ตอนที่ 1 : พบหน้า
-คีรี-พ่องมึงตาย! อารมณ์ของผมตอนนี้พุ่งสูงทะลุจักรวาลไปแล้ว เมื่อเจอกระดาษโน้ตลายมือคุ้นตาติดอยู่หน้ากระจกรถ คำขอโทษแสนสุภาพควรค่าแก่การให้อภัย แต่มึงเล่นติดกาวสองหน้าจนทั่วแผ่นคืออะไรวะ แล้วไอ้เงินสิบบาทนี่อีก กวนตีนกันชัดๆ
“บังเอิญโคตร มาเจอรถมึงได้ยังไงวะ กูว่ามีสิทธิเรียนที่นี่เหมือนกัน” ผมเห็นด้วยกับจอมทัพ ไม่น่าบังเอิญขนาดเป็นคนนอกแล้วผ่านมาเจอ
“อย่าให้กูรู้นะว่าเป็นใคร”
“กูว่าช่างเถอะว่ะ คงอยากกวนประสาทมึงมากกว่า ถ้าจะหาเรื่องรถมึงพังไปแล้ว”
“แต่แบบนี้แม่งเหมือนโดนมดกัด บี้ไม่โดนสักที ไม่เจ็บแต่รำคาญฉิบหาย”
“ฮ่าๆ เปรียบเทียบซะกูเห็นภาพเลย แล้วนี่มึงยังจะไปอยู่ไหมหรือหมดอารมณ์เที่ยวแล้ว กูจะได้โทรบอกสาวๆ”
“ไป แต่กูขอเปลี่ยนร้าน”
“ร้านไหนวะ”
“blue moon”
“อย่าบอกนะว่ามึงจะตามล่าหาตัวเจ้าของเวสป้า จะเจอเหรอวะวันนี้อาจไม่มาก็ได้”
“จอดรถในนั้นกูว่าไม่ใช่ลูกค้า”
“ก็จริง ตามใจมึงกูไม่ใช่คู่กรณีนี่หว่า แต่เอาแค่เบาะๆ พอมั้ง”
“กูแค่อยากเห็นหน้าไม่ได้ไปหาเรื่องต่อย”
“ดีแล้ว กูออกจะชอบเจ้าของโน้ต มุกนี้กูให้ผ่านว่ะ ฮ่าๆ”
“ขำตายห่า” ผมไม่ตลกด้วย “เออกูฝากมึงไปรับแก้วด้วย เดี๋ยวกูตามไป”
“มึงจะไปไหนวะ ไหนว่าวันนี้ไม่ติดอะไร”
“ธุระจำเป็นนิดหน่อย”
“ได้ งั้นกูไปเลย ขี้เกียจโดนบ่นว่าไปรับช้า”
“อืม” ผมมองเหรียญสิบบาทในมือ ผมเป็นพวกตาต่อตาฟันต่อฟัน ใครเล่นแรงมาผมเล่นแรงกลับ ส่วนใครคิดเล่นตลกร้ายกับผม ผมก็จะช่วยให้ได้ขำสมใจ
“อย่าบอกว่ามึงจะจอดรถขวางไว้เหมือนเดิม” จอมทัพถาม เมื่อผมเล่าให้ฟังว่าก่อนเข้าร้าน ผมแวะไปดูมา รถเวสป้าสีฟ้ายังจอดอยู่ที่เดิม
“เปล่า กูแค่ไปดูให้แน่ใจว่ามาไหม” ผมตอบคำถามจอมทัพก่อนยกมือขึ้นเรียกพนักงานของร้านให้เดินเข้ามาหา
“ถามอะไรนิดสิ รสเวสป้าที่จอดหลังร้าน พอจะรู้ไหมว่ารถใคร”
“เวสป้าสีฟ้า? มีอะไรหรือเปล่าครับ” พนักงานไม่ยอมตอบคำถามผม สีหน้าติดกังวลเล็กน้อย
“ไม่มีอะไร แค่คุ้นๆ ไม่แน่ใจว่ารถคนรู้จักหรือเปล่า”
“อ๋อ” สีหน้าคนถูกซักดูโล่งอก “รถของผ้าใบครับเป็นนักดนตรีที่ร้าน ไม่ใช่ของแขก”
“ผ้าใบ”
“ใช่ครับ เดี๋ยวก็ขึ้นเล่นแล้ว ใส่เสื้อสีฟ้า เล่นกีตาร์ครับ”
“ขอบใจมาก”
“ไม่เป็นไรครับ”
“เอาอย่างนี้เลยเหรอมึง” จอมทัพรอให้พนักงานไปแล้วจึงถามผมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขบขัน
“ใครคะคีรี คนรู้จักหรือคะ”
“ไม่ใช่ครับแก้ว คนนี้พิเศษของไอ้คีรี” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จุดขึ้นที่ริมฝีปากของจอมทัพ ดูก็รู้ว่าไอ้เพื่อนตัวดีตั้งใจหาเรื่องปวดหัวมาให้ผม
“พิเศษ? พิเศษยังไงคะ” เสียงเอาเรื่องของแก้วทำให้ผมลอบถอนใจ จะไปกันไม่รอดก็เพราะการแสดงออกแบบนี้ ผมเป็นคนขี้รำคาญ ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายเกินพอดี
“คนพิเศษมึงมาแล้ว” ผมละสายตาจากแก้วมองขึ้นไปบนเวทีเตี้ยๆ ที่ตั้งอยู่ด้านหน้า วงดนตรีชายล้วนสี่คนกำลังเช็คเสียง ผมมองไล่ไปทีละคน นักร้องนำตัวเล็กหน้าตาน่ารักดีเหมือนเด็กๆ มือคีบอร์ดตัวสูงหุ่นล่ำสันผมยาว มือกลองรูปร่างท้วม ส่วนมือกีต้าร์..ผมมองคนสุดท้ายอย่างพิจารณา
ผู้ชายรูปร่างผอม ส่วนสูงน่าจะประมาณร้อยเจ็ดสิบกว่า ผิวขาวแต่ไม่มาก หน้าตากวนๆ ใส่ต่างหูยาวข้างเดียว ที่คอเหมือนมีรอยสักเล็กๆ หน้าตาท่าทางสมกับเป็นนักดนตรี
“เด็กกว่าที่กูคิด” เสียงทักของจอมทัพทำให้ผมละสายตากลับไปมองเพื่อน “มึงจะเอาไง”
“เค้กชักอยากรู้แล้วสิคะว่านี่มันเรื่องอะไร” มือขาวเรียวสอดเข้ากอดแขนเพื่อนของผม “ตกลงมีอะไรกับน้องคนนั้นเหรอคะ”
“ผมไม่มี ต้องถามเจ้าคีรีเอาเอง”
“เมื่อกี้แก้วถามแล้ว คีรีไม่เห็นยอมตอบเลย” คนนั่งข้างผมทวงถามจะเอาคำตอบให้ได้
“ไม่มีอะไร”
“แต่..”
“เรื่องส่วนตัวน่ะ” ผมตัดรำคาญ เห็นแก้วเม้มปากแน่น รู้ว่าทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจแต่ผมคิดว่าควรบอกให้รู้ว่าบางเรื่องก็ไม่ควรยุ่งกับผมมากเกินไปเพราะเรายังเป็นแค่เพื่อนกัน
“ทัพมึงเปลี่ยนที่กับกูหน่อย” ผมเรียกเพื่อนสั้นๆ จอมทัพนั่งหันหน้าไปทางเวทีผมจึงอยากแลกที่นั่งกับเพื่อน
“เอาสิ”
“งั้นแก้วเปลี่ยนด้วย เค้กแลกที่กัน”
“อืม”
ผมลุกนำไปก่อน ทิ้งตัวลงนั่งแทนจอมทัพ สายตาจับจ้องไปยังเวที รอยยิ้มค่อยๆ คลี่ออก นึกอยากให้ถึงเวลานั้นเร็วๆ อยากรู้ว่าไอ้เด็กตัวผอมนี่จะขำพอๆ กับผมไหม
-ผ้าใบ- “ซอลจะให้กูไปส่งไหม” ผมเก็บกีตาร์ลงกระเป๋า ขยับต้นคอไปมาเมื่อลดอาการปวดเมื่อย สอบถามเพื่อรักที่เป็นนักร้องนำของวง
“ไม่เป็นไร เรากลับเอง”
“ให้ผ้าใบมันไปส่งเถอะ ช่วงที่รถซ่อมอยู่ก็อาศัยมันไปก่อน” พี่อาจมือคีบอร์ด พี่ใหญ่ของวงเห็นด้วยกับผม
“พี่ว่าซอลซื้อใหม่ได้แล้วมั้ง รถนั่นมันเหมาะกับเอาไปปลูกสะระแหน่มากกว่า”
“พี่ม่อน” ซอลร้องเสียงหลง เมื่อมือกลองของวงพูดถึงลูกรักของตนเอง “กระป๋องสีก็ยังใช้ได้ดีอยู่เลยครับ” กระป๋องสีคือชื่อรถเก๋งของซอลที่ผมเป็นคนตั้งให้ มาจากความเก่าของมันที่ไม่ควรเป็นรถอีกแล้ว น่าจะเป็นแค่กระป๋องที่ตั้งไว้เฉยๆ มากกว่า
“อีกอย่างผมไม่มีเงินขนาดนั้นหรอกครับ กระป๋องสีเป็นรถมือสอง ผมซื้อได้เพราะมันเก่าแล้ว เจ้าของอยากโล๊ะทิ้ง”
“แต่มันไม่ปลอดภัย” พี่ใหญ่ของวงอดเป็นห่วงไม่ได้ ซอลเป็นผู้ชายตัวเล็ก หน้าตาน่าเอ็นดู นิสัยเรียบร้อย ขี้อาย ที่มาเป็นนักร้องกลางคืนได้เพราะผมลากเพื่อนมาเอง พวกผมเป็นนักศึกษาที่ต้องหาเงินเรียน หาเงินดูแลตัวเอง ฐานะทางบ้านไม่ถึงกับยากจนแต่ก็มีไม่พอค่าใช้จ่ายในเมืองใหญ่แบบนี้
“งั้นก็หาซื้อมือสองเหมือนเดิม แต่เอาที่สภาพดีกว่านี้หน่อย เดี๋ยวพี่ช่วยดูให้”
“เอาตามนั้นแหละพี่ ขืนถามซอลไม่มีทางได้ซื้อ มันรักกระป๋องสีของมันจะตาย” ผมรู้ความคิดเพื่อนดี ขืนปล่อยให้ซอลตัดสินใจชาตินนี้คงไมได้เปลี่ยนรถ ผูกพันกับทุกสิ่งทุกอย่าง จนรถจะกลายเป็นลูกจริงๆ ไปแล้ว
“ว่าแต่วันนี้น้องซอลของเราขายออกอีกแล้ว” พี่อาจทำสายตากรุ่มกริ่มล้อเลียน
“ไม่มีครับ” ซอลรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ในจำนวนพวกผมซอลเป็นคนเดียวของวงที่โดนลูกค้าจีบ โดยเฉพาะลูกค้าผุ้ชาย
“จริงเหรอ พี่เห็นโต๊ะที่นั่งหน้าเวที มองมาตาไม่กระพริบ”
“ผมก็เห็นเหมือนกันพี่” ผมรีบบอก ใครบ้างจะไม่สังเกตเห็น คนอื่นมาร้านเหล้าส่วนใหญ่จะนั่งคุยกันในโต๊ะ ฟังเพลงบ้างหรือเปล่าบางทีผมยังสงสัย แต่ผู้ชายคนนั้นมองพวกผมเกือบตลอดเวลา สีหน้าติดรอยยิ้มร้ายๆ คล้ายขบขัน ชอบใจ ผมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
“โต๊ะที่ใส่ชุดนักศึกษามาใช่ไหม พี่รู้จัก” พี่ม่อนเก็บอุปกรณ์ของตัวเองเสร็จแล้ว เดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างผม “ถึงไม่ได้แซ็วซอล เพราะหมอนี่ขึ้นชื่อเรื่องผู้หญิง”
“เจ้าชู้เหรอพี่” ผมถามด้วยความสนใจ
“เปล่า มันดัง มันหล่อ มันรวย มันครบสูตรที่ผู้หญิงอยากได้ ผู้หญิงเลยเข้าหามันเยอะ”
“โหน้ำเสียง” ผมหัวเราะรุ่นพี่ร่วมวงและร่วมมหาลัยดังลั่น “พี่ม่อนไม่ได้อิจฉาเลยใช่ไหม”
“อิจฉาสิวะจะเหลือเหรอ ฮ่าๆ” ร่างท้วมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “แม่งงานไหนมีไอ้หมอนี่ไปด้วย คนอื่นโดยเฉพาะพี่ไม่ต้องหวังเลย”
“ใครเหรอครับ”
“สนใจเหรอเรา”
“เปล่าครับเปล่า ผมแค่อยากรู้” ซอลรีบปฏิเสธ
“ชื่อคีรีอยู่คณะบริหารปีสี่ พ่อเป็นเจ้าของโรงแรมหรูใจกลางเมือง คนที่นั่งหันหลังให้ชื่อจอมทัพเป็นเพื่อนสนิทกัน ส่วนผู้หญิงพี่ไม่รู้จักไม่ได้อยู่คณะนี้”
“อ๋อ เรียนคณะเดียวกับพี่ม่อนนี่เอง” ผมกับซอลเรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ พี่ม่อนเรียนบริหาร ส่วนพี่อาจเรียนจบไปได้ปีหนึ่งแล้ว
“งั้นก็แล้วไป พี่เห็นจ้องมาตาแทบไม่กระพริบ เลยนึกว่างานนี้น้องกูมีคนหล่อมาจีบอีกแล้ว เห็นสูงยาวเข่าดี ออร่าแม่งโคตรพุ่ง แบดบอยนิดๆ แบบนี้สิถึงจะเร้าใจ”
“นี่ถ้าผมไม่รู้ว่าพี่อาจมีเมียแล้ว จะนึกว่าพี่แอบชอบลูกค้าผู้ชายนะ”
“ฮ่าๆ มึงอย่าพูดความจริงสิผ้าใบ กูอุตส่าห์ปิดสังคมมาตั้งนาน”
“ฮ่าๆ ได้พี่เดี๋ยวผมช่วยพี่ปิดอีกแรง”
“เรียบร้อย” พี่อาจเก็บของเสร็จเป็นคนสุดท้าย บอกให้รู้ว่าพร้อมจะกลับแล้ว พวกผมจึงพากันหยิบของส่วนตัว เดินตามกันออกไปทางหลังร้าน ผมยังจอดรถไว้ที่เดิม ที่ๆ เคยจอดอยู่ทุกคืนตั้งแต่มาทำงานร้านนี้
“ผ้าใบแขวนอะไรไว้ที่แฮนด์รถเหรอ”
“หือ” ผมมองไปที่รถบ้างเมื่อได้ยินซอลทักขึ้น “ไหน” ผมเร่งฝีเท้าไปที่รถ ถุงที่เห็นถูกแขวนเอาไว้กับแฮนด์ข้างซ้าย มองไกลๆ ดูไม่ออกว่าข้างในเป็นอะไร
“อะไรเหรอผ้าใบ” ซอลชะโงกหน้ามาดุในถุง เมื่อผมเอาแต่ยืนนิ่งเงียบ
“เหรียญ!” ซอลเงยหน้าขึ้นมองผมตาโต เหรียญยี่สิบห้าสตางค์ ห้าสิบสตางค์ อัดแน่นเต็มถุง น้ำหนักมากจนทำให้ไหล่ทรุดได้
“คืออะไร” อย่าว่าแต่ซอลงงเลยครับผมเองก็งง ว่ามันมาได้อย่างไร
“ซอลหยิบกระดาษให้หน่อย มีเขียนอะไรไว้ไหม” ผมบอกซอลเมื่อเห็นปลายกระดาษสีขาวโผล่ออกมาจากเหรียญ
“อืม” ซอลดึงกระดาษออกจากถุง คลี่ออกก่อนอ่านให้ผมฟังดังๆ “จ่ายค่ารถกลับบ้านให้แล้ว หวังว่าสี่ร้อยจะพอค่าแท็กซี่”
“พ่องมึงตาย!” ผมสบถลั่น ไอ้เวรนั่นมาร้านด้วยเหรอวันนี้ คนไหนวะ
“จากเจ้าของรถสปอร์ตคันนั้นเหรอผ้าใบ” ซอลรู้เรื่องเป็นอย่างดีเพราะผมเล่าให้ฟัง
“เมื่อกี้ซอลเห็นบ้างไหม ยังจอดอยู่หรือเปล่า”
“ไม่เห็นนะ เอาไปจอดที่ลานจอดของร้านมากกว่ามั้ง”
“ไม่แน่จริงนี่หว่า” ผมสบถเบาๆ รู้อย่างนี้วันนั้นเล่นให้หนักกว่านี้ก็ดี
“อย่าโมโหเลย ผ้าใบแหละไม่ยอมจบ ไปทำแบบนั้นเขาก็โมโหเอาสิ รถออกตั้งแพง”
“ตกลงซอลเพื่อนใคร”
“ไม่เอา อย่าโมโหเลย คิดซะว่าขำๆ เขาก็ไม่ได้ทำอะไรรถไม่ใช่เหรอ” ผมาตาโตรีบสำเร็จรถตัวเองรอบคัน ก่อนถอนใจโล่งอกเมื่อรถยังอยู่ในสภาพดี
“เห็นไหม ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน กลับกันดีกว่าเดี๋ยวเราพาไปทานก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยแถวหอ ผ้าใบจะได้อารมณ์ดีขึ้น”
“อืม” ผมพยักหน้า ยอมอ่อนตามเพื่อน หยิบกุญแจออกมาสตาร์ทรถ ผมรู้นิสัยเพื่อนดี ซอลเป็นพวกไม่ชอบมีเรื่องกับใครและขี้กังวลผมจึงไม่อยากให้คิดมาก แต่ข้างในมีหรือจะยอมลืมง่ายๆ ถ้าคิดจะเล่นกันแบบนี้เห็นทีต้องสืบหาหน้าตา ว่าไอ้บ้านี่มันเป็นใคร เรียนอยู่คณะไหน ขับรถแพงๆ ทำตัวเว่อร์ๆ แบบนี้คงตามตัวได้ไม่ยาก
ตลกมากใช่ไหม ได้! เดี๋ยวรู้กัน✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
ตอนนี้ขอแนะนำตัวละครหลักๆ ของเรื่องก่อนนะคะ หลังจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครจะเริ่มพัฒนาขึ้น ได้เจอกันมากขึ้น แต่จะเป็นไปทางไหนนั้น ขออุบไว้ก่อนน้า ^^
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin