สัมผัส{❤}ครั้งที่2
ช่วงเช้าของวันต่อมาอาหารอ่อนๆถูกยกมาเสิร์ฟถึงบนเตียงคนป่วย...สีหน้าของคนป่วยที่เห็นอาหารเหลวๆราวกับถูกจับทุกอย่างที่มีใส่เข้าเครื่องปั่นดูตลกมากจนผมที่มองอยู่ถึงกับหัวเราะลั่นอย่างไม่กลัวใครได้ยิน
‘อย่าเลือกกินนะ’ถึงจะบ่นแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ยินอยู่ดี
เมื่อวานนี้พวกเราไม่ได้คุยอะไรกันมากนักหลังจากที่ถูกรับรู้ตัวตน ร่างกายของตินยังอ่อนแอและคงรับเรื่องพวกนี้ยังไม่ค่อยได้ผมเลยให้เวลาเขาได้พักผ่อนโดยทำเพียงลูบเส้นผมสีดำสนิทเหมือนอย่างทุกคืน
แม้ตินจะรู้ว่ามีผมอยู่แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนไป...ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
ไม่มีคำพูดคุยระหว่างเรา
ไม่แน่นะ...เขาอาจจะคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความฝันก็ได้
จึก จึก จึก
ผมในชุดยูกาตะสีเหลืองเข้มลอยลงมาอยู่ข้างเตียงก่อนจะจัดการใช้นิ้วชี้จิ้มไปยังแก้มสีขาวของคนตรงหน้าอย่างนึกแกล้ง
นั่งอยู่มาจะสิบนาทีแล้วยังไม่กินสักทีเดี๋ยวพยาบาลก็มาเก็บไปหรอก
“...อะไร”เสียงทุ้มถามพลางหันมามองยังแก้มข้างที่ถูกจิ้ม แม้จะหันมาแต่ดวงตาสีฟ้าสดนั่นก็ไม่ได้สะท้อนภาพของผมอยู่
แปลว่ายังมองไม่เห็นสินะ
มองไม่เห็นแต่สามารถรับรู้ถึงสัมผัสได้
น่าน้อยใจนิดๆแฮะ
จึก จึก จึก
‘พยายามอีกหน่อยสิติน’ในเมื่อรับรู้ได้อีกไม่นานต้องมองเห็นแน่
ตั้งใจกว่านี้หน่อย...รู้ไหมว่าการไม่มีใครพูดด้วยมาหลายอาทิตย์นี่มันรู้สึกแย่มากนะแถมห้องก็อยู่ตั้งชั้น10เกือบบนสุดทำให้ไม่มีพวกต้นไม้เป็นเพื่อนคุยเลย
จึก จึก จึก
‘เหงาจังติน’ผมยังคงจิ้มแก้มข้างเดิมพลางบ่นเสียงเบื่อออกไป
“...จะจิ้มอีกนานไหม”เสียงทุ้มดูจะเริ่มหงุดหงิดแล้วแต่มีเหรอที่ผมจะกลัว
จึก จึก จึก
‘นี่ติน...เบื่อจังเลย’
“แพน!”นิ้วที่จิ้มแก้มถึงกับชะงักเมื่อถูกอีกฝ่ายตะโกนเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
นี่ผมทำให้เขารำคาญสินะ
นั่นสิ...โดนสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้คอยแกล้งไม่ว่าใครก็คงรู้สึกแย่กันทั้งนั้น
‘ขอโทษนะ...จะไม่แกล้งแล้ว’ผมบอกก่อนจะใช้มือข้างเดิมสัมผัสใบหน้าอีกฝ่ายเบาๆแทนคำพูดก่อนจะลอยตัวขึ้นไปอยู่แถวเพดานสีขาวสะอาดตาอีกรอบ
ห้องสี่เหลี่ยมแคบๆแบบนี้ไม่มีอิสระเอาซะเลย...
‘อยากออกไปข้างนอกจัง’ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ
อยากไปก็จริงแต่ถ้าออกห่างมากไปคงแย่...
งั้นก็ไม่ต้องห่างมากสิ
เมื่อคิดได้แบบนั้นผมก็ลอยออกจากกระจกหน้าต่างลงไปยังสวนด้านล่างที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่เล็กและดอกไม้บานหลากสีสัน...ภาพที่เห็นเรียกร้อยยิ้มให้กลับมาอีกครั้ง
‘นั่นท่านเทพนี่นา’ต้นไม้ใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง
‘ไหนๆ...ฉันหันไปมองไม่ได้ท่านเทพหน้าตาเป็นยังไง’ดอกไม้สีฟ้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้
‘บอกหน่อยๆ’เสียงเอ็กโค่ของดอกอื่นๆดังตามมาติดๆ
‘สวัสดี’ผมไม่รอให้ต้นไม้นั้นบอกแต่ลอยไปอยู่ตรงกลางระหว่างดอกไม้หลากสีสันที่อยากเห็นผมแทน
ในเมื่ออยากเห็นก็จะให้เห็นจนพอใจเลย
‘ว้าว...ท่านเทพน่ารักจัง’คำชมจากนกกระจอกตัวหนึ่งทำเอาผมหันควับไปมองอย่างเคืองๆ
‘ไม่ได้น่ารักนะ...บอกว่าหล่อสิ’ผมเถียงนกตัวเดิมกลับไป
คำว่าน่ารักเหมาะจะใช้กับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายแบบผม
‘ไม่หล่อๆ...ท่านเทพน่ารัก’
‘จริงด้วย...น่ารักๆ’นกกระจอกตัวเดิมพูดอีกรอบก่อนจะตามด้วยเหล่าดอกไม้และต้นไม้นับร้อย
‘ไม่ได้น่ารักนะ!’แม้ว่าจะเถียงกลับไปแค่ไหนคำว่าน่ารักก็ยังไม่เปลี่ยนไปจนผมได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเซงๆ แค่มีรูปร่างที่ดูบอบบางกว่าเทพองค์อื่นนิดหน่อยกับผิวสีขาวอมชมพูแค่นี้ก็ทำให้ดูน่ารักซึ่งในความจริงเทพที่เป็นผู้หญิงน่ารักกว่านี้ตั้งเยอะ
ถ้าให้เทียบก็พอๆกับจินตนาการของมนุษย์ที่วาดภาพของนางฟ้าล่ะนะ
‘นี่ๆท่านเทพ’ดอกไม้สีชมพูสวยเรียก
‘อะไรเหรอ’
‘ท่านช่วยแบ่งพลังสักนิดให้พวกเราหน่อยได้ไหม’
‘เกิดอะไรขึ้น?’ผมถามกลับด้วยความสงสัย
‘ช่วงนี้ฝนไม่ค่อยตกพวกเราเลยรู้สึกไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่’ดอกไม้สีชมพูดอกเดิมตอบ
‘แถมแดดตอนกลางวันก็แรงมาจนพวกเราแห้งเหี่ยวไปหมดแล้ว’ดอกสีเหลืองพูดบ้าง
‘ช่วยพวกเราหน่อยนะท่านเทพ~’ประโยคนี้เหล่าต้นไม้เล็กใหญ่ต่างประสานเสียงกันจนคนฟังอย่างผมหลุดหัวเราะออกมา
‘ไม่ต้องขอขนาดนั้นก็ได้...เดี๋ยวจะแบ่งพลังให้นะ’ผมบอกพลางลอยลงมานั่งอยู่บริเวณพื้นดิน มือทั้งสองข้างวางทาบลงด้านบนหน้าดินก่อนจะหลับตาตั้งสมาธิ...
แสงสีเขียวที่มีเพียงพวกเราที่สามารถมองเห็นปรากฏขึ้นพร้อมๆกับพลังของผมไหลลงไปยังผืนดินของสวนแห่งนี้...เทพอย่างพวกเราต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเองซึ่งหน้าที่นั้นก็จะสอดคล้องกับพลังที่มี
อย่างผมมีพลังในการฟื้นฟูและเสริมกำลัง
ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ ต้นไม้ ดอกไม้หรือแม้แต่มนุษย์ผมก็สามารถรักษารวมถึงฟื้นพลังให้ได้
ตอนอยู่ญี่ปุ่นการมอบพลังให้แก่ผืนดินเพื่อช่วยเหล่าพืชพรรณเป็นสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำ
‘ขอบคุณท่านเทพ’น้ำเสียงของพวกต้นไม้ดูสดชื่นกว่าเดิมมาก
ผมเองก็ยิ้มรับด้วยความดีใจที่ได้ช่วยเหลือพวกเขา...ตลอดช่วงบ่ายผมอยู่คุยกับพวกเขาจนลืมเวลาไปเลยรู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็กำลังจะตกดินซะแล้ว
‘ไว้เจอกันใหม่นะ’
บอกลาเสร็จผมก็ลอยขึ้นไปยังชั้น10ซึ่งเป็นห้องพักของมนุษย์ที่ได้ช่วยเหลือไว้ จากการช่วยเหลือเหล่าพืชพรรณผมได้รับดอกกุหลาบสีชมพูดอกหนึ่งมาเป็นของตอบแทนด้วยถึงจะไม่อยากรับแต่เพราะถูกคะยั้นคะยอเลยต้องรับไว้อย่างเสียไม่ได้
‘หวังว่าจะกินข้าวแล้วนะ’เป็นอีกครั้งที่ผมพึมพำ
“...แพน”เสียงเรียกชื่อนั้นดังขึ้นพร้อมกับผมที่กลับเข้ามาในห้องพอดี
ภายในห้องตอนนี้เหมือนตอนก่อนออกไปทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นตินที่นั่งอยู่บนเตียงหรือถาดอาหารที่วางอยู่โดยไม่ถูกแตะ จากที่มองคงเป็นของมื้อเย็นแล้ว ที่เหมือนไม่เหมือนเดิมมีแค่ตอนนี้คนบนเตียงแบมือออกมาพร้อมเอ่ยเรียกผม
“...แพน”
นี่เป็นครั้งแรก...ที่ถูกอีกฝ่ายเรียกหาแบบนี้
ผมอมยิ้มเล็กก่อนจะลอยไปข้างเตียงช้าๆ
“นี่ไม่อยู่หรือไม่อยากยุ่งกับฉันแล้วกันแน่”ตินยังคงพูดโดยที่มองไปยังฝ่ามือของตัวเอง
‘ติน...’อย่าบอกนะว่าเรียกผมตลอดน่ะ
“...แสดงตัวออกมาหน่อยสิ...แพน”
หมับ!
สิ้นคำพูดนั่นผมก็กุมมืออีกฝ่ายไว้แน่นจนดวงตาสีฟ้าสดเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย จากที่มองใบหน้าที่ตรึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลงทีละน้อย
“...ขอโทษที่ตะโกนใส่”
‘ติน...’ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำว่าขอโทษนี่
“โกรธรึเปล่า”อีกฝ่ายยังคงถาม
ฝ่ามือของตินถูกจับให้แบบออกก่อนที่ผมจะไล่นิ้วเขียวตัวอักษรเพียงตัวเดียงลงไปเหมือนเมื่อวาน...
X
‘ไม่โกรธ’อยากจะบอกแบบนั้น
หวังว่าจะเข้าใจนะ
“ถ้าไม่โกรธแล้วหายไปไหนมา”
คำตอบของคำถามต่อมาทำเอาผมคิดหนักว่าจะย่อเขียนลงฝ่ามือว่ายังไงดี...
ไปคุยกับต้นไม้และดอกไม้ข้างล่างมา
ออกไปสูดอากาศข้างนอกมาก
อยู่ในห้องเบื่อเลยออกไปเที่ยว
ไม่ว่าจะเป็นประโยคไหนที่คิดได้ก็ยาวเกินกว่าจะเขียนลงไปได้
มีอะไรที่พอจะสื่อข้อความเหล่านั้นออกไปในไม่กี่ตัวอักษรไหมนะ
“...ตอบไม่ได้เหรอ”
‘นี่ก็เร่งจริง’ผมบ่นออกไป
ขอเวลาคิดหน่อยสิ
ดวงตาสีเขียวอ่อนของผมหันซ้ายขวาเพื่อหาตัวช่วยก่อนจะนึกได้ว่ามีของที่พึ่งได้รับมานี่นา...
มือข้างที่ว่างเอื้อมไปคว้าดอกกุหลายสีชมพูที่ถูกเหน็บไว้ตรงสายคาดเอวด้านหลังมาแล้ววางดอกไม้ดอกนั้นลงบนฝ่ามือของติน พอผมปล่อยมือที่จับก้านไว้ออกดอกกุหลาบสีชมพูก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าตินทันที
วัตถุที่ถูกเทพอย่างพวกเราสัมผัสจะไม่สามารถมองเห็นได้มีเพียงมนุษย์ที่สามารถมองเห็นพวกเราเท่านั้นที่จะมองเห็นวัตถุเหล่านั้นได้
“...ดอกกุหลาบ?”
‘ใช่ๆ...ผมให้คุณละกัน’ผมตอบพลางพยักหน้าขึ้นลง
“ไปขโมยมา?”
ผั๊วะ!
‘บ้าสิ’คำพูดนั่นทำให้ผมง้างมือตบที่ไหล่อีกฝ่ายแรงๆเป็นการลงโทษ
“...ขอบคุณ...”เสียงพึมพำนั้นดังขึ้นโดยที่ดวงตาสีฟ้าสดนั้นมองมายังกุหลาบสีชมพูหนึ่งดอกด้วยแววตาที่ไม่สามารถบอกได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
‘ติน...’
“มีเรื่องอยากถามหน่อย”นิ่งไปสักพักตินก็พูดขึ้นอีก
‘อะไร’
“นายเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”
‘จะว่าไปยังไม่ได้บอกนี่นะ...แล้วคุณคิดว่าผมเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ’ผมถามแม้จะไม่ได้คำตอบแต่ก็เรียกรอยยิ้มออกมาได้
ถ้าให้เดาก็ไม่อยากหรอก...ผู้ชายทุกคนมักจะชอบให้มีผู้หญิงมาอยู่ข้างๆอยู่แล้ว
ผมจับฝ่ามือของตินให้ยกขึ้นก่อนจะเขียนสัญลักษณ์ไปหนึ่งตัว...
?
เครื่องหมายคำถามถูกส่งกลับไปด้วยความอยากรู้
“เครื่องหมายคำถามเหรอ...ให้ฉันทายใช่ไหม”
ครั้งนี้ผมเขียนเครื่องหมายถูกเป็นการบอกว่าใช่แล้ว
“...นั่นสิ...นิสัยขี้แกล้งน่าจะเป็นผู้หญิง...”
‘เข้าใจผิดแล้วติน...ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่ชอบแกล้งหรอกนะ’
“แต่มาคิดอีกที...เป็นผู้ชาย...”คำตอบที่เปลี่ยนไปนั้นทำให้คิดทั้งสองข้างของผมขมวดเข้าหากัน
นิ้วชี้กดเขียนเครื่องหมายเดิมลงไปด้วยความสงสัย...
?
‘ทำไมถึงคิดว่าเป็นผู้ชายล่ะ’
“...เครื่องหมายคำถามอีกแล้ว...นี่ฉันต้องมานั่งทายอะไรเนี่ย...”แม้จะมีเสียงรำคาญส่งมาแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเพราะอีกฝ่ายยังขมวดคิ้วเพื่อคิดข้อความแทนเครื่องหมายนั้นอย่างเต็มที่
‘พยายามหน่อยติน’ขอให้กำลังใจหน่อยละกัน
“ให้เดาคงถามว่าทำไมคิดว่าเป็นผู้ชายใช่ไหม”
‘ถูกต้องนะครับ’ผมจับมือของตินขึ้นลงเร็วๆเป็นการบอก
“...หยุดเขย่าน่า”มือที่เขย่าอยู่หยุดทันที
“...ถ้าถามว่าทำไม...ก็คงบอกได้แค่รู้สึกแบบนั้น”
‘...’ผมที่รอฟังรู้สึกเหมือนใบหน้าร้อนขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้างออกมา
♂
สัญลักษณ์แสดงถึงเพศชายได้ถูกเขียนลงบนฝ่ามือเป็นคำตอบสุดท้าย
“ฉันทายถูก”คนทายถูกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ถ้าพวกเรามองเห็นกันได้คงจะได้เห็นภาพที่ทั้งผมและเขาต่างยิ้มออกมาแน่ๆ
หลายวันผ่านไปร่างกายของตินที่ไม่สามารถขยับได้มากก็ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นจนตอนนี้สามารถลุกขึ้นเดินได้แล้วแต่ยังไงก็ยังต้องพักรักษาตัวไปอีกหนึ่งอาทิตย์ คำพูดของหมอที่บอกแบนั้นก็ได้รับแววตาเชือดเฉือนไปเป็นการตอบแทน
จากที่ดูตินอยากจะรีบออกจากโรงพยาบาลด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง อย่างแรกคือเพื่อตัดปัญหาเวลาคู่หมั้นมาเยี่ยมแม้จะไม่ได้เข้ามาในห้องแต่ด้วยเสียงแหลมๆอันเป็นเอกลักษณ์เลยลอดเข้ามาได้
อีกอย่างคืออาหารเหลวๆที่ทางโรงพยาบาลจัดมาให้ ถึงเขาจะไม่ได้บอกว่าไม่ชอบแต่แค่เห็นใบหน้าตอนฝืนกินก็รู้ได้ไม่ยาก ตินมักจะตักกินแค่สองคำก่อนจะเรียกบอดี้การ์ดหน้าห้องให้มายกออกไปเหมือนกับว่าไม่อยากเห็นมันอีกแล้ว
ตอนนี้เองก็เหมือนกัน ช้อนสีขาวถูกวางลงไปในชามที่ยังเต็มไปด้วยโจ๊กหมูอุ่นๆทั้งที่พึ่งตักไปได้เพียงสองคำเท่านั้น
‘ไม่กินอีกแล้วเหรอติน...เดี๋ยวก็ป่วยอีกหรอก’ผมบ่นออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
ขืนยังกินอยู่แค่นี้ร่างกายคงไม่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์สักที
พรึ่บ!
ผมคว้ามือของตินขึ้นมาก่อนจะขยับให้ไปจับช้อนสีขาวตรงหน้าอีกครั้ง
ในเมื่อไม่ยอมกินเองผมจะบังคับให้กินเอง
“ปล่อย”คนถูกบังคับบอกเสียงเข้ม
‘ไม่ๆๆๆ...ถ้าจะให้ปล่อยก็กินให้หมดสิ’ผมยังคงขืนให้มือนั้นกำช้อนไว้แม้จะลำบากมากก็ตาม
“...นายอยากให้ฉันกินอีก?”คำถามนั่นทำให้ผมเขย่ามืออีกฝ่ายแรงๆ
“...ทำไม”อีกฝ่ายยังคงถามต่อ
‘จะทำไมอะไรเล่า!...ที่ให้กินก็เพราะเป็นห่วงไง!’ผมตะโกนขึ้นอย่างหมดความอดทนกับคนป่วยที่แสนดื้อนี่
แค่กินให้หมดมันจะยากอะไร
“...จะบอกว่าเป็นห่วงกันรึไง”
‘ก็ใช่น่ะสิ!’ตะโกนบอกเสร็จผมก็จัดการเขียนเครื่องหมายถูกลงบนฝ่ามือนั่นทันที
“...”ฝ่ายที่สัมผัสได้ถึงข้อความที่ถูกส่งไปก็นิ่งไปเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้านั้นสั่นระริกเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับมาเป็นปกติ
“ปล่อยมือฉัน...”แม้จะเป็นคำพูดแบบเดิมแต่ผมสัมผัสได้ว่ามันต่างเพราะน้ำเสียงนั่นดูอ่อนลงมาก
“ไม่ปล่อยแล้วฉันจะกินต่อได้ยังไงกัน”
ผมถึงกับยิ้มแล้วปล่อยมือมองอีกฝ่ายค่อยๆจับช้อนแล้วตักโจ๊กเข้าปากคำแล้วคำเล่าจนเกือบหมดถ้วยเลยทีเดียว...ผมที่เห็นแบบนั้นก็ตบมือเสียงดังเป็นการชมเชยถึงตินจะไม่ได้ยินก็ตาม
‘แบบนี้สิเด็กดี’ถ้าฟังกันแต่แรกก็จบแล้ว
“แค่นี้พอใจรึยัง”คนบนเตียงพูดพร้อมเงยหน้าขึ้นเพื่อถาม
แต่ผมไม่ได้อยู่ข้างบนนะติน
อยู่ข้างๆต่างหาก
ถึงจะเดาผิดแต่ก็ถือว่ามีความพยายามในการเดา...มือของตินถูกผมแบบออกอีกครั้งก่อนเครื่องหมายถูกจะถูกเขียนส่งไปให้ช้าๆ...
‘หวังว่ามื้ออื่นจะกินหมดแบบนี้อีกนะ’
ในช่วงเย็นก็มีหมอและพยาบาลเข้ามาตรวจอีกรอบพร้อมกับฉีดยาบำรุงกับอะไรไม่รู้อีกสองเข็มรวมเป็นสาม...แค่เห็นขนาดของเข็มเทพแห่งพฤกษาอย่างผมก็เบือนหน้าหนีด้วยความขยาด
จะเรียกว่ากลัวเข็มก็ไม่ผิดซะทีเดียว
ใครจะเหมือนกับตินที่ยังคงหน้านิ่งได้ตลอดแบบนั้นล่ะ
หลังจากการฉีดยามื้อเย็นก็ถูกวางลงบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้าติน...ของเหลวสีขาวขุ่นที่เจอมาเกือบอาทิตย์ทำเอาผมหลุดขำออกมาเมื่อเห็นใบหน้าเอือมๆของอีกฝ่าย...
อย่าว่าแต่ตินเลย
ไม่ว่าใครที่ถูกบังคับให้กินอาหารเดิมๆเหมือนกันเกือบอาทิตย์ก็มีต้องเซงกันบ้าง
‘ห้ามกินเหลือนะติน...อุ๊บ...คิก...’สุดท้ายผมก็หลุดหัวเราะออกมาอีกจนได้
“...รู้สึกว่ามีคนกำลังหัวเราะอยู่”เสียงทุ้มนั่นดังขึ้นพลางขมวดคิ้ว
‘ไม่ใช่คนสักหน่อย...มีเทพองค์นึงกำลังหัวเราะคุณอยู่ต่างหาก...คิก’ตินดูเหมือนเป็นมนุษย์ที่มีเซ้นส์ดีพอตัว
แต่แค่นั้นยังไม่มากพอที่จะให้เห็นตัวผมได้หรอก
“หัวเราะเหรอครับ? ผมไม่เห็นได้ยินอะไรเลย...เนอะกาย”บอดี้การ์ดหน้าตี๋พูดก่อนจะหันไปขอความเห็นเพื่อน
“นั่นสิ...คุณคิดมากไปแล้วครับ”กายบอกกับตินที่ยังคงขมวดคิ้วโดยไม่ยอมตักอาการขึ้นมากิน
“...อาจใช่...ออกไปได้แล้ว”ตินสั่งลูกน้องทั้งสองคน
“ครับ...มีอะไรเรียกพวกเราได้ทุกเมื่อนะครับ”
“อืม”ทั้งคู่โค้งให้ตินก่อนจะเดินออกไปเฝ้ายังหน้าประตูเหมือนเดิม
บรรยากาศเงียบๆในห้องทำให้ผมที่ลอยอยู่แถวเพดานลอยลงมาข้างๆตินอีกครั้ง...
ผมไม่ค่อยชอบพวกมนุษย์นักดังนั้นเวลาที่มีมนุษย์มาผมเลยมักจะขึ้นไปอยู่แถวเพดาน
แต่กับตินมันต่างออกไป...
ทั้งที่เป็นมนุษย์เหมือนกันแต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างอยู่มาก
“แพน”
‘อะไรเหรอ’ผมถามพรางเข้าไปใกล้มากขึ้น
“นายหัวเราะสินะ”คำพูดนั่นไม่ใช่ประโยคถามแน่นอน
ดูเขาจะมั่นใจมากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผมหัวเราะ
ฝ่ามือของตินยื่นออกมาพร้อมกับแบออกให้ผมได้เขียนคำตอบลงไป
X
เครื่องหมายกากบาทถูกเขียนลงไป...ใครจะกล้าบอกว่าเป็นคนหัวเราะกัน
“...ฉันให้โอกาสอีกรอบ”เสียงทุ้มดูเข้มขึ้นกว่าเมื่อครู่พอสมควร
‘ให้ตายสิ...’เมื่ออีกฝ่ายปักใจเชื่อแบบนั้นก็ไม่ต้องโกหกกันแล้ว
/
เครื่องหมายถูกถูกเขียนทับลงบนฝ่ามืออีกครั้ง
“ว่าแล้วเชียว”รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นทันทีที่ผมเขียนเสร็จ
‘ยอมรับก็ได้ว่าหัวเราะ!...แล้วหัวเราะมันผิดตรงไหนล่ะ!...ชิ!’ตะโกนเสร็จผมก็สะบัดมือนั่นทิ้งอย่างงอนๆ
เป็นแค่มนุษย์แต่กล้ามาคาดคั้นเอาความจริงจากเทพ
มันน่าโดนนัก
“งอนที่โดนรู้ทันรึไง”
ผั๊วะ!
ฝ่ามือของผมตบเข้าที่บาดแผลตรงหน้าอกที่ยังไม่หายดีจนคนบนเตียงนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดก่อนจะก้มหน้าลงจนคนตบอย่างผมเริ่มใจไม่ดี...
‘ติน!’
‘นี่...ไม่เป็นไรนะ’
ผมลอยลงมาก่อนจะลูบบริเวณไหล่ของตินเบาๆเป็นการปลอบและขอโทษที่รุนแรงเกินไป
“...มือหนักชะมัด”ตินพึมพำพร้อมกับเงยหน้ามา
‘เฮ้อ...ดีจังที่ไม่เป็นอะไร’นึกว่าแค่โดนนิดโดนหน่อยจะแย่ซะแล้ว
คราวหน้าจะเบามือละกันนะติน
หลายวันผ่านไปทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิมยกเว้นโจ๊กที่เป็นอาหารสามมื้อของตินกลายเป็นข้าวต้มรสต่างๆไปแล้วทั้งที่เป็นแบบนั้นผมก็ยังต้องมานั่งยื้อมือให้อีกฝ่ายจับช้อนอยู่ทุกมื้อไป...
ไม่รู้ว่าไม่ชอบจริงหรือแกล้งทำกันแน่
นอกจากเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรที่น่าห่วงอีกไม่กี่วันก็จะได้เวลาที่ตินจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว
ช่วงก่อนมื้อเย็นผมหลบออกมาสำรวจภายในโรงพยาบาล สองสามวันมานี่การได้ออกมาข้างนอกห้องถือเป็นสีสันของชีวิตอีกอย่างหนึ่ง
ผมในชุดยูกาตะสีฟ้าซึ่งผมสามารถเปลี่ยนสีได้ตามใจของตัวเองลอยผ่านทางเดินไร้ผู้คนจนมาถึงเคาน์เตอร์ประจำชั้นที่มีไว้สำหรับจ่ายยาหรืออุปกรณ์พยาบาล
“หัวหน้าคะ...เตรียมเข็มฉีดของห้อง1012รึยังคะ”พยาบาลคนหนึ่งถาม
‘หื้อ...’ผมที่กำลังจะลอยผ่านไปถึงกับหยุดนิ่งเมื่อได้ยินหมายเลขห้องนั้น
ถ้าจำไม่ผิดห้อง1012ที่ว่าคือห้องของตินนี่นา
“เรียบร้อยแล้ว...เอาวางไว้นี่ละกันเดี๋ยวหมอคงมาแล้ว”หัวหน้าพยาบาลตอบพร้อมกับยกถาดให้เข็มฉีดยาทั้งสามอันขึ้นมาวางบนเคาน์เตอร์โดยที่มีกระดาษหมายเลข1012ติดไว้
“โอ้ย...”เสียงร้องจากผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น พอหันไปมองก็เจอเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งทรุดตัวลงบนพื้น
“ว้าย...หัวหน้าคะเธอดูเหมือนจะสลบไปแล้วนะคะ”
“รีบไปดูอาการเร็ว”พูดจบทั้งคู่ก็วิ่งไปดูอาการของผู้หญิงตรงหน้าก่อนจะช่วยพยุงไปยังห้องตรวจ
เคาน์เตอร์ที่ไร้คนดูแลมีชายท่าทางหน้าสงสัยคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ก่อนที่เข็มฉีดยาอันหนึ่งจะถูกสับเปลี่ยนกับอีกอันที่อยู่ในกระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็วแล้วเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘...นั่นมัน...’ผมมองยาหลอดสีเหลืองที่พึ่งถูกสับเปลี่ยนด้วยความระแวง
แบบนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆ
“อ้าว...พยาบาลหายไปไหนล่ะ...ดีนะที่วางยาที่ต้องฉีดไว้แล้ว...พวกเธอไปเปลี่ยนผ้าพันแผลก่อนเดี๋ยวฉันตามไป”หมอหน้าเดิมที่เจอกันทุกวันเดินมาพร้อมกับพยาบาลหน้าใหม่อีกสองคน
“ค่ะหมอ”
‘เดี๋ยวนะหมอ...ยาสีเหลืองนั่นมีคนแอบเปลี่ยนนะ!’ผมตะโกนเสียงดังลั่นก่อนจะนึกได้ว่ามนุษย์ไม่สามารถได้ยินเสียงได้นี่
เอายังไงดี...หมอก็เดินไปแล้วเนี่ย!
ติน
ชื่อของมนุษย์เพียงคนเดียวที่รับรู้ถึงตัวตนผมได้ผุดขึ้นมานั่นทำให้ผมรีบกลับไปยังห้องนั้นเพื่อจะได้บอกเรื่องนี้ให้ตินรับรู้...
ผมรู้สึกได้เลยว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแน่...และต้องเป็นสิ่งที่ไม่ดีด้วย
ผมกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งทันก่อนหมอจะฉีดยาแต่เพราะมือทั้งสองข้างของตินถูกพยาบาลจับไว้ ข้างหนึ่งทำแผลบริเวณข้อศอกที่บาดเจ็บเล็กน้อยอีกข้างก็เตรียมตัวที่จะฉีดยา
‘ซวยแล้ว...ทำไงดี’
จะให้เข้าไปดึงแขนตินขึ้นก็คงน่าสงสัยเกินไปเพราะมีบอดี้การ์ดทั้งสองคนประกบอยู่ทั้งสองด้าน
หรือจะให้ตะโกนโดยให้ตินได้ยินเสียงนั้นก็ไม่ได้เพราะถ้าตินได้ยินคนอื่นก็จะได้ยินไปด้วย
เอาไงดีๆ
“หมอจะฉีดยาบำรุงนะครับ”
‘ห้ามฉีดนะ!’ผมตะโกนเสียงดังลั่น
‘ติน!...ห้ามให้ฉีดนะ!’
ทำไงดีเนี่ย?!
‘ขอล่ะได้ยินสียงของผมที!’
“ติน!!!”
เคร้ง!!
เสียงตะโกนของผมดังขึ้นเป็นรอบสุดท้ายพร้อมๆกับบานกระจกที่แตกละเอียดด้วยฝีมือของผมเอง...
ในเมื่อไม่ได้ยินก็ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อดึงดูดความสนใจ
“...แพน”เสียงพึมพำนั่นทำให้ผมหันไปมองคนบนเตียงที่บัดนี้เงยหน้าขึ้นมาเหมือนกับรู้ว่าผมอยู่ตรงไหน
“ห้ามฉัดยานะ!...มีคนเปลี่ยนยาข้างใน!”แม้ว่าผมจะรู้ว่าเสียงของตัวเองไม่สามารถไปถึงอีกฝ่ายได้แต่ก็มีแต่ต้องพยายามให้ตินรับรู้เท่านั้น
“...ว่าไงนะ”
“...”ผมถึงกับนิ่งเมื่อคำตอบกลับนั้นราวกับตินได้ยินสิ่งที่ผมพูด
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย พวกเธอไปเรียกแม่บ้านมาทีสิ”หมอคนเดิมหันไปบอกกับพยาบาลด้านข้างที่ดูจะตกใจกับสถานการณ์อยู่พอสมควร
“ได้ค่ะ”
“งั้นเรามาฉีดยากันต่อดีกว่า...”
“ตินไม่ได้นะ!...ห้ามฉีดเด็ดขาดเลย!!”ผมตะโกนบอกอีกรอบ
“...ไม่ต้องฉีด”เสียงทุ้มของตินบอกกับหมอก่อนจะยกแขนตัวเองขึ้น
การกระทำนั้นทำให้หมอและเหล่าบอดี้การ์ดมองมาอย่างไม่เข้าใจ
“กาย”
“ครับคุณติน”คนถูกเรียกรีบขานอย่างรวดเร็ว
“เอายาพวกนี้ไปตรวจ”คำสั่งที่ได้รับทำเอาลูกน้องถึงกับอึ้งไปแต่ไม่นานยาทั้งสามหลอดก็ถูกหยิบขึ้น
“ถ้าจะตรวจก็สีเหลืองนะติน...ที่ถูกเปลี่ยนมีแค่สีเหลืองอันเดียว”ผมบอกอีกรอบ
“...สีเหลือง”
“ครับ?”กายชะชักก่อนจะหันมาหาตินอีกรอบ
“ตรวจแค่สีเหลืองพอ”คำสั่งของตินนั้นทำให้ผมเอะใจมากขึ้น
นี่เขาได้ยินเสียงผม?
ได้ยินจริงเหรอ
หรือว่าแต่เซ้นส์ดี
ยังไงกันแน่เนี่ย
“ติน!...ติน!...ติน!...”ผมตะโกนเรียกอีกฝ่ายพร้อมขยับเข้าไปนั่งบนตักอีกฝ่าย
“หมอก็ออกไปได้แล้ว”
“เอ่อ...แต่ยายังไม่ได้...”
“ออกไป”ตินย้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่กดดันมากขึ้น
“...ได้ครับ”หมอลุกออกไปตามคำสั่งนั้น
“นี่ติน!...ไม่ยินผมจริงๆเหรอ?!!!”ผมยังคงตะโกนแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายยังทำหน้านิ่งเหมือนเดิม
หรือว่าไม่ได้ยิน
“จิม...นายก็ออกไปด้วย”ตินหันไปบอกบอดีการ์ดด้านข้าง
“แต่การที่กระจกแตกแบบนี้อาจเป็นฝีมือของ...”
“ไม่ใช่หรอก...ไปเฝ้าด้านนอกเถอะ”ตินตัดบทสิ่งที่จิมกำลังจะพูด
“...เข้าใจแล้วครับ”
“นี่ๆๆๆ...ติน...ติน...นี่คุณไม่ได้ยินผมจริงเหรอเนี่ย...แต่เมื่อกี๊ยังเหมือนได้ยินนี่...”
“นี่ตินนนน!!!!”ผมตะโกนลากเสียงยาวจนดวงตาสีฟ้าสดนั่นหรี่ลงเล็กน้อย
“...เสียงดังน่าแพน”คำตอบสั้นๆที่ได้ยินเรียกรอยยิ้มกว้างจากผมได้ในทันที
“คุณได้ยินผมแล้วนี่”ผมพูดด้วยความดีใจ
สุดยอดเลยๆๆ
ในที่สุดก็ได้ยินเสียงแล้ว
“อืม...เสียงเหมือนเด็ก”
“เด็กที่ไหนผมอายุมากกว่าคุณไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่านะรู้ไหม”ผมตอบกลับ
“แปลว่าแอ๊บเสียงเด็ก?”
“บ้าสิ...สื่อสารกันได้หน่อยนี่ก็จิกกัดกันเลยนะ”
“เปล่า...งั้นก็บอกเรื่องของนายมาสิ”
“บอกเหรอ...ก็ได้อยู่หรอกว่าแต่ไม่ตกใจเลยเหรอที่พูดคุยกับสิ่งที่มองไม่เห็นแบบนี้น่ะ”ผมถามกลับ
ที่รู้ว่าตินยังมองไม่เห็นผมก็เพราะว่าดวงตาสีฟ้าตรงหน้ายังไม่สะท้อนภาพผมเหมือนเดิม
“มันเลยคำว่าตกใจมาแล้ว...แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีวิญญาณที่พูดมากแบบนี้นะ”
“ผมไม่ใช่วิญญาณนะ”นี่ยังคิดว่าเป็นวิญญาณอีกเหรอเนี่ย
“ถ้าไม่ใช่แล้วเป็นอะไรล่ะ”อีกฝ่ายถามต่อ
เอาล่ะ...นี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้อธิบายเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ก่อนจะเข้าเรื่องคงต้องแนะนำตัวกันหน่อย...
“ผมชื่อแพนเป็นเทพแห่งพฤกษาพึ่งเดินทางมาจากประเทศญี่ปุ่น...ยินดีที่ได้รู้จักนะติน”
...........................................................................................
สวัสดีค่า
มาต่อแล้ววว
พึ่งแต่งเสร็จสดๆร้อนๆเลยค่ะ
ในที่สุดพระเอกเราก็ได้ยินเสียงของแพนสักที
ตอนแรกกะจะยังไม่ให้ได้ยินแต่มือดันแต่งออกมาแบบนี้เลยเอาตามนี้ละกัน55
มีคอมเม้นท์บอกว่าอยากให้มาอัพอาทิตย์ละ2ตอน เราก็อยากอัพบ่อยแต่ประเด็นคือแต่ละตอนก็ค่อนข้างใช้เวลา เอาเป็นว่าหากแต่งเสร็จเร็วจะรีบมาอัพให้นะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจและทุกๆคอมเม้นท์
หวังว่าทุกคนจะชอบความน่ารักของแพนนะ
บ๊ายบาย

nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