ตอนที่ 1โจวพอล “อ้าว รถตระกูลหวางนี่หว่า สงสัยจะมาดูโรงแรมที่นี่ ดีเหมือนกันมื้อนี้ได้เจ้าพ่อใหญ่เป็นเจ้ามือแล้ว ฮึๆ...หลี่ผิง นายอยู่กงอินใช่มั้ย...ฉันผ่านมาแถวนี้พอดี เดี๋ยวรอนายอยู่ข้างล่างนะ”
หลังจากกดวางสายเพื่อนสนิท ผู้มีศักดิ์เป็นถึงว่าที่นายใหญ่ตระกูลหวางหย่งกัง ตระกูลมาเฟียอันดับหนึ่งของฮ่องกงที่มีอำนาจต่อรองไปทุกวงการในเวลานี้ ผมก็เลี้ยวรถเข้าสู่อาณาเขตโรงแรมแห่งใหม่ที่ยังไม่เปิดตัวของตระกูลหวาง โอกาสดีที่วันนี้ผมมาดูที่ทางแถวกงอินพอดี ทำให้ได้เจอเพื่อนสนิทอย่างหวางหลี่ผิงโดยบังเอิญ
ผม ‘โจว พอล วอร์เลนโต้’ หนุ่มลูกครึ่งฮ่องกงอิตาลีสุดหล่อวัยยี่สิบสามปี ทายาทคนโตของเจ้าพ่ออสังหาฯที่ใครๆก็นับหน้าถือตาอย่างโจวฟู่สือ ซึ่งผมเองก็กำลังเดินตามรอยเท้าปาปาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน และใช้เวลาไม่ถึงปีดีชื่อโจวพอลได้เริ่มเป็นที่รู้จักในวงการอสังหาฯของฮ่องกงบ้างแล้ว
การมายืนจุดนี้ของผมไม่ใช่อาศัยบารมีปาปาเพียงอย่างเดียว แต่อาศัยความพยายามและใช้ความสามารถที่โดนฝึกฝนมาแต่เด็กร่วมด้วย เพราะวงการนี้ใครๆต่างก็รู้ดีว่ามีการแข่งขันกันสูงเพียงใด พลาดนิดเดียวก็อาจโดนเขี่ยทิ้งให้ออกไปจากวงการได้อย่างง่ายดาย หรืออาจถึงขั้นต้องทิ้งทั้งชื่อเสียงและลมหายใจ สังเวยให้แก่วงการอสังหาฯเดือดแห่งนี้ก็ได้ หากไปขัดขาใครเข้าเพียงเพราะไม่ดูทิศทางลมให้ดี
สำหรับผมโชคดีที่มีปาปาคอยสั่งสอนและเป็นแบ็คให้กลายๆ บวกเข้ากับฝีมือที่ไม่ได้ด้อยของผมด้วยแล้ว จึงยากหน่อยหากใครคิดจะลองของกับทายาทผู้สืบทอดแห่งบริษัท ‘Joe F.H. Estate’
การได้เจอเพื่อนสนิทอย่างไม่คาดฝันของผมวันนี้ถือว่าผมโชคดีไม่น้อย ด้วยผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ของล้ำค่าที่ทำหายไปคืนกลับมา.....
