ตอนที่ 1ชนนน ‘ดอกกุหลาบ ช็อกโกแลต สติ๊กเกอร์รูปหัวใจ ออร่าสีชมพูวิ้งๆท่วมจอ’ คงไม่ต้องบอกว่าวันนี้คือวันสำคัญอะไร หากไม่ใช่ ‘วันวาเลนไทน์’ วันแห่งความรักของปวงชนชาวโลก!!
ผมไม่เข้าใจว่าคนเราจะให้ความสำคัญอะไรกับวันนี้นักหนา มันก็แค่วันๆหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าหากไม่มีวันนี้ คนเราจะไม่สามารถหันมาบอกรักกันได้สักหน่อย ใช่มั้ย!? และไอ้อาการจับคู่หวีดหวานไม่สนโลกนี่อีก อารายยย? ทำไมครับทำไม ต้องมาทำต่อหน้ากันด้วย เดี๋ยวคอยดูเถอะผมถึงบ้านเมื่อไหร่ จะจับผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกมาฟัดแก้มให้หนำใจเลยเชียว
ฮั่นแน่! บางคนในกลุ่มคุณตอนนี้ คงนึกต่อว่าผมในใจอยู่ล่ะสิ ว่าผมมันพวกขวางโลก เป็นผู้ชายขี้อิจฉาที่ไม่ชอบเห็นคนรักกัน หรือแม้แต่แอบเหน็บว่าผมคงมีปมในใจกับวันนี้ อย่างการโดนทิ้งในวันวาเลนไทน์!!
‘ฮึ่ย! บ่องตง ว่าคุณทายถูก แต่ก็แค่บางส่วนเหอะ’ เพราะผมไม่ได้เป็นผู้ชายขวางโลกหรือแม้แต่นึกอิจฉาคนมีคู่ ด้วยหากเป็นเช่นนั้นจริง ผมคงไม่ยอมมานั่งอยู่ท่ามกลางกองดอกไม้และช็อกโกแลต ทำตัวเป็นไม้กันหมา เพื่อให้คนสองคนเค้ารักกันหรอก เพราะผมคงชิ่งกลับบ้านตั้งแต่เลิกเรียนแล้ว แต่ผมก็ยอมรับแบบแมนๆว่ามีปม อย่างที่คุณว่าไว้จริงๆแหละ ‘ผมโดนบอกเลิกในวันวาเลนไทน์’ เมื่อสิบปีก่อนช่วงที่ผมเรียนอนุบาลหนึ่ง!
‘ขำไรกันครับ เรื่องจริงมันไม่ขำสักนิด’ คุณไม่เป็นผมคุณไม่รู้หรอก ว่าหัวใจของเด็กชายตัวเล็กๆอายุเพียงสี่ขวบมันชอกช้ำแค่ไหน เมื่อโดนแฟนผู้หญิงคนแรกสะบั้นรักในวันแห่งความรัก ท่ามกลางลูกสมุนของตัวเอง วันนั้นผมเสียใจไม่พอ แต่ยังเสียหน้าแถมเข้าไปอีกด้วย เพราะน้องเนยคนน่ารักของผม ดันหันไปซบอกกับศัตรูคู่อาฆาต หัวโจกของอนุบาลหนึ่งทับสองที่เป็นคู่แข่งตลอดกาล กับหัวโจกของเด็กอนุบาลหนึ่งทับหนึ่งเยี่ยงผม
นี่แหละคือเหตุการณ์ที่สร้างรอยแผลให้นายชนนน ชายหนุ่มรูปหล่อผู้ร่าเริงอายุสิบหก ด้วยวัยที่กำลังขบเผาะน่าลิ้มลอง ทำให้ผมไม่ค่อยจะอินเท่าไหร่กับเทศกาลวันแห่งความรัก แต่ผมก็ไม่ได้แอนตี้ ด้วยใครใคร่จะให้ของแทนใจ ผมก็จะรับน้ำใจไว้ไม่คิดจะทำให้ผู้ให้ลำบากใจสักนิด แต่ก็ไม่คิดที่จะมอบใจให้ใครในวันวาเลนไทน์เหมือนกัน
ผมถอนใจยาวหลังจากคิดถึงอดีตอันปวดร้าวเมื่อสิบปีก่อนจบลง แต่เมื่อเหลียวมองไอ้เพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ตรงหน้า ทำให้ผมนึกหมั่นไส้เล็กๆไม่ได้ ด้วยใบหน้าสว่างเปล่งออร่าความสุขกระจายของไอ้ธันว์ ที่กำลังอมยิ้มแก้มตุ่ยดวงตาระยับวับวาว มีท่าทางภูมิใจกับข้าวของที่สาวๆทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง หรือแม้แต่รุ่นเดียวกันเอามาให้
ไอ้ธันว์มันจะรู้มั้ยครับ ว่าระหว่างที่มันมีท่าทางปลื้มปริ่มสบายใจอยู่นั้น วันนี้มันทำให้ผมและไอ้นลินเพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่มของเรา ลำบากและเหนื่อยมาทั้งวัน ด้วยมีของอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ถึงมือมัน เพียงเพราะข้าวของเหล่านั้นมีผู้ให้เป็นผู้ชายเพศเดียวกับมัน! จนผมและไอ้นลินต้องทำหน้าที่เป็นไม้กันหมา เหนื่อยสายตัวแทบขาดเชียวล่ะ ด้วยเรารับปากกับว่าที่เจ้าของของไอ้เพื่อนตัวขาวตาตี่นี่ไว้แล้ว ว่าจะคอยดูแลและปัดเป่าริ้นไรเพศผู้แทนคนผู้นั้น
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงมีแต่คนปลื้มรองกัปตันทีมรักบี้อย่างผม ตลอดทั้งวันมีสาวๆจ้องจะให้ดอกไม้ให้ของแก่ผมไม่น้อย แต่ด้วยภารกิจหลักที่ถูกฝากฝังไว้จากคนที่ผมยกย่องให้เป็นลูกพี่ ทำให้ตลอดวันผมมีโอกาสรับน้ำใจจากสาวรุ่นพี่มอปลายคนหนึ่ง และรุ่นน้องผู้ชายน่ารักอีกคนเท่านั้น นอกนั้นต้องคอยกีดกันตัวผู้ทั้งหลายที่คิดจะเข้าหาไอ้เพื่อนตาตี่นี่ ยิ่งได้เห็นดอกกุหลาบเหี่ยวๆสองดอกในมือตัวเอง ผมก็ยิ่งหมั่นไส้ในสีหน้าภูมิใจนักหนาที่คิดว่าตัวเองหล่อของไอ้ธันว์ จึงอดที่จะแขวะมันเล็กๆขึ้นมาไม่ได้
“เฮ้ย! ไรวะ โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม กูได้กุหลาบเหี่ยวๆแค่สอง ส่วนมึง ‘ไอ้ธันว์’ แทบจะจมอยู่ในกองกุหลาบกับช็อกโกแลต สาวๆเดี๋ยวนี้แม่งชอบซีดๆขาวๆได้ไงวะ กูออกจะดาร์คทอลแอนด์แฮนซั่มแม่งไม่ชอบ....โอ๊ยย! ไอ้...”
‘เต็มๆเลยครับ กำปั้นเต็มหลังกูเลย ไอ้นี่นิ’ ผมยังอวยตัวเองไม่ทันจบ ไอ้เพื่อนมือหนักมันก็ทุบมากลางหลัง เล่นเอากระดูกแทบหัก นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจร่วมกันแล้วล่ะก็ ไอ้นนทุบคืนแล้วเหอะ แล้วดูสินั่น ไอ้นลินสาวซ่าประจำกลุ่มยังมีหน้ามาชี้นิ้วใส่ ด้วยสีหน้าเยาะหยันอีกแน่ะ แถมไอ้ตัวดีที่ผมแอบแขวะ ยังยักคิ้วยกยิ้มอย่างกวนให้กันด้วย
‘ชิ! ปกป้องกันเข้าไปสิ ไอ้ธันว์ ถ้ามึงรู้ว่าตลอดวันมีตัวผู้คิดจะเข้าหาเป็นกระบุง หวังจับมึงเป็นเมียล่ะก็ มีหวังไอ้สีหน้ากวนๆแบบนี้ คงจืดเจื่อนไม่เหลือท่าแน่ๆเหอะ!’
“อะไรๆ มึงจะด่าอะไรกู เดี๊ยะๆ อย่างมึงน่ะนะดาร์คทอลแอนด์แฮนซั่ม ถุย! ได้แค่ดาร์คทอลพอแหละมึง ส่วนแฮนซั่มน่ะกูขอเถอะ เชี่ย! พูดได้ไม่อายหนังหน้า ได้มาสองดอกเนี่ยเพราะเค้าเหลือ แล้วจะทิ้งรึเปล่า พอเห็นมึงนั่งหน้าเหี่ยวเลยคิดสงสารให้มา”
ส่วนไอ้ผู้หญิงซ่าอย่าง ‘นันท์นลิน หรือ ไอ้นลิน’ หญิงเดียวในกลุ่มเรา มันยังจวกผมไม่หยุด ฟังไอ้เพื่อนปากดีมันพูดสิครับ พูดอะไรไม่เข้ากับหนังหน้าสักนิด ใบหน้าออกจะสวยหวานปานน้ำผึ้ง แต่ปากแม่งอย่างกับกรรไกร แถมออกตัวแทนไอ้ธันว์ขนาดนี้ ผมไม่มีปัญญาทำไรแม่งทั้งคู่ได้อยู่แล้ว
“ไอ้ ไอ้....แม่บัวงาม แม่ถูกทุกอย่าง กูยอม! หึ! ไอ้ธันว์ มึงไม่ต้องหัวเราะกูเลย เชิญนั่งหน้าหล่อรอดอกไม้ของมึงต่อเถอะ เขยิบดิ” ผมผลักไหล่ไอ้ธันว์เบาๆ ก่อนนั่งลงข้างมันอย่างกระแทกกระทั้น
‘ผลักแรงไม่ได้ครับ ขืนเฮียรู้ ว่าผมรังแกเด็กเฮีย ไอ้นนได้หัวขาดดิ ผมไม่คิดจะมีเรื่องกับมาเฟียฮ่องกงอยู่แล้ว’
“ฮึๆ ไอ้นนมึงหาเรื่องใส่ตัวเองนะช่วยไม่ได้ ให้รู้ซะบ้างว่ามึงน่ะหัวเดียวกระเทียมลีบ ฮ่าๆ ใช่มั้ยนลิน”
‘เชิญมึงหัวเราะกูให้เต็มที่เลย ดีแล้วกูจะยุ ‘เฮียกู’ ให้รีบกำราบมึง จับมึงทำเมียเร็วๆ จะได้ทำตัวน่ารักเข้ากับหน้าตาบ้าง ชิ!’
“ช่าย แถมเป็นกระเทียมไหม้ด้วย ฮ่าๆๆ” ไอ้นี่ก็อีกคน เข้าคู่กันเป็นปี่กับขลุ่ย
“เชอะ! กูงอน” ‘กูงอนแม่งล่ะ’ ผมแกล้งสะบัดบ๊อบใส่เจ้าของเสียงหัวเราะทั้งคู่ แต่แอบหันมากลั้นยิ้มไว้อีกทาง ปัญญาอ่อนมากเหอะพวกกูเนี่ย ฮ่าๆๆ
ระหว่างนั้นผมและไอ้นลินที่นั่งเป็นไม้กันหมา ก็ถือวิสาสะกินช็อกโกแลตตรงหน้าไปด้วย แรกๆไอ้ธันว์ก็มีถอนใจและเหล่ตามองหน้ากันบ้าง เหมือนมันจะหวงซะอย่างนั้น แต่พอโดนเจ้าแม่บัวงามคนสวยถลึงตาเข้าหน่อย ก็ปิดปากเงียบกลับมานั่งยัดหูฟังของไอพอดเครื่องโปรดเข้าหู ปล่อยให้ผมกับไอ้นลินสบตากันยิ้มๆ เพราะดีแล้วที่ไอ้ธันว์ตัดขาดจากโลกรอบตัว ไม่งั้นแม่ง! ชอบแจกยิ้มเรี่ยราดไปทั่ว เรียกแมลงหวี่แมลงวันเข้าหาอีกจะวุ่น
แต่ก็ไม่วายยังมีเคสเก็บตกอย่างเด็กสาวรุ่นน้องที่โคตรใจกล้า เดินเข้ามายื่นดอกกุหลาบให้มันต่อหน้า ซึ่งก็ไม่พ้นมือไอ้นลิน มันออกตัวขอรับแทนไอ้ธันว์เสร็จสรรพ ก่อนคว้ากุหลาบไว้แล้วโยนลงไปกองกับดอกอื่นๆบนโต๊ะ น้องผู้หญิงใจกล้าถึงกลับหน้าเสีย และจ้องไอ้นลินอย่างขยาด ก่อนจะหมุนตัวและวิ่งตัวปลิวจากไป แม้ผมจะนึกสงสารน้องคนนั้น แต่ผมขำสีหน้าตกตะลึงทำอะไรไอ้นลินไม่ได้ของไอ้ธันว์มากกว่า จึงเผลอหลุดขำออกไป จนมันหันมาถลึงตาใส่พร้อมเตะขาผมใต้โต๊ะ
ภารกิจของการเป็นไม้กันหมาน่าจะจบลงอย่างสมบูรณ์แล้วเชียว หากจะไม่มีเหตุการณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้น!
ขณะที่ไอ้ธันว์มันหันมาคาดคั้นเอากับผมและไอ้นลิน ถึงสาเหตุที่ทำให้เรานั่งประกบมันไว้ ไม่ยอมกลับบ้านทั้งๆที่ได้เวลาเลิกเรียนมานานแล้วนั้น อยู่ๆก็มีเสียงเรียกชื่อไอ้ธันว์ดังขึ้น ทำเอาเราสามคนต้องหมุนตัวหันไปทางต้นเสียง ตามมาด้วยเสียงอุทานตกใจของไอ้ธันว์
“อะไรครับ เห็นหน้าพี่ต้องตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมอุตส่าห์โล่งใจมาทั้งวัน เพราะไม่ได้เห็นหน้า ‘มัน’ คนนี้
‘แม่งเอ้ย! ไม่ต้องมายิ้มหล่อหวังแดกเพื่อนกูเลย’ ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ตั้งใจจะกระชากไอ้ธันว์ออกจากไอ้รุ่นพี่หน้าขาว ที่หวังเคลมมันมาตั้งแต่เปิดเทอมแรกของมอสี่ แต่ยังดีที่ไอ้ธันว์มันรู้สึกตัวเร็ว กระโดดหนีออกไปยืนนอกโต๊ะด้วยสีหน้าแตกตื่น มีหันมามองผมกับไอ้นลินเลิ่กลั่กอย่างน่าขำ ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงได้แซวมันไปแล้ว แต่ในสถานการณ์ไม่ปกติเช่นนี้ ผมทำเพียงลุกไปยืนประกบไอ้ธันว์ไว้ พร้อมกับมีไอ้นลินยืนอยู่อีกข้าง หากไอ้รุ่นพี่ตัวดีคิดจะทำมิดีมิร้ายกับไอ้ธันว์ คงต้องผ่านผมและไอ้นลินให้ได้ซะก่อน
ผมหรี่ตามองมันผู้มีนามว่า ‘ภูธิป หรือ เบส’ ไว้ ก่อนหัวคิ้วและมุมปากจะกระตุกด้วยความหมั่นไส้ เพราะไอ้เบสไม่มีอาการสะทกสะท้านให้เห็น มันยังคงระบายยิ้มอย่างใจเย็นจ้องไอ้ธันว์ตาเชื่อม จนผมอยากจะเข้าไปบีบปากแม่งให้แตก
‘ไอ้เนี่ย หมั่นไส้มานานแล้วเหอะ นึกว่าหล่อว่าดังแล้วเพื่อนกูจะสนใจไงวะ’ จะด้วยกระแสความหมั่นไส้ของผมหรือด้วยความบังเอิญก็แล้วแต่ ดวงตาคู่เรียวที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตาหนาก็หันมาสบกับผมชั่วแวบ ก่อนจะเบือนหนีกลับไปจ้องทิศทางเดิม ทำเอาผมถึงกับกัดฟันกรอด ด้วยเหมือนถูกเมินไม่ไว้หน้ากันสักนิด แต่แล้วอกผมแทบลุกเป็นไฟด้วยความโกรธ เมื่อเห็นกุหลาบช่อโตค่อยๆโผล่ออกมาจากแผ่นหลังมัน ก่อนถูกยื่นมาตรงหน้าไอ้ธันว์
“พี่ติดงานทั้งวัน ดีนะที่ธันว์ยังไม่กลับ ไม่งั้นพี่คงโกรธตัวเองมากแน่ๆ ที่ไม่ได้มาส่งความรู้สึกดีๆของพี่ให้ธันว์ด้วยตัวเอง....[อ้วกก!].....สำหรับธันว์ครับ”
ผมแม่งแทบสำรอกออกมาตรงนี้ ‘คำพูดคำจาลิเกสุดๆว่ะ’ จนอยากกระชากช่อกุหลาบตรงหน้ามาขยี้ด้วยฝ่าเท้า ‘หงุดหงิดโว้ย’ ทำไมผมถึงหงุดหงิดกับการกระทำของคนตรงหน้าได้ขนาดนี้วะ แม้เวลาเจอหน้ากันเราไม่เคยพูดจาดีๆต่อกันสักครั้ง แต่ผมก็ไม่เคยหงุดหงิดและโมโหไอ้เบสได้เท่าวันนี้ เพียงแต่ครั้งนี้ผมรู้สึกว่ากำลังโดนเมิน
ผมที่กำลังหงุดหงิดโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องใจกระตุก เมื่อเห็นว่าไอ้ธันว์ทำท่าจะยื่นมือไปรับกุหลาบ แถมด้วยเสียงฮือฮาเหมือนเสียงเอฟเฟคประกอบฉากดังขึ้นรอบตัว จากบรรดาแฟนคลับของทั้งไอ้ธันว์และไอ้เบส ผู้เป็นเดือนโรงเรียนของระดับชั้นมันเอง พ่วงตำแหน่งกัปตันบาส แต่ผมถึงกับโล่งอก และผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียดพร้อมไอ้นลิน เมื่อคนที่เรารอมาถึงได้ทันเวลา
“น้องธันว์! จะทำอะไร!?” เจ้าของเสียงกระชากข้อมือเพื่อนผมจนเซปะทะแผ่นอก ก่อนรวบกอดมันไว้เต็มวงแขน พร้อมจ้องเขม็งไปยังไอ้เบส ที่ตอนนี้ยืนยิ้มค้างทำหน้าเป็นแมวงง!
ผมล่ะทั้งขำทั้งสะใจกับท่าทางของไอ้เบส ‘เป็นไงล่ะมึง คิดจะเป็นแมวขโมยปลาย่าง เจอพญามังกรเข้าให้ หน้าหดไปไม่เป็นเลยนะมึง’ ผมเลิกคิ้วกระตุกยิ้มใส่ตาแมวขโมยหน้าขาวทันที ที่มันตวัดสายตามามองกัน ใจจริงอยากหัวเราะเยาะใส่หน้าแม่งมากกว่า จะได้รู้สำนึกเลิกยุ่งกับไอ้ธันว์ซะที แต่ความสนใจของผมที่มีต่อไอ้เบสต้องละมาที่ผู้มาใหม่ นามว่า ‘หวางหลี่ผิง’ นายน้อยตระกูลหวาง ตระกูลมาเฟียอันดับหนึ่งของฮ่องกง
“เอาของนายกลับไป และต่อไปอย่ามายุ่งกับ ‘คนของผม’ อีก ถ้าขืนไม่เชื่อฟัง...หึ! เราได้เห็นดีกันแน่”
ขนาดผมไม่ใช่ไอ้เบสนะ ผมยังแอบขนลุกกับแววตาจริงจัง แฝงความแข็งกร้าวของเฮียหลี่ผิงไม่ได้เลย แต่ไอ้เบสก็สมควรแล้วที่จะได้รับสายตาชนิดนี้จากเฮียหลี่ผิง ไม่ใช่ว่ามันจะไม่รู้ว่าไอ้ธันว์นั้น ถูกจับจองจากมาเฟียตรงหน้าอย่างไม่เป็นทางการไว้ก่อนแล้ว แถมยังเป็นความเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายด้วย เพราะผมนั้นกรอกใส่หูแม่งทุกครั้ง ที่มันเข้ามาตอแยไอ้ธันว์
แม้เจ้าตัวคนที่โดนจับจองจะยังไม่รู้ตัวก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่าเร็วๆนี้ไอ้ธันว์ได้รู้แจ้งเห็นจริงแน่นอน ขอให้คุณเชื่อผม ผู้ที่เป็นคนเฝ้าดูความสัมพันธ์ของคู่นี้มาตลอดเถอะว่า เฮียหลี่ผิงที่เฝ้าฟูมฟักไอ้ธันว์อย่างดีมาแต่เด็กนั้น รักและจริงใจต่อเพื่อนผมคนนี้มาก และเฮียผมก็แค่รอเวลาให้มันโตขึ้น เพื่อให้ไอ้ธันว์พร้อมรับความรักจากเฮีย ทั้งร่างกายและจิตใจเท่านั้น ซึ่งช่วงเวลาที่ก้าวข้ามจากการเป็นเด็กชายเข้าสู่วัยหนุ่มอย่างตอนนี้ ผมว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว และคนอย่างไอ้เบสที่เพิ่งเข้ามาในชีวิตไอ้ธันว์แค่ไม่กี่เดือน รึจะสู้คนอย่างเฮียหลี่ผิงที่ผูกติดกับไอ้ธันว์มาเกือบทั้งชีวิตกันล่ะ
“ไม่! ผมตั้งใจมอบมันให้น้องธันว์”
‘เฮ้ย! แม่งกล้าต่อปากต่อคำมาเฟียได้ไงวะ หัวมึงจะขาดไม่รู้ตัว ใบหน้ายียวนนั่นอะไรของมึง’ ผมถลึงตาปรามพร้อมแสยะยิ้มด้วยความหมั่นไส้ใส่ไอ้เบสทันที ที่มันปรายตาขุ่นๆมองมาทางผม
“นี่นาย! ปากดีนักใช่มั้ย เตือนไม่ฟังใช่มั้ย” เสียงคำรามกึกก้องดังขึ้น ทำเอาคนรอบตัวส่งเสียงฮือฮา ผวากันไปเป็นแถบๆ
ไอ้ธันว์รีบรั้งเฮียหลี่ผิงไว้ทันที พร้อมส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาทางผมและไอ้นลิน ซึ่งไอ้นลินไม่ได้มองไปที่มันสักนิด เพราะไอ้สาวห้าวเตรียมเป็นลูกคู่เข้าห้ำหั่นไอ้เบสเต็มที่ ส่วนผมที่ไม่อยากเห็นแมวขโมยหน้าใสได้เลือดวันนี้ จึงเตรียมพุ่งเข้ารั้งเฮียหลี่ผิงไว้ แต่ทว่า...
“เฮียธันว์ ธารณ์มาแล้ว....ว้าววว เฮียหลี่ผิงมาได้ไงคะ” เหตุการณ์ที่เกือบเข้าขั้นวิกฤตชะงักงันทันที ที่เจ้าของเสียงสดใสเข้ามาร่วมวง ผมถึงกับท้าวเอวถอนใจอย่างโล่งอก
เด็กสาวเสียงใสผู้ช่วยชีวิตแมวขโมยหน้าขาวไว้คนนี้คือ ‘น้องธารณ์’ ผู้เป็นน้องสาวที่อายุน้อยกว่าพี่ชายอย่างไอ้ธันว์และไอ้นลินอยู่สองปี
หลังจากน้องธารณ์ทักทายไอ้ธันว์แล้ว ก็คุยจ้อกับว่าที่พี่เขยไม่สนใจใครหน้าไหนอีก จนคู่กรณีอย่างไอ้เบสและไอ้ธันว์กับไอ้นลินเหวอค้างคาดไม่ถึงกันเลย
ไอ้ธันว์ดูท่าจะหนักกว่าใคร เพราะจากที่เคยตกใจทำอะไรไม่ถูก มันเริ่มหน้าบึ้งจ้องเฮียหลี่ผิงและน้องธารณ์สลับไปมา ผมดูก็รู้แล้วว่ามันกำลังน้อยใจ และคิดว่าตัวเองกำลังเป็นส่วนเกิน ไอ้นี่มันโดนเฮียหลี่ผิงตามใจมาตลอด พอเฮียไม่สนใจเข้าหน่อยจึงเริ่มงอน
ผมกับไอ้นลินหันมาส่งยิ้มให้กัน เพราะเราเชื่อว่าอีกไม่นาน ไอ้ธันว์ต้องเรียกร้องความสนใจอะไรสักอย่างจากเฮียแน่ๆ และก็เป็นไปตามที่ผมคิดครับ เพราะไอ้เพื่อนขี้งอนมันหมุนตัวเดินลิ่วๆออกจากวงไป ไม่มีล่ำลาใครสักนิด
“อ้าว! ไอ้ธันว์ไปไหนวะ” สิ้นคำผมเท่านั้น ทั้งเฮียหลี่ผิงและน้องธารณ์ก็หันไปมองตามหลังไอ้ธันว์ทันที
“น้องธารณ์ช่วยตามเฮียธันว์ให้เฮียหน่อยนะครับ เดี๋ยวเฮียตามไป รถจอดรออยู่หน้าโรงเรียน” น้องธารณ์รับคำเสียงใส ก่อนหันมาล่ำลาผมกับไอ้นลิน และวิ่งเปียสะบัดตามหลังไอ้ธันว์ไป
ผมจึงได้โอกาสหันกลับมาให้ความสนใจกับคนที่เหลืออีกครั้ง ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่เป็นตัวช่วยชีวิตไอ้เบสหน้าขาวแล้วด้วย ไม่รู้แม่งจะเจอกับอะไรบ้าง แต่ก็ดีจะได้เลิกตื๊อไอ้ธันว์สักที ผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาคอยกันท่า
“นาย! ชื่อเบสใช่มั้ย...ผมจะไม่พูดมาก และขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย อย่ายุ่งกับธันว์อีก ผมไม่อยากให้ใครต้องหวังลมๆแล้งๆ เพราะทั้งตัวและหัวใจของธันว์มีผมเป็นเจ้าของแล้ว”
‘เฮียกูอย่างเท่’ เฮียหลี่ผิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทไม่แพ้ใบหน้า แต่แววตากลับแน่วแน่แสดงถึงการเอาจริง ก่อนหมุนตัวเดินจากไปด้วยก้าวย่างที่มั่นคง นี่ขนาดเฮียหลี่ผิงเพิ่งสิบหกนะครับ มาดมาเฟียนี่กินขาดเกินหน้าคนรุ่นเดียวกันแถวนี้ไปหลายขุม จนไอ้นลินที่แสนแสบซ่าไม่เคยชายตาแลผู้ชายหน้าไหน ยังกรีดร้องเบาๆออกมาอย่างคลั่งไคล้เลยทีเดียว
ส่วนไอ้คนที่โดนเตือนจากมาเฟียใหญ่อย่างไอ้เบสนั้น ยืนหน้าซีดกำหมัดแน่นและมองตามหลังเฮียหลี่ผิงด้วยความเจ็บใจ
“หึ!!” ผมพ่นลมหายใจผ่านจมูกแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้แฝงการเยาะหยัน จนไอ้เบสสะบัดหน้ากลับมามองกัน ด้วยดวงตาวาวๆอย่างเอาเรื่อง
‘ไม่กลัวสักนิดเหอะ มีปัญญาเอาคืนก็เข้ามาเลย’ ผมส่งสายตาสื่อไปตามที่ใจคิด
“นี่นาย! เลิกตื๊อไอ้ธันว์มันได้แล้ว เตือนด้วยความหวังดี หากไม่เลิกตื๊อ เกิดอะไรขึ้นมาไม่รับรู้ด้วยนะ...กูกลับล่ะ” ไอ้นลินหันไปพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆใส่หน้าไอ้พี่เบส มียกไหล่เขย่าตัวท่าทางอย่างกับนักเลงอยากมีเรื่อง ก่อนคว้ากระเป๋านักเรียนบนโต๊ะขึ้นมา และหันมาทางผมพร้อมโบกมือลา
‘เออ! เพื่อนกูห้าวได้อีก’ ผมส่ายหัวตามหลังไอ้นลินที่หนีบกระเป๋าไว้กับต้นแขน เดินแหวกฝูงนักเรียนรอบตัวจากไป และเหมือนเป็นสัญญาณให้นักเรียนมุงแตกรัง แยกย้ายไปคนละทิศละทาง
เมื่อเหลือผมและไอ้เบสอยู่แค่สองคน ผมก็ยืนกอดอกจ้องตามันอย่างยียวน อยากเห็นสีหน้าโมโหของมันมากกว่านี้ เอาให้ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลยยิ่งดี ‘แม่ง เก๊กตลอด!’ ผมเจอมันทีไรวางมาดใส่อย่างกับคุณชาย พูดเพราะได้โล่ แถมยิ้มก็ประดิษฐ์ซะหวาน พาลให้หมั่นไส้จนถึงทุกวันนี้
“เฮ้อออ...จะอยู่เฝ้าโรงเรียนเหรอครับ งั้นตามสบาย ฉันกลับล่ะนะ” ไอ้นนขอค้างสักสามวินะครับ
ไอ้คุณชายแม่งไม่มีหลุดมาด มันแค่ถอนใจเบาๆก่อนหันมาประชดผมด้วยเสียงนุ่มๆสไตล์มัน มีเดินมาตบบ่าพร้อมเอ่ยลากันด้วยสีหน้าหน่ายๆอีกแน่ะ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกไม่พอใจมันวะ
‘เหมือนผมไม่ได้อยู่ในสายตามัน เหมือนผมเป็นเพียงอากาศธาตุ เหมือนผมไม่มีค่าเพียงพอที่มันจะสนใจ’ ความคิดตีกันให้วุ่นว่าตัวเองเป็นเชี่ยอะไร! ทำไมถึงต้องคิดอะไรกับมันให้วุ่นวายแบบนี้ด้วย และการกระทำก็เร็วกว่าความคิด เมื่อผมเดินปรี่ไปกระชากไหล่ไอ้เบสที่เดินห่างตัวไปไม่เกินสามก้าวไว้
“มึงกับกูต้องเคลียร์กันหน่อยแล้วมั้ง” ผมจ้องตาไอ้รุ่นพี่หน้าขาวอย่างเอาเรื่อง พร้อมบีบไหล่แม่งเต็มแรง
ไอ้เบสจ้องตาผมนิ่งๆ ก่อนจะเลิกคิ้วใส่และค่อยๆคลี่ยิ้มจนเกือบเต็มหน้า แถมแววตาคู่สวยที่เคยเรียบสนิทไม่แสดงอารมณ์ กลับทอประกายระยิบระยับเหมือนกำลังขบขันอะไรบางอย่าง ก่อนมันจะแตะบนหลังมือข้างนั้นของผม และค่อยๆปลดมันลงอย่างช้าๆ ท่าทางของไอ้เบสกลับทำให้ความหงุดหงิดในใจผม ค่อยๆสลายตัวลงอย่างช้าๆอย่างน่าประหลาด ทั้งๆที่ผมน่าจะโกรธคนตรงหน้าแท้ๆ ด้วยทั้งสีหน้าและรอยยิ้มของมันแสดงออกชัดว่าเห็นผมเป็นเด็กไม่รู้จักโต
“ฮึๆ พร้อมเคลียร์กับนายเสมอ เมื่อไหร่ดีล่ะ”
....................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะก่อนอื่นต้องขอบอกว่าดีใจมากเลยค่ะที่ได้กลับมาอัพนิยายอีกครั้ง
และเรื่อง “รักต้องเคลียร์” ก็เป็นนิยายอีกหนึ่งเรื่อง ที่ก่อนแต่งแอบหนักใจ
ไม่น้อย ด้วยตั้งใจเขียนรักใสๆในวัยเรียน (หราๆๆ 555) เพราะออกจะลืมๆ
กลิ่นอายในชุดนักเรียนไปแล้ว แต่ระหว่างแต่งก็รู้สึกมีความสุขและยิ้มได้
กับความทะเล้นทะลึ่งของนายนน แถมยังตกหลุมรักหนุ่มเบสสุดหล่อของนายนน
อย่างไม่รู้ตัวด้วย 555 แต่ถ้าอ่านแล้วมันขัดๆก็ต้องขออภัย เสพแค่ความบันเทิงเนอะ
เอาเป็นว่าเรื่องนี้ งานแบ๊ว งานใส (หราๆๆ) งานหื่นประปราย (ไม่ม้างงง)
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยแล้วกันน้า
เราจะมาตามดูกันค่ะว่านนเบสจะลงเอยกันอย่างไร
ในเมื่อเปิดเรื่องมานั้นก็มีเรื่องยุ่งๆให้ต้องเคลียร์แต่ต้นเรื่องซะแล้ว
ติดตามตอนต่อไปได้ในวันพุธนะคะ
