ตอนที่ 1ลูกหมู“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวง Chic ประกาศพักวง แล้วไม่รู้อีกเมื่อไหร่จะมารวมตัวอีกครั้ง เสียดายมาก” เสียงแรกดังลอยมาให้ได้ยินยามที่ผมเดินเข้าใกล้ห้องเลคเชอร์
“ใช่ๆ เสียดายมาก ทั้งอเล็กซ์ ซีอาร์ ลีโอ ครบเครื่องทั้งร้องและเต้น Chic กำลังติดลมบน ไม่น่าเกิดเรื่องแบบนี้เลย พวกเราคงได้แต่ฟังเพลงชุดเก่าๆไปพลางๆเนอะ แต่คงคิดถึงทั้งสามแย่” ผมหยุดยืนกอดหนังสือเรียนในมือแน่นและแอบอยู่ข้างประตู เพื่อฟังข่าวร้อนที่เป็นประเด็นในโลกบันเทิงขณะนี้
“นั่นสิ นี่ก็ไม่รู้ว่าจะมีผลงานออกมาอีกเมื่อไหร่ แต่เค้าเม้าท์กันให้หึ่ง ว่าเพราะซีอาร์ไร้วินัยในการเป็นนักร้อง เรื่องเยอะ อ่อนซ้อม ส่วนอเล็กซ์เองก็เหมือนจะมีเรื่องแฟนคลับผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้อง ทาง AJ ก็เลยแบนวงนี้ สงสารก็แต่ลีโอของฉัน เฮ้อออ...คนอะไรก็ไม่รู้หล่อวิ้ง มาดแมน ทั้งร้องทั้งเต้นเด่นกว่าใคร นี่ถ้าลีโอกลับมาอยู่ในไทยกับครอบครัวช่วงพักวงก็ดีสินะ เผื่อฉันจะได้มีโอกาสเจอตัวเป็นๆบ้าง ถ้าเจอนะจะเข้าไปกอดและขโมยหอมแก้มสักฟอดเลย” หนุ่มหน้าสวยใจหญิงอินในข่าวมากกว่าเพื่อน แถมยังชื่นชมนักร้องในดวงใจอย่างออกนอกหน้า
ผมที่แอบฟังถึงกลับยกหนังสือขึ้นปิดปากและกลั้นขำตัวสั่น เพราะจินตนาการตามสิ่งที่เพื่อนในคลาสพูด แต่แล้วสิ่งที่ผมทำทั้งหมดก็สูญเปล่า เมื่อกลุ่มเพื่อนที่อยู่ในห้องรู้ตัวจนได้ว่ากำลังถูกผมแอบฟัง เพียงเพราะเสียงทักทายของ ‘ปวินท์’ หรือที่ผมและใครๆมักเรียกว่า ‘ปูน’ คนที่เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในมหาวิทยาลัยของผม
“ลูกหมู ทำไมมายืนตรงนี้ แล้วนั่นขำไร ‘จารย์จะมาแล้วนะ...ทำไมต้องทำท่าทางตลกๆแบบนั้นด้วย ฮ่าๆ” ผมชะงักกับเสียงทักทายที่ไม่เบานักของปูน และพยายามส่งสัญญาณให้เพื่อนเบาเสียงลง
ผมทั้งยกมือห้ามทั้งจุ๊ปากแต่เหมือนจะไม่ได้ผล เพราะการกระทำของผมยิ่งทำให้เพื่อนสนิทเกิดความสงสัยยิ่งกว่าเดิม และหลุดขำในท่าทางแปลกๆของผมในที่สุด จนผมเหนื่อยใจแกมโมโห จึงได้แต่ถลึงตาคาดโทษส่งให้เพื่อน จะให้ต่อว่าออกไปก็ทำได้ไม่เต็มปากนัก ด้วยผมเองก็ทำผิดอย่างการแอบฟังเพื่อนในคลาสคุยอยู่เหมือนกัน
ทันทีที่เพื่อนสนิทเห็นว่าผมถลึงตาไม่พอใจแกมตำหนิส่งให้ ปูนไม่เพียงแต่ส่งเสียงกวนๆใส่ผม แต่ดันทำหน้าทำตากวนได้ใจไม่แพ้กัน เพราะมันยกยิ้มข้างเดียวและยักคิ้วข้างนั้นใส่อยู่หลายที ก่อนปูนจะถือวิสาสะกุมข้อมือผมพาเดินเข้าห้อง
ผมคงไม่ต้องบอกว่าปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมคลาสจะเป็นเช่นไร ถ้าไม่ใช่จ้องมาที่เราสองคนเป็นตาเดียว บางกลุ่มเห็นว่าเป็นผมกับปูนแล้วก็ไม่อะไร หันไปสนใจกิจกรรมของกลุ่มตัวเองต่อ บางกลุ่มดีหน่อยมีส่งยิ้มทักทายกัน ซึ่งแน่นนอนว่าคนที่ยิ้มตอบนั้น เป็นนายปูนผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ ส่วนผมก็ได้แต่ก้มหน้าเดินตามแรงจูง ด้วยแน่ใจว่ารอยยิ้มเหล่านั้นมีให้แค่ปูน ผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มสันทนาการของชั้นปี และเป็นคนเดียวกับคนที่เพื่อนๆอยากคุยด้วยมากที่สุด
คุณลักษณะภายนอกและนิสัยของปูนนั้นโดดเด่นไม่แพ้ใคร พื้นฐานเรื่องหน้าตานั้นไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่ามีดีกรีเทียบเท่าเดือนคณะเลยทีเดียว ปูนเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หน้าตี๋ และเป็นคนยิ้มง่าย บวกนิสัยช่างพูดที่หยิบยกทุกเรื่องมาพูดได้อย่างน่าสนใจ แต่ปูนก็พูดอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง แม้บางครั้งจะดูกวนไปหน่อย เพราะเป็นคนขี้เล่นและอารมณ์ดีเป็นนิจ คุณสมบัติทั้งหมดของปูนจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะดึงดูดผู้คนให้เข้าหา
ผิดกับผมที่เป็นผู้ชายขี้อาย หน้าตาก็แสนธรรมดาถึงธรรมดามากที่สุดคนหนึ่ง คนที่ไม่มีอะไรโดดเด่นบนใบหน้าให้ใครมาชื่นชมหรืออยากเข้าหา ด้วยใบหน้ากลมแป้น แก้มใหญ่ ตาก็ตี่ไม่มีชั้น จมูกก็เล็กๆ ริมฝีปากก็บางจนน่าเกลียด หาข้อดีบนใบหน้าแทบไม่เจอ จะมีดีก็แค่ลักยิ้มเล็กๆสองข้างแก้มที่จะพอเห็นได้เฉพาะตอนที่ผมยิ้ม กับผิวกายขาวซีดไร้รอยด่างดำที่พอดูได้เท่านั้น ที่สำคัญความสูงของผมก็ไม่ถึงส่วนสูงมาตรฐานชายไทย ไหนจะหุ่นตุ้ยนุ้ยสมชื่อลูกหมูเข้าอีก ทั้งหมดที่เป็นผมมันน่าเกลียดเสียจนผมที่เป็นเจ้าของยังรู้ตัว นับประสาอะไรกับเพื่อนคนอื่น คงไม่อยากเข้าใกล้ผมนักหรอก
ตอนเรายังเป็นเฟรชชี่ใหม่ๆ ผมเคยถามปูนว่าทำไมถึงเลือกเข้ามาคุยกับผมก่อน และเลือกผมเป็นบัดดี้ในเกมกิจกรรมของคณะในช่วงนั้น ซึ่งปูนให้คำตอบที่ชวนอึ้งแก่ผม เพราะเป็นคำตอบที่ขัดแย้งต่อความจริงในสายตาผมนัก แม้จะมีส่วนจริงอยู่บ้างก็ตาม
‘ลูกหมูดูขี้อายและเงียบเกินไป ที่สำคัญดูไม่มั่นใจในตัวเองมากๆ จะยิ้มทียังไม่กล้า เอาแต่หลบตา ทั้งๆที่คนรอบตัวพยายามผูกมิตรด้วย ท่าทางที่เราเห็นวันนั้น ลูกหมูไม่น่าจะเปิดใจรับเพื่อนในคณะได้ เราเลยตัดสินใจเข้ามาคุยด้วย และตั้งใจเป็นเพื่อนกับลูกหมู รู้ป่ะ ว่ามีแต่คนอิจฉาเราที่ลูกหมูยอมเป็นเพื่อนด้วย...มีคนน่ารักของคณะเป็นเพื่อนสนิท มันน่าภูมิใจน้อยซะที่ไหนล่ะ ฮ่าๆ’
ตอนนั้นผมได้แต่ส่ายหน้าหวือและออกปากเถียงคำพูดของปูนขาดใจ ผมนี่นะน่ารักและมีแต่คนอยากเป็นเพื่อนด้วย ‘ไม่เชื่อเด็ดขาด’ ปูนก็แค่พูดให้กำลังใจคนขี้เหร่อย่างผมเท่านั้น เพราะตลอดมาผมจำสายตาของผู้คนรอบตัวที่มีให้ผมได้ เขาเหล่านั้นมีแต่จ้องมายังผม ด้วยดวงตาสนอกสนใจในคราแรก อาจจะเพราะความแปลกแยกแสนขี้เหร่ที่ผมเป็นก็ได้ ก่อนสายตาเหล่านั้นจะสำรวจตรวจตราร่างกายผมไปทั่ว แววตาที่สะท้อนมาก็ฉายชัดถึงความดูแคลนปนตลกขบขัน ก่อนเขาเหล่านั้นจะเบือนหน้าหนีเหมือนทนไม่ได้กับรูปลักษณ์ของผม สร้างผมเสียใจมาให้ผมนักต่อนักแล้ว
ตอนที่ผมเด็กกว่านี้ มีบ้างที่ผมทำใจกล้าลองยิ้มและเข้าหาเด็กคนอื่นก่อน ด้วยอยากผูกมิตรและอยากมีเพื่อน แต่คนเหล่านั้นกลับโกรธจนหน้าแดง และสะบัดหน้าหนีไม่หันกลับมามองผมอีกเลย ทำให้ผมขาดความมั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเองเข้าไปใหญ่ ที่สำคัญมีคนที่ผมนับว่าเป็นคนสำคัญในชีวิต ได้ตอกย้ำความคิดของผม ด้วยคำพูดที่ว่าผมอ้วนและขี้เหร่เกินกว่าจะมีใครอยากคบด้วย ถึงขั้นสั่งห้ามผมไม่ให้ไปใกล้ชิดคนแปลกหน้า เพราะกลัวเขาจะรังเกียจเอา
หลังจากนั้นมาผมจึงไม่กล้าสบตาใคร ได้แต่แอบมองยามที่สนใจใครหรืออะไรโดยไม่ให้คนเหล่านั้นรู้ตัว และไม่อยากเป็นจุดเด่นในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า เพราะไม่อยากเห็นสายตารังเกียจเหล่านั้นอีก ผมจึงกลายเป็นคนขี้เหร่ที่แสนขี้อายและขาดความมั่นใจอย่างที่ปูนบอก ไม่เห็นจะมีดีตรงไหน แน่นอนคำว่าน่ารักช่างห่างไกลจากตัวผมมากนัก จึงไม่เหมาะที่จะมาใช้กับผมอย่างยิ่ง
คนขี้เหร่ที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจอย่างผม เพราะเสียมารยาทแอบฟังบทสนทนาของเพื่อนร่วมคณะอย่างไม่ตั้งใจเข้านั้น กำลังได้รับผลกรรมเป็นสายตาดุดันที่จ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง จากสามหนุ่มหน้าสวยกลุ่มเพื่อนสนิทที่ผมแอบฟัง แถมหนุ่มสวยเกินหญิงของหนึ่งในนั้นยังแสยะยิ้มให้ผมอีกด้วย
‘ลูกหมูนะลูกหมูไม่น่าหาเรื่องให้ถูกเพื่อนในคณะรังเกียจเลย เท่าที่เป็นอยู่นี่มันยังไม่พอใช่มั้ย’ ผมถึงกลับรีบก้มหน้าหนีสายตาทันที แม้ใจจริงจะอยากเอ่ยปากขอโทษ แต่ผมก็กลัวและขี้ขลาดเกินไป จึงเอาแต่นั่งเงียบก้มหน้าและมองเพียงหลังมือที่กุมกันไว้บนตักเท่านั้น ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆมาจากสามหนุ่มหน้าสวย
ถึงแม้ผมไม่เงยหน้ามอง ผมก็รู้ว่าทั้งสามคนคงไม่พอใจผมเป็นอย่างมาก ผมไม่น่าแอบฟังพวกเธอคุยกันเลย ถ้าไม่ใช่เรื่องของนักร้องฮ่องกงวง Chic ผมก็คงไม่ให้ความสนใจพวกวงการบันเทิงหรอกครับ เพราะหนึ่งในนักร้องวงนั้นเป็น...
“ลูกหมู ’จารย์มาแล้ว” ผมใจลอยไปไหนเนี่ย ดีนะที่มีปูนเป็นเพื่อน ไม่เช่นนั้นคลาสนี้ผมคงใจลอยไปถึงใครคนนั้นตลอดคลาสเป็นแน่
ผมหันไปส่งยิ้มขอบใจให้แก่ปูน ที่เขายังคงเป็นเพื่อนแสนดีและคอยเป็นห่วงผมไม่เปลี่ยน แต่ทำไมปูนถึงตกตะลึงตาค้างจ้องผมไม่กระพริบด้วย หน้าผมมีอะไรติดรึเปล่า จับๆลูบๆดูก็ปกติดีนี่หน่า ผมจึงยื่นมือไปโบกมือเบาๆผ่านหน้าปูน แต่เมื่อเห็นว่าปูนยังคงมีอาการเช่นเดิม จึงตบเบาๆเข้าที่ข้างแก้มอีกนิด
การกระทำของผมทำเอาปูนถึงกลับสะดุ้ง ก่อนแก้มขาวๆจะขึ้นสี และรีบขยับใบหน้าออกห่างจากใบหน้าผม เหมือนว่าปูนตกใจสุดขีดกับสิ่งที่เห็น
‘ทำไมกัน!? หน้าตาผมมันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอครับ ปูนน่าจะชินกับหน้าตาขี้เหร่ๆของผมแล้วนี่หน่า’
“เอิ่ม อ่ะ...เอาหน้าออกห่างๆหน่อย ฟู่ๆๆๆ...หัวใจกูจะวาย”
ผมกลับมานั่งที่ของตัวเองดีๆด้วยใจห่อเหี่ยว จับใจความท้ายประโยคของปูนไม่ได้มากนัก เหมือนว่ามันบ่นกับตัวเองเสียมากกว่า แต่ที่รู้ๆคือเพื่อนสนิทที่น่าจะชินกับความขี้เหร่ของผม ดันออกอาการรังเกียจให้เห็น
“เป็นไร หน้าเศร้าจัง เอ้า...ช็อกโกแลตจะได้อารมณ์ดีขึ้น” ผมไล่สายตาจากเปลือกช็อกโกแลตสีทองยี่ห้อดัง ไปตามหลังมือและแขนเสื้อเชิ้ตสีขาว จนไปพบกับรอยยิ้มจริงใจของคนที่กระซิบประโยคดังกล่าว พร้อมยื่นของปลอบใจมาให้กัน
ในแววตาของปูนมีแต่ความจริงใจ ไม่พบแววตารังเกียจอย่างที่ผมนึกกลัว ผมจึงระบายยิ้มน้อยๆและยื่นมือไปรับช็อกโกแลตชิ้นนั้น แต่หางตาแอบเห็นนะว่าปูนแก้มแดงและขยับตัวยุกยิกเหมือนอึดอัด สงสัยวันนี้แอร์บางตัวในห้องนี้จะเสีย ปูนจึงรู้สึกร้อนไม่สบายตัวมากกว่าวันอื่นๆ เมื่อแอบแกะเปลือกช็อกโกแลตและเอาช็อกโกแลตเข้าปากแล้ว ผมถึงเอ่ยขอบใจเพื่อนสนิท
“ไม่ต้องขอบใจหรอก ช็อกโกแลตทำให้เราอารมณ์ดีขึ้น และเพราะลูกหมูนั่นแหละที่ทำให้เรามีติดกระเป๋าไว้ตลอด คนอะไรเป็นคนบอกเราเรื่องนี้เองแท้ๆ แต่กลับเป็นเราที่เป็นฝ่ายหามาเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินทุกที...เหมือนอย่างตอนนี้ไง อย่าคิดมากไม่เข้าเรื่องเลยนะ” ผมได้แต่ยิ้มไปพร้อมกับปูนที่เอ่ยประโยคนี้
อย่างที่ปูนบอกนั่นแหละว่าผมเป็นคนบอกเรื่องทฤษฎีช็อกโกแลตแก่เจ้าตัว และเมื่อสามปีก่อนก็เป็นครั้งแรกที่ผมเองเป็นคนยื่นช็อกโกแลตยี่ห้อนี้ให้ปูน ด้วยผมหวังให้เพื่อนอารมณ์ดีขึ้น ตอนนั้นจำได้ว่าปูนอารมณ์ไม่ดี เพราะมีเรื่องขัดใจกับเพื่อนโรงเรียนเดิม ถึงขั้นขึ้นเสียงเถียงกันไปมา แต่ยังดีที่ไม่มีการลงไม้ลงมือ และดูเหมือนว่าเรื่องที่ทะเลาะกันจะมีเรื่องของผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ตั้งแต่นั้นมากลายเป็นว่าปูนกลับเป็นฝ่ายคอยพกช็อกโกแลตติดตัว และคอยมอบมันให้ผมเสมอ ยามที่เห็นว่าอารมณ์ผมไม่ปกตินักไม่ต่างจากตอนนี้
การกินช็อกโกแลตมันก็ช่วยให้ผมอารมณ์ดีขึ้นจริงๆ ทำให้ทุกครั้งที่ได้กินเพราะเหตุผลนี้ ผมอดที่จะคิดถึงคนที่บอกต่อทฤษฎีนี้ให้แก่ผมไม่ได้ ที่สำคัญประโยคประทับใจในวัยเด็กของผมจากคนๆนั้น มักลอยขึ้นมาในหัว ให้ผมได้อมยิ้มอารมณ์ดีเสียทุกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่นาทีนี้เลยทีเดียว
‘กินซะ มันจะทำให้เราเลิกหน้าบูดและอารมณ์ดีขึ้น ที่สำคัญช่วยเลิกร้องไห้ด้วยจะดีมาก นั่นแหละ ยิ้มแบบนั้นแหละหมูน้อย...เวลายิ้มน่ารักดี’
“ลูกหมูจะแวะที่ไหนก่อนกลับบ้านอีกรึเปล่า...งั้นกลับเลยนะ” ผมส่ายหน้าพร้อมส่งหนังสือที่เพิ่งยืมมาจากห้องสมุดให้ปูน เพราะเพื่อนพยายามดึงมันไปจากผม ตั้งแต่เริ่มพูดประโยคดังกล่าว ก่อนผมจะเดินตามปูนไปที่รถของเจ้าตัว
‘ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่เพื่อนคนนี้ไปส่งผมทุกวันหลังเลิกเรียน’
“คืนนี้เดี๋ยวเรารวบรวมรายงานที่ต้องพิมพ์เลยแล้วกัน ปูนจะใช้เวลาพิมพ์เท่าไหร่ล่ะ กลัวไม่ทันจัง เราพิมพ์เองก็ได้นะ” ระหว่างผมนั่งอยู่บนรถข้างปูนก็อดที่จะกังวลถึงรายงานที่อาจารย์เพิ่งสั่งมาวันนี้ไม่ได้ ด้วยกำหนดส่งงานคืออีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า ดีหน่อยที่อาจารย์ให้จับคู่กันทำรายงาน และโชคดีสองชั้นที่ปูนยอมจับคู่ทำรายงานกับผม เพราะเจ้าตัวพิมพ์สัมผัสได้เร็วระดับเทพ
ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีทั้งรายงานต้องส่ง และมีกำหนดสอบถี่กว่าทุกปีที่เรียนๆมา เพราะพวกเราใกล้จบปีสี่แล้ว ทฤษฎีของวิชาต่างๆถูกอัดแน่นในเวลาที่ค่อนข้างจำกัด และมีการสอบเพื่อวัดความรู้ที่เรียนไป หรือแม้แต่การได้รับมอบหมายให้ทำรายงาน เพื่อหวังให้พวกเราได้หาความรู้เพิ่มเติมจากสิ่งอาจารย์บรรยายในห้อง
ดังนั้นเวลาหลังฟังบรรยายของนักศึกษาเภสัชกร จะหมดไปกับการทำรายงานและการอ่านหนังสือเตรียมสอบเสียส่วนใหญ่ เพื่อที่ว่าที่เภสัชกรอย่างพวกผมจะถูกส่งไปฝึกงานยังโรงพยาบาลในปีหน้า และกลับมาสอบจบในท้ายปี ดังนั้นผมจึงอยากเคลียร์รายงานที่ได้รับมอบหมายมาให้เสร็จเป็นเรื่องๆไป ไม่อยากเอางานดองไว้ จนกลายเป็นดินพอกหางหมูเหมือนเพื่อนในรุ่นบางคน
ไม่รู้ว่าคำพูดและสีหน้ากังวลของผมจะทำให้เพื่อนสนิทเบื่อขึ้นมารึเปล่า ด้วยรู้ตัวว่าตัวเองนั้นเป็นคนจริงจังในเรื่องเรียนมากอยู่ จนบางครั้งลืมคนที่ทำงานร่วมกันกับผมอย่างปูนไปเหมือนกัน เหมือนเช่นตอนนี้ ปูนอาจจะไม่พอใจที่ผมพูดเหมือนเร่งงาน ทั้งๆที่เพิ่งได้รับหัวข้อรายงานมาวันนี้แท้ๆ เจ้าตัวอาจจะยังไม่อยากทำก็ได้ ผมนี่แย่จริงๆไม่คิดถึงจิตใจของเพื่อนสนิทเลย
“คิดมากอีกแล้วล่ะสิ เลิกคิดเองเออเองได้แล้วลูกหมู ที่เราส่ายหน้าและถอนใจก็เพราะเราเหนื่อยแทนนายน่ะ เมื่อวานก็นอนดึกเพราะอ่านหนังสือเตรียมสอบย่อยของวันนี้ไม่ใช่เหรอ คืนนี้จะลุยต่อซะแล้ว...พักก่อนก็ได้นะ พรุ่งนี้ค่อยเริ่มก็ยังทัน เราใช้เวลาพิมพ์ไม่นานหรอก นายก็รู้ว่าเราพลิ้วขนาดไหน” สีหน้ากวนๆที่ไม่แพ้คำพูดของปูน ทำให้ผมคลายความกังวลลงว่าเพื่อนไม่ได้โกรธกัน
“อืม ขอโทษเราเป็นประเภทพวกชอบคิดมากซะด้วยสิ คงแก้ไม่หายหรอก ขอบใจปูนมากนะที่เป็นห่วง แต่เราไหว คืนนี้จะเตรียมข้อมูลไว้คร่าวๆก่อน พรุ่งนี้ค่อยคัดเนื้อหาที่จะทำอีกทีก็ได้...อ้าว! สายจากที่บ้านนี่หน่า” ผมตกใจไม่น้อยที่เห็นเบอร์โทรของที่บ้าน เพราะปิดเสียงไว้ตอนเข้าห้องสมุด จึงไม่ทันได้รับสาย
‘ไม่รู้ว่าคุณลุงกับคุณป้ามีธุระเร่งด่วนเรียกใช้ผมรึเปล่านะ เพราะน้อยครั้งที่พวกท่านจะโทรหาผม’
ผมที่กำลังกังวลกับความคิดของตัวเอง จึงไม่ทันได้ใส่ใจกับฝ่ามืออุ่นๆที่ลูบหัวผมของปูนนัก แต่หันมาทันได้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นที่เพื่อนส่งมาให้ พร้อมดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ผมจึงบอกไปว่าไม่ได้รับสายของที่บ้าน และอยากให้ปูนขับเร็วอีกนิดเพื่อจะถึงบ้านเร็วขึ้น เพราะพอผมลองโทรกลับไป แต่กลับไม่มีคนรับสาย ผมจึงยิ่งร้อนรน เพราะหากผู้มีพระคุณต้องการเรียกใช้ ผมก็อยากกลับไปทำให้ท่านอย่างเร็วที่สุด
“ขอบใจนะปูน อ๊ะ!...ทำไมซุ่มซ่ามอย่างนี้นะ” หลังจากเอ่ยขอบใจเพื่อนสนิทที่ขับรถมาส่งแล้ว
ระหว่างที่ผมกำลังก้าวข้ามขอบประตูรถ หนังสือกองโตที่ผมกำลังหอบอยู่นั้น เล่มที่อยู่บนสุดดันล่วงลงที่พักเท้า ผมจึงก้มลงเก็บแต่แล้ว…
“อ๊ะ!...เอ่อ ปูน เราขอโทษ!” ผมตกใจถึงขีดสุด จนเสียงที่เอ่ยไปดังกว่าปกติ และนึกกลัวจับใจว่าเพื่อนสนิทจะรังเกียจกัน บวกปฏิกิริยานิ่งค้างไม่ไหวติงอยู่ในท่าเดิมของปูน โดยที่ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการใดๆ และไม่มองมาทางผมด้วยแล้ว ทำเอาผมเริ่มใจเสียยิ่งขึ้น
เหตุการณ์ที่เป็นต้นตอของความผิดปกติของปูน และความเสียใจของผมก็คือ จมูกผมแตะโดนข้างแก้มของปูนแบบไม่ตั้งใจ ในจังหวะที่เราต่างก้มลงเก็บหนังสือเจ้าปัญหาพร้อมกัน
“ปูน...เรา” ผมที่พยายามแก้ตัวกับเพื่อน แต่ก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด เพื่อให้ตัวเองกลับมาดูดีขึ้นในสายตาเพื่อนสนิทได้เลย ด้วยกลัวว่าเพื่อนจะรังเกียจกัน และคิดไปไกลว่าผมหวังแต๊ะอั๋งเพื่อนสนิท ทั้งๆที่เกิดจากความบังเอิญแท้ๆ
เมื่อปูนเบือนหน้ากลับมาช้าๆ กระทั่งสบตากับผมเข้า ผมเริ่มใจชื้นขึ้น ด้วยเห็นรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเพื่อน ผมจึงระบายยิ้มเป็นทัพหน้า หวังให้ปูนใจอ่อนยอมยกโทษในการกระทำที่ไม่ตั้งใจ แต่ปูนกลับเป็นฝ่ายค่อยๆยื่นหน้าเข้าหาผมอย่างช้าๆ ผมเองก็เริ่มไม่เข้าใจว่าเพื่อนต้องการอะไร จึงได้แต่นั่งอยู่ท่าเดิมและจ้องเข้าไปในแววตาคู่คมอย่างค้นหา
“หมูน้อย!! ทำอะไร!” เสียงตะคอกดังขึ้นเหมือนฟ้าผ่าลงข้างตัว ก่อนแขนผมจะถูกกระชากอย่างแรงให้ลงจากรถ ไม่ต้องพูดถึงหนังสือที่ผมหอบไว้กับอกเมื่อครู่ว่าจะยังอยู่ดีมั้ย เพราะพวกมันกระจายเกลื่อนพื้นไปแล้ว
แม้ผมจะเจ็บไม่น้อยยังต้นแขนบริเวณที่โดนจับกระชาก แต่ด้วยความตกใจผสมตื่นเต้นที่ได้เห็นหน้าเจ้าของเสียง ทำให้ไม่คิดจะสนใจอาการดังกล่าว และได้แต่จ้องเขม็งยังใบหน้าด้านข้างของคนที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอในวันนี้
“พี่...ลีโอ” เสียงอันแผ่วเบาที่ติดอยู่แค่ลำคอ ย่อมไปไม่ถึงเจ้าของชื่อที่ยืนตระหง่านดั่งขุนเขา แผ่นหลังกว้างปิดกั้นสายตาของผมจากทุกสิ่ง พร้อมกับกับฝ่ามือหนาที่กุมกระชับข้อมือผมจนแน่น
นาทีนี้เองที่ผมเริ่มรู้สึกเจ็บ จึงขืนข้อมือออกจากมือหนาเล็กน้อย และผมแทบสะดุ้งกับสายตาคมปลาบที่หันมามองกัน จนผมไม่กล้าแม้แต่จะต่อตาด้วย แต่ยังดีที่แรงจากฝ่ามือหนาถูกคลายออก เหลือเพียงการกุมกระชับ แรงที่แม้จะกระชากข้อมือหนีก็คงไม่อาจหลุดพ้น
“เกิดอะไรขึ้นกันลูก ลูกหมูมีอะไรครับ” ผมเงยหน้าขึ้นจากอกไปสบตาหวานซึ้งของคุณป้า ทันได้เห็นรอยยิ้มปลอบประโลมของท่าน พาเอาอุ่นใจขึ้นมาทันที
ผมที่เตรียมเปิดปากเล่าความเป็นไป กลับต้องปิดปากสนิทดังเดิม ทั้งๆที่ยังไม่หลุดอะไรออกไปสักคำ เพียงเพราะลูกชายเพียงคนเดียวของ ‘บ้านอัครภูมิเมธี’ เอ่ยปากไล่เพื่อนสนิทของผม
“อย่าคิดจะทำอะไรไม่เข้าท่า รู้หรอกว่าคิดอะไรอยู่ กลับไปได้แล้ว และไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก”
“ลีโอ!” เสียงนี้ไม่ใช่เสียงของผมแน่นอน เพราะผมไม่กล้าเรียกชื่อพี่ลีโอห้วนๆ ด้วยเสียงเข้มๆแบบนี้หรอกครับ
“ปูนจ๊ะ ป้าต้องขอโทษแทนเจ้าลูกชายคนนี้ด้วยนะ ปูนมาส่งลูกหมูใช่มั้ย ขอบใจนะลูก...แต่วันนี้ป้าขอให้ปูนกลับก่อน ครั้งหน้าป้าจะเลี้ยงขนมเป็นการปลอบใจนะจ๊ะ” ผู้ใหญ่เอ่ยปากเองขนาดนี้ ผมเชื่อว่าปูนคงไม่คิดจะขัด
ผมเองก็ไม่มีโอกาสพูดกับเพื่อนด้วยตัวเอง เพราะทันทีที่ผมขยับตัว อุ้งมือใหญ่ไม่ต่างจากคีมเหล็กก็ออกแรงบีบรัด เหมือนปรามให้ผมอยู่นิ่งๆไม่ให้เสนอหน้าร่วมวงสนทนา แน่นอนผมไม่กล้าขัดใจคุณหนูลีโอลูกชายคนเดียวของบ้านนี้หรอก ผมได้แต่ยืนก้มหน้ารอนิ่งๆ และซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังแผ่นหลังกว้าง แต่เสียงของปูนก็ลอยมาให้ได้ยิน
“เรากลับแล้วนะลูกหมู” ไม่นานเสียงรถยนต์ของปูนก็ขับห่างออกไป
“โอ๊ะ!” ผมร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ๆผมก็ถูกลากเข้าบ้านอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ลีโอ! ทำไมลากลูกหมูไปแบบนั้น” เสียงคุณป้าลอยตามหลังมา แต่ผมไม่มีจังหวะจะหันไปมอง เพราะได้แต่ซอยเท้าก้าวตามให้ทันช่วงขายาวๆของคนที่ลากผม
พี่ลีโอลากผมขึ้นบันไดมาจนถึงห้องนอนส่วนตัวของพี่ และกระแทกประตูปิดตามหลังเสียงดังลั่น ก่อนจะโยนผมลงเตียง จนตัวกระเด้งกระดอนไปมาเพราะแรงสปริง พี่ลีโอตามมาคร่อมอยู่เหนือร่าง จนผมที่นอนหงายแบบจับต้นชนปลายยังไม่ถูกนั้น รู้สึกว่าร่างกายตัวเองหดเล็กลง เหลือเพียงร่างกระจ้อยร่อยหากเทียบกับร่างใหญ่โตของพี่
ผมเริ่มหวั่นเกรงกับสายตาดุดันที่พี่ลีโอใช้จ้องมายังผมไม่กระพริบคู่นั้น จึงเริ่มหลบตาและขยับตัวหนี แต่มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เมื่อมันยิ่งทำให้เหตุการณ์ตรงหน้าเลวร้ายลง เพราะข้อมือทั้งคู่ของผมถูกรั้งและยึดไว้เหนือหัว
“พี่ไม่อยู่ไม่เท่าไหร่ กล้าพาแฟนเข้ามาพลอดรักถึงในบ้านเลยรึไง!” พี่ลีโอเข้าใจแบบนี้สินะ ถึงมีอาการอย่างที่เห็น ‘แต่พี่รู้มั้ย ว่าพี่กำลังเข้าใจลูกหมูผิด’
“พี่เข้าใจผิด ผมกับปูน เราเป็น...อื้อออ” ผมไม่มีโอกาสอธิบายเพราะริมฝีปากถูกปิด
แรงกระแทกยังริมฝีปากทำเอาผมรู้สึกเจ็บ ตามมาด้วยกลิ่นคาวเลือด ก่อนจะรู้สึกชาในเวลาไม่นาน ไม่เท่านั้นลิ้นร้อนๆที่สอดเข้ามาในโพรงปาก กวาดต้อนไปทั่วอย่างจาบจ้วงด้วยความเอาแต่ใจ แม้ไม่มีความนุ่มนวล แต่ผมกลับเคลิ้มไปกับความหวานแบบดิบๆที่ถูกยัดเยียดให้
สุดท้ายผมก็ได้แต่นอนหลับตาพริ้ม หอบตัวโยน ริมฝีปากเจ่อบวม และแสบร้อนที่ข้อมือทั้งคู่ ผมพยายามโกยอากาศเข้าปอด เพื่อชดเชยมวลอากาศที่ถูกขโมยไป แต่ยังรับรู้ถึงอ้อมกอดใหญ่โตที่โอบล้อมไว้รอบตัว และปลายนิ้วอุ่นๆที่ไล้แผ่วเบาไปตามกลีบปากที่น่าจะปริแตกของผม จนผมเกือบหลุดยิ้ม ถ้าไม่เพราะผมได้ยินประโยคถัดมาที่ดังขึ้นข้างหู
“ขี้เหร่แบบนี้ ไอ้นั่นไม่มีทางจริงใจด้วยหรอก ออกห่างจากมันซะหมูน้อย”
หากคนที่ดูถูกผมจะไม่ใช่พี่ลีโอ ผมจะไม่เสียใจเท่านี้ แต่ผมน่าจะชินได้แล้ว และน่าจะรู้ดีแก่ใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยิน แต่เพราะมันมาจากพี่ลีโอนี่แหละ ผมถึงเจ็บได้มากขนาดนี้
‘เพราะลูกหมูขี้เหร่ใช่มั้ย ถึงทำให้พี่ไม่พอใจถึงเพียงนี้ ลูกหมูขอโทษครับ’
...............................................
โปรดติดตามตอนต่อไป^^เย้ๆๆๆ หวัดดีเพื่อนๆนักอ่านทุกคนค่าดีใจที่ได้กลับมาอัพนิยายอีกครั้ง หลังจากหายไปหลายเดือน
วันนี้ได้ฤกษ์ดีวันแห่งความรัก จึงอัพนิยายหวานๆให้ได้อ่านกันตอนแรก

เรื่องราวอาจจะเริ่มแบบช้ำๆไปนิด แต่ใครที่ติดตามเรามาในหลายๆเรื่อง
คงน่าจะพอเดาออกว่าสไตล์ของ MiSS-U นั้นหวานแค่ไหน 555 (ช่างกล้าอวยตัวเอง)
เรื่องราวจะค่อยๆดำเนินเรื่องไป ให้ได้รู้ความเป็นไปของตัวละคร
พร้อมซึมซับความรักอุ่นๆหวานๆ (และความเร่าร้อน!?) ของคู่พระนาย
ฝากติดตามนิยายเรื่องใหม่เรื่องนี้ด้วยนะคะ ฝากลูกหมูน้อยคนนี้ในอ้อมใจอีกคน โฮะๆ
เจอกันตอนหน้าในวันพฤหัสฯนะคะปล.มีเกมมาให้ร่วมสนุกรับของที่ระลึกกันค่ะ ใครเม้นท์ 3 คนแรกของตอนนี้
รับ magnet ของชุด Lover (ลายเดียวกับรูปโปรไฟล์ของMiSS-U) ไปเลยค่ะ
หากใครพลาดรอลุ้นรับในตอนที่2ได้น้า และเราจะติดต่อทางอินบล็อกไปค่ะ
Happy valentine day