“ไงเพื่อน สบายดีนะ” หลังคำทักทาย ผมชกเบาๆไปที่ไหล่ของหลี่ผิงตามความเคยชิน ยามได้เจอหน้าค่าตาเพื่อนสนิทในกลุ่ม
ผมไม่อยากยอมรับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทายาทอันดับหนึ่งแห่งแก๊งหวางหย่งกังเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีจริงๆ ประกอบกับตอนนี้ที่เพื่อนผมกำลังระบายยิ้มน้อยๆติดมุมปากด้วยแล้ว หลี่ผิงยิ่งดูดีและน่ามองยิ่งขึ้น แต่ใครอย่าคิดพิเรนทร์เชียวล่ะ ว่าผมหลงใหลได้ปลื้มกับเจ้าของรอยยิ้มนี้ แม้ผมจะมีรสนิยมได้ทั้งชายหญิง แต่ผมยังสติดีพอไม่นิยมจับเพื่อนมาเป็นเมียหรอกครับ แล้วอย่างหลี่ผิงเนี่ย บอกเลยว่าไม่เคยแม้แต่จะคิด
เมื่อทักทายกันพอหอมปากหอมคอ ผมก็แกล้งถามหาแฟนตัวน้อยของมัน พร้อมแกล้งชะเง้อหาด้วยความอยากเจอหนักหนา ด้วยคู่นี้หาน้อยครั้งนักที่จะห่างกัน จากใบหน้าหล่อเหลาประดับยิ้มน่ามองของเพื่อน กลับแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้นทันตา ทำให้รู้ว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ หลี่ผิงก็ยังขี้หวงไม่เปลี่ยน แต่ถ้าใครเคยเจอเคยคุยกับน้องธันว์แฟนมันก็คงรู้แหละว่า ก็สมแล้วกับที่เพื่อนผมมันจะตามหึงตามหวง ‘เด็กอะไรไม่รู้ยิ่งโตยิ่งน่ารักน่าฟัด’ บ่งบอกว่าถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่อบอุ่นจริงๆ
ผมเองบางครั้งยังเผลอคิดอยากแอบขโมยตัวแฟนมันมากอดนอนสักคืนด้วยซ้ำ แต่ผมคิดแค่อยากกอดด้วยความเอ็นดูเหมือนน้องนะครับ ไม่คิดเป็นอื่นเลยจริงๆ ซึ่งผลของการคิดอกุศลกับแฟนเพื่อนคือ แฟนตัวจริงของน้องธันว์มันผลักหน้าผากผมแทบหงาย ‘ไอ้นี่เล่นเป็นเด็กๆตลอดๆ’ แต่ผมก็ไม่คิดโกรธเคืองแค่หัวเราะกลบเกลื่อน ด้วยผมรู้ว่ามันไม่ได้จริงจังอะไรและไม่ได้โกรธกัน มันก็แค่หมั่นไส้ในท่าทางและคำพูดของผมเท่านั้น เพราะเราทั้งคู่เป็นเพื่อนกันกว่าสิบปี ย่อมรู้ว่าตอนไหนเพื่อนแกล้งแหย่เล่นตอนไหนเพื่อนจริงจัง
แต่แล้ว!? ผมต้องยืนตกตะลึงตัวชา เพราะแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าผมจะได้พบคนๆนี้อีกครั้ง ผู้ชายที่ผมไม่มีวันลืม ผู้ชายที่ชื่อ ‘เจินฝูหรง’ แม้ฝูหรงจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วยสวมแว่นตาอันโตไว้บนใบหน้า แต่ผมก็ไม่มีวันลืมดวงหน้าใสและดวงตากลมโตคู่นี้ได้เลย
ถ้าผมเดาไม่ผิดเขาคนนี้คงกลายมาเป็นเลขาคนใหม่ของเพื่อนสนิท เพราะผมจำได้ว่าเลขาคนแรกของหลี่ผิงนั้นเป็นผู้หญิง ผมไม่ได้ไปหาหลี่ผิงที่บริษัทนานขนาดนี้เลยเหรอ ไม่เช่นนั้นผมคงได้เจอเขาเร็วกว่านี้
“อะแฮ่ม! เลิกจ้องเลขาฉันได้แล้ว พอล นายมีอะไรรึเปล่า ฉันนัดดินเนอร์น้องธันว์กับเพื่อนไว้” ประโยคดังกล่าวเรียกสติที่แตกกระเจิงของผมให้กลับมารวมตัวอีกครั้ง
อารามดีใจปนทำอะไรไม่ถูก ผมจึงได้แต่แก้เขินกับเพื่อนสนิท ด้วยประโยคหยอกเย้าทีเล่นทีจริงที่ดึงคนน่ารักอย่างแฟนเพื่อนมาเอี่ยวด้วย ในทำนองว่าเพื่อนนั้นหวงเลขาออกนอกหน้า และจะเอาความนี้ไปฟ้องคนของมัน ผลก็คือผมโดนหลี่ผิงชกเข้าที่ไหล่เต็มแรง
“....[พลัวะ]...โอ๊ย! อะไรแค่นี้ถึงกับตบตีกันเลย” เล่นเอาชาไปเหมือนกันครับ
ระหว่างที่ผมแกล้งโอดครวญ และหลี่ผิงบ่นผมเรื่องที่ทำให้เจ้าตัวเสียเวลาไปเจอคนน่ารักของมันนั้น ผมก็แอบเหลือบมองเลขาหน้าใสของเพื่อนไปด้วย พบว่าอีกคนก้มหน้างุดและทำตัวลีบ หลบอยู่แต่ด้านหลังหลี่ผิงไม่มีขยับสักนิด ทำเอาผมทั้งอยากจะขำและอยากโวยวายใส่เจ้าตัวไปในเวลาเดียวกัน
คนเราบทจะได้เจอกันก็ง่ายแสนง่าย และเจอในแบบที่ไม่ต้องพยายามอะไรให้เหนื่อย แต่บทที่เราอยากเจอแทบตาย แม้จะร้อนรนเพียงใดและออกตามหาแทบพลิกแผ่นดินแค่ไหน กลับไม่มีโอกาสได้เจอตามต้องการ ‘สวรรค์มักเล่นตลกกับคนที่มีความรักเสมอ’
“ไม่ต้องพล่ามแล้ว ให้ไปก็ได้” ฟังจากเสียงเพื่อนสนิท ผมรู้แหละว่ามันยอมให้ผมไปดินเนอร์ด้วยอย่างเสียไม่ได้มากกว่าจะเต็มใจจริงๆ
“แล้วเลขานายล่ะ น่าจะให้ไปด้วยนะ นี่ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้วด้วย” ผมรีบฉวยโอกาสนี้ดึงเลขาเพื่อนเข้ามามีส่วนร่วมด้วยทันที แต่ผมต้องคิ้วกระตุกกับสายตาที่ฝูหรงใช้มองหลี่ผิง จนนึกไม่พอใจขึ้นมา
‘เวลาทำให้คนเปลี่ยนไปได้จริงๆใช่มั้ย’
“ไปกันหมดนี่แหละ ฝูหรงไปทานอาหารด้วยกันก่อนนะ เดี๋ยวค่อยให้อาเป๋าไปส่ง” ชัดเลยแววตายินดีเปิดเผยแบบนี้ เจ้าของมันต้องปลื้มไอ้เพื่อนผมที่พูดประโยคดังกล่าวอย่างแน่นอน
ก่อนที่เจ้านายกับเลขาจะเดินไปที่รถด้วยกัน ผมขอฉวยโอกาสหน่อยเถอะ ด้วยการแอบกระตุกข้อมือของคนที่กำลังเดินสวนกัน และไม่แม้แต่จะยอมสบตาด้วยไว้ ทำเอาเจ้าของร่างบอบบางที่อยู่ในความทรงจำผม ถึงกลับสะดุ้งหน้าตาแตกตื่น และจ้องมายังผมอย่างไม่ไว้ใจ ผมก็ได้แต่แสยะยิ้มใส่ตาคู่กลมภายใต้แว่นสายตาอันโต ก่อนผมจะรีบปล่อยข้อมือข้างนั้น ทำให้หลี่ผิงที่หมุนตัวกลับมา ไม่ทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างผมกับเลขาของตัวเอง
“ฉันไม่รู้ทาง ให้เลขานายไปกับฉันและบอกทางแล้วกันนะหลี่ผิง” ผมแอบขึงตาใส่หลี่ผิงที่ทำหน้าฉงนยามมองผมเหมือนจะค้าน เพราะเราต่างรู้กันล่ะว่าที่ผมพูดมันเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง ที่ผมอยากได้ตัวเลขาของมันให้นั่งรถไปด้วย ซึ่งเพื่อนก็คือเพื่อน หลี่ผิงยอมปิดปากไม่ค้านและหันไปบอกเลขาแกมสั่ง ให้ช่วยนั่งรถไปกับผมเพื่อช่วยบอกทาง
ส่วนเลขาแว่นหน้าใสของมันมีอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะรับคำสั้นๆอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ขัดเจ้านายไม่ได้นั่นเอง ผมแสยะยิ้มใส่ตากลมๆภายใต้แว่นหนาอีกครั้ง ก่อนหมุนตัวเดินนำไปที่รถสปอร์ตสีดำคันโปรดของตัวเอง
ภายในรถเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง แม้ในใจผมจะมีคำถามมากมายที่อยากจะถามคนที่นั่งเคียงข้าง แต่นาทีนี้เหมือนมีอะไรมาปิดปากทำให้พูดไม่ออก และผมอดยอมรับไม่ได้จริงๆว่าห้าปีที่เราไม่ได้เจอกัน คนตรงหน้าผมแทบไม่เปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่เราอยู่ด้วยกันเลย นอกเสียจากไอ้แว่นตาอันโตแสนเกะกะสายตานี่อันเดียวเท่านั้น ที่เข้ามาบดบังความน่าดูของใบหน้าจิ้มลิ้มที่แสนน่าหลงใหลของฝูหรง...กระต่ายน้อยแสนตื่นตูมของผม
“เลี้ยวขวา...เอ๊ะ! ทำไมไม่เลี้ยวตามที่บอก” ผมยังคงทำหูทวนลมและหน้ามึนขับตรงไปยังถนนเบื้องหน้า
หลังจากไม่ได้เจอหน้ากันมาห้าปี คำแรกที่จะใช้คุยกันกับเป็นการบอกเส้นทาง แทนที่จะเป็นคำแสดงความห่วงใย หรือสอบถามสารทุกข์สุขดิบล่ะไม่มี นี่อะไรใช้น้ำเสียงแข็งๆออกคำสั่งกับผมได้ บวกเข้ากับสายตาวาวๆที่ใช้จ้องผมอย่างเอาเรื่องนี่อีกล่ะ อย่าหวังว่าผมจะยอมทำตาม
ผมจึงเลือกที่จะเมินเฉยต่อคำพูดเหล่านั้น และเมื่อฝูหรงเห็นผมเงียบ เจ้าตัวก็ได้แต่ฮึดฮัดและสะบัดหน้าหนีไปนอกรถ หากเป็นเมื่อก่อนกระต่ายน้อยของผมจะไม่มีวันทำท่าทีเฉยชากับผมแบบนี้อย่างแน่นอน มีแต่จะเอามาอ้อนมาหยอกล้อง้องอนให้ผมยอมพูดด้วย คิดได้แบบนี้ ทำเอาผมนึกโมโหขึ้นมา
“เวลาเปลี่ยนคนเราก็เปลี่ยนสินะ หรือว่าตอนนี้ชอบหลี่ผิงมันรึไง ถ้าไม่ได้ตาบอดน่าจะรู้นะว่ามันรักแฟนมันมาก หรือคิดจะแย่ง! แต่คงได้แค่คิดเพราะขืนแย่งจริงก็ไม่สำเร็จหรอก” ความโกรธความโมโหทำให้ผมประชดใส่คนข้างๆในเรื่องที่ติดใจแต่แรกพบออกไป ซึ่งผลของการประชดก็ไม่ทำให้อะไรๆดีขึ้น แต่มันกลับยิ่งแย่ลงกว่าเดิม
ฝูหรงนั่งหลังเกร็งและกำมือไว้จนแน่น แต่ผมก็แอบเห็นว่าร่างเล็กๆนั่นมีอาการสั่นน้อยๆ แต่การที่ฝูหรงหันหน้าออกนอกรถ ทำให้ผมไม่เห็นสีหน้าแววตาว่าเจ้าตัวกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน โกรธหรือเสียใจกันแน่ แต่ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหน ผมก็รู้สึกไม่ดีทั้งนั้น แต่ในเมื่อเอาคำพูดคืนมาไม่ได้ ผมก็ได้แต่นั่งหงุดหงิดเผลอพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด พร้อมเหยียบคันเร่งแทบมิด แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายให้เห็น ด้วยผมยังเห็นเพียงกลุ่มผมดำขลับและแผ่นหลังบาง แต่ยังดีหน่อยที่ร่างเล็กๆนั่นบรรเทาอาการสั่นเทาลงแล้ว
“...ฝูหรง คือ...”
“กลับรถ” ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยขอโทษ อีกฝ่ายกลับออกคำสั่งเรียบๆขัดออกมา
เมื่อกระต่ายน้อยตาแดงหันกลับมาถลึงตาเข้าใส่ ผมจึงได้แต่ชะลอความเร็ว และยอมทำตามคำสั่งของฝูหรงทันที อาการนี้ของฝูหรงทำผมใจหายไม่น้อย แต่ก็เหมือนมีอะไรมาอุดปากไว้ ไม่ให้ผมเอ่ยขอโทษออกไป
ฝูหรงบอกทางผมเป็นระยะด้วยเสียงเรียบๆ ยามเจอสี่แยกหรือซอกซอยที่ต้องเลี้ยว ผมก็ไม่มีขัดยอมทำตามคำสั่งนั้นอย่างว่าง่ายด้วยท่าทีเฉยชา แต่ในใจกำลังพยายามคิดว่าจะชวนอีกคนคุยอย่างไร ไม่ให้เผลอประชดใส่คนหน้าใสที่มีทีท่าไม่แยแสใส่ผม
จวบจนกระทั่งมาถึงร้านที่หลี่ผิงนัดน้องธันว์และเพื่อนสนิทไว้ ผมก็ยังไม่ได้คุยกับฝูหรงอยู่ดี พาลหงุดหงิดหน้าบึ้งไม่รู้ตัว แต่มารู้ตัวว่าทำให้อีกคนเข้าใจผิดก็ต่อเมื่อได้ยินประโยคนี้
“ถึงแล้ว...ไม่ต้องทนเห็นหน้า ให้ต้องทนอึดอัดใจอีกแล้ว” ผมยังไม่ทันได้แก้ตัว คนที่พูดประโยคดังกล่าวก็ดึงประตูรถขึ้น และก้าวลงจากรถเดินไปไม่เหลียวหลัง
ไอ้ครั้นผมวิ่งตามมาทันก็มาทันตรงหน้าห้องอาหาร ที่มีทั้งเพื่อนและน้องๆอยู่ในนั้น จึงมีโอกาสได้แค่เปิดประตูให้คนหน้าใส และก้มหน้าส่งสายตาขอโทษให้เท่านั้น แต่สิ่งที่ทำไปกลับโดนเมินใส่อย่างไม่ใยดี พาลให้กรุ่นขึ้นมาในอกอย่างห้ามไม่อยู่ จนอยากกระชากร่างบางเข้าหาอก และบดจูบลงบนปากเชิดๆคู่นั้นนัก ด้วยอยากจะรู้ว่าวิธีที่เคยลงโทษได้ผล มันจะยังใช้ได้อยู่มั้ย
ผมก็ได้แค่คิด เพราะสิ่งที่ทำคือการเดินเข้าไปหยิกแก้มเด็กน่ารักของมาเฟียใหญ่ด้วยความเอ็นดู พร้อมประโยคทักทายด้วยเสียงอันสดใส ผิดจากความรู้สึกหม่นๆในอก
“หวัดดีครับน้องธันว์ ยังน่ารักไม่เปลี่ยนเลยนะ...[เพียะ!]...อูยยย แถมเจ้าของก็หวงไม่เปลี่ยนด้วย ฮ่าๆ” แม้ผมจะหัวเราะให้กับประโยคหยอกแกมหยิกที่มีให้เพื่อนสนิท แต่ห้ามสายตาตัวเองไม่อยู่ เพราะดันลอบชำเลืองคนข้างตัวไปด้วย
สีหน้าละห้อยแววตาหม่นๆของฝูหรงยามมองหลี่ผิงและน้องธันว์นั้น ทำเอาผมรู้สึกห่อเหี่ยวปนขัดใจขึ้นมา แต่ภายนอกผมก็ยังทำตัวร่าเริงเป็นปกติ ตอบรับคำทักทายของน้องธันว์และเพื่อนๆของน้องอีกสองคน มีแอบแซวไอ้เพื่อนมาเฟียที่นั่งหน้าบูดด้วย หลังจากหลี่ผิงโดนผมแย่งความสนใจของน้องธันว์มาไว้ที่ตัวเองได้
ท่ามกลางเสียงแซวของน้องๆที่มีให้แก่คู่รักแสนหวานจนน่าอิจฉานั้น กลับมีสายตาคู่หนึ่งที่จ้องหลี่ผิงไม่วางตาด้วยความชื่นชม ผมที่ได้เห็นสายตาคู่นั้นเกือบปล่อยอารมณ์หงุดหงิดออกมาประจานตัวเองแล้ว ถ้าไม่มีประโยคกระแทกใจจากน้องนลินสาวซ่าประจำกลุ่มน้องธันว์ดังขึ้น
“เอ่อ แล้วนี่ใครคะ แฟนเฮียพอลเหรอ เฮ้อออ...ทำไมน้า เดี๋ยวนี้หนุ่มๆหน้าตาดีถึงจับคู่กันเอง แล้วจะเหลือหนุ่มหล่อให้นลินสักคนบ้างมั้ยน้อ” จากอารมณ์หม่นๆเตรียมปะทุ ประโยคของน้องนลินทำเอาผมฉีกยิ้ม และจงใจจ้องเข้าไปในแววตาตกตะลึงของคนที่ถูกเหมาว่าเป็นแฟนผม ด้วยสายตาหยอกเย้าแกมยินดี แต่อีกฝ่ายคงไม่ได้คิดอย่างผม
“มะ ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ ผมกับมิสเตอร์โจวไม่ได้เป็นอะไรกัน หึ!...จริงๆนะครับ” ผมละปรี๊ด! ดูเถอะครับ ปฏิเสธเสียงหลงด้วยท่าทางร้อนรนและสะบัดเสียงใส่ผมไม่พอ ยังมีหน้าหันไปส่งเสียงอ้อนๆตาหงอยๆให้เจ้านายตัวเองอีก
“คุณเลขาไม่เห็นต้องปฏิเสธน้องๆให้วุ่นวายเลยนี่ครับ แต่เอ๊! หรือคุณเลขาคิดอะไรกับผมกันแน่ ฮึๆ” แม้น้ำเสียงและรูปประโยคที่ผมใช้ออกแนวหยิกแก้มหยอก แต่สายตาที่ผมมองฝูหรง ผมเลือกที่จะจ้องเขม็งเข้าไปในแววตาวาวโรจน์ด้วยอารมณ์ไม่ได้ดังใจแทน
เมื่อร้อนมาเจอร้อน มีแต่ความร้อนจะยิ่งรุนแรงขึ้น จึงกลายเป็นผมกับฝูหรงจ้องตากันแบบไม่มีใครยอมใคร แต่ดีที่เด็กน่ารักของหลี่ผิงไหวพริบดี ทำลายบรรยากาศร้อนๆด้วยการแนะนำเลขาของแฟนตัวเองให้เพื่อนๆรู้จัก ก่อนอาหารจะถูกเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ และความสนใจของทุกคนบนโต๊ะจะพุ่งไปที่อาหารเบื้องหน้าแทน ผมเองก็เลือกที่จะชวนน้องๆคุย แต่สายตาเจ้ากรรมของตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะคอยสังเกตเลขาหน้าใสของเพื่อนเป็นระยะ
“เดี๋ยวฉันไปส่งเลขาของนายให้เอง อยู่แถวไหนล่ะ” หลังจากผมได้ยินหลี่ผิงสั่งให้คนสนิทอย่างอาเป๋าโทรตามรถที่บ้านอีกคันเพื่อมารับเลขาหน้าใส จึงแกล้งผละจากโทรศัพท์ข้างหูที่ทำทีว่ากำลังคุยธุระสำคัญอยู่ เพื่อมาออกหน้ารับไปส่งให้อย่างเสียไม่ได้
หลี่ผิงหรี่ตามองผมอย่างรู้เท่าทัน ก่อนจะกระตุกยิ้มใส่ตา และทำท่าเหมือนจะปฏิเสธด้วยต้องการจะแกล้งผม
“ไม่ต้องหรอกครับนายน้อย เดี๋ยวผมกลับเองสะดวกกว่า” อยู่ๆประโยคนี้ก็ดังขึ้น เล่นเอาผมสองคนก้มมองคนพูดในเวลาเดียวกัน
ฝูหรงมองเพียงหลี่ผิงด้วยสายตาเกรงอกเกรงใจ ไม่เหลือบแลมาทางผมสักนิด หลี่ผิงเองก็เหลือบตามองผมอย่างขอความเห็น แต่ขืนผมออกปากยืนยันไปส่ง จะดูเป็นว่าผมตื๊อคนตัวเล็กจนเกินพอดีไปมั้ย เผลอๆจะถูกตอกกลับหน้าหงายให้ช้ำใจยิ่งกว่าเดิมน่ะสิ
“ไม่ได้สิครับ พี่ฝูหรงต้องมีคนไปส่ง เอาแบบนี้ดีกว่า...เฮียหลี่ผิง เราไปส่งพี่ฝูหรงก่อนกลับบ้านได้มั้ยครับ ไม่ต้องให้พี่ฝูหรงรอรถอยู่ที่นี่คนเดียวด้วย” เอาล่ะสิเด็กมาเฟียเล่นผมซะแล้วครับ แต่ใบหน้าออดอ้อนที่น้องธันว์ใช้กับหลี่ผิง บวกความหวังดีที่มีต่อเลขาคนรัก ทำให้ผมโกรธน้องไม่ลงจริงๆ และผลของการออดอ้อนนั้นมีหรือที่จะได้รับการปฏิเสธจากคนที่หลงแฟนหัวปักหัวปำอย่างหลี่ผิง
‘งานนี้ถ้าอยากรู้ที่อยู่เลขาหน้าใส ผมคงต้องแอบขับรถตามเพื่อนซะล่ะมั้ง ทำไมผมต้องมาทำอะไรให้ซับซ้อนด้วยวะเนี่ย’
ระหว่างที่ผมหงุดหงิดตัวเองที่ไม่มีความกล้าพอที่จะเอ่ยปากขอไปส่งคนตัวเล็กหน้าใสนั้น นายนนหนึ่งในเพื่อนที่สนิทที่สุดของน้องธันว์ก็ส่งคำถามให้น้องได้ลังเล แต่กลับส่งผลดีกับผมได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“อ้าว แล้วหนังสือที่มึงจะเอาล่ะ จะให้กูเอาไปให้พรุ่งนี้ หรือว่าจะตามไปเอาหลังจากส่งพี่ฝูหรงดี” หลังคำพูดนายนนแล้ว น้องธันว์ทำหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด
ดูท่าหนังสือที่ว่าคงต้องใช้ในวันนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ๆ และก่อนมาเฟียใหญ่ที่กำลังใช้สายตาเอื้อเอ็นดูกับคนของตัวเองจะยุติปัญหาทั้งหมด คนต้นเรื่องก็ทำท่าปฏิเสธทุกความหวังดี แต่เรื่องอะไรที่ผมจะปล่อยโอกาสที่จะได้รู้ที่อยู่ของฝูหรงไป แถมโอกาสครั้งนี้ก็ดูดีมีเหตุผลรองรับ ไม่ดูเหมือนผมกระเหี้ยนกระหือรืออยากรู้มากไปด้วย ทั้งที่ความจริงผมโคตรอยากรู้เลย
“สรุปแบบนี้แล้วกัน เดี๋ยวผมไปส่งคุณเองนะคุณเลขา...ส่วนน้องธันว์ก็ตามไปเอาหนังสือกับเพื่อนเถอะครับ รับรองเฮียจะส่งเลขาของหลี่ผิงให้ถึงที่อย่างปลอดภัย” ผมจบด้วยการยักคิ้วกระตุกยิ้มน้อยๆใส่น้องธันว์ และจ้องตาอีกนิดให้น้องรู้ว่าผมยืนยันจะทำให้ได้อย่างที่พูด
เด็กมาเฟียจ้องผมพลางถอนใจก่อนพยักหน้าให้ และหันไปขอโทษฝูหรง จนคนที่อยู่ๆโดนแฟนเจ้านายเอ่ยปากขอโทษ ถึงกลับส่ายหน้าหวือโบกมือปฏิเสธให้วุ่น แต่คำพูดที่ฝูหรงหลุดพูดกับน้องธันว์ทำให้ผมต้องกลั้นยิ้มด้วยความดีใจ
“ไม่ครับๆ คุณธันว์ไม่ต้องขอโทษผมครับ คุณพอลรับปากไปส่งผมแล้ว ผมไม่ลำบากอะไรเลย”
อาการดีใจที่แสดงออกมากไม่ได้ของผมนั้น คงไม่พ้นสายตาของหลี่ผิง เพราะมันยกยิ้มน้อยๆใส่ผมอย่างเจ้าเล่ห์ และไม่วายก่อนแยกจากกัน ดันแกล้งย้ำกับผมให้ส่งเลขาตัวเองให้ถึงที่อย่างปลอดภัยตามที่ผมรับปากไว้อีกด้วย จนผมพาลคิดไปว่าไม่ใช่เพราะไอ้เจ้านายตัวดี มันคิดไม่ซื่อกับเลขาตัวเองเข้าหรอกนะ แต่ความคิดนี้มีอันสลาย เมื่อผมเห็นสายตาและท่าทางที่หลี่ผิงใช้มองน้องธันว์เข้า
ฝ่ายหนึ่งมั่นใจได้แล้วว่าไม่มีทางคิดอะไรด้วย แต่อีกฝ่ายนี่สิ น่าหนักใจไม่น้อย เพราะดูท่าจะคิดอะไรๆไปคนเดียวจนน่าโมโห ผมน่าจะได้เจอเจ้าตัวเร็วกว่านี้จริงๆ ให้ตายสิ!
“...เอ๊ะ! จับทำไม ปล่อย! ถึงแล้วจะกลับก็รีบกลับสิ” ผมได้ยินคำไล่ด้วยเสียงแข็งๆพร้อมตาวาวๆก็ให้นึกไม่พอใจยิ่งขึ้น จึงเผลอบีบข้อมือในมือตัวเองซะเต็มแรง
“หึ! ส่งถึงที่แล้วก็เฉดหัวส่งกันเลยนะ ขอบคุณสักคำน่ะมีมั้ย อ๋อ!? หรือจะมีให้แค่กับหลี่ผิง...ชอบมันมากเลยเหรอ ก็เห็นอยู่ว่ามันรักแฟนมันมาก หรือชอบกินน้ำใต้ศอกคนอื่น เหอะ! แต่ที่สำคัญคงไม่ได้กินสักหยดมากกว่า เลิกรักแบบโง่ๆซะเถอะ!!” อารมณ์โมโหปะปนไปด้วยความหึงหวง ทำให้ผมพ่นถ้อยคำที่ทำร้ายน้ำใจคนตรงหน้าไปเต็มๆ แถมอาการหน้ามืดตาบอดชั่วคราว ดันทำให้ตัวเองไม่สังเกตเห็นอาการหน้าซีด และดวงตาภายใต้แว่นที่เคลือบคลอไปด้วยหยาดน้ำใส
“ขอบคุณที่มาส่ง!! พูดแล้วไง ปล่อยได้รึยังล่ะ ไม่อยากเห็นหน้า!!” ถ้อยคำสุดท้ายในประโยคต่อต้านทำให้เส้นความอดทนของผมขาดผึง
ผมกระชากข้อมือบางเข้าหาตัวและกระแทกปากตัวเองเข้าหากลีบปากสีแดงฉ่ำ ก่อนใช้ฟันขบเนื้อนิ่มๆนั้นเป็นการสั่งสอน จนได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ตามมาด้วยแรงดิ้นรนของคนตัวเล็ก ที่พยายามให้ตัวเองหลุดออกจากพันธนาการของผม นาทีนี้ยิ่งฝูหรงดิ้นผมก็ยิ่งอยากเอาชนะ ผมจึงเพิ่มแรงกอดรัดร่างบางเข้าหาอก และฉกลิ้นเข้าโพรงปากอุ่นทันทียามเจ้าของริมฝีปากนุ่มเปิดปากเตรียมโวยวาย
พายุร้ายในใจผมโหมกระพือ ฉวยโอกาสปล้นจูบคนตัวเล็กอย่างเอาแต่ใจ และกอบโกยความหวานที่แสนโหยหาอย่างไม่รู้เบื่อ ไม่รับรู้ว่าเจ้าของร่างเล็กที่กรุ่นกลิ่นหอมติดจมูกนี้หยุดดิ้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งผมสัมผัสได้ถึงรสเค็มปร่าของหยาดน้ำตา พาให้ผมชะงักและเกิดอาการใจกระตุกขึ้นมาฉับพลัน ก่อนผมจะค่อยๆผละออกจากริมฝีปากแสนหวาน และดันร่างบางออกจากอก
“ฝู...หรง” ภาพร่างเล็กที่มีใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา ริมฝีปากแตกจนเจ่อช้ำ พร้อมพวงแก้มซีดเซียว แว่นเอียงกระเท่เร่จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ แต่ไม่มีเสียงร้องให้ได้ยินสักแอะ ทำเอาผมใจหวิวความรู้สึกผิดจู่โจมเข้าสู่หัวใจทันที
ผมยื่นมือไปดึงแว่นหนาออกจากใบหน้าซีดเซียว ก่อนไล้ปลายนิ้วไปตามผิวแก้มใส และจบที่ริมฝีปากที่แตกช้ำ พร้อมตัดสินใจก้มหน้าเข้าหาริมฝีปากคู่ตรงหน้าอย่างช้าๆ ซึ่งปฏิกิริยาของฝูหรงคือมีอาการเกร็งตัวขึ้น แต่ไม่ขยับหน้าหนี ผมจึงเหลือบตาขึ้นสบตากลมใสที่ยังมีละอองน้ำตาจางๆเคลือบอยู่
แววตาที่ผมเห็นไหววูบและจ้องตาผมกลับไม่กระพริบ และในแววตาคู่เดียวกันนี้ไม่มีวี่แววรังเกียจหรือต่อต้านให้เห็น แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม ผมจึงหลับตาและยื่นหน้าเข้าหาเจ้าของลมหายใจอุ่นร้อน ก่อนประทับริมฝีปากที่กลีบปากช้ำนิ่งนาน
“พอลขอโทษ...คิดถึงฝูหรง คิดถึงมาตลอด”
............................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะฝูหรงและพอลมาแล้ว ฝากติดตามความรักของคู่นี้ด้วยนะคะ
แม้เปิดเรื่องมาจะดูยุ่งๆวุ่นๆตามชื่อเรื่องไปบ้าง แต่เพราะทั้งคู่มีอดีตร่วมกัน
ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้นคงต้องฝากตามกันต่อไปค่ะ
รับประกันได้อย่างหนึ่งว่าคู่นี้หวานหื่นไม่แพ้คู่ที่ผ่านๆมาแน่นอน
ตอนหน้ามาวันอาทิตย์นะคะ เพราะพุธนี้เรามีนัดกับเบสนนในตอนพิเศษค่ะ
ฝากติดตามความรักของทั้ง 2 คู่ด้วยน้า
เบส&นน ลงตอนพิเศษแล้วค่ะ >>>
SP.1 ”ไปด้วยกันนะ” ปล.ติดตามเหตุการณ์เดียวกันนี้ได้ จากฝั่งของคู่ธันว์&หลี่ผิง
”เครซี่”
