สวัสดีครับ
คุณป้าเจ้าของกระทู้ แกส่งกระแสจิตเรียกผมมาอ่านนิยายเรื่องนี้ บอกว่าถ้าอ่านแล้วช่วยวิจารณ์ให้หน่อย.....แต่ก็ยังมิวายที่จะกำชับมาว่า อย่าวิจารณ์แรงนักนะ.... กลัวคนเขียนจะเสียกำลังใจ ....แถมป้ายังกลัวว่าคนอ่านจะไม่ยอมอ่านต่อถ้าผมวิจารณ์แรงๆๆ
ขออนุญาตถอนหายใจ ..... จริงๆๆแล้วนี่ ในความรู้สึกของผม ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะวิจารณ์รุนแรงอะไรนะครับ
เพียงแต่อาจจะละเอียดไปนิดดดดดดส์
แหม ก็ถ้าจะวิจารณ์ได้ ก็ต้องอ่านละเอียดใช่มั้ยครับ...ผมไม่อยากเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนนี่นา.... อีกอย่างผมวิจารณ์ด้วยความหวังดีครับ ..... แถมนานๆๆจะวิจารณ์ซะที..... กลัวแบบว่า "แกว่งเท้าหาเสี้ยน" น่ะครับ....
อืมเข้าประเด็นเลยดีกว่า.... ผมนั่งอ่านบทแรกของเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้แวะไปที่ที่ทำงาน ก็ยังปรินท์ออกมาอ่าน แต่ก็ลืมหยิบที่ปรินท์ออกกลับมาบ้านด้วย ...เซ็งเลย
ผมมีสองประเด็นที่จะพูดครับ
(1) เรื่องความสมจริงของเรื่องแต่ง.....
พูดง่ายๆๆก็คือแต่งอย่างไรให้สมจริงมากที่สุด โดยปกติแล้วผู้เขียนจะกำหนดความสมจริงของเรื่องที่แต่งได้จากการค้นคว้าหาข้อมูลครับ... นอกจากนั้นก็คือการใส่ใจในรายละเอียด และการแทรกข้อมูลลงไปครับ
เมื่อผมถอดสายตาอ่านมาตั้งแต่บรรทัดแรก ก็พบประโยค
"ชายหนุ่มร่างสูง ตัวบึกบึน ผิวสีเข้ม ใบหน้าดำมะเมื่อมไปด้วยถ่านเหลือเพียงดวงตาแกร่งยกมือทำวันทยหัตถ์ก่อนฟันมือลงอย่างแข็งแกร่ง รับความเคารพจากชุดทหารลายพรางสีเขียวเก่ามอซอ" ประโยคนี้แสดงความไม่สมจริงครับ เพราะในสถานการณ์รบอย่างที่บรรยายมา การแสดงความเคารพนั้นดูเหมือนจะเป็นการผิดปกติ ยิ่งโดยเฉพาะกับผู้บังคับบัญชาระดับผู้กองเช่นภานุ
ผมค่อนข้างจะมั่นใจว่า กองกำลังตระเวนชายแดน ในภาระกิจที่ความเป็นเท่ากับความตายนั้น ทุกชีวิต คือเพื่อน คือพี่ คือน้อง คือครอบครัว.... การถือยศถือศักดิ์น่าจะทำเฉพาะเมื่อทำการรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาในระดับสูงเท่านั้น และกระทำเมื่อถึงคราวจำเป็น
"แล้วคนเจ็บและคนตายล่ะเป็นอย่างไร สิบตรีอิสระ?" ผมคิดว่าประโยคนี้คงจะสืบเนื่องมาจากการวางระดับของตัวละครของประโยคที่แล้ว ซึ่งผมมองว่ามันแปลกๆๆ เพราะผู้กองภานุน่าจะเรียกลูกน้องของตน ว่า "หมู่" หรือ ไม่ก็เรียกชื่อสั้นๆๆเสียมากกว่า ที่จะมาเรียกตามยศแบบนี้ ซึ่งถ้าผมอ่านประโยคนี้เดี่ยวๆๆ ผมก็จะคิดไปเสียว่า ภานุ เพิ่งเคยเจอกับอิสระ เรียกว่ายังไม่มีความคุ้นเคยกันเลย ถึงได้มีการเรียกชื่อพร้อมยศขนาดนั้น แต่ในความเป็นจริง ทั้งคู่อยู่ในสนามรบด้วยกัน ผมคิดว่าประโยคสนทนาน่าจะสนิทสนมมากกว่านี้
"ฝ่ายเราบาดเจ็บที่ขาสองคนครับ คือสิบเอกธาวิทย์กับจ่าประกิตนอกนั้นก็แค่ฟกช้ำเล็กๆน้อยๆครับผู้กองภานุ" ในกรณีประโยคนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็น
"ฝ่ายเราบาดเจ็บที่ขาสองคนครับ คือเจ้าวิทย์กับจ่ากิตนอกนั้นก็แค่ฟกช้ำเล็กๆน้อยๆครับผู้กอง" ซึ่งจะแสดงถึงความสนิทสนม และพร้อมที่จะรบเคียงบ่าเคียงไหล่เสมอกัน
ต่อไปลองสังเกตุคำที่ผมขีดเส้นใต้นะครับ ซึ่งผมคิดว่าสมควรเปลี่ยนเพื่อปรับระดับให้เกิดความสมจริงของสถานการณ์ครับ
"ขณะนี้ทาง
แพทย์สนามกำลัง
ห้ามเลือดและส่งกลับค่ายใหญ่โดยเฮลิคอปเตอร์อยู่ครับ" (คุณหมอ, ทำแผล)
"ดีมาก
แล้วความเสียหายจากฝ่ายศัตรูล่ะ?" (แล้วไอ้พวกฝ่ายนั้นล่ะ มันเป็นงัยกันบ้าง)
ประโยคต่อไปครับ
ตลอดเวลาเสียงอันดังก้องของล้อใหญ่บดถนน และสภาพถนนขรุขระ ฝุ่นคลุ้งมิได้ทำให้ทหารชาญชัยอยู่บนรถปริปากบ่นได้ ทุกคนต่างนั่งเงียบกริบ บ้างก็นั่งงีบ บ้างก็พูดคุยเบาๆ เป็นเพราะเกรงใจหัวหน้าใหญ่ที่นั่งไขว่ห้าง ดวงตาปิดสนิท หมวกเหล็กวางบนตักจนกระทั่งถึงค่ายขนาดใหญ่ ผมสงสัยว่า ผู้กองภานุจะนั่งไขว่ห้างได้อย่างไรครับ ในลักษณะถนนขรุขระแบบนั้น การนั่งไขว่ห้างดูเหมือนว่าจะขัดกับกฏการทรงตัวนะครับ แถมถ้าผมจำไม่ผิด รถขนทหาร โดยเฉพาะเมื่อต้องออกตะเวนเช่นนั้น รถบรรทุกทหารน่าจะเป็นแบบเปิดไร้ที่นั่งมากกว่า เพราะเนื่องจากว่าทหารจะต้องหันหน้าออกสองข้างทาง เพื่อเฝ้าระวังการซุ่มหรือดักยิง การนั่งหันหลังหาข้างทาง ดูเหมือนว่าจะเป็นการประมาทเกินไปครับ โดยเฉพาะในพื้นที่สีแดงเช่นนั้น
แถมหยูกยาและหมอก็ขาดแคลนสภาพในค่ายจึงอยู่ในสภาพร่อแร่รอคอยการสนับสนุนจากทางกองทัพ จนถึงใกล้วันที่ทุกอย่างใกล้จบสิ้น ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างล้มป่วยเพราะโรคระบาด โรคระบาดมันเกี่ยวอะไรด้วยกับประเด็นการขาดการสนับสนุนจากกองบัญชาการครับ
"เอาน่า จะโกรธไปทำไม ก็เขาชำนาญพื้นที่ดีกว่าเรานี่หว่า ดีแล้วที่แกไม่ตกหลุมขวากของมัน" ประโยคนี้มันแปลกๆๆนะครับ เหมือนกับทหารของเรายอมรับความผ่ายแพ้ และยังแสดงออกถึงความบกพร่องของฐานนี้นะครับ เพราะการเชี่ยวชาญในพื้นที่นั้นคือภาระกิจแรกที่หน่วยลาดตระเวนทุกนายต้องปฏิบัติ มิเช่นนั้นรบไปก็แพ้ครับ .... ข้ออ้างของผู้พันน่าจะเป็นประเด็นอื่นนะครับ
"เป็นอย่างไรบ้างครับ คุณหมอต้นธารา" ประโยคนี้มันขัดกับ
"คุณตามผมมาทำไม" "น่ารำคาญ".... อ่านแล้วเหมือนภานุเป็นพวกสองหน้าอย่างไรไม่ทราบครับ.... เหมือนสาววัยหมดประจำเดือน อย่างป้าเจ้าของกระทู้
ภายในป่ามืดสนิท ชายหนุ่มรู้สึกร้อน เหนียวและคันไปทั่วตัวจึงฉวยผ้าขาวม้า สบู่และขันเดินไปที่ลำธาร วันนี้แสงจันทร์ส่องเป็นทางให้มองเห็นทุกอย่างชัดแจ้ง เสียงนกกลางคืน เสียงค่าง บ่างร้องโหยหวน ชายหนุ่มได้ยินเสียงน้ำดังจ๋อมแจ๋มเขาก็เงี่ยหูฟัง ตั้งท่าเตรียมพร้อม พอเดินเข้าไปใกล้ เงาเล็กๆปรากฏชัดในสายตา ชายหนุ่มซ่อนตัวใกล้กับพุ่มไม้ รอให้อีกฝ่ายหันหลังก้มตัวจุ่มน้ำจึงพุ่งกระโจนรัดรอบลำคอ ร่างดิ้นขลุกๆ สะบัดให้หลุด เสียงน้ำแตกกระจาย ภานุกดหัวอีกฝ่ายจนจมน้ำแล้วค่อยดึงขึ้น เหตุการณ์นี้ผมอ่านแล้วค่อนข้างจะเกิดความรู้สึกตำหนิเรื่องระบบการจัดการค่ายนี้นะครับ ว่าไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี คนในค่ายดูเหมือนว่าจะไม่ปฏิบัติตามข้อที่กำหนด รวมถึงภานุเองก็กระทำการแบบไม่สมเหตสมผลด้วยประการทั้งปวง
"มาซักเสื้อผ้าอยู่ตรงนี้ คุณนี่บ้าหรือเปล่า รู้ไหมการอยู่ห่างจากค่ายและคนคอยคุ้มครองมันอันตรายขนาดไหน" ถ้าภานุเห็นว่ามันอันตราย แล้วภานุกลับเดินมาจุดตรงนี้เสียเองโดยปราศจากอาวุธ ผมว่าภานุไม่เหมาะเป็นหัวหน้าหน่วยหรอกครับ...
จุดที่ขาดสำหรับเรื่องนี้คือรัศมีความปลอดภัยของค่ายครับ ซึ่งผู้เขียนเองกำหนดไม่ชัดเจน จนทำให้ตัวละครเกิดความสับสน การสนทนาขัดกันไปกันมา ทำให้ความสมจริงมันลดลง
หน่วยยามก็ไม่ได้เอ่ยถึง แถมตำแหน่งนี้ผู้กองนาคียังแนะนำมาเสียอีก ทำไมระดับผู้กองทั้งสองคนจึงกำหนดพื้นที่ปลอดภัยไม่เหมือนกันครับ....
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี่คือตัวอย่างนะครับ..... หวังว่าผู้เขียนคงจะนำไปประยุกต์เข้ากับส่วนที่เหลือให้งานออกมาสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นนะครับ....
เริ่มต้นมาดีแล้วครับ จัดว่าดีที่เดียว
จริงๆๆแล้วมีสองประเด็นที่จะพูด แต่ผมขอพูดประเด็นเดียวก่อนดีกว่า เผื่อว่าจะมีคำสั่ง "ปิดปาก" มา จะได้ปิดทัน.....
สวัสดีครับ
Andreas