ตอนที่ 1 : เริ่มต้นในแสงสลัว ความง่วงทำให้พฤกษ์รู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น สายตาที่ยังปรับโฟกัสไม่ได้คล้ายกับเห็นใครบางคนนั่งอยู่ที่ปลายเตียง พฤกษ์หลับตาลงก่อนทะลึ่งตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ
“เมี้ยว” แมวสีส้มนอนขดตัวอยู่บนผ้าห่ม พฤกษ์โน้มตัวเปิดโคมไฟหัวเตียง เขามองไปรอบๆ ห้อง ทุกอย่างดูเป็นปกติเหมือนก่อนเข้านอน เหมียวส้มลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า มันเดินเข้ามาหาเขา ขดตัวลงนอนข้างๆ ก่อนเหยียดขาออกอย่างเกียจคร้าน
“ทำแกตื่นใช่ไหม” ชายหนุ่มลูบมือไปตามเส้นขนนุ่ม ในใจนึกไปถึงเงาตะคุ่มที่คิดว่าเห็นเมื่อครู่ บ้าชะมัด นี่เขาถูกเจ้าเด็กบ้าหลอกหลอนจนเก็บมาฝันเห็นเลยเหรอ พฤกษ์ถอนใจออกมาเบาๆ เมื่อคิดถึงหนุ่มน้อยลูกชายเจ้าของบริษัทที่เขาทำงานอยู่ พฤกษ์ชอบทุกอย่างที่นั่น งาน เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย สิ่งแวดล้อม สถานที่ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาปวดหัว นั่นคือการตามตื้อแบบไม่ยอมแพ้ของกันต์กวี ลูกชายคนที่สองของกานต์
เด็กหนุ่มเอ่ยปากบอกชอบเขาในวันหนึ่ง แม้เขาจะเพียรพยายามบอกไปว่าเขาชอบผู้หญิง ไม่มีรสนิยมชอบผู้ชายด้วยกัน แต่เหมือนเด็กแสบจะทำหูทวนลมไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ยังคอยตามตื้อเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนบางครั้งเขาก็นึกเบื่อหน่าย ที่สุดจึงใช้วิธีเงียบเสีย อยากพูดอะไรก็พูดไป เขาไม่เล่นด้วยเสียอย่างสักวันคงเบื่อไปเอง
“เหมียวน่ารักกว่าเยอะ” พฤกษ์เกาคางเหมียวส้ม อย่างน้อยแมวก็ไม่พูดมากเหมือนเด็กกวี
“เมี้ยว” เหมียวส้มกลิ้งตัวมานอนซบ เขาเพิ่งนึกได้ว่าเขาจัดที่นอนเป็นผ้าห่มนุ่มวางไว้ให้หน้าเตียง ก่อนเข้านอนก็ยังเห็นนอนอยู่ไม่รู้ขึ้นมาตอนไหน สงสัยติดนอนกับคน
พฤกษ์เอื้อมมือไปปิดโคมไฟก่อนเอนตัวลงนอน ในความง่วงเขารู้สึกได้ว่าร่างนุ่มดันหัวแทรกเข้ามาใต้แขน พฤกษ์พลิกตัวนอนตะแคงข้าง กอดเจ้าเหมียวติดความอบอุ่นเอาไว้อย่างที่มันต้องการ
✪✣✤✥✦✧✣✤✥✦✧✪
“พี่พฤกษ์ คุณสุชาติให้โทรกลับด้วย” พฤกษ์พยักหน้าให้เตชิตรุ่นน้องเป็นการรับรู้
“ไปไหนมาพี่”
“ซื้อของ” พฤกษ์ตอบสั้นๆ เขาเข้าทำงานสายเพราะต้องจัดการเรื่องเจ้าเหมียวให้เรียบร้อยก่อนมา เริ่มตั้งแต่ถ่ายรูป พิมพ์ลงกระดาษนำไปฝากให้นิติบุคคลและยามช่วยประกาศตามหาเจ้าของ ก่อนไปยังร้านขายของสัตว์เลี้ยง ซื้อทุกอย่างที่พนักงานแนะนำ
เขากลับเข้าบ้านอีกครั้ง จัดการเทอาหารและน้ำลงในภาชนะ ใส่ทรายแมวลงในกระบะ ก่อนตั้งของเล่นที่เขาไม่แน่ใจว่าแมวจะเล่นเป็นไหมวางไว้ให้ เหมียวส้มคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ เขาตลอดเวลา เดินไปทางไหนก็เดินตาม พฤกษ์อดไม่ได้ต้องอุ้มขึ้นมากอด
“อยู่บ้านดีๆ อย่าเกเร ห้ามกัดของเข้าใจไหม”
“เมี้ยว” เสียงตอบรับเบาๆ นัยน์ตากลมโตมองเขานิ่ง เฮ้อ เจ้าเหมียวจะเข้าใจไหม พฤกษ์ได้แต่ภาวนาว่าเมื่อเขากลับบ้านมาทุกอย่างจะเหมือนเดิม ไม่เละจนเกินไป
“ถ้าเหงาก็เล่นของเล่นไป” พฤกษ์อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่เจ้าของร้านบอกเขาว่าช่วงกลางวันแมวจะนอนเสียส่วนใหญ่ เขาจึงพอเบาใจได้บ้าง หวังว่ามันจะอยู่ในบ้านตัวเดียวได้โดยไม่เหงา
“พี่พฤกษ์” พฤกษ์หันไปตามเสียงเรียก
“ว่าไงวี” พฤกษ์ทักทายกรรวี สถาปนิกรุ่นน้อง เพื่อนร่วมงานและลูกชายคนโตของคุณกานต์เจ้าของบริษัท
“วันก่อนไม่รู้ผมลืมหยิบแฟลชไดร์ฟมาจากบ้านพี่พฤกษ์หรือเปล่า วันนี้ต้องใช้คุยงานกับลูกค้าผมหาไม่เจอ จำได้ว่าวันที่ไปกินเหล้าบ้านพี่พฤกษ์มันแน่นกางเกงผมเลยหยิบออก”
“พี่ไม่เห็นนะ ไม่น่าจะหลงอยู่ที่บ้าน” พฤกษ์ขมวดคิ้วพยายามนึกแต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าไม่เห็น
“ทำไงดีผมต้องรีบใช้ซะด้วย ผมคุ้นว่าไม่ได้หยิบกลับมา” สีหน้ากังวลของรุ่นน้องทำให้พฤกษ์ต้องช่วยคิดหาวิธี
“หรือวีจะลองไปหาดู” บ้านของเขาไม่ไกลจากบริษัทมาก และกรรวีก็แวะไปบ่อยๆ รวมถึงไปค้างด้วยเป็นบางครั้ง
“รบกวนหรือเปล่าพี่”
“ไม่เป็นไร เอ้านี่กุญแจบ้าน” พฤกษ์หยิบกุญแจส่งให้รุ่นน้อง
“ขอบคุณครับพี่พฤกษ์เดี๋ยวผมรีบกลับมา รับรองว่าไม่ขโมยของพี่”
“ฮ่าๆ จะเอาอะไรก็หยิบไป” พฤกษ์หัวเราะ อย่างกรรวีคงไม่ต้องขโมยอะไรจากบ้านเขา ในเมื่อชายหนุ่มมีพร้อมทุกอย่าง
“ผมไปก่อนพี่เดี๋ยวลูกค้ารอ นัดไว้บ่ายๆ”
“อืม ไปเถอะ” พฤกษ์พยักหน้า รอจนรุ่นน้องเดินไปจากโต๊ะจึงหันมาสนใจงานของตัวเอง
✪✣✤✥✦✧✣✤✥✦✧✪
“มันน่าปล่อยให้โดนขังไหม” กรรวีทักน้องชายตัวดีที่นั่งกินโยเกิร์ตของเจ้าของบ้านหน้าตาเฉย
“ขังน้องก็ไม่อดอยากหรอก ของกินเพียบ” กันต์กวีบุ้ยใบ้ไปทางตู้เย็นที่ตั้งอยู่ในโซนครัว
“ถ้าเพียบแล้วจะโทรตามให้พี่มาช่วยทำไม” กรรวีนั่งลงตรงข้ามน้องชายบนโซฟาตัวใหญ่
“น้องจะเอากุญแจไง เดี๋ยวไม่เข้าบริษัทหลายวันโดนพ่อบ่นแย่ ยิ่งเป็นเด็กฝึกงานอยู่ด้วย”
“รู้เหมือนกันเหรอ ยังจะหาเรื่องยุ่งใส่ตัว” กรรวีบ่นแต่ก็ยอมยื่นกุญแจที่แอบปั๊มสำรองส่งให้น้องชาย
“อย่าให้มีปัญหา”
“รู้น่า น้องเอาไว้เข้าออกบ้านเฉยๆ” กันต์กวีรีบตะครุบกุญแจไว้ก่อนที่พี่ชายจะเปลี่ยนใจ เขารู้ว่ากรรวีไม่อยากช่วยเท่าไหร่ แต่ติดว่าห้ามไม่ได้และคงเป็นห่วงเขาจะแห้งตายอยุ่ในบ้านจึงจำใจต้องช่วย
“นี่ดีนะบ้านพี่พฤกษ์ติดเบอร์บ้าน ไม่อย่างนั้นเราเหี่ยวตายอยู่ในนี้ จะเอาโทรศัพท์ที่ไหนติดต่อพี่”
“น้องก็รอพี่พฤกษ์กลับมาก่อนก็ได้ เอากระเป๋ากับโทรศัพท์ใส่ถุงดำซุกไว้ใต้พุ่มไม้ข้างนอก ว่าแต่พ่อว่าไงพี่วี โกรธมากไหม”
“อยากรู้ก็ไปหาพ่อเอง ป่านนี้ควันออกหูแล้ว”
“พี่วีก็คุยให้น้องหน่อยสิ นะๆ” กวีเอนตัวไปกอดแขนพี่ชาย รู้ว่าอ้อนแบบนี้แล้วกรรวีจะใจอ่อน เขาเป็นลูกคนเล็ก อายุห่างจากพี่ชายห้าปี จึงถูกเลี้ยงมาแบบตามใจพ่อสมควร ทั้งจากพี่และบิดามารดา
“เรามันก็เป็นแบบนี้ หาเรื่องให้พี่ปวดหัวอยู่เรื่อย” กรรวียกมือขึ้นยีผม สุดท้ายก็แพ้สายตาออดอ้อนของคนน้อง
“พ่อเขาเป็นห่วง กลัวพี่พฤกษ์จะจับเราส่งเจ้าหน้าที่กทม.”
“พี่พฤกษ์ไม่ใช่คนแบบนั้น” กันต์กวียู่ปาก เขารู้หรอกว่าพฤกษ์เป็นคนใจดีไม่อย่างนั้นเขาจะชอบอีกฝ่ายหรือ
“ก็จริง พ่อเลยเป็นห่วงว่าเราจะทำให้พี่พฤกษ์ลำบากแทน เห็นบ่นเป็นห่วงแต่พี่พฤกษ์ ตั้งแต่รู้เรื่องจากแม่ว่าเราขอมาอยู่บ้านนี้ บ่นใหญ่ว่าแม่อนุญาตไปได้ยังไง ไม่เกรงใจพี่พฤกษ์กันเลย แม่เลยบอกว่าห้ามได้ก็ดี ดีแล้วที่ยังมาบอก”
“ทุกทีอะ เห็นน้องเป็นตัวอะไร”
“เป็นแมวดื้อ” ชายหนุ่มตอบน้องชายได้ทันที
“งั้นพี่วีก็เป็นแมวขี้บ่น บ่นน้องจัง”
“สมควรโดนไหม ทำแต่ละเรื่อง”
“น่า อย่าเพิ่งบ่นเลย สัญญาว่าจะทำตามที่รับปากกับแม่ไว้ ขอแค่สามเดือน สามเดือนจริงๆ “ กันต์กวีชูนิ้วขึ้นสามนิ้วให้พี่ชายดู
“ถ้าพี่พฤกษ์ยังไม่สนใจ น้องจะยอมตัดใจ ไม่วุ่นวายให้พี่พฤกษ์รำคาญอีก”
“เฮ้อ” เห็นสีหน้าน้องชายแล้วชายหนุ่มก็อดสงสารไม่ได้ เพราะกันต์กวีสัญญาไปแบบนั้นมารดาของเขาจึงตัดใจยอมให้มา ดีกว่าปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อไม่มีวันจบ ทุกคนในครอบครัวต่างลงความเห็นว่าพฤกษ์ไม่น่าจะสนใจกันต์กวี จึงอยากให้ตัดใจและเปิดรับคนอื่นแทน
“แล้วเรามาเป็นแมวให้พี่พฤกษ์เลี้ยงแบบนี้มันจะช่วยอะไรขึ้นมาได้”
“น้องก็ไม่รู้ อย่างน้อยก็ได้ใกล้ชิดกัน แล้วค่อยหาทางดูอีกที”
“อย่าให้ถึงกับมองหน้ากันไม่ติด”
“อื้อ”
“ยังไงพี่พฤกษ์ก็เป็นมือดีของพ่อ เราเข้าใจใช่ไหม อย่าทำให้บริษัทเสียหาย ทำอะไรคิดให้เยอะๆ”
“อื้อ”
“เอาเถอะพี่จะปล่อยตามที่ขอ แต่สามเดือนเท่านั้นนะห้ามงอแงอีก”
“ครับผม”
“ว่าแต่จะไปบริษัทพร้อมพี่ไหม”
“พี่วีไปก่อนเลย น้องเอารถมาด้วยจอดอยู่สองซอยถัดไป กะว่าถ้าแน่ใจว่าพี่พฤกษ์ยอมเลี้ยงน้องก็จะขับรถไปเก็บที่บ้าน”
“แล้วนี่แน่ใจแล้วเหรอว่าพี่พฤกษ์จะเลี้ยงเรา ไม่ใช่พอหาเจ้าของไมได้ก็จับส่งกทม.”
“อย่าพูดสิ” กันต์กวีค้อนพี่ชายตาคว่ำ จึงถูกยีผมจนยุ่ง
“พี่พฤกษ์เลี้ยงน้องอยู่แล้ว นี่ซื้อของมาให้ตั้งเยอะแยะ ขนาดคิดว่าเจ้าของอาจมาตามนะ” กันต์กวีรีบอวด ชี้มือไปที่ข้าวของมากมายที่วางอยู่ริมผนังห้อง
“กินด้วยเหรอ” กรรวีเลิกคิ้วแปลกใจ เมื่อเห็นอาหารเม็ดที่อยู่ในชาม
“โอ๊ะ! ดีนะที่ทัก” กันต์กวีเพิ่งนึกได้ตอนพี่ชายพูดถึง รีบเดินไปหยิบถุงพลาสติกจากในครัว ก่อนจัดการเทอาหารแมวที่พฤกษ์เทไว้ให้ใส่ถุง
“เอ้า เททิ้งทำไม พี่พฤกษ์อุตส่าห์ซื้อให้” กรกวีแซวน้องชายขำๆ
“พี่วีจะเอาไปกินไหมล่ะน้องให้” กันต์กวียื่นถุงไปตรงหน้าพี่ชาย แกว่งไปมาเบาๆ
“ยังไงเดี๋ยวเราก็ต้องกิน ไม่กินให้เห็นคนเลี้ยงเห็น พี่พฤกษ์ได้กลุ้มใจตาย”
“โอ้ จริงด้วย” กันต์กวีตาโต รีบเอาอาหารแมวไปเทไว้ที่เดิม
“พี่วีช่วยไปคุยกับพี่พฤกษ์ให้หน่อยสิว่าเลี้ยงแมวที่บ้านเหรอ มันไม่ยอมกินอาหารเห็นเหลือเต็มเลย เผื่อพี่พฤกษ์จะต้มไก่ให้กินแบบเมื่อวาน แบบนั้นน้องค่อยทนกินโชว์ได้หน่อย ถึงจะจืดไปนิดก็เถอะ”
“ไก่มันแพง เรื่องอะไรพี่พฤกษ์จะซื้อให้กิน เสียเวลาต้มอีก”
“เอาน่าลองดูก่อน นะช่วยน้องหน่อย”
“เฮ้อ ช่วยตลอด บอกไว้ก่อนนะพี่พฤกษ์จับได้ขึ้นมาห้ามบอกว่าพี่มีส่วนรวมเป็นอันขาด”
“ไม่บอกหรอกน่า พี่วีกลับบริษัทได้แล้วเดี๋ยวพี่พฤกษ์สงสัย น้องเอารถไปเก็บที่บ้านก่อนแล้วจะนั่งแท็กซี่เข้าบริษัท”
“ก็ได้ แต่ไปถึงแล้วแวะไปหาพ่อก่อนเลยนะ พี่ขี้เกียจหูชาแทน”
“ได้ เดี๋ยวน้องรีบไป “ กันต์กวีหันไปมองรอบๆ สำรวจว่าเขาจัดทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วใช่ไหม ขืนกลับมาเห็นบางอย่างแปลกไป พฤกษ์จะสงสัยเอาได้”
“อืม” ถามว่าห่วงน้องไหมมีหรือกรรวีจะไม่ห่วง แต่ในเมื่อห้ามไมได้ก็ได้แต่ปล่อยให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ก็ได้แต่หวังว่าน้องชายของเขาจะสมหวังอย่างที่ปรารถนา
✪✣✤✥✦✧✣✤✥✦✧✪
“แปลกแฮะวันนี้น้องกวีโดนเจ้านายดุด้วย” เสียงเลื่อนเก้าอี้เข้ามาหาทำให้พฤกษ์ต้องเงยหน้าจากงานที่ทำอยู่ขึ้นมอง
“คงไปทำอะไรไว้” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ เขาได้ยินเสียงสนทนาที่ลอดออกมาจากห้องทำงานคุณกานต์เบาๆ แม้จับใจความไม่ได้ แต่ก็ฟังน้ำเสียงออกว่ากำลังดุลูกชายอยู่
“สงสาร” กันต์กวีถือเป็นน้องน้อยของทุกคนในออฟฟิศ แม้จะเอาแต่ใจอยู่บ้างแต่ด้วยความขี้อ้อนและช่างพูด รวมทั้งเป็นเด็กมีมารยาทไม่ได้หยาบกระด้าง ทุกคนจึงพร้อมใจกันเอ็นดู
“อย่าไปยุ่งเลย” ถ้าเป็นเรื่องของกันต์กวีพฤกษ์ไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมสักเท่าไหร่
“โธ่พี่พฤกษ์ใจร้าย นี่ถ้าพี่ยิ้มให้น้องมันสักทีสองทีนะสงสัยที่โดนดุมาลืมหมด” เรื่องที่กันต์กวีชอบเขาไม่มีใครในบริษัทที่ไม่รู้ เพราะเจ้าตัวประกาศชัดเจน บริษัทที่เขาทำงานอยู่เป็นบริษัทขนาดเล็กไม่ใหญ่มาก มีพนักงานไม่เกินยี่สิบคน รับงานออกแบบและตกแต่งภายใน คุณกานต์เจ้าของบริษัทชอบบรรยากาศการทำงานแบบเพื่อนและครอบครัวมากกว่า ที่นี่จึงไม่มีการตอกบัตร จะไปไหนขอแค่บอกกันก็พอ และเพราะแบบนั้นทุกคนในบริษัทจึงสนิทกันมาก เรียกว่าพูดกันได้เกือบทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องนี้ด้วย
“ถ้านายเอ็นดูนักก็จีบสินายเต” เตชิตทำหน้ายุ่ง
“โหพี่พฤกษ์พูดแบบนี้ของขึ้นแทนน้องกวีเลย มาได้ยินเข้าเสียใจแย่”
“ได้ยินอะไรเหรอครับ”
“อ้าว ออกจากห้องดำแล้วเหรอเรา มาๆ พี่โอ๋” เตชิตดึงกันต์กวีเข้ามากอด โยกตัวไปมาแรงๆ
“โอ๊ย พี่เตผมเวียนหัว”
“อะไรเจ้านายดุแค่นี้ถึงกับจะเป็นลมเป็นแล้งไปเลยเหรอ ไม่ได้ล่ะพี่ต้องเข้าไปคุยกับเจ้านายสักหน่อย” เตชิตทำท่าฮึดฮัด แต่ต้องหยุดเมื่อไม่มีใครคิดจะห้าม
“ไม่ห้ามกันหน่อยเหรอ”
“ไม่ครับ” กันต์กวีหัวเราะออกมาเบาๆ
“รับซองขาวมาแล้วเลี้ยงข้าวพี่ด้วย”
“โหพี่พฤกษ์พูดอย่างนี้ใครจะไป ผมกลับโต๊ะไปตั้งหน้าตั้งตาขยันทำงานดีกว่า เผื่อเจ้านายออกมาเห็นจะได้เพิ่มเงินเดือนให้” เตชิตแอบยักคิ้วให้กันต์กวีเป็นการบอกว่าเขาต้องการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้คุยกับพฤกษ์สองคน
“พี่พฤกษ์”
“ว่าไง” พฤกษ์ก้มหน้าลงทำงาน พยายามไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่าย
“ไม่มองหน้าผมเลย” เสียงตัดพ้อทำให้พฤกษ์ต้องเงยหน้าขึ้น บางครั้งเขาก็นึกสงสาร แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาไม่มีใจให้ และไม่สามารถเปลี่ยนความชอบมาสนใจผู้ชายได้
“มีอะไรเรา” พฤกษ์ใช้เสียงที่ฟังอบอุ่นขึ้นไม่ห่างเหินจนเกินไป
“คิดถึง”
“เจอหน้าเกือบทุกวัน”
“เจอก็คิดถึงได้นี่”
“พี่จะทำงาน”
“ผมก็ไม่ได้กวน” กันต์กวีหันซ้ายหันขวาก่อนดึงเก้าอี้ของโต๊ะข้างๆ มานั่งแปะ เพราะโต๊ะของเขาอยู่ไกลออกไป เรียกว่าคนละมุมเลยก็ว่าได้ บิดาเป็นคนจัดการเพื่อกันไม่ให้เขารบกวนพฤกษ์มากเกินไป
พฤกษ์ทำงานต่อไปอีกระยะก่อนถอนใจออกมาเบาๆ เล่นนั่งจ้องเขาแบบนี้จะมีสมาธิได้อย่างไร
“ไปนั่งทำงานเถอะ เดี๋ยวเจ้านายออกมาจะโมโห เพิ่งโดนดุมาไม่ใช่เหรอ”
“พี่พฤกษ์เป็นห่วงผมเหรอ” สีหน้าดีใจเหมือนเด็กน้อยทำให้พฤกษ์ใจอ่อน เขายิ้มให้อีกฝ่ายยิ่งทำให้ดวงหน้าน้อยๆ กระจ่างขึ้น
“อืม”
“โหยดีใจอะ วันนี้ดีที่สุดเลย”
“เว่อร์ไป”
“ใครว่าเว่อร์ ร้อยวันพันปีพี่พฤกษ์เคยบอกผมแบบนี้ทีไหน ผมจะจดบันทึกไว้” เจ้าตัวดีหยิบโทรศัพท์ออกมากด หน้าตาจริงจังราวกับเป็นวันสำคัญของชีวิต
“จดเสร็จแล้วก็กลับไปนั่งโต๊ะ” พฤกษ์เงียบไปครู่ก่อนพูดต่อ “เอาไว้หลังเลิกงานจะมานั่งก็ตามใจ” พฤกษ์บอกตัวเองว่าเขาเห็นใจที่อีกฝ่ายโดนดุมา อย่างที่เตชิตบอกทุกคนรู้ดีว่าเจ้านายรักและตามใจลูกชายแค่ไหน โดนดุขนาดนี้คงเสียใจไม่ใช่น้อย
“ได้เหรอ” น้ำเสียงคนพูดตื่นเต้นก่อนสีหน้าจะสลดลงเล็กน้อย “แต่ผมอยู่ไม่ได้ต้องไปธุระที่อื่น”
“หืม?” พฤกษ์อดหันไปมองไม่ได้ นานๆ ทีเขาจะเป็นคนเอ่ยปากอนุญาตแต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธเป็นเรื่องที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยิน แต่เมื่อคิดได้ว่าคนเราก็มีธุระกันได้เขาจึงไม่ได้ซักถามอะไร ก็ดีเหมือนกัน อาจเป็นนิมิตรหมายที่ดีว่าอีกฝ่ายเริ่มตัดใจจากเขาได้บ้างแล้ว
“ก็ไม่เป็นไร ยังไงพี่ก็ทำอยู่บริษัทนี้”
“อืม” สีหน้าคนฟังดูมีความหวังขึ้นมา พฤกษ์ไม่รู้สักนิดว่าในใจของกันต์กวีนั้นนึกเสียดายแค่ไหน นี่น่าจะเป็นหนึ่งในล้านครั้งที่พฤกษ์เป็นคนเอ่ยปากกับเขาก่อน แต่ถ้าเขาไม่กลับจะเกิดปัญหาได้ กันต์กวีต้องตัดใจด้วยความเสียดาย ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็ได้อยู่ด้วยกัน แม้จะไม่สามารถพูดกับอีกฝ่ายได้ก็ตาม
“พี่พฤกษ์”
“หืม?”
“ผมยังชอบพี่อยู่นะ บอกไว้ก่อน แต่ช่วงนี้ผมยุ่งๆ เรื่องเรียนอาจไม่ได้ตามติดเหมือนเก่า เดี๋ยวจะเข้าใจผิด”
“ดีแล้วไปทำอะไรที่สมวัยเถอะ”
“ทุกทีอะ” กันต์กวีทำหน้าเซ็ง แต่สักพักก็ยิ้มออกมาได้ คนอย่างเขาไม่มีทางยอมแพ้อยู่แล้ว
“ไล่ไปเถอะ ถึงไล่ก็ไม่ไปง่ายๆ หรอก”
“หึๆ” พฤกษ์ไม่ตอบโต้เขาเพียงหัวเราะออกมาเบาๆ จริงอยู่ที่บ่อยครั้งเขานึกรำคาญเด็กหนุ่มแต่ก็มีบางครั้งที่เขาอดเอ็นดูไม่ได้ เช่นตอนนี้
กันต์กวียิ้มกว้างออกมา ถึงอีกฝ่ายจะไม่มองหน้าเขาแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มอ่อนๆ ของพฤกษ์ก็ทำให้เขามีความหวังขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยการเข้าไปอยู่บ้านของพฤกษ์อาจทำให้เขารู้จักชายหนุ่มมากขึ้น รู้ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร รู้ว่าจะเอาชนะใจอีกฝ่ายได้อย่างไร และที่สำคัญ ได้รู้ว่าอ้อมกอดของพฤกษ์อบอุ่นแค่ไหน
“ไปทำงานได้แล้ว” เสียงไล่ที่คุ้นหูเขาดังขึ้น
“อืม” กันต์กวีลุกขึ้นยืน สามเดือนไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนานเลยเมื่อเทียบกับปีกว่าที่เขาตามตื้อพฤกษ์มา เป็นปีเขายังทำไม่สำเร็จแล้วสามเดือนจะไหวไหม โอกาสสุดท้ายของเขาแล้ว กันต์กวีได้แต่บอกตัวเองว่าต้องทุ่มสุดตัวเท่านั้น เด็กหนุ่มมองใบหน้าด้านข้างของพฤกษ์ ได้แต่หวังอยู่ในใจว่าความรักของเขาจะเปลี่ยนใจชายหนุ่มได้ รับรักผมด้วยเถอะนะ ผมรอพี่อยู่
✪✣✤✥✦✧✣✤TBC✥✦✧✣✤✥✦✧✪
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin