ดังนั้นหลังเรียนจบ ทันตแพทย์ป้ายแดงทั้งสองจึงเก็บผ้าผ่อนเดินทางไปยังโรงพยาบาลซึ่งเป็นที่หมาย บิดามารดาของรวินท์มาส่งเขาถึงหน้าหอพักโดยที่ไม่ให้พี่ชายและพี่สาวของเขาตามมาด้วย เพราะทั้งสองไม่เห็นด้วยกับการส่งรวินท์ไปทำงานที่ไกลๆ เมื่อบอกลากันเสร็จ บิดามารดาของรวินท์ก็โบกมือลาบ๊ายบายแล้วก็ปล่อยบุตรชายคนเล็กไปตามเวรตามกรรม ส่วนพวกเขาก็ไปเที่ยวเชียงใหม่กันต่อ
โรงพยาบาลลำพูนไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน มีตึกเก่าๆ ด้านหลังโรงพยาบาลเป็นหอพักแพทย์ซึ่งให้พักได้ห้องละคน ภายในห้องกว้างขวาง มีห้องนอน ห้องครัว ห้องอาบน้ำและห้องนั่งเล่นให้พร้อม เตชิตได้ห้องพักที่ชั้นห้า ส่วนห้องของรวินท์อยู่ที่ชั้นสาม ในห้องนอนของรวินท์มีพัดลมโปเกบนผนังหนึ่งเครื่อง ซึ่งเปิดทีเสียงดังกระหึ่มขึ้นไปถึงห้องของเตชิตที่ชั้นห้า ส่ายคอเหมือนจะร่วงลงมาอยู่รอมร่อ แถมแรงลมเบายิ่งกว่าตดมดเสียอีก ตรงมุมห้องข้างหน้าต่างมีตู้เสื้อผ้าแบบผ้าใบพลาสติกที่รูดซิปไม่ขึ้น เปิดค้างไว้อ้าซ่า ภายในตู้มีไม้แขวนเสื้อพังๆ สองสามอัน กลางห้องมีเตียงไม้เก่าๆ เป็นเฟอร์นิเจอร์แถมให้ด้วย ส่วนในห้องครัวมีเตาแก๊สกับถังแก๊สเก่าที่แพทย์คนเดิมทิ้งไว้ นอกจากนั้นในห้องอื่นๆ ก็โล่งว่าง แม้แต่ผ้าม่านยังไม่มีให้ มีอย่างเดียวที่พอดูได้ก็คือกระเบื้องสีขาวที่ปูพื้นห้อง ถึงแม้จะเก่ามีรอยขีดข่วนมากมายก็ตามที
พอได้เห็นห้องพักครั้งแรกทันตแพทย์มือใหม่สองคนก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ป้าแม่บ้านอุตส่าห์ทำความสะอาดไว้ให้เป็นอย่างดี พวกเขาจึงไม่พูดอะไรมากนัก ได้แค่ส่งสายตาปลอบใจกันเองไปมา
เมื่อขนกระเป๋าเข้าห้องแล้ว สองหนุ่มจึงต้องออกไปหาซื้อของเข้าห้องพักกันต่อ พวกเขานำรถส่วนตัวจากกรุงเทพฯ มาใช้งานด้วย รถของรวินท์เป็นออดี้สปอร์ตสองประตูซึ่งบิดาให้บริษัทขนส่งจัดการนำมาส่งให้ถึงหน้าหอพัก ส่วนของเตชิตเป็นฮอนด้า CR-V ดังนั้นเมื่อจะไปซื้อของจำนวนมากกัน รวินท์ผู้ซึ่งเอารถมาใช้แบบไม่ได้คิดหน้าคิดหลังอะไรเลยจึงต้องอาศัยรถเพื่อนไปแทน
ระหว่างทางที่รถแล่นผ่านไปช้าๆ รวินท์เกาะกระจกรถมองสองข้างทางที่ดูสงบ บ้านแต่ละหลังปิดเงียบเชียบ มีต้นไม้ร่มรื่นเขียวขจี มองเห็นภูเขาอยู่ไกลๆ ลำพูนก็เป็นเมืองที่สวยดี แต่ไม่เหมือนอย่างที่คิดไว้สักเท่าไหร่ “ไอ้เต้ กูว่าต่างจังหวัดไม่ได้เหมือนกันไปหมดทุกจังหวัดหรอกว่ะ”
“มึงเพิ่งรู้ตัวเหรอวะ กูฉุกใจตั้งแต่ตอนมาถึงแล้ว ที่นี่เงียบกว่าที่กูคิดไว้เยอะเลย”
“แต่อย่างน้อยก็มีห้างอยู่ใกล้ๆ โรงบาลด้วยนะมึง” เขาพูดปลอบใจตัวเองและเพื่อน มาถึงขนาดนี้พวกเขาก็หันหลังกลับไม่ได้แล้วล่ะ
รวินท์พยายามแต่งตัวบ้านๆ เพื่อไม่ให้ดูเด่นมากนัก แค่เสื้อเชิ้ต กางเกงยีน เข็มขัดและกระเป๋าสตางค์ลายพื้นๆ แต่ราคารวมกันเหยียบแสนที่พี่ๆ ขนซื้อไว้ให้ ซึ่งที่จริงเขายังไม่เคยรู้ราคาของสิ่งของเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ ชีวิตของรวินท์น่ะ เคยจ่ายเองก็มีแค่ค่าอาหาร ค่าน้ำมันรถ ค่าโยนโบว์แล้วก็ค่าตั๋วหนังเท่านั่นละ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้บัตรเครดิตของที่บ้านรูดไปแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก
หากด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาระดับคนดังของมหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพฯ ที่มาแบบแพ็กคู่แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปที่ไหนก็มีแต่คนจ้องมองทั้งนั้น จ้องกันจนเหลียวหลัง ชนิดที่ว่า ขนาดเขาคิดว่าตัวเองชินกับการถูกมองแล้วยังรู้สึกแปลกๆ
“ไอ้เต้ กูว่ารีบซื้อรีบกลับเหอะว่ะ”
“กลัวเขาเข้ามาจับตัวมึงไปปล่อยป่ารึไงวะ ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ ที่นี่ไม่ใช่สวนลุมฯ เอ๊ะๆ หรือว่ามึงเคยไปขโมยไก่เขาแล้วหนีลงน้ำวะ”
“ก็ตามหลังมึงลงไปนั่นแหละ ไอ้ห่า”
เตชิดหัวเราะร่วน “ก็ให้คนเขามองหน่อยไม่ได้รึไง มึงไม่สึกหรออะไรหรอกน่ะ” เขาพูดพลางยกมือขึ้นโอบไหล่เพื่อนรัก “ไปๆ อยู่กับพี่เต้ ไม่ต้องกลัวห่าอะไรหรอก”
“กลัวความห่าของไอ้พี่เต้นี่แหละ ไปไกลๆ ตีนกูเลยไป กวนส้นตีนฉิบหาย” รวินท์ผลักมืออีกฝ่ายออกแล้วเดินไปดึงรถเข็นมาหนึ่งคัน “กูไปของกู มึงไปของมึง อีกชั่วโมงเจอกันตรงนี้”
“อ้าวๆ มึงจะไหวเหรอวะ รู้ยังว่าต้องซื้อไรบ้างอ่ะ”
“รู้โว้ย กูไม่ได้โง่!” ชายหนุ่มตอบพลางเข็นรถเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่หลังจากเดินวนในห้างบิ๊กซีครบรอบ รวินท์ก็ยังไม่รู้ว่าตนเองควรจะต้องซื้ออะไรบ้าง ก็ทั้งชีวิตเขาเคยซื้อของเข้าบ้านเองซะที่ไหน
อืม... ที่ห้องมีเตียงแล้วก็ต้องมี...
“หมอน หมอนข้าง ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ฉลาดเหมือนกันนะเนี่ยกู ต้องซื้อพัดลมด้วย อันในห้องนี่ วันดีคืนนี้คงจะร่วงจากผนังแหง อืม... แล้วก็ไม้แขวนเสื้อด้วย” เขาเลือกของหยิบโยนใส่รถเข็นไปเรื่อยๆ
“ของกินๆ มาม่า ปลากระป๋อง หมูยอง... ขนม” ใช้เวลาไม่นานก็เลือกสารพัดของกินมาเต็มคันรถ แค่นี้เขาก็น่าจะอยู่ได้ไปอีกสักสัปดาห์ ถ้าขาดเหลืออะไรค่อยออกมาหาซื้ออีกที
หลังจากซื้อของเสร็จก็เข็นรถเข็นออกมาหาเพื่อนรักซึ่งยืนอ้าปากหาวรออยู่
“ไง ของครบนะมึง”
“เออ ครบ ซื้อเยอะขนาดนี้เหลือใช้ไปทั้งเดือน” รวินท์ตอบอย่างมั่นใจ
พอกลับไปถึงห้องพัก รู้สึกหิวขึ้นมาตงิดๆ และตั้งใจจะต้มมาม่ากินนั่นล่ะ เขาจึงนึกขึ้นได้... มีมาม่า แต่ไม่มีน้ำร้อน ไม่มีจานชาม ช้อนส้อม แล้วจะกินยังไงวะ!
แต่เพื่อไม่ให้เตชิดสบประมาท เขาจึงทำเป็นโทรศัพท์ไปชวนอีกฝ่ายออกไปกินข้าวข้างนอกแทน แล้วแวะร้านสะดวกซื้อซื้อของที่ขาดมาเพิ่ม และนั่นก็คือที่มาของกระติกน้ำร้อนพลาสติกกระติกเดียวที่ตั้งโด่เด่อยู่ในห้องครัว
หลังจากนั้นรวินท์ก็ไม่ได้ซื้ออะไรเข้าห้องอีก เขาปล่อยห้องนั่งเล่นโล่งว่าง ม่านยังไม่คิดจะซื้อมาติด ถ้ามีเวลาว่างส่วนใหญ่ก็จะไปนอนใช้แล็ปท็อปท่องโลกอินเทอร์เน็ตอยู่ในห้องนอน บนเตียงนอนที่...ไม่ว่าจะนั่งหรือนอนตรงไหนของเตียง ตัวเขาก็จะไหลลงไปตรงกลาง เพราะความเก่าของฟูก
จนกระทั่งวันที่เตชิตมาเยี่ยมห้องแล้วบ่นว่าไม่มีที่นั่ง เขาจึงขับรถไปซื้อที่นอนปิกนิกมาปูไว้ให้มันนั่ง จะได้ไม่พูดมากอีก
ส่วนห้องพักของเตชิตต่างกับห้องของเพื่อนรักราวกับฟ้าเหว ในครัวของเขามีเตาไฟฟ้า หม้อหุงข้าว ตู้เย็น ไมโครเวฟและจานชามหม้อไหพร้อม เขาซื้อผ้าม่านสำเร็จรูปมาติดในห้องทุกห้อง มีโต๊ะญี่ปุ่นกับเบาะสำหรับนั่งพื้นในห้องนั่งเล่นเอาไว้สำหรับนั่งอ่านหนังสือและกินข้าว มีชั้นวางหนังสือ เครื่องเสียง โทรทัศน์จอใหญ่และโซฟาเล็กๆ ห้องนอนมีที่นอนใหม่บนเตียง มีตู้เสื้อผ้าที่ทำจากไม้ ดูเป็นห้องที่มีคนอยู่อาศัยมากกว่าเป็นกอง ที่จริงเขาก็แนะนำไอ้วินได้แหละว่าควรต้องเริ่มต้นซื้ออะไรเพิ่มบ้าง แต่ที่ไม่ทำ ก็คงเพราะ... เขาอยากจะช่วยสนองเจตนารมณ์ของพ่อแม่มันล่ะมั้ง
..
.....
..
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังแว่ว รวินท์กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วเอื้อมไปหยิบมากดรับสาย
“ไอ้เต้ โหย กูหิวฉิบหาย ห้องกูไม่มีของกินเลยอ่ะ”
“กูทำข้าวผัด กินป่ะ”
“กิน! เดี๋ยวไปหาที่ห้องเว้ย”
“เออ มาไวๆ กูรออยู่” เตชิดกดวางสาย พลางอมยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา
*TBC*ฮัสกี้กลับมาแย้วววว หลังจากแต่กาลก่อนจบไปก็หายหัวววไปพักนึง มีใครคิดถึงเก๊ามิ๊
มาคราวนี้พาหมอฟันสุดหล่อมากราบฝากเนื้อฝากตัวกับคนอ่านทุกๆ คนด้วยนะคะ /นุ้งวินกราบแทบอกพี่ๆ น้องๆ สิลูกกก
ช่วงแรกของเรื่องจะเป็นการแนะนำชีวิตตัวเอกของเรื่องก่อนนะคะ ฮัสกี้จะพยายามลงถี่หน่อย ก่อนแมงอู้จะเข้าครอบงำ 5555555555 วันนี้ได้รู้จักกับรวินท์แล้ว ตัวเอกอีกคนเป็นหนุ่มน้อยวิดวะปีสาม เรียนที่เชียงใหม่ค่ะ สปอยล์ไว้ล่วงหน้าเลย แหะแหะ
ฟิตรอขึ้นดอยกับหนุ่มวิดวะกันนะคะ 
ขอบคุณคนอ่านทุกคนค่าาา