MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐  (อ่าน 137967 ครั้ง)

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
:ped144: :ped144: :ped144:

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ

          กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือ ชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบน ออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

          ๑. ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

          ๒. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x, ทำให้กระทู้กลายพันธ์, ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

          ๓. การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

          ๔. ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด  โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

          ๕. ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง ๑๐% ก็ตามเพราะมีคนมากมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

          ๖. อย่า พูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยาย ในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

          เวปไซต์แห่งนี้เป็น เวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

          ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

:c4:

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2017 13:06:02 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

          ย้อนวันคืนแห่งอดีต
ในยุค ส.ค.ส.โรยกากเพชร, แบ๊งค์กาโม่, วงคีรีบูน, เทปคาสเซ็ท, โทรศัพท์บ้าน, กางเกงในแอปเปิ้ล และห้างมาบุญครองพึ่งจะตอกเสาเข็ม

"ผู้ชายสองคน" เขาจะจีบกันยังไงหนอ...


--------------------------------


MBK❤lover




แด่ : ชายชราสองคน ❤ ที่เดินกุมมือกัน
ที่ข้าพเจ้าเดินสวนกับทั้งคู่ในห้าง BigC สาขาลาดพร้าว
เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙
เวลา ๒๑.๔๕ น.

ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้


คำนำจากผู้เขียน

          ผู้เขียนชอบเรื่องเก่าๆ โบราณ และประวัติศาสตร์ค่ะ พอลองมานึกถึงว่าเกิดจะมีคู่รัก ชาย+ชาย ที่มีการรักกัน ชอบกัน ในยุคที่ติดต่อกันได้ยากเย็น ไม่ได้เช้าถึง-เย็นถึง ดึกดื่นก็ยังเห็นหน้าได้เหมือนในปัจจุบันนี้ เค้าจะเป็นยังไงนะ

          เลยขอให้ สมนึก (จิว) กับ ต้นข้าว เป็นตัวแทนคู่รัก ชาย+ชาย ของยุคที่ผ่านมา นำเสนอเรื่องกุ๊กกิ๊กในอดีต และสอดแทรกเหตุการณ์สำคัญจริงๆ ตรงตามปี พ.ศ. ในขณะนั้นของเมืองไทยไว้ด้วยนะคะ

          และถ้ามีของเก่าในอดีตที่ตัวละครพูดถึง และปัจจุบันไม่มี หรือหมดการใช้งานไปแล้ว จะพยายามเอารูปประกอบสิ่งนั้นๆ มาลงไว้ให้ด้วย เท่าที่จะสามารถนะคะ ผู้อ่านจะได้เห็นภาพพร้อมกันไปด้วย

ขอฝากนิยายเรื่องแรกของเราด้วยค่ะ

ขอบคุณนะคะ


--------------------------------


:write-a-letter: สารบัญ
MBKlover
----------------------------------
ตอนที่ ๑ : ชายชราผู้เดินกุมมือกัน
ตอนที่ ๒ : สมนึก กับ แว่น
ตอนที่ ๓ : แฟชั่นเด็กสยามสแควร์
ตอนที่ ๔ : รอวันฉันรักเธอ
ตอนที่ ๕ : สนุกสุดแสนเที่ยวแดนเนรมิต
ตอนที่ ๖ : ความลับในซองสีน้ำตาล
ตอนที่ ๗ : สายน้ำแห่งความคิดถึง
ตอนที่ ๘ : ของฝากชิ้นสุดท้ายจากดิเรก
ตอนที่ ๙ : นครหินอ่อนเป็นพยาน
ตอนที่ ๑๐ : ค่ายรบค่ายรัก
ตอนที่ ๑๑ : สวรรค์อยู่ในเต้นท์
ตอนที่ ๑๒ : สะพานแห่งความรัก
ตอนที่ ๑๓ : มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ
ตอนที่ ๑๔ : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี
ตอนที่ ๑๕ : รถไฟผีสิง!!!
ตอนที่ ๑๖ : ข้าวเหนียวมะม่วงของต้นข้าว
ตอนที่ ๑๗ : ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ
ตอนที่ ๑๘ : ความในใจของครอบครัว
ตอนที่ ๑๙ : คำอธิษฐานบนหลังเต่า
ตอนที่ ๒๐ : หาดทราย สายลม สองเรา
ตอนที่ ๒๑ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย

----- จบภาคมัธยม -----

ตอนที่ ๒๒ : นางงามจักรวาล
ตอนที่ ๒๓ : แรงบันดาลใจจากโรงลิเก
ตอนที่ ๒๔ : อีงูคำคม!!!
ตอนที่ ๒๕ : ปลาร้าพันห่อด้วยใบคา
ตอนที่ ๒๖ : เก็บหยดฝนมาร้อยเป็นสร้อย
ตอนที่ ๒๗ : เปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ
ตอนที่ ๒๘ : วันที่รัก เดือนที่รอ พ.ศ.ที่คิดถึง
ตอนที่ ๒๙ : ไม่สึกไม่หรอเหมือนดินสอเขียนคิ้ว
ตอนที่ ๓๐ : คำรักในคืนหลอกลวง
ตอนที่ ๓๑ : เรื่องของจิว
ตอนที่ ๓๒ : กุหลาบงามย่อมมีหนามแหลม
ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน
ตอนที่ ๓๔ : ม่านเวทีที่กำลังปิดลง
ตอนที่ ๓๕ : วิมานลวง
ตอนที่ ๓๖ : รถด่วนขบวนสุดท้าย

----- จบภาคมหาวิทยาลัย -----

ตอนที่ ๓๗ : I will survive - ฉันต้องรอด
ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ
ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา
ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง
ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย
ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน
ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากราชา
ตอนที่ ๔๔ : สายลมแห่งความคิดถึง
ตอนที่ ๔๕ : เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน
ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง
ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2017 13:07:00 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ aommama

  • เป็ดมึน คนเซอร์
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 144
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-5
รอออออออ

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBK❤lover





ตอนที่ ๑ : ชายชราผู้เดินกุมมือกัน


ปี พ.ศ. ๒๕๗๒ ณ ปัจจุบัน

 
          เสียงออนแอร์ประกาศบอกเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงห้างสรรพสินค้าแห่งนี้จะปิดบริการ  วัยรุ่นที่มาช็อปปิ้งก็เริ่มทยอยออกจากห้างเสียงจอแจ ซึ่งสวนทางกับชายสูงอายุคู่หนึ่ง ที่พึ่งจะเข้าประตูห้างมาอย่างไม่รีบร้อนอะไร
 
          ชายสูงอายุทั้งคู่ดูเหมือนอายุประมาณหกสิบปีเท่าๆ กัน คนหนึ่งดูอ่อนแรงเชื่องช้า ใส่เสื้อเชิร์ตแขนยาวสีขาวและกางเกงขาว ขับผิวที่ขาวมากให้ดูสว่างไปทั้งตัว เดินก้าวช้าๆ ส่วนอีกคนดูจะกระฉับกระเฉงแข็งแรงกว่า และแต่งตัวสีสดใสทันสมัยกว่าทั้งๆ ที่วัยเดียวกัน  มือหนึ่งจูง ไม่สิ จะเรียกว่าจูงก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ใช้มือหนึ่งกุมมือของชายสูงอายุอีกคน  กุมสอดประกบแน่นครบทุกนิ้ว เหมือนกึ่งประคองเดิน สายตาของคนกุมมือมองตรงไปข้างหน้า แน่วแน่ มั่นคง ไม่วอกแวก

           ส่วนผู้ถูกกุม หน้าก้มต่ำเหมือนต้องมองพื้นในทุกก้าวเดินอย่างระวัง  หากแต่ใบหน้าเสี้ยวหนึ่งเท่าที่ใครจะมองเห็นได้ในมุมก้ม มันเจือไปด้วยรอยยิ้ม มันไม่ใช่รอยยิ้มที่ยิ้มส่งให้พื้นห้างหรอก หากแต่มันระบายอยู่ทั่วหน้า เหมือนส่งออกมาจากความสุขในใจ
 
          หนึ่งในวัยรุ่นที่เดินสวนออกประตูห้าง หันมามองชายสูงอายุคู่นี้จนเหลียวหลัง แน่นอนว่า ณ วันนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๗๒ นี้ ไม่มีใครจะมานั่งประหลาดใจกับคู่รักชายชายกันแล้ว มีกฏหมายออกมารองรับทุกเพศสภาพ นอกเหนือจากคู่ชายหญิงทั่วไปนานหนักหนาแล้ว

           หากแต่ที่ผิดอยู่บ้าง ก็คือห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นห้างใจกลางเมืองที่ทันสมัยที่สุดของยุค ซึ่งผ่านการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาหลายยุคหลายสมัย มันไม่มีที่ดินว่างเปล่าสำหรับสร้างตึกใหม่อีกแล้วในกรุงเทพฯ และห้างนี้เป็นห้างแรกที่ลูกค้าเข้ามาช็อปปิ้งแบบตัวเปล่า และซื้อของเสร็จก็เดินออกไปตัวเปล่า เพราะสินค้าทุกอย่างในห้าง เป็นโฮโลแกรม ๓ มิติหมด เลือกซื้อด้วยปุ่มสแกนนิ้วมือ หรือไม่ก็สั่งจำนวนสินค้าด้วยการสแกนม่านตา แล้วสินค้านั้นจะมีพนักงานส่งให้ถึงบ้านในอีก ๓๐ นาทีถัดไป

           แน่นอน ที่นี่มีแต่วัยรุ่นยุคใหม่ที่ใช้ลายนิ้วมือและม่านตาเปลือง ดังนั้นเมื่อชายสูงอายุที่มีรอยมือหยาบกร้านด้วยกาลเวลา และสายตาฝ้าฟางผิดยุคสองคน จะกุมมือกันเดินในนี้ ก็แค่ดูแปลกที่แปลกทางไปเท่านั้นเอง

           หรือไม่ก็มากกว่านั้นอีกสักนิด อาจมีวัยรุ่นบางคู่ หันมามองผ่านไปสักแว่บหนึ่ง แอบอมยิ้ม แล้วตั้งข้อสงสัยในใจว่า "จะต้องทำยังไงเนี่ย ให้รักกันจนอายุขนาดนี้..." แล้วก็คงเดินสวนผ่านไป ตามสภาพของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ที่ไม่มีใครมาสนใจคนแปลกหน้ากันมากนัก
 
          เมื่อเวลาหมุนผ่าน โลกก้าวผ่าน มนุษย์แก้ไข และสร้างความสะดวกสบายทุกเรื่องรอบตัวในชีวิตได้ด้วยชิปที่ประมวลผลในซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ แต่มีเรื่องเดียวที่ยังคงเหมือนเดิมกับเมื่อสัก ๕๐ ปีก่อน ที่ยังไม่มีใคร หรือเครื่องอะไรมาตีโจทย์แก้ปัญหาให้มันแตกได้  ก็คือเรื่องความพิศวงสงสัย และความซับซ้อนของ..."ความรัก"


--------------------------------


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2017 02:21:44 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBK❤lover





ตอนที่ ๒ : สมนึก กับ แว่น


กรุงเทพมหานคร  พ.ศ. ๒๕๒๗ เมื่อ ๔๕ ปีที่แล้ว

 

         "สมนึก! ไปนั่งที่อื่นไปไป๊"
 
         เสียงแหลมขึ้นจมูกตวาดคนข้างๆ เบาๆ
 
         "รำคาญ จะจดตามครู มานั่งเคาะปากกาคอแร้งอยู่ได้ หนกขู"
 
         แว่น คือเจ้าของเสียงแหลมนั้น และเป็นเจ้าของโต๊ะนักเรียนแถวที่สองจากหน้าสุดโต๊ะนี้ ซึ่งขณะนี้มีนายสมนึก เพื่อนหลังห้อง ลากเก้าอี้ไม้มานั่งเบียดอยู่โต๊ะเดียวกัน
 
         แว่น เป็นเด็กเรียนค่อนข้างดีในชั้นนี้ ชอบอ่านหนังสือ จนต้องใส่แว่นสายตาหนาเตอะสมกับฉายาชื่อเล่น แว่นเป็นเด็กหนุ่ม สูง ๑๘๐ เซนติเมตร ผอม ขายาว โครงหน้ามีเหลี่ยมแบบไทยแท้หล่อได้รูป เหมือนรูปเขียนพวกเทพเทวดาจากฝีมือศิลปินชั้นดี เสียแต่มีสิวประปรายทั่วหน้าตามวัย

          "อ๋าวว มานั่งให้กำลังใจ ให้จดดีๆ ไง จะได้ลอก ฮ่าๆ"

          เจ้าสมนึกตัวดียังมีหน้ามาย้อน แถมยังเลื่อนเก้าอี้เข้ามาชิดโต๊ะใกล้เข้ามาอีก โต๊ะนักเรียนแบบนั่งเดี่ยว ที่เล็กแคบอยู่แล้ว ยิ่งแคบไปใหญ่

          แว่นหันไปมองหน้าเจ้าตัวดีข้างๆ  นายสมนึกเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นลูกคนจีน ผอมเพรียวมีกล้ามน้อยๆ สมวัย ผิวหน้าขาวเนียนละเอียดจนเห็นเส้นเลือดใสพาดผ่านใต้ผิวแก้มจางๆ คิ้วเข้มเป็นเส้นตรงหนาได้รูป จมูกเล็กแต่โด่งสวย และปากบางสีชมพูขัดกับบุคลิกที่มานั่งหลุกหลิกแบบกวนโอ้ยใส่คนข้างๆ โดยสิ้นเชิง
 
         "จะลอกก็เดี๋ยวให้ลอก แต่ช่วยนั่งนิ่งๆ ก่อนได้ป่ะ เขย่าโต๊ะกระเทือน หมึกจะหกหมดขวดอยู่แล้ว"
 
         แว่นบ่นต่อเบาๆ พลางเอากระดาษซับหมึกสีชมพู กดซับน้ำหมึกที่หยดเป็นดวงๆ ด้วยแรงกระฉอกใส่หน้ากระดาษสมุดหน้าปกวีนัสที่กำลังเขียนนั้น
 
         ................
 
         "เอาล่ะครับนักเรียน วันนี้ครูจะเลิกสอนเท่านี้ก่อน ครูมีประชุม นักเรียนอย่าลืมเตรียมงานกิจกรรมวันจันทร์นี้นะครับ"
 
         ครูที่สอนวิทยาศาตร์ หันมาบอกนักเรียนในห้อง ๔/๗ นี้ หลังจากวางชอล์กที่เขียนตารางสูตรสุดท้ายบนกระดานดำเสร็จและเดินออกไป  หลังจากนั้นเสียงจอแจก็ดังระงมในห้องเรียนขึ้นมาทันที
 
         "เออว่ะ...เกือบลืมไปเลย วันอาทิตย์นี้ต้องมาช่วยครูธงชัย จัดนิทรรศการที่โรงเรียนเรานี่หว่า"
 
         กิจกรรมที่สมนึกเปรยขึ้นมานั้น คือ "งานนิทรรศการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมใจ ๒๕๒๗" ที่โรงเรียนรัฐบาลชายล้วนแห่งนี้ ร่วมกันจัดกับโรงเรียนสตรีล้วน ที่อยู่ใกล้ๆ ร่วมคลองคูเมืองเดียวกัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ร่วมกันจัดทุกปี โดยสลับการเป็นเจ้าภาพกัน
 
         "แว่น วันอาทิตย์นี้บ่ายๆ กูจะเดินไปหามึงที่บ้านนะ จะได้นั่งรถเมล์มาโรงเรียนด้วยกัน"
 
         สมนึกหันมาบอกยิ้มๆ ขณะที่ลากเก้าอี้ไม้กลับไปคืนที่โต๊ะหลังห้อง
 
         "อ้าว แล้วถ้าจัดห้องงานเลิกดึก รถเมล์หมด มึงจะกลับสี่แยกบ้านแขกได้เหรอ พ่อมึงจะไม่ว่าเหรอ" แว่นเลิกคิ้วถาม
 
         "มึงทำยังไง กูก็ทำแบบมึงแหล่ะ มึงเอาไงอ่ะ"
 
         "กูว่าจะเอาชุดนักเรียนมาเลย ว่าจะนอนที่โรงเรียนเลยอ่ะ พวกกิจกรรมเค้านอนกันเยอะ"
 
         "โอเค จ๊าบเลย เดี๋ยวกูขนมาด้วย"
 
         สมนึกหันมาพยักหน้าหงึกๆ แล้วหยิบกระเป๋านักเรียนจาคอป ที่มีคลิปดำตัวใหญ่หนีบด้านข้างไว้รอบๆ จนทรงกระเป๋าแบนแต๋ มาอุ้มไว้แนบอก พร้อมกับหันไปบอกเพื่อนๆ รอบโต๊ะว่า
 
         "เฮ้ย ไปเว้ย ไปเจอกันร้านน้ำปั่นข้างคลองนะ"

 
         ..........................


