*หมายเหตุ : เนื่องจากตอนนี้มีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวเนื่องกับตอนที่แล้ว เพื่ออรรถรสในการอ่านแนะนำให้อ่านตอนที่แล้วก่อนครับตอนที่4ลางสังหรณ์“ฮึก ไอ้ภพ เราเลิกเล่นกันเถอะ กูจะไม่ไหวแล้ว” ผมเรียกร้องให้ยุติเกมส์นี้ หลังจากสิ่งที่ต้องเผชิญกำลังทำให้จิตใจของผมแปรปรวน
“อดทนอีกหน่อยไอ้มิว 8 คำถามแล้วนะ ไอ้กล้องเหี้ยนั่นมันก็ดูเราอยู่ เดี๋ยวที่เหลือกูจะถามเอง”
“ใคร…ฆ่าพวกมึง?” มันเริ่มถามคำถามอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกดดัน เส้นเลือดที่ขมับของมันขึ้นชัดเจน จนบอกได้ว่ามันกำลังจริงจังและเครียดกับสถานการณ์ตรงหน้า
“ไม่ รู้”“โถ่เว้ย!! พวกมึงโดนฆ่าตายแต่เสือกไม่รู้ว่าใครฆ่า มึงถูกฆ่าที่ไหน” ไอ้ภพหัวเสียมากจนมันควบคุมอารมณ์ไม่ได้ มันสบถออกมาเสียงดังลั่น สร้างความตกใจและประหลาดใจให้กับผม ผมไม่รู้ว่าตัวมันกำลังคาดหวังกับอะไร เหตุใดถึงมีท่าทีไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ
“บ้าน”“บ้าน…..หลังนี้?”
“ไม่”“ไม่ใช่บ้านหลังนี้ เป็นไปได้ไงวะ…”ไอ้ภพพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันมามองหน้าผมที่ก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน ความกลัวของผมถูกสร้างขึ้นมาไม่ใช่แค่เพราะว่าผมเห็นวิญญาณหรือสัมภเวสีพวกนั้น แต่เป็นเพราะประวัติบ้านที่ผมกับมันเคยฟังจากทีมงานด้วย บ้านหลังนี้มีคนตายถึง 7 ศพ จากการถูกฆาตกรรม หากวิญญาณที่เห็นไม่ได้ตายที่บ้านหลังนี้แล้วพวกมัน มาจากไหน?
“พวกมึง…ถูกฆ่าตายยังไง?” เป็นไอ้ภพที่เริ่มถามอีกครั้ง
“มืด”“มืด? มันคืออะไรวะ....แล้วพวกมึงต้องการอะไรจากพวกกู” คำถามสุดท้ายถูกเอ่ยขึ้นจากปากไอ้ภพ ทำให้คีย์เวิร์ดตัวที่สองถูกเปิดมาอีกครั้ง มือที่อยู่บนแก้วมากมายเริ่มแย่งกันดันอีกรอบ จนไม่สามารถระบุทิศทางและความหมายของมันได้
“ช่วยด้วย”
“ช่วยกูด้วยยยยยยยยยย”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ช่วยกู พวกมึงต้องช่วยกู”“ฮึกไอ้ภพ เชิญออก!!! เชิญออก!!! กูไม่ไหวแล้ว มันบอกให้เราช่วยมัน ไอ้ภพ ฮึก” อีกครั้งแล้วที่แก้วควบคุมไม่ได้ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่พวกมันเลือกที่จะส่งเสียงให้ผมได้ยินแทนการเคลื่อนแก้วไปทีละตัว เสียงกรี๊ดสลับกับคำพูดว่าช่วยด้วย ถูกเอ่ยวนซ้ำๆเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้แค่นั้น
ผมคิดว่านั่นคือที่สุดที่ผมจะโดนแล้ว
แต่ไม่ใช่…ผมคิดผิด
หมับมือของพวกมันถูกเปลี่ยนจากการดันแก้วมาจับข้อมือของผมด้านที่แตะอยู่บนแก้วไว้ ไอเย็นมากมายถูกถ่ายทอดเข้าสู่ร่างกายของผมจนขั้วหัวใจผมชาสนิท สายตาของผมบัดนี้เห็นเต็มๆตาว่า พวกมันพยายามจะเขย่ามือผมให้หลุดจากแก้ว ด้วยสาเหตุใดผมไม่ทราบ พวกมันหลายตน เริ่มเอามือทั้งสองข้างมาสัมผัสกับผมเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงกรีดร้อง บอกให้ผมช่วยมัน
“ฮึก ฮือ ไอ้ภพ ช..เชิญพวกมันออก ช่วยกูด้วย ฮึก” ผมสะอื้น พร้อมกับบอกไอ้ภพให้รีบทำตามที่ผมบอก
“ออกไปให้หมด เชิญพวกมึงออกไปให้หมด”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด หึหึ กู ไม่ ออก ห้าห้าห้า”
“กู ไม่ออกกกกกกก”
“ฮึก ภพ มันไม่ไป มันไม่ออกช่วยกูด้วย” ผมเริ่มทนไม่ไหวกับสถานการณ์นี้ ใจผมสั่นจนกลัวว่าหัวใจผมจะวาย น้ำตาของผมมากมายถูกปล่อยให้ไหลมาอย่างต่อเนื่อง ทางรอดเดียวที่ผมคิดได้คือต้องหาทางมองที่อื่นที่ไม่ใช่มือของตัวเองและแก้วนั่น ผมจึงตัดสินใจที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองแต่ไอ้ภพ
“กู ไม่ ออก" หน้าไอ้ภพ ถูกเปลี่ยนไปเป็นหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด แววตาของมันแดงก่ำเหมือนกับกำลังโกรธแค้นอะไรสักอย่าง มันมองมาทางผมที่คิดจะหนีจากความจริงตรงนี้
“เหี้ยยยยย!!!!” ผมตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมกับมือข้างที่แตะไว้กับแก้วเตรียมจะหลุดออกมา ทุกอย่างรอบตัวผมเริ่มมืดบอดไปหมด ผมคงกำลังใกล้จะสูญสิ้นสติที่มีแล้ว
หมับ
มือของไอ้ภพอีกข้างจับมือของผมที่ใกล้จะหลุดออกจากแก้วเอาไว้ สติเบลอๆของผม เห็นมันท่องอะไรอยู่สักอย่าง ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงดังฟังชัดว่า
กูบอกให้พวกมึงออกไป สิ้นคำพูดไอ้ภพทุกอย่างที่อึดอัดรอบตัวผม ก็พลันหายไปราวกับว่าสิ่งที่ผมเจอเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น ไอ้ภพปล่อยผมนอนลงตรงนั้น ก่อนที่มันจะลุกขึ้นไปเปิดไฟแล้ววิ่งกลับมาหาผมอีกครั้ง
“มิว ไอ้มิว มึงเป็นอะไร” เสียงร้อนรนของมันเริ่มแสดงให้เห็นว่ามันคงเป็นห่วงผมอยู่ไม่น้อย
“ฮึก ไอ้ภพ กูมองเห็นผี ไอ้ภพ กูเห็นผี ฮึก ช่วยกูด้วย” กำลังกายที่มีอยู่เล็กน้อย พาตัวผมให้เข้าไปกอดไอ้ภพที่กำลังประคองผมอยู่ มันกอดตอบผมและค่อยๆลูบหลังให้สติผมค่อยๆคืนมา อ้อมกอดของมันอบอุ่นมากจนคลายความกลัวและความเครียดของผมที่มีอยู่ได้ ผมไม่เคยคิดว่าตัวมันจะดีกับผมถึงเพียงนี้เพราะที่ผ่านมามันเอาแต่ปฏิเสธผม จนตอนนี้ ผมต้องยอมรับเลยว่า ผมยังเป็นผมอยู่ได้ก็เพราะมีมัน
“ รู้แล้ว กูรู้แล้ว ไอ้มิวตั้งสติ ตั้งสติก่อน อย่าเพิ่งร้องไห้ ไม่มีอะไรแล้ว”
“ฮึก ภพกูไม่อยากเห็นแล้ว กูไม่อยากเห็น”
“มึงลืมตามาก่อนไอ้มิว ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว”
ผมตัดสินใจออกห่างจากไอ้ภพแล้วค่อยๆ ลืมตามาพบกับความจริงที่ว่า สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามีเพียงไอ้ภพที่มองมาที่ผม ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่สูญหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่คราบน้ำตาบนแก้มและร่องรอยมือมากมายที่เกิดขึ้นบนแขนผมเท่านั้นที่ยืนยันได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงการคิดไปเอง
“ภพ…..มึงเชื่อกูใช่มั้ย กูไม่ได้บ้านะมึง กูเห็นจริงๆ” เสียงเรียกแผ่วเบาของผม กำลังเรียกร้องความเห็นใจจากไอ้ภพให้เชื่อว่าสิ่งที่ผมเห็นมันไม่ใช่แค่ภาพลวงตา
“รอยบนแขนมึงนั่น โกหกกูไม่ได้หรอก” ไอ้ภพพูดพร้อมมองรอยแดงบนแขนผม
“ขึ้นห้อง กูจะพาไปทายาแล้วนอนซะ คืนนี้หนักมากพอแล้ว”
“อืม” ผมตอบรับไอ้ภพ และเดินตามมันขึ้นห้องนอน ก่อนขึ้น ผมเห็นไอ้ภพ เดินไปหยิบกล่องยาที่อยู่ใกล้ๆกับตู้หนังสือถือเดินตามผมขึ้นไปด้วย ความหน่วงในใจที่เกิดขึ้น ทำให้ผมได้มีเวลาสังเกตการกระทำไอ้ภพ มันกำลังพยายามดูแลผมทั้งๆที่ไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องทำก็ได้
“มึงยื่นแขนมา กูจะทายาให้”
“…..” ผมยื่นแขนไปให้มันและจ้องมองมันอยู่แบบนั้น ความรู้สึกบางอย่างพุ่งตรงสู่หัวใจของผม บางอย่างที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“มีอะไร?” ไอ้ภพคงเห็นว่าผมจ้องมันนานเกินไป จึงได้ถามขึ้นมาอย่างคนอยากรู้
“ขอบคุณนะ” ผมบอกมันได้แค่คำนี้ แม้ในใจจะรู้สึกเอ่อล้นออกมาแค่ไหน แต่คำนี้คงเป็นคำที่ดีที่สุดที่สมองผมจะนึกได้
“เรื่อง?”
“เรื่องที่มึงทายาให้แล้วก็….เรื่องเมื่อครู่นี้”
“อืม ไม่ต้องไปพูดหรือนึกถึงมันแล้วนะ เดี๋ยวจะนอนไม่หลับ”
“มึง…กูถามอะไรได้มั้ย”
“อะไร”
“มึงท่องอะไรก่อนที่มึงจะเชิญพวกนั้นออก” ไอ้ภพมองหน้าผมเรียบๆอย่างไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไร มันอาจกำลังเป็นกังวลหากต้องพูดออกมาหรือไม่ก็คงไม่อยากอธิบายอะไรให้ผมฟัง
“ไม่ได้ท่องอะไรทั้งนั้นแหละ กูแค่นึกถึงพ่อแม่กู แล้วก็สาปแช่งพวกมัน”
“ทำไมอยู่ดีๆก็นึกถึงพ่อกับแม่”
“ท่านเสียไปแล้วไง….กูเลยคิดว่าคนตายกับคนตายมันต้องจบได้ เลยนึกถึงมีอะไรอีกมั้ย”
“แล้วมึงอยู่กับใคร เหตุผลที่มึงทำหลายๆอย่างได้ไม่น่าใช่เพราะมึงอยู่คนเดียว”
“หึ แสนรู้ดีหนิ กูเคยอยู่กับน้องสาวกู”
“ไอ้เหี้ยกูไม่ใช่หมา…น้องสาวหรอ หรือว่าจะเป็น นัท?”
“อืม แล้วมึงก็ไม่ต้องถามอะไรต่อแล้วนะ วันนี้มึงรู้เรื่องของกูเยอะมากพอละ”
“เออ แค่นี้ทำหวง” พูดจบผมก็ล้มตัวลงนอน ได้ยินเสียงไอ้ภพเก็บกล่องยาเรียบร้อย มันก็เดินไปปิดไฟก่อนมันจะมาล้มตัวนอนข้างๆผม
“ภพ กูไม่รู้ว่ามึงจะเบื่อรึเปล่า แต่กูอยากบอกมึงอีกครั้งว่าขอบคุณ”
“ไม่ต้องขอบคุณกูมากหรอก ถ้ามึงรู้เหตุผลจริงๆของกู มึงอาจจะเกลียดกูเลยก็ได้”
“เอาเหอะ ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตวันนี้มึงช่วยกู กูก็ต้องขอบคุณมึง มันเป็นเรื่องที่ควรทำ”
“พอ นอนเหอะ กูง่วง”
“อืม ฝันดี...” แม้จะบอกให้ไอ้ภพฝันดี แต่เมื่อผมหลับตา ภาพหลอน ความกลัวที่คอยวนเวียนอยู่ในใจผมมันยังไม่จางหาย สิ่งที่ทำได้คือการคิดถึงเรื่องอื่นให้เยอะๆเพื่อลบความทรงจำเลวๆนั่น ยอมรับเลยว่า ไอ้ภพมันเก่งมากที่เอาเรื่องราวมายัดไว้ในหัวของผมได้เพื่อให้ผมลืมความทรงจำแย่ๆพวกนั้น ถึงจะช่วยผมได้ไม่มากแต่มันก็ทำให้ผมนอนหลับได้เร็วขึ้น
ป๊อก
ป๊อกกก“เสียงอะไรวะ” ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หันไปมองข้างๆไอ้ภพก็ยังนอนอยู่ปกติ เสียงไร้แหล่งที่มาดังขึ้นหลายครั้งกระตุ้นความกลัวและความอยากรู้อยากเห็นของผม มันเป็นเสียงเหมือนของแข็งกระทบกับอะไรสักอย่าง เมื่อตั้งใจฟังดีๆแล้วก็พบว่ามันดังมาจากกำแพงนอกบ้าน
ป๊อกกกกกก
ป๊อกกกกกกกกกกผมเดินตามเสียงไปเรื่อยๆ โชคดีที่ว่า เสียงที่ผมได้ยินไม่จำเป็นต้องออกไปนอกห้องก็คาดว่าผมก็สามารถหาแหล่งที่มาได้ ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างห้อง เสียงดังชัดมากตรงบริเวณนี้เพียงแต่ว่าผมก็ยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร ผมจึงลองเอาหูแนบกับกำแพงฟัง
“เสียงเชี่ยไรวะ กูจะนอนแม่งก็นอนไม่ได้ “ ผมลองเอาหน้าแนบกับกระจกดูอีกครั้ง เพื่อมองลงไปข้างล่างว่า มีคนทำอะไรอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า เมื่อพบว่าไม่มีผมจึงเตรียมหันหลังกลับเตียงนอน
ป๊อก เสียงเดิมๆสั่งผมหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วหันกลับไปมองอีกครั้ง คราวนี้ผมค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าผมต้องได้รู้แหล่งที่มาของเสียงเพราะเงาของวัตถุบางอย่างที่ตกกระทบพื้นในห้องยังคงเกิดอยู่อย่างต่อเนื่อง
กู บอก ให้ ช่วย กู !!!!“เหี้ยยยยย” ผมรู้แล้ว....เสียงป๊อกที่ผมได้ยินมาจากไหน มันคือเสียงของหัวผู้หญิงคนนั้น กระทบกับกระจกของห้องผม เสียงที่ผมได้ยินก่อนหน้านั้น คงเป็นเสียงที่มันเคาะกับกำแพงบ้านมาเรื่อยๆก่อนถึงกระจกบานนี้
“ภพ ช่วยกูด้วย ไอ้ภพ ช่วยกูด้วยยยยยยย ฮึก” น้ำตาผมกลับมาไหลอีกครั้ง ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงยังต้องมาตามหลอกหลอนผมแบบนี้
“ภพ”
“ไอ้ภพพพพพพพพ”
เฮือกกกกกกกกกกกกผมลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมคราบน้ำตาบนหน้าผมก่อนจะมาพบความจริงที่ว่าแสงอาทิตย์มากมายถูกส่องมายังห้องผมแล้ว ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ฝัน ผมคงกลัวมากเกินไปเลยเก็บมาคิดมากไปเอง สงบจิตใจตัวเองได้ดังนั้นจึงมองไปข้างเตียง ไอ้ภพหายไปแล้วครับ มันคงตื่นไปอาบน้ำตามเรื่องตามราวของมัน
ป๊อกกกกกกกกกก
ทำไมไม่ช่วยกูผมที่กำลังจะก้าวลงจากเตียงรีบตาลีตาเหลือกหดขากลับขึ้นมาแล้วนอนคลุมโปงทันที เสียงนั่น เสียงแบบเดียวกับในฝันมันยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวผม ความกลัวที่คิดว่าหมดไปแล้วหากแสงของพระอาทิตย์มาเยือน เริ่มกลับมาอีกรอบ
“ไอ้ภพพพพพพ มึงอยู่ไหน ไอ้เหี้ยยย กูกลัว ไอ้ภพพพพพพ “ ผมโวยลั่น ตะโกนเรียกหาคนที่จะช่วยผมได้มากที่สุดตอนนี้ มันไม่ใช่แค่ฝันแล้ว เสียงนั่นยังคงตามหลอกหลอนผม มันยังตามราวีผมไม่เลิก
“มีอะไร จะเรียกกูเสียงดังทำไมตั้งแต่เช้าวะ ” เมื่อได้ยินเสียงไอ้ภพ ผมจึงรีบกุลีกุจอ ลุกออกจากเตียงแล้ววิ่งไปหามัน
“ไอ้ภพ กูได้ยินเสียง เสียงเหมือนผู้หญิงคนที่กูเจอตอนเล่นเกมส์นั่นมึงช่วยกูด้วย”
“มันพูดว่าไร”
“ทำไมไม่ช่วยกู ไอ้เวรแม่งจะให้กูกับมึงช่วยมันให้ได้อ่ะ”
“ดังมาจากหน้าต่าง?”
“เออดิ นี่มึงก็ได้ยินหรอ” ผมแสดงท่าทีตื่นเต้นออกไปอย่างปิดไม่มิด เมื่อตอนนี้รู้สึกดีใจที่ไอ้ภพมันจะได้แชร์ประสบการณ์หลอนร่วมกับผม
“ได้ยินดิ ไปดูให้เห็นดิ๊ ผีตัวไหนแม่งเฮี้ยนนักวะ” พูดเสร็จมันก็ล็อกคอผมให้ออกไปดูตรงหน้าต่างนั่น
เฮ้ยทำไมมึงไม่ช่วยกูวะ ไอ้สัสอู้งานหรอพวกมึง“ไง ผีแม่งเฮี้ยนใช่มั้ย ไอ้ควายยยยย เสียงคนงานโว้ย เพ้อเจ้อไรของมึง” พูดเสร็จมันที่ล็อกคอผมอยู่ก็กระหน่ำฟาดหัวผมเหมือนเป็นกลองชนิดหนึ่ง อย่างไม่ยั้งมือ ไม่รู้ว่าผมไปทำให้มันโมโหมากๆตอนไหนเหตุใดถึงได้มาคิดบัญชีอย่างรุนแรงกับผม
“โอ้ยพอ!!! กูเจ็บ ใครมันจะไปรู้วะ”
“ไม่รู้ก็หัดเดินออกมาหาความจริงก่อนซะมั่ง ไม่ใช่คิดเพ้อเจ้อไปแบบนี้ “
“เออๆ แล้วนี่...คนงานมาจากไหนนักหนา”
“ลุงมั่นมั้ง เกณฑ์คนมาลงต้นไม้ กูก็คิดว่าแม่งจะปล่อยให้เฉาตายอยู่ตรงนั้นละ”
“ปากมึงนี่มัน กลับไปเงียบๆแบบเดิมก็ได้นะ กูไม่ว่า”
“เรื่องของกู” พูดเสร็จมันก็ทำท่าจะเดินออก ผมที่ยังแคลงใจกับความฝันก็ตัดสินใจที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มันฟัง
“มึง ที่บอกว่าให้กูเดินไปดูก่อนอ่ะ กูทำแล้วนะ แต่พอกูทำมันไม่เป็นแบบนี้ ก่อนกูตื่นกูฝันว่ากูได้ยินเสียงแบบที่มึงได้ยินนี่แหละ เสียงที่บอกให้กูช่วย เสียงเดียวกับที่กูได้ยินตอนเล่นเกมส์นั่น กูลุกขึ้นเดินไปดูแต่ก็นั่นแหละ หน้าผู้หญิงคนนั้นโผล่ออกมาให้กูเห็น”
“แล้ว?”
“กู…กูไม่รู้จะทำยังไง มันเหมือนกับภาพที่มันไม่หลุด กูขอโทษถ้าโวยวายให้มึงรำคาญแต่เข้าใจกูด้วย”
“กูก็ไม่ได้ว่าอะไร มีอะไรก็บอกกู อย่าเก็บไว้ ถ้าเอามันหลุดไม่ได้ก็ทำใจอยู่ร่วมกับมันซะ”
“แต่…”
“เชื่อกู ไอ้มิวตราบใดที่มึงยังอยู่ในเกมส์นี้ มึงหนีเรื่องนี้ไม่พ้นแน่”
“กูจะอยู่กับมันไปได้ยังไง ไม่มีอะไรการันตีสักอย่างว่าจบเกมส์ไปแล้วกูจะหาย”
“งั้นรู้เอาไว้ ถ้ากูยังไม่ตาย….มึงก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
“อ…อืม”
มึงอยู่ปกป้องกูไม่ได้ตลอดหรอก ผมเถียงมันอยู่ในใจไปแบบนั้น ความจริงที่ต่างคนก็รับรู้ว่านี่มันก็แค่รายการผีๆ ที่ถูกสร้างมากำหนดชีวิตคน ผมคือคนหนึ่งที่หลงเชื่อคำเชิญชวนของรายการ และตกเป็นเหยื่อของเรื่องราวหลังความตายที่ผมไม่เคยสัมผัส เมื่อจบเกมส์ทุกคนในที่นี้ก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตดังเดิมตามสิ่งที่เราทิ้งมา
ไอ้ภพเดินออกจากห้องลงไปด้านล่างเพื่อไปเตรียมอาหารเช้าตามปกติ ผมจึงหันหลังกลับมามองที่หน้าต่างเพื่อมองภาพด้านล่างคลายความเครียดที่อยู่ในใจ
อิจฉา คำนี้เด่นชัดในหัวผมทันทีเมื่อได้เห็นคนงานกลุ่มนั้นทำงาน ผมอยากเป็นแบบนั้นบ้าง ผมอยากจะแค่เข้ามาตอนเช้าและกลับออกจากบ้านหลังนี้ไปเมื่อเสร็จงาน ไม่ได้อยากอยู่เพื่อรับรู้แล้วว่าผมจะต้องเจออะไรบ้างในตอนกลางคืน จนคิดอยากจะถอนตัวไปซะ
แต่……..
ก็ทำได้แค่คิด ภาพไอ้ภพถูกซ้อนทับความเห็นแก่ตัวของผม พฤติกรรมแปลกๆของมันที่แสดงออกว่ามันต้องมีจุดประสงค์แฝงกับเกมส์นี้แน่ๆลอยขึ้นมา ผมปล่อยมันไว้ไม่ได้ลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับผม ไอ้ภพแย่แน่ถ้ามันต้องอยู่คนเดียว
“ทำไรแดกวะวันนี้” ผมเดินไปตบบ่ามันที่กำลังมองกลุ่มคนงานลงต้นไม้และขุดหลุมอย่างจริงจัง
“ไปดูเอง” มันหันมาตอบแค่นั้นแล้วก็หันไปมองตรงนั้นต่อ
“มันน่าสนใจตรงไหนวะ กะอีแค่ลุงมั่นกะคนงานจะลงต้นไม้ มึงจะมองให้ต้นไม้มันงอกเพิ่มหรอ”
“แล้วมึงจะยุ่งทำไมวะ ปากว่างนักก็เอาไปแดกข้าว”
“ก็มึงอยากทำตัวแปลกๆเอง เกิดหงุดหงิดที่วันนี้ไม่ได้ปีนออกไปรึไง”
“งั้นมั้ง” ไปแล้วครับ ตอบส่งๆกับผมแล้วก็เดินขึ้นห้องนอนไปเลยคาดว่าคงจะรำคาญผมเลยจะไปยืนส่องที่หน้าต่างห้องนอนแทน เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมยังคงไม่ได้คำตอบ มันจะอยากออกไปทำไมทุกวัน ออกจนผมเองเริ่มที่จะสนใจและอยากจะปีนออกไปบ้างแล้ว
เมื่อไม่มีอะไรทำ ผมจึงเดินไปตักข้าวและถือจานมานั่งลงตรงประตูห้องครัวนั่นเลย ในเมื่อไม่ได้คำตอบอะไรจากไอ้ภพว่ามันจะมองทำไม ผมจึงนั่งหาคำตอบให้ตัวเองแทน ตามที่นั่งสังเกตไปกินข้าวไป ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันก็ไม่ได้มีอะไร ผิดปกติไปกว่าการทำสวนธรรมดา ลุงมั่นดูชำนาญมาก จับนู่นจับนี่เหมือนเป็นงานถนัด คนงานที่มีก็ช่วยกันขุดหลุมเตรียมเอาต้นไม้ลง
“อ้าว ทำไมมานั่งกินคนเดียวหละ เพื่อนอีกคนไปไหน” ลุงมั่นเดินแยกออกจากงานมาหาผมที่นั่งอยู่ตรงประตู
“มันขึ้นไปบนห้องครับ น่าจะไปนอน” ตอแหลไปครับ รู้อยู่เต็มอกว่าไอ้ภพขึ้นไปทำห่าอะไร
“บ๊ะ เพิ่งจะตื่น กลับขึ้นไปนอนอีกแล้วรึ เกมส์หนักมากเลยรึไง”
“เอาการอยู่ครับลุง ผมกับมันนี่เล่นมา2เกมส์ โคตรรรรเหนื่อยเลย” ผมหลีกเลี่ยงที่จะไม่บอกไปว่าผมเจออะไรบ้าง
“อดทนเอา เงินตั้งเยอะลุงยังอยากเล่นเองเลย”
“555 ลุงไม่ลองสมัครละครับ เผื่อจะได้มาเล่นบ้าง”
“อายุปูนนี้แล้ว อยู่เฉยๆรอตายดีกว่า อย่าหาเรื่องให้ตัวเองเลย 55”
“โถ่ลุง ตาย อะไรครับลุงยังดูแข็งแรงอยู่เลย แล้วนี่….ลุงได้ดูรายการของพวกผมบ้างมั้ยครับ”
“โอ้ย ไม่ได้ดูหรอกลุงเปิดคอมเองยังไม่เป็นเลยจะไปหาดูจากไหน แต่ทางผู้จัดการเกมส์เค้าก็มาคุยกับลุงอยู่นะเห็นบอกกระแสตอบรับของพวกเอ็ง ดีเลยทีเดียว”
“หรอครับ…เกมส์นี้มันมีคนดูอยู่เยอะแล้วรึเปล่าไม่น่าเกี่ยวกับพวกผมนะ”
“ไม่หรอก พวกเอ็งนั่นแหละที่ดึงกระแส ไม่สงสัยหรอว่าทำไมเอ็งถึงได้อยู่ในรายการต่อทั้งที่ทำผิด”
“ก็……สงสัยบ้างครับ” ผมหันกลับไปมองหน้าลุงมั่น เหตุใดลุงถึงรู้ว่าผมทำผิด ผู้จัดการเกมส์บอก?
“เรตติ้งวันที่เอ็งทำผิดสูงมาก ทางผู้จัดการเกมส์เลยไม่อยากเอาเอ็งออก ถ้าเป็นปีก่อนๆนะ เด้งออกไปแล้ว”
“ปีก่อนๆมีคนทำผิดด้วยหรอครับ?”
“มี มีทุกปี ข้อห้ามแบบนี้มันเป็นข้อห้ามพื้นฐานของเกมส์ แสดงว่าเอ็งไม่เคยดูเลยหละสิ”
“ก็ใช่ครับ ผมเคยได้ยินแต่ชื่อ แต่ไม่เคยดูเลย”
“ปีนี้ก็อยู่เล่นนานๆละกัน จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“จะพยายามละกันนะครับลุง”
“เอาหละ คุยกันพอแล้ว เดี๋ยวลุงกลับแล้วนะ คืนนี้ขอให้โชคดี” โชคดี...คำนี้อีกแล้ว ลุงมั่นทำให้ผมนึกย้อนกลับไปตอนเล่นซ่อนหานั่น ผีตนนั้นก็บอกให้ผม โชคดี ทำไมถึงต้องมีคำนี้วนเวียนอยู่รอบตัวผม บางทีถ้าคำนี้ออกมาจากปากลุงมั่นแค่คนเดียวผมก็คงไม่คิดมากแบบนี้
“เสร็จแล้วหรอครับลุง”
“ใช่ วันนี้ลุงทำแค่นี้แหละ หลุมอื่นที่ขุดไว้เดี๋ยวค่อยเอาต้นไม้มาลงวันหลัง”
หลังจากคุยกับลุงมั่นเสร็จ ผมก็เดินมาล้างจานให้เรียบร้อย และเดินไปยังตู้เก็บของเพื่อหยิบผงซักฟอก ระหว่างการทำงานผมต้องรีบสลัดความคิดบางอย่างออก มันติดค้างอยู่ในใจของผม ที่ไม่รู้ว่าจะหาคำตอบมาจากไหน
“ไอ้ภพ ไปซักผ้ากัน” ผมเดินขึ้นมาบนห้องนอนเพื่อเรียกไอ้ภพ แล้วก็เป็นไปอย่างที่คาดเดาจริงๆ ไอ้ภพมันขึ้นมายืนมองคนงานด้านล่างจากหน้าต่างห้องนี้
“ไอ้ภพ มึงมองอะไรอีกวะ คนงานเค้ากลับกันไปหมดแล้วนะ”
“รู้แล้ว”
“รู้แล้วก็เลิกมอง ไปซักผ้าได้แล้วเดี๋ยวกูซักเป็นเพื่อน”
“อืม” มันตอบผมเหมือนละเมอ ไม่ได้รับรู้หรอกว่าผมพูดอะไร เคยบอกแล้วใช่มั้ยครับว่าไอ้ภพถ้าอยู่ในโลกของตัวเองเมื่อไร ใครก็เข้าถึงมันไม่ได้ เพียงแต่ครั้งนี้มันยอมปล่อยให้ผมเข้าไปนิดนึงมันถึงมีปฏิกิริยาตอบกลับมาบ้าง
“เฮ้อ พอ!! มึงหันมามองกูนี่” ผมจับหน้ามันหันมามองหน้าผมเลยครับ ไม่อย่างนั้นวันนี้ไม่มีทางคุยรู้เรื่องแน่
“ไอ้ภพ วันนี้มึงอยู่เฉยๆในบ้านพอ ไม่ต้องคิดหรือว่าจะหาทางออกไปข้างนอกนั่น วันอื่นกูจะไม่ห้ามแต่วันนี้กูขอ”
“ทำไม”
“ไม่ทำไมทั้งนั้น มึงแหกตาดูผ้ามึงด้วย จะเหลือแต่กางเกงในแล้วมั้งที่สะอาดอ่ะ ไปซักผ้า”
“ยัง ยัง ยังนิ่งอีก เดี๋ยวกูโบก มึงฟังกูเถอะจริงๆ ไม่ออกไปวันเดียว ต้นไม้ข้างนอกนั่นแม่งก็ไม่ตาย รักโลกมากลุงมั่นเค้าก็เอามาตั้งไว้ให้มึงดูแล้วไง ต้นสองต้นก็ดูไปก่อน”
เปรี้ยงมาอีกแล้ว....ลางสังหรณ์แปลกๆที่ผมเดาไม่ได้ว่ามาจากเรื่องอะไร รู้แค่ว่ามันไม่ดี ไม่ดีเอามากๆ ที่บอกว่าอีกแล้ว เพราะว่าลางสังหรณ์นี้มันเกิดขึ้นมาแล้วหลังจากที่ลุงมั่นบอกว่าจะลงต้นไม้แค่หลุมเดียว มันไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่จะลงหลุมอื่นไม่ได้
“แปลกใช่มั้ย” ไอ้ภพพูดขึ้นมาทันที หลังจากเห็นอาการของผมที่นิ่งไปหลังจากผมพูดจบ
“คืออะไร ทำไมมึงถึงรู้สึกว่ามันแปลก”
“กูไม่รู้ ตอนนี้กูยังไม่แน่ใจ”
“มันเกี่ยวกับการที่มึงออกไปข้างนอกนั่นด้วย…ใช่มั้ย?”
“อืม”
“บอกกูสักนิดไม่ได้หรอ”
“มันยังไม่ถึงเวลา”
“พร้อมเมื่อไร…บอกกูด้วย” เวลา? เวลาอีกแล้ว ทำไมผมเหมือนกำลังถูกทำให้ตัวเองเป็นคนโง่ จริงๆผมจะมองข้ามเรื่องนี้ไปเลยก็ได้ยังไงซะ บ้านหลังนี้มันก็มีอะไรหลายอย่างที่แปลก หลายอย่างที่ผมสงสัยและหาคำตอบด้วยตัวเองไม่ได้
“อืม”
“เฮ้อ ไปๆ ไปซักผ้ากัน กูกับมึงวันนี้มีเรื่องให้คิดเยอะพอละ” ผมเดินลากไอ้ภพ มาที่ตะกร้าผ้าทันที ตัดปัญหาการคิดเยอะของผมโดยการหาเรื่องอื่นทำ ผมบังคับให้มันถือตะกร้าผ้าตัวเอง เดินตามผมลงไปยังลานหลังบ้าน ตรงนั้นจะมีลานว่างและก๊อกน้ำอยู่จุดหนึ่งผมจึงเลือกตรงนั้นไว้ซักผ้า
“มึงดูผ้ากูกับมึงไว้ตรงนี้ ไม่ต้องเสือกปีนกำแพงออกไปเลยนะ กูจะไปเอากะละมัง”
“เออ พูดมากชิบหาย”
“เรื่องของกู” เลียนแบบคำพูดมันที่พูดกับผมเมื่อเช้าครับ เมื่อดูแล้วว่ามันไม่หนีไปไหนแน่ๆ ผมจึงรีบวิ่งไปหยิบกะละมัง
“มีกะละมังสองใบ?”
“น่าจะใช่ กูเห็นมันวางไว้แค่นี้”
“แล้วจะซักกันยังไง”
“งั้นซักผ้ามึงก่อนละกัน เดี๋ยวกูช่วยด้วยจะได้เสร็จเร็วๆ” ผมเอากะละมังใบแรกมารองน้ำไว้เพื่อแยกให้เป็นกะละมังใส่ผงซักฟอก ส่วนอีกใบผมเอารองไว้เพื่อเป็นน้ำล้างฟองออก
“มึงซักผ้าเป็นใช่มั้ย ? ไอ้ภพ”
“เป็น”
“เป็นก็มาช่วยกูขยี้ผ้ามึงสิ จะยืนทำหอกอะไร” ผมโวยมันที่ยืนมองผมตั้งแต่เทผงซักฟอกจนผมขยี้ผ้ามันไปสองตัวแล้วมันก็ยังยืนอยู่เฉยๆ เหมือนมันซักผ้าไม่เป็น แต่เมื่อมันลงมานั่งอีกฝั่งของกะละมังซักผ้าและเริ่มขยี้ผ้าของตัวเองนั้น ผมจึงได้เห็นว่ามันชำนาญมาก
เมื่อผมได้มองมันตรงหน้าใกล้ๆ ผู้ชายตรงหน้าผมก็ไม่ได้ต่างไปกับผู้ชายมีปมทั่วไป ภาพของมันตอนนี้บอกได้เป็นอย่างดีว่า มันเก็บเรื่องราวเอาไว้มากมายในใจโดยที่ไม่คิดจะพูดออกมา ตั้งแต่มันเริ่มขยี้ผ้ามันก็เหมือนหายไปกับโลกของมันอีกครั้ง มันอาจไม่เคยสังเกตตัวเอง แต่ทุกครั้งที่มันทำอะไรของมันคนเดียวมันจะเหมือนคนเหม่อลอย เหมือนคนที่อยู่กับตัวเองจนไม่ระแวงหรือระวังอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ผมหยุดขยี้ผ้าไปแล้วและเลือกที่จะมองมันแทน
ผมเริ่มเดาทางบางอย่างของมันได้ คนแบบมันไม่มีทางที่จะเอ่ยปากเล่าเรื่องของตัวเองออกมาก่อน ถ้าไม่มีเหตุการณ์หรืออะไรบางอย่างจากคนอื่นไปกระตุ้นกำแพงในตัวมันจนมันเลือกที่จะพังมันลงเพื่อให้คนเข้าถึงมันได้มากขึ้น เห็นได้ชัดจากเมื่อคืน เมื่อผมบอกกับมันไปว่า ผมเห็นวิญญาณพวกนั้น ผมรู้แน่ชัดแล้วว่าผมเป็นอะไร มันถึงได้บอกเล่าความลับบางส่วนเกี่ยวกับตัวมันออกมา
“หยุดก่อน” ผมเอื้อมมือไปจับมันที่กำลังขยี้ผ้า และส่งเสียงออกมาเพื่อเรียกสติของมันกลับมายังปัจจุบัน
“มีอะไร”
“ยังคิดเรื่องนั้นอยู่อีกหรอ”
“อืม ” เสียงตอบรับของมัน ทำให้ผมตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง ผมหันไปมองให้แน่ใจว่ารอบๆตัวจะไม่มีกล้องหรืออะไรที่ถ่ายทำเราไว้ เรื่องหลังจากนี้จะเป็นเรื่องที่ต้องมีแค่ผมกับมันเท่านั้นที่รู้
“นอกจากป่าข้างนอกนั่น กับต้นไม้ที่เอาลงวันนี้มีอะไรอีกรึเปล่าที่มึงรู้สึกว่า…แปลก”
“ก็ไม่”
“งั้นอยากรู้รึเปล่าว่านอกจากพวกนั้น มีอะไรที่แปลกอีก”****************************************TBC************************************
สวัสดีครับบบบบบบบบบบบ เอาตอนที่4มาส่งแล้วนะครับ ถูกใจไม่ถูกใจยังไงเขียนติชมกันมาได้เลยนะครับ ผมพร้อมโดนพิพากษา 555555

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากๆเลยนะครับ คำชมของทุกคนผมจะเก็บเอามาเขียนนิยายเรื่องนี้ให้ดีขึ้นไปอีก ยอมรับว่ากดดันมาก กลัวทำให้ผิดหวัง แต่ขอบคุณจริงๆครับ

เจอกันตอนหน้าครับ
P-Rawit