Chapter 2 : สู่อดีต เช้าตรู่วันอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงเย็นเยือก ท้องฟ้ายังคงมืดมน เด็กหนุ่มที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเป็นจังหวะช้าๆ
เสียงระฆังจากโบสถ์ที่อยู่ไม่ไกลออกไปนักดังแว่ว...
“ลูคัส”เสียงเรียกชื่อทำให้เขาปรือตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ แล้วก็ปิดตาลงอีกครั้งด้วยความง่วง
“ลูคัส ข้ารอเจ้าอยู่...” เด็กหนุ่มผงกศีรษะขึ้น “ใครน่ะ” เขาหันมองไปรอบๆ ห้องนอนของตน หากก็ไม่พบใคร “ฝันหรือเนี่ย” จากนั้นจึงแหงนหน้าขึ้นมองนาฬิกาบนหัวเตียง พอเห็นว่ายังเช้าอยู่มากก็วางศีรษะลงบนหมอนแล้วนอนต่อ
เมื่อปิดตาลงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ค่อยๆ ตรงมายังเตียงนอนของเขา
“ลูคัส”
เรียกอีกแล้ว
“เฮ้ ลูคัส”
ลูคัสรอจนเสียงนั้นเข้ามาใกล้ก่อนจะลุกขึ้นพรวด “จะเรียกทำไมนักเล่า!”
“ก็เคาะประตูเรียกตั้งนานไม่ตอบ นึกว่าเป็นอะไรไปแล้วก็เลยเข้ามาดูน่ะสิ!”
“อ้าว ไอแซ็ก” เด็กหนุ่มทำตาปริบๆ ก็เพราะถ้าเป็นเสียงของพี่ชายปลุกเขาแต่แรก เขาก็คงลุกขึ้นนานแล้ว แต่เสียงเมื่อกี้...
พี่ชายยิ้มกว้าง เดินเข้าไปกระตุกผ้าห่มของคนที่นั่งอยู่บนเตียงออก “ขอโทษที่ปลุกแต่เช้านะ แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ รีบออกไปข้างนอกก่อนเร็วเข้า” พูดจบก็คว้าแขนน้องชายให้ลุกขึ้น
“เหอ!” ลูคัสถูกทั้งลากทั้งจูงออกจากห้องนอนไปโดยไม่ทันตั้งตัว และเมื่อพี่ชายพาเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น เขาก็ต้องเบิกตากว้าง บนโต๊ะเล็กข้างหน้าโซฟาในห้องมีกล่องของขวัญกล่องใหญ่ตั้งอยู่ด้วยกันกับเค้กและขนมมากมาย บนโซฟามีคนที่เขารู้จักดีนั่งอยู่ “พ่อแม่!”
“Happy Birthday ลูคัส!”
เด็กหนุ่มถลาเข้าไปกอดบิดามารดา แล้วจึงหันมากระโดดกอดพี่ชาย “ขอบคุณครับ!”
“โฮ่ง!”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกโพลง ก่อนเจ้าหมาเกรทเดนสองตัวที่หลบอยู่หลังโซฟาจะกระโจนเข้าใส่ เด็กหนุ่มนั่งลงกับพื้นให้พวกมันเลียเขาให้หนำใจ สองแขนโอบกอดและลูบไปหัวให้ “ลูห์ ลาห์! มาด้วยหรือเนี่ย คิดถึงจังเลย”
“ฉันว่าแล้วนายต้องลืมวันเกิดตัวเองแน่ๆ ทั้งเรียนทั้งทำงานยุ่งไปหมดแบบนี้ วันนี้ก็มีงานอีกใช่มั้ย ฉันก็เลยต้องปลุกนายเช้าหน่อย” พี่ชายพูดกลั้วหัวเราะพร้อมกับลูบศีรษะน้องชายอย่างรักใคร่ “ปล่อยลูห์กับลาห์ก่อน มาเปิดดูของขวัญจากพ่อแม่แล้วก็พี่เร็ว”
นัยน์ตากลมใสกวาดมองไปที่บนโต๊ะเล็กอีกครั้ง บนนั้นมีกล่องใบใหญ่ตั้งอยู่เพียงกล่องเดียว เด็กหนุ่มจึงเบ้ปากเล็กน้อย “อะไรกัน สามคนให้รวมกันชิ้นเดียวอะ ไม่ลงทุนเลย”
“ฮ่าๆ เปิดดูซะก่อนค่อยบ่นน่ะ เจ้าตัวแสบ”
ลูคัสก้มลงยกกล่องขึ้นสุดแรง ความเบาแบบที่ไม่ได้คาดคิดไว้ก่อนทำให้เขาเกือบหงายหลัง “หวา อะไรเนี่ย” เขาเขย่ากล่องไปมาก่อนจะเปิดออก
ภายในกล่องใบใหญ่มีโฟมตัวหนอนกันกระแทกมากมาย เด็กหนุ่มจึงล้วงมือลงไปควาน ใช้เวลาอยู่นานจึงพบกับกล่องใบกะจิดริดซ่อนอยู่ในนั้น “โห ไม่ต้องใช้กล่องใหญ่ขนาดนี้ก็ได้ป่าวครับ!”
“เดี๋ยวมันไม่เซอร์ไพรส์”
ลูคัสส่ายหน้าไปมาพลางเปิดกล่องใบเล็กออก เขาชะงัก “ไม่จริงน่า” แล้วหยิบกุญแจที่มีตรารถชั้นนำของประเทศเยอรมันขึ้นมาตรงหน้า
“จริงและจริงมากเลยแหละ” ไอเซ็กหัวเราะ
“รถจอดอยู่ข้างล่างน่ะลูก จะลงไปดูกันก่อนเลยมั้ย แล้วเดี๋ยวค่อยขึ้นมากินเค้กกัน”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกโพลง “รถ... รถของผม... จริงๆ หรือครับ”
“เอ๊า ยังไม่เชื่ออีก ไปๆ ลงไปดูกันเดี๋ยวนี้เลย ส่วนลูห์กับลาห์ปล่อยให้เฝ้าห้องไว้นี่แหละ”
รถคันสวยจอดนิ่งอยู่ในโรงรถเรียบร้อย เด็กหนุ่มเดินวนรอบตัวรถอยู่หลายครั้งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เพราะถึงตัวเขาจะได้ใบขับขี่มาตั้งแต่ปีที่แล้ว หากทุกคนบอกกับเขาอยู่ตลอดว่า เป็นเด็กเป็นเล็กขึ้นรถเมล์หรือขี่จักรยานไปเรียนกับไปทำงานก็พอ จากอพาร์ตเมนต์ไปก็ไม่ได้ไกลเลยสักนิด
“ตอนแรกพ่อบอกว่าอยากจะซื้อม้าให้เพราะเห็นเราชอบขี่ม้า แต่เรียนอยู่ในเมืองแบบนี้ พี่กับแม่เห็นว่ารถน่าจะใช้งานได้มากกว่านะ” ไอแซ็กมองตามน้องชายแล้วหัวเราะ “จะเดินวนอีกกี่รอบ เข้าไปลองนั่งดูสิ”
“ขับออกไปลองเครื่องกันสักนิดมั้ย” บิดาเอ่ยชวน
“ได้... ได้จริงๆ หรือครับ”
ไอแซ็กลูบศีรษะน้องชายเบาๆ “รถของนายนี่นา ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
“ไป... ไปทั้งชุดนอนแบบนี้เลยหรือ”
“จะเป็นไรไปล่ะ ก็ไม่ได้ลงจากรถไปไหนสักหน่อย”
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล เขาสวมกอดพี่ชายและบิดามารดาแน่น “ขอบคุณครับ ขอบคุณ... ผมรักทุกคนที่สุดเลย”
“ลูคัสเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานมาตลอด พวกเราก็เลยอยากจะให้รถคันนี้เป็นรางวัลน่ะ” บิดาพูดพลางลูบแผ่นหลังของบุตรชาย
รถยนต์คันสวยแล่นออกไปจากโรงรถช้าๆ ขับวนอยู่ในตัวเมืองไฮเดลแบร์กสักพักจึงกลับมาจอดนิ่งอยู่ในที่จอดของมัน ตลอดทางรอยยิ้มไม่จางหายไปจากใบหน้าน่ารักของเด็กหนุ่มเลย ต่อจากนั้นพวกเขาก็ขึ้นไปรับประทานเค้กกันบนห้อง หากช่วงเวลาแห่งความสุขช่างแสนสั้น เนื่องจากลูคัสต้องปลีกตัวออกไปเตรียมตัวเพื่อออกไปทำงานที่ปราสาท
“วันนี้ผมจะขอกลับเร็วหน่อย แล้วเราค่อยฉลองกันต่อตอนเย็นนะครับ”
“โอเคเลย แม่จะทำของโปรดไว้รอลูกนะ”
“ขับรถระวังด้วยล่ะ”
“ครับ” ลูคัสเข้าไปสวมกอดอำลาทุกคนอย่างอาลัยอาวรณ์ วันนี้เขาไม่อยากไปทำงานเสียแล้ว หากความรับผิดชอบต่อโพรเจ็กต์ก็สำคัญ เขาจะต้องไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง
“ไม่ต้องทำท่างอแงแบบนั้น พ่อแม่ยังอยู่ที่นี่อีกหลายวันน่ะ”
“จริงหรือครับ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง “ดีจังเลย”
“รีบไปทำงานเถอะ แล้วรีบกลับนะลูก”
“เดี๋ยวฉันจะกินขนมรอนายนะ”
ลูคัสโบกมือลา แล้วหันไปบอกกับสุนัขสองตัวที่ส่ายหางดุ๊กดิ๊กให้ “ไปก่อนนะ ลูห์ ลาห์” จากนั้นจึงหักใจถือกระเป๋าเป้ใบประจำเดินออกจากห้องไป ทุกย่างก้าวที่ห่างจากครอบครัวออกไปทำให้เขารู้สึกโหวงเหวงอย่างประหลาด
ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกัน...
“เอาล่ะ วันนี้เราจะเริ่มเข้าไปตรวจดูในปราสาทปีกซ้ายกัน ตัวปราสาทมีหกชั้น เราจะเริ่มตรวจดูเฉพาะชั้นล่างกันก่อน ตามแพลนแล้วคงจะเป็นห้องครัว ห้องเก็บอาหาร ห้องเก็บของกับห้องพักทหารยาม” เมื่อพวกศาสตราจารย์แบ่งงานให้กับนักศึกษาเรียบร้อย บานประตูเปิดเข้าสู่ตัวปราสาทฝั่งซ้ายก็ถูกเปิดออกได้สำเร็จพอดี เนื่องจากกาลเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานทำให้บานพับประตูเป็นสนิม พวกคนงานจึงต้องใช้เวลาในการเปิดประตูมากสักหน่อย
บนทางเดินที่ปูไว้ด้วยหินสีพื้นๆ ปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนา ผนังทั้งสองข้างมีบานประตูแยกเข้าสู่ห้องต่างๆ ตรงสุดปลายทางมีบานหน้าต่างที่ปิดไว้สนิท
ภายในห้องครัวขนาดกว้างขวางแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ อีกหลายห้อง ห้องขนาดใหญ่ที่สุดใช้ในการประกอบอาหาร มีเตาดินเผาหลายเตาและหม้อไหหลากหลายขนาดตั้งเรียงราย ห้องอื่นๆ ที่เหลือแบ่งเป็นห้องที่ใช้สำหรับเก็บเครื่องเทศ มีห้องที่ตั้งเขียงขนาดใหญ่พร้อมมีดหลากหลายขนาดไว้สำหรับหั่นเนื้อ ห้องที่ใช้สำหรับเก็บจานชามของเจ้านายและยังมีบันไดลงไปห้องเก็บความเย็น ห้องเก็บไวน์กับเบียร์ใต้ดินอีกด้วย
“ดูสิ ในโถอันนี้ยังมีเครื่องเทศอยู่เลย กี่ร้อยปีมาแล้วนะ”
“เตานี่เหมือนเตาดินเผาที่ใช้ทำพิซซ่าสมัยนี้เลยเนอะ” เสียงจากพวกนักศึกษาพูดคุยกันด้วยความสนอกสนใจก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน
“ลูคัส อเล็กซ์”
“ครับ โปรเฟสเซอร์”
“ในห้องครัวคนเยอะ เดี๋ยวฉันจะจัดการเอง พวกนายสองคนแยกไปตรวจสอบโครงสร้างของบันไดกลางก็แล้วกัน ดูสภาพให้ดีก่อนขึ้นไปด้วยนะ”
“ได้ครับ”
บันไดกลางที่ว่าอยู่ด้านในสุดของห้องโถง เป็นบันไดใช้ขึ้นไปยังปีกซ้ายขวาของปราสาท ในยุคก่อนจะมีเฉพาะเจ้านายเท่านั้นที่ใช้บันไดแห่งนี้ ชั้นล่างทั้งในปีกซ้ายขวาของปราสาทเป็นของพวกข้ารับใช้และทหาร ซึ่งพวกเขาจะมีบันไดวนแคบๆ ใช้ต่างหาก ไม่ปะปนกับเจ้านายเด็ดขาด นับจากชั้นสองขึ้นไปจะเป็นส่วนของเจ้าของปราสาท
เมื่อเหลือกันอยู่เพียงสองคน บรรยากาศในห้องโถงก็น่าวังเวงอย่างประหลาด เสียงกดชัตเตอร์ดังสะท้อนก้อง พวกเขาก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียง จดบันทึกกันไปสักพักก็หันหน้ามาสบสายตากัน
“พออยู่กันแค่สองคนแบบนี้ ห้องโถงนี่ก็กว้างบรรลัยเลยนะ”
“โครงสร้างของเพดานห้องทำให้เสียงก้องมากด้วย”
ลูคัสก้าวขึ้นบันไดหินไปทีละขั้น ก่อนจะย่อตัวลงเพื่อถ่ายรูปราวจับซึ่งมีลวดลายหินสลัก พอถ่ายรูปเสร็จแล้วจึงเอื้อมมือไปสัมผัสเบาๆ “เหมือนจะเป็นตรา...”
“ลูคัส... ลูคัส...”“มีอะไรหรืออเล็กซ์” เสียงเรียกแผ่วเบาแว่วเข้ามาในโสตประสาท เด็กหนุ่มยืดตัวขึ้นแล้วชะโงกหน้าลงไปหารุ่นพี่ที่ยืนอยู่ที่ตีนบันไดอีกฝั่ง
“หือ จะให้มีอะไร?”
“แล้วเรียกผมทำไม”
“ไม่ได้เรียกสักหน่อย ถ่ายรูปอยู่ตรงนี้เนี่ย”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแล้วพึมพำกับตัวเอง “คงจะหูฝาดแฮะ” เขาก้าวขึ้นบันไดหินต่อไปอีก ทีละขั้น ทีละขั้น จนเกือบถึงขั้นบนสุด ใจกลับมาจดจ่ออยู่กับบันไดและตราหินอีกครั้ง
“อืม มังกร... หรือกิ้งก่าเนี่ย” ลวดลายบนแผ่นหินรางเลือนไปตามกาลเวลา ทำให้คาดเดาภาพได้ยากลำบาก
“ลูคัส... มาที่ห้องหนังสือ”
“ลูคัส ข้ารอเจ้าอยู่”
“หือ” ลูคัสเงยหน้าขึ้นมองไปตามทางเดินโล่งว่างที่ชั้นสอง “ห้องหนังสือ... อยู่บนชั้นสองปีกซ้ายของปราสาท”
“ลูคัส”
“ท่านลูคัส พวกข้ารอการมาของท่าน...”
“ท่านลูคัส...”
เด็กหนุ่มยืนนิ่ง เสียงที่เรียกหาเขาไม่ได้มาจากคนคนเดียวอีกแล้ว หากเพิ่มจำนวนขึ้นและยังดังขึ้นอีกเรื่อยๆ เขาก้าวขาขึ้นบันไดไปตามเสียงเรียกราวกับต้องมนตร์พร้อมกับขานรับเสียงดัง “รอเดี๋ยว จะไปหาเดี๋ยวนี้ล่ะ”
เพราะจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงรุ่นน้องพูดโพล่งขึ้นมา อเล็กซ์จึงหันขวับไปทางต้นเสียง ก่อนจะเห็นว่าเด็กหนุ่มก้าวขึ้นบันไดฉับๆ แล้วเดินต่อไปบนทางเดินที่ชั้นสอง
“เฮ้ย! พื้นที่ยังไม่ได้เคลียร์ เข้าไปไม่ได้นะลูคัส” อเล็กซ์ร้องเรียกเด็กหนุ่มเสียงดังลั่น จากนั้นจึงรีบวิ่งตามขึ้นไป เมื่อถึงตัวอีกฝ่ายก็คว้าแขนไว้ “ลูคัส นายจะไปไหนน่ะ”
“ไปห้องหนังสือ”
“นายรู้หรือว่าอยู่ไหน เฮ้ย!”
“อยู่นั่น ห้องในสุด” มือขาวยกขึ้นชี้ไปยังบานประตูที่อยู่ด้านในสุด
“แต่มันอันตรายนะ อย่าเพิ่งเข้าไปเลย!”
“ลูคัส”
“ปล่อย... เขากำลังเรียก” แววตาของเด็กหนุ่มเหม่อลอย สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกแล้ว
“ใครเรียก!”
“คาร์ล... คาร์ลกำลังเรียกผม”
“ใครน่ะ ลูคัส”
“ปล่อยผม!” ลูคัสสะบัดแขนอย่างแรง ก่อนจะวิ่งตรงไปยังห้องที่อยู่ด้านในสุดอย่างรวดเร็ว เขาจับที่จับบานประตูไม้แล้วดึงให้เปิดออกอย่างง่ายดาย
อเล็กซ์วิ่งตามไปทันที หากเมื่อถึงตัวห้องหนังสือบานประตูก็ปิดลงสนิท เขาคว้าที่จับบานประตูดึงออก ทว่ามันไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด รุ่นพี่หน้าซีดเผือด เขาทุบบานประตูแรงๆ พร้อมกับส่งเสียงเรียก “ลูคัส! เปิดประตูหน่อย ลูคัส!”
ในระหว่างนั้นพื้นดินก็เริ่มสั่นไหวน้อยๆ แล้วเพิ่มกำลังแรงขึ้นจนชายหนุ่มรุ่นพี่ไม่สามารถยืนนิ่งๆ ได้ พอเขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานก็เห็นว่าโคมไฟทองเหลืองตามทางเดินนั้นส่ายไปมาตามแรงสั่นสะเทือน
“แผ่นดินไหวหรือ” อเล็กซ์เบิกตาโพลง เขารีบหันไปทุบบานประตูจนสุดแรง “ลูคัส! แผ่นดินไหว! นายรีบออกมาเร็วเข้า!”
เสียงจากไซเรนเตือนภัยดังลั่น เสียงแหลมหวีดหวิวจนแสบแก้วหู แรงสั่นสะเทือนก็เพิ่มมากขึ้นจนฝุ่นผงร่วงหล่นลงมาจากเพดานด้านบน
อเล็กซ์หันรีหันขวาง เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้วตอนนี้
“คุณครับ! ออกไปจากที่นี่ก่อนเร็ว”
ชายหนุ่มหันขวับไปยังต้นเสียง เป็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยที่เรียกเขา
“คนอื่นออกไปกันจะหมดแล้ว เร็วเข้าครับ ที่นี่อันตราย”
“แต่เพื่อนผมติดอยู่ในห้องนี้!”
เจ้าหน้าที่รีบวิ่งเข้าไปหา พวกเขาพยายามจะเปิดประตูตรงหน้าอเล็กซ์ออก แต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งเห็นท่าไม่ดีเมื่อความแรงของแผ่นดินไหวหนักหน่วงขึ้นจนมีรอยร้าวปรากฏขึ้นบนผนัง พวกเขาจึงฉุดกระชากอเล็กซ์ให้ออกไปจากที่ตรงนั้นเสียก่อน
“แล้วลูคัสล่ะ!”
“เราต้องออกไปก่อนครับ ท่าไม่ดีแล้ว!”
“เดี๋ยว!”
เพดานด้านบนเริ่มพังทลาย พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบเร่งทั้งฉุดทั้งลากชายหนุ่มลงไปยังชั้นล่าง แล้ววิ่งออกไปข้างนอกปราสาทได้ในที่สุด
“อเล็กซ์! คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย” คริสถลาเข้าไปหาทันทีที่เห็นชายหนุ่มถูกลากออกมา
“ลูคัสยังติดอยู่ข้างใน!”
“ที่นี่อันตรายมากครับ รีบออกไปจากบริเวณนี้ก่อน อย่าอยู่ใกล้ตัวปราสาทหรือป้อมมากเกินไปนะครับ” เจ้าหน้าที่ผลักให้พวกคนที่ยืนออกันอยู่ด้านหน้าปราสาทออกไปห่างๆ
สักพักแผ่นดินไหวก็สงบลง ทุกสิ่งอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความเสียหายเล็กน้อยของปราสาททางด้านนอก
กลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและพนักงานดับเพลิงที่เข้ามาสมทบทยอยกันกลับเข้าไปในปราสาทอีกครั้ง อเล็กซ์กับนักศึกษาชายหลายคนก็อาสาตามเข้าไปช่วยค้นหาด้วย ตามทางเดินมีหินร่วงลงมาระเกะระกะ ห้องหับภายในปราสาทได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวไม่ใช่น้อย แต่โครงสร้างหลักของปราสาทก็ยังแข็งแรงทนทานดี
พวกเขาทยอยกันขึ้นไปที่ชั้นสองในปราสาทปีกซ้าย หากเพดานถล่มลงมามากมายจนทำให้ต้องไต่ข้ามกองหินเพื่อให้เข้าไปถึงห้องที่อยู่ด้านในสุดได้ พวกเขาใช้เวลาพักใหญ่จึงเข้าไปถึงที่หมาย
“ประตูเปิดไม่ออก”
“ลูคัส! เฮ้! นายเป็นอะไรรึเปล่า!” อเล็กซ์ตะโกนเสียงดัง ทว่าไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมาจากภายใน
“เอาหินที่ขวางทางออกก่อนเร็วเข้า!”
พวกเขาวุ่นวายอยู่กับการเคลียร์พื้นที่และงัดบานประตูห้องที่ว่ากันจนถึงเวลาเย็น พวกศาสตราจารย์ก็มายืนรออยู่ห่างๆ ด้วยความเป็นห่วง
“เราพอจะเข้าจากทางอื่นได้มั้ย” ศาสตราจารย์ยิบแพลนขึ้นมากางออกดู พวกเขาต้องใช้ไฟฉายกับสปอตไลต์ส่องให้แสงสว่างเพราะท้องฟ้าทางด้านนอกมืดสนิท “จากในแพลนนี่ก็ไม่รู้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แย่จริง”
ในขณะเดียวกันพวกเจ้าหน้าที่ก็ตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจ “เปิดได้แล้วครับ!”
บานประตูไม้เปิดออกกว้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จัดการส่องไฟเข้าไปตรวจดูภายใน “คุณลูคัส! คุณลูคัสครับ!”
“เอ๋ ส่องที่พื้นหน่อยสิครับ!” อเล็กซ์ชะโงกหน้าเข้าไปมองภายในห้อง “ดูที่พื้นนี่ ทำไมไม่มีรอยเท้าเลยล่ะ”
“จริงด้วย ฝุ่นหนาขนาดนี้ ถ้าคุณลูคัสเข้ามาต้องมีรอยเท้าให้เห็นแน่”
“ผิดห้องรึเปล่าอเล็กซ์”
“ไม่ครับ! ห้องในสุดนี่แหละ ผมมั่นใจ!”
เจ้าหน้าที่ช่วยกันส่องไฟเข้าไปภายในห้องนั้น ค่อยๆ ตรวจสอบด้วยสายตาจากบนพื้น ไล่ขึ้นไปตามผนัง
ห้องขนาดใหญ่โตสูงราวๆ ตึกสามชั้น ผนังห้องถูกบดบังด้วยชั้นหนังสือผุพัง สูงขึ้นไปจนถึงเพดานห้อง หากไม่มีหนังสือสักเล่ม มีบานหน้าต่างกระจกขนาดใหญ่ที่ถูกปิดทับไว้ด้วยหน้าต่างไม้ บนพื้นมีเศษแก้วกับหินร่วงหล่นประปราย
“เหมือนจะไม่มีใครเข้ามาในห้องนี้นานมากแล้วนะครับ”
อเล็กซ์หน้าซีดไร้สีเลือด หัวใจร่วงลงไปอยู่ใต้ฝ่าเท้า “แล้วลูคัสหายไปไหน...”
*~TBC~*สุขสันต์วันฮาโลวีนค่า
เอามาลงต่อแว้วววว หนูลูคัสก็หายตัวไปแว้วว ตอนหน้าหนูลูจะไปโผล่ที่ไหนกันหน้อ 
เมื่อไหร่พระเอกกะนายเอกจะได้เจอกันล่ะเนี่ย 555555555
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านเลยนะคะ
ขอบคุณคุณขนมสัมปันนี คุณPisoi คุณSnowermyhae คุณTaecKhun Imagine Love คุณsirin_chadada ที่รอติดตามอ่านน้า
คุณaiyuki เดี๋ยวฮัสกี้พาเที่ยวพร้อมน้องลูคัสนะคะ
คุณmultiver ตอนนี้ตัดจบดีขึ้นมั้ยค้า กร๊ากกก
คุณlizzii ไม่เศร้าค่า ไม่ต้องห่วง อิอิ
คุณบาน่าติ่งเอ็กโซ คุณ เป็ดอนุบาล สงสัยท่านลอร์ดจะไม่ได้กลับชาติมาเกิดแล้วล่ะ ขอแอบเก็บไว้เป็นพล็อตเรื่องหน้าน้า >,.<