01 Begin againถ้าสมมติการเจอกันครั้งแรกเรียกว่าความบังเอิญ
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากความบังเอิญเมื่อกาลเวลาผ่านไปนานจนแทบจะลืมเลือนความรู้สึกยามเราสบตากันตอนนั้นไปแล้วมันควรเรียกว่าอะไรครับ
ใช่พรหมลิขิตหรือเปล่า?
ผมลืมตาขึ้นมาในรุ่งสางของวันใหม่ แสงไฟจากไฟโคมด้านนอกทำให้ต้องยันตัวเองลุกขึ้นควานหาโทรศัพท์ใต้แสงสลัวด้วยความทุลักทุเล
5.32 เป็นเวลาตื่นที่ราวกับว่าเป็นนาฬิกาปลุกชีวิตเมื่อทำมันซ้ำ ๆ หลายต่อหลายปีแม้ว่าเมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับลงก็เกือบตีสองของวันเดียวกันแล้วก็ตามก่อนลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจด้วยความเกียจคร้าน คว้าเอาผ้าเช็ดตัวที่ตากไว้อย่างลวกที่สุดใกล้มือ พาดบ่า เข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกายให้เหมือนทุก ๆ เช้าของวันใหม่ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่านี่ไม่เหมือน...มันไม่ใช่เพียงทุก ๆ วันของวันทำงานที่ผ่านมา และเป็นวันที่เริ่มต้นของความน่าปวดหัวของทุกสรรพสิ่งราวกับว่าโลกบิด ๆ เบี้ยว ๆ ได้แตกสลายและจำต้องใช้ชีวิตให้รอดพ้นจากสภาวะนี้ให้พ้น ๆ ไปได้ต่างหาก
วันที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง
ของผมกับมันแสงแดดแรกของเช้าวันศุกร์ไม่ได้แรงจนน่าหงุดหงิดแต่ก็ทำผมประสาทเสียได้พอสมควรหลังจากถูกเรียกเข้าประชุมเรื่องปรับโครงสร้างการบริหารตั้งแต่ก้นยังไม่ทันจรดลงบนเก้าอี้ดี ทั้ง ๆ ที่พอจะทราบอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อวานว่าผู้บริหารคนใหม่ ที่จะเข้ามารับช่วงต่อจากคุณอดุลย์เป็นใครแต่ก็ยังอดที่จะรู้สึกกระดากเมื่อเงยหน้าจากชาร์ตที่ไล่เรียงลำดับงานขึ้นมาใหม่และสบตากับเจ้าของดวงตาสวยคู่นั้นไม่ได้ ภาพของตัวเองเมื่อราว ๆ 5-6 ปีก่อนผุดขึ้นมาราวกับความทรงจำที่ควรจะตกตะกอนไปยังก้นบึ้งของจิตใจถูกกวนให้ฟุ้งขึ้นมาอีก รอยยิ้มและคำหวาน วาจาของคนที่เคยผูกสัมพันธ์ลึกซึ้งจนข้ามทุกกฎเกณฑ์ที่ถูกตั้งขึ้นมาเป็นกำแพงฉายเวียนราวกับว่าเรื่องพวกนั้นเพิ่งผ่านมาเพียงวันวาน ในขณะที่อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าเรียบสนิท มองผ่านผมไปและฟังรายงานตำแหน่งหน้าที่จากเลขาคนสวยแนะนำได้อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะมาอยู่ตรงจุดนี้
จุดที่นาย
มิ่งฟ้า วงศ์กฤษณะจะสามารถสวมเสื้อเชิ้ตรีดกลีบเนี้ยบกับสูทราคาแพงนั่งตีหน้านิ่งได้สบาย ๆ ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นผูกเนกไทผมก็กลับคิดว่าเร็ว ๆ นี้คงมีโอกาสได้เห็นคุณมิ่งฟ้าในชุดของผู้บริหารเต็มตัวได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ท่ามกลางการประชุมที่ตื่นตาตื่นใจจากลูกน้องในเครือบริษัทรับเหมารายใหญ่ที่แยกออกมาเป็นบริษัทลูกเพื่อหลบหลีกข้อพิพาททางกฎหมาย ผมกับหัวหน้าคนใหม่บังเอิญสบตากันเป็นครั้งคราว และแน่นอนว่าผมกลับเป็นฝ่ายเบือนหนีก่อน เหมือนกับวันนั้นที่เราเจอกันครั้งแรกใต้ตึกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ในแววตา ไม่สามารถบอกผมได้ว่าคนที่นั่งอยู่บนหัวโต๊ะ เป็นหัวหน้าคนใหม่ ที่เราสามารถมองหน้ากันด้วยความรู้สึกใหม่ ๆ ได้เลยแม้แต่น้อย
มิ่งฟ้า วงศ์กฤษณะในความทรงจำของผมเป็นผู้ชายตัวผอม หน้าสวย สวยแบบที่หลาย ๆ คนเดินผ่านแล้วต้องเหลียวหลังกลับไปมองอีกรอบว่าไอ้ที่สวมอยู่นั่นเป็นเครื่องแบบของนักศึกษาชายจริง ๆ ท่าทางเป็นมิตรเกินพอดี และกิริยาที่ทักทายอย่างไม่เคอะเขินทำเอาผมค่อนข้างแปลกใจเมื่อถูกทักด้วยสมญานามแปลก ๆ
เปิดเทอมใหม่ กลิ่นอายของชุดนักศึกษาที่เพิ่งซัก ปกคอยังแข็งและตั้งตรงไม่มีร่องรอยสีเหลืองของคราบเหงื่อทำให้นักศึกษาใหม่ถูกแยกออกมาจากพวกรุ่นพี่ได้อย่างเด่นชัด นั่นไม่รวมไปถึงเนกไทที่บรรจงผูกให้สวยงามแต่ยังคงบิดเบี้ยวไปด้วยความไม่ถนัดอาจทำให้มันกล้าตะโกนเรียกผมที่ยืนโดดเดี่ยวลำพังกับกระดาษแผนที่ที่ถูกพริ้นท์มาลวก ๆ เมื่อคืนนี้และโบกมือหยอย ๆ
“ไอ้ตี๋...ปีหนึ่งเหมือนกันใช่ไหมวะ”
ดวงตาตี่ของอีกฝ่ายชี้ขึ้นลักษณะเหมือนเป็นตัวโกงในภาพยนตร์จีน แต่กลับเรียกคนอื่นว่าตี๋หน้าตาเฉย มันสวมเสื้อนักศึกษาขนาดพอดีตัว กับเนกไทที่ผูกอย่างเป็นระเบียบมากกว่าผมกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหา ผมกะพริบตาปริบ พยักหน้าแล้วเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ
“ใช่...นายก็ปีหนึ่งใช่ไหม”
“เชี่ย พูดโคตรสุภาพ ขนลุกว่ะ”
ผมบดริมฝีปากเข้าหากันเมื่ออีกฝ่ายคลี่ริมฝีปากอวดลักยิ้มทั้งสองที่ข้างแก้ม ผมมันยาวกว่าเด็กม.6จบใหม่ ๆ ที่อาศัยจังหวะปิดเทอมใหญ่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยเร่งให้ยาว ผิวพรรณผุดผ่องแบบที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกผู้ดีมีสกุล คงเป็นพวกจบจากนานาชาติ หรือโรงเรียนที่ไม่เคร่งเรื่องกฎระเบียบมากนัก
“รายงานตัวอาคารสอง ยังไม่รีบไปอีก”
“ไปไม่ถูกว่ะ”
“แล้วไอ้ในมือมึงนี่มันอะไร ไม่ใช่แผนที่เหรอ”
ผมก้มหน้าลง แน่นอนว่ามันเป็นแผนที่ เพียงแต่ผมยังจับจุดไม่ได้เท่านั้นว่าที่ตัวเองอยู่ตรงนี้เขาเรียกว่าที่ไหน ไอ้ผู้ชายหน้าสวยมารยาททรามคว้ากระดาษไปดู แล้วเงยหน้ามองผมด้วยสายตาเยาะ ๆ
“มึงหลงทิศหรือไง”
“เออ ไม่เคยมานี่หว่า”
“โธ่ ตี๋น้อยผู้น่าสงสาร” ในน้ำเสียงนั้นไม่ได้เจือความสงสารอย่างประโยคว่าแม้แต่น้อย มันขยำแผ่นกระดาษแผนที่จนยับยู่ยี่คามือแล้วปาลงถังขยะ ตาสวยได้รูปหันมามองผม ส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรหากแต่ไม่น่าไว้ใจออกมาอย่างเปิดเผย
“เดี๋ยวไปกับกูก็ได้”
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมหลบตามัน แต่บ่อยครั้งก็ยังเผลอมองบ่อย ๆ ซึ่งทุกครั้งเจ้าตัวจะรู้ตัวเพราะมันมักจะแซวให้เลือดผมสูบฉีดขึ้นมาจนเสียอากัปกิริยา ไม่ใช่แค่ผม...แต่เพื่อน ๆ รวมไปถึงรุ่นพี่หลายคนก็มองมัน หน้าตาที่ลงตัวราวกับตุ๊กตาปั้นสะกดใคร ๆ ให้หลงใหลได้ไม่ยากเย็นแม้เจ้าตัวจะแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่าเป็นเพียงผู้ชายทะเล้น ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
และผู้ชายทะเล้นคนนั้น ไม่มีเค้าโครงของคุณมิ่งฟ้า วงศ์กฤษณะในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย
“ส่วนใหญ่พนักงานในทีมเราก็จะทำงานมานานแล้วค่ะ ดูแลเรื่องออกแบบโครงการที่ทางทีมเซลประมูลมาได้ส่งต่อไปให้ทีมวิศวกรดูเรื่องโครงสร้างอีกที มีก็แต่คุณวายุที่เพิ่งรับเข้ามาเมื่อต้นปีที่เป็นน้องใหม่แต่ฝีมือโหดน่าดู ได้เกียรติยมมาจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของทางภาคเหนือ น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุณเฟยนะคะ เพราะน้องเคยซิ่วรอบนึงเลยจบช้ากว่าคนอื่นไปหน่อย”
พี่รุ่งทิพย์เอ่ยแนะนำผมขณะที่โปรยยิ้มให้อย่างใจดี ผมผงกหัวรับเล็กน้อยก่อนใช้ดินสอที่พกไว้วาดรูปลงบนสมุดโน้ตเล็ก ๆ เพื่อระบายความอึดอัดที่หัวหน้าส่งผ่านมาทางแววตา แววตาที่ผมเคยอ่านออก ตาของไอ้เฟยทั้งตอนทะเล้น แสนซน หรือโมโหดุดัน แววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความอาวรณ์อย่างเปิดเผย หากแต่เวลานี้ผมกลับไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่กับการกลับมาเจอกันอีกครั้งในฐานะที่เปลี่ยนไปจากตอนนั้น
มันไม่ใช่ไอ้เหี้ยเฟยของผม และผมไม่ใช่ไอ้ตี๋ของมันการจากลาครั้งนั้นที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เคยคิดจะอธิบายให้มันเข้าใจถึงความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย
ช่างมันเถอะ ยังไงเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว...
“ลูกค้าส่วนใหญ่จะชอบงานของน้องวินมากเลยค่ะ งานใหญ่ ๆ หลายอย่างลูกค้าเจาะจงมาโดยเฉพาะว่าต้องเป็นน้อง อย่างบ้านพักตากอากาศของคุณปกรณ์ รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวน้องก็ดูอยู่ ล่าสุดทางเซลบอกว่าเรื่องหอดูดาวที่หัวหินของโรงแรมไดมอนด์คุณฉัตรกมลเจ้าของบริษัทก็อยากให้น้องวินมาดูโครงการนี้โดยเฉพาะ”
“งานใหญ่เลยนี่ครับ ไม่น่าเชื่อว่าคุณอดุลย์จะให้ความเชื่อใจขนาดนี้”
“ไอเดียของน้องค่อนข้างถูกใจลูกค้าน่ะค่ะ แต่ก่อนหน้านี้คุณอดุลย์ก็คุมงานอีกทีตลอดนะคะ” พี่รุ่งทิพย์เอ่ยก่อนเปิดสไลด์ถัดไปเพื่อแสดงชาร์ตการกระจายงาน ผมถอนหายใจ ก้มหน้าลงมองสมุดบันทึกของตัวเองอีกครั้ง ก่อนหน้านี้พี่ดุล หรือหัวหน้าฝ่ายคนเก่าค่อนข้างเอ็นดูผมเหมือนลูกเหมือนหลานเพราะทำผลงานได้ถูกใจมาตลอด แผนกที่ผมอยู่ดูแลกันเหมือนพี่เหมือนน้อง ใครทำดีก็ชม ทำผิดก็ด่า นึกเสียดายที่หัวหน้าเก่าต้องปลดเกษียณตัวเองด้วยสุขภาพที่ไม่อำนวย ผมเห็นด้วยเพราะจากวัยที่เจียดจะ 60 ของแกควรแก่เวลาพักบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ชอบใจที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในองค์กรที่อยู่กันอย่างเสถียรมาระยะหนึ่งอยู่ดี ซึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็คงวิตกไม่ต่างกัน
ถ้าเคยชินแล้วไปแล้ว ใครจะชอบการเปลี่ยนแปลง...
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม
“เป็นยังไงบ้างวะวิน หัวหน้าใหม่พอไหวไหม”เสียงกระเซ้าดังขึ้นหลังจากผมเสร็จธุระในห้องน้ำและกำลังล้างมือกับอ่างล้างหน้า คนถามเป็นเพื่อนรุ่นพี่ร่วมแผนกเดียวกัน รูปร่างสูงใหญ่แต่ลงพุง แต่งงานมาแล้วสามปี แต่มีลูกสาวอายุสี่ขวบ
“ไม่ทราบสิครับ พี่ชิตคิดว่ายังไงล่ะ”
“ก็ดูเก่งดีนะ ตอนแรกนึกว่าจะเล่นเส้นสายเข้ามาอย่างเดียวเสียอีก”
“เส้นหรือครับ?” ผมถามพลางสบตากับอีกฝ่ายในกระจก ถ้าเทียบกับหลาย ๆ คนในแผนกแล้วผมค่อนข้างจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเรื่องที่เขาเม้าท์กันสักเท่าไร ส่วนหนึ่งเพราะเป็นคนไม่ใส่ใจ ซึ่งสาเหตุที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องรอบตัวเท่าไรนักเพราะงานกองพะเนินเทินทึกบนโต๊ะที่รกราวรังหนูนี่ล่ะ
“ก็นามสกุลน่ะ วงศ์กฤษณะ ไม่คุ้นบ้างเหรอ”
“ตอนนี้ผมคุ้นแต่กับแปลนบ้านที่เสนอใหม่รอบที่ 5 ของคุณปกรณ์เท่านั้นล่ะครับ”
“โอ้ น่าสงสาร” เสียงของพี่วิชิตไม่ได้สื่อไปในแนวนั้นแม้แต่น้อย ซึ่งผมรู้นัยยะของมันดี งานใหญ่หมายความว่าสบายเสียเมื่อไร ยิ่งเป็นคนใหญ่คนโตยิ่งเอาใจยาก “ช่วยไม่ได้นี่นะ ทน ๆ ไปหน่อยแล้วกัน ลองเอาแบบที่ทำรอบแรกไปเสนอใหม่สิ เผลอ ๆ ผ่าน ลูกค้าบางคนรสนิยมแย่จะตายชัก ขอให้เรื่องมากไว้ก่อนจะได้ดูโก้ ๆ เท่านั้นล่ะ”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับเป็นประโยชน์มากก” ผมเน้นคำหลังหนัก ๆ ให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าต้องการประชด พี่ชิตยิ้มยิงฟันขาวผมเลยเอ่ยถามต่อ “ว่าแต่เรื่องเส้นสายอะไรเหรอพี่”
“ก็คุณมิ่งฟ้าเขานามสกุลเดียวกับบอร์ดใหญ่น่ะสิ ถึงจะไม่ได้ลงมาบริหารอะไรเป็นจริงเป็นจังนัก แต่คุณอธิปก็เป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของที่นี่เลย มีข่าวลือมาน่ะว่าแกหาตำแหน่งยัดให้หลานชายเข้าทำงานที่นี่นานแล้ว แต่ไอ้หลานตัวดีซึ่งหมายถึงหัวหน้ามึงกับกูคนปัจจุบันก็โยกโย้ ไม่ยอมทำงานอยู่ได้ พอพี่ดุลยื่นใบลาออกปุ๊บทางนี้เลยส่งหลานชายมาเสียบปั๊บ อย่างที่เห็น”
“เหรอครับ” ผมถามในลำคอก่อนท้าวแขนกับอ่างล้างหน้า หันมาสบตากับรุ่นพี่ด้วยความสงสัย “แต่ถ้าคุณอธิปอยากให้หลานชายมาช่วยงานจริง ๆ น่าจะเข้าตำแหน่งอื่นที่ไม่ใช่หัวหน้าฝ่ายดีไซน์ไม่ใช่เหรอครับ”
“คุณมิ่งฟ้าจบ AA มาน่ะ คงอยากให้ทำอย่างอื่นแหละ แต่เจ้าตัวน่าจะยอมได้แค่นี้ ไม่รู้ว่ะ อันนี้พี่โสก็เม้าท์มาอีกที ว่าง ๆ ไปจับกลุ่มคุยกับป้า ๆ แกบ้างดิ มัวแต่อุดอู้อยู่ในคอกของตัวเองมึงจะไปรู้อะไรไอ้วิน”
“โธ่ พี่ ขนาดผมอยู่แค่ในคอกของตัวเองก็ทำงานไม่ทันแล้ว นี่ถ้าสัปดาห์หน้ายังเคลียร์แบบกับคุณปกรณ์ไม่เสร็จผมฝากพี่จัดการเรื่องงานศพด้วยนะ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว”
พี่ชิตหัวเราะร่วนลงคอ ยกมือขึ้นยีหัวผมด้วยความเอ็นดูนิด ๆ แต่หมั่นไส้มากกว่าครึ่ง “ก็เห็นบ่นแบบนี้ทุกที แต่ก็รอดมาทุกครั้ง แต่ไม่ต้องห่วงนะ ถ้ามึงตายห่าขึ้นมาจริง ๆ กูจะจ้างลิเกมาลงสามคืนก่อนเผาเลยเอ้า”
“เป็นพระคุณยิ่งนักครับพี่ โอ้ย ไม่คุยด้วยแล้ว ผมไปทำงานต่อก่อนล่ะ เดี๋ยวบ่าย ๆ จะไปดูไซต์งานของคุณนภทีป์ต่อด้วย”
“อ้อ เรือนหอของพ่อดาราใหญ่นั่นน่ะรึ”
“เขาสร้างบ้านให้แม่ครับ” ผมเถียงแทนขำ ๆ ก่อนเดินออกมาจากห้องน้ำ นึกถึงงานในมือแล้วถอนหายใจยาวเหยียด ที่มีอยู่น่ะยังไม่เท่าไรเพราะพี่ดุลก็คอยแนะการนำเสนองานให้ผ่านมาเกือบครึ่ง แต่ถึงจะปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาบ้าง พอต้องบินเดี่ยวขึ้นมาอย่างไม่มีหัวหน้าคอยพยุงก็อดใจสั่นนิด ๆ ไม่ได้อยู่ดี แม้จะฝีมือดีแค่ไหน แต่ผมก็ยอมรับว่าการนำเสนอให้ถูกใจลูกค้ายังเป็นเรื่องที่ต้องฝึกกันอีกมากพอสมควร
“อะไรไม่ไหวก็ไปคุยกับคุณมิ่งฟ้าดูสิ เผื่อเขาจะช่วยมึงได้” พี่วิชิต สถาปนิกมือฉมังอีกคนตะโกนไล่หลัง ผมได้แต่หัวเราะกับตัวเองแล้วมองเลยไปยังห้องกระจก
“เพิ่งมาใหม่เหมือนกัน จะกลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อมล่ะสิไม่ว่า”
แดดในช่วงบ่ายร้อนจัด แต่คนงานในไซต์ก่อสร้างชานเมืองยังคงเร่งมือเหมือนวันแรกที่ผมเข้ามาดูงาน ถังปูนในกระบะเล็ก ๆ ถูกดึงขึ้นไปด้วยรอกเชือกที่แขวนอยู่กับนั่งร้านเพื่อฉาบกับกำแพงสีอิฐให้เรียบเนียนขึ้น ผมกอดอก ถือกระดาษแปลนในมือแล้วเดินสำรวจว่างานเดินไปถึงไหนแล้วเรื่อย ๆ
นายช่างคเชนทร์เป็นวิศวกรของบริษัท อยู่คนละแผนกกับผมและร่วมงานกันที่นี่เป็นครั้งแรก ทราบมาว่าเจ้าตัวเป็นรุ่นพี่ของคุณนภทีป์เจ้าของงานครั้งนี้อีกทีเลยถูกระบุตัวอย่างชัดเจนตอนว่าจ้างว่าให้เขามาคอยคุมงานบ้านเดี่ยวราคาหลายล้านนี่โดยเฉพาะ “มีตรงไหนไม่ตรงตามแบบไหมครับวิน”
“อ้อ ไม่มีครับ งานออกมาดีมาก” ผมตอบพลางยิ้มให้วิศวกรตาปิด เขากอดอก สวมหมวกพลาสติกสีเหลืองเอาไว้ “แล้วเข้ามาไซต์งานแบบไม่สวมเครื่องป้องกันอีกแล้วนะครับ เดี๋ยวมีคนไปฟ้องเซฟตี้พี่ก็ตายพอดีสิ”
“โธ่ ก็อากาศมันร้อนนี่ครับ ใส่หมวกอีกผมอึดอัดแย่ ตั้งใจจะมาดูความคืบหน้านิดหน่อยเอง โอเคแบบนี้ต่อไปอาจจะไม่ได้เข้ามาบ่อย ๆ แล้ว”
“อ้าว รู้งี้พี่แกล้งทำให้ผิดจากแบบดีกว่า” ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวสีเข้มเพราะแดดเอ่ยล้อ ๆ นัยน์ตามีแววพราวระยับอย่างคนเจ้าชู้ฉายออกมาชัดเจน “ตอนแรกวันนี้พี่ว่าจะโดดไปทำฟันเสียหน่อย ดีจังที่ปล่อยให้ฟันผุไปก่อน ไม่อย่างนั้นคงอดเจอวินพอดี”
“พี่เชนทร์นี่เป็นคนยังไง วิศวกรคนอื่นเขาเหม็นหน้าวินจะตาย มาทีไรก็บ่น นี่ก็ยังอยากเจออยู่ได้”
“เป็นคนที่อยากได้ยินเสียงวินบ่นทุกวันครับ ว่าแต่ดูเสร็จจะไปไหนต่อหรือเปล่า เย็นนี้ทานข้าวด้วยกันหน่อยไหม” ชายหนุ่มเอ่ยล้อ ๆ ขณะที่ผมเบือนหน้าขึ้นมองตัวตึกที่เป็นรูปเป็นร่างมากกว่าครั้งก่อนโขอย่างไม่ใส่ใจนัก ความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่ผมรู้ดีเพียงแต่ไม่มั่นใจนักว่าจริงจังแค่ไหน ผมรู้จักกับพี่เชนทร์ตั้งแต่วันที่มาสัมภาษณ์งานเพราะไปจอดรถซ้อนคันแล้วลืมปลดเบรคมือเสียได้ จากนั้นเจอกันทีไรอีกฝ่ายก็ทักทายเชิงหยอกล้อมาโดยตลอด
“วันนี้ผมจอดรถไว้ที่บริษัทน่ะครับ เอารถออฟฟิศมา เดี๋ยวเลิกงานต้องเอาไปคืนอีกที”
“ได้ไปจอดบล็อกใครไว้อีกหรือเปล่า”
“โธ่...พี่เชนทร์ เลิกล้อเถอะครับ จะเป็นปีอยู่แล้ว” พูดเองแต่กลับหัวเราะร่วนเอง ส่วนคู่สนทนาก็ไม่ต่างกัน แต่สายตาที่ทอดลงต่ำไม่ได้เพียงแต่ฉายแววของความเอ็นดูมาอยู่ด้วย สอง หรือสามปีนี่ล่ะ นับตามอายุแล้วที่เขาแก่กว่าผม แต่ถ้านับกันดี ๆ ตามรหัสนักศึกษาล่ะก็เราห่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
“นั่นสิ จะเป็นปีอยู่แล้วที่พี่จีบวิน ทำไมไม่ใจอ่อนสักทีก็ไม่รู้”
“อย่าพูดเหมือนตัวเองไม่ได้จีบพี่มิกกี้ หรือพี่โน้ตได้ไหมครับ อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะ ถึงจะงานเยอะจนเหมือนเป็นเจ้าของบริษัทเองแล้วแต่เรื่องพวกนี้ผมก็พอจะได้ยินมาอยู่หรอกนะครับ”
“ว้า โดนจับได้เลย เอางี้ พี่จะโทรไปบอกเลิกกับมิกกี้แล้วก็โน้ตตอนนี้เลยดีไหม วินจะได้หมดข้ออ้างโยกโย้เสียที”
“ผมได้โดนฉีกอกกลางบริษัทน่ะสิครับ ทำเป็นหมาหยอกไก่ไปเถอะพี่เชนทร์น่ะ เจอของจริงแล้วจะหนาว พาผมขึ้นไปดูชั้นสองเถอะครับว่าถึงไหนแล้ว เลิกงานเย็นมากเดี๋ยวรถจะติดอีก”
วิศวกรหนุ่มตะเบ๊ะรับคำ ยกหมวกสีเหลืองที่ตัวเองสวมอยู่มาให้ผมใส่แล้ววางมือพาดบ่าอย่างถือวิสาสะ “ใส่เอาไว้ครับ เดี๋ยวฝุ่นจากปูนร่วงลงมาใส่หัวสุดหล่อของพี่หมดหล่อกันพอดี”
ผมถอนหายใจในประโยคชวนฝันของชายหนุ่มก่อนเดินตามแรงที่นำพาไปอาด ๆ ความเป็นจริงแล้วสถาปนิกกับวิศวกรไม่มีโอกาสทำความรู้จักกันมากนัก ด้วยบทบาท และหน้าที่การงานถึงจะได้ร่วมงานกันบ่อย ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะถูกใจนิสัยกันทุกคน
ไม่สิ ส่วนใหญ่จะเรียกได้ว่าไม่ค่อยชอบหน้ากันมากกว่าด้วยซ้ำ
“ว่าแต่ งานหอดูดาวที่หัวหินสรุปลูกค้ารีเควสให้วินทำใช่ไหม”
“มีข่าวลือว่าอย่างนั้นนะครับ แต่ยังไม่มีเมลแจ้งเป็นกิจจะลักษณะ คงได้หลังส่งมอบงานบ้านนี้ให้คุณนภทีป์ล่ะครับ ช่วงนี้ก็มีงานบ้านพักตากอากาศของท่านปกรณ์ที่ต้องเคลียร์ก่อนด้วย”
“เหรอ หวังว่าเราจะได้ไปเจอกันที่นั่นนะ” พี่เชนทร์บอกยิ้ม ๆ แสดงว่าทางนั้นคงเจาะจงวิศวกรมาเหมือนกัน อย่างว่า...เป็นงานของนายทุนใหญ่ เผลอ ๆ จะใหญ่กว่ารัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวด้วยซ้ำถึงได้จี้มาได้ขนาดนี้ “แล้วเรื่องตรวจรับงานของไอ้ทีน่ะไม่ต้องห่วงหรอก ผ่านฉลุยอยู่แล้ว เพราะโรงแรมนั่นก็ธุรกิจของที่บ้านมันเหมือนกัน”
อ้อ...ถึงว่า ทำไมวิศวกรถึงต้องเป็นนายช่างคเชนทร์อีกแล้ว
TBCคิดถึงฉันไหมคนดี...
ไม่มีไรมาก เปิดเรื่องใหม่อีกแล้ว รับปากไว้ว่าจะลงสัปดาห์ที่แล้วแท้ ๆ โฮรรร ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ
วันนี้วันจันทร์ แต่แอบเอามาลงก่อน จะบอกว่าเปลี่ยนพล็อตมาสามล้านรอบได้ นี่พล็อตใหม่ พอเขียนเสร็จปุ๊บก็ลงปั๊บ เป็นการบังคับตัวเองว่า หล่อนต้องเขียนต่อให้จบสักที เลิกโลเลเอาพล็อตนั้นดีไหม พล็อตนี้ดีไหมได้แล้ว!!
ตั้งใจจะไม่ให้เป็นเรื่องดราม่าค่ะ ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป อยากให้แตกต่างจากเรื่องที่ผ่าน ๆ มานิดนึง กร๊ากก รู้สึกไม่ได้เขียนมาพักใหญ่ ๆ ไม่รู้ภาษายังพอไหวไหม
ยังไงฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของมิตรสหายทุกท่านด้วยนะคะ
ขอให้มีความสุขกับการอ่านค่ะ จุ๊บ ๆ
ปล. พุธนี้ยังไม่มาต่อนะ ขอเวลาแต่ง+คิดพล้อตก่อน ฮาาาา