         กิจกรรมหลังเลิกเรียนของยุคนั้น ไม่มีอะไรมาก ห้างใหญ่ยังไม่ค่อยมี และก็แพงเกินไปที่จะไปเดินซื้อเสื้อผ้าตามห้าง เช่น ห้างสยามเซนเตอร์ ที่พึ่งจะมาโด่งดังหลังจากเปิดมาเมื่อเกือบสิบปีก่อน หรือกีฬาที่กำลังฮิตสุดๆ ในเมืองไทยคือโรลเลอร์สเก็ต แต่ก็อยู่ไกลถึงห้างใหม่ล่าสุดในกรุงเทพฯ คือห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว ที่พึ่งเปิดตัวห้างใหม่หมาดๆ เมื่อปีที่แล้ว จะไปกันทีก็เหมือนออกต่างจังหวัด ไปกลับยาก รถเมล์ผ่านน้อย ส่วนห้างใกล้โรงเรียนที่มีลานโรลเลอร์สเก็ต คือห้างฮั่วฟง แถวนางเลิ้ง ก็ถูกทางโรงเรียนห้ามเข้าเล่นในวันที่มีเรียนหนังสือ
 
         ความสุขง่ายๆ ก่อนกลับบ้านก็คือการไปนั่งจับกลุ่มเฮฮากันที่ร้านน้ำปั่นเล็กๆ โทรมๆ ข้างคลองคูเมือง ที่นอกจากจะมีน้ำปั่นแทบทุกรสขายแล้ว ยังมีลูกชิ้นชุบแป้งทอดไม้ละบาทแกล้มน้ำปั่นด้วย แถมพี่เจ้าของร้าน ยังเป็นหญิงช่างเม้าท์ช่างเจรจา ปั่นไป เสริฟไป ปากก็ทักทายชื่อลูกค้านักเรียนวัยรุ่นไปแทบทุกคน บ้านใครอยู่ไหน พ่อชื่ออะไรรู้หมด ความที่เงี่ยหูฟังคนคุยไปขณะปั่น เลยตีซี๊กับนักเรียนได้สนิทใจ
   
         "เจ๊ ของผมเอาส้มปั่นเหมือนเดิมนะ แล้วเอามะนาวปั่นกับลูกชิ้นสี่ไม้ ให้ไอ้แว่นมันด้วย"
 
         สมนึก ตี๋หน้าใสตะโกนบอกเจ๊ ขณะเดินเลยไปที่ชุดเก้าอี้หินหลังร้าน โดยไม่ต้องหยุดรอยืนสั่งให้เสียเวลา ผิดกับแว่น ซึ่งเตรียมจะยืนสั่ง แต่ก็ต้องเก้อ เพราะตี๋หน้าใสดันสั่งเผื่อในสิ่งที่เขาชอบไปให้หมดแล้ว
 
         "รู้ดีจังนะมึง ไอ้ตี๋"
 
         "ถ้าไม่กูรู้ แล้วใครจะรู้วะไอ้ปัญญา" ตี๋ยักไหล่ตอบ
 
         "เฮ้ยๆ ปัญญาน่ะชื่อพ่อกู ไอ้เหี้ย" แว่นเสียงสูงถลึงตาใส่
 
         "ฮ่าๆๆ เว้ยๆ มาๆ นั่งข้างกูนี่ เอ้า พวกมึงสั่งแล้วก็นั่งสิวะ ห่า"
 
         ตี๋ร่างสูง หันไปตะโกนรอบๆ ในมาดของขาโจ๋หัวหน้าแก๊งค์เต็มที่
 
         ดิเรก สมพล ศักดิ์สิทธิ์ เนติ และราชา แก๊งค์เพื่อนสนิทอีกห้าคนในกลุ่ม เมื่อสั่งของเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งแหมะลงรอบๆ โต๊ะหินนั้นอย่างสบายอารมณ์

         "เฮ้ยๆ พวกมึงดูนั่น โคตรกิ๊กเลย วี๊ดวิ๊ววว น้องสาววว"
 
         เสียงไอ้ดิเรก ทำลายความเงียบขึ้นมา พลางบุ้ยใบ้หันหน้าให้เพื่อนๆ เหล่สาวน้อยในชุดนักเรียนกระโปรงสีน้ำเงิน ๓ คน ที่กำลังเดินเข้ามาในร้านน้ำปั่นนี้
 
         ดิเรก เด็กหนุ่มร่างเตี้ย แต่กำยำล่ำสัน เสียงออกติดสำเนียงทองแดงตามภูมิลำเนาเกิด ใบหน้ากรามกางชัด ผิวสองสี และมีบุคลิกของเด็กหนุ่มเพลย์บอยอยู่ตลอดเวลา
 
         "ปั่ก!!"
 
         เสียงกระเป๋านักเรียนจาคอปใบแบน ตีเข้าหัวดิเรกอย่างไม่จริงจังนัก
 
         "มึง เอาดีๆ ไอ้ห่า เรียกน้องเค้าดีๆ หน่อย... เอ้อ น้องฮะ นั่งด้วยกันตรงนี้ไหมฮะ ฮิฮิ"
 
         สมนึก พูดพลางดึงปกเสื้อนักเรียนให้ตั้งขึ้นมาปิดคอ นั่งมาดเท่ ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักๆ ของ สมพล ราชา และเนติ
 
         ส่วนศักดิ์สิทธิ์ และแว่น หันไปมองตามเด็กหญิงกลุ่มนั้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเฉย รวมทั้งดิเรก ที่กำลังคลำหัวป้อยๆ จากที่พึ่งโดนตีกบาลอยู่ พร้อมกับแอบบ่นอุบอิบ
 
         "ห่า จะเอาเองก็ไม่บอก"
 
--------------------------------

 
         หลังจากใช้เวลาชั่วโมงหนึ่งอย่างสบายๆ ในร้านน้ำปั่นแล้ว เด็กทั้งเจ็ดคนก็เตรียมแยกย้ายกันกลับบ้าน แทบทั้งหมดอยู่บ้านทางฝั่งพระนครนี้ ยกเว้นสมนึกกับแว่น ที่บ้านอยู่ฝั่งธนฯ จึงต้องแยกกับเพื่อนๆ กลับกันเองสองคน

          "แว่น กูยังขี้เกียจกลับบ้านอ่ะ กูยังไม่อยากเจอพ่อกูนานๆ แกชอบพูดมาก เซ็งว่ะ" ตี๋ขาวบอกแว่น หลังจากเพื่อนๆ แยกกันที่ป้ายรถเมล์แล้ว
 
         "อ้าว ทำไมล่ะวะจิว" แว่นเรียกชื่อเล่นสมนึก จริงๆ มันก็มาจากแซ่นามสกุลของเจ้าตัวแหล่ะ
 
         "พ่อกูอ่ะดิ อยากให้กูรีบกลับไปช่วยขายรองเท้าแตะที่ตลาดนัดข้างบ้านกูตอนเย็นๆ อ่ะ ขายก็ไม่ดี บ่นใส่กูอีก"
 
         "มึงก็เนี่ยน้า ก็น่าจะช่วยพ่อมึงบ้างนะ พ่อมึงก็ตัวคนเดียวนี่" แว่นมองหน้าตี๋หล่ออย่างจริงจัง
 
         "ช่างบ้านกูเหอะมึง ป่ะ มึงเดินเล่นกะกูก่อน ค่ำอีกนิดค่อยกลับ รถเมล์สาย ๗ ยังไม่หมดหรอก ห่า"
 
         ตี๋หน้าใสพูดจบ ก็เดินนำลิ่วขึ้นสะพานยมราชตรงนั้น ข้ามทางรถไฟไปอีกฝั่ง หนุ่มแว่นเดินตามไปติดๆ
 
         สองคนเดินพ้นสะพานยมราชมาสักครู่อย่างเงียบๆ ไม่ได้คุยอะไรกัน ที่ไม่ได้คุยอะไรกัน ไม่ใช่เพราะไม่ค่อยสนิทกัน แต่หนุ่มน้อยสองคนนี่ถึงคนนอกจะดูเผินๆ ว่าชอบเขม่นใส่กัน กัดกันทุกเรื่อง คนหนึ่งเรียนเก่ง อีกคนเสเพลไม่ค่อยเอาไหน ไม่น่าจะเป็นเพื่อนกันได้  หากความจริงมันก็คงมีอะไร หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดึงเข้าหากันแหล่ะ แม้กระทั่งความเงียบในการเดินระหว่างกันในช่วงเวลาที่คนใดคนหนึ่งเป็นทุกข์  มันก็คือ "มิตรภาพ" ที่ไม่จำเป็นต้องพูด
 
         "เห้ยย!! นี่เสาอะไรหว่าไอ้จิว"

          ท่ามกลางความเงียบเพลินๆ สองคนเดินมาถึงลานโล่งตรงมุมหนึ่งของสี่แยกปทุมวัน เยื้องๆ กับลานโล่งของตึกสยามเซ็นเตอร์อีกฝั่ง  มันมีสิ่งที่แปลกตาไป เพราะเขาทั้งสองก็ไม่ได้ผ่านมาตรงนี้สักระยะหนึ่งแล้ว
 
         มันคือกองเสาเข็มจำนวนมหึมาบนลานโล่งตรงนั้น!
 
         "เดินเข้าไปดูป่ะ" ตี๋น้อยเริ่มมีชีวิตชีวากลับมาล่ะ
 
         "เฮ้ย จะดีเหรอมึง เข้าไปได้หรือ" แว่นรูปหล่อเริ่มลังเล
 
         "มาเหอะมึง เค้ายังไม่ได้กั้นรั้วเลย ไปตรงป้ายนั่นกัน มันจะสร้างอะไรวะ แม่งเสาเข็มเยอะฉิบหาย กูอยากรู้"
 
         พูดจบ ผู้พูดก็นำลิ่วไปเกือบถึงป้ายปักหน้ากองเสาเข็มนั่นแล้ว แว่นรีบสาวเท้าก้าวยาวๆ ตามไป
 
         "บริษัทจำกัด มาบุญครองอบพืชและไซโล"
 
         "มันคืออะไรวะ มาอบพืชอะไรตรงสี่แยกนี่" ตี๋น้อยพูดทั้งๆ ที่แหงนคอตั้งบ่าอ่านป้ายนั่น
 
         "เออว่ะ ตลกดี แต่แม่งต้องเป็นไซโลอบพืชที่ใหญ่มากเลยนะ ห่า อยู่ตรงสี่แยกกลางสยามเลย ใช่หรือ" ร่างสูงใส่แว่นพูดพร้อมแหงนมองตาม
 
         "มึงมานี่เร็วๆ ตามมาไอ้แว่น" คนพูดพุ่งตัวเลยป้ายเข้าไปแล้ว
 
         "เดี๋ยวๆ รอด้วยๆ มึง เค้าจะจับเราป่าววะ" แว่นพุ่งตัวตาม
 
         "โคตรใหญ่เลย!! เสาเนี่ย" ตี๋หล่อกระโดดขึ้นไปขย่มๆ บนเสาซะแล้วตอนนี้
 
         "เดี๋ยวเสาแม่งหักหรอก ห่านี่" แว่นบ่นอุบอิบ แต่ก็ปีนตามขึ้นไปนั่งห้อยขาบนเสาที่ซ้อนกันสูงๆ นั่นเหมือนกัน
 
         "ดูดหรี่ป่ะ" มือขาวส่งซองบุหรี่สายฝนซองอ่อนยับยู่ยี่พร้อมไม้ขีดไฟตราพญานาคกลักเล็กมาให้
 
         "ม่ายอ่ะ กูไม่ดูด มึงก็รู้นี่" แว่นส่ายหัว
 
         "กูรู้ แต่กูเครียดไง อยากบุหรี่ นึกว่ามึงจะดูดเป็นเพื่อนกู"
 
         เสียงไม้ขีดไฟดังฉ่ามาจากคนพูด พร้อมพ่นควันผุยยาวปลิวไปตามลมผ่านหน้า
 
         "แต่ยังไงก็ขอบใจว่ะแว่น ที่มาอยู่เป็นเพื่อนกู ตอนกูต้องการใครสักคน"
 
         อันที่จริง บุหรี่ในช่วงที่เหมาะสม มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไรนักในเวลาแบบนี้
 
         กลางกรุงเทพฯ ใจกลางของมหานคร ยังไม่มีอาคารสูงใดๆ มาขวางสายตา รถน้อย อากาศดี ดวงตะวันกำลังพลบ สาดแสงสีส้มสวยก่อนจะลับฟ้า ย้อมเมฆ  ย้อมตึกเตี้ยๆ และบ้านเรือนหลังคาสังกะสี รวมทั้งโดมสนามแข่งฟุตบอลขนาดยักษ์ตรงนั้น ให้กลายเป็นเหมือนชามอ่างสีเพลิง แดงฉานตัดกับสีท้องฟ้าที่เข้มมืดขึ้นทุกขณะ นกพิราบกลุ่มสุดท้ายกำลังบินผ่านตรงหัว พร้อมกับสายลมอ่อนที่พัดควันบุหรี่ลอยมาจางๆ เหมือนม่านหมอก
 
         กรุงเทพฯ เมืองสวรรค์ เหมือนหยุดเวลาอันสวยสุด ไว้ให้คนสองคน ที่ต่างนั่งทอดอารมณ์อยู่บนเสาเข็มขนาดใหญ่บนลานนั้น

 
--------------------------------

 
ตึกแถวทั้งหมด ที่เห็นโปสเตอร์หนังติดอยู่ คือพื้นที่ก่อนจะรื้อแล้วสร้างตึกมาบุญครอง



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2017 00:51:49 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2017 02:38:34 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBK❤lover





ตอนที่ ๓ : แฟชั่นเด็กสยามสแควร์


         บ่ายสองโมงตรงเป๊ะของวันอาทิตย์ สมนึกในชุดกางเกงลำลองลายทหารขาสั้นแค่เข่า และเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวตัวเก่าสีมอมๆ กลางหน้าอกเสื้อสกรีนเป็นลายสัญลักษณ์สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พร้อมสะพายเป้หลัง แถมด้วยหอบกระเป๋านักเรียนจาคอปที่โดนบีบจนแบนแต๋ใบนั้นมาด้วย ก็ได้มายืนอยู่หน้าตึกแถวที่ด้านบนสุดของตึกมีป้ายปูนซีเมนต์หล่อนูนเป็นคำว่า ตึกประยูรวงศ์ ๒
 
         "มาแล้วเหรอ จิว"
 
         แว่นทักไปงั้น เจ้าตัวกำลังก้มลงไปใส่รองเท้าแตะสกอลล์อยู่ เสร็จแล้วออกเดินนำ เสียงพื้นรองเท้าแตะสกอลล์ที่ติดเกือกม้าไว้ กระทบพื้นปูนดัง แกร็บๆๆ
 
         วันนี้แว่นแต่งตัวแปลกตา จะว่าเอาเสื้อพ่อมาใส่ก็ไม่ใช่ ถึงตัวมันจะใหญ่ไหล่ตกและดูโคร่ง แต่ลวดลายมันก็เป็นวัยรุ่น ไม่ใช่ของคนแก่ พร้อมสอดชายเสื้อไว้ในกางเกงผ้าลูกฟูกลายหนาหนักเอวสูง พร้อมคาดเข็มขัดเส้นใหญ่มาก จนแทบจะดูเหมือนเอวกางเกงจะอยู่ตรงใต้ราวนม
 
         สมนึกเดินตามหลังพยายามคิด ว่าเคยเห็นชุดแนวๆ นี้ที่ไหนนะ จนถึงป้ายรถเมล์ที่จะขึ้นตรงวงเวียนเล็ก มองเห็นแผงหนังสือที่ขายข้างทาง เลยพึ่งถึงบางอ้อนึกออก ว่าเป็นชุดแนวแฟชั่นที่กำลังฮ๊อตฮิตของวัยรุ่นตอนนี้ เหมือนที่นายแบบใส่อยู่บนหน้าปกหนังสือ "วัยหวาน" บนแผงตรงหน้านี่เอง
 
         "มึงนี่เยอะจริงๆ นะ"
 
         คนแอบมองข้างหลัง อดไม่ได้ที่จะหลุดปากออกมา
 
         "ฮ่าๆๆ ก็วัยจ๊าบเนอะ มันมี ก็ไม่รู้จะใส่ไปไหนอ่ะ น้าเดียร์ชอบซื้อมาให้ เที่ยวก็ไม่ค่อยเที่ยว ออกมาจากบ้านวันหยุดก็ขอใส่สักหน่อยเหอะ"
 
         คนตอบก็ตอบแบบไม่ได้หันมา เหมือนรู้ตัวว่าอีกฝ่ายต้องเขม่นในชุดที่ใส่มานี้แน่ๆ

 

--------------------------------


 
         หลังจากทั้งคู่ใช้เวลาบนรถเมล์นานกว่าปกติ เพราะดันไปตรงกับเวลาที่สะพานพุทธยกเปิดกลางสะพานเพื่อให้เรือแล่นผ่านข้างใต้พอดี ก็มาถึงโรงเรียนเอาเมื่อเกือบบ่ายสี่โมงเย็น
 
         "งั้นแยกกันตรงนี้นะเว้ยจิว กูเป็นอาสา ห้องนิทรรศการชีวะ กูอยู่ชั้นบนสุดน่ะ"
 
         "โอเค กูเป็นอาสาอยู่ห้องเกมส์เขาวงกต ชั้นล่างนี่เอง ไปเว้ย"
 
         แว่นแยกตัวเดินขึ้นไปที่ห้องพักครูชีวะชั้นบนสุดของตึก เมื่อถึงแล้วก็ได้รับมอบหมายจากรุ่นพี่ให้ไปช่วยยกกล่องกระจกในห้องพักครู มาตั้งแสดงในห้องที่เตรียมแท่นไว้แล้ว แว่นมองหาโต๊ะครู จนเห็นกล่องกระจกที่ว่าจากด้านหลัง จึงเดินอ้อมไปข้างหน้า

          "เฮ้ยยยยย!!!!!"

          แว่นร้องสะดุ้งโหยง มันคือศีรษะมนุษย์ ที่ดองไว้ในกล่องกระจกเพื่อการศึกษา ครูทำเรื่องขอยืมมาจากศิริราช

          --ตายห่าล่ะเว้ยกู--

          นึกพลางก็มองซ้ายมองขวา คว้าได้ผ้าขนหนูเล็กๆ ผืนหนึ่งก็ปิดลงไปบนกล่องนั่น ซึ่งก็ปิดไม่มิดจนสุดกล่องหรอก แต่ก็ดีกว่าไม่ปิด...
 
         หลังจากวุ่นวายกับการขนกล่องกระจกต่างๆ ซึ่งกล่องหลังๆ อาจดีขึ้นหน่อย เช่น มือที่ตัดแค่ข้อดอง ขดลำไส้ใหญ่ดอง หรือนิ้วคนขนาดต่างๆ (เวรกรรม ไอ้แว่นเอ๋ย) และนำไปจัดวางจนเรียบร้อย ก็เกือบสองทุ่มครึ่งแล้ว จึงเดินไปถามรุ่นพี่ว่าเค้าพักนอนในโรงเรียนกันตรงไหน
 
         "พี่ครับ ผมไม่ได้กลับบ้าน จะค้างคืนที่โรงเรียน นอนที่ห้องไหนครับ" แว่นถาม
 
         "อ้าว ก็เป็นอาสาฯ อยู่ห้องนิทรรศการไหน ก็นอนในห้องนั้นแหล่ะน้อง จะได้ช่วยกันเฝ้าของด้วย"
 
         แว่น ".........."
 
         ไม่เกินสองนาทีหลังจากนั้น แว่นก็วิ่งแน่บลงบันไดตึกเรียนอย่างไวจากชั้นห้า ลงมายังห้องเขาวงกตชั้นหนึ่งทันที
 
         "ไอ้จิว ไอ้จิวเว้ยยย"
 
         ที่ต้องตะโกนเรียกหา เพราะเมื่อเปิดประตูเข้าไป ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยกองเขาวงกตลายหินปลอมเต็มทั้งห้อง ซึ่งเกิดจากการเอาโต๊ะเรียนมาวางซ้อนสองชั้นบ้าง สามชั้นบ้าง ให้เป็นซอกหลืบเข้าไป แล้วบุด้วยหนังสือพิมพ์ทากาวทับๆ กัน แล้วกลิ้งสีให้เหมือนลายหิน เพื่อให้คนเล่นเกมส์มุดเข้าไปแล้วคลานหาทางออก ซึ่งตอนนี้ไม่เห็นใครสักคน
 
         "ไอ้จิ....."
 
         "นี่ๆๆ อยู่นี่โว้ย ไอ้แว่น ห่า ตะโกนอยู่ได้" เสียงสมนึกดังอยู่นอกห้อง
 
         "อ้าว ไปไหนมา กูก็มองไม่เห็นนี่หว่า" แว่นหันไปตามเสียงนั้น
 
         "กูไปล้างหน้าล้างมือมา ว่าจะมุดเข้าไปนอนล่ะ ไม่มีใครอยู่ค้างเลย กลับบ้านกันหมดว่ะ กูนอนเฝ้าไอ้เขาวงกตนี่คนเดียวเนี่ย"
 
         "ดีเลย" แว่นยิ้มตาหยี "กูมาขอนอนด้วยนะ"
 
         "อ้าว แล้วห้องนิทรรศมึงล่ะ ไม่ต้องนอนเฝ้าเร๊อะ"
 
         "หึหึ...ไม่ล่ะ ใครจะเฝ้าก็เฝ้า กูคนนึงล่ะไม่เฝ้า ใครจะไปนอนลง" แว่นทำท่าขนลุกขนพอง
 
         "ฮ่าๆๆ กูพอนึกออก แล้วใครใช้ให้มึงไปอาสาทำห้องชีวะล่ะวะ" ตี๋หล่อทำตาโตเหมือนเยาะเย้ย
 
         "กูเกรงใจอาจารย์ เค้าดีกับกู กูก็อยากช่วยเค้า แต่เอาน่า ห้องนั้นคนนอนเฝ้าหลายคนแล้ว ของไม่หายหรอก"
 
         "เออๆ เอาเถอะ ดีเหมือนกัน เพราะกูโดนนอนคนเดียวเลยเนี่ย ไอ้กองเขาวงกตนี่มันก็วังเวงลึกลับดีเนาะ มาๆๆ" ตี๋เดินนำเข้าไปมุมนึงของห้อง
 
         หลังจากเก็บของ ปิดห้องปิดไฟแล้ว เด็กหนุ่มสองคนก็คลานไปที่มุมห้องด้านในสุด ติดกับหน้าต่าง แล้วตกลงกันอยู่นาน ว่าจะนอนแบบเอาหัวมุดเข้าไปนอนในช่องเขาวงกตแล้วเอาเท้าโผล่ออกมาดี หรือเอาเท้าเข้าไปแล้วโผล่หัวออกมาดี เพราะพื้นที่มันสั้นแค่นั้น มุดเข้าไปนอนทั้งตัวไม่ได้

         ท้ายที่สุดก็ตกลงกันได้ว่าเอาเท้าและตัวเข้าไปในช่องเขาวงกตดีกว่า เพราะไม่มีผ้าห่มจะห่มนอน โผล่มาแต่หัวก็ไม่เป็นไร

         "อื่อ นอนโว้ย พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้าๆ มึง" เสียงแว่นงึมงัมๆ พร้อมกับถอดแว่นออกวางไว้ข้างตัว

         ห้านาทีผ่านไป ก็มีเสียงกรนเบาๆ จากคนที่พูดเมื่อกี้

         แต่ตี๋หล่อยังไม่หลับ เพราะเป็นเด็กหลับยากมาแต่ไหนแต่ไร ประจวบกับที่บ้าน พ่อก็ชอบบ่น แถมวันไหนพ่อเมากรึ่มๆ มานี่ แทบไม่ได้นอนทั้งคืนเลยทีเดียว

         สมนึกหลับตาพลิกตัวไปมาอยู่หลายตลบก็ไม่หลับสักที จนอ่อนใจ ก็เลยลืมตาขึ้นมา จากมุมที่นอนตะแคงกลับไปกลับมาเมื่อกี้ ก็ปรากฏว่าหน้าทั้งคู่หันมาทางเดียวกันพอดี

         แสงไฟด้านนอกส่องอ่อนๆ ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่มีหนังสือพิมพ์แปะปิดไว้บางๆ ชั้นหนึ่ง เพื่อให้เขาวงกตมืด แต่เพราะตอนนี้ข้างในห้องมันมืดกว่า เลยพอมีความสว่างให้เห็นได้รำไร
 
         แว่น ซึ่งถอดแว่นหนาเตอะนั้นออกแล้ว ไฟนวลๆ ลอดเข้ามา ทำให้ภาพที่สมนึกเห็น มันเนียนกว่าเวลาปกติ  ใบหน้าของแว่นที่อยู่ห่างจากสมนึกแค่สองคืบนั้น ดูน่าพิศวง แสงในมุมที่มันได้ ทำให้รอยสิวบนหน้ากลับมองไม่เห็นในขณะนี้  สิ่งที่ชัดเจนกลายเป็นช่วงตาที่สวย ขนตาดกหนา คิ้วที่สวยได้รูป เป็นโครงแนวมาจรดสันจมูก ปากสีเนื้อที่อิ่มและเผยอน้อยๆ ตามเสียงกรน เห็นฟันขาวเรียงสวยอยู่ข้างใน  สันกรามด้านข้างได้รูปคมชัด รวมทั้งปลายผมด้านหน้าที่แอบไว้ยาวกว่าปกติจากรองทรงเกรียนทั่วไป ตกลงมาเคลียอยู่ตรงหน้าผาก ทำให้สมนึกหยุดนิ่ง แล้วนอนจ้องหน้าแว่นอยู่อย่างนั้น

         แน่นอนที่สุด ว่าสมนึกไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่ช่วงเวลานั้นมันเหมือนมนต์สะกด มันเหมือนคนเราได้มองจ้องอะไรสักสิ่งที่งดงาม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น คน สัตว์ หรือสิ่งของก็ตาม มันเป็นการมองทะลุเปลือกของสิ่งนั้น ลงลึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง จนเห็นความงามที่ไม่ต้องมีคำอธิบาย มันเป็นสิ่งสากล ไร้เพศ ไร้จำนวน ไม่ต้องมีที่มาที่ไป สมองหยุดนิ่งแต่อิ่มเอมใจในภาพตรงหน้า

         ภาวะนี้ของสมนึก เกิดขึ้นในเวลาไม่นาน หลังจากนั้นก็หลับสนิทตามคนข้างๆ ไป...


--------------------------------


         ๘.๓๐ น. ผอ. โรงเรียนทำพิธีเปิดงาน "นิทรรศการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมใจ ๒๕๒๗" ไปเรียบร้อยแล้ว กลุ่มนักเรียนทั้งเจ้าภาพ และโรงเรียนสตรีที่มาเยือน ก็กระจายกลุ่มกันไป ทั้งกลุ่มนักเรียนผู้เข้าชม และกลุ่มอาสาของทั้งสองโรงเรียน ก็เข้าประจำที่

         "เธอๆ เก้าอี้นี่ว่างใช่มะอ่ะ"

         เสียงใสๆ ของนักเรียนหญิงดังอยู่ข้างๆ  แว่นหันไปมอง เป็นเสียงของสาวน้อยชุดนักเรียนกระโปรงน้ำเงิน สาวน้อยมีผิวขาวใส ผมม้าดำสนิทเรียบตรงสวย มีแววตาที่ขี้เล่น แต่ก็ดูเป็นงานเป็นการอยู่ในที ที่แขนมีแถบปลอกแขนอาสาของงานนี้ติดอยู่ด้วย

         "อ่อ อ่อ นั่งได้ฮะ เป็นอาสาประชาสัมพันธ์ของชีวะเหรอ"

         แว่นตอบ พร้อมแอบเอามือเสยผมที่สั้นๆ ของตัวเอง อย่างไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร

         "ใช่จ้า เราชื่อดาริน นะ เรียกเรา ลิน ก็ได้"

         "อ่อ อ่อ เราแว่นนะ จริงๆ เราชื่อที่บ้านเรียกว่าต้นข้าว แต่ไม่มีใครเรียกหรอก เรียกแว่นกันทั้งโรงเรียนอ่า"

         "ดีจ้ะต้นข้าว...สวัสดีค่ะ เชิญลงทะเบียนก่อนเข้าห้องนะคะเพื่อนๆ"

         ประโยคหลัง ดารินหันไปบอกกับกลุ่มนักเรียนที่กำลังเดินมาเข้าห้องนิทรรศการชีวะนี่

         ---น่ารักฉิบ---

         แว่น แอบรำพึง และยังจ้องจนเหลียวหลัง แม้กระทั่งเมื่อตนเองไปยืนรอบรรยายให้ผู้เข้าชมข้างโต๊ะสัตว์เลื้อยคลานดอง ที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ ยังไม่วายเหลียวมามองดารินเป็นระยะ
 
         และเวลาต่อจากนั้น ทั้งคู่ก็ยุ่งกับงานที่รับอาสาตรงหน้า จนระฆังบอกเวลาพักเที่ยงดังขึ้น

         "ไอ้แว่นนนนนน ไปกินข้าวกัน เฮ้ยยย...ใครวะ น่ารักฉิบ"

         เสียงตี๋หล่อตัวดี ดังขึ้นหน้าห้องทันทีที่เสียงระฆังสงบลง

         "ใครวะ ใครวะ ไอ้แว่น" ตี๋หล่อกระตุกแขนเสื้อแว่นยิกๆ

         "ใครคือใคร คนไหนล่ะมึง มีคนตั้งเยอะ" ร่างสูงตีมึน

         "ห่า คนนั้นไง หญิงผมม้า ตัวขาวๆ น่ารักๆ น่ะ"

         ตอนนี้แขนเสื้อของแว่นจะขาดอยู่แล้วตามแรงกระตุกของมัน

         "อ่อ ดาริน อาสามาจากโรงเรียนข้างๆ ไง อยู่สายวิทย์"

         "น่ารักเว้ยยย มึง ชวนเค้าไปกินข้าวดิ"

         "เออ..." แว่นตอบๆ ไปงั้น เพราะถ้าไม่ตอบ แขนเสื้อคงขาดคามือไอ้ตี๋นี่

         "ลิน ลิน ไปกินข้าวด้วยกันไหมอ่ะ" แว่นจ้องผ่านแว่นที่หนาเตอะถาม

         "ไปดิ" ดารินตอบแบบไม่ต้องคิด "เพื่อนเราต้องอยู่เวรเฝ้าของในห้องนี้ก่อน ไปกินพร้อมเราไม่ได้ เราไปกินกับเธอแทนก็ได้"

         "ป่ะๆๆ" แว่นตอบด้วยอาการลิงโลด แต่ไอ้หล่อที่เกาะแขนเสื้ออยู่ ดูมันตื่นเต้นกว่า


         ทั้งสามคนเดินลงมาที่โรงอาหารของโรงเรียน ก็พบว่าทั้งโรงอาหาร มีนักเรียนทั้งสองโรงเรียนนั่งกินข้าวกันเต็ม และยังมียืนถือถาดอาหารรอโต๊ะนั่งอีกเยอะ

         "เวรล่ะ เอาไงดีวะเนี่ย"  สมนึกเกาหัวแกรกๆ

         "ไปกินที่สโมสรรถไฟ ตรงข้ามนี่ไหมอ่ะ" ดารินเสนอความคิดขึ้น

         "โห แพงอ่ะดิ เราไม่ค่อยมีตังค์"  พอพูดเรื่องตังค์ ไอ้ตี๋หล่อหมดท่าจะแอ็คอาร์ตขึ้นมาทันที

         ดารินหัวเราะเสียงใส

         "ไม่แพงหรอก มันก็เป็นร้านอาหารสวัสดิการเหมือนกัน ถ้าแพงก็แพงกว่าแค่บาทสองบาทเอง"

         "กูเลี้ยงมึงเองน่า อย่าเยอะ ต้องรีบกลับมายืนงานอีก เสียเวลา เร็วๆ"  แว่นสรุปให้

         อีกห้านาทีต่อมา ทั้งสามคนก็มายืนเลือกกับข้าวที่สโมสรรถไฟ ซึ่งก็จริงดังดารินว่า กับข้าวราดแกงที่นี่ ราคาจานละ ๑๐-๑๒ บาท ก็ต่างจากโรงอาหารโรงเรียนนิดหน่อย ถ้ากินในโรงเรียนก็ ๘-๑๐ บาท

         "เออ ลิน นี่เพื่อนเรานะ ชื่อสมนึก หรือชื่อไอ้จิว น่ะ"

         "ดีคร้าบบบ ลิน"  ไอ้ตัวดี กะลิ้มกะเหลี่ยขึ้นมาทันที

         เสียงหัวเราะใสของดารินนำขึ้นมาก่อนพูดอีกครั้ง "นึกว่าจะไม่แนะนำเพื่อนให้ซะแล้ว ดีจ้าจิว"

         บทสนทนาต่อมาของสามคนบนโต๊ะกินข้าว ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างออกรส ทั้งเรื่องดูหนัง เรื่องเพลงพุ่มพวง เรื่องวงฮอทเปปเปอร์ซิงเกอร์ เรื่องอำพล ลำพูน ซึ่งเป็นดาราหน้าใหม่ได้ตุ๊กตาทองจากหนังเรื่อง "น้ำพุ" ในปีนี้ เท่สุดๆ อยากไปดูหนังเรื่องนี้จัง งั้นงี๊ และสัพเพเหระต่างๆ นาๆ

         มิตรภาพที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนสามคนในวันข้างหน้า เริ่มต้นที่สโมสรรถไฟแห่งนี้เอง...


--------------------------------


         ๕ วันติดกันในงานนิทรรศการก็ผ่านไป  วัยรุ่นหนุ่มสาวทั้งสามคน ได้ใช้เวลานั้นยึดสโมสรรถไฟเป็นที่กินอาหารกลางวันร่วมกันทุกวัน จิตใจ ความนึกคิด ความรู้สึกต่างๆ นาๆ ของวัยเยาว์ ก็ถูกส่งต่อแลกเปลี่ยนกันตรงนั้นเป็นที่เพลิดเพลิน

         บางวัน เพื่อนสนิทอีกสองสามคนของสมนึกและแว่น ก็ได้มาร่วมแจมด้วย และมีวันหนึ่ง ดารินได้แนะนำเพื่อนหญิงที่สนิท ให้สมนึกและแว่นรู้จักอีกคน

         "ชื่อสมหมาย เพื่อนเราเองเธอ" ดารินหัวเราะนำมาก่อนแล้วแนะนำเพื่อน

         "สมหมายเนี่ยะนะ ชื่อผู้หญิงเหรอ" ตี๋หล่อขาโจ๋โพล่งออกมาแบบไม่เกรงใจเจ้าของชื่อ

         "ทำไมยะ ชื่อสมหมายมันเป็นยังไง" เจ้าของชื่อทำเสียงสูงโวยกลับ

         "ป่าวววว แซวเล่น ฮ่าๆๆ" ขาโจ๋ยังไม่วาย อดขำ

         สมหมายทำปากขมุกขมิบ สาวน้อยวัยรุ่นที่ชื่อสมหมายนี้ เป็นสาวน้อยร่างสูงปริ๊ด รูปร่างเหมือนนักกีฬาวอลเลย์หรือบาสเก็ตบอลประมาณนั้น ผมสั้นแค่หู ดูโผงผาง กล้า ไม่กลัวคน แต่ก็ดูเป็นมิตรดี ตรงข้ามกับน้ำเสียงที่ใช้

         "หืม วันไหนไปเที่ยวสวนสยามกัน จะใส่ชุดว่ายน้ำให้ดู จะได้รู้ว่าชื่อนี้หญิงหรือชายนะเธอนะ" สมหมายท้าให้

         "ฮ่าๆๆ ไม่เอา เราไม่ดูเธอหรอก"  ทีงี้ตี๋หล่อเริ่มหงอล่ะ เวลาเจอคนจริงเข้า

         "กินข้าวกันเหอะ กินๆ อร่อยป่ะแว่น เอาน้ำอะไร เดี๋ยวเราไปซื้อให้"

         สมหมายดูเหมือนจะหยิบยื่นน้ำใจให้แว่นมากกว่าใครในโต๊ะ

         "อุย ไม่เป็นไร ขอบใจจ้าสมหมาย เดี๋ยวเราไปเอง"

         ไม่รู้เป็นอย่างไร แว่นกลับมีความรู้สึกเกรงอกเกรงใจสมหมาย มากกว่าดารินเสียอีก


--------------------------------


         หลายวันหลังจากงานนิทรรศการจบลง นักเรียนทั้งสองโรงเรียนก็เข้าสู่ภาวะปกติ เย็นวันหนึ่ง สมนึกก็ชวนแว่นเดินเล่นเพราะเบื่อพ่อ และไม่อยากจะกลับบ้านเร็ว  ทั้งสองหมายใจจะไปนั่งเล่นบนกองเสาเข็มตรงสี่แยกปทุมวันนั้นอีก เพราะมันมีมุมที่นั่งแอบสูบบุหรี่ได้

         หากแต่ทั้งคู่ก็ต้องผิดหวัง เพราะถึงวันนี้ เสาเข็มบางส่วนเริ่มตอกลงไปในพื้นแล้ว มีปั้นจั่นตอกเสาเข็มหลายแท่นกำลังตอกเสาเสียงดัง ตึ๊มๆๆ สนั่นไปทั่วบริเวณ แถมมีรั้วสังกะสีมากั้นล้อมรอบไปอีก

         สองคนเลยเดินข้ามถนนไปฝั่งสยามเซนเตอร์ ตรงนั้นเป็นลานโล่งติดกับสี่แยก โดยตัวตึกสยามเซนเตอร์อยู่ลึกเข้าไปอีก พื้นที่บริเวณนี้ในภาวะปกติจะใช้จอดรถของคนมาเดินห้าง แต่ถ้าหน้าหนาว จะเป็นลานเบียร์สด ซึ่งเป็นของแปลกใหม่ที่คนกำลังเห่อ และนิยมกันมากในเวลานั้น แต่วันนี้ไม่ใช่หน้าหนาว และเป็นวันธรรมดาที่ไม่มีรถมาห้างมากนัก ลานนั้นเลยโล่ง

         "แว่น" ตี๋หล่อเรียกขึ้น หลังจากนั่งนิ่งๆ มาสักพัก บนลานสนามหญ้านั้น

         "หืม อะไรวะ" แว่นขานรับ โดยไม่ได้ละสายตาจากปั้นจั่นตอกเสาเข็ม ซึ่งกำลังตอกเป็นจังหวะที่ฝั่งตรงข้ามไฟแดงนั้นอยู่

         "กูว่ากูชอบดารินว่ะ" ตี๋สมนึก มีสีหน้าเข้มขึ้นนิดหนึ่งตอนพูด จากมุมที่แว่นหันขวับไปมองตอนนี้

         "เ อ อ ..." แว่นตอบกลับเสียงเบา

         "อะไรเออ เอออะไรของมึง ดีหรือไม่ดีก็ว่ามาสิวะ มา อง มา เออ" ตี๋โวย

         "ก็ดี..." แว่นเสียงยังแผ่วๆ อยู่ และตอนนี้ก้มหน้าลงไปมองพื้นหญ้าแล้ว

         สมนึกมองแว่นอย่างมึนๆ มันเป็นอะไรของมัน อยู่ดีๆ ก็อึนไป อะไรวะ---

         นึกประโยคนั้นเสร็จ ตี๋หล่อหน้าหวานก็เอื้อมมือไปวางบนหลังคออีกฝ่ายเบาๆ พร้อมกับลูบมือแผ่วๆ ไปมาที่หลังคอนั้น  แล้วพูดเสียงอ่อนๆ

         "แว่น เป็นอะไรหรือเปล่า มีอะไรบอกกูได้นะ"

         "เปล่า..." แว่นยังเสียงแผ่วๆ อยู่ แต่ตอนนี้เงยคอกลับขึ้นมามองปั้นจั่นตอกเสาเข็มอีกแล้ว
 
         ผลั่ววว!!!"

         เสียงมือตีเข้ากับต้นคอแว่น แบบกึ่งแรงกึ่งเบา จากที่ลูบๆ เล่นอยู่บนหลังคอเมื่อกี้  ตี๋หล่อคงนึกขวาง อึดอัดขัดใจขึ้นมา จากลูบปลอบใจ เลยฟาดมันซะเลย

         "เฮ้ยยย อะไรวะ ตีกูทำไม" แว่นหันมาโวยเต็มเสียง

         "ฮ่าๆๆๆ กูหมั่นไส้มึงเล่นๆ นี่ล่ะ ห่า ถามความเห็นหน่อยก็ไม่ตอบ มึงเป็นอะไรวะ ---หรือมึงอย่าบอกนะ ว่ามึงก็จะจีบดารินเหมือนกัน ฮ่าๆๆ"

         "เฮ้ย กูไม่..." แว่นโบกมือผ่านหน้า

         "งั้นมึงก็อิจฉากูล่ะสิ"

         "ค-ว-ย เหอะ มึงจีบติดแล้วเหรอไง" แว่นร้องครางลงเสียงต่ำออกมา

         "ถ้าไม่ใช่งั้น ก็แสดงว่ามึงหึงกู  ฮ่าๆๆๆๆๆ"

         "ไอ้เหี้ยยย--- หึงเหิงอะไรของมึ๊งงง" เสียงสองของแว่นแว้ดขึ้นมาทันที
 
         "ฮ่าๆๆ เรื่องของมึง กูอารมณ์ดีแล้วเว้ย ไปไป กลับบ้านกันเถอะ ต่อรถสองต่อจากสยามนี่ล่ะ ขี้เกียจเดินย้อนไปขึ้นสาย ๗ หลังโรงเรียนอีก ป่ะ"

 
--------------------------------

 
ศูนย์การค้าสยาม (สยามเซ็นเตอร์) เมื่อแรกสร้าง



 
ภาพยนตร์  "น้ำพุ" อำพล ลำพูน / ตุ๊กตาทอง ปี พ.ศ. ๒๕๒๗



 
วงฮอทเปปเปอร์ซิงเกอร์



 
สโมสรรถไฟ หัวลำโพง





แฟชั่นเด็กวัยรุ่นสยามเซนเตอร์ ในอดีต



 
สะพานพุทธ สมัยยังยกเปิดกลางสะพานได้



 
ตราสัญลักษณ์ สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2017 02:22:28 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2017 02:48:15 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ชอบธีมเรื่องมาก
อินกับสถานที่ต่างๆ ในเรื่องมากเป็นพิเศษเลย คิคิ
ส่งกำลังใจให้คนเขียนน้าาา
สวัสดีปีใหม่ค่าาา
 :L2:

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2017 02:49:27 โดย กำปงพิราเทวี »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
น่าติดตามมาก ต่ออีกนะ

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBK❤lover





ตอนที่ ๔ : รอวันฉันรักเธอ


         หลังจากวันนั้นมา สมนึกก็รุกคืบกับดารินขึ้น เริ่มจากการขอเบอร์โทรศัพท์บ้าน แต่ก็ถูกปฏิเสธไป เพราะเหตุผลว่าที่บ้านเธอชอบมีคนแอบฟังโทรศัพท์จากเครื่องพ่วง ซึ่งจับไม่ได้ว่าใครชอบมาแอบฟัง และอีกอย่าง โทรศัพท์ตั้งอยู่กลางบ้าน มันจะโดดเด่นมากถ้ามีใครโทรมาจีบแล้วต้องยืนคุยท่ามกลางสายตาของคนทั้งบ้าน

         สมนึกยังไม่หมดความพยายาม เฝ้าเพียรขอที่อยู่บ้านดาริน บอกว่าใกล้ปิดเทอมแล้ว จะได้เขียนจดหมาย หรือไม่ก็จะส่งโทรเลขไปหา อันนี้ดารินคงหมดข้ออ้าง จึงต้องให้ที่อยู่มา ซึ่งแว่นก็ได้ชะโงกอ่านตอนที่สมนึกยื่นกระดาษจดที่อยู่นี้มาอวด ก็ได้ทันเห็นว่าบ้านดารินอยู่ตรงถนนหลานหลวง ตรงข้ามวัดภูเขาทองนี่เอง

         แต่ยังมีอีกอย่างหนึ่ง ที่หนุ่มสาวจะจีบกันต้องทำ ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องมาเกี่ยวพันกับแว่นจนได้...

         "เฮ้ยไอ้แว่น วันเสาร์นี้กูไปนอนค้างบ้านมึงนะ"

         "ค้างเชี้ยอะไร มึงจะมาค้างทำไมอ่ะ" แว่นโวยไว้ก่อน

         ตี๋หล่อหน้าใส เกาหัวแกรกๆ ทำหน้าปูเลี่ยนๆ แต่ดูแล้วหล่อน่ารักมากกว่าเลี่ยน --ก่อนบอกว่า...

         "ก็กูจะไปขอยืมใช้วิทยุมึงอ่ะ ของบ้านกูมีแต่วิทยุธานินทร์ ไม่มีปุ่มอัด กูจะโทรไปขอเพลงในรายการวิทยุ แล้วอัดเทป จะเอาเทปคาสเซ็ทเพลงรักห่อเป็นของขวัญส่งให้ดารินอ่ะ คิกๆๆๆ"

         "แมร่ง...เดือดร้อนกูอีก มึงก็มาบ่ายๆ สิ จะมาเชี้ยอะไรดึกๆ มาค้งมาค้าง วุ่นวาย" หน้าหล่อหลังแว่นตาทำหน้าเซ็ง

         "บ่ายๆ มันอัดเพลงไม่ได้ มึงนี่ไม่เข้าใจ บ้านมึงติดกับวัด เสียงพระสวดเข้าไปในเทปกันพอดี ห่า มันหนกขู ต้องอัดดึกๆ โว้ย มันเงียบๆ เข้าใจป่ะ" ตี๋หล่อทำหน้าแบบผู้เชี่ยวชาญ

         "เออ เออ เรื่องของมึง มาก็มา" แว่นตัดบท "อ้อ แล้วมึงก็ซื้อเทปเปล่าของมึงมาเองด้วย ไม่ใช่มาเอาของกูนะ"

         "รู้แล้วน่าาาา วุ้ย เชี่ยนี่" สมนึกกลอกตาขึ้นลงอย่างอ่อนใจซะเต็มประดา

 
--------------------------------

 
         ค่ำวันเสาร์นั้น ทั้งคู่ก็ได้เดินอิ่มออกมาจากตลาดมืด-วงเวียนเล็ก หลังจากซัดบะหมี่ปู และหอยทอดเจ้าดังกันไปคนละแน่นๆ แล้ว

         "อิ่มฉิบหาย ขอบใจนะโว้ยแว่น ที่เลี้ยงกู อร่อยเหี้ยๆ ไว้กูซื้อทับทิมกรอบแถววงเวียนใหญ่บ้านกูมาฝากมึงมั่ง  เออ ว่าแต่ทำไมแถวบ้านมึงเรียกตลาดมืดวะ กูเห็นแมร่งเปิดไฟสว่างโร่เลย" สมนึกพูดพลาง ลูบท้องไปพลาง ทำท่าเหมือนจะเรอ...

         "มันไม่เกี่ยวกับเปิดไฟปิดไฟหรอกโว้ย ที่เรียกตลาดมืดเพราะมันขายแต่ตอนกลางคืนไง ส่วนกลางวันมันมีแต่แผงพระเครื่อง ไม่มีของกิน" แว่นอธิบาย

         "อ้อ..." ตี๋หล่อผงกหัวงึมงัม

         หลังจากแว่นพาสมนึกเข้าบ้าน สวัสดีแม่และพี่สาวของแว่นแล้ว ก็เตรียมพาสมนึกขึ้นห้องบนชั้นสอง

         "ต้นข้าว เดี๋ยวๆ แม่ฝากนี่ไปหน่อย" เสียงแม่เรียกชื่อเล่นจริงๆ ของแว่น

         "ฮะแม่"

         "ซองจดหมายนี่ จ่าหน้าซองมาถึงน้าเดียร์ ทำไมพึ่งมาส่งไม่รู้ แม่ก็ไม่ได้เปิดดูว่าอะไร มันหนาๆ แม่ฝากให้ต้นข้าวเอาไปส่งไปรษณีย์ให้น้าเดียร์ตามที่อยู่ใหม่ได้ไหมลูก อาจจะสำคัญ น้าเดียร์ต้องใช้หรือเปล่าไม่รู้ เอาไปส่งต่อให้แกหน่อย ตอนแกย้ายออกไปจากที่นี่คงลืมเปลี่ยนที่อยู่"

         "ฮะแม่" แว่นยื่นมือไปรับซองมาถือไว้ แล้วพากันเดินขึ้นชั้นสอง

         "ใครวะน้าเดียร์ กูไม่เห็นเคยเจอ" ตี๋น้อยสุดหล่อ มองซองในมือแว่นแล้วถามขึ้น

         "ญาติกูแหล่ะ มาพักอยู่บ้านกูช่วงนึง นอนกะกูที่ห้องกูนี่ล่ะ แต่ตอนนี้ย้ายออกไปแล้ว"

         "อ้าวเหรอ ย้ายไมวะ ก็ญาติมึงเองไม่ใช่เหรอ"

         "อื่อ ไม่รู้มีปัญหาอะไรกับแม่กูป่าวไม่รู้ แม่ไม่ได้เล่าให้ฟัง ตอนน้าเดียร์แกเก็บของเห็นแกร้องไห้ด้วย กูก็ไม่กล้าถาม...เอ้า ล้างตีนก่อนเข้าห้องด้วยล่ะมึง"

         ห้องแว่น เป็นห้องขนาดพอดีเตียง คือในห้องวางเตียงใหญ่แล้วก็แทบจะคับห้องเลย ไม่มีตู้เสื้อผ้า มีแต่ตู้ไม้ยาวๆ ชิดไปตามผนังตู้หนึ่ง ไม่ใช่ตู้แบบสูง แต่เป็นตู้เตี้ยๆ ซึ่งหลังตู้นี้ก็ใช้วางของจิปาถะได้เหมือนเป็นโต๊ะ และตอนนี้มันก็มีกองหนังสือ วิทยุขนาดกลาง และพัดลมสี่เหลี่ยมยี่ห้อไจโรแอร์ ตามสมัยนิยมวางอยู่ ห้องนี้มีหน้าต่างสี่บาน

         "อ่ะ ทีนี้มึงจะยังไงต่อ" แว่นถาม พลางโยนซองสีน้ำตาลที่ถือขึ้นมาไปบนกองหนังสือ

         "เดี๋ยวกูจะกรอหัวเทปรอไว้ แล้วกูต้องไปโทรศัพท์หา ดี.เจ. คลื่น F.M.101 เพื่อขอเพลง แล้วเราก็รอ พอเค้าเปิดให้ กูก็กดอัดเทป แค่เนี้ยแหล่ะ"

         "งั้นมึงก็ลงไปโทรข้างล่างสิ โทรศัพท์บ้านกูอยู่ตรงตู้โชว์ข้างล่างน่ะ มึงลงไปถูกใช่ไหม ถ้าแม่กูถามมึงก็บอกไปว่าโทรหา ดี.เจ. รายการวิทยุ" แว่นบอก พร้อมเริ่มหาว

         "อื่อ งั้นกูลงไปโทรก่อนนะ เพราะไม่รู้นานแค่ไหนกว่าจะถึงคิวเปิดเพลงให้น่ะ" ตี๋หล่อเดินไปเปิดวิทยุคลื่นที่ต้องการรอไว้ แล้วออกจากห้องไป

         ระหว่างที่สมนึกเดินลงไปโทรศัพท์  แว่นก็เดินไปเปิดหน้าต่างห้อง และไปหยิบกางเกงขาสั้นจากตู้เตี้ยนั่นมาสองตัวแล้ววางบนเตียง กะว่าเดี๋ยวจะเปลี่ยน แล้วเดินเลยไปหยิบที่เขี่ยบุหรี่จากใต้เตียงขึ้นมาเช็ด ตั้งแต่น้าเดียร์ย้ายออกไป ก็ไม่มีใครมาเขี่ยบุหรี่ในห้องนี้อีก เช็ดเสร็จก็วางรอไว้ให้ใกล้ๆ วิทยุ เผื่อไอ้จิวมันจะสูบ และแถมหยิบกลักไม้ขีดไฟในก้นตู้ มาวางเคียงไว้ให้ด้วย จัดเสร็จ สมนึกก็กลับขึ้นมาพอดี

         "ไงวะ ได้มะ" แว่นถาม

         "เรียบร้อย แต่ ฮ่าๆๆ กูลืมไป ขอเพลงเฉยๆ ไม่ได้ มันต้องบอกเค้าด้วยว่ามอบเพลงนี้ให้ใคร เค้าจะพูดออกอากาศให้ก่อนเปิดเพลง เราจะได้รู้ว่าถึงคิวเพลงของเรา จะได้กดอัดเทปทัน และเค้าจะไม่พูดทับหัวเพลงให้ด้วย"

         "อ้าวเหรอ แล้วมึงบอกเค้าไปว่ามอบให้ใครล่ะ แล้วป่านนี้ดารินจะไม่หลับแล้วหรือ จะได้ฟังหรือไง" แว่นสงสัย

         "มึงเดาสิ ไม่ใช่ดารินหรอก เพราะเธอคงหลับไปแล้ว อนามัยซะขนาดนั้น แต่อย่าเดาเลย กูอ้างชื่อมึงแหล่ะ ฮ่าๆๆ อ้างไปว่าขอเพลงนี้ให้มึง" ตี๋หล่อยิ้มฟันขาวใส

         "หึหึ ขอเพลง ดี.เจ. ออกอากาศให้กูเนี่ยนะ เพลงไรวะ"

         "เดี๋ยวมึงรอฟังเอง เพลงกำลังฮ๊อตเว้ย  เออนี่ เสียงพัดลมนี่ดังฉิบหาย กูปิดก่อนนะ เดี๋ยวอัดเทปไม่เพราะ" พูดจบไอ้จิวก็กดปิดปั๊บ

         พอปิดพัดลมสักครู่ สองคนก็เริ่มร้อน หันไปหันมา

         "นี่ๆ กูเตรียมเกงขาสั้นให้มึงแล้ว เปลี่ยนสิ" แว่นส่งกางเกงให้ พร้อมกับของตัวเองก็หยิบมาไว้ตัวหนึ่ง

         สมนึกหันหลังให้ แล้วรูดกางเกงยีนส์ขาม้าลงไปกองกับพื้น แว่นพึ่งสังเกตเห็นเดี๋ยวนี้เองว่าไอ้จิวไม่ได้ใส่กางเกงใน แถมตอนก้มลงไปก็ไม่ได้ระแวงอะไร ถ่างขาได้ก็ก้ม จนมองลอดเห็นไปถึงพวงไข่น้อยๆ เกลี้ยงเกลาสีชมพู ห้อยดุ๊กดิ๊กอยู่ตรงหว่างขานั้น

         ใส่กางเกงขาสั้นบางๆ เสร็จ ไอ้จิวคงยังไม่สะใจหายร้อน เลยหันมาถอดเสื้อยืดที่ใส่ออกด้วย เสื้อคงคอแคบ ตอนถอดเลยติดๆ ขัดๆ อยู่ตรงคอ แถมไปพันกับเชือกร่มห้อยพระที่คล้องอยู่ เลยยกมือคาเสื้อปิดหน้าขลุกขลักอยู่อย่างนั้น

         แว่นจะไม่มองก็ไม่รู้จะหันไปไหน ภาพที่เห็นก็คือรูปร่างของเด็กหนุ่มที่สมบูรณ์ การทำงานหนักช่วยพ่อขี้เมาขายของ ยกของ ทำให้เกิดกล้ามท้องบางๆ พอเป็นลอนๆ เอวเล็กบางยาวสอบแคบลงไป แถมมีร่องรูปตัว V แบบเสือหิว โผล่ขึ้นมาจากขอบกางเกงบางๆ นั้นด้วย

         ส่วนกล้ามแขนที่กำลังสาละวนถอดเสื้ออยู่นั้น เป็นกล้ามน้อยๆ แบบเด็กหนุ่มกำลังโต หัวไหล่สองข้างเป็นลูกกลมๆ ส่วนวงแขนที่กำลังยกสูงต่อสู้กับเสื้อยืดอยู่นั้น ก็มีไรขนรักแร้บางๆ ไล่ลามเป็นขีดๆ ตามร่องรักแร้นั้น มันเป็นรูปร่างที่สมบูรณ์มากๆ ของเด็กหนุ่มร่างหนึ่ง

         "โอย...ห่านี่" ตี๋หล่อด่าลอยๆ แบบไม่มีความหมายอะไร หลังจากถอดเสื้อสำเร็จ หัวยุ่งเหมือนคนพึ่งประกอบกามกิจเสร็จ เหงื่อซึมตามหน้าอกเป็นเม็ดๆ หน้าขาวอมชมพูจัด ถ้าผู้ชายจะมีความเซ็กซี่ และมีความดึงดูดทางเพศได้มากๆ  ตอนนี้จิวคือคนนั้น

         "เฮือกกก~" เสียงถอนหายใจผสมเสียงกลืนน้ำลายลงคอของคนข้างๆ ทำให้จิวหันหน้าไปดู

         "อ้าว ไง มึงอ่ะ ไม่เปลี่ยนเกงหรือ มึงจะอึ้งอะไรมึงอยู่เนี่ย" ตี๋หล่อถามยิ้มๆ พร้อมเสยผมที่ยาวแต่ข้างหน้าให้เข้าที่ "มึงเปลี่ยนเลย แล้วมานอนรอฟัง ดี.เจ. นี่"

         ทีนี้แว่นเลยต้องเปลี่ยนบ้าง แต่แอบนึกในใจว่าคงไม่มีฉากเซ็กซี่แบบเมื่อกี้หรอกนะ ยกให้มึงคนเดียวก็แล้วกัน

         เปลี่ยนกางเกงเสร็จ แว่นก็มานั่งแหม่ะบนขอบเตียง ตาก็จ้องไปที่วิทยุ

         "อ้าว ไม่ถอดเสื้อไงมึงอ่ะ ไม่ร้อนเหรอ"

         "หึ! ไม่อ่ะ" แว่นส่ายหัว

         "อะไรของมึง ห้องมึงบ้านมึงแท้ๆ อายไรวะ หรือมึงมีหัวนมสี่อัน ไหนๆ ถอดดูซิ๊"

         พูดจบ ไอ้ตี๋หน้าใสก็โถมทั้งตัวที่เกือบจะเปลือยเปล่าลงมาทับไอ้แว่นจนหงายเงิบลงไปบนเตียง แว่นร้องงึดๆๆ ไอ้จิวยิ่งกดปล้ำแน่นขึ้น เอาสองเข่าขึ้นทับกดสองต้นขาของแว่น จนเหมือนขาแหกกว้างออกไป กระดิกตัวไม่ได้ แล้วเอาสองมือพยายามถอดเสื้อให้แว่น ซึ่งก็สำเร็จ แถมแว่นตากระเด็นหลุดออกจากหน้า

         "ก็แค่เนี้ย เฮ้อ เหนื่อย"

         ไม่พูดเปล่า ไอ้จิวที่บ่นเหนื่อย ก็ล้มตัวช่วงบนลงไปนอนทับที่อกแว่น ช่วงขายังทับให้ขาแหกแบะออกไปอยู่ กลางลำตัวแนบกันสนิท เอาหน้าใสๆ ขาวๆ ซบลงไปกับอกเปลือยของแว่นที่มีเหงื่อซึมเล็กน้อย หายใจแรงๆ ทำเหมือนเหน็ดเหนื่อยซะเต็มประดา ต้องหมดแรงซบอยู่แบบนี้

         สักพัก ไอ้จิวก็เอามือตบ ป๊าบ!! ลงไปที่อกของแว่น ที่ตัวเองกำลังซบอยู่นั้น แล้วพลิกตัวเองออกไปนอนหงายแผ่ข้างๆ แว่น ตามองเพดานเล่น หูก็ฟังเพลงจากวิทยุ แล้วร้องตามหงิงๆๆ

         ---มึงมีความสุขเหลือเกินนะ ไอ้จิว---

         อันนี้แว่นคิด ไม่ได้พูดออกมา และในเมื่อเป็นอิสระจากการโดนปล้ำถอดเสื้อแล้ว ก็เลยพลอยนอนหงายแผ่อยู่ท่าเดิม เหมือนคนข้างๆ ไปด้วย

          "และช่วงเพลงคุณขอมาช่วงนี้นะครับ-----"

         "เฮ้ยยย มาล้าววว" จิวรีบกระดกตัวขึ้นมาจากเตียง เอานิ้วชี้แตะริมฝีปากเอาไว้ ทำนองว่า จุ๊ๆๆ อย่าส่งเสียง ส่วนอีกนิ้ว แตะรอที่ปุ่มบันทึกเสียง พร้อมที่จะกดเมื่อเพลงมา

         ส่วนแว่น ก็ลุกขึ้นนั่งอย่าง งงๆ บนขอบเตียง  หูก็ฟังเสียง ดี.เจ. พูด   ตาก็จ้องไปที่วิทยุ

         ---ครับ ช่วงนี้เป็นโทรศัพท์หลังไมค์ขอมาจากผู้ฟังทางบ้าน จาก น้องจิว ๔/๗ ขอเพลง "รอวันฉันรักเธอ" ของวงคีรีบูน มอบให้ น้องต้นข้าว ๔/๗ นะครับ แหม เพลงนี้กำลังดังมากทีเดียว

         และน้องจิวยังฝากมาบอกน้องต้นข้าวว่า "ใกล้จะสอบแล้ว ตั้งใจอ่านหนังสือนะ"

         ไปฟังกันเลยครับ "รอวันฉันรักเธอ" จากวงคีรีบูน---

         "มีดวงใจหนึ่งดวง
         จะมอบให้เธอไว้ครอง
         เมื่อยามสองเราต้องจากไกล
         พาดวงใจเลื่อนลอย
         ฝากบทเพลงบรรเลงให้ไว้
         เธอโปรดเก็บใจไว้เพื่อรอ...
         เธอโปรดจำไว้...วันที่ฉันรอ"


         "แกร๊ก!" เสียงปิดปุ่มอัดเทปดังขึ้นเมื่อทั้งเพลงจบลง เป็นอันสำเร็จภารกิจ จิวหันกลับมาที่เตียง ทันเห็นแว่น --หรือ "น้องต้นข้าว ๔/๗"-- ที่ ดี.เจ. ประกาศถึงเมื่อกี้ กำลังเอามือลงจากหน้าพอดี จะแมลงเข้าตาหรือฝุ่นในห้องเยอะยังไงไม่ทราบ เห็นแว่นเอานิ้วเช็ดๆ ที่ขอบตาพอดี

         "ไงล่ะมึง ซึ้งเลยสิ ฮ่าๆๆ ตัวแทนขอเพลง โดนยืมชื่อไปมอบเพลงให้หน่อย ซึ้งแทนดารินเลยนะมึงนะ"

         "อื่อ เพราะดีนะเพลงน่ะ" แว่นก้มหน้าตอบเบาๆ

         "อยู่แล้วล่ะ ก็กูเลือกเองนี่ ฮ่าๆๆ คนได้รับมอบเพลงตัวจริงต้องชอบแน่ๆ" ตี๋หล่อยังหน้าบานไม่หุบที่ภารกิจลุล่วงตามแผนที่วางไว้

         "มา มึง นอนกันเหอะ ง่วงแล้ว เมื่อกี้กว่า ดี.เจ. จะเปิดก็ล่อซะดึกเชียว" ตี๋หล่อตบหมอนป้าบๆ

         "เออแว่น กูนอนดิ้นนะบอกไว้ก่อน และกูติดหมอนข้างด้วย แต่ห้องมึงไม่มี ก็อดทนเผื่อกูเผลอไปนอนก่ายมึงตามความเคยชินหน่อยละกัน"

         ตี๋หล่อ ลงไปนอนแผ่ก่อนแล้ว ชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่ง พาให้กางเกงที่แสนสั้นและบางนั้น ร่นสูงขึ้นมาอีกอย่างน่าเสียวไส้

         "ไม่เป็นไรหรอก" แว่นตอบพร้อมทิ้งตัวนอนตามลงไปข้างๆ "กูเวลาหลับก็เหมือนซ้อมตายน่ะ หลับแล้วหลับเลย กรนสนั่น ไม่รู้เรื่องหรอก"

         "อื่อ ดี..." เสียงจิวอู้อี้ๆ


--------------------------------


         เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หน้าต่างของตึกวัดประยูรฯ ที่อยู่ตรงข้ามหน้าต่างห้องบ้านของแว่น แต่อยู่ระยะห่างไกลออกไปมาก ก็ถูกเปิดออก นักเรียนที่ใส่ชุดขาวมาเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์เริ่มทยอยมาแล้ว และมายื่นหน้าชะโงกเล่นที่ริมหน้าต่างนี้

         ถ้าหากตึกมันจะใกล้กันกว่าที่เป็นจริงอยู่นี้ หรือมีมือเทวดาไปลากตึกให้เข้ามาชิดกันกว่านี้ ภาพที่คนจากตึกโน้นจะมองเห็นที่หน้าต่างห้องตรงข้าม คงจะเป็นภาพเด็กหนุ่มสองคนในห้องนอน ที่มีแสงแดดอ่อนตอนเช้าสาดเข้ามาเป็นริ้วบางเบา ในสภาพแทบจะเปลือยกาย นอนตะแคงหันหน้ามาทางหน้าต่างทั้งคู่ คนหนึ่งนอนก่ายเอาแขนและขาพาดทับอีกคนหนึ่งอย่างแนบแน่นและอบอุ่น ลำตัวแนบชิดกันจนแทบไม่มีช่องว่าง ทั้งสองหลับสนิท และริมฝีปากไม่ได้เผยออ้ากรน แต่มันเป็นรอยยิ้ม...


--------------------------------


https://www.youtube.com/watch?v=uWL4i43lHFM
อัลบั้ม : รอวันฉันรักเธอ / คีรีบูน ปี พ.ศ. ๒๕๒๗



 
พัดลมสี่เหลี่ยม ไจโรแอร์



 
หอยทอดเจ้าดัง ตลาดมืด วงเวียนเล็ก



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2017 02:23:00 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2017 02:54:20 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
แหวกแนวและย้อนยุคได้ใจ
น่าติดตามมากๆ ครับ

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
อ่านแล้วนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ ขึ้นมาเลยค่ะ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เพิ่งจะเข้ามาอ่านวันนี้
บอกได้เลยว่าถูกใจมาก
มันให้อารมณ์เหมือนกับว่ากำลังอ่านเรื่องเล่า
ที่เป็นเรื่องยอดฮิตในอดีต ของเล้าเป็ดยังไงยังงั้นเลย
ขอ +1 ให้คนแต่ง สุดยอดอ่ะ

มีดวงใจ หนึ่งดวง ไม่ลวงหลอก
มีคำพูด อยากบอก จะมอบให้
มันอัดอั้น ตันตื้น ขืนข้างใน
อยากแหกปาก ออกไป กูรักมึง

ีอาการเป็นอย่างนี้
ใช่หรือเปล่า
แว่น&จิว
อิอิ

รออ่านนะ
ลัฟยู

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
รอออออออ
= ด้วยความยินดีค่ะ ขอบคุณนะคะ :impress2:


ชอบธีมเรื่องมาก
อินกับสถานที่ต่างๆ ในเรื่องมากเป็นพิเศษเลย คิคิ
ส่งกำลังใจให้คนเขียนน้าาา
สวัสดีปีใหม่ค่าาา
 :L2:
= ขอบคุณมากๆ นะคะ สวัสดีปีใหม่เช่นกันค่ะ  :impress3:


น่าติดตามมาก ต่ออีกนะ
= ด้วยความยินดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะ  :man1:


แหวกแนวและย้อนยุคได้ใจ
น่าติดตามมากๆ ครับ
= ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ  :o8:


อ่านแล้วนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ ขึ้นมาเลยค่ะ
= ขอบคุณมากนะคะ ยินดีต้อนรับสู่โลกของจิวและต้นข้าวค่ะ  :impress2:


เพิ่งจะเข้ามาอ่านวันนี้
บอกได้เลยว่าถูกใจมาก
มันให้อารมณ์เหมือนกับว่ากำลังอ่านเรื่องเล่า
ที่เป็นเรื่องยอดฮิตในอดีต ของเล้าเป็ดยังไงยังงั้นเลย
ขอ +1 ให้คนแต่ง สุดยอดอ่ะ

มีดวงใจ หนึ่งดวง ไม่ลวงหลอก
มีคำพูด อยากบอก จะมอบให้
มันอัดอั้น ตันตื้น ขืนข้างใน
อยากแหกปาก ออกไป กูรักมึง

ีอาการเป็นอย่างนี้
ใช่หรือเปล่า
แว่น&จิว
อิอิ

รออ่านนะ
ลัฟยู

= ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ รวมทั้งทุกท่านที่เข้ามาคอมเม้นต์ด้วยค่ะ

 o13
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2017 21:01:25 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBK❤lover





ตอนที่ ๕ : สนุกสุดแสนเที่ยวแดนเนรมิต


         ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ แว่นเจอสมนึกแค่ในห้องเรียน แต่ก็เหมือนเคยแหล่ะ ตี๋หล่อขี้เล่นมีอันต้องลากเก้าอี้ไม้มานั่งเบียดที่โต๊ะนักเรียนเดียวกับแว่นแทบทุกชั่วโมงเรียน ซึ่งก็ไม่มีครูคนไหนดุด่าว่ากล่าว อาจเป็นเพราะรู้ดีว่าแว่นเป็นเด็กเรียนเก่ง และสมนึกก็เป็นเด็กใฝ่รู้ คงให้แว่นติวให้ตลอดเวลา แถมเพื่อนนักเรียนที่นั่งติดกับแว่นตัวจริง เป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียน จึงต้องออกไปซ้อมหรือแข่งบ่อยๆ ไม่ค่อยเข้าเรียนตามปกติ โต๊ะติดกันนั้นจึงว่างเสมอ

         หากแต่ที่ผิดแปลกไป คือตอนเย็นไม่มีการรวมแก๊งค์น้ำปั่นเหมือนอย่างเคย เมื่อไม่มีหัวหน้าแก๊งค์ซะคนหนึ่งแล้ว แก๊งค์ซ่าส์ก็แตกไปโดยปริยาย ต่างคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

         เหมือนเย็นวันนี้ แว่นหันรีหันขวางอยู่หน้าโรงเรียนคนเดียว กำลังลังเลว่าจะไปไหนดี ก็เจอกับศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนร่วมแก๊งค์อีกคนกำลังเดินออกมาจากประตูโรงเรียนพอดี

         "อ้าวเอก จะไปไหนอ่ะ" แว่นหันไปถาม เอก-ศักดิ์สิทธิ์

         "ไม่รู้อ่ะแว่น ไปร้านน้ำปั่นกันไหม เราอยากกินลูกชิ้น" เอกถามกลับ

         "อื่อ เอาดิ เซ็งๆ"

         ฟังจบ เอกก็เดินดุ่มๆ นำหน้าไปที่สะพานข้ามคลองคูเมืองเล็กๆ ข้างหน้าทันที โดยมีแว่น เดินก้มหน้าเตะฝุ่น เตะกระป๋องนมตราหมี เตะใบตองตามถนนเล่นไปเรื่อยๆ อย่างไร้เหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น

         ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเด็กหนุ่มร่างสูงอีกคนหนึ่ง ผิวสองสี หน้าตาเป็นแบบไทยแท้เหมือนกัน แต่เหมือนหุ่นปั้น ไม่ใช่เหมือนภาพเขียนทวยเทพแบบแว่น คือเอกจะค่อนข้างแข็งๆ ใบหน้าไม่ค่อยบอกอารมณ์เท่าไร นิ่งๆ แต่หล่อน่ะหล่ออยู่ มีไรหนวดบางๆ ถ้าในสายตาผู้หญิง เอกจะอยู่ในจำพวกผู้ชายน่ากอด นิ่งสุขุมนุ่มลึก

         สองคนเดินตามกันมาจนถึงหน้าร้านน้ำปั่นเจ้าประจำ แว่นเกือบจะสั่งอยู่แล้ว แต่สายตาดันมองเลยเข้าไปที่ม้าหินหลังร้าน ก็เห็นภาพที่ใจไม่อยากจะเห็น นั่นคือจิว กำลังนั่งดูดน้ำปั่นอยู่ ส่วนตรงข้าม คือดาริน สาวน้อยอาสาวิชาชีวะ ที่แสนน่ารักนั่นเอง ส่วนจานตรงหน้า วางลูกชิ้นชุบแป้งทอดสี่ไม้ ซึ่งยังไม่มีใครแตะต้องมัน

         ความรู้สึกเจ็บแปลบ พุ่งเข้าจู่โจมในใจแว่นทันที แว่นเองก็คงบอกไม่ถูกเหมือนกัน ว่าความรู้สึกแปล๊บๆ จี๊ดๆ นี้มันเกิดจากอะไร อิจฉาเหรอ โกรธเหรอ เกลียดเหรอ น้อยใจเหรอ หรือเสียใจ

         "เอก เราไม่กินล่ะ เราไปนะ"

         "เฮ้ย เดี๋ยวดิแว่น ไปไหน เป็นอะไรป่าว" เอกตกใจ วิ่งตามแว่นออกมา

         "อื่อ ไม่เป็นอะไร จู่ๆ เราก็ไม่อยากกินขึ้นมาอ่ะ"

         "เมื่อกี้เหมือนเห็นสมนึกนั่งอยู่ในร้านแว๊บๆ นะ ใช่ป่ะ" เอกยังตามมาติดๆ

         "ช่างมัน!! ไม่เห็น! เราไม่รู้!!" แว่นสะบัดใส่

         "อ่ะ อ่ะ ไม่ก็ไม่ เฮ้อ ไรเนี่ย" เอกไม่ทู่ซี้ต่อ "จะกลับเลยไหม บ้านเราอยู่ราม เราจะเดินไปขึ้นรถเมล์ตรงป้ายรถหน้าตึกมาบุญครอง ที่กำลังสร้างใหม่ข้างหน้าเนี่ย เดินไปด้วยกันไหม"

         ---ตึกมาบุญครอง ที่กำลังสร้างใหม่---

         คำนี้ สถานที่นี้ สะดุดหัวใจแว่นขึ้นมาอย่างแรง  ไม่ได้ล่ะ!  ตึกนี้แว่นจะไปกับคนอื่นไม่ได้  ครั้งหนึ่งเคยมีเด็กหนุ่มสองคนขึ้นไปกระโดดเล่นบนเสาเข็มนี้มาก่อน โลกใบนั้นตอนนั้นมีแค่สองคน เราสองคนเป็นเจ้าของ เพราะเห็นก่อน จะมาให้คนอื่นใช้ตึกนี้ร่วมด้วยได้ยังไงกัน

         "ไม่ได้!! ไม่ไป!!" แว่นเสียงแข็ง แต่พอเห็นสีหน้าประหลาดใจของเอกแล้ว นึกได้ว่าเจ้ารูปหล่อหน้านิ่งนี่ ยากที่จะทำสีหน้าแบบนี้ออกมา แสดงว่าแรงไป

         "เอ่อ โทษๆ เราขอโทษนะเอก เราไม่อยากไปไหนทั้งนั้นอ่ะ เรากลับบ้านนะ" แว่นกลับมาใช้เสียงเบอร์ ๑ เหมือนเดิม

         "โอเค นายกลับบ้านดีๆ นะ เราไปล่ะ ฝันดีนะ" เอกบ๊ายบาย แล้วเดินจากไป

         แว่นหยุดมองแผ่นหลังของเอกที่เดินไป แล้วมองทอดตาเลยไปไกลข้างหน้าอีก จริงๆ มองไปก็ไม่ถึงหรอก แต่อยากมองเลยไปให้ถึงตึกที่เราสองคนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ หึหึ! เราสองคนเท่านั้นเป็นเจ้าของ

         แว่นเดินเลยมาซะไกลแล้วจากตรงที่แยกกันกับเอก จนจะขึ้นรถเมล์สาย ๗ อยู่แล้ว พึ่งนึกขึ้นมาได้

         ---เมื่อกี้เอกมันบอกว่า ฝันดีนะ--- มันบอกเราทำไมหว่า...ยังไม่ค่ำ...ยังไม่ได้กำลังจะขึ้นนอนซะหน่อย!!

 
--------------------------------


         "แว่นๆๆๆๆ"

         ตี๋หล่อวันนี้มาไม้ไหนอีกล่ะเนี่ย  ทำอะไรยุกยิกๆ ข้างตัวแว่นแต่เช้าตั้งแต่วิชาเรียนแรก

         "อะไรวะจิว แหง่วๆ อยู่นั่นล่ะ" แว่นถาม โดยยังแหงนมองกระดานดำอยู่

         "เดี๋ยวจะสอบเสร็จแล้ว และก็ปิดเทอมใหญ่ตั้ง ๓ เดือนกว่าจะเปิดเทอม กว่ามึงกะกูจะกลับมาเจอกันอีก น๊าน นาน ก่อนปิดเทอมเราไปเที่ยวชุดใหญ่กันเถอะ" จิวว่า

         "อ้าว ทำไมไม่ได้เจอล่ะ!!" แว่นโพล่งออกมาทันที เสร็จแล้วก็มานั่งนึกว่าถามผิดป่าวหว่า แทนที่จะโฟกัสว่าจะไปเที่ยวไหนกัน กลับมาห่วงว่าจะเจอหรือไม่เจอกับจิว

         "หึ๋ยย กูไม่อยู่บ้านตอนปิดเทอมน่ะ พ่อกูจะให้กูไปอยู่กับญาติที่นครฐมน่ะ"

         "ไปทำไมวะ คอนถม" แว่นหันมามองหน้าตรงๆ

         "พ่อกูจะให้กูไปเรียนรู้การฉีดพลาสติกรองเท้าฟองน้ำอ่ะ เผื่อแกจะซื้อเครื่องมือสองมาทำเองบ้าง" จิวเล่า

         "อืม เสียดาย..." แว่นพูดลอยๆ เบาๆ ออกไป ซึ่งตัวเองก็ไม่รู้ความหมายเหมือนกันว่าเสียดายอะไร

         "ไรวะ นี่ๆๆ ตกลงไปนะ ไปกันเยอะๆ และเหมือนไปเที่ยวเลี้ยงส่งไอ้ดิเรกด้วย ที่มันต้องย้ายโรงเรียนกลางคัน มันจะกลับนครสวรรค์แล้วอ่ะ เราไปฉลองกันที่ -แดนเนรมิต- ฮิ้วๆๆ" สีหน้าสีตาคนพูดดูมีความสุข

         "อ้อจริงสิ เลี้ยงส่งไอ้ดิเรกด้วย โอเค" แว่นรับปาก "ไปแดนเนรมิตเนอะ"


--------------------------------


         แล้วเช้าวันนั้นก็มาถึง ที่จุดนัดพบคือสนามหลวงฝั่งแม่พระธรณี หน้าซุ้มขายหนังสือเก่าหมายเลข ๑๘ ส่วนตลาดนัดเสาร์-อาทิตย์รอบสนามหลวง ได้ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ตรงสวนจตุจักรแล้วเมื่อสองปีก่อน สนามหลวงเลยดูโล่งๆ แปลกตาไป

         คณะวัยรุ่นครั้งนี้ ประกอบไปด้วย แว่น สมนึก ดิเรก ศักดิ์สิทธิ์ สมพล เนติ ราชา สมหมาย ดาริน และเพื่อนผู้หญิงของดิเรก อีกสองคน และเพื่อนชายต่างโรงเรียนของศักดิ์สิทธิ์อีกคนหนึ่ง ซึ่งหน้าตารูปร่างดีมากๆ รวมทั้งหมด ๑๒ คน

         ทั้งหมดขึ้นรถเมล์ครีมแดง จองที่นั่งด้านหลัง และนั่งหัวสั่นหัวคลอนจากสนามหลวงรวดเดียวชั่วโมงกว่า ก็ลงรถมายืนหล่อยืนสวยหน้าห้างสรรพสินค้าที่เปิดใหม่ของกรุงเทพในขณะนั้น -เซ็นทรัลลาดพร้าว- แล้วพากันเดินลัดซอยมาถนนอีกฝั่งหนึ่งเพื่อจะข้ามไปแดนเนรมิต  ก็ได้เห็นสิ่งก่อสร้างที่แปลกตาอย่างหนึ่ง ตั้งงามตระหง่านอยู่ข้างหน้า

         ปราสาทเจ้าหญิงดิสนีย์ ปราสาทนอยส์ชวานสไตน์แห่งเมืองไทย
 
         "วู๊ๆๆ ได้มาเที่ยวแดนเนรมิตล่ะโว้ยยย" หนึ่งใน ๑๒ คนนั้นตะโกนขึ้นมาอย่างมีความสุข

         แล้วช่วงเวลาหลังจากนั้น ก็เป็นเวลาเหมือนอยู่บนสวรรค์ของเด็กจริงๆ

         ทั้งรถไฟเหาะตีลังกา กระเช้าสวรรค์ ไวกิ้ง ล่องแก่งมหาภัย รถไฟรางเดี่ยวโมโนเรียล จานหมุน บ้านผีสิง ฯลฯ สนุกสนานกันเหมือนประหนึ่งโลกไม่เคยมีคำว่าความทุกข์ มีแต่เสียงหัวเราะและร้องกรี๊ดๆ โลกนี้มีแต่เจ้าชายกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย หรือจะมีเจ้าชายกับเจ้าชาย...

         --เอ๊ะ!! จู่ๆ แว่นก็นึกคำนี้ออกมาได้ยังไง เจ้าชายกับเจ้าชาย! มันมาจากอะไรหว่า

         หันไปหันมา ก็เห็นเหตุที่มาของคำนี้แล้ว นั่นคือ เอก-ศักดิ์สิทธิ์ กับเพื่อนชายหนุ่มน้อยที่แสนหน้าตาดีของเขาที่มาด้วยกัน มันทำให้แว่นและเพื่อนๆ ในกลุ่มหลายคนเห็น แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

         ทั้งสองคนนั่นเหมือนเป็นเจ้าชายกับเจ้าชายรุ่นเยาว์จริงๆ ทั้งความหล่อน่ารักสมกันของทั้งคู่ รูปร่างที่สูงโปร่งเหมือนวัยรุ่นที่กำลังยืดตัวสุดๆ การแต่งตัวที่คล้ายกัน แม้กระทั่งยามทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง ทั้งสองมีการแตะเนื้อต้องตัวกันมากกว่าเพื่อนปกติ แต่ไม่ถึงกับจับมือกันเดิน เป็นการที่คนใดคนหนึ่ง ประคองหน้าประคองหลัง หรือแค่แตะแขนเบาๆ ระหว่างกัน หรือซุกตัวเข้าหากันเวลาเข้าบ้านผีสิง

         ถ้าลองเปิดใจกับเรื่องนี้ มันก็เป็นคู่ที่ดูดี และงดงามมากๆ ของวัย ของมนุษย์ ของมิตรภาพที่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น...ต่อไปก็อาจ...

         "เอี๊ยดดดด ป้าบบบ~" แว่นสะดุ้งจากแรงตบแผ่นหลังนั้น พอหันไป เห็นตี๋หล่อตัวดียิ้มเผล่ให้อยู่ พร้อมซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง

         "มาเหม่อคิดอะไรอยู่ตรงนี้วะแว่น อ่ะกูซื้อมาให้"

         ตี๋หน้าหล่อ ที่วันนี้ดูหล่อกว่าปกติ อาจเพราะเจือด้วยลมแดดจนหน้ามีสีชมพูอ่อนๆ ไล่สีบนหน้าหล่อนั้น จนดูมีมิติขึ้นมาอีกโข และใส่เสื้อผ้าวัยรุ่น ไม่ใช่ชุดนักเรียน --จิวส่งน้ำตาลสายไหมสีสวยที่ซ่อนอยู่ข้างหลังให้แว่นไม้นึง แว่นรับมาถือไว้

         "สนุกดีเนอะวันนี้ มึงสนุกไหมอ่ะ เหนื่อยหรือยัง หิวไหม อยากเล่นอะไรกับกูอีกไหม" ตี๋ยิ้มพร้อมคำหวาน

         จากคำพูดประโลมใจแบบนี้ มีเครื่องเล่นอีกยี่สิบอย่าง ให้เล่นหมุนจนอ้วก แว่นก็จะขึ้นไปเล่น ใบหน้ากำลังจะเริ่มมีรอยยิ้มตอบรับไอ้จิวไป แต่แล้วกล้ามเนื้อบนหน้าก็ต้องเบรคเอี๊ยดล้อฟรี! เมื่อเหลือบไปเห็นมืออีกข้างของสมนึก ถือไม้น้ำตาลสายไหมสีหวานอีกสองไม้ --จะเอาไปให้ใครซะอีกล่ะ!!!

         "ไม่เล่นอ่ะ กูเหนื่อยแล้ว เวียนหัวจะอ้วก" โทนเสียงต่ำของแว่นเริ่มมารำไร

         "ฮ่าๆ กูก็เวียนหัว ไอ้หนวดปลาหมึกหมุนๆ ทำกูจะตายให้ได้ แต่เดี๋ยวรอก่อนเนอะ รอดูขบวนพาเหรดแฟนซีการ์ตูนก่อน ค่อยกลับเนอะ เดี๋ยวกูมานะ" แล้วจิวก็เดินตรงไปที่กลุ่มดาริน

         ตอนนั้นแว่นไม่แน่ใจแล้วว่าน้ำตาลสายไหมไม้นั้นจะหวานหรือขม  ดีที่ต่อจากนั้นเป็นเวลาของขบวนพาเหรดแฟนซีเทพนิยายพอดี ความแปลกใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจของมันทำให้ลืมทุกข์ใดๆ ไปได้ชั่วขณะ

         ตะวันใกล้พลบค่ำแล้ว เด็กๆ ทั้ง ๑๒ คนก็มาจบที่หน้าปราสาทเทพนิยายอีกครั้งหนึ่ง แสงแดดริ้วสุดท้ายสีส้มสวยกำลังพาดผ่านตัวปราสาทเจ้าหญิงพอดี หนุ่มสาว ๑๒ ชีวิตยืนอยู่หน้าปราสาท จับกลุ่มคุยกันเหมือนตั้งท่าถ่ายรูปหมู่ แต่ไม่ได้ถ่ายหรอก ไม่มีใครมีกล้อง เด็กอายุแค่นี้ในเวลานั้นไม่มีใครมีกล้องถ่ายรูปเป็นของตัวเอง หลายๆ ครอบครัวก็ไม่มีกล้องถ่ายรูปเป็นของตัวเองที่บ้านด้วยซ้ำ

         แต่ไม่เป็นไร ไม่มีภาพถ่าย แต่ความทรงจำแห่งวัยเยาว์ครั้งนี้ คงจะติดตราตรึงใจไปกับตัวอีกนานแสนนาน ส่วนจะมากจะน้อย หรือใครพัวพันกับใคร เหตุการณ์ต่อไปในวันข้างหน้าคงจะบอกได้ ว่าให้จำ...หรือลืม

 
--------------------------------

 
ปราสาทเทพนิยาย ที่แดนเนรมิต




ตลาดนัดสนามหลวง วันเสาร์-อาทิตย์ ก่อนจะย้ายไปที่สวนจตุจักร




ซุ้มขายหนังสือเก่า ที่ริมคลองหลอด สนามหลวง




 
ศูนย์การค้าสยาม หรือสยามเซนเตอร์ ในช่วงเวลาที่ตึกมาบุญครองกำลังก่อสร้าง



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2017 02:23:24 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2017 02:59:41 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ใจสับสน ปนสั่นไหว ไม่รู้เรื่อง
หนุนนำเนื่อง เป็นวูบวูบ ลูบริ้วไหว
ไหลน้อยน้อย ค่อยซึมซาบ อาบลงไป
จังหวะเต้น ของหัวใจ ให้ระรัว

หนุ่มน้อยอ่อนหัด
ไม่เจนจัดในความรัก
อิอิ

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
โธ่ หนุ่มแว่น
เข้มแข็งเข้าไว้
 :mew1:

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBK❤lover





ตอนที่ ๖ : ความลับในซองสีน้ำตาล


         ไอ้ดิเรกโทรศัพท์มาที่บ้านแว่นในคืนนั้น เพื่อจะบอกว่าคืนพรุ่งนี้จะมาขอค้างบ้านแว่น เพราะครอบครัวดิเรก ต้องลงเรือที่ท่าสะพานพุทธตอนตีสี่ เพื่อบรรทุกข้าวของจำนวนมากลงเรือใหญ่ล่องกลับไปนครสวรรค์ และดิเรกจะมานอนรอเวลาที่บ้านแว่นเพราะใกล้สะพานพุทธ  ส่วนบ้านญาติของดิเรกที่ซอยกุฎีจีนมีแต่ลังข้าวของเตรียมย้าย ดิเรกไปนอนด้วยอีกคนไม่พอ

         คืนนี้แว่นเลยเตรียมจัดห้องนอนให้เรียบร้อยหน่อย ก็แค่ตรงหลังตู้เตี้ยนั่นแหล่ะ เพราะเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวในห้อง นอกเหนือจากเตียงใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าดิเรกจะมีกระเป๋ามาด้วยมากน้อยแค่ไหน

         แว่นดันวิทยุเข้าไปชิดผนัง เอาผ้าคลุมไว้ ดิเรกมันคงไม่ฟังวิทยุหรอกมั้ง เอากระเป๋านักเรียนจาคอป ซึ่งไม่มีสมุดเรียนในนั้นไว้ซอกข้างเตียง แล้วจัดวางกองหนังสือใหม่ให้เรียบร้อย จนถึงชิ้นสุดท้ายบนสุดของกองนั้น แว่นหยิบมันขึ้นมา

         มันคือซองไปรษณีย์สีน้ำตาลหนา ที่แม่สั่งให้แว่นเอาไปส่งต่อให้น้าเดียร์ตามที่อยู่ใหม่

         แว่นเอามือลูบบนซองนั้น ทำไมแว่นจะไม่รู้ว่าในซองนั้นคืออะไร และน้าเดียร์ต้องการมันมากขนาดไหน


--------------------------------


         คืนหนึ่งเมื่อหกเดือนก่อน ที่น้าเดียร์ยังอยู่บ้านแว่น และนอนบนเตียงเดียวกันกับแว่นในห้องนี้ ปกติแว่นจะนอนชิดผนังในสุด และน้าเดียร์จะนอนริมนอกใกล้ตู้เตี้ยนั่น

         คืนนั้นเป็นฤดูหนาว แว่นนอนคลุมโปงด้วยผ้านวม พอตกดึกแว่นปวดท้องฉี่ แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาใต้ผ้านวมก็พบกับความผิดปกติข้างที่นอน แว่นค่อยๆ แง้มผ้านวมที่คลุมขึ้นนิดเดียว

         ภาพที่เห็นก็คือบนตู้เตี้ยนั้นมีโคมไฟเล็กๆ เปิดอยู่ น้าเดียร์นอนหงายอยู่บนที่นอน บนเตียงเดียวกับแว่นนี่แหล่ะ

         แต่ที่ผิดปกติคือเรือนร่างน้าเดียร์เปลือยเปล่า

         น้าเดียร์ ซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ ๒๒ ปี หน้าตาดี ค่อนไปทางหน้าหล่อแบบหวานๆ ผมสีน้ำตาลอ่อนยาวปรกหู รูปร่างค่อนข้างจะผอมบาง สูงยาว

         สิ่งที่แว่นแอบเห็น คือน้าเดียร์นอนหงายราบกับที่นอน ปรือตาพริ้มอย่างเป็นสุข มือข้างขวายกพาดขึ้นไปบนหมอนเหนือหัว เห็นขนรักแร้น้าเดียร์ดกดำฟูฟ่อง ส่วนมือข้างซ้ายกำลังลูบไล้ไปตามหน้าอกตัวเอง ซึ่งเป็นจุดเล็กๆ สีอ่อน และตอนนี้กำลังแข็งเป็นตุ่มไต

         น้าเดียร์ใช้มือลูบที่ส่วนบนตัวเอง บางช่วงก็แอ่นหลังตามจังหวะ บางช่วงก็ลูบลามลงไปตรงหน้าท้องที่แบนราบ ลูบผ่านตรงไหน เหมือนเนื้อตรงนั้นจะเกร็งแข็งไปตามมือ

         แว่นมองเลื่อนลงไปอีก เห็นกลุ่มเส้นสีอ่อน ละเอียดบาง  มันกินพื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ ต่ำลงไปเป็นท่อนสีเนื้อ ที่ตื่นเต็มที่ของน้าเดียร์ ขนาดใหญ่ อวบ และค่อนข้างยาว องศาตรงขึ้นข้างบน ไม่ได้โค้งไปทางใดทางหนึ่ง ดังนั้นเมื่อน้าเดียร์ซึ่งตัวผอมบางนอนราบแบบนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าประติมากรรมส่วนนี้ของน้าเดียร์ จะตั้งสง่าออกมาจากกลางลำตัวแค่ไหน

         และตอนนี้น้าเดียร์ไม่ได้ใช้มือจับมัน แต่มันก็ทรงตัวอยู่อย่างนั้นจนดูเหมือนแทบจะปริแตก และปลายสุด มีหยดใสอยู่ เหมือนเป็นสายใยบางๆ ย้อยหนืดลงมา ซึ่งมองจากมุมของแว่นตรงนี้แล้ว มันสะท้อนกับแสงหลอดไฟบนตู้ จนดูเหมือนมีประกายเพชรวิบวับอยู่บนนั้น

         และส่วนท้ายสุด เป็นถุงเนื้อ ทรงรี สีอ่อน บางทีก็อ่อนนุ่ม บางทีก็ดูตึง มันรั้งขึ้นและย้อยลง ตามจังหวะ เหมือนมีลมหายใจของมันเอง น่าตื่นตะลึงยิ่งนัก

         พักใหญ่ๆ น้าเดียร์เอามือขวาลงมา ในมือขวาน้าเดียร์มีซองสีน้ำตาลแบบเดียวกับที่แว่นมีอยู่นี่ น้าเดียร์เปิดซอง แล้วหยิบปึกรูปในนั้นออกมา เลือกหยิบบางรูปขึ้นจ้องดู ส่วนรูปที่เหลือตกกระจายอยู่ข้างตัว แว่นมองไปที่รูป มันเป็นรูปลับเฉพาะของนายแบบ ที่มีอวัยวะตื่นตัวทั้งสิ้น

         น้าเดียร์กำลังช่วยตัวเองกับรูปโป๊ผู้ชาย!!

         น้าเดียร์เริ่มใช้อีกมือลงไปสนุกกับของตัวเอง ปากได้รูปของน้าเดียร์สูดลมเข้าไป แล้วปล่อยลมออกมาดัง "อ่าห์"

         น้าเดียร์เพลิดเพลินอยู่พักใหญ่ แล้วเลือกรูปขึ้นมาเปลี่ยนจ้องอีกสองสามรูป จนน้าเดียร์เริ่มมีเสียงร้องและเสียงหายใจแหบเครือ หน้าตาที่หล่อน่ารักของน้าเดียร์ ตอนนี้ยิ่งน่าดูมากขึ้น กับการเกร็งหน้าไปตามอารมณ์

         จนท้ายสุด ร่างน้าเดียร์กระตุกเบาๆ แอ่นหลังขึ้นไป แล้วปลดปล่อยออกมา ซึ่งมีกลิ่นพิเศษอ่อนๆ ลอยมาถึงใต้ผ้าห่มแว่น สิ่งนั้นกระจายไปทั่วท้องและต้นขาของน้าเดียร์ และยังเหลือหยาดค้างที่สุดปลายนั้นอีก ยังไหลรินกระทบแสงไฟออกมาระยิบระยับแพรวพราวเป็นสายเรื่อยๆ

         น้าเดียร์นอนหอบอยู่สักครู่ แล้วเอาผ้าขนหนูมาเช็ดทำความสะอาด แล้วใส่กางเกงขาสั้น เก็บรูปโป๊ลงซองสีน้ำตาลใส่ตู้ ปิดไฟ แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความสงบ

         แต่สิ่งที่ไม่สงบในคืนนั้น คือแว่นฉี่รดที่นอนเป็นครั้งแรก และฝันเปียกเลอะกางเกงในที่ใส่ เป็นครั้งแรกของชีวิตวัยรุ่น


--------------------------------


         จากเหตุการณ์ของน้าเดียร์เมื่อหกเดือนก่อน ทำให้แว่นเริ่มไม่แน่ใจในตัวเองแล้ว ว่าจริงๆ แล้วแว่นชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย

         แว่นเคยนอนคิดอยู่หลายคืน ว่าทำไมที่แอบเห็นน้าเดียร์เล่นสนุกกับตัวเองในคืนนั้น แว่นรู้สึกว่าตัวเองมีอารมณ์ทางเพศมาก แล้วก็วกมาสับสนคิดใหม่ ว่าแล้วทำไมตอนเจอดารินครั้งแรก แว่นก็รู้สึกชอบและประทับใจ ตกลงแว่นเป็นอะไรกันแน่

         มีวันหนึ่ง แว่นเคยถึงขนาดจะลองจับผิดตัวเองดู เคยลองช่วยตัวเองแบบมีสติ หมายถึงจะไม่ปล่อยไปตามอารมณ์เรื่อยเปื่อย แต่จะลองสนุกกับตัวเองแล้วจะลองนึกถึงหน้าคนสองคน

         วันนั้นแว่นนอนเปลือยกายบนเตียง หลับตา แล้วเอามือจับ "น้องเนื้อ" ของแว่นเองเล่นเพลินๆ โดยยังไม่คิดอะไร

         ช่วงแรก แว่นลองสนุกโดยที่นึกถึงหน้าของน้าเดียร์ นึกถึงประติมากรรมตั้งสง่ากลางตัวของน้าเดียร์ ช่วงนี้แว่นมีความสุขมาก หลับตาปี๋

         แล้วแว่นลองเปลี่ยนบ้าง แว่นลองนึกใหม่ไปถึงหน้าดาริน แล้วลองสนุกต่อ น้องเนื้อของแว่นคลายตัวลงเล็กน้อย แต่ยังสนุกได้อยู่ สนุกไปนึกถึงหน้าดารินไป เอ๊ะ ทำไมนึกได้แต่หน้า ทำไมไม่จินตนาการไปถึงหน้าอก นม สะโพก ต้นขา หรือไม่แม้แต่ส่วนที่ควรนึกล้วงลึกไปถึง เหมือนที่เคยเห็นจากรูปโป๊ผู้หญิงทั่วไป

         นานเข้า น้องเนื้อของแว่นก็อ่อนตัวลงทุกที  จินตนาการถึงดารินก็ยังอยู่แค่หน้า ยังไม่เลยลงไปแม้กระทั่งคอหรือติ่งหู ไปไม่ถึงไหนสักที

         แว่นเปลี่ยนกลับใหม่ ทีนี้นึกไปถึงของดีระดับโอทอปของน้าเดียร์ใหม่ ตัดภาพไปถึงตอนที่น้าเดียร์แอ่นตัวปล่อยนองออกมาเป็นสาย ไหลวนลงมาตามประติมากรรมนั้น

         นึกไปถึงตรงนี้ น้องเนื้อของแว่นเองก็ขึ้นตัวอย่างรุนแรง จนปวดหัว เพราะเลือดในกายก็สับสน ว่าจะไหลไปเลี้ยงสมองหรือไหลไปกองที่ส่วนล่างนั้นดี

         แว่นขยับมือเพิ่ม จนแว่นคิดว่าตอนนี้ถ้ามีรูที่ผนังหินรูเล็กๆ แว่นคงใช้น้องเนื้อของแว่นนี้ ทิ่มเซาะช่องหินนั้นให้แตกระเบิดขยายออกไปได้เลยล่ะ

         จนท้ายที่สุด มาถึงจุดทำลายล้าง เมื่อขยับมือครั้งสุดท้ายลงไป แล้วแว่นก็ปล่อยมือออกทันที ยกมือทั้งสองพาดขึ้นไปที่หมอนบนหัว แล้วหลับตา เข็มวินาทีเดินไปอีก ๕ วินาทีหลังจากปล่อยมือ  มันก็ระเบิดตัวเองอย่างรุนแรง ไปแตกกระจายตัวอยู่ข้างบน แล้วยังมีอาฟเตอร์ช็อคตามมาอีกหลายระลอก โดยที่ไม่ได้ไปแตะต้องมันอีก เหมือนบ่อตาน้ำผุด ล้นแล้วล้นอีก

         แต่สิ่งที่แว่นตกใจช็อคมากกว่า  นั่นก็คือตอนที่หลับตา ก่อนหัวขบวนมวลน้ำจะดันออกมาระลอกแรก ตอนที่ยังอยู่ในภาวะอาการ "สุดๆ ถึงจุด" นั้น ภาพในหัวแว่นยังเห็นของน้าเดียร์ที่กำลังพ่นสายธาร แต่ใบหน้าไม่ใช่น้าเดียร์ แต่เป็นใบหน้าของจิวไปแทนที่!!!!

         ถึงตอนนี้ แว่นก็เริ่มคิดแล้วว่าตัวเองควรจะไปทางไหนดี จุดสุดยอดช่วงที่นรกสวรรค์มาบรรจบกันนั้น มันบังคับความคิดไม่ได้  มันผุดออกมาเองจากส่วนลึกและความต้องการของจิตใจ

         ส่วนใบหน้าของดาริน แว่นก็แอบคิดขำๆ กับตัวเองไปว่า ที่ประทับใจในหน้าของดาริน ก็เพราะคงอยากได้ใบหน้าที่เรียบเนียนดูดีมีออร่าแบบดารินมั้ง เพราะหน้าของแว่นเองก็สิวเขรอะเชียว คงอยากได้เป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจ อยากให้ตัวเองดูดี และประทับใจคนทุกคนที่พบเห็น อยากเป็นคนถูกรุมรักบ้าง

         นึกมาถึงตรงนี้ แว่นก็คิดได้แล้ว ว่าสามเดือนที่โรงเรียนปิดเทอมนี้ แว่นจะทำอะไร...


--------------------------------


         ดิเรกมาถึงบ้านแว่นเมื่อพลบค่ำแล้ว และบอกแว่นว่ากินข้าวกินปลามาเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องวุ่นวาย แว่นจะมีอะไรทำก็ตามสบาย

         "งั้นเราพาเธอขึ้นไปนอนเล่นที่ห้องก่อนนะ"

         แว่นไม่ได้พูดกูมึงกับดิเรก อาจเพราะไม่ได้สนิทกันมากด้วย

         "ตามสบายเลยเพื่อน ไม่ต้องห่วงเรานะ" ดิเรกยิ้มๆ

         "เดี๋ยวเราจะออกไปวงเวียนใหญ่กับแม่สักสองชั่วโมงนะดิเรก แม่จะไปไหว้แก้บน ถวายมาลัยเจ็ดสีน่ะ" แว่นบอกก่อนเปิดประตูห้องนอนให้ดิเรก

         ทั้งคู่เข้ามาในห้องนอน ดิเรกหันไปกวาดตามองรอบๆ ห้อง ดูเตียงดูตู้ แต่ไม่ได้พูดอะไร แล้วลงไปนั่งบนขอบเตียง แว่นพึ่งสังเกตว่าดิเรกมาตัวเปล่า ไม่ได้มีกระเป๋าเดินทางหรืออะไรมาด้วยอย่างที่คิด

         "ในบ้านเหลือแต่พ่อที่ไม่ได้ออกไปด้วย แกขี้เกียจเดินน่ะ ป่านนี้คงเข้านอนแล้ว เธอก็นอนเล่นตามสบายนะดิเรก หรือจะลงไปเปิดดูทีวีข้างล่างก็ได้ ไม่มีใครอยู่หรอก"

         "อื่อ ขอบใจนะแว่น แต่คงนอนแหล่ะ เราต้องออกไปท่าเรือตอนตีสี่น่ะ" ดิเรกเริ่มล้มตัวนอนบนเตียง

         "โอเค งั้นเราออกไปกับแม่เราก่อนนะ" แว่นงับประตูห้องปิดให้เบาๆ

         หลังจากแว่นออกไปแล้ว ดิเรกก็หันซ้ายหันขวา ไม่เห็นตู้เสื้อผ้าในห้องนี้ ก็ก้มลงมองที่ชุดตัวเองที่ใส่มา มันเป็นชุดเดินทางเต็มยศเลยนะนี่ ทั้งยีนส์ขาม้า เสื้อเชิร์ตแขนยาวลายตาราง และทับด้วยเสื้อยีนส์อีก จะนอนยังไงนี่ ในห้องนี้ก็ไม่มีชุดเปลี่ยนซะด้วย

         ดิเรกจึงเดินไปที่ประตู กดล็อคห้อง แล้วถอดเสื้อยีนส์ออกแขวนไว้ที่ลูกบิดประตู ตามด้วยเสื้อเชิร์ต อวดผิวสองสีที่เป็นมันละเลื่อมด้วยเม็ดเหงื่อ ดิเรกค่อนข้างเตี้ย และไม่ใช่คนผอมแห้ง จะเป็นผู้ชายตัวแน่นๆ แต่มีมัดกล้ามที่แข็งแรง

         ดิเรกเอามือลูบหน้าท้องที่เปล่าเปลือยของตัวเองเสร็จ ก็ก้มมองกางเกง ก็คงนอนลำบากอยู่ดี ไหนๆ แว่นก็ผู้ชายด้วยกัน ไม่ใส่กางเกงนอนคงไม่เป็นไรมั้ง

         ว่าแล้วดิเรกก็นั่งลงที่เตียง ถอดกางเกงยีนส์ออก แล้วยืนขึ้นเพื่อเอากางเกงแขวนที่ประตู ดิเรกในตัวเปลือยเปล่า มีแค่กางเกงในแอปเปิ้ล ที่เป็นผ้ายืดลายขวางสายรุ้งเจ็ดสี มันค่อนข้างจะเก่าย้วย ทำให้ส่วนหน้าของมัน ที่โดนสิ่งที่อยู่ข้างในดันให้อวบอูมนูนป่องออกมาจากตัวมากๆ ประจวบกับเจ้าตัวชอบเก็บเหน็บอาวุธประจำกายแบบ "พาดขึ้น" ด้วยแล้ว มันจึงนูนเด่นออกมาเต็มสูบของมัน

         หลังจากนั้นดิเรกก็ลงไปครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียง สายตาก็มองหาว่าจะหาความบันเทิงอะไรฆ่าเวลาดีในห้องนี้ โทรทัศน์ก็ไม่มี วิทยุก็คลุมผ้าไว้ คงจะพังใช้การไม่ได้แล้วล่ะมั้ง หนังสือก็ไม่ชอบอ่าน เลยนั่งเฉยๆ เหม่อมองออกไปที่หน้าต่าง

         นอกหน้าต่าง ก็มีแต่ความมืด มองไม่เห็นอะไร นั่งมองไปมองมา ความเวิ้งว้าง ความเหงาต่างๆ ก็เข้าครอบงำ และมาฉุกคิดได้ว่า พรุ่งนี้ต้องลงเรือกลับนครสวรรค์ ต้องอยู่บนเรือเป็นวันๆ ไม่มีเวลาส่วนตัว งั้นคืนนี้จัดการตัวเองให้สบายตัวดีกว่า

         คิดแล้วดิเรกก็เริ่มเอามือลูบไล้อกตัวเอง อกที่แน่น เป็นมันเลื่อมลูบได้ลื่นมือ อีกมือก็ลงไปสนุกอยู่ที่กางเกงในแอปเปิ้ล จนมันบวมแน่นแทบปริ และไม่นาน ก็มีส่วนพองยืดตัวยาวลามโผล่ออกมาจากขอบกางเกงในแอปเปิ้ล

         ดิเรกเลิกขยำที่กางเกงใน กลับมาใช้ทั้งสองมือขึ้นมาลูบไล้หน้าอกหนักขึ้น ส่วนด้านล่าง มีชิ้นส่วนเลื้อยโผล่ยาวออกมาเรื่อยๆ จนมันพ้นขอบกางเกงแอปเปิ้ลออกมามาก และความแข็งแรงของมัน มันดันตัวจนเป็นอิสระทั้งชิ้น จนขอบกางเกงในย้วยเปิดทางร่นลงไปให้เองโดยไม่ต้องใช้มือหยิบยกออกมา

         บัดนี้ท่ามกลางความสว่างเต็มที่ของห้องที่เปิดไฟไว้ หนุ่มน้อยผิวคล้ำล่ำสัน กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนกลางเตียง ขาสองข้างถ่างออกกว้างและเหยียดทอดยาวราบออกไป กำลังหลับตาจินตนาการพริ้ม สองมือสาละวนอยู่บนหน้าอก และคลึงบนหน้าอกนั้น ส่วนด้านล่าง มันคือเจ้าแห่งรัตติกาลโดยแท้ มันมีสีคล้ำเข้มน่าเกรงขามและประกาศตัวเป็นอิสระ กำแทบไม่รอบ แข็งแรงจนเส้นเลือดขึ้นวนเป็นเส้น โค้งขึ้นด้านบน จนเลยระดับสะดือ และขณะนี้มันเริ่มมีสายใยใสๆ ยืดเป็นยางย้อยหยดลงมาบนเตียงแล้ว

         ก่อนที่ดิเรกจะจัดการอะไรต่อ ความเคยชินที่เคยทำๆ มา เขาจำเป็นที่ต้องมีรูปโป๊ในการใช้ประกอบกิจนี้ให้ลุล่วงไป

         ดิเรกจึงลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เตี้ยๆ ข้างผนัง โดยที่เจ้าแห่งรัตติกาลเบื้องล่างก็ยังคงตั้งสง่าภาคภูมิอยู่ สายใยเหนียวหยดย้อยตามทางที่เดิน ดิเรกเปิดตู้แล้วก้มลงมอง เผื่อว่าไอ้แว่นมันจะซุกหนังสือโป๊ไว้บ้าง จะขอยืมใช้ตอนนี้หน่อย

         แต่ในทุกตู้ไม่มีสิ่งนั้น ทุกตู้แน่นขนัดไปด้วยกองหนังสือ จะเอาอะไรยัดเพิ่มลงไปยังไม่ช่องว่าง

         ดิเรกยังไม่ละความพยายาม และหงุดหงิดที่สายใยเยิ้มข้างล่างมันเป็นสายไหลไม่หยุด จึงใช้มือป้ายวนเช็ดออก แล้วเอามือนั้นขึ้นมาป้ายเช็ดที่หน้าอกและสีข้างตัวเอง แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่ง...
 
         นั่นปะไร!! ซองสีน้ำตาลบนหลังตู้นั่น!!

 
--------------------------------


ตัวอย่าง : กางเกงในแอปเปิ้ล



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2017 02:23:49 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
หนูแว่นยังไม่รู้ตัวว่าชอบจิวหล่ะสิ แต่น้าเดียร์ตอนแรกนึกว่าเป็นผู้หญิงนะเนี่ย

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
น่าจะมีเรื่องราวอีกเยอะ
ระหว่างแว่นกับจิว
กว่าจะผ่านกันมาได้
คงจะฝ่าฟันอุปสรรคกัน
..ไม่ใช่น้อย..

โดยเฉพาะอุปสรรคที่สำคัญของชาย+ชาย
ครอบครัวและบรรทัดฐานทางสังคม
แล้วเรื่องนี้ยิ่งเกิดขึ้นในสมัยนั้นด้วยแล้ว

โฮะโฮะ..ไม่อยากจะเดา
หนักหนาสาหัสแน่นอน

ขอนั่งลุ้นอ่านเรื่องนี้ตลอดจนจบ
อาจจะเกร็งในบางตอน เพราะสนุกมาก

ขอเป็นกำลังใจให้คนแต่งนะ
ให้ความมั่นใจได้ว่า..อย่างน้อย
ก็จะมีคนอ่านคนนี้ตามอ่านอยู่ทุกวัน

รอนะ..รอ
จุ๊บๆๆๆๆ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เสาเข็มตอก บอกตำแหน่ง แห่งหนอยู่
ใจตอกใจ กำหนดรู้ ว่าอยู่ไหน
อาจต้องใช้ สายตา หากันไป
แต่ไม่รู้ หยุดเมื่อไร วันเวลา

+1 ครับ

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2017 03:05:12 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
พอเปิดเทอมน้องแว่นจะหล่อหรือสวยเนี่ยรอลุ้น ๆ ค่ะ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
โอ๊ยยยย อ่านตอนนี้
โดนเข้ากับตัวเองจังเบ้อเริ่อ

แต่เป็นพี่สาว ม.2 อ่ะ
ตอนนั้นนะ

แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
อิอิ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด