ตอนที่ 2ครึกๆๆๆๆๆๆ
เสียงเหมือนเครื่องยนต์กำลังจะพังทำให้ผมต้องหันมองหน้าคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจขับอย่างไม่ค่อยสบายใจ แต่เจ้าของน้องจุ๊บแจงก็หาได้แคร์สายตาของผมไม่ เขายังคงฮัมเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ทั้งๆ ที่การจราจรตอนนี้เดี้ยงสนิทมาได้สักห้านาทีแล้ว ไฟแดงห้าร้อยกว่าวินาทีนี่มันนรกชัดๆ เลย
จึกๆ
ผมจิ้มแขนพี่ทองให้หันมาก่อนจะโชว์ข้อความที่พิมพ์ใส่มือถือให้เขาอ่าน
‘ถ้ายังรออย่างนี้ผมไปสายแน่ ขอนั่งวินไปก่อนนะครับ’
“มึงจะทิ้งกูเหรอ?” พี่ทองถาม ก่อนสายตาเหยียดๆ จะมองผมราวกับมองคนที่ชอบขโมยเงินขอทานข้างถนนก็ไม่ปาน
‘ไม่อยากทิ้งนะ แต่ผมต้องรีบไป’
“ก็เดี๋ยวจะไฟเขียวแล้วไง กูอุตส่าห์มาส่งมึงนะ ทั้งๆ ที่เส้นนี้น่ะรถติดชิบหายแต่ก็ยังมา ถ้ามึงชิ่งไปก่อน แล้วกูอ่ะ? กูจะมาอยู่ตรงนี้เพื่อ?”
มันก็จริงครับที่พี่ทองอุตส่าห์ขับรถมาส่งผมทั้งๆ ที่เขากำลังอยู่ในระหว่างพาเดซี่เที่ยวรับลมชมดอกไม้ ถึงผมจะซึ้งใจมากที่เขายอมล่ามเดซี่ไว้กับต้นชงโคในสวนบ้านผมแล้วอาสามาส่งเมื่อเห็นว่าผมต้องเดินไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าปากซอย เพราะบิ้วยืมรถไปอีกแล้ว แต่ตอนนี้ถ้ายังนั่งรอให้ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นไฟเขียว ผมก็คงไปสอบวิชาแรกของภาคเช้าไม่ทัน วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายก่อนการจบมอปลายของผมนะครับ ผมควรไปสายอย่างนั้นเหรอ?
‘ผมต้องรีบไปสอบปลายภาค’
“เออน่า ยังไงก็ทัน มึงไม่เชื่อใจจุ๊บแจงรึไง”
ก็ไม่เชื่อใจน่ะสิครับ น้องจุ๊บแจงทำท่าจะหมดลมไปหลายรอบแล้ว แต่สิ่งที่ผมคิดก็ไม่มีวันสื่อสารให้พี่ทองได้รู้ ไม่งั้นเขาได้งับหัวผมแน่หากว่าไปสบประมาทของรักของเขา
ทั้งๆ ที่สภาพของจุ๊บแจงน่าสบประมาทน้อยเสียที่ไหน...รถกระบะคันเล็กที่เมื่อหลายสิบปีก่อนคงจะมีสีแดงสวยสง่า แต่ตอนนี้มันทั้งลอกทั้งซีด แถมยังชอบปล่อยควันดำออกจากท่อ เสียงเครื่องยนต์ก็ดังจนไม่สามารถได้ยินเสียงรอบข้างได้ ในตัวรถก็ไม่มีแอร์คอยให้ความเย็นจึงจำเป็นต้องเปิดหน้าต่างรับลมจากภายนอก เครื่องเสียงที่ติดอยู่กับรถก็คงพังไปนานแล้วเพราะลำโพงข้างเบาะที่นั่งมีรอยหนูแทะ แต่พี่ทองก็มีไอเดียดีๆ แก้เบื่อระหว่างขับรถโดยการใช้เชือกมัดวิทยุเครื่องละสามร้อยบาทติดกับตัวคอนโซล แต่ข้อเสียคือต้องคอยหมุนหาคลื่นเอาเอง แถมเบาะที่นั่งทั้งคนขับและคนที่นั่งข้างก็มีรอยขาดรอยปะเต็มไปหมด แล้วสภาพอย่างนี้จะไม่ให้ผมกังวลใจได้ยังไง ที่จริงก็ไม่ใช่เฉพาะผมหรอกครับ ทั้งคนขี่มอเตอร์ไซค์ที่จอดเทียบอยู่ข้างๆ และคนขับรถเบนซ์สีสวยที่จอดอยู่ใกล้ๆ ก็มองมาด้วยสายตาอึ้งๆ เหมือนกัน พวกเขาก็คงไม่คิดหรอกว่ารถคันนี้มันจะสามารถวิ่งได้
แต่เห็นอย่างนี้ป้ายทะเบียนอะไรก็มีครบนะครับ ตำรวจโบกให้จอดก็รอดทุกที ถึงป้ายทะเบียนที่ว่าจะถูกยึดอย่างแน่นหนาด้วยเชือกป่านอยู่ตรงท้ายกระบะก็เถอะ
แล้วหลังจากนั่งลุ้น นั่งภาวนาให้ไปถึงโรงเรียนให้ทัน น้องจุ๊บแจงของพี่ทองก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะเขามาส่งผมได้ทันเวลาพอดี แถมเขายังเอารถเข้ามาจอดที่หน้าเสาธงอีกต่างหาก ที่จริงผมก็ไม่ได้อายนะครับ แต่ตอนนี้ทั้งโรงเรียนกำลังเข้าแถวเตรียมเคารพธงชาติกันอยู่ ทุกสายตาเลยจ้องมาที่ผมกันหมด
“เห็นป่ะ กูบอกแล้วว่ายังไงก็ทัน”
ครับ ผมไม่เถียง แต่พี่เล่นฉวยโอกาสตอนพี่ยามไม่อยู่ที่ป้อมขับเข้ามาเลยนี่...ตอนนี้จะทำยังไงล่ะครับ เดี๋ยวก็ถูกดุเอาหรอก
เร็วเท่าความคิด อาจารย์ฝ่ายปกครองก็วิ่งหน้าตั้งมาที่รถ ในขณะที่ผมยกมือไหว้ขอบคุณพี่ทอง เอื้อมมือออกไปเปิดประตูจากด้านนอกเพราะเปิดจากด้านในไม่ได้ก่อนจะรีบสปีดตัวออกจากรถและวิ่งไปที่แถวของชั้นเรียนตัวเองทันที
“เฮ้ยยยย ชงโค มึงลืมกระเป๋า!”
ซะ...ซวยชิบ พี่จะตะโกนทำไมล่ะครับ T_T
“เธอ!! ไปกับครูที่ห้องปกครองเดี๋ยวนี้! ส่วนคุณ ช่วยรีบๆ กลับไปด้วยครับ ทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้เข้ามาส่งเด็กนักเรียนในโรงเรียนนะครับ”
เฮ้อ...ทำไมผมถึงได้ซวยอย่างนี้นะ ตั้งแต่รู้จักกับผู้ชายที่กำลังหัวเราะแหะๆ ขอโทษขอโพยอาจารย์อยู่นี่... ชีวิตที่เคยสงบสุขของผมก็เหมือนจะวุ่นวายขึ้นหลายเท่าตัว เพราะเขาน่ะเป็นคนบ้าที่ทำอะไรไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ เขาไม่รังเกียจที่จะทำความรู้จักกับคนพูดไม่ได้อย่างผม ถึงจะดูบ้าๆ บอๆ แต่ก็ไม่เคยดูถูกคน
เอาเถอะครับ...ถึงผมจะต้องเข้าห้องปกครองครั้งแรกในชีวิตเพราะเขา ผมก็จะไม่ถือโทษโกรธเขาหรอก
.
.
.
“ไง ไอ้ใบ้ ไม่เจอกันนาน ยังจำพวกกูได้ไหมวะ?”
วันนี้มันวันซวยไม่จบไม่สิ้นจริงๆ -_-
ผมมองผู้ชายสามคนที่หน้าตาไม่ต่างจากตาตุ่มหมาเท่าไหร่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างนึกเซ็ง ความซวยในวันนี้ของผมคงยังไม่จบสินะครับ ถึงได้มีปรสิตสังคมมาดักรอที่กลางซอยเข้าบ้าน
“เอาเงินมาแบ่งให้พวกกูใช้ซะดีๆ ไม่งั้นชีวิตมึงอยู่ไม่สุขแน่” ไอ้แบ็ค หัวโจกที่ตัวใหญ่และน่าเกลียดที่สุดพูดเสียงเหี้ยมก่อนจะตรงเข้ามากระชากคอเสื้อผม ที่จริงไม่ต้องทำอย่างนี้หรอกครับ แค่กลิ่นตัวของมันผมก็แทบจะรับไม่ไหวแล้ว
“คิดว่าหลบหน้าหลบตาพวกกูที่โรงเรียนได้แล้วจะรอดหรือไง! เฮ้ย ไอ้จิน ค้นตัวมัน ส่วนมึง เอากระเป๋ามันไป”
สมุนซ้ายขวาของไอ้แบ็ค ไอ้จินกับไอ้แจม ฝาแฝดนรกส่งมาเกิดก็ยังเชื่องไม่เคยเปลี่ยน ผมชินกับเรื่องพวกนี้เลยไม่ขัดขืนอะไร ส่งกระเป๋าให้ไอ้แจมและยอมให้ไอ้จินมันค้นตัวแต่โดยดี ขัดขืนไปก็เจ็บตัวเปล่าๆ ครับ อยู่เฉยๆ ให้เรื่องมันจบไปคงดีกว่า
มออออออออออออออออออออออออออออออ
หืม?
“เสียงวัวที่ไหนวะ” ไอ้แบ็คขมวดคิ้ว หน้าของมันตอนนี้เหมือนหมูกำลังทำหน้างง ใบหน้าอ้วนๆ นั่นหันมองไปมาก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่วัวสีขาวน่ารักตัวหนึ่ง
เดซี่!
“เสียมารยาทไอ้อ้วน! มึงเรียกลูกสาวใครว่าวัว”
ผมก็คิดไว้แล้วว่าเขาต้องอยู่ที่นี่ หากว่าเดซี่มายืนตาแป๋วมองอยู่ใกล้ๆ พี่ทองที่มีผ้าปิดจมูกปิดไว้ครึ่งหน้าในมือมีเชือกจูงเดซี่กำลังมองสำรวจผมกับพวกไอ้แบ็คทีละคน เขาเลิกคิ้วพลางยกมือขึ้นเสยผมตัวเองทำให้เห็นว่าที่ใบหูข้างขวาของเขามีดอกชงโคทัดอยู่
แพ้เกสรดอกไม้แล้วเสือกเอาดอกไม้ไปทัดหู โง่จริงๆ -_-
“ให้ตายสิ เด็กสมัยนี้ ทำตัวเป็นขยะสังคม อย่างพวกมึงนี่เอาไปรีไซเคิลก็ไม่ได้ ปล่อยให้ย่อยสลายเองก็ไม่ได้อีก สิ่งไร้ค่าที่ไม่ควรมีอยู่ในจักรวาล”
“มึงเป็นใคร!” ไอ้แบ็คที่เรียกสติตัวเองได้คนแรกก็ทำตัวข่มสมเป็นหัวโจกทันที
“ทำไมต้องบอก?”
“งั้นมึงก็ไม่ต้องเสือก นี่ไม่ใช่เรื่องของมึง” ไอ้จินพอเห็นว่าลูกพี่มันตัวใหญ่กว่าพี่ทอง ก็ปากดีบ้าง
“เออ ไม่ใช่ แต่กูอยากเสือก ใครจะทำไม”
“ไอ้เหี้ย!”
“หน้าเหี้ยกว่ากูดันมาด่ากูว่าเหี้ย เดี๋ยวมึงเจอตีนไอ้สัด ปล่อยน้องกู!”
“น้องมึง?” ไอ้แจมถามพร้อมกับหันหน้าไปมองไอ้จินอย่างไม่เข้าใจ “ไอ้ชงโคมันลูกคนเดียวไม่ใช่ไงวะ”
“ถามกูแล้วกูจะรู้ไหม เอาไงไอ้แบ็ค”
“กูไม่กลัว เฮ้ย แน่จริงตัวตัวดิวะ วัวไม่เกี่ยว”
ผมอยากจะบอกพี่ทองว่า ไม่ต้องไปมีเรื่องกับพวกมันหรอก แค่ให้เงินพวกมัน พวกมันก็จะไม่มายุ่งแล้ว แต่ดูเหมือนพี่ทองไม่ใช่ประเภทยอมคน ที่จริงเขาเดินหนี ทำไม่สนใจก็ได้ เพราะนี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แต่เขาก็ยังยืนอยู่ที่นี่
“กูไม่ลดตัวไปมีเรื่องกับพวกมึงหรอก ปล่อยน้องกูซะ ไม่งั้นมึงเจอดีแน่”
“คิดว่าขู่แล้วกูจะกลัว?” ไอ้แบ็คแสยะยิ้มเห็นฟันเหลืองๆ ของมันเกือบครบทุกซี่
“กูไม่ได้ขู่” พี่ทองยักคิ้วหนึ่งที ก่อนจะชักปืนออกมาจากข้างหลัง พวกไอ้แบ็คผงะถอยหลังไปทันที “กูเอาจริง มึงอยากตายก็ลอง”
“ไอ้เหี้ย! กูจะแจ้งตำรวจ!” ไอ้แบ็คร้องเสียงหลง ในขณะที่พี่ทองก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้
“ถึงคราวตาย คนร้ายก็ยังหวังพึ่งตำรวจ หึหึ ถ้ามึงคิดว่ามึงวิ่งเร็วกว่าลูกปืนกูก็เอาสิ”
“มึง...มึง...”
ไอ้แบ็ค ไอ้จิน ไอ้แจมหันมองหน้ากันก่อนไอ้จินจะปล่อยตัวผมและไอ้แจมโยนกระเป๋าคืนมาให้
“รีบๆ ไปให้พ้นหูพ้นตากู แล้วอย่าให้รู้ว่ามาแกล้งน้องกูอีก ไม่งั้น...” พี่ทองจบประโยคแค่นั้นก่อนจะปลดเซฟปืนแล้วทำท่าเล็งยิงใส่นักเลงฝึกหัดสามคนที่ยืนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม แล้วพวกมันก็หันหลังใส่เกียร์หมาหนีไป
พี่ทองหัวเราะสะใจ ก่อนจะหันมายักคิ้วให้ผม
“เลี้ยงข้าวเย็นกูด้วย”
ผมพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้เขา ก่อนจะเดินตามพี่ทองที่จูงเดซี่นำทางไปยังบ้านของผม
.
.
.
“กับข้าวบ้านมึงนี่อร่อยจริงๆ เลยนะเนี่ย ไม่เสียแรงที่กูถ่อสังขารมา”
สรุปแล้วที่เขาบังเอิญมาเดินเล่นในซอยบ้านผมก็เพราะจะมาขอกินข้าวเย็นด้วยน่ะครับ แต่เพราะผมไม่กลับบ้านสักทีก็เลยพาเดซี่เดินไปๆ มาๆ อยู่ในซอย ชมนกชมไม้ของเขาไปเรื่อยนั่นแหละ
‘พกปืนตลอดเลยเหรอ’ ผมพิมพ์ข้อความส่งไปทางไลน์ที่เพิ่งเพิ่มเพื่อนผ่าน QR โค้ดเมื่อครู่ที่ผ่านมา
“เปล่า ก็ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เข้าใจว่ามึงจะลักพาตัวเดซี่นั่นแหละ หลังจากนั้นกูก็เฝ้าระวัง ดูแลลูกสาวไม่ให้คลาดสายตา ก็น่ารักขนาดนี้ ใครก็คงอยากได้ แถมโจรสมัยนี้มันเก่ง มีปืนไว้ขู่บ้างมันจะได้กลัว เราก็ไม่ต้องเจ็บตัวไปสู้กับมันด้วย”
ถึงเหตุผลมันจะฟังแปลกๆ ไปสักนิด แต่ผมก็พยักหน้าเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่ออย่างเขา
“รับโทรศัพท์แล้วกดเปิดลำโพงให้หน่อย มือกูเปื้อน”
มีสายเรียกเข้าที่โทรศัพท์ของพี่ทองจริงๆ ครับ แต่ตอนนี้สองมือของเขาถือทาร์ตไข่ไว้อยู่ ผมเลยกดรับสายให้
(ทองคำเอก!!!) เสียงแปดหลอดที่ดังมาตามสายทำเอาผมแทบผงะในขณะที่พี่ทองเกือบทำทาร์ตไข่หลุดมือ
“ม๊า จะตะโกนเสียงดังทำไมครับเนี่ย”
(อาทอง ลื้ออยู่ไหน กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ!)
“มีเรื่องอะไรอ่ะ?”
(ยังจะมาถาม ลื้อเอาปืนของอากงไปเล่นอีกแล้วใช่ไหม!)
“ปืนไรอ่ะม๊า”
ผมว่าต้องเป็นปืนที่เขาเอามาขู่พวกไอ้แบ็คแน่ๆ -_-
(ไม่ต้องมาทำไม่รู้เรื่อง กู๋หย่วนเห็นลื้อเข้าไปในห้องทำงานอากง อย่ามาโกหกม๊านะ)
“ผมไม่รู้เรื่องงงง”
(ปากแข็งนักงั้นก็ไม่ต้องเข้าบ้าน แค่นี้นะ!)
“เฮ้ยยย ม๊า ม๊าทำแบบนี้ไม่ได้นะ!”
ตื้ด ตื้ด ตื้ด
เอ่อ...คือ...
“ก็อย่างที่ได้ยิน กูนอนบ้านมึงละกันคืนนี้” พี่ทองพูดแค่นั้นแล้วก็ตั้งอกตั้งใจกินทาร์ตไข่ต่อไป
ในโลกนี้คงไม่มีเรื่องอะไรมาทำให้ผู้ชายตรงหน้าผมกลุ้มใจได้หรอกครับ อ้อ ยกเว้นเดซี่และจุ๊บแจง
‘แล้วเดซี่ล่ะ’
“เอาเข้ามานอนในบ้านได้ไหมล่ะ”
‘ไม่ได้หรอกครับ เดซี่จะเดินขึ้นบันไดได้ยังไง’
“เออ จริง”
คืนนั้นพี่ทองก็เลยต้องลงไปจุดไฟไล่ยุงให้เดซี่ พร้อมกับยืมเต้นผ้าใบของผมไปกางที่สวนเพื่อนอนเฝ้าลูกสาวสุดรักสุดหวงของเขา
เดซี่...โชคดีจังเลยนะครับ
.
.
.
“ชงโค! ทำไมไม่บอกบิ้วสักคำว่าจะไปเรียนที่นั่น!”
ผมมองบิ้วอย่างไม่ค่อยเข้าใจ สมองกำลังคิดสงสัยว่าทำไมบิ้วถึงได้คิดว่าผมจะบอก เพราะในเมื่อชีวิตผมจะทำอะไรก็ไม่เคยต้องรายงานบิ้วเลยสักที มีแต่บิ้วที่พยายามเอาตัวเองมารับรู้เรื่องของผมอยู่เรื่อย
นี่เป็นเช้าที่อากาศแจ่มใสหลังจากที่ผลแอดมิชชั่นถูกประกาศออกมาเมื่อวาน ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จ! ผมสามารถหนีจากบิ้วได้อย่างที่พยายามทำมาตลอด บิ้วไม่มีทางตามมามหาลัยรัฐบาลที่ผมกำลังจะไปเข้าได้แน่ๆ เพราะบิ้วเคยบอกผมว่าจะไปเข้ามหาลัยเอกชนตามกลุ่มเพื่อนของตัวเอง
“ชงโคจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ถ้าชงโคไม่ไปเรียนกับบิ้ว รู้ไหมว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับบิ้วบ้าง”
ก็รู้นะสิผมถึงไม่ไป ใครจะยอมตามไปเป็นทาสรับใช้ให้เด็กนิสัยไม่ดีอย่างบิ้วกันล่ะ หนีได้ก็หนีสิครับ
“ชงโค ชงโคต้องไปเรียนที่เดียวกับบิ้วนะ นะชงโคนะ”
ผมแกะมือของบิ้วที่กำลังจับอยู่ที่แขนของตัวเองออกแล้วเดินไปรดน้ำต้นดอกกุหลาบอีกทาง แต่บิ้วก็ยังตามมารบเร้า
“บิ้วไม่ยอมให้ชงโคหนีบิ้วไปง่ายๆ หรอก! ไม่ยอม! ชงโคเป็นของบิ้ว ต้องอยู่กับบิ้วเท่านั้น!”
เฮ้อ...ไม่ว่าจะกี่ปี บิ้วก็ยังนิสัยไม่น่าคบไม่เปลี่ยน ทั้งๆ ที่บิ้วก็รู้อยู่แก่ใจว่าผมไม่ใช่ของๆ บิ้ว ผมก็คือผม ที่ผมยอมมาตลอดเพราะเบื่อที่จะมีปัญหากับแม่เลี้ยง แต่เรื่องนี้ผมคงไม่มีวันยอม
“ชงโคฟังบิ้วอยู่รึเปล่า! บิ้วไม่ยอมนะชงโค เราต้องอยู่ด้วยกัน ชงโคได้ยินไหม”
ได้ยินหรือไม่ได้ยิน มันก็ไม่ต่างอะไรกันเลย ในเมื่อไม่ว่ายังไงผมก็ทำตามความต้องการของบิ้วไม่ได้อยู่ดี และต่อให้บิ้วจะกอดผมไว้จากข้างหลังพร้อมทั้งร้องไห้น้ำตานองหน้า มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา...ผมไม่เคยมีความเห็นใจให้กับบิ้วเลยสักนิด
“บิ้วรักชงโคนะ ทำไมไม่ยอมเข้าใจกันบ้าง ทำไมต้องหนีบิ้วไปด้วย ฮือออออออ”
ผมรู้ดีว่าบิ้วรู้สึกยังไง...แต่มันก็เป็นความรักที่ผมไม่เคยต้องการ ผมต่างหากที่อยากจะถามว่าทำไมบิ้วถึงไม่ยอมเข้าใจว่าผมไม่เคยรู้สึกอะไรกับบิ้วเลย ไม่ว่าจะพยายามคบกับคนอื่นเพื่อให้ผมรู้สึกหึง หรือพยายามสร้างเรื่องเพื่อที่จะเข้ามาอยู่ใกล้ผม เพราะสำหรับผม...ความรู้สึกที่ให้กับบิ้วมีแต่ความรำคาญเท่านั้น
“ชงโค...”
ผมจำเป็นต้องวางบัวรดน้ำลง แล้วคลายแขนที่โอบรัดตัวผมออก ก่อนจะหันหน้าไปเผชิญกับบิ้ว
‘กลับไป แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก ที่นี่เป็นบ้านของผม และผมไม่ต้อนรับ’ ผมเคยทำภาษามือบอกกับบิ้วอย่างนี้ไปแล้วหลายครั้ง บิ้วเข้าใจทุกอย่าง แต่ก็ยังมาที่นี่ตามความต้องการของตัวเองอีกจนได้
ในครอบครัวของพ่อมีบิ้วคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจภาษามือของผม เพราะตอนเด็กๆ บิ้วเคยเข้าใจว่าผมหูหนวก ผมไม่เคยตอบสนองต่อเสียงเรียกของบิ้วเลย ไม่ว่าบิ้วจะพูดอะไรกับผม ผมจะทำเป็นไม่ได้ยินมัน บิ้วเลยไปเรียนภาษามือเพื่อพยายามที่จะสื่อสารกับผม แต่มันก็เท่านั้น เพราะไม่บ่อยนักที่ผมจะยอมสื่อสารด้วย ตั้งแต่นั้นมา...บิ้วก็เริ่มทำนิสัยแย่ๆ ใส่ และไม่น่าคบหาจนถึงปัจจุบัน
“ชงโคใจร้าย!”
‘ผมจะใจร้ายมากกว่านี้ ถ้าบิ้วยังพูดไม่รู้เรื่อง’
“แล้วบิ้วต้องทำยังไง ชงโคกำลังจะหนีบิ้วไป บิ้วอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีชงโค”
‘ไม่ใช่เรื่องของผม บิ้วกลับบ้านไปเถอะ’
“ไม่! บิ้วจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าชงโคจะยอมไปเรียนที่เดียวกับบิ้ว บิ้วรักชงโคนะ ได้ยินไหม บิ้วรักชงโค”
‘แต่ผมไม่เคยรักบิ้ว’
บิ้วจับเสื้อของผมไว้แน่นแล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง ความสงสารที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีให้กับคนตรงหน้าเริ่มผุดพรายออกมาทีละน้อย ...ทำไมถึงไม่เคยจำว่าต้องเจ็บเพราะผมขนาดไหน ตอนนั้นผมไม่รัก มาถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รักอยู่ดี บิ้วสารภาพรักกับผมครั้งแรกเมื่อตอนมอต้น เป็นวันที่ผมย้ายข้าวของออกจากบ้านหลังนั้นแล้วมาอยู่ที่เรือนไทยของแม่ บิ้วมาอ้อนวอนให้ผมกลับไป ให้กลับไปอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ไม่ได้ผล ในวันนั้นกับวันนี้ บิ้วก็ร้องไห้หนักไม่ต่างกัน
“ถ้าชงโคไม่ไปเรียนกับบิ้ว บิ้วก็จะไม่ไป”
‘เรื่องของบิ้ว ไม่เกี่ยวกับผม กลับไปได้แล้ว’
“บิ้วไม่ไป บิ้วอยากอยู่กับชงโค”
‘ถ้าบิ้วไม่ไป งั้นผมไปเอง อยากอยู่ที่นี่ก็เชิญ’
“ชงโค”
ผมดึงมือบิ้วออกจากเสื้อตัวเอง ก่อนจะรีบเดินหนีมา รู้ว่าบิ้วยังเดินตาม แต่ผมก็ไม่ได้หันไปสนใจ ขึ้นรถมาได้ก็รีบขับออกมาทันที ถึงบิ้วจะวิ่งตามมาเคาะกระจกรถได้ทันตอนที่ผมกำลังรอประตูรั้วให้เปิดออก แต่บิ้วก็ทำได้แค่นั้น ผมสงสารแต่ก็ไม่ใจอ่อนทำในสิ่งที่บิ้วต้องการหรอก
ขับรถมาเรื่อยๆ อย่างที่ไม่รู้จะไปที่ไหน เพราะไม่ได้ตั้งใจจะออกมาตั้งแต่แรก เพื่อนก็ไม่มีให้นัดออกมาเจอหรือไปเยี่ยมที่บ้าน คนเดียวที่นึกถึงตอนนี้ก็คือพี่ทองที่ไม่ได้พาเดซี่มาดูดอกชงโคได้สักพักแล้ว เขาส่งไลน์มาบอกว่าโดนม๊าลงโทษเรื่องขโมยปืนอากงเลยต้องทำงานชดใช้ความผิด ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง ผมอยากรู้ความเป็นไปของเขานะ แต่ก็ไม่กล้าไลน์ไปหา ...ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
ช่วงปิดเทอมรถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ ยังพอคืบคลานไปได้บ้างไม่ถึงกับเดี้ยงสนิทเหมือนวันที่นั่งมากับพี่ทอง ผมยังไม่มีจุดหมายปลายทางที่จะไป ไม่มีสถานที่ไหนอยู่ในความสนใจเลยตอนนี้
ตึ้ง!
หือ?
จากพี่ทอง...
‘มารับกูที่สวนสาธารณะ XXX ให้เวลาสิบนาที กูนั่งรออยู่หน้าลานน้ำพุ’
สวนสาธารณะ? เขาไปทำอะไรที่นั่นกันนะ...
โอเค ตอนนี้ผมมีที่ไปแล้วครับ ขอบคุณพี่ทองที่ไลน์มา ไม่งั้นผมคงไปจบที่การเดินไร้สาระอยู่ที่ห้างเป็นแน่
ใช้เวลาเกินสิบนาทีกว่าจะมาถึง ขนาดรีบเร่งมาแล้วก็ยังไม่ทันอยู่ดี พี่ทองหน้าบูดสนิทเลยครับ แต่สภาพของเขาเหมือนเพิ่งตื่นนอน เพราะล่อใส่ชุดนอนกับรองเท้าสวมในบ้านออกมาเลย
“ไม่ต้องสงสัยกับสภาพกู กูเพิ่งหนีม๊ามา”
ผมหัวเราะนิดๆ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ เขา
“กูหิวข้าว” พี่ทองพูดพร้อมกับผลักหัวผม “ทำไมมึงไม่ซื้อของกินมาด้วย”
ผมส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก่อนจะยกมือถือออกมากดข้อความส่งให้เขา
‘ผมไม่รู้’
“-*- หิว!”
‘งั้นไปกินข้าวกันครับ’
“แต่กูไม่ได้เอากระเป๋าตังค์มา”
‘ผมเลี้ยง’
“งั้นก็ไป”
‘แล้วเดซี่ล่ะครับ’
“อยู่ที่บ้านสิ มึงคิดว่ากูจะขี่เดซี่หนีม๊ามารึไง”
-_- ก็ถ้าพี่ขี่มาได้คงทำไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ ยอมทิ้งเดซี่ไว้ที่บ้านนี่ถือว่าม๊าของเขาน่ากลัวจริงๆ
ผมเดินนำพี่ทองมาที่รถ เขาขอกุญแจไปขับเอง ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะก็ไม่รู้ว่าพี่ทองต้องการไปกินที่ไหน ให้เขาขับแล้วเลือกร้านเองน่าจะถูกใจมากกว่า
สิบห้านาทีต่อมาผมก็มานั่งรอข้าวต้มหมูอยู่ที่โต๊ะริมทาง พี่ทองกำลังเดินไปตักน้ำในขณะที่ผมหันมองไปรอบๆ ตัว เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ออกมาทานข้าวนอกบ้านกับคนอื่น ไม่เคยจินตนาการถึงเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ ในเมื่อผมใช้ชีวิตเพียงลำพังมาโดยตลอด โต๊ะใกล้ๆ กับโต๊ะผมมากันเป็นครอบครัว พ่อกำลังป้อนข้าวให้กับลูกสาวตัวเล็กที่น่าจะอายุไม่เกินสองขวบ มัดแกละแก้มยุ้ย ตาชั้นเดียวแต่กลมโต น่ารักน่าหยิกมากๆ ริมฝีปากน้อยๆ ก็ส่งเสียงเรียกว่า ป๊า เจื้อยแจ้ว
“ยิ้มอะไรอยู่คนเดียว” พี่ทองถาม พลางวางแก้วน้ำลงตรงหน้าผม ผมเลยชี้ให้ดูอาหมวยตัวน้อยโต๊ะใกล้ๆ
“มึงอยากมีลูกเหรอ”
-_- ไอ้การที่ผมมองเด็กน่ารักๆ นี่ มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมอยากมีลูกนะครับ
“ฮ่าๆๆ ดูทำหน้า กูล้อเล่น ว่าแต่มึงเถอะ จากบ้านมารับกูนี่น่าจะใช้เวลาสักชั่วโมง แล้วทำไมมาเร็วนัก”
ถ้าพี่รู้ว่าน่าจะใช้เวลาสักชั่วโมงแล้วทำไมถึงบอกว่าให้เวลาผมสิบนาทีล่ะครับ
‘ผมอยู่ข้างนอกพอดี’ ผมหยิบกระดาษบนโต๊ะพร้อมปากกามาเขียนข้อความลงไปให้เขาอ่าน
“ลายมือทุเรศชิบ กูอ่านไม่ออก -*-”
ไม่มีจะพูดรักษาน้ำใจผมหรอก ถึงลายมือผมจะห่วยขนาดไหนก็เถอะ แต่ก็ไม่น่าพูดออกมาตรงๆ เลยนี่นา ผมเลยต้องส่งไลน์ไปให้เขาอ่านแทน
‘อยู่ข้างนอก’
“เมื่อกี้เขียนยาวกว่านี้”
-_- เรื่องมากจริงๆ เลย
“แล้วทำไมถึงอยู่ข้างนอกตอนเช้าๆ ล่ะ มึงมีธุระเหรอ”
‘ไม่มี แค่เบื่อ’
“เบื่อเพื่อ? เห็นว่าแอดมิชชั่นเพิ่งประกาศเมื่อวาน เด็กเพิ่งจบมอปลายอย่างมึงต้องสดใสร่าเริงสิ หรือว่ามึงแอดไม่ติด”
‘-*- ติดสิ’
“ทีทำหน้าบึ้งล่ะถนัดนัก พิมพ์หน้ายิ้มมาแม่งไม่เคยจะยิ้มตามหรอก”
‘แล้วจะบ่นทำไมเนี่ย’
“ทำไม บ่นไม่ได้ไง”
‘ไม่เถียงแล้ว’
“ดี แล้วมึงติดมอไหน คณะไร”
‘ถาปัตย์ ออกแบบอุตสาหกรรม มอ XXX’
“มอเดียวกับกูนี่หว่า”
‘ยังไม่รู้จะผ่านสัมภาษณ์รึเปล่า’
“ทำไมจะไม่ผ่าน”
‘ผมพูดไม่ได้’
“แต่มึงฟังรู้เรื่อง อย่าเพิ่งกังวลใจไปไอ้น้อง เดี๋ยววันสัมภาษณ์กูไปส่งเอง”
‘ไม่ไปกับจุ๊บแจงนะ’
“นี่มึงรังเกียจจุ๊บแจงเหรอ!!” หน้าของพี่ทองเหมือนยักษ์ขึ้นมาทันที ผมเลยรีบส่ายหัว
‘ไม่อยากให้จุ๊บแจงลำบาก จุ๊บแจงแก่แล้ว กลัวเหนื่อย’
“เหตุผลมึงเข้าท่า อ่ะ กินข้าวกันก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
ข้าวต้มมาเสิร์ฟพอดี ผมกับพี่ทองเลยหยุดคุยไปโดยปริยาย อืม...กลิ่นหอม น่ากินทีเดียวครับ ยิ่งมีกระเทียมเจียวโรยหน้ายิ่งเข้าที แต่พี่ทองนี่สิ ตักต้นหอมกับใบขึ้นฉ่ายมาใส่ถ้วยผมหมดเลย
“กูไม่ชอบอ่ะ”
เฮ้อ...เขาอายุเท่าไหร่กันแน่เนี่ย ยังจะมาเลือกกินเป็นเด็กๆ ไปได้ แต่เห็นหน้าขาวๆ ของเขาขึ้นสีเพราะไอร้อนจากข้าวต้มแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงทำให้ผมยิ้มออกมา ก่อนจะตักหมูเด้งไปใส่ถ้วยของเขา
“ไม่กินหมูเหรอ”
ผมทำเพียงแค่ยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น พี่ทองเลิกคิ้วนิดๆ
“มึงมันใจดีพร่ำเพรื่อ” พูดแค่นั้นก็ก้มหน้าก้มตากินไม่สนใจผมอีก
ข้าวต้มถ้วยละสามสิบแต่ทั้งเยอะทั้งอร่อย ผมกินถ้วยเดียวก็อิ่มมากแล้ว แต่พี่ทองไม่ใช่ครับ ตอนนี้เขากำลังเริ่มกินถ้วยที่สอง ผมเลยต้องลุกไปตักน้ำมาให้เขาอีกแก้วเพราะน้ำแก้วแรกเขากินหมดไปแล้ว นั่งมองเขากินก็เพลินดีครับ เห็นแล้วรู้สึกอยากกินไปด้วย แต่ตอนนี้กระเพาะของผมรับไม่ไหวแล้ว
“เดี๋ยวพาไปซื้อเสื้อผ้าหน่อย กูอยู่ชุดนี้ทั้งวันไม่ได้ เหนียวตัวด้วย อยากอาบน้ำ”
ผมพยักหน้าอย่างไม่คิดจะขัดอะไร ถ้าผมช่วยได้ก็อยากจะช่วยครับ เพราะพี่ทองเขาก็เคยช่วยเหลือผม ถึงส่วนมากจะพาแต่เรื่องวุ่นวายมาให้ก็ตามที
“อ้อ ซื้อสักสามสี่ชุดเลยนะ กูจะอยู่บ้านมึงสามสี่วัน”
คงเป็นแค่ประโยคบอกเล่าเท่านั้นล่ะครับ เพราะผมไม่ได้ยินว่ามีการขออนุญาตที่ตรงไหน แต่จะทำอะไรก็ตามใจเขาเถอะ ผมไม่อยากขัด ...ไม่อยากเห็นเขาหน้าบึ้งอารมณ์ไม่ดีอีก
“มึง...ไม่ยอมบ้างก็ได้นะ” พี่ทองพูดจริงจัง ตอนนี้เขากำลังท้าวคางมองหน้าผม
‘พี่เดือดร้อน ผมก็แค่ช่วย’ ผมพิมพ์ข้อความใส่มือถือแล้วโชว์ให้เขาดู
“กูถึงได้บอกไงว่ามึงใจดีพร่ำเพรื่อ”
‘แล้วไม่ดีเหรอครับ’
“ก็ดีสำหรับกู แต่ต่อไป ถ้ามึงยังเป็นอย่างนี้ มึงจะต้องลำบากเพราะคนอื่นเข้าสักวัน”
‘รอให้ถึงวันนั้นค่อยมาว่ากันอีกที ^^’
“ไอ้เด็กบ้านี่ กูบอกให้ยิ้มตาม ไม่ใช่ทำหน้าเฉย”
‘ผมยิ้มในใจ ผิดตรงไหน’
“เถียง เถียง เดี๋ยวพ่อปั๊ด ตบกะโหลก -*-”
ผมยกมือยอมแพ้ ก่อนจะฉีกยิ้มตามที่เขาต้องการ พี่ทองทำหน้าเซ็งๆ แล้วหันกลับไปกินข้าวต้มต่อ อืม...เวลาเขาไม่พูดนี่ก็ดูดีเหมือนกันนะ แต่พูดทีล่ะเหมือนผีเจาะปากมาพูด -_-
“ทำหน้าเหมือนด่ากูในใจ” อะไรมันจะเดาถูกปานนั้น -*-
ผมรีบโบกมือพร้อมกับส่ายหน้ายืนยันความบริสุทธิ์ใจทันที ยังไม่อยากมีปัญหากับเขาตอนนี้ครับ เพราะเกิดเขาบ้าขึ้นมา ผมคงได้สุกเพราะข้าวต้มร้อนๆ แน่
“แล้วไป -_- ไปจ่ายตังค์ได้ละ จะได้ไปทำธุระอย่างอื่นกันต่อ”
ครับท่านครับ ตามบัญชาทุกอย่างเลยครับ พ่อคอมมิวนิสท์ พ่อกุมอำนาจอธิปไตย -_-
.....................................To be Continue.....................................
ชงโค เด็กมีปม -[]- OMG
คุณ NOoTuNE และ คุณ sine_saki เจอกันอีกแล้วนะค้าาาา ^_^ หวังว่าจะยังคงสบายดีนะคะ เริ่มแรกอยากให้ไปกันเรื่อยๆ แบบไม่รีบร้อน แฮ่ๆ

แล้วพบกันใหม่ค่ะ
