♣Maybe...รักนี้อาจเป็นนาย♣
บทที่ 2
You hit me like the sky fell on me
“ลืมอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า”
“อย่าลืมนะ ไม่ขับกลับมาเอาให้หรอก”
“เชอะ” ผมสะบัดหน้าใส่แมทที่นั่งจิบกาแฟดูผมกินข้าวเช้า ได้ข่าวว่าแมทก็เรียนปีหนึ่งเหมือนกัน แต่ดูทำท่าเข้าสิ อย่างกับพ่อคอยไปส่งลูกชายที่โรงเรียนอย่างนั้นแหละ ทำตัวแก่แดดจริงๆ ผมว่าแมทได้แค่ในใจนะ ขืนพูดออกไปหน้าผมได้จุ่มลงไปในชามข้าวต้มแน่ๆ ผมล้อเล่นน่า แมทไม่โหดขนาดนั้นหรอก ออกจะใจดีด้วยซ้ำไป แต่ชอบทำเป็นเข้ม
“มองอะไร” แมทถามเพราะเห็นผมจ้องเขาอยู่นาน
“เปล่า” ผมก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มปลาร้อนๆที่รสชาติอร่อยสุดๆ รู้ไหมว่าใครทำ ผมทำเองนี่แหละ หึหึ ทำเองอวยตัวเอง
“รีบๆกินเข้า ไปสายรถจะติด”
“อย่าเร่งสิ เดี๋ยวติดคอ”
แล้วผมก็เร่งสปีดในการกินให้เร็วขึ้น ปกติแมทจะไม่เร่งผมหรอก แต่ว่าวันนี้เราทั้งคู่ดันตื่นสายเพราะเมื่อคืนเอาแต่ดูหนังเพลิน รู้ตัวอีกทีก็ตีสองกว่าเข้าไปแล้ว ทำให้วันเปิดเทอมวันแรกต้องมารีบเร่งอย่างนี้
“เสร็จแล้ว ต้นหอมเอาจานไปล้างก่อนนะ”
“ไม่ต้อง เอาไปวางไว้เฉยๆ เดี๋ยวแม่บ้านจะมาทำความสะอาด” แมทรีบเบรคผมไว้ ก่อนที่ผมจะวิ่งเอาจานเข้าไปล้างในครัว
“แมท”
“อะไร”
“เนคไทเบี้ยว มานี่สิ”
ผมจัดการผูกเนคไทให้แมทใหม่ พริบตาเดียวก็ออกมาสวยสมบูรณ์แบบ ไม่อยากจะบอกว่าผมผูกเนคไทเก่งมากๆ ส่วนแมทผูกได้แย่เอามากๆ
“หึหึ ขอบคุณครับ”
แมทขยี้หัวผมเบาๆก่อนจะเดินขึ้นรถ และแล้วรถก็ติดจริงๆ กว่าจะไปถึงมหาวิทยาลัยก็เกือบจะใกล้เข้าเรียนแล้ว แมทขับรถมาจอดไว้ที่คณะวิศวะฯ ทีแรกจะไปจอดที่คณะผม แต่ผมบอกว่าให้จอดที่คณะแมทดีกว่าเพราะที่จอดเยอะ แถมยังร่มด้วย เขาก็เลยทำตามที่ผมบอกอย่างเสียไม่ได้
“ตอนเที่ยงจะโทรหานะ”
“อืม ไม่ต้องเดินไปส่งหรอก โตแล้วน่าพ่อ”
“เดี๋ยวจะโดน ไปเร็วๆ รีบไปเข้าเรียนได้แล้ว”
“บาย แล้วเจอกัน” ผมโบกมือให้แมทก่อนจะเดินไปคณะอักษรศาสตร์ของตัวเอง เด็กปีหนึ่งทุกคนต้องแต่งกายให้ถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่สีผมจะทำยังไงก็ได้ตามใจชอบไม่บังคับ วันนี้เราเลยจะเห็นเด็กปีหนึ่งผู้หญิงใส่กระโปรงพลีทและสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวถุงเท้าสีขาว ผมว่าแบบนี้น่ารักดีนะ ส่วนผู้ชายก็ผูกเนคไท กางเกงสแล็คถูกระเบียบ รองเท้าเป็นมันเงา นี่สินะ กลิ่นอายของคำว่านิสิตนักศึกษา
เช้านี้ผมมีเรียนสารสนเทศเบื้องต้น เป็นวิชาที่นักศึกษาปีหนึ่งต้องลงเรียนทุกคน เลยต้องเรียนที่หอประชุมใหญ่ของคณะ ซึ่งผมเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งตอนปฐมนิเทศ
“ต้นหอม! รอด้วย!”
ผมหันหลังกลับไปเมื่อได้ยินเสียงคนเรียก อาร์มวิ่งตรงมาทางผมหน้าตั้ง สภาพดูไม่ได้ ก่อนจะมาหยุดตรงหน้าผม ยืนค่อมตัวเอามือเท้าที่หัวเข่าพร้อมหายใจหอบรุนแรง ผมเลยต้องเอื้อมมือไปตบหลังของอาร์มเป็นการช่วยเหลือ
“ตื่นสายเหรอ”
“อืม แฮกๆๆ วิ่ง ... วิ่งมา แฮก จากหอ” อาร์มพูดพลางทำท่าชี้โน่นชี้นี่ ทำเอาผมหลุดขำออกมากับท่าทางตลกๆแบบนั้น
เมื่ออาร์มกลับมาหายใจได้เป็นปกติผมกับเขาก็เดินตรงไปยังหอประชุมที่อยู่ชั้นสองของตึกคณะ คณะของผมมีตึกทั้งหมดสามตึก ชื่อตึกมาจากอธิการบดีที่ดำรงตำแหน่งตอนที่อาคารเรียนถูกสร้างนั้นเป็นคนตั้ง อย่างตึกที่ผมกำลังจะไปนั้นเรียกว่า ตึกนวลอักษร อยู่ตรงกลางระหว่างอีกสองตึก ตึกด้านซ้ายชื่อว่าแสงสุวรรณ และตึกด้านขวาชื่อ มาลากุล
“ต้นหอม กูเรียบร้อยยังวะ”
ผมนิ่งอึ้งไปสามวิก่อนจะตอบ
“ไม่อ่ะ ดูไม่ได้สุดๆ” ผมบอกก่อนจะผลักประตูเข้าไป คงต้องทำใจสินะว่าจะต้องได้ยินคำหยาบตั้งแต่วันนี้ไป เอาเถอะ บางทีผมเองอาจจะเป็นคนผิดก็ได้ที่ทำตัวแปลกแยก เพราะเท่าที่ได้ยินมาใครๆก็พูดกัน แต่พอเอาไปปรึกษาแมท เขากลับพูดว่า...
‘บอกมันสิว่าไม่ชอบ ทำไมต้องทนฟัง’
พูดน่ะมันก็พูดง่าย แต่จะให้ผมไปพูดแบบนั้นจะไม่ถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดหรอกเหรอ ก็ใครๆก็พูดกันนี่นา แต่ถึงคนอื่นจะพูดยังไงผมก็คงห้ามไม่ได้หรอก แค่ผมไม่พูดก็น่าจะโอเคแล้วเนอะ
“ใจร้ายวะต้นหอม โกหกก็ได้ คนฟังจะได้รู้สึกดี” อาร์มบ่นกระปอดกระแปดเดินมานั่งข้างผม
“ไม่ล่ะ เราชอบพูดความจริง” ผมตอบ
“อืม ถามอะไรหน่อยดิ”
“ว่า?”
“ทำไมแทนตัวเองว่าเราล่ะ ไม่พูดมึงกูเหรอ ไม่เคยได้ยินมะ...เออ ต้นหอมพูดเลยอ่ะ” อาร์มถามผมทำหน้าสงสัย ไม่ใช่อาร์มคนแรกหรอกที่ถามแบบนี้ หลายคนแล้วเหมือนกัน ตอนนี้ผมก็เลยชิน
“ก็มันไม่สุภาพไง อีกอย่างเพื่อนเราไม่ให้พูด แล้วเราเองก็ไม่ชอบด้วย” ผมตอบไปตามความจริง
จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งผมเผลอหลุดพูดเพราะเห็นว่าใครๆก็พูดกัน ตอนนั้นผมอยู่แค่มอสองเอง แต่พอพูดออกไปแค่คำเดียวแมทตบปากผมทีเดียวเลือดออก จำได้ว่าผมร้องไห้เสียใจอยู่หลายชั่วโมง และก็รู้ว่าแมทไม่ชอบให้ผมพูด แต่ทำไมต้องตบด้วยล่ะ ผมถามเขา เขาบอกว่า น็อตหลุด มันไปเอง แล้วแมทก็ขอโทษผมยกใหญ่ ซื้อนู่นซื้อนี่มาไถ่โทษ หลังจากวันนั้นแมทไม่เคยทำให้ผมเจ็บตัวอีกเลย
เรื่องวันนั้นผมไม่โกรธแมทหรอก เพราะแมทเคยบอกผมแล้ว แต่วันนั้นผมหลุดปากจริงๆ เลยเผลอทำให้แมทหลุดมือไปด้วย ที่จริงแมทไม่ได้ตบแรงหรอก แต่จังหวะนั้นผมกัดปากตัวเองอยู่พอดี เลือดมันเลยออก แต่อย่าไปบอกแมทนะ ปล่อยให้เข้าใจผิดไปแบบนั้นแหละ คราวหลังจะได้ไม่กล้าหือกับผมอีก ฮ่าๆๆๆ
“งั้นเหรอ แสดงว่าเพื่อนนายก็ไม่พูดคำหยาบเลยล่ะสิ”
“น้อยไปสิ หมอนั่นน่ะตัวหยาบคายเลย”
“อ้าว ไหงงั้นล่ะ”
“ไม่รู้ พอๆ จะทำอัตชีวประวัติของเราหรือไง ถามเยอะจริง”
ผมหยิบสมุดเอาไว้จดเลคเชอร์ออกมาวางพร้อมทั้งกล่องดินสอกล่องใหญ่ที่มีปากกาดินสอหลากสีหลากยี่ห้อเต็มไปหมด ผมชอบเวลาจดแล้วให้สมุดมันมีหลายๆสี ตอนจดก็มีความสุข ตอนอ่านก็อ่านเข้าใจดี เพราะฉะนั้นเวลาว่างๆของผมเลยชอบไปเดินร้านขายเครื่องเขียน อย่างบีทูเอสที่มีของเยอะมาก ผมขลุกอยู่ที่นั่นได้เป็นวันๆโดยไม่เบื่อเลยแหละ พร้อมกับเสียเงินโดยไม่คิด >_<;
ป๊าบ!
“ไอ้อาร์ม กูโทรหาไม่รับวะสัด”
บุคคลมาใหม่ชื่อว่าก้านเดินมาตบหัวอาร์มแรงเต็มเหนี่ยวก่อนจะนั่งลงข้างอาร์มนั่นแหละ เพราะข้างๆผมเต็ม ไม่มีที่นั่ง
“ไม่ได้ยินไอ้เชี่ย ตบมาได้เต็มแรง เจ็บนะเว้ย!” อาร์มหันไปโวยวายใส่ก้านที่ดูจะชอบใจกับการทำให้เพื่อนเจ็บตัวได้ เหอะๆ อย่ามาตบหัวผมเป็นพอ ไม่งั้นผมจะ...วิ่งไปฟ้องแมท T_T
“นักศึกษา อยู่ในความสงบหน่อยค่ะ ได้เวลาเรียนแล้ว” อาจารย์ผู้หญิงที่มีอายุท่านยืนอยู่หน้าหอประชุมพูดใส่ไมค์เสียงดังทรงพลัง ทำให้เสียงที่ดังเซ็งแซ่เงียบลงไปถนัดตา
“ต้นหอมๆ” เสียงกระซิบดังมาจากข้างหลังผม พอหันไปก็เจอกับไข่ดาวและปลา ยังมีแชมป์อีกคน สามคนนี้กลายเป็นเพื่อนซี้กันไปแล้วเหรอเนี่ย ดีจัง
“ว่าไงเหรอ ผมเลยกระซิบกลับไป เพราะตอนนี้หอประชุมเงียบมาก
“ขอเบอร์หน่อยสิ” ไข่ดาวส่งโทรศัพท์ของเธอมาให้ผม ผมรับมากดเบอร์ตัวเองลงไปก่อนจะส่งคืน เธอเอ่ยขอบคุณเบาๆ ผมยิ้มแล้วหันกลับมาสนใจอาจารย์ที่ยืนอยู่ข้างหน้าแทน
การเรียนการสอนวันแรกไม่ได้สบายอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะถ้าเปรียบเทียบกับตอนมอปลายที่วันแรกของการเปิดเรียนจะไม่มีการสอน มีเพียงอาจารย์มาพูดรายละเอียดเกี่ยวกับวิชานิดหน่อย แต่การเรียนมหาวิทยาลัยนั่นเรียนกันตั้งแต่คาบแรก เดินไปซื้อหนังสือที่ด้านหน้าเสร็จก็เริ่มเรียนทันที
“ถ้าหนังสือจะหนาขนาดนี้ กูเอาไว้หนุนนอนดีกว่า” อาร์มบ่นเมื่อเห็นความหนาของหนังสือที่ก้านส่งให้ ก่อนจะเอาวางลงบนโต๊ะแล้วฟุบหน้าลงบนหนังสือ
“นี่ของต้นหอม” ก้านส่งหนังสือให้ผม
“ขอบใจ” ผมรับมาวางไว้บนโต๊ะ ลูบที่หน้าปกเบาๆอย่างที่ชอบทำก่อนจะเปิดไปหน้าแรก ลงมือเขียนชื่อของตัวเองลงไป
☀TonHom☀
Faculty of Arts #255106
08x-xxx-xxxx
โดยส่วนมากผมจะเขียนชื่อแล้วก็เบอร์โทรลงไปในชีทและหนังสือเรียน เพราะผมเคยทำหนังสือเรียนหาย ในนั้นมีแต่เนื้อหาที่ผมจดจากในห้องเรียนทั้งนั้น แต่คราวนั้นผมไม่ได้ใส่เบอร์โทรลงไปและผมก็ไม่ได้มันคืน ผมเลยต้องไปซื้อใหม่ แล้วลงมือจดใหม่ทั้งหมด ครบบ้างไม่ครบบ้าง เป็นอะไรที่น่าเสียดายมากสำหรับผม หลังจากนั้นผมเลยต้องใส่เบอร์โทรไว้ทุกครั้ง บางทีผมก็ไม่ได้ทำหายเองหรอก แต่ว่าโดนแกล้งซะส่วนใหญ่
เบอร์ที่ใส่ลงไปก็ไม่ใช่เบอร์ผมหรอก แต่เป็นเบอร์แมทต่างหาก เขาไม่ให้ผมใส่เบอร์ตัวเองเพราะกลัวว่าใครจะมายุ่งวุ่นวายกับผม ทำให้ผมรำคาญใจ แต่ผมคิดว่าผมย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วผมคงไม่โดนแกล้งเหมือนแต่ก่อนแล้วล่ะ
“ต้นหอม ทำอะไรอ่ะ”
“...”
“ต้นหอม”
“แปบ...” ผมรีบจดคำพูดของอาจารย์เพราะเดี๋ยวจดตามไม่ทัน เมื่อจดเสร็จแล้วเห็นว่าอาจารย์พูดนอกเรื่องผมก็หันหน้าไปหาก้านที่มองผมอยู่
“มีอะไรเหรอก้าน”
“ถามว่าทำอะไร”
“จดเลคเชอร์ไง” น่าจะเห็นอยู่ ไม่น่าถามเลย แต่ผมสังเกตเห็นว่าอาร์มไปเฝ้าพระอินทร์เรียบร้อยแล้ว ส่วนก้านก็นั่งเฉยๆ โดยมีหนังสือวางไว้อย่างเรียบร้อย ปากกาสักด้าม ดินสอสักแท่งก็ไม่มี นี่เขามาเรียนจริงหรือเปล่า
“นายไม่จดเหรอก้าน” ผมถามอย่างแปลกใจ
“ไม่ล่ะ ขี้เกียจ” ตอบง่ายไปไหมเนี่ย
“ไอ้อาร์มบอกไม่ชอบคนพูดไม่เพราะเหรอ” ก้านเท้าคางลงกับโต๊ะ ผมพยักหน้าตอบก่อนจะเริ่มลงมือจดอีกครั้งเมื่ออาจารย์เริ่มเข้าสู่เนื้อหาบทเรียน ปิดกั้นตัวเองจากคำถามของก้าน ขอผมเรียนก่อนนะ ไว้จะคุยด้วย
จนเวลาผ่านไปจนเกือบจะหมดคาบ ผมหันไปมองเพื่อนใหม่ทั้งสอง ตอนนี้สองคนนั้นสลบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเลยหันไปข้างหลังที่ไข่ดาวและปลานั่งอยู่ ปรากฏว่าทั้งคู่ก็หลับเช่นกัน ทีนี้ผมเลยกวาดสายตาไปรอบๆห้องประชุม ไม่น่าเชื่อว่าเกือบครึ่งของนักศึกษาที่เขาเรียนฟุบหลับกันหมดเลย มีแค่บางส่วนเท่านั้นที่ตั้งใจเรียน
แน่ใจนะว่าพวกเขามาเรียนกันไม่ใช่มานอน ไม่จดแล้วจะสอบได้เหรอ น่าแปลกชะมัดเลย จนเมื่อจบคาบทุกคนก็พร้อมใจกันตื่นอย่างมิได้นัดหมาย หน้าตาแต่ละคนนี่ยับจนดูไม่ได้
“โอย ง่วงชะมัดเลยวะ หิวด้วย”
“เออ ไปกินไรดีวะ”
“ต้นหอม อยากกินไร” อาร์มถามผมที่กำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋า
“เดี๋ยวเราไปกินกับเพื่อน” ผมบอกแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาแมท
“เพื่อนที่ไหนเหรอ” ปลาชะโงกหน้ามาถามผม
“เพื่อนที่วิศวะฯ” ผมตอบ
“แมท เลิกเรียนหรือยัง”
[เลิกแล้ว รอใต้คณะ เดี๋ยวเดินไปหา]
“อืม รีบมานะ”
ผมกดวางสายพร้อมกับมองหน้าเพื่อนทั้งสี่คนที่จ้องผมด้วยความใคร่รู้
“ต้นหอมจะไปกินกับเพื่อนใช่ไหม งั้นเอางี้ ไปด้วยกันหมดนี่แหละสนุกดี”
“เออ ความคิดดี ไปๆ”
ผมโดนเพื่อนๆดันหลังให้เดินออกจากหอประชุมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ผมยังไม่ได้บอกแมทเลยว่าจะมีเพื่อนไปด้วย แต่คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ให้แมทรู้จักกับเพื่อนของผมไว้ก็ดี
“แมท นี่ก้าน อาร์ม แล้วนี่ก็ไข่ดาว นี่ปลาและแชมป์” ผมแนะนำเพื่อนๆให้แมทรู้จัก แมทมองเพื่อนแต่ละคนของผมราวกับสายตาตำรวจมองผู้ร้ายยังไงยังงั้น ทำเอาแต่ละคนยื่นตัวเกร็งมองหน้ากันเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก
“อย่ามองเพื่อนเราอย่างนั้นสิแมท ไปๆ ไปกินข้าวกัน ว่าแต่จะกินที่ไหนล่ะ” ผมเอ็ดแมทให้เลิกจ้องเพื่อนผมสักทีก่อนจะเข้าไปลากแขนแมทให้ออกเดิน เพื่อนๆเลยเดินตามมา
“ไปกินที่โรงอาหารกลางละกัน” แมทตอบ
“อืม เดี๋ยวไปกินที่โรงอาหารกลางกันนะ” ผมรับคำแมทแล้วก็หันไปบอกเพื่อนๆที่อยู่ข้างหลัง พวกนั้นพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มให้ผมแหยงๆ ผมเลยยิ้มตอบ พวกนั้นคงจะยังเกร็งไม่หายกับท่าทางของแมท เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นธรรมดาจนผมชินไปแล้ว
เราเดินกันมาจนถึงโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย อันที่จริงแต่ละคณะก็จะมีโรงอาหารของตัวเอง เพียงแต่จะไม่ใหญ่มากนัก และจะมีโรงอาหารกลางซึ่งอยู่ใกล้คณะผมกับคณะของแมท แต่รุ่นพี่บอกว่าทุกคนจะเรียกโรงอาหารกลางว่าโรงอาหารวิศวะฯ เพราะเด็กวิศวะฯจะมากินที่นี้เพราะเป็นคณะเดียวที่ไม่มีโรงอาหารเป็นของตัวเอง น่าสงสารจริงๆ
บรรยากาศในโรงอาหารดูครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คน และที่เห็นจะเยอะมากที่สุดก็คือนักศึกษาในเสื้อช็อปและชุดหมี เสียงโหวกเหวกโวยวายตามแบบฉบับผู้ชายเถื่อน ผู้หญิงห้าวของคณะวิศวะฯดังระงมไปทั่วพื้นที่
ผมกวาดสายตามองหาที่นั่ง ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ แมทมองไปยังที่ๆหนึ่งก่อนจะจับมือผมแล้วเดินจ้ำอ้าวไปยังโต๊ะที่อยู่ท้ายสุดและว่างพอดี
“คนเยอะจังเลย” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ เอากระเป๋าวางบนโต๊ะเป็นการจองที่ เพื่อนๆผมก็ทำแบบเดียวกัน ก่อนจะแยกย้ายกันไปหาอะไรกิน
“จะกินอะไร เดี๋ยวไปซื้อมาให้” แมทถามผม
“ไม่เอา เดี๋ยวไปเลือกเอง”
“คนมันเยอะ”
“ไม่เป็นไร”
แมทเห็นว่าผมไม่ยอมเลยเดินนำผมไป ผมเดินตามแมทไม่ให้ห่าง คนเยอะมากจนเดินเบียดเสียด ระหว่างทางที่เดินไปยังร้านอาหารที่อยู่ด้านหน้าสุดของโรงอาหาร สายตาหลายคู่มองมาที่ผม ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ส่วนมากจะเป็นสายตาของผู้ชาย บางคนมองแบบอึ้งๆ บางคนยิ้มให้ผม เจอแบบนี้ผมได้แต่เดินตัวลีบที่สุด บอกแล้วไงว่าผมไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาเท่าไหร่ ไม่รู้จะมองอะไรนักหนา ผมมีอะไรผิดปกติหรือไงกัน หรือว่าซิปไม่ได้รูด
เฮ้อออ น่าหงุดหงิดจริงๆนะแบบนี้ ไม่ชอบเอาเสียเลย
“ไปซื้อข้าวเองได้ใช่ไหม”
“ได้น่า แมทจะกินอะไรก็ไปซื้อเถอะ”
ผมเดินแยกออกมาเลือกร้านว่าจะกินอะไรดี สุดท้ายผมก็มาหยุดอยู่ที่ร้านข้าวหน้าเป็ดที่กลิ่นหอมเย้ายวนมากๆ แถวยาวไปหน่อยแต่ผมก็เลือกที่ต่อแถวซื้อ
“เย็นนี้ไปเปล่าวะไอ้ปืน”
“ไม่รู้ ดูก่อน”
“ไรวะ พี่นิ่มเขาอยากเจอมึงนะโว้ย ไปเถอะวะ กูสงสารพี่เขา”
“...”
เสียงสนทนาที่ดังอยู่ด้านหลังผมเงียบหายไป ผมไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทนะ ได้ยินเองหรอก
“ตามใจมึงละกัน เพราะที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของกู”
“มันก็ต้องอย่างนั้น”
เสียงของคนที่ตอบเพื่อนทุ้มน่าฟัง แข็งกร้าวนิดๆ ถ้าให้จินตนาการต้องเป็นผู้ชายที่เข้มมากๆเลย ผมอยากจะหันไปดูจังว่าหน้าตาคนพูดเป็นอย่างไร แต่ถ้าทำแบบนั้นเขาก็จะจับได้สิว่าผมแอบฟังอยู่
ปึก!
“อ๊ะ...!”
แรงกระแทกจาดคนด้านหน้าทำให้ตัวผมเซไปชนคนข้างหลังเต็มแรง แรงกดหนักที่บ่าดันตัวผมให้ยืนตรงได้ตามเดิม ผมหันไปมองก็เจอกับสายตานิ่งที่จ้องผมอยู่
“เอ่อ...ขอโทษครับ” ผมบอกเขาก่อนจะรีบหันกลับมาด้านหน้า คนที่ชนผมเอ่ยขอโทษก่อนจะหันไปว่าเพื่อนตัวเองที่กระแทกตัวเขาจนมาชนผม
สายตาแบบนั้น...
ผมใจเต้นแรงจนไม่เป็นตัวของตัวเอง จะว่าสายตาของเขานั้นน่ากลัวมันก็ใช่ แต่กลับแฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่ผมมองไม่ออก ถึงอย่างนั้นมันกลับดึงดูดผมได้อย่างไม่น่าเชื่อ แค่มองแวบเดียวผมก็สั่นแล้ว หน้านิ่งๆบวกสายตาคมเหมือนเหยี่ยวนั่นทำให้ผมวางตัวไม่ถูกเลย เขาไม่เอ่ยอะไรสักนิดที่ผมเซไปชนเขา แม้แต่ความเจ็บปวดก็ไม่ปรากฏบนใบหน้าให้ผมได้เห็น
“เอาอะไรดีจ๊ะพ่อหนุ่ม” เสียงของแม่ค้าเรียกสติผมกลับมาจากความคิด
“เอาข้าวหน้าเป็ดครับ ไม่เอาขิงดองกับหนังเป็ด”
เมื่อได้ข้าวแล้วผมก็หมุนตัวเดินออก แต่สายตาไม่รักดีดันมองไปยังคนที่ยืนต่อหลังผมอย่างไม่รู้ตัว แค่ซีกหน้าด้านข้างก็ทำเอาผมใจสั่นได้ไม่ยาก ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าผมแอบมอง ผมก็รีบเดินกลับโต๊ะของตัวเองทันที ให้ตายเถอะ ทำไมใจผมถึงได้สั่นขนาดนี้นะ
“เป็นไรไป” แมทถามเมื่อเห็นว่าผมมีท่าทีผิดปกติ ถึงผมจะทำเนียนแค่ไหน แต่กับเพื่อนที่รู้จักกันมานาน มีเหรอที่แมทจะดูผมไม่ออก
“เปล่า”
แต่ผมไม่กล้าบอกความจริง จะให้พูดเหรอว่าอยู่ๆก็ใจเต้นแรงเพียงแค่เห็นหน้าผู้ชาย ขืนพูดไปแบบนั้นชีวิตดับแน่ๆ
“...” แมทจ้องหน้าผมนิ่ง ดูก็รู้ว่าเขาไม่เชื่อ แต่ดีที่แมทไม่ใช่คนถามซักไซ้ เขาจะรอให้ผมพร้อมแล้วเดินเข้าไปบอกเขาเอง
“คาบต่อไปขี้เกียจเรียนวะ” ก้านที่เดินมานั่งลงตรงข้ามผมเอ่ยขึ้นก่อนจะก้มหน้ากินข้าวอย่างเมามัน
“กูเห็นมึงขี้เกียจมาตั้งแต่มอปลายแล้ว” อาร์มพูดเหน็บ
“มึงก็ไม่ต่างจากกูหรอก ทำเป็นพูดดี ถุย”
ดีนะที่ก้านถุยลงจานข้าวตัวเอง ถ้าเผื่อแผ่มาถึงผมนี่โกรธจริงจังนะ กว่าจะได้ข้าวหน้าเป็ดแสนอร่อยมากินนี่ลำบากทั้งกายลำบากทั้งใจ >_<!
“ทำเป็นบ่นไปได้ นี่เพิ่งจะเรียนวันแรก ดูท่าจะไม่รอด” ไข่ดาวเบ้ปากใส่ก้าน ทำเอาฮากันทั้งโต๊ะรวมถึงผมด้วย แต่เว้นแมทไว้คนหนึ่งนะ รายนี้กินอย่างเดียวไม่หือไม่อือไม่อออะไรกับใครทั้งสิ้น จะมีบ้างที่เงยหน้ามองผมเป็นระยะๆ
ผมนั่งกินข้าวไปคุยกับเพื่อนไป จังหวะหนึ่งที่เงยหน้ามองตรง ปากที่กำลังเคี้ยวข้าวเป็นต้องหยุดชะงัก หัวใจกลับมาเต้นผิดจังหวะอีกครั้งเมื่อพบว่าเขาคนนั้นนั่งอยู่ตรงข้ามผม เขามองมาที่ผมเพียงแค่เสี้ยวนาทีเดียวเท่านั้น แต่แค่นั้นผมก็แทบจะบ้าตายอยู่แล้ว...
เป็นบ้าอะไรของแกกันนะต้นหอม น่าอายจริง >//<
--------------------------------------------------------------
[/size][/color]