูผัดน้ำมันหอยพลางมองหน้าของแม่กับไอ้ดิวที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกปาก ตอนนี้พูห์กำลังกินอาหารเม็ดอยู่ไม่ห่างออกไปนัก นอกจากเจ้าตัวเล็กจะไม่เห่าใส่ไอ้หน้ายิ้มแล้ว ดูเหมือนน้องเล็กของบ้านจะชื่นชอบมันด้วยซ้ำ

ขนาดน้องสาวของกู มึงยังล่อลวงได้เลยหรือเนี่ย!

“ได้ยินว่าดิวจะค้างหรือลูก” แม่ถามขึ้น ผมก็ได้แต่ขวดคิ้วอย่างสงสัยว่าแม่รู้ได้อย่างไร

“ไม่หรอกครับ” ไอ้ดิวตอบ ก่อนจะยิ้มขึ้นมาอย่างสุภาพ “ผมตั้งใจว่าจะรบกวนแค่มื้อเย็นเท่านั้นครับ”

ก่อนหน้านี้มึงไม่ได้พูดแบบนี้นี่...

“โถ...พ่อคุณ! ไม่ต้องเกรงใจหรอก พรุ่งนี้ก็วันหยุดไม่ใช่เหรอ ค้างที่นี่ก็ได้ แถวนี้หารถกลับลำบากนะ ไม่รู้ตอนนี้รถเมล์หมดแล้วหรือยัง”

“ยังหรอกแม่ รถหมดสี่ทุ่ม ที่สำคัญกลับแท็กซี่ก็ได้นี่” ผมตอบ พร้อมกับสายตาดุของแม่ที่ส่งมาให้

“แต่นี่จะสามทุ่มแล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กกลับบ้านดึกไม่ดีนะ ถึงจะมีแท็กซี่ก็ไม่รู้ว่าวางใจได้หรือเปล่า” แม่พูดขึ้น ก่อนจะส่งยิ้มบางให้แขกของบ้าน “ดิวก็ค้างที่นี่นั่นแหละ แม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงด้วย เดี๋ยวนี้อันตรายจะตายไป”

“ถ้าอย่างนั้น...”

“เดี๋ยวปอออกไปส่งมันก็ได้” ผมรีบแย้งขึ้น ก่อนที่มันจะพูดอะไรที่ผมไม่อยากจะได้ยินอีก

“ไปส่งอะไรเล่า! แม่ก็เป็นห่วงเราอีกนั่นแหละ โจรขโมยก็ชุกชุมไปหมดใครดีเลวเราก็ไม่รู้ ถ้าเกิดไปเจอคนไม่ดีระหว่างทาง แล้วพ่อ แม่กับน้องพูห์จะอยู่ได้ยังไง”

เอ่อ...เล่นงานจนผมไม่กล้าออกตัวเลยครับ

“ไอ้ดิวไม่มีชุดมาเปลี่ยนนะแม่ เสื้อของปอมันใส่ไม่ได้หรอก ตัวมันใหญ่จะตาย”

“เดี๋ยวเอาของพ่อเขาใส่ก็ได้ มีอยู่หลายตัวเลย” แม่หันมาบอกผม แล้วเลื่อนใบหน้าไปมองไอ้หน้ายิ้มต่อ “ดิวคงไม่ถือหรอกนะลูก”

“ไม่หรอกครับ แล้วคุณพ่อไม่อยู่หรือครับ”

“พ่อเขาไปดูแลสวนยางอยู่ที่ใต้ บ้านนี้ก็มีแต่แม่กับแมลงปอ แล้วก็น้องพูห์นี่แหละ”

“ถ้าอย่างนั้น...ดิวต้องขอรบกวนค้างสักคืนแล้วกันนะครับคุณแม่”ไอ้ดิวพูดขึ้น แล้วนั่งยิ้มแก้มตุ่ย ส่วนผมก็ได้แต่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ พร้อมกับรู้สึกถึงความซวยเข้าครอบงำทุกรูขุมขน

“จ๊ะๆ ยิ้มเก่งจริงเชียวพ่อคุณ”

“แล้วแม่จะให้ไอ้ดิวไปนอนที่ไหนล่ะ บ้านเรามีแค่สองห้องเองนะ” ผมพูดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับรู้สึกถึงความมืดที่คืบคลานเข้ามา

“อะไรนักหนา! ดิวก็นอนกับลูกไง จะให้เพื่อนมานอนกับแม่หรือไงเล่า!”

ยกนี้ผมก็โดนแม่น็อคเอาท์เข้าจนได้...


:: +++++++++++++++  ::


นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

ผมกำลังนั่งมองไอ้ดิวที่กำลังเล่นกับพูห์อยู่ที่พื้นห้องนอนของผม แล้วดูน้องสาวของผมสิ แทนที่จะรักนวลสงวนตัวกลับนอนอ้าขาให้ท่าเขาเสียอย่างนั้น น่าอับอายจริงๆ

“หือ...จะให้พี่ดิวเกาท้องเหรอ” ไอ้ดิวถามขึ้น แล้วลูบท้องของพูห์ที่นอนหลับตาพริ้มอย่างย่ามใจ “ขนนุ่ม”

“ก็ดูแลดี” ผมตอบอย่างไม่ค่อยสนใจนัก ก่อนจะคว้าตุ๊กตาหมีพูห์ขนาดเหมาะมือบนเตียงมากอด

นอกจากหน้าที่ของผมที่ต้องอาบน้ำให้แล้ว แม่จะเป็นคนพาไปตัดขนและตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำครับ

“แล้วมึงล่ะขนนุ่มด้วยหรือเปล่า ขอจับหน่อย” ไอ้ดิวถามขึ้น พร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบหัวของผม ผมปัดมือที่รุกรานออก แล้วมองเจ้าของตาเขียว

“ทะลึ่ง”

ไอ้ดิวระบายยิ้มรับโดยไม่ได้พูดอะไร พร้อมกับลูบพูห์ที่ตอนนี้กำลังนอนหนุนตักอย่างสบายใจ ผมถอนหายใจออกมา

“แล้วบอกที่บ้านยังวะ” ผมถามขึ้น ตอนนี้กำลังจะสามทุ่มแล้วครับ “ถ้ามึงไม่สะดวกจะกลับตอนนี้เลยก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจแม่กูหรอก”

แบบว่า...ถ้ามึงเปลี่ยนใจยังทันนะเว้ย!

“โทรไปบอกแล้วไม่มีปัญหา”

“ถามจริง…มึงคิดอะไรอยู่วะ” ผมถามพลางมองคนตรงหน้านิ่ง นัยน์ตาสีดำสดใสประสานสายตากับผมที่อยู่บนเดียง โดยไม่เลื่อนหนีไปไหน

“คิดเรื่องของมึงไง”

“คิดเรื่องของกู?” ผมทวนประโยคอย่างสงสัย พร้อมกับมองใบหน้าหล่อเหลาที่แต้มด้วยรอยยิ้มที่ริมฝีปาก

“กูคิดว่า...เมื่อไหร่มึงจะเลิกเกลียดกู บางทีตอนนี้อาจจะเป็นโอกาสดีที่ทำให้เราสองคนสนิทกันมากขึ้น”

“กูไม่ได้เกลียดมึง” ผมบอกให้คนตรงหน้าเข้าใจ ที่จริงผมแค่หมั่นไส้มันเป็นบางครั้งเท่านั้นแหละ แต่ถ้าถามว่าเกลียดไหม...ไม่หรอกครับ

“แต่ก็ไม่ชอบกูอยู่ดี”

ผมไม่ได้ตอบ เพราะไม่อยากนึกหาข้ออ้างมาปฏิเสธ ก่อนจะมองท่าทีที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า ไอ้ดิวทำท่าครุ่นคิด แล้วคลี่ยิ้มที่มุมปาก

“มึงยิ้มหน่อยสิ”

“อะไรของมึง”

“มึงไม่เคยยิ้มให้กูเลย นี่เป็นคำสั่ง! ยิ้มออกมาแมลงปอ”

“อยู่ดีๆ จะมาให้กูยิ้ม มึงบ้าหรือเปล่าวะ” ผมบ่นขึ้น แล้วชักสีหน้าใส่

“เร็ว! ยิ้มแบบนี้น่ะ” ไอ้ดิวออกคำสั่งอีกครั้ง ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานออกมาให้ผมดูเป็นตัวอย่าง ผมมองรอยยิ้มที่เห็นจนชินตา แล้วขมวดคิ้ว

“ไอ้บ้า! กูไม่ได้บ้าเหมือนมึงนะ”

“สรุปว่ามึงจะขัดคำสั่ง?” ไอ้ดิวถามย้ำ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ตอนนี้พูห์ลุกจากตักไอ้หน้ายิ้ม แล้วไปนอนที่มุมห้องแทน

“ถ้าคำสั่งมันบ้า ก็รอไว้ให้คนบ้ามันทำก็แล้วกัน” ผมบอก พร้อมกับมองคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง

ลองดูสิ! กูไม่ทำแล้วมึงจะทำไมวะ…

“แน่ใจ?” ไอ้ดิวถามย้ำขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มที่ฉายขึ้นตรงมุมปาก ทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว เมื่อรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง อาจเป็นเพราะความสูงจากระยะของเราสองคนที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกขึ้นมาก็ได้

เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง ทว่าคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้วกลับพุ่งตัวเข้ามาหาผมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้เราสองคนนอนล้มลงไปบนเตียงอีกครั้ง พร้อมกับร่างของคนจู่โจมที่เข้ามาในระยะประชิด ก่อนที่ผมจะเบิกตากว้าง เมื่อเห็นมือของมันเลื่อนเข้ามาสัมผัสที่จุดยุทธศาสตร์

 “ไอ้ดิว! มึงหยุดเดี๋ยวนี้นะเว้ย!” ผมตะโกนขึ้น พร้อมกับหัวเราะออกมาในขณะเดียวกันก็ดิ้นหลบมือของไอ้ดิวที่จู่โจมเอวของผมไม่หยุด มันหัวเราะเหมือนพวกโรคจิตเลยครับ

"เร็วๆ กูสั่งให้มึงยิ้ม ไม่ใช่ให้มึงหัวเราะ”

โว้ย! มึงจี้เอวกูแบบนี้ กูก็ต้องหัวเราะสิวะ!

“ฮ่าๆ มึงจะบ้าหรือไง ปล่อยกู!” ผมร้องบอก ก่อนจะเริ่มขัดขืนด้วยการคว้ามือของมันไว้

แต่สงสัยผมคงกระชากแรงไปหน่อย ทำให้ร่างของไอ้ดิวล้มลงมาทับผมทั้งตัว  ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มซบลงที่คอของผม พร้อมกับลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดออกมา

ท่ามกลางความเงียบที่กลับมาเยือนอีกครั้ง ผมก็ได้ยินเสียงหอบหายใจที่ดังขึ้น พร้อมกับคนจู่โจมที่หยุดชะงักในทันที

“เล่นบ้าๆ ว่ะ กูยิ่งบ้าจี้อยู่” ผมบ่นพลางหันไปมองใบหน้าของไอ้ดิวที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ก่อนที่ผมจะเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เมื่อประสานสายตากับดวงตาคู่สวยสีดำขลับเข้าพอดี

ผมมองใบหน้าของไอ้ดิวที่อยู่ห่างเพียงเล็กน้อยด้วยความรู้สึกแปลก ยิ่งรับรู้ได้ถึงระยะของปลายจมูกโต่งที่เกือบติดชิดผิวแก้มของผมก็ยิ่งอึดอัด

ในช่วงที่เหมือนเวลาจะหยุดเดินไปชั่วขณะ ไอ้ตัวดีก็ดึงร่างของตัวเองให้นอนหงายข้างกันแทน พร้อมกับผมที่ถอนหายใจออกมา

 “เหนื่อยล่ะสิมึง” ผมพูดขึ้น ทั้งที่รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งพลางจัดเสื้อผ้าที่ยับเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ แล้วทำหน้ายุ่ง “แล้วมึงเป็นอะไรหน้าแดงๆ”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่เหนื่อยมั้ง” ไอ้ดิวตอบ ก่อนจะพลิกตัวหันไปอีกทาง ผมมองใบหูที่แดงก่ำอย่างนึกแปลกใจ

“แน่ใจ?” ผมถามย้ำอีกครั้ง แล้วชะโงกหน้ามองอย่างสงสัย เมื่อยังเห็นผิวแก้มที่แต้มด้วยสีแดงอ่อน “ไอ้ดิว...หน้ามึงแดงมาก ไม่สบายหรือเปล่าวะ”

อย่ามาป่วยที่ห้องกูนะเว้ย!

 “กู...”

ไอ้ดิวพูดแค่นั้น กอนจะตาโตขึ้น เมื่อผมเอาหลังมือทาบลงบนหน้าผากของมัน ส่วนอีกมือก็ทาบลงบนหน้าผากของตัวเอง

 “ปกตินี่หว่า” ผมพูดขึ้นอย่างโล่งใจ

ทว่าในจังหวะที่ผมกำลังจะดึงมือออก ไอ้ดิวกลับคว้ามือของผมมาจับไว้ พร้อมกับมองผมอย่างไม่ละสายตา ไอ้หน้ายิ้มถอนหายใจ แล้วส่งยิ้มมาให้ผมอีกครั้ง ผมได้แต่มองท่าทีประหลาดอย่างนึกแปลกใจ

 “ไอ้ดิว?”

ก่อนที่ผมจะได้รับคำตอบ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พร้อมกับแม่ที่เปิดประตูเข้ามา และในวินาทีเดียวกับที่ไอ้ดิวปล่อยมือของผมออก

    “แมลงปอไปอาบน้ำได้แล้ว นี่แม่หาเสื้อของพ่อเขาไว้ให้แล้ว เดี๋ยวไปหยิบให้เพื่อนด้วยนะ” แม่บอก พร้อมกับอุ้มพูห์ขึ้นในอ้อมแขน โดยไม่ลืมที่จะพูดทิ้งท้าย ก่อนจะปิดประตูลง “ถึงพรุ่งนี้จะเป็นวันหยุด แต่ก็อย่านอนดึกล่ะ”


:: +++++++++++++++  ::


ผมเข้าไปอาบน้ำก่อนไอ้ดิวครับ ตอนนี้ผมเลยนั่งจัดเตียงให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้มันเละไม่เป็นท่า ส่วนไอ้ดิวกำลังอาบน้ำอยู่

บ้านของผมไม่มีห้องน้ำส่วนตัวหรอกครับ เวลาจะอาบน้ำก็ต้องลงไปที่ห้องน้ำชั้นล่าง แล้วก็มาแต่งตัวในห้อง แต่วันนี้คงต้องแต่งตัวในห้องน้ำแทน

เสียงเปิดประตูดังขึ้น ก่อนไอ้ดิวจะเดินเข้ามาในห้อง ตอนนี้มันใส่เสื้อยืดกับกางเกงของพ่อครับ พร้อมกับผ้าขนหนูที่คลุมอยู่บนหัว

“แม่กูนอนยัง”

“ยัง...คงรอกูอาบน้ำเสร็จก่อน ” ไอ้ดิวคอบ ก่อนที่ผมจะพยักหน้ารับ

แม่จะเข้านอนเป็นคนสุดท้ายครับ ท่านต้องคอยตรวจดูความเรียบร้อยก่อนจะปิดไฟแล้วขึ้นนอน

ไอ้ดิวเดินมานั่งลงบนเตียง ตอนนี้ใบหน้าขาวไม่ได้แดงอย่างเมื่อหลายนาทีก่อนแล้ว และกำลังอมยิ้มส่งมาให้ผมเหมือนปกติ ผมไม่ได้สนใจนัก แล้วกลับมาจัดตุ๊กตาคละไซส์ที่อยู่บนเตียงให้เป็นระเบียบ

“ไม่นึกว่ามึงจะมีตุ๊กตาเยอะขนาดนี้” ไอ้ดิวพูดขึ้น แล้วอมยิ้ม “เขาว่ากันว่า…คนที่มีตุ๊กตาในห้องนอนเยอะ จะเป็นพวกขี้เหงาจริงหรือเปล่า”

“ไม่รู้สิ ว่าแต่มึงรู้ได้ไงว่ากูชอบหมีพูห์วะ”  ผมหันไปถามอย่างสงสัย

“กูนึกเอาเอง”

“เอาคำตอบดีๆ กูอยากรู้”

“สังเกตเอา... แล้วก็ลองถามกี้ดู” ไอ้ดิวตอบ แล้วเอื้อมมือไปหยิบตุ๊กตาตัวใหม่ทีเพิ่งซื้อให้ผมมากอดไว้

ผมไม่ได้คิดติดใจสงสัยอีก ก่อนจะจัดที่นอน โดยใช้หมอนข้างมากั้นไว้เป็นสองฟาก ผมไม่เคยนอนกับใครมาก่อนครับ ยกเว้นตอนเด็กที่นอนกับแม่

ตั้งแต่แยกห้องนอนมา ผมก็นอนคนเดียวมาตลอด ทว่าคืนนี้ผมจะต้องนอนกับคนอื่น ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะนอนหลับหรือเปล่า

มึงมาสร้างความลำบากให้กูชัดๆ...

“แมลงปอเช็ดผมให้หน่อยสิ” ไอ้ดิวพูดขึ้น พร้อมกับผมที่มองมันเขม็ง

“เช็ดเองสิวะ”

“ก่อนหน้านี้มึงก็ขัดคำสั่งกูไปแล้วนะ นี่ถ้าขัดอีกรอบ กูจะยึดตุ๊กตาคืน” ไอ้ดิวหันมาขู่ผม ก่อนจะเลิกคิ้วมองในทำนองที่ว่า...จะเอายังไงก็ว่ามา

“กูไม่น่าหลวมตัวไปรับปากมึงเลย” ผมบ่นขึ้นอย่างไม่พอใจ ในจังหวะเดียวกับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้น

“ถ้ายังไม่หมดวันนี้ กูก็ยังสั่งมึงได้อยู่ล่ะนะ” ไอ้ดิวพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะกวักมือเรียก

ผมแค่นเสียงในคอ แล้วทำการย้ายตัวเองไปด้านหลังของมัน พร้อมกับหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดผมให้ตามคำสั่งของเจ้านาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-11-2013 23:09:53 โดย marionatte »

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
“กูหัวจะหลุดแล้วครับ เบาๆ หน่อยสิ”

“กูเป็นพวกมือหนัก ถ้าจะใช้กู...ก็อดทนหน่อย” ผมบอก ก่อนจะยกยิ้ม แล้วเช็ดหัวมันแรงๆ

เอาให้หัวมันหลุดไปเลยดีไหม...

ไอ้ดิวหัวเราะออกมา หลังจากที่ผมเช็ดผมให้มันจนเกือบแห้งสนิท ผมก็ลงไปดูแม่ข้างล่าง ก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องนอนของตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับเห็นไอ้ดิวที่หยิบหนังสือการ์ตูนบนชั้นหนังสือของผมออกมาอ่าน

ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบจะห้าทุ่มแล้วครับ ผมเดินไปคว้าหนังสือการ์ตูนในมือของมันออก ไอ้ดิวมองหน้าของผม แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

“กูจะนอนแล้ว” ผมบอก แล้วเดินไปปิดไฟที่ผนังห้อง โดยเปิดไฟที่หัวเตียงเอาไว้ก่อน เมื่อเห็นคนนอนร่วมเตียงอยู่ในบริเวณที่จัดไว้ ผมก็ปิดไฟที่หัวเตียง ก่อนจะล้มตัวลงนอน

ความเงียบเข้าโอบล้อมภายในห้องอีกครั้ง ผมพลิกตัวนอนหันหลังให้ไอ้ดิว ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานก็ได้ยินเสียงขยับตัวไปมา

ผมหลับตาลง พร้อมกับทิ้งความสนใจไว้เบื้องหลัง แล้วเข้าสู่วังวนของการพักผ่อน ท่ามกลางความเงียบที่แสนสบายนั้น ในที่สุดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“แมลงปอนอนหรือยัง”

“อะไร” ผมตอบ ทั้งที่ยังหลับตาอยู่

ให้ตายเถอะ! เวลาตื่นหรือนอน มึงก็ยังตามกวนกูไม่เลิกเลยใช่ไหม...

“นอนไม่หลับว่ะ” ไอ้ดิวพูดขึ้น ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงมันขยับตัวอีกครั้ง “ทำยังไงดี...สงสัยไม่คุ้นที่”

ผมถอนหายใจ ก่อนจะพลิกตัวมามองคนที่ทำตัวเองให้เป็นปัญหาแล้วชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเห็นสายตาสีดำสว่างกำลังจ้องมองมา

ที่สำคัญตอนนี้ปราการกั้นเขตที่ผมสร้างเอาไว้ก็กระเด็นไปอยู่ข้างตัวอีกด้านของมันเป็นที่เรียบร้อย ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นไอ้คนมากเรื่องยังขยับเข้ามาใกล้จนรับรู้ได้ถึงระยะของลมหายใจ

“แล้วมึงเอาหมอนข้างกูออกทำไม!” ผมลุกขึ้นมาโวยวาย พร้อมกับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ

“ก็กูนอนไม่หลับนี่หว่า เอาน่า...กูนอนไม่ดิ้นหรอก รับรองได้”

“มึงจะลงไปดูทีวีข้างล่างก่อนไหม” ผมถามอย่างใจเย็น พอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่ที่ผมไล่ให้มันลงไปข้างล่าง เพราะห้องนอนของผมไม่มีโทรทัศน์ครับ

“ไม่เอา เกรงใจคุณแม่”

เออดี! เกรงใจแม่กู แต่ไม่เกรงใจกูว่างั้น...

“แล้วมึงจะให้กูทำยังไงวะ” ผมถามขึ้น ก่อนจะถอนหายใจออกมา ทว่าอาการที่แสดงถึงความเหนื่อยใจของผมคงส่งไปไม่ถึงคนตรงหน้า เพราะไม่เพียงจะไม่ทำหน้าเกรงใจอย่างที่พูดแล้ว ไอ้ดิวยังระบายยิ้มมองผมกลับ

“นอนคุยกัน”

ผมนอนลงตามแรงดึง ก่อนจะมองมันอย่างไม่สบอารมณ์ ผมเป็นคนที่นอนไม่ดึกครับ เพราะแม่ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องเวลานอน ยิ่งตอนเปิดเทอมนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ถ้าปิดเทอมก็เป็นอีกกรณีหนึ่งครับ

“มึงไม่ต้องขยับมาใกล้กูนักก็ได้” ผมบอก แล้วอ้าปากหาวยืนยันอาการของตัวเอง “กูไม่มีอะไรจะคุยแล้ว...กูง่วง”

“แล้วมึงจะทิ้งให้กูนอนไม่หลับอยู่คนเดียว” ไอ้ดิวส่งเสียงหงอย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาปลุกแบบดิจิตอลที่หัวเตียงของผม “เหลือเวลาอีกสี่สิบนาที กูขอสั่งให้มึงห้ามหลับจนกว่ากูจะอนุญาต”

“ไอ้ดิว!” ผมร้องขึ้นอย่างหงุดหงิด ก่อนจะขยี้ผมของตัวเอง แต่ไอ้ดิวดันหัวเราะออกมา ผมเลยหันไปถลึงตาใส่มันแทน “แล้วมึงจะทำอะไร!"

“นอนเล่าเรื่องผีดีหรือเปล่า” ไอ้ดิวพูดขึ้นพลางยกยิ้มที่มุมปาก

“เชิญมึงไปเล่าให้ตัวเองฟังเถอะ!” ผมตอบอย่างไม่พอใจนัก แล้วอดนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์น่าอายตอนดูหนังบ้าบอนั่นขึ้นมาไม่ได้

“เพิ่งรู้ว่ามึงกลัวผี”

“เรื่องของกูเถอะ”

“แถมยังนั่งจับมือกูด้วย” ไอ้ดิวยังพูดต่ออย่างไม่สนใจ แต่เล่นงานผมได้อย่างจัง

แล้วมึงจะรื้อฟื้นขึ้นมาทำไมวะ!

“ใครไปจับมือมึงวะ มึงนั่นแหละที่เข้ามาจับมือกูก่อน” ผมพูดขึ้นบ้างแต่ไอ้ดิวกลับไม่สะทกสะท้าน นอกจากนอนยิ้มแล้วมองผมนิ่ง สายตาที่มองมาทำให้ผมเริ่มทำตัวไม่ถูก

ในขณะที่ผมกำลังตัดสินใจจะพลิกตัวหนี ทว่ามือของไอ้ตัวปัญหากลับเหนี่ยวรั้งแขนของผมเอาไว้

วันนี้มึงจะจับกูถี่ไปแล้วหรือเปล่า...

“กูเห็นคนที่นั่งข้างกันเป็นอะไรก็ไม่รู้ จู่ๆ ก็นั่งตัวแข็งเลยลองจับดู แต่หลังจากนั้นก็...ไม่รู้สินะ” ไอ้ดิวตอบ แล้วหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย ผมเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่จู่โจมเข้าที่ใบหน้า ก่อนจะเม้มริมฝีปากแก้อาย

“แล้วตอนนี้มึงจะมาจับแขนกูทำไมวะ” ผมถามอย่างหงุดหงิด

ผมไม่สนใจเรื่องที่ผ่านไปแล้วหรอกครับ ตอนนี้หันมาสนใจเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่น่าจะดีกว่า

“มึงทำท่าจะหนีกูอ่ะ”

“กูจะเปลี่ยนท่าบ้าง อะไรบ้าง กูเมื่อย...เข้าใจไหมมึง”

“เหลือเวลาอีกสามสิบนาที กูขอสั่งให้มึงนอนหันหน้ามาหากู” ไอ้ดิวสั่งขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“หึ...พอถึงเที่ยงคืนเมื่อไหร่ กูจะถีบมึงออกจากเตียง แล้วไล่มึงออกจากห้องนอนของกู”

“แล้วกูก็จะไปเคาะประตูห้องคุณแม่ แล้วบอกว่ามึงรังแกกู”

“ไอ้...”

“เลิกด่าได้แล้ว กูไม่ชอบคนพูดคำหยาบ” ไอ้ดิวบอกเสียงเข้ม พร้อมกับเอามือที่ว่างอีกข้างมาปิดปากของผมไว้ นัยน์ตาคมสะท้อนประกายบางอย่างท่ามกลางความมืด “ไม่ต้องคุยก็ได้ แค่อยู่เงียบๆ ก็พอ”

ผมจ้องคนตรงหน้าอย่างคนอารมณ์เสียถึงขัดสุด แล้วดึงมือปลาหมึกที่ปิดปากเอาไว้ออก ไอ้ดิวยิ้มขึ้นมาพลางพลิกตัวนอนมองผม

คงเพราะแรงกดดันจากสายตาคมคู่นั้นเลยทำให้ผมรู้สึกไม่สบายตัวนัก ผมกรอกตาอย่างนึกปลงชีวิต ทว่าไอ้เจ้านายบ้าก็ยังไม่มีทีท่าจะละสายตาไปไหน ทันทีที่ผมสบตามองอีกครั้ง รอยยิ้มบางก็แต้มขึ้นที่ริมฝีปากสีอ่อนจนทำให้ผมรู้สึกแปลก

ผมไม่รู้ว่าเวลาเดินไปนานแค่ไหน แต่การต้องนอนให้ใครสักคนมองนั้นเป็นเรื่องที่ทรมานอย่างคาดไม่ถึง นอกจากสายตาที่ส่งมาให้แล้ว ความเงียบที่เคลื่อนตัวอยู่ก็ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดอย่างที่สุด

ในเมื่อผมไร้ทางเลือกที่จะตอบโต้ก็คงต้องรอให้ไอ้คนบ้าล่าถอยไปเอง


:: +++++++++++++++  ::


ในที่สุดความอดทนของผมก็หมดลง เมื่อการรอคอยที่ยาวนานนับนาทีของการเป็นลูกจ้างไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด นอกจากไอ้ดิวจะไม่ปล่อยแขนของผมแล้ว อีกฝ่ายยังคงมีสมาธิมากพอที่จะจ้องมองผม โดยไม่เลื่อนสายตาไปไหนผมนึกทึ่งในความสามารถและความพยายามจนอยากจะอัดมันเป็นรางวัล

 “แล้วมึงจะมานอนจ้องกูทำไมวะ”

“มองหน้ามึงไม่ได้?”

“มองได้...แต่มึงมองเหมือนพวกโรคจิตว่ะ” ผมบอกพลางทำหน้าไม่ถูก ถ้ามันมองแล้วเลยผ่านไป ผมคงไม่รู้สึกแปลกแบบนี้ ไอ้ดิวหัวเราะออกมา

“ก็คงงั้น”

“กูง่วงจนตาจะปิด มึงยังไม่ง่วงอีกหรือวะ” ผมบ่นอีกครั้ง ที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่หรอกครับ แต่ไม่อยากให้มันมานอนจ้องแบบนี้

“กูอนุญาตให้มึงหลับก็ได้ แต่ว่าห้ามพลิกไปทางอื่น”

“โว้ย! กูเกร็งแล้วนะเว้ย” ผมพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ แล้วขมวดคิ้วแน่น “กูต้องนอนจ้องหน้ากับมึงเบบนี้…คงหลับลงหรอก”

“ไหนบอกว่าง่วงแล้ว”

“ไอ้ดิว...ขอร้องมึงเลิกแกล้งกูสักทีเถอะ” ผมพูดขึ้นอย่างยอมแพ้ พร้อมกับไอ้ตัวดีที่ยิ้มออกมา

“เลิกแกล้งมึงแล้วก็ได้ แต่เหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง” ไอ้ดิวบอกพลางมองนาฬิกาบนหัวเตียงของผมอีกครั้ง “ตอบแทนที่กูให้มึงจับมือแก้กลัวตอนดูหนัง ตอนนี้กูนอนไม่หลับ...มึงต้องนอนจับมือกูคืน โอเคหรือเปล่า”

สรุปมึงจ้างกูให้คุ้มจนถึงวินาทีสุดท้ายเลยใช่ไหมวะ!

“มึงจะว่ายังไงก็เรื่องของมึง ขอแค่กูไม่ต้องมานอนให้มึงจ้องหน้าก็พอ” ผมตอบอย่างเหลืออด ก่อนจะพลิกตัวหันข้างให้มันทันที โดยไม่รอคำอนุญาต พร้อมกับได้ยินเสียงของไอ้ดิวที่หัวเราะตามหลังมา

ดูมึงมีความสุขบนความลำบากของกูจริงๆ..

ทันทีที่ดวงตาฉายภาพเพดานสีขาว ผมก็รู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่นของใครอีกคนที่จับมือของผมไว้ ผมไม่ได้ตกใจ เพราะรู้ตัวอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะปิดเปลือกตาลงเพื่อพักผ่อนอีกครั้ง

ท่ามกลางความเงียบในห้วงของความฝันครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รดข้างผิวแก้ม พร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาราวกับขนนก ก่อนเสียงปริศนาจะดังขึ้นที่ข้างหูไม่ต่างจากเสียงกระซิบ

‘ฝันดีนะ’


TBC :: +++++++++++++++  ::



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-11-2013 23:10:37 โดย marionatte »

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
สนุกมากเลย  ดิวน่าสงสารนะที่น้องปอไม่ค่อยชอบขี้หน้า
แถมยังมีสาวที่ชอบแล้วซะอีก แต่อย่างว่ารักแท้แพ้ใกล้ชิด
เดี๋ยวน้องปอก็หวั่นไหวเองแหละสู้ๆนะน้องดิว   :-[ :-[

nightsza

  • บุคคลทั่วไป
ดิวแอบคิดอะไรกับปอหรือเปล่าเนี่ยยย

mengsama

  • บุคคลทั่วไป
คือดิวรุกแบบค่อยๆ :o8:

tonkhaw

  • บุคคลทั่วไป
ดิวมันไม่เผด็จศึกไปเลยนะ ฮึ่ยยยย

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
ว๊าวววววว~~ เรื่องนี้มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูกแห๊ะ ^^  :L1:   o13

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
ได้ที รุกใหญ่เชียวนะดิว
จะรุกก็รุกไป แต่ระวังยัยรุ้งนั่นด้วยก็แล้วนะ หุหุ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด