Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-3-
ลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะความอบอุ่นที่ต้นคอ มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“ตื่นแล้วเหรอเจ้าเปี๊ยกขี้เซา..”
พี่เปรมใช้คำว่าขี้เซานี่เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ผมสลบนะครับไม่ใช่แค่ฟุบหลับไปเฉยๆ แต่ก็จะเถียงอะไรได้ล่ะ เพราะถ้าหากตอนที่ผมยังเป็นนายพบรัก ผมจะดีใจมากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็เจอคนที่เรารักเป็นคนแรก แต่ตอนนี้ผมเป็นเพียงแค่น้องหมาพันธ์ชิวาวาอายุแค่เดือนกว่าแล้วยังมีชื่อที่ไพเราะเหมาะกับหน้าตาน่าเอ็นดูว่า
‘เจ้าเปี๊ยก’ ผมจึงรู้สึกเซ็งและโคตรเบื่อหน่ายที่ผมไม่สามารถหลุดจากฝันร้ายนี่ได้สักที
ผมเหยียดตัวอ้าปากหาว สะบัดหัวไปมาสองสามทีไล่ความงุนงง จากนั้นก็เงยหน้ามองพี่เปรมสบกับสายตาคู่คมที่กำลังมองมาราวกับว่าผมเป็นเด็กน้อยตัวจ้อยผู้น่าสงสาร
โผล๊ะ!
“เอ๋ง!..” จริงๆ แล้วผมอุทานว่า เหี้ย!
แม้พี่เปรมจะรับหมอนอิงที่ลอยหวือมาไว้ได้ทันก่อนที่มันจะกระแทกลงบนร่างน้อยๆ ของผม แต่มันก็ทำให้ผมตกใจสะดุ้งหูตั้งหางตก แล้วมุดหัวงุดๆ หลบภัยเข้ากับกล้ามหน้าท้องแน่นๆ ของที่พึ่งพิง ที่แสนใจดีลูบหัวลูบตัวปลอบขวัญอีก
“นายเก็บมันมาทำไมเนี่ย?” พี่ปลื้มพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่เต็มคำนัก ก็โดนพี่เปรมต่อยจนทั้งปากทั้งหน้าบวมเต็มไปด้วยรอยช้ำขนาดนั้น แต่ก็ยอมรับนะว่าไม่สามารถบดบังออร่าความหล่อไปได้
ผมแอบมองพี่ปลื้มอย่างเกรงๆ ความรู้สึกคุ้นเคยยังคงเป็นความสงสัยที่ติดค้างอยู่ในหัวใจ ผมยังจำทุกถ้อยคำที่ได้ยินก่อนจะหมดสติไปได้ดี ผมพยายามจับต้นชนปลายเรื่องราวทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ที่พี่ปลื้มแอบอ้างตัวว่าเป็นพี่เปรมแล้วมาเป็นแฟนกับผม หลอกลวงผมมาเป็นปีๆ และก็กำลังจะบอกเลิกกับผม ซึ่งตอนนี้ผมเป็นเจ้าชายนิทรา ร่างของผมคงรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลไหนสักแห่ง และสาเหตุที่ทำให้ผมต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทราก็มาจากอุบัติเหตุ แล้วบวกอีกเรื่องก็คือตอนนี้ผมอยู่ในร่างของเจ้าเปี๊ยกซึ่งเป็นหมาน้อยวัยเดือนเศษสายพันธุ์ชิวาวา แล้วยังไงต่อละทีนี้ มาถึงตรงนี้แล้วผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ผมยังคงยืนยันคำเดิมว่าแฟนของผมชื่อเปรมนทีป์ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ห้า ไม่ใช่พี่ปลื้มชลล์ตรงหน้าอย่างแน่นอน.. มั้ง??
“กูเก็บ?” ใบหน้าหล่อคมบึ้งตึงขึ้นทันตา
จะว่าไปผมก็รู้สึกนะว่าพี่เปรมคนนี้มันแตกต่างจากพี่เปรมที่ผมเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศโดยรวมก็แตกต่างกัน ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกคุ้นเคยกับพี่ปลื้มมากกว่าเสียอีก
พี่น้องฝาแฝดกำลังเปิดศึกทางสายตาต่อกัน ผมก็ได้แต่มองหน้าหล่อบวมช้ำ สลับกับหน้าโคตรหล่อใสกิ๊กสลับกันไปมาอย่างลุ้นระทึก
“แฟนมึงเป็นคนเก็บมา..” น้ำเสียงของพี่เปรมทั้งนิ่งและลึกเสียจนผมยังแอบขนลุก
พี่ปลื้มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วตามด้วยเสียงซี้ดปากเบาๆ ในมือก็ถือผ้าประคบไปด้วย ความเงียบเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง พี่เปรมมองพี่ปลื้มไม่วางตา จนพี่ปลื้มเป็นฝ่ายยอมแพ้หลบสายตาแล้วหันไปมองนอกระเบียงแทน
“บอกแล้วไงว่าชั้นกับพบรักเรากำลังจะจบกัน.. ที่ผ่านมาหลังๆ นี่ชั้นพยายามจะห่างจากพบรักมากขึ้น.. แต่ไม่ใช่เพราะนายเหรอ?” เหลือบกลับมามองพี่เปรม แต่เมื่อเจอกับสายตาคมที่ลุกวาวพี่ปลื้มก็หันหลบกลับไปทางเดิม
“วันที่เกิดอุบัติเหตุชั้นก็ไม่คิดว่าพบรักจะมาหาชั้นที่คอนโดหรอกนะ.. เพราะเห็นว่าเพิ่งสอบเสร็จคงจะไปฉลองกับเพื่อน.. แต่ที่ไหนได้..” ประโยคจากพี่ปลื้มทำให้กล้ามเนื้อในอกด้านซ้ายกระตุกโดยแรง
“แล้ว?” พี่เปรมต่อประโยคให้พี่ปลื้มพูดออกมาให้จบ
“แล้วพบรักก็คงเจอนายกับภาพฟ้านั่นแหละ..”
“มึงรู้ว่ากูไม่ได้อยากรู้เรื่องที่นายกำลังพล่ามอยู่..”
“อ่อ.. ก็ถ้าเป็นเรื่องนั้นละก็.. ชั้นขอโทษละกัน.. แต่เอาจริงๆ ตอนแรกชั้นก็ไม่ได้จะใช้ชื่อนายหรอกนะ.. แต่ตั้งแต่ตอนแรกที่เจอกันพบรักก็เอาแต่เรียกชั้นว่าพี่เปรมๆ.. ชั้นก็เลยต้องตามน้ำไปอะ..”
“มึงนี่ไม่คิดจะยอมรับผิดเลยใช่มั๊ย.. โคตรพ่อโคตรแม่เหี้ยเลยว่ะ..”
“ชั้นกับพบรักยังไม่มีอะไรเกินเลยกันสักหน่อย.. ไม่เสียหายแน่นอน....”
“เออ.. เด็กนั่นไม่เสียหาย.. แต่กูนี่แหละเสียหายที่มีน้องฝาแฝดเหี้ยๆ แบบมึง..”
“ก็ขอโทษแล้วไง.. คราวหลังจะไม่ทำอีก.. เนี่ยชั้นให้นายต่อยจนหน้าช้ำไปหมดแล้วเนี่ย.. แม่เห็นต้องโดนโวยวายแน่ๆ”
“ตอนแรกมึงบอกว่าแค่จะขอใช้คอนโดกู.. แต่นี่มึงเอาชื่อกูไปใช้.. ไปหลอกเด็กนั่นไว้เป็นปีๆ.. แค่มึงโดนกูต่อยเท่านี้มันยังไม่สาสมหรอก..”
“เอาน่าเปรม.. ก็ขอโทษอยู่นี่ไง..” ท่าทางและน้ำเสียงฟังดูสบายๆ ไร้ความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น
หัวใจของผมค่อยๆ บีบรัดจนเจ็บ ผมอยากจะเป็นหมาหูหนวก หมาตาบอด หมาโง่ปัญญาอ่อนที่ไม่เข้าใจสิ่งใดๆ ทั้งนั้น ไม่อยากจะฟังบทสนทนาทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะทำยังไงทุกถ้อยคำก็ยังตรงดิ่งเข้าสู่โสตประสาทการรับรู้อย่างครบถ้วน
“ไหนตอนแรกมึงบอกว่ากับเด็กนั่นจริงจัง.. รักนักรักหนา..” คำถามจากแฝดคนพี่ ราวกับทัพพีที่คนความขุ่นมัวที่นอนนิ่งอยู่ใต้หม้อน้ำให้คลุ้งขึ้น ผมอยากจะวิ่งหนีออกไปให้ไกลที่สุดไม่อยากจะรับฟังเรื่องราวใดๆ อีกต่อไป แต่ขาเจ้ากรรมก็ดันไร้เรี่ยวแรง
พี่ปลื้มเงียบไปนาน ใบหน้าบวมช้ำนั้นก้มลงมองพื้น ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบนพื้นนั่นมีอะไร แต่ส่วนลึกในจิตใจก็ยังคงคาดหวังต่อประโยคคำตอบของพี่ปลื้ม ได้โปรดอย่าทำให้ผมเกลียดพี่ ได้โปรดบอกผมทีว่าเรื่องที่พวกพี่กำลังพูดกันอยู่นี้เป็นเพียงบทละครฉากหนึ่งที่แต่งขึ้นเพื่อล้อผมเล่นเท่านั้น
“ชั้นคิดแบบนั้นจริงๆ นะ.. ตอนนี้ชั้นก็ยังชอบพบรักอยู่.. แต่มันเป็นเพียงแค่พี่กับน้องเท่านั้น..”
เสียงกำแพงแห่งความผิดหวังถล่มลงกลางใจ ทั้งๆ ที่ผมได้รู้ว่าผู้ชายที่ผมรักโกหกหลอกลวงผมมาตลอด ทำให้ผมกลายเป็นคนโง่ แต่ผมก็ยังหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้ชายคนนั้นทำลงไปก็เพราะว่าเค้ารักผมอย่างที่ผมรักเค้า แล้วความรักที่ผมทุ่มเทให้ไปมันมีค่าแค่เพียงความเป็นพี่น้องอย่างนั้นเหรอ? นอกจากผมโง่เง่าเต่าตุ่นแล้ว ผู้ชายคนนี้ยังทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองน่าสมเพชแบบสุดๆ..
“แล้วมึงจะเอาไงต่อ..”
“สัปดาห์หน้าชั้นก็กลับไปเรียนต่อแล้ว.. ชั้นคิดว่าจะแวะเข้าไปเยี่ยมพบรักสักครั้ง.. จะขอโทษกับสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด.. แล้วแม่ก็เป็นเจ้าของไข้เองด้วย.. ชั้นเลยไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่และคิดว่าพบรักจะต้องหายดีและฟื้นเร็วๆ นี้..”
ความเงียบเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ออก มันอึดอัดจนผมแทบขาดใจตาย ผมคิดถึงแม่ แม้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ผมก็จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ท่านฟังเสมอ ยกเว้นเพียงเรื่องนี้กับคำขอร้องจากคนๆ นี้เท่านั้นที่ทำให้ผมยอมมีความลับกับแม่ ถ้าหากตอนนั้นผมตัดสินใจไปเริ่มต้นชีวิตกับครอบครัวใหม่บางทีเรื่องราวของผมคงจะดีกว่านี้ หรือไม่นี่คงเป็นบทลงโทษจากสวรรค์ก็เป็นไปได้
“เด็กนั่นจะต้องหายดีแน่นอน..” มือใหญ่ลูบหัวของผมเบาๆ คล้ายกำลังปลอบโยน แต่ในเวลานี้ไม่มีสิ่งใดจะทำให้ผมหลุดพ้นจากหัวใจที่แตกแหลกเป็นเสี่ยงๆ ไปได้
ผมรับรู้ได้ว่าการมองเห็นของผมลดต่ำลงเพราะมีม่านน้ำมาบดบังไว้ พี่ปลื้มตรงหน้าก็คือพี่เปรมที่ผมหลงรักมาเป็นปีๆ ในขณะที่พี่เปรมตัวจริงคือใครอีกคนที่ผมไม่เคยรู้จัก ผมอยู่กับความรักที่เป็นเพียงการหลอกลวงมาโดยตลอด ผมโง่ยิ่งกว่าควาย โง่อย่างไม่น่าให้อภัย นับว่าเป็นการได้รับรู้ความจริงอันแสนเลวร้ายยิ่งกว่าการตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองเป็นเพียงน้องหมาตัวหนึ่งเสียอีก
“อ้อ.. ของพบรักที่อยู่ในห้องนั้น.. พะ..”
“เอาไว้แบบนั้นแหละ”
“แต่...”
“ก็กูเพิ่งบอกมึงไปว่าเด็กนั่นจะต้องหายดีและฟื้นเร็วๆ นี้แน่นอน..”
สองพี่น้องฝาแฝดมองหน้ากันท่ามกลางความเงียบ ในสายตาของทั้งคู่คงกำลังสื่อความหมายอะไรบางอย่างกันอยู่โดยที่คนนอกแสนโง่อย่างผมไม่มีทางเข้าใจ
“อืม.. นั่นสินะ..” พยักหน้าเบาๆ กับรอยยิ้มมุมปาก.. ความหมายนั้นคืออะไรผมไม่รู้ แต่เท่าที่รู้คือมันทำให้ผมเกลียดผู้ชายที่ชื่อ
‘ปลื้มชลล์’ เพิ่มมากขึ้นเป็นร้อยทวีคูณ
เสียงบานประตูที่ปิดลง บอกให้รู้ว่าพี่ปลื้มออกจากห้องนี้ไปแล้ว นั่นก็ราวกับปิดหัวใจที่แสนโง่เขลาของผมลงไปด้วย ความรักที่ผมเฝ้าทะนุถนอมและหวงแหนมันได้รับการตอบแทนด้วยความเจ็บปวดแบบนี้นะเหรอ
“หงิงง..” ฮึก.. ผมปล่อยให้เขื่อนน้ำตาพังทลายลงโดยไม่คิดอาย
“เปี๊ยก.. มึงเป็นไรอีกเนี่ย?..” ผมถูกอุ้มขึ้นให้อยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าของพี่เปรม แต่เพราะสติและจิตใจที่ย่ำแย่อ่อนแอเกินไป ผมจึงมองพี่เปรมเป็นเพียงภาพที่พร่าเลือนเท่านั้น
พี่เปรมขยับตัวจากนั่งเป็นนอนเหยียดยาวบนโซฟา โดยที่มือใหญ่ข้างเดิมก็ยังลูบตัวผมอยู่ ผมไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วน้องหมาเวลาร้องไห้มันเป็นยังไง แต่ผมที่อยู่ในร่างของเจ้าเปี๊ยกก็เพียงแค่ทำตามความรู้สึกของตัวเองเท่านั้น ผมเองไม่มีกะจิตกะใจจะมาสนใจอะไรอีกแล้ว ความอัดอั้นทั้งหมดถูกปลดปล่อยออกมาเป็นหยาดน้ำ ผมไม่ใช่คนขี้แย ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น และไม่ใช่พวกที่แพ้แล้วไม่ยอมรับความจริง แต่สำหรับเรื่องบางเรื่องมันก็ต้องมีข้อยกเว้นกันบ้าง ผมยอมรับว่าผมไม่สามารถทำใจกับเรื่องนี้ได้ เรื่องที่ว่าทำไมผู้ชายที่ชื่อปลื้มชลล์คนนั้นถึงได้มาล้อเล่นกับหัวใจของผมแบบนี้ ผมยอมไม่ได้จริงๆ
“เจ้านายมึงชื่อพบรัก..” ความเงียบที่ปกคลุมมานานถูกทำลายลงด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูอบอุ่น จนผมต้องสลัดสิ่งที่คิดอยู่ทิ้ง แล้วกระพริบไล่น้ำตา มองใบหน้าหล่อคมที่นอนปิดเปลือกตานิ่งๆ
“พบรัก.. รัชชารักษ์.. ” ผู้ชายคนนี้กำลังเรียกชื่อสกุลเต็มๆ ของผม..
“พบรัก.. เด็กตัวแห้งๆ เตี้ยๆ.. แก้มป่องๆ.. เวลายิ้มมีลักยิ้มตรงมุมปาก.. ผิวขาวยิ่งกว่าน้ำนมซะอีก..” นั่นคือลักษณะทางกายภาพของผม แม้เปลือกตาคมไม่ได้ลืมขึ้นขณะที่พูด แต่ทว่ามือใหญ่ก็กำลังลูบตัวผมอยู่
“หึๆ..” หัวเราะในลำคอ ริมฝีปากบางแย้มยิ้มขึ้นบางเบา
ทำไมกันนะ ผมถึงรู้สึกว่าหัวใจที่สลายไปเมื่อครู่ถูกก่อร่างสร้างขึ้นมาใหม่ช้าๆ ความเจ็บปวดก็บรรเทาลงอย่างกับมีเวทมนต์ปาฏิหาริย์ และผมก็ได้ยินเสียงจังหวะหัวใจอีกดวงที่กำลังเต้นเป็นจังหวะระทึกอย่างน่าประหลาด แทบไม่ต้องเงี่ยหูฟังและไม่ต้องมองหาเสียงนั้นจากที่ไหน ก็เพราะว่าตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่บนกล้ามอกแน่นๆ ด้านซ้าย
“ตอนนี้เจ้านายมึงไม่สบายเลยอยู่กับมึงไม่ได้.. แต่เดี๋ยวเจ้านายมึงก็กลับมา.. มึงก็อยู่กับกูไปก่อนละกัน..” เหมือนจะเป็นประโยคที่ชวนซาบซึ้ง แต่ทำไมผมถึงกลับอยากจะฉีกยิ้มออกมา แทบจะลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่น้ำตาไหลออกมามากแค่ไหน
คุณเคยรู้สึกว่ากำลังจะตายแต่ก็ถูกฉุดกระชากให้ฟื้นขึ้นมาใหม่มั๊ยครับ โดนกระชากซะแรงจนไม่ทันตั้งตัว ลมหายใจที่แผ่วเบาลงไปแล้วกลับมาแบบปุบปับจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน มันยังคงรู้สึกเจ็บเหมือนแผลสดที่เลือดยังซิบๆ แต่ก็มีคุณหมอใจดีค่อยๆ ทำแผลนั่นให้อย่างเบามือ พร้อมกับประโยคที่คอยให้กำลังใจว่าผมจะต้องหายดีในสักวัน และคุณหมอยังพยายามรักษาบาดแผลนั้นอย่างดีโดยที่จะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ให้ระคายผิวแม้แต่น้อย
ผมไถหัวคลอเคลียไปมาบนหน้าอกด้านซ้ายแทนคำขอบคุณที่ผมไม่สามารถจะพูดมันออกมาได้ แม้ว่าประโยคเหล่านั้นจะเป็นเพียงคำปลอบที่มีให้น้องหมาตัวหนึ่ง แต่ในความรู้สึกลึกๆ ผมกลับสัมผัสว่ามันคล้ายกับว่าคนพูดกำลังปลอบใจตัวเอง ‘ทำไมพี่เปรมถึงปลอบใจตัวเองแบบนี้กันนะ’ ผมคิดแบบนั้นจริงๆ
จังหวะหัวใจของพี่เปรมกลับเป็นปกติ เสียงลมหายใจก็สม่ำเสมอ ดูจากสภาพที่อดหลับอดนอนมาหลายวันก็พอจะเดาได้ว่าพี่เปรมคงกำลังหลับลึกอยู่แน่ๆ ผมที่ยังคงนอนอยู่บนอกแน่นๆ ก็เลยได้มีโอกาสมองสำรวจใบหน้าอีกฝ่ายเงียบๆ ผู้ชายคนนี้ถ้าไม่นับเรื่องนิสัยก็แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างจากพี่ปลื้มเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นฝาแฝดที่เหมือนกันจริงๆ ผมเองชักอยากจะรู้แล้วว่าคนอื่นๆ แยกทั้งคู่แยกออกได้ยังไงว่าคนไหนคือพี่ปลื้มคนไหนคือพี่เปรม แต่นั้นไม่สำคัญเท่ากับในตอนนี้ผมอยากจะรู้จักคนตรงหน้ามากขึ้นแล้วสิ..
.
.
.
.
มันคือวันหนึ่งที่แสนจะร้อนอบอ้าว ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเย็นนี้ฝนต้องตกแน่ๆ ผ่านมาแล้วห้าวันที่ผมต้องอยู่ในร่างของเจ้าเปี๊ยก และผ่านมาแล้วสามวันหลังจากความจริงอันแสนเจ็บปวดได้ถูกเปิดเผย ผมก็ยังคงอยู่ในห้องเดิม คอนโดเดิม สภาพแวดล้อมเดิม ผมว่าผมไม่ได้อกหักนะ เพราะผมก็ยังอยู่กับพี่เปรมเหมือนเดิม ไอ้เรื่องราวเมื่อสามวันที่แล้วนั้นมาคิดๆ ดูมันก็เหมือนเรื่องตลก ถึงจะเจ็บจริง แผลยังสดใหม่อยู่ก็เรื่องจริง แต่มันก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยกเว้นมีความรู้สึกเกลียดคนที่ชื่อปลื้มชลล์เพิ่มขึ้นมา และเรื่องการกินการอยู่ของผมนี่แหละ..
ถึงผมจะอยู่ในร่างของน้องชิวาวา แต่จิตใจของผมยังคงเป็นนายพบรัก รัชชารักษ์ อย่างสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นผมทำใจไม่ได้ทุกครั้งที่จะต้องกินแบบน้องหมา แค่ใช้ลิ้นเลียนมยังพอทนได้ แต่มาให้กินอาหารเม็ดละลายน้ำ บอกเลยแทบอ๊วกตั้งแต่ได้กลิ่น แล้วไหนจะเรื่องการขับถ่าย จะบ้ารึไงให้ผมถ่ายในกระบะทราย อายนะโว้ย ให้มาขี้มาเยี่ยวในที่แจ้งแบบนั้น ก็เข้าใจนะว่าพี่เปรมทำตามในหนังสือคู่มือการเลี้ยงสุนัขชิวาวา แต่แล้วไงล่ะ ผมไม่ใช่น้องหมาสักหน่อย!
“บ๊อกๆๆ.. ” เอ่อ....
ผมมองเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก อย่าถามว่าผมมายืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำได้ยังไง ก็ไม่เห็นจะยาก ผมก็กระโดดขึ้นบนชักโครกแล้วกระเด้งมาบนอ่างล้างหน้า เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมได้พบความจริงที่ว่า ผมน่ารักมากแค่ไหน น่ารักซะจนน้ำตาไหลออกมาอาบแก้ม ตัวเล็ก หูตั้งไม่ถึงกับใหญ่มาก ดวงตากลมโต ขนเป็นสีขาวเหลือบสีน้ำตาลเล็กน้อย จะมีใครน่ารักได้เท่าผมอีกมั๊ยเนี่ย ได้โปรดสวรรค์ พาผมกลับไปยังร่างของผมที
“ทำไรน่ะเปี๊ยก?!.. ”
“บ๊อก!.. ” เหี้ย!! ตกใจหมดเลย!
“มึงเป็นหมาเหี้ยไรว่ะไอ้เปี๊ยก.. โจรเข้ามาถึงตัวแล้วเพิ่งรู้ตัว.. แล้วนี่ทำเหี้ยไรอยู่เนี่ย.. ส่องกระจกหาพ่องมึงเหรอ?..”
เยสเข้!!!! บอกผมทีสิครับว่านี่คือว่าที่คุณหมอในอนาคต แต่ละคำที่พ่นออกมาทำไมถึงได้หยาบคายอะไรแบบนี้ พบรักรับไม่ได้ รับไม่ด้ายยยยยยยย
“บ๊อกๆ.. บ๊อกๆ ” หาพ่องพี่นะสิ!
อ่อ แต่จะว่าไปผมก็ไม่ใช่พวกสุภาพบุรุษชนเท่าไหร่หรอกนะ ปกติเวลาอยู่กับเพื่อนก็ใช้คำหยาบคายแบบนี้แหละ จะมีก็แค่ตอนอยู่กับพี่ปลื้มที่อ้างเป็นพี่เปรมนั่นแหละที่แอ๊บตัวเองขึ้นมาหน่อย แต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้วละมั้ง ก็ตรงหน้าผมนี่คือพี่เปรมตัวจริงแล้วนี่นา
“ไอ้เปี๊ยก.. นี่มึงยังไม่แดกข้าวอีกแล้วเหรอว่ะ..” พี่เปรมชี้ไปที่จานใส่ข้าวน้องหมา ที่พี่แกเพิ่งถอยมาให้ผมสดๆ ใหม่ๆ สีชมพูวิ้งวับลายคิตตี้ซะด้วย คือก็ไม่เข้าใจว่าพี่เปรมคิดว่าผมเป็นเพศเมียรึยังไง ทั้งๆ ที่น้องชายมันชี้โด่ขนาดนี้ แล้วขอโทษเถอะครับ ถ้าไอ้เละๆ ยิ่งกว่าอ๊วกแมวนั่นเรียกว่าข้าว แล้วให้ผมกระเดือกลงคอเนี่ย ผมยอมอดตายดีกว่า
“บ๊อกๆ..” ไม่แดกโว้ย
“เออๆ.. ไม่แดกก็ไม่แดก.. เรื่องมากจริงมึง..” แน่ะ! เข้าใจอีก
พี่เปรมเดินเข้าห้องนอน ผมก็เดินตาม อีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ ผมก็นอนรอบนเตียง มหาลัยของพี่เปรมสอบช้ากว่ามหาลัยผมประมาณหนึ่งอาทิตย์ ตอนนี้พี่เปรมจึงอยู่ในช่วงสอบ แล้วยังจะต้องเข้าวอร์ดที่โรงพยาบาลไปด้วย ดูแล้วก็คงจะหนักหนาสาหัสพอดู แต่หนังหน้ายังหล่อใสกิ๊ก แตกต่างจากวันแรกที่ผมรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาเจออย่างสิ้นเชิง แต่เท่าที่เห็นพี่เปรมค่อนข้างเป็นคนที่ดูแลตัวเองได้ดี แม้จะเรียนหนักไม่ค่อยมีเวลาว่างแค่ไหน เรื่องอาหารการกินนี่ก็สำคัญเสมอ รวมทั้งยังเจ้าระเบียบนิดๆ ดูจากการจ้างแม่บ้านขึ้นมาทำความสะอาดห้องวันเว้นวัน ผมเคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่มาที่ห้องนี้ในตู้เย็นมักจะมีของสดติดเอาไว้เสมอ เมื่อก่อนผมแอบเข้าข้างตัวเองว่าแฟนตัวเองคงอยากจะให้ผมทำอาหารให้กิน แต่ที่ไหนได้เจ้าของห้องตัวจริงเป็นคนซื้อมาเก็บไว้เพราะไม่นิยมบริโภคอาหารที่มีแต่ผงชูรสต่างหาก
รออยู่พักใหญ่พี่เปรมก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูพันรอบเอวแค่ผืนเดียว โชว์ซิกแพคละลายใจให้ผมอิจฉาตาร้อน ไว้ผมกลับไปเข้าร่างตัวเองได้เมื่อไหร่จะเอาให้ได้แบบนี้บ้างคอยดู ผมกระโดดลงจากเตียงเมื่อพี่เปรมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ขนาดใส่แค่กางเกงบอลกับเสื้อยืดก็ยังเท่ห์ระเบิดระเบ้อ คนหล่อทำอะไรก็ดูดีไปซะหมด อิจฉาโว้ย
พี่เปรมเอากล่องอาหารที่ทำไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าออกมาอุ่น พี่เปรมต่างจากพี่ปลื้มอีกหนึ่งอย่างก็คือพี่เปรมทำอาหารเก่งมาก แต่จะอร่อยรึเปล่านั้นผมเองก็อยากจะรู้ ไม่นานนักกลิ่นหอมๆ ลอยมาแตะจมูกแทบจะทันที ท้องของผมก็ร้องหิวโหย
“บ๊อกๆ.. บ๊อกๆ..” จะกินๆ ผมอยากกินจริงๆ นะ
“จะแดกนี่?..” พี่เปรมรู้ใจหมา เฮ้ย! รู้ใจผมไปแทบจะทุกอย่าง
“บ๊อกๆ” ใช่ครับๆๆ จะแดกเหมือนพี่เปรมนั่นแหละ
แม้จะทำหน้าดุ แล้วมีเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่พี่เปรมก็ยอมแบ่งข้าวให้ผม ซึ่งทันทีที่กลิ่นหอมๆ จากข้าวผัดหมูใส่ผักรวมอยู่ตรงหน้า ผมก็แทบจะสวาปามเข้าท้องทันที แต่ติดอยู่ตรงที่..
“หงิงงงงงงง” เค้าจะกินกับช้อนอ่า.. ผมพยายามอ้อนให้น่าเอ็นดูเข้าไว้..
“อย่าบอกนะว่าให้กูป้อน” พี่เปรมมองตามสายตาผมที่มันจดจ้องอยู่ที่ช้อน
ผมบอกแล้วไงครับว่าพี่เปรมเป็นคุณหมอที่รู้ใจผมจริงๆ ผมก็พยายามครางหงิงๆ กระดิกหางรัวๆ อ้อนสุดฤทธิ์ เป็นอีกครั้งที่ผมได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจของพี่เปรม แต่สุดท้ายก็ยอมใช้ช้อนตักข้าวมาจ่อตรงปากผม แล้วมีเหรอที่ผมจะชักช้าร่ำไร งับมันเลยสิครับ และทันทีที่รสชาติสัมผัสกับลิ้น วินาทีนั้นตัวผมก็แทบจะลอยได้ เพราะมันอร่อยจริงๆ ครับ
“มึงเป็นคนหรือเป็นหมากันแน่ว่ะไอ้เปี๊ยก.. หึๆ” บ่นไปหัวเราะไป แต่ก็ยังอุตส่าห์นั่งป้อนจนข้าวหมดจาน ท้องผมก็ป่องอิ่มแทบจุก จนต้องนอนแผ่พุงอย่างอารมณ์ดี
พี่เปรมกลับไปกินข้าวในส่วนของตัวเองบ้าง กินเสร็จก็นั่งอ่านหนังสือ ส่วนผมที่หนังท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหย่อน ขยับตัวเข้าคลอเคลียข้างๆ ไออุ่นตัวโตๆ แล้วก็หลับไปอย่างสบาย หลับไปพร้อมความรู้สึกที่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป อยากจะมีชีวิตเพื่อกลับคืนสู่ร่างเดิม อยากจะกลับไปหาแม่เพราะผมยังไม่ได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีตอบแทนท่านเลยสักนิด และอยากจะรู้จักนักศึกษาแพทย์เปรมนทีป์ อัศววิรุณฉาย ตัวจริงให้มากกว่านี้ เพราะผมชินกับการเรียกผู้ชายคนหนึ่งว่า
‘พี่เปรม’ .
.
.
.
ตอนที่ 3 มาแล้วคะ
ขอบคุณทุกความคิดเห็นอีกครั้งนะคะ รินจะพยายามอย่างเต็มที่คะ 